ยุคนี้องค์กรไม่ค่อย “ผูกขาดใจ” กับ Cloud เจ้าเดียวแล้ว ส่วนใหญ่ใช้แบบ Multicloud เพื่อดึงจุดเด่นแต่ละแพลตฟอร์มมาใช้งาน เช่น ใช้ GCP ทำ Data Analytics, Azure ทำ Identity, AWS ทำ Compute แต่รู้ไหมว่าความปลอดภัยแบบ “ข้ามค่าย” นี่เองที่สร้างฝันร้ายให้นัก Security
เพราะเครื่องมือของแต่ละเจ้าต่างกัน ภาษาและพฤติกรรมไม่เหมือนกัน ทำให้เกิด “จุดบอด” ที่แฮกเกอร์ชอบที่สุด ข่าวนี้เลยรวบรวม 8 เทคนิค ที่องค์กรควรใช้เพื่อควบคุมความปลอดภัย Multicloud อย่างมืออาชีพ
เช่น การตั้งศูนย์กลางความปลอดภัยที่ไม่ขึ้นกับ Cloud ใด Cloud หนึ่ง, การใช้ระบบตรวจจับภัยแบบรวมศูนย์, หรือแม้แต่การตั้งขอบเขตความไว้ใจให้ทุกระบบ — ไม่ว่าจะเป็น AWS, Azure หรือเครื่องเก่าที่นั่งนิ่ง ๆ ในดาต้าเซ็นเตอร์ก็ตาม
สิ่งสำคัญที่หลายคนมองข้ามคือเรื่อง “shared responsibility” — ความปลอดภัยไม่ใช่งานของทีม Security คนเดียว แต่ต้องกระจายบทบาทไปถึง DevOps, Cloud Architect และแม้แต่ทีม Compliance ด้วย
✅ ตั้งทีมกลางดูแลความปลอดภัย Multicloud
• สร้างศูนย์กลางหรือบุคคลที่คุมกลยุทธ์ ความสอดคล้อง และการบังคับใช้นโยบาย Cloud ทั้งหมด
✅ ใช้ระบบ Identity และ Governance แบบรวมศูนย์
• ลดช่องว่างระหว่าง Cloud ด้วยการจัดการสิทธิ์ผ่านระบบกลาง เช่น Microsoft Entra ID หรือ Okta
✅ ไม่ยึดติดกับ Security Tools ของแต่ละ Cloud โดยลำพัง
• สร้างมาตรฐานเดียวทั่วทุก Cloud เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนและจุดอ่อน
✅ ใช้แนวคิด “Unified Trust Boundary”
• ยึดผู้ใช้ ข้อมูล และพฤติกรรมเป็นศูนย์กลาง แทนที่จะวางระบบความปลอดภัยแยกตามแพลตฟอร์ม
✅ กระจายความรับผิดชอบความปลอดภัยในองค์กร
• CISO เป็นเจ้าภาพ แต่ต้องมีทีม DevOps, Platform, Compliance มาร่วมรับผิดชอบด้วย
✅ เน้น Collaboration ระหว่างทีม ไม่ทำงานแบบไซโล
• ช่วยให้ระบบความปลอดภัยสอดคล้องกับภาพรวมธุรกิจ
✅ ตั้งระบบตรวจจับภัยแบบข้าม Cloud อย่างเป็นระบบ
• ลด Alert Fatigue และมองเห็นภาพรวมของภัยคุกคามได้ชัดเจนขึ้น
✅ ควบคุมการเข้าถึงด้วยแนวคิด “Session-based Access”
• ลดความเสี่ยงจากมัลแวร์หรือผู้บุกรุก ด้วยการจำกัดสิทธิ์และระยะเวลาการใช้งาน Cloud
‼️ Cloud แต่ละเจ้ามีเครื่องมือ-คำศัพท์ไม่เหมือนกัน ทำให้เกิดความสับสน
• การพึ่ง native tools แยกเจ้า โดยไม่มีแผนรวม อาจเกิดช่องโหว่ที่ไม่รู้ตัว
