ช่วงหลังมีงานวิจัยหลายชิ้นเตือนเรื่อง “เวลาอยู่หน้าจอมากเกินไป” ว่าทำให้เด็กเศร้า หวาดระแวง หรือเสี่ยงคิดสั้น แต่การศึกษาใหม่ในวารสาร JAMA ชี้ว่า เวลาอาจไม่ใช่ตัวการหลัก เพราะเด็กที่ใช้มือถือหรือโซเชียลแค่วันละนิด แต่ใช้แบบ “เลิกไม่ได้” ก็เสี่ยงสูงเช่นกัน

ทีมนักวิจัยจาก Weill Cornell Medical College ตามข้อมูลเด็กกว่า 4,000 คน ตั้งแต่อายุ 10–14 ปี พบว่าเด็กที่มีพฤติกรรม “เสพติดมือถือ” (เช่น วางไม่ลง ขาดแล้วกระวนกระวาย หรือใช้เพิ่มเรื่อย ๆ) มีโอกาสคิดสั้นหรือทำร้ายตัวเองเพิ่มขึ้น 2–3 เท่า แม้จะไม่ได้ใช้หน้าจอนานมาก

กลุ่มเสี่ยงมากที่สุดคือเด็กที่เริ่มติดตั้งแต่อายุ 11 ปี และยิ่งแย่ขึ้นในช่วงวัย 14 ปี ซึ่งสมองยังพัฒนาไม่เต็มที่ โดยเฉพาะส่วน prefrontal cortex ที่คุมการหักห้ามใจ

และที่น่าคิดคือ…การเอามือถือออกจากมือลูกแบบหักดิบ อาจไม่ได้ช่วย แถมสร้างความขัดแย้งในบ้านอีกต่างหาก นักวิจัยแนะนำให้เน้น “บำบัดพฤติกรรมเสพติด” เช่น Cognitive Behavioral Therapy (CBT) แทนการห้ามใช้อย่างเดียว

✅ งานวิจัยใหญ่ชี้ว่า “พฤติกรรมเสพติด” ไม่ใช่ “เวลาอยู่หน้าจอ” คือปัจจัยเสี่ยงหลักของสุขภาพจิตเด็ก  
• การวางไม่ลง / ต้องใช้มากขึ้นเรื่อย ๆ เป็นสัญญาณอันตราย  
• เด็กที่มีพฤติกรรมนี้เสี่ยงคิดสั้นมากขึ้น 2–3 เท่า

✅ เกือบครึ่งของเด็กในงานวิจัยมีพฤติกรรมติดมือถือระดับสูงตั้งแต่อายุ 11  
• อีก 25% เริ่มติดภายหลังและพุ่งขึ้นเร็วในช่วงวัยรุ่น

✅ การวัด screen time อย่างเดียวอาจพลาดกลุ่มเสี่ยงที่ใช้ “น้อยแต่ติด”  
• ต้องติดตามพฤติกรรมแบบ “ต่อเนื่อง” เพื่อจับสัญญาณก่อนสาย

✅ ทีมวิจัยแนะนำให้เน้นการบำบัดพฤติกรรมแทนการยึดมือถือ  
• เช่น การใช้ CBT เพื่อช่วยเด็กควบคุมการใช้งาน  
• พ่อแม่ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ ไม่ใช่จัดการเองอย่างหักดิบ

✅ มีการเรียกร้องให้ผู้ให้บริการออกแบบแอป/อุปกรณ์ให้เหมาะกับวัย (Age-Appropriate Design)  
• ลดกลไกดึงดูดแบบ loop ไม่มีที่สิ้นสุด เช่น infinite scroll  
• อังกฤษมีการออกโค้ดแนวทางนี้แล้วตั้งแต่ปี 2020

✅ ความเสี่ยงติดมือถือพบบ่อยในกลุ่มครอบครัวยากจนหรือพ่อแม่ไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัย  
• เป็นภาระซ้อนของสภาพแวดล้อมทางสังคม

‼️ ผลวิจัยยังไม่สามารถสรุปได้แน่ชัดว่า “ติดมือถือทำให้คิดสั้น” หรือไม่  
• เพราะเป็นงานแบบสังเกต ไม่ใช่ทดลองควบคุม  • แต่พบว่าพฤติกรรมเสพติดมาก่อนอาการทางจิตชัดเจน

‼️ การจำกัด screen time โดยไม่เข้าใจ “เหตุผลที่เด็กใช้งาน” อาจไม่แก้ปัญหา  
• ต้องดูว่าเด็กใช้เพื่อหนีปัญหาในชีวิตจริงหรือไม่

‼️ การพูดเรื่อง screen time อย่างเดียว อาจโยนภาระทั้งหมดให้พ่อแม่  
• ทั้งที่ส่วนหนึ่งเกิดจากการออกแบบแอปให้ดึงดูดเกินพอดี

‼️ การตัดสินจากแค่ “ชั่วโมงหน้าจอ” อาจพลาดกลุ่มเด็กที่เสพติดเชิงพฤติกรรมแบบลึก ๆ  
• เช่น ใช้น้อยแต่รู้สึกหงุดหงิดมากถ้าขาดมือถือ

https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/19/real-risk-to-youth-mental-health-is-addictive-use-not-screen-time-alone-study-finds
ช่วงหลังมีงานวิจัยหลายชิ้นเตือนเรื่อง “เวลาอยู่หน้าจอมากเกินไป” ว่าทำให้เด็กเศร้า หวาดระแวง หรือเสี่ยงคิดสั้น แต่การศึกษาใหม่ในวารสาร JAMA ชี้ว่า เวลาอาจไม่ใช่ตัวการหลัก เพราะเด็กที่ใช้มือถือหรือโซเชียลแค่วันละนิด แต่ใช้แบบ “เลิกไม่ได้” ก็เสี่ยงสูงเช่นกัน ทีมนักวิจัยจาก Weill Cornell Medical College ตามข้อมูลเด็กกว่า 4,000 คน ตั้งแต่อายุ 10–14 ปี พบว่าเด็กที่มีพฤติกรรม “เสพติดมือถือ” (เช่น วางไม่ลง ขาดแล้วกระวนกระวาย หรือใช้เพิ่มเรื่อย ๆ) มีโอกาสคิดสั้นหรือทำร้ายตัวเองเพิ่มขึ้น 2–3 เท่า แม้จะไม่ได้ใช้หน้าจอนานมาก กลุ่มเสี่ยงมากที่สุดคือเด็กที่เริ่มติดตั้งแต่อายุ 11 ปี และยิ่งแย่ขึ้นในช่วงวัย 14 ปี ซึ่งสมองยังพัฒนาไม่เต็มที่ โดยเฉพาะส่วน prefrontal cortex ที่คุมการหักห้ามใจ และที่น่าคิดคือ…การเอามือถือออกจากมือลูกแบบหักดิบ อาจไม่ได้ช่วย แถมสร้างความขัดแย้งในบ้านอีกต่างหาก นักวิจัยแนะนำให้เน้น “บำบัดพฤติกรรมเสพติด” เช่น Cognitive Behavioral Therapy (CBT) แทนการห้ามใช้อย่างเดียว ✅ งานวิจัยใหญ่ชี้ว่า “พฤติกรรมเสพติด” ไม่ใช่ “เวลาอยู่หน้าจอ” คือปัจจัยเสี่ยงหลักของสุขภาพจิตเด็ก   • การวางไม่ลง / ต้องใช้มากขึ้นเรื่อย ๆ เป็นสัญญาณอันตราย   • เด็กที่มีพฤติกรรมนี้เสี่ยงคิดสั้นมากขึ้น 2–3 เท่า ✅ เกือบครึ่งของเด็กในงานวิจัยมีพฤติกรรมติดมือถือระดับสูงตั้งแต่อายุ 11   • อีก 25% เริ่มติดภายหลังและพุ่งขึ้นเร็วในช่วงวัยรุ่น ✅ การวัด screen time อย่างเดียวอาจพลาดกลุ่มเสี่ยงที่ใช้ “น้อยแต่ติด”   • ต้องติดตามพฤติกรรมแบบ “ต่อเนื่อง” เพื่อจับสัญญาณก่อนสาย ✅ ทีมวิจัยแนะนำให้เน้นการบำบัดพฤติกรรมแทนการยึดมือถือ   • เช่น การใช้ CBT เพื่อช่วยเด็กควบคุมการใช้งาน   • พ่อแม่ควรปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ ไม่ใช่จัดการเองอย่างหักดิบ ✅ มีการเรียกร้องให้ผู้ให้บริการออกแบบแอป/อุปกรณ์ให้เหมาะกับวัย (Age-Appropriate Design)   • ลดกลไกดึงดูดแบบ loop ไม่มีที่สิ้นสุด เช่น infinite scroll   • อังกฤษมีการออกโค้ดแนวทางนี้แล้วตั้งแต่ปี 2020 ✅ ความเสี่ยงติดมือถือพบบ่อยในกลุ่มครอบครัวยากจนหรือพ่อแม่ไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัย   • เป็นภาระซ้อนของสภาพแวดล้อมทางสังคม ‼️ ผลวิจัยยังไม่สามารถสรุปได้แน่ชัดว่า “ติดมือถือทำให้คิดสั้น” หรือไม่   • เพราะเป็นงานแบบสังเกต ไม่ใช่ทดลองควบคุม  • แต่พบว่าพฤติกรรมเสพติดมาก่อนอาการทางจิตชัดเจน ‼️ การจำกัด screen time โดยไม่เข้าใจ “เหตุผลที่เด็กใช้งาน” อาจไม่แก้ปัญหา   • ต้องดูว่าเด็กใช้เพื่อหนีปัญหาในชีวิตจริงหรือไม่ ‼️ การพูดเรื่อง screen time อย่างเดียว อาจโยนภาระทั้งหมดให้พ่อแม่   • ทั้งที่ส่วนหนึ่งเกิดจากการออกแบบแอปให้ดึงดูดเกินพอดี ‼️ การตัดสินจากแค่ “ชั่วโมงหน้าจอ” อาจพลาดกลุ่มเด็กที่เสพติดเชิงพฤติกรรมแบบลึก ๆ   • เช่น ใช้น้อยแต่รู้สึกหงุดหงิดมากถ้าขาดมือถือ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/19/real-risk-to-youth-mental-health-is-addictive-use-not-screen-time-alone-study-finds
WWW.THESTAR.COM.MY
Real risk to youth mental health is ‘addictive use’, not screen time alone, study finds
Researchers found children with highly addictive use of phones, video games or social media were two to three times as likely to have thoughts of suicide or to harm themselves.
0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 13 มุมมอง 0 รีวิว