“Wi-Fi Jammer: อุปกรณ์เล็กที่สร้างช่องโหว่ใหญ่ — เมื่อบ้านอัจฉริยะอาจไม่ปลอดภัยอย่างที่คิด”
ในยุคที่บ้านอัจฉริยะกลายเป็นเรื่องธรรมดา ทั้งกล้องวงจรปิดแบบไร้สาย เซ็นเซอร์ประตู และระบบแจ้งเตือนผ่านแอปมือถือ กลับมีภัยเงียบที่กำลังถูกพูดถึงมากขึ้นเรื่อย ๆ นั่นคือ “Wi-Fi Jammer” — อุปกรณ์ที่สามารถรบกวนสัญญาณไร้สายและทำให้ระบบรักษาความปลอดภัยหยุดทำงานชั่วคราว
แม้จะฟังดูเหมือนเทคโนโลยีสายลับ แต่ Wi-Fi Jammer มีขายจริงในตลาดมืด และมีราคาตั้งแต่ $200 ไปจนถึงมากกว่า $2,000 โดยสามารถกดปุ่มเพียงครั้งเดียวเพื่อรบกวนสัญญาณ Wi-Fi ในบริเวณใกล้เคียง ซึ่งรวมถึงกล้องวงจรปิดและอุปกรณ์แจ้งเตือนต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม อุปกรณ์นี้ผิดกฎหมายในสหรัฐฯ ทั้งสำหรับประชาชนทั่วไปและแม้แต่ตำรวจท้องถิ่น โดยหน่วยงานรัฐบาลกลางต้องขออนุญาตพิเศษก่อนใช้งาน เพราะมันสามารถรบกวนการสื่อสารฉุกเฉินได้
ข่าวที่ออกมาในช่วงหลังมักเน้นความน่ากลัวของอุปกรณ์นี้ โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ เช่น ลอสแอนเจลิสและฟีนิกซ์ ที่มีรายงานว่ามีการใช้ jammer ในการขโมยของ แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าไม่ควรตื่นตระหนกเกินไป เพราะการใช้งาน jammer ต้องอยู่ใกล้เป้าหมายมาก และอุปกรณ์อย่างกล้องหน้าบ้านที่มีระบบตรวจจับความเคลื่อนไหวมักจะบันทึกภาพผู้บุกรุกไว้ได้ก่อนที่สัญญาณจะถูกตัด
นอกจากนี้ Wi-Fi Jammer ยังรบกวนสัญญาณแบบไม่เลือกเป้าหมาย ซึ่งอาจทำให้บ้านข้างเคียงได้รับผลกระทบไปด้วย และสร้างความสนใจจากเพื่อนบ้านหรือเจ้าหน้าที่ได้ง่าย ทำให้ผู้บุกรุกอาจไม่เลือกใช้วิธีนี้หากต้องการความเงียบและรวดเร็ว
ข้อมูลจากกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ระบุว่าในช่วงปี 1994–2011 ผู้บุกรุกส่วนใหญ่เข้าบ้านผ่านประตูที่ไม่ได้ล็อกหรือหน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้ ไม่ใช่ด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย และในปี 2025 จำนวนการบุกรุกบ้านลดลงถึง 19% เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกของปีก่อน และลดลง 47% เมื่อเทียบกับปี 2019
ข้อมูลสำคัญจากข่าว
Wi-Fi Jammer เป็นอุปกรณ์ที่รบกวนสัญญาณไร้สาย เช่น กล้องและเซ็นเซอร์บ้านอัจฉริยะ
มีราคาตั้งแต่ $200–$2,000 และสามารถกดปุ่มเพื่อรบกวนสัญญาณได้ทันที
ผิดกฎหมายในสหรัฐฯ แม้แต่ตำรวจท้องถิ่นก็ห้ามใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
หน่วยงานรัฐบาลกลางต้องขออนุญาตพิเศษก่อนใช้งาน
ข้อมูลเสริมจากภายนอก
Oregon เสนอร่างกฎหมาย SB 959 เพื่อเพิ่ม jammer ในรายการเครื่องมือโจรกรรม
ADT และบริษัทความปลอดภัยอื่น ๆ เรียกร้องให้รัฐต่าง ๆ ออกกฎหมายควบคุม jammer
Jammer รบกวนสัญญาณแบบไม่เลือกเป้าหมาย อาจกระทบบ้านข้างเคียง
กล้องที่มี motion detection มักบันทึกภาพผู้บุกรุกได้ก่อนสัญญาณจะถูกตัด
สถิติและแนวโน้ม
การบุกรุกบ้านในสหรัฐฯ ลดลง 19% ในครึ่งปีแรกของ 2025
ลดลง 47% เมื่อเทียบกับปี 2019 ตามข้อมูลจาก Council on Criminal Justice
ผู้บุกรุกส่วนใหญ่ยังใช้วิธีง่าย ๆ เช่น เข้าทางประตูหรือหน้าต่างที่ไม่ได้ล็อก
ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้เสริมระบบป้องกันรอบบ้าน เช่น ไฟส่องสว่างและเสียงเตือน
https://www.slashgear.com/1969940/do-wifi-jammers-work-home-security-risks/
ในยุคที่บ้านอัจฉริยะกลายเป็นเรื่องธรรมดา ทั้งกล้องวงจรปิดแบบไร้สาย เซ็นเซอร์ประตู และระบบแจ้งเตือนผ่านแอปมือถือ กลับมีภัยเงียบที่กำลังถูกพูดถึงมากขึ้นเรื่อย ๆ นั่นคือ “Wi-Fi Jammer” — อุปกรณ์ที่สามารถรบกวนสัญญาณไร้สายและทำให้ระบบรักษาความปลอดภัยหยุดทำงานชั่วคราว
แม้จะฟังดูเหมือนเทคโนโลยีสายลับ แต่ Wi-Fi Jammer มีขายจริงในตลาดมืด และมีราคาตั้งแต่ $200 ไปจนถึงมากกว่า $2,000 โดยสามารถกดปุ่มเพียงครั้งเดียวเพื่อรบกวนสัญญาณ Wi-Fi ในบริเวณใกล้เคียง ซึ่งรวมถึงกล้องวงจรปิดและอุปกรณ์แจ้งเตือนต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม อุปกรณ์นี้ผิดกฎหมายในสหรัฐฯ ทั้งสำหรับประชาชนทั่วไปและแม้แต่ตำรวจท้องถิ่น โดยหน่วยงานรัฐบาลกลางต้องขออนุญาตพิเศษก่อนใช้งาน เพราะมันสามารถรบกวนการสื่อสารฉุกเฉินได้
ข่าวที่ออกมาในช่วงหลังมักเน้นความน่ากลัวของอุปกรณ์นี้ โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ เช่น ลอสแอนเจลิสและฟีนิกซ์ ที่มีรายงานว่ามีการใช้ jammer ในการขโมยของ แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าไม่ควรตื่นตระหนกเกินไป เพราะการใช้งาน jammer ต้องอยู่ใกล้เป้าหมายมาก และอุปกรณ์อย่างกล้องหน้าบ้านที่มีระบบตรวจจับความเคลื่อนไหวมักจะบันทึกภาพผู้บุกรุกไว้ได้ก่อนที่สัญญาณจะถูกตัด
นอกจากนี้ Wi-Fi Jammer ยังรบกวนสัญญาณแบบไม่เลือกเป้าหมาย ซึ่งอาจทำให้บ้านข้างเคียงได้รับผลกระทบไปด้วย และสร้างความสนใจจากเพื่อนบ้านหรือเจ้าหน้าที่ได้ง่าย ทำให้ผู้บุกรุกอาจไม่เลือกใช้วิธีนี้หากต้องการความเงียบและรวดเร็ว
ข้อมูลจากกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ระบุว่าในช่วงปี 1994–2011 ผู้บุกรุกส่วนใหญ่เข้าบ้านผ่านประตูที่ไม่ได้ล็อกหรือหน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้ ไม่ใช่ด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย และในปี 2025 จำนวนการบุกรุกบ้านลดลงถึง 19% เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกของปีก่อน และลดลง 47% เมื่อเทียบกับปี 2019
ข้อมูลสำคัญจากข่าว
Wi-Fi Jammer เป็นอุปกรณ์ที่รบกวนสัญญาณไร้สาย เช่น กล้องและเซ็นเซอร์บ้านอัจฉริยะ
มีราคาตั้งแต่ $200–$2,000 และสามารถกดปุ่มเพื่อรบกวนสัญญาณได้ทันที
ผิดกฎหมายในสหรัฐฯ แม้แต่ตำรวจท้องถิ่นก็ห้ามใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
หน่วยงานรัฐบาลกลางต้องขออนุญาตพิเศษก่อนใช้งาน
ข้อมูลเสริมจากภายนอก
Oregon เสนอร่างกฎหมาย SB 959 เพื่อเพิ่ม jammer ในรายการเครื่องมือโจรกรรม
ADT และบริษัทความปลอดภัยอื่น ๆ เรียกร้องให้รัฐต่าง ๆ ออกกฎหมายควบคุม jammer
Jammer รบกวนสัญญาณแบบไม่เลือกเป้าหมาย อาจกระทบบ้านข้างเคียง
กล้องที่มี motion detection มักบันทึกภาพผู้บุกรุกได้ก่อนสัญญาณจะถูกตัด
สถิติและแนวโน้ม
การบุกรุกบ้านในสหรัฐฯ ลดลง 19% ในครึ่งปีแรกของ 2025
ลดลง 47% เมื่อเทียบกับปี 2019 ตามข้อมูลจาก Council on Criminal Justice
ผู้บุกรุกส่วนใหญ่ยังใช้วิธีง่าย ๆ เช่น เข้าทางประตูหรือหน้าต่างที่ไม่ได้ล็อก
ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้เสริมระบบป้องกันรอบบ้าน เช่น ไฟส่องสว่างและเสียงเตือน
https://www.slashgear.com/1969940/do-wifi-jammers-work-home-security-risks/
📶 “Wi-Fi Jammer: อุปกรณ์เล็กที่สร้างช่องโหว่ใหญ่ — เมื่อบ้านอัจฉริยะอาจไม่ปลอดภัยอย่างที่คิด”
ในยุคที่บ้านอัจฉริยะกลายเป็นเรื่องธรรมดา ทั้งกล้องวงจรปิดแบบไร้สาย เซ็นเซอร์ประตู และระบบแจ้งเตือนผ่านแอปมือถือ กลับมีภัยเงียบที่กำลังถูกพูดถึงมากขึ้นเรื่อย ๆ นั่นคือ “Wi-Fi Jammer” — อุปกรณ์ที่สามารถรบกวนสัญญาณไร้สายและทำให้ระบบรักษาความปลอดภัยหยุดทำงานชั่วคราว
แม้จะฟังดูเหมือนเทคโนโลยีสายลับ แต่ Wi-Fi Jammer มีขายจริงในตลาดมืด และมีราคาตั้งแต่ $200 ไปจนถึงมากกว่า $2,000 โดยสามารถกดปุ่มเพียงครั้งเดียวเพื่อรบกวนสัญญาณ Wi-Fi ในบริเวณใกล้เคียง ซึ่งรวมถึงกล้องวงจรปิดและอุปกรณ์แจ้งเตือนต่าง ๆ อย่างไรก็ตาม อุปกรณ์นี้ผิดกฎหมายในสหรัฐฯ ทั้งสำหรับประชาชนทั่วไปและแม้แต่ตำรวจท้องถิ่น โดยหน่วยงานรัฐบาลกลางต้องขออนุญาตพิเศษก่อนใช้งาน เพราะมันสามารถรบกวนการสื่อสารฉุกเฉินได้
ข่าวที่ออกมาในช่วงหลังมักเน้นความน่ากลัวของอุปกรณ์นี้ โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ เช่น ลอสแอนเจลิสและฟีนิกซ์ ที่มีรายงานว่ามีการใช้ jammer ในการขโมยของ แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าไม่ควรตื่นตระหนกเกินไป เพราะการใช้งาน jammer ต้องอยู่ใกล้เป้าหมายมาก และอุปกรณ์อย่างกล้องหน้าบ้านที่มีระบบตรวจจับความเคลื่อนไหวมักจะบันทึกภาพผู้บุกรุกไว้ได้ก่อนที่สัญญาณจะถูกตัด
นอกจากนี้ Wi-Fi Jammer ยังรบกวนสัญญาณแบบไม่เลือกเป้าหมาย ซึ่งอาจทำให้บ้านข้างเคียงได้รับผลกระทบไปด้วย และสร้างความสนใจจากเพื่อนบ้านหรือเจ้าหน้าที่ได้ง่าย ทำให้ผู้บุกรุกอาจไม่เลือกใช้วิธีนี้หากต้องการความเงียบและรวดเร็ว
ข้อมูลจากกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ระบุว่าในช่วงปี 1994–2011 ผู้บุกรุกส่วนใหญ่เข้าบ้านผ่านประตูที่ไม่ได้ล็อกหรือหน้าต่างที่เปิดทิ้งไว้ ไม่ใช่ด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัย และในปี 2025 จำนวนการบุกรุกบ้านลดลงถึง 19% เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรกของปีก่อน และลดลง 47% เมื่อเทียบกับปี 2019
✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว
➡️ Wi-Fi Jammer เป็นอุปกรณ์ที่รบกวนสัญญาณไร้สาย เช่น กล้องและเซ็นเซอร์บ้านอัจฉริยะ
➡️ มีราคาตั้งแต่ $200–$2,000 และสามารถกดปุ่มเพื่อรบกวนสัญญาณได้ทันที
➡️ ผิดกฎหมายในสหรัฐฯ แม้แต่ตำรวจท้องถิ่นก็ห้ามใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
➡️ หน่วยงานรัฐบาลกลางต้องขออนุญาตพิเศษก่อนใช้งาน
✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก
➡️ Oregon เสนอร่างกฎหมาย SB 959 เพื่อเพิ่ม jammer ในรายการเครื่องมือโจรกรรม
➡️ ADT และบริษัทความปลอดภัยอื่น ๆ เรียกร้องให้รัฐต่าง ๆ ออกกฎหมายควบคุม jammer
➡️ Jammer รบกวนสัญญาณแบบไม่เลือกเป้าหมาย อาจกระทบบ้านข้างเคียง
➡️ กล้องที่มี motion detection มักบันทึกภาพผู้บุกรุกได้ก่อนสัญญาณจะถูกตัด
✅ สถิติและแนวโน้ม
➡️ การบุกรุกบ้านในสหรัฐฯ ลดลง 19% ในครึ่งปีแรกของ 2025
➡️ ลดลง 47% เมื่อเทียบกับปี 2019 ตามข้อมูลจาก Council on Criminal Justice
➡️ ผู้บุกรุกส่วนใหญ่ยังใช้วิธีง่าย ๆ เช่น เข้าทางประตูหรือหน้าต่างที่ไม่ได้ล็อก
➡️ ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้เสริมระบบป้องกันรอบบ้าน เช่น ไฟส่องสว่างและเสียงเตือน
https://www.slashgear.com/1969940/do-wifi-jammers-work-home-security-risks/
0 ความคิดเห็น
0 การแบ่งปัน
26 มุมมอง
0 รีวิว