‼️ Multicloud อาจเพิ่ม “complexity” มากกว่าที่คิด
• ถ้าไม่ควบคุมให้ดี Cloud หลายเจ้าจะกลายเป็น “ป่าดง Security Tools” ที่ดูแลไม่ทั่วถึง
‼️ ความปลอดภัยไม่ควรฝากไว้แค่ทีม Security
• ถ้าไม่ดึงคนอื่นมารับผิดชอบร่วมกัน ก็เหมือนมีรปภ.แค่เฝ้าประตูหน้า แต่หน้าต่างเปิดโล่งหมด
‼️ หากไม่มีการวาง Detection & Response ที่เป็นระบบ จะมองไม่เห็นภัยที่แทรกข้าม Cloud
• โดยเฉพาะพฤติกรรมแฝงที่มักกระโดดข้ามแพลตฟอร์ม
‼️ การควบคุมสิทธิ์แบบ Static Access ทำให้ Cloud ตกเป็นเป้าได้ง่าย
• ต้องใช้แนวคิด “just-in-time access” แทนสิทธิถาวร
https://www.csoonline.com/article/4003915/8-tips-for-mastering-multicloud-security.html
เพราะเครื่องมือของแต่ละเจ้าต่างกัน ภาษาและพฤติกรรมไม่เหมือนกัน ทำให้เกิด “จุดบอด” ที่แฮกเกอร์ชอบที่สุด ข่าวนี้เลยรวบรวม 8 เทคนิค ที่องค์กรควรใช้เพื่อควบคุมความปลอดภัย Multicloud อย่างมืออาชีพ
เช่น การตั้งศูนย์กลางความปลอดภัยที่ไม่ขึ้นกับ Cloud ใด Cloud หนึ่ง, การใช้ระบบตรวจจับภัยแบบรวมศูนย์, หรือแม้แต่การตั้งขอบเขตความไว้ใจให้ทุกระบบ — ไม่ว่าจะเป็น AWS, Azure หรือเครื่องเก่าที่นั่งนิ่ง ๆ ในดาต้าเซ็นเตอร์ก็ตาม
สิ่งสำคัญที่หลายคนมองข้ามคือเรื่อง “shared responsibility” — ความปลอดภัยไม่ใช่งานของทีม Security คนเดียว แต่ต้องกระจายบทบาทไปถึง DevOps, Cloud Architect และแม้แต่ทีม Compliance ด้วย
✅ ตั้งทีมกลางดูแลความปลอดภัย Multicloud
• สร้างศูนย์กลางหรือบุคคลที่คุมกลยุทธ์ ความสอดคล้อง และการบังคับใช้นโยบาย Cloud ทั้งหมด
✅ ใช้ระบบ Identity และ Governance แบบรวมศูนย์
• ลดช่องว่างระหว่าง Cloud ด้วยการจัดการสิทธิ์ผ่านระบบกลาง เช่น Microsoft Entra ID หรือ Okta
✅ ไม่ยึดติดกับ Security Tools ของแต่ละ Cloud โดยลำพัง
• สร้างมาตรฐานเดียวทั่วทุก Cloud เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนและจุดอ่อน
✅ ใช้แนวคิด “Unified Trust Boundary”
• ยึดผู้ใช้ ข้อมูล และพฤติกรรมเป็นศูนย์กลาง แทนที่จะวางระบบความปลอดภัยแยกตามแพลตฟอร์ม
✅ กระจายความรับผิดชอบความปลอดภัยในองค์กร
• CISO เป็นเจ้าภาพ แต่ต้องมีทีม DevOps, Platform, Compliance มาร่วมรับผิดชอบด้วย
✅ เน้น Collaboration ระหว่างทีม ไม่ทำงานแบบไซโล
