หัวเลี้ยวแห่งความเป็นใหญ่……หัวต่อแห่งความโหดร้าย………
ติ่งขา……พี่ปูแบกไว้ทั้งหมด……!!

ตอนสิบสี่………ปีแห่งประวัติศาสตร์ที่ต้องจารึกและจดจำ…….!!!

หลังจากที่ปูตินได้ชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีอีกสมัย
วันที่ 1 กันยายน 2004 ได้เดินทางไปที่ Sochi อีกครั้งเพื่อหวังว่าจะได้พักร่าง พักสมอง เพราะที่ผ่านมาต้องพบปะกับผู้นำประเทศต่างๆจนไม่มีเวลาพักผ่อน เช่น กับ Jacques Chirac (ฝรั่งเศส) Gerhard Schröder (เยอรมัน)
ผู้คนส่วนใหญ่จะพักร้อนกันในเดือนสิงหาคม……แต่ปูตินไม่ได้พักเลยเพราะกลุ่มกบฏในเชเชนได้ก่อตัวขึ้นในการปฎิบัติการก่อการร้ายที่หนักข้อขึ้นทุกวัน โดยมีตัวการเป็นหญิงสาวสี่คน คือ Rosa Nagayeva และน้องสาว Amanat….โดยมีเพื่อนสาว Satsita Dzhbirkhanova และ Maryam Taburova ที่ร่วมมือกันวางระเบิดก่อความไม่สงบในหลายพื้นที่

ในวันที่ปิดหีบบัตรลงคะแนนเลือกตั้งประธานาธิบดีนั้น ได้มีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่อาจเปรียบเสมือนลางร้ายของผู้นำคนใหม่ นั่นคือ ไฟไหม้ที่ อาคาร Manezh ที่ตั้งอยู่ใน Alexsandr Gardens ที่เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ตรงข้ามกับเครมลิน ไฟไหม้ลุกลามอย่างรวดเร็ว จนทะลายลงมาทั้งหลัง
ปูตินได้ยืนมองดูเหตุการณ์อยู่ที่ขั้นบนของสภา การกล่าวคำปราศรัยต้องเลื่อนออกไป เพราะไม่เช่นนั้นฉากหลังของการปราศรัยจะเป็นฉากที่เพลิงลุกไหม้ที่พร่าชีวิตของนักดับเพลิงไปสองนาย……

เพื่อแสดงสปิริตของความเป็นนักการเมืองประชาธิปไตยรุ่นใหม่ เขาจึงลดกระแสด้วยการปล่อยตัว MK ให้มาสู้คดีหลังจากที่อยู่ในที่คุมขังประมาณห้าเดือน
และ……นั่นคือการเปิดศึกระหว่าง ผู้ที่มีอำนาจกับผู้ที่มีเงิน (จนถึงทุกวันนี้)

เป็นช่วงเดียวกันกับที่ปูตินกำลังก้าวขึ้นมาในเส้นทางของนักการเมืองเต็มตัว โดยที่ไม่มีพี่เลี้ยงคอยประกบเหมือนเมื่อก่อน (เยลซิน)
และนับว่าเป็นปีทดสอบความเป็นผู้นำที่แสนโหด และแทบไม่น่าเชื่อว่าจะเอาตัวและชาติรอดมาได้อย่างไร..…?!!
เริ่มจาก กระแสความเคลื่อนไหวในการจับกุม MK อภิมหาเศรษฐีคนดัง
ที่แม้แต่นายกรัฐมนตรีของเขาเอง Mikhaïl Kesyanov ก็ยังแสดงความไม่พอใจ ถึงกับไปให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ ว่า MK ไม่ได้โกงภาษี…เพียงแต่ใช้ช่องว่างของกฎหมายเพื่อแสวงหาผลประโยชน์เท่านั้น……

อย่างไรก็ตาม……ไม่ได้มีใครสนใจกับข้อโต้แย้งของเขานัก เพราะทั้งรัสเซียกำลังตื่นเต้นกับ ราคาน้ำมันส่งออกทะยานขึ้นเกินสิบเท่าของที่เคยได้ จาก หกพันล้าน พุ่งขึ้นมาเป็น แปดหมื่นล้านเหรียญ
และรัสเซียได้กลายมาเป็นผู้ส่งออกน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลก แซงหน้าซาอุดิ อะเรเบีย
และสินค้าอื่นๆเริ่มมีใบสั่งเข้ามายาวเป็นหางว่าว……
แต่ปูตินไม่ได้ปล่อยให้ความคิดเห็นคัดค้านของนายกฯผ่านไป
วันที่ 23 กุมภาพันธุ์ หลังจากการประชุมบอร์ดผ่านไป ปูตินให้ นายกฯ
คาเซียนอฟ เข้ามาพบ และพูดสั้นๆว่า……
“ต่อไปนี้……คุณหมดหน้าที่แล้วนะ” เป็นการไล่ออกแบบง่ายๆที่ไม่ต้องมีพิธีรีตอง……
และ……ไม่มีการประกาศว่า ใครจะมาแทน…ผู้คนก็เดากันไปต่างๆนานา
ว่าอาจจะเป็นคนนั้นคนนี้ จนอาทิตย์หนึ่งผ่านไป ผู้ที่เข้ามารับตำแหน่ง คือ
Mikhaïl Fradkov ที่แสน”โนเนม”จากปีเตอร์สเบอร์ก

แต่ไม่โนเนมสำหรับปูติน เพราะ MF (Mikhaïl Fradkov) คนนี้เคยเป็นรัฐมนตรีเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ในสมัยเยลซิน เป็นผู้เชี่ยวชาญในหลายภาษา เป็นคนตรง…สมถะ และ ไม่สนใจในการเมือง
ในขณะที่ปูตินติดต่อไปให้มารับตำแหน่ง ตอนนั้น MF อยู่ที่ Brussels กำลังทำหน้าที่เป็นทูตพานิชย์รัสเซียประจำ EU
เมื่อเขาบินมาถึงมอสโคว์ในวันต่อมา เพื่อเข้ารับตำแหน่ง นัดข่าวได้ถามถึงนโยบายในการทำงาน เขาตอบสั้นๆว่า
“ก็ทำตามนโยบายของท่านประธานาธิบดี……”

วันที่ 1 กันยายน เป็นช่วงเวลาที่เด็กๆกลับเข้าโรงเรียน ที่มีธรรมเนียมที่น่ารัก คือเด็กๆแต่งตัวกันสวยงาม เตรียมของขวัญเล็กๆน้อยๆไปสวัสดีคุณครู
ผู้ปกครองพากันตื่นเต้น จูงลูก พาหลานไปพบปะสังสรรกันที่หอประชุมโรงเรียนในวันเปิดเทอมวันแรก
ที่เมือง Beslan, North-Ossetia (คอเคซัส) ก็เช่นกัน เหตุการณ์ที่ควรจะเป็นภาพสวยงามนี้ ได้กลายมาเป็นโศกนาฏกรรม

ผู้คนประมาณหลายร้อยคนได้ชุมนุมกันที่ลานหน้าโรงเรียน ทันใดนั้น ได้มีรถบรรทุกวิ่งผ่าเข้ามา……ผ่าใบคลุมหลังรถได้เปิดออก กลุ่มผู้ก่อการร้ายได้ตะโกนเรียกพระนาม แล้วกระโดดลงมาพร้อมอาวุธ
ท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคน กลุ่มกบฎได้ต้อนทุกคนเข้าไปอยู่ในโรงยิม ……
กลุ่มกบฏ……มีผู้หญิงสองคนรวมอยู่ด้วย นั่นคือ Maryam Taburova และ Rosa Negayeva

เป็นการกระทำที่อุกอาจที่ไม่มีใครคาดคิด เพราะเมื่อวันที่ 9 เดือนพฤษภาที่ผ่านมา……ที่เป็นวันฉลองชัยชนะของรัสเซีย ประธานาธิบดีเชเชน Akhmad Kadyrov ที่เพิ่งรับตำแหน่งสดๆร้อนๆได้ไปเป็นประธานในพิธี ได้ถูกลอบวางระเบิดที่กลางงานจนเสียชีวิต เหลือไว้คือลูกชายวัย 27 Ramzan ที่มีเลือดพ่อเต็มร้อย พร้อมลงสานต่อ แต่อายุยังไม่เข้าเกณฑ์ที่จะเป็นผู้นำ
จึงต้องคอยไปก่อน ปูตินแต่งตั้งให้ Aslan Maskhadov ขึ้นมาแทนไปก่อน
แต่กลุ่มกบฏ……ก็ได้ให้คำเตือนมาไว้ล่วงหน้าแล้วว่า……Ramzan จะเป็นรายต่อไป…เมื่อมีโอกาส…!!

คราวนี้ที่ Beslan ที่ฝ่ายกบฏได้ยื่นความประสงค์กับปูตินว่า
กองทัพรัสเซียจะต้องออกไปจากพื้นที่ และประกาศให้เชเชนเป็นเอกราช ซึ่งเชเชนจะร่วมเป็นพันธมิตรและยังคงใช้รูเบิ้ลเป็นสกุลเงินตรา
เชเชนจะร่วมมือกับรัสเซียในการพัฒนากองกำลังและฟื้นฟูประเทศ (ที่เป็นเอกราช)

ในนามของพระเจ้า
ลงชื่อ Shamil Basayev

ซึ่ง ชามิลตัวหัวหน้า……มาแต่เพียงในนาม ไม่ได้อยู่รวมในกลุ่ม และข้อเสนอนั้น ……เป็นไปไม่ได้ที่ทางรัสเซียจะยอมรับ

การกักตัวผู้คนจำนวนหลายร้อยในที่ที่จำกัด ได้สร้างความทุกข์ทรมานให้กับเด็กๆอย่างแสนสาหัส เพราะไม่มีอาการ ไม่มีน้ำ
ผู้ที่ขัดขืนได้ถูกยิงทิ้ง แล้วนำศพโยนออกมาทางหน้าต่าง……จำนวนหลายศพ

ในที่สุด วันที่สองของการควบคุมตัว ได้มีการเจรจาขอให้ปล่อยเด็กเล็กกว่าสามสิบคนออกมาได้

วันที่สาม……ฝ่ายเจรจาขอให้มีการนำรถพยาบาลเข้าไปรับศพที่เริ่มบวมออกมาจากสถานที่
ในเวลาตีหนึ่ง ที่หน่วยพยาบาลสี่คนได้เข้าไปพร้อมรถตามกำหนดการ
เมื่อไปถึง……เพียงสองนาทีผ่านไป…..ได้เกิดระเบิดขึ้น ที่ทำให้ผนังของโรงยิมได้เปิดออก หลังคาเปิง
คราวนี้……ฝ่ายกบฏได้เปิดฉากยิงมั่วซั่ว ขว้างระเบิดมือท่ามกลางฝุ่นที่ตลบคลุ้ง
เป็นการโกลาหลจนสุดบรรยาย เพราะผู้คนส่วนใหญ่ที่เป็นเชลยไม่อยู่ในสภาพที่จะหลบหนีได้ พวกเขาอ่อนเปลี้ยจนเกินไป

เมื่อทุกอย่างผ่านพ้นไป ทั้งหมดในนั้นเสียชีวิต จำนวนเชลย 334 คน (เด็กโต 186 คน) คอมมานโด 10 คน ผู้ก่อการ 30 คน (ผู้หญิง 2)
อันเป็นข่าวที่น่าสลดใจไปยังรอบโลก ที่มีการค้นหาความจริง ว่า
ระเบิดที่เกิดขึ้นนั้น มาจากระเบิดที่ทางฝ่ายคณะผู้ก่อการได้วางสายเอาไว้แล้วเกิดการผิดพลาด…จนเป็นที่มาของโศกนาฏกรรมหมู่
ปูติน..พยายามอย่างที่สุดที่จะไม่ให้มีการสูญเสีย เพราะประสบการณ์จากโรงละครที่ทำให้เขาไม่ยอมใช้วิธีการยาสลบพ่นเข้าไป
เขาหวังในการเจรจา……ที่ควรจะมีการต่อรองกับ Shamil โดยตรง ไม่ผ่านตัวกลาง
แต่นั่นหมายถึงว่า แม้ว่าเขาจะเสียใจเป็นอย่างยิ่งกับการสูญเสียครั้งใหญ่เขายังต้องตอบคำถามที่หลั่งไหลเข้ามาจากนักข่าว
โดยเฉพาะฝ่ายศัตรูที่คอยเล่นงานทิ่มแทง

วันที่ 13 กันยายน หลังจากที่เกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญโลกที่ Beslan
พวกที่นั่งในสภา 150 ที่นั่งที่ได้รับเลือกตั้งมา (จากต่างพรรค)
ที่ปูตินเรียกสัมภาษณ์รายคน ถึง จุดมุ่งหมายในความคิดและนโยบายที่มีต่อประเทศ แต่ละรายเพ้อเจ้อในเรื่องของความเป็นประชาธิปไตยที่เอนเอียงไปในทางที่จะให้เอกราชกับเชเชน…

ปูตินจีงประกาศสั่งระงับการเลือกตั้งท้องถิ่นทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นนายอำเภอ หรือ นายกเทศมนตรี ทุกอย่างขะงักกึก………
เท่ากับว่า มอสโคว์คือศูนย์กลางของการปกครองเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เปรียบได้ว่าการปกครองได้กลับเข้าไปสู่ยุคของคอมมิวนิสต์
เพราะเขาได้ประกาศว่า……
“ประชากรชาวรัสเชี่ยนของเรา ยังมีความคิดล้าหลัง ยังไม่ปรับตัวให้ทันกับสิ่งที่เรียกว่าประชาธิปไตยที่มาถึงพร้อมกับความชั่วร้าย ……เราต้องใช้เวลากับการทำความรู้จักกับมัน……เพราะสิ่งที่จะใช้ได้ผลที่สุดในยามนี้
คือการยืนค่อนไปทางซ้าย..(ระบอบคอมมิวนิสต์)”

พรรคฝ่ายซ้ายขานรับกันจ้าละหวั่น และ เสนอตัวกันอย่างแข็งขันในการร่วมมือ …

~~~หลังจากการก่อการร้ายของ Shamil Basayev ที่ได้สร้างความเขย่าขวัญนานหลายปี ตั้งแต่วางแผนจับตัวประกันที่โรงละคร และ ที่โรงเรียน
รวมทั้งที่อื่นๆทั่วรัสเซียนานกว่าสิบปี
ฝ่าย FSB ได้ถือว่า ชามิล คือ อาชญากรที่ทางแารรัสเซียต้องการตัวที่สุด
ในที่สุด การ”ล่อซื้อ” ได้เกิดขึ้น ในวันที่ 10 กรกฎาคม 2006 นั่นคือ การค้าขายอาวุธให้กับกลุ่มผู้ก่อการร้าย ที่เป็นล๊อตขนาดใหญ่ ที่มีจุดรับของที่หมู่บ้าน Ekazhevo
ชามิล และคณะมารอรับ และเมื่อรถบรรทุกอาวุธที่ว่ามาถึง ระหว่างที่มีการตรวจคุณภาพของกัน รถบรรทุกได้เกิดระเบิดขึ้น คร่าชีวิตของชามิลและคณะนับสิบคน…ตามวัตถุประสงค์ของ FSB ……!!!

Wiwanda W. Vichit
หัวเลี้ยวแห่งความเป็นใหญ่……หัวต่อแห่งความโหดร้าย……… ติ่งขา……พี่ปูแบกไว้ทั้งหมด……!! ตอนสิบสี่………ปีแห่งประวัติศาสตร์ที่ต้องจารึกและจดจำ…….!!! หลังจากที่ปูตินได้ชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีอีกสมัย วันที่ 1 กันยายน 2004 ได้เดินทางไปที่ Sochi อีกครั้งเพื่อหวังว่าจะได้พักร่าง พักสมอง เพราะที่ผ่านมาต้องพบปะกับผู้นำประเทศต่างๆจนไม่มีเวลาพักผ่อน เช่น กับ Jacques Chirac (ฝรั่งเศส) Gerhard Schröder (เยอรมัน) ผู้คนส่วนใหญ่จะพักร้อนกันในเดือนสิงหาคม……แต่ปูตินไม่ได้พักเลยเพราะกลุ่มกบฏในเชเชนได้ก่อตัวขึ้นในการปฎิบัติการก่อการร้ายที่หนักข้อขึ้นทุกวัน โดยมีตัวการเป็นหญิงสาวสี่คน คือ Rosa Nagayeva และน้องสาว Amanat….โดยมีเพื่อนสาว Satsita Dzhbirkhanova และ Maryam Taburova ที่ร่วมมือกันวางระเบิดก่อความไม่สงบในหลายพื้นที่ ในวันที่ปิดหีบบัตรลงคะแนนเลือกตั้งประธานาธิบดีนั้น ได้มีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่อาจเปรียบเสมือนลางร้ายของผู้นำคนใหม่ นั่นคือ ไฟไหม้ที่ อาคาร Manezh ที่ตั้งอยู่ใน Alexsandr Gardens ที่เป็นสวนสาธารณะขนาดใหญ่ตรงข้ามกับเครมลิน ไฟไหม้ลุกลามอย่างรวดเร็ว จนทะลายลงมาทั้งหลัง ปูตินได้ยืนมองดูเหตุการณ์อยู่ที่ขั้นบนของสภา การกล่าวคำปราศรัยต้องเลื่อนออกไป เพราะไม่เช่นนั้นฉากหลังของการปราศรัยจะเป็นฉากที่เพลิงลุกไหม้ที่พร่าชีวิตของนักดับเพลิงไปสองนาย…… เพื่อแสดงสปิริตของความเป็นนักการเมืองประชาธิปไตยรุ่นใหม่ เขาจึงลดกระแสด้วยการปล่อยตัว MK ให้มาสู้คดีหลังจากที่อยู่ในที่คุมขังประมาณห้าเดือน และ……นั่นคือการเปิดศึกระหว่าง ผู้ที่มีอำนาจกับผู้ที่มีเงิน (จนถึงทุกวันนี้) เป็นช่วงเดียวกันกับที่ปูตินกำลังก้าวขึ้นมาในเส้นทางของนักการเมืองเต็มตัว โดยที่ไม่มีพี่เลี้ยงคอยประกบเหมือนเมื่อก่อน (เยลซิน) และนับว่าเป็นปีทดสอบความเป็นผู้นำที่แสนโหด และแทบไม่น่าเชื่อว่าจะเอาตัวและชาติรอดมาได้อย่างไร..…?!! เริ่มจาก กระแสความเคลื่อนไหวในการจับกุม MK อภิมหาเศรษฐีคนดัง ที่แม้แต่นายกรัฐมนตรีของเขาเอง Mikhaïl Kesyanov ก็ยังแสดงความไม่พอใจ ถึงกับไปให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์ ว่า MK ไม่ได้โกงภาษี…เพียงแต่ใช้ช่องว่างของกฎหมายเพื่อแสวงหาผลประโยชน์เท่านั้น…… อย่างไรก็ตาม……ไม่ได้มีใครสนใจกับข้อโต้แย้งของเขานัก เพราะทั้งรัสเซียกำลังตื่นเต้นกับ ราคาน้ำมันส่งออกทะยานขึ้นเกินสิบเท่าของที่เคยได้ จาก หกพันล้าน พุ่งขึ้นมาเป็น แปดหมื่นล้านเหรียญ และรัสเซียได้กลายมาเป็นผู้ส่งออกน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลก แซงหน้าซาอุดิ อะเรเบีย และสินค้าอื่นๆเริ่มมีใบสั่งเข้ามายาวเป็นหางว่าว…… แต่ปูตินไม่ได้ปล่อยให้ความคิดเห็นคัดค้านของนายกฯผ่านไป วันที่ 23 กุมภาพันธุ์ หลังจากการประชุมบอร์ดผ่านไป ปูตินให้ นายกฯ คาเซียนอฟ เข้ามาพบ และพูดสั้นๆว่า…… “ต่อไปนี้……คุณหมดหน้าที่แล้วนะ” เป็นการไล่ออกแบบง่ายๆที่ไม่ต้องมีพิธีรีตอง…… และ……ไม่มีการประกาศว่า ใครจะมาแทน…ผู้คนก็เดากันไปต่างๆนานา ว่าอาจจะเป็นคนนั้นคนนี้ จนอาทิตย์หนึ่งผ่านไป ผู้ที่เข้ามารับตำแหน่ง คือ Mikhaïl Fradkov ที่แสน”โนเนม”จากปีเตอร์สเบอร์ก แต่ไม่โนเนมสำหรับปูติน เพราะ MF (Mikhaïl Fradkov) คนนี้เคยเป็นรัฐมนตรีเศรษฐกิจระหว่างประเทศ ในสมัยเยลซิน เป็นผู้เชี่ยวชาญในหลายภาษา เป็นคนตรง…สมถะ และ ไม่สนใจในการเมือง ในขณะที่ปูตินติดต่อไปให้มารับตำแหน่ง ตอนนั้น MF อยู่ที่ Brussels กำลังทำหน้าที่เป็นทูตพานิชย์รัสเซียประจำ EU เมื่อเขาบินมาถึงมอสโคว์ในวันต่อมา เพื่อเข้ารับตำแหน่ง นัดข่าวได้ถามถึงนโยบายในการทำงาน เขาตอบสั้นๆว่า “ก็ทำตามนโยบายของท่านประธานาธิบดี……” วันที่ 1 กันยายน เป็นช่วงเวลาที่เด็กๆกลับเข้าโรงเรียน ที่มีธรรมเนียมที่น่ารัก คือเด็กๆแต่งตัวกันสวยงาม เตรียมของขวัญเล็กๆน้อยๆไปสวัสดีคุณครู ผู้ปกครองพากันตื่นเต้น จูงลูก พาหลานไปพบปะสังสรรกันที่หอประชุมโรงเรียนในวันเปิดเทอมวันแรก ที่เมือง Beslan, North-Ossetia (คอเคซัส) ก็เช่นกัน เหตุการณ์ที่ควรจะเป็นภาพสวยงามนี้ ได้กลายมาเป็นโศกนาฏกรรม ผู้คนประมาณหลายร้อยคนได้ชุมนุมกันที่ลานหน้าโรงเรียน ทันใดนั้น ได้มีรถบรรทุกวิ่งผ่าเข้ามา……ผ่าใบคลุมหลังรถได้เปิดออก กลุ่มผู้ก่อการร้ายได้ตะโกนเรียกพระนาม แล้วกระโดดลงมาพร้อมอาวุธ ท่ามกลางความตกตะลึงของทุกคน กลุ่มกบฎได้ต้อนทุกคนเข้าไปอยู่ในโรงยิม …… กลุ่มกบฏ……มีผู้หญิงสองคนรวมอยู่ด้วย นั่นคือ Maryam Taburova และ Rosa Negayeva เป็นการกระทำที่อุกอาจที่ไม่มีใครคาดคิด เพราะเมื่อวันที่ 9 เดือนพฤษภาที่ผ่านมา……ที่เป็นวันฉลองชัยชนะของรัสเซีย ประธานาธิบดีเชเชน Akhmad Kadyrov ที่เพิ่งรับตำแหน่งสดๆร้อนๆได้ไปเป็นประธานในพิธี ได้ถูกลอบวางระเบิดที่กลางงานจนเสียชีวิต เหลือไว้คือลูกชายวัย 27 Ramzan ที่มีเลือดพ่อเต็มร้อย พร้อมลงสานต่อ แต่อายุยังไม่เข้าเกณฑ์ที่จะเป็นผู้นำ จึงต้องคอยไปก่อน ปูตินแต่งตั้งให้ Aslan Maskhadov ขึ้นมาแทนไปก่อน แต่กลุ่มกบฏ……ก็ได้ให้คำเตือนมาไว้ล่วงหน้าแล้วว่า……Ramzan จะเป็นรายต่อไป…เมื่อมีโอกาส…!! คราวนี้ที่ Beslan ที่ฝ่ายกบฏได้ยื่นความประสงค์กับปูตินว่า กองทัพรัสเซียจะต้องออกไปจากพื้นที่ และประกาศให้เชเชนเป็นเอกราช ซึ่งเชเชนจะร่วมเป็นพันธมิตรและยังคงใช้รูเบิ้ลเป็นสกุลเงินตรา เชเชนจะร่วมมือกับรัสเซียในการพัฒนากองกำลังและฟื้นฟูประเทศ (ที่เป็นเอกราช) ในนามของพระเจ้า ลงชื่อ Shamil Basayev ซึ่ง ชามิลตัวหัวหน้า……มาแต่เพียงในนาม ไม่ได้อยู่รวมในกลุ่ม และข้อเสนอนั้น ……เป็นไปไม่ได้ที่ทางรัสเซียจะยอมรับ การกักตัวผู้คนจำนวนหลายร้อยในที่ที่จำกัด ได้สร้างความทุกข์ทรมานให้กับเด็กๆอย่างแสนสาหัส เพราะไม่มีอาการ ไม่มีน้ำ ผู้ที่ขัดขืนได้ถูกยิงทิ้ง แล้วนำศพโยนออกมาทางหน้าต่าง……จำนวนหลายศพ ในที่สุด วันที่สองของการควบคุมตัว ได้มีการเจรจาขอให้ปล่อยเด็กเล็กกว่าสามสิบคนออกมาได้ วันที่สาม……ฝ่ายเจรจาขอให้มีการนำรถพยาบาลเข้าไปรับศพที่เริ่มบวมออกมาจากสถานที่ ในเวลาตีหนึ่ง ที่หน่วยพยาบาลสี่คนได้เข้าไปพร้อมรถตามกำหนดการ เมื่อไปถึง……เพียงสองนาทีผ่านไป…..ได้เกิดระเบิดขึ้น ที่ทำให้ผนังของโรงยิมได้เปิดออก หลังคาเปิง คราวนี้……ฝ่ายกบฏได้เปิดฉากยิงมั่วซั่ว ขว้างระเบิดมือท่ามกลางฝุ่นที่ตลบคลุ้ง เป็นการโกลาหลจนสุดบรรยาย เพราะผู้คนส่วนใหญ่ที่เป็นเชลยไม่อยู่ในสภาพที่จะหลบหนีได้ พวกเขาอ่อนเปลี้ยจนเกินไป เมื่อทุกอย่างผ่านพ้นไป ทั้งหมดในนั้นเสียชีวิต จำนวนเชลย 334 คน (เด็กโต 186 คน) คอมมานโด 10 คน ผู้ก่อการ 30 คน (ผู้หญิง 2) อันเป็นข่าวที่น่าสลดใจไปยังรอบโลก ที่มีการค้นหาความจริง ว่า ระเบิดที่เกิดขึ้นนั้น มาจากระเบิดที่ทางฝ่ายคณะผู้ก่อการได้วางสายเอาไว้แล้วเกิดการผิดพลาด…จนเป็นที่มาของโศกนาฏกรรมหมู่ ปูติน..พยายามอย่างที่สุดที่จะไม่ให้มีการสูญเสีย เพราะประสบการณ์จากโรงละครที่ทำให้เขาไม่ยอมใช้วิธีการยาสลบพ่นเข้าไป เขาหวังในการเจรจา……ที่ควรจะมีการต่อรองกับ Shamil โดยตรง ไม่ผ่านตัวกลาง แต่นั่นหมายถึงว่า แม้ว่าเขาจะเสียใจเป็นอย่างยิ่งกับการสูญเสียครั้งใหญ่เขายังต้องตอบคำถามที่หลั่งไหลเข้ามาจากนักข่าว โดยเฉพาะฝ่ายศัตรูที่คอยเล่นงานทิ่มแทง วันที่ 13 กันยายน หลังจากที่เกิดเหตุการณ์สะเทือนขวัญโลกที่ Beslan พวกที่นั่งในสภา 150 ที่นั่งที่ได้รับเลือกตั้งมา (จากต่างพรรค) ที่ปูตินเรียกสัมภาษณ์รายคน ถึง จุดมุ่งหมายในความคิดและนโยบายที่มีต่อประเทศ แต่ละรายเพ้อเจ้อในเรื่องของความเป็นประชาธิปไตยที่เอนเอียงไปในทางที่จะให้เอกราชกับเชเชน… ปูตินจีงประกาศสั่งระงับการเลือกตั้งท้องถิ่นทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นนายอำเภอ หรือ นายกเทศมนตรี ทุกอย่างขะงักกึก……… เท่ากับว่า มอสโคว์คือศูนย์กลางของการปกครองเบ็ดเสร็จเด็ดขาด เปรียบได้ว่าการปกครองได้กลับเข้าไปสู่ยุคของคอมมิวนิสต์ เพราะเขาได้ประกาศว่า…… “ประชากรชาวรัสเชี่ยนของเรา ยังมีความคิดล้าหลัง ยังไม่ปรับตัวให้ทันกับสิ่งที่เรียกว่าประชาธิปไตยที่มาถึงพร้อมกับความชั่วร้าย ……เราต้องใช้เวลากับการทำความรู้จักกับมัน……เพราะสิ่งที่จะใช้ได้ผลที่สุดในยามนี้ คือการยืนค่อนไปทางซ้าย..(ระบอบคอมมิวนิสต์)” พรรคฝ่ายซ้ายขานรับกันจ้าละหวั่น และ เสนอตัวกันอย่างแข็งขันในการร่วมมือ … ~~~หลังจากการก่อการร้ายของ Shamil Basayev ที่ได้สร้างความเขย่าขวัญนานหลายปี ตั้งแต่วางแผนจับตัวประกันที่โรงละคร และ ที่โรงเรียน รวมทั้งที่อื่นๆทั่วรัสเซียนานกว่าสิบปี ฝ่าย FSB ได้ถือว่า ชามิล คือ อาชญากรที่ทางแารรัสเซียต้องการตัวที่สุด ในที่สุด การ”ล่อซื้อ” ได้เกิดขึ้น ในวันที่ 10 กรกฎาคม 2006 นั่นคือ การค้าขายอาวุธให้กับกลุ่มผู้ก่อการร้าย ที่เป็นล๊อตขนาดใหญ่ ที่มีจุดรับของที่หมู่บ้าน Ekazhevo ชามิล และคณะมารอรับ และเมื่อรถบรรทุกอาวุธที่ว่ามาถึง ระหว่างที่มีการตรวจคุณภาพของกัน รถบรรทุกได้เกิดระเบิดขึ้น คร่าชีวิตของชามิลและคณะนับสิบคน…ตามวัตถุประสงค์ของ FSB ……!!! Wiwanda W. Vichit
0 Comments 0 Shares 387 Views 0 Reviews