• ช่วยให้ระบบความปลอดภัยสอดคล้องกับภาพรวมธุรกิจ
✅ ตั้งระบบตรวจจับภัยแบบข้าม Cloud อย่างเป็นระบบ
• ลด Alert Fatigue และมองเห็นภาพรวมของภัยคุกคามได้ชัดเจนขึ้น
✅ ควบคุมการเข้าถึงด้วยแนวคิด “Session-based Access”
• ลดความเสี่ยงจากมัลแวร์หรือผู้บุกรุก ด้วยการจำกัดสิทธิ์และระยะเวลาการใช้งาน Cloud
‼️ Cloud แต่ละเจ้ามีเครื่องมือ-คำศัพท์ไม่เหมือนกัน ทำให้เกิดความสับสน
• การพึ่ง native tools แยกเจ้า โดยไม่มีแผนรวม อาจเกิดช่องโหว่ที่ไม่รู้ตัว
‼️ Multicloud อาจเพิ่ม “complexity” มากกว่าที่คิด
• ถ้าไม่ควบคุมให้ดี Cloud หลายเจ้าจะกลายเป็น “ป่าดง Security Tools” ที่ดูแลไม่ทั่วถึง
‼️ ความปลอดภัยไม่ควรฝากไว้แค่ทีม Security
• ถ้าไม่ดึงคนอื่นมารับผิดชอบร่วมกัน ก็เหมือนมีรปภ.แค่เฝ้าประตูหน้า แต่หน้าต่างเปิดโล่งหมด
‼️ หากไม่มีการวาง Detection & Response ที่เป็นระบบ จะมองไม่เห็นภัยที่แทรกข้าม Cloud
• โดยเฉพาะพฤติกรรมแฝงที่มักกระโดดข้ามแพลตฟอร์ม
‼️ การควบคุมสิทธิ์แบบ Static Access ทำให้ Cloud ตกเป็นเป้าได้ง่าย
• ต้องใช้แนวคิด “just-in-time access” แทนสิทธิถาวร
https://www.csoonline.com/article/4003915/8-tips-for-mastering-multicloud-security.html
ยุคนี้องค์กรไม่ค่อย “ผูกขาดใจ” กับ Cloud เจ้าเดียวแล้ว ส่วนใหญ่ใช้แบบ Multicloud เพื่อดึงจุดเด่นแต่ละแพลตฟอร์มมาใช้งาน เช่น ใช้ GCP ทำ Data Analytics, Azure ทำ Identity, AWS ทำ Compute แต่รู้ไหมว่าความปลอดภัยแบบ “ข้ามค่าย” นี่เองที่สร้างฝันร้ายให้นัก Security
เพราะเครื่องมือของแต่ละเจ้าต่างกัน ภาษาและพฤติกรรมไม่เหมือนกัน ทำให้เกิด “จุดบอด” ที่แฮกเกอร์ชอบที่สุด ข่าวนี้เลยรวบรวม 8 เทคนิค ที่องค์กรควรใช้เพื่อควบคุมความปลอดภัย Multicloud อย่างมืออาชีพ
เช่น การตั้งศูนย์กลางความปลอดภัยที่ไม่ขึ้นกับ Cloud ใด Cloud หนึ่ง, การใช้ระบบตรวจจับภัยแบบรวมศูนย์, หรือแม้แต่การตั้งขอบเขตความไว้ใจให้ทุกระบบ — ไม่ว่าจะเป็น AWS, Azure หรือเครื่องเก่าที่นั่งนิ่ง ๆ ในดาต้าเซ็นเตอร์ก็ตาม
สิ่งสำคัญที่หลายคนมองข้ามคือเรื่อง “shared responsibility” — ความปลอดภัยไม่ใช่งานของทีม Security คนเดียว แต่ต้องกระจายบทบาทไปถึง DevOps, Cloud Architect และแม้แต่ทีม Compliance ด้วย
✅ ตั้งทีมกลางดูแลความปลอดภัย Multicloud
• สร้างศูนย์กลางหรือบุคคลที่คุมกลยุทธ์ ความสอดคล้อง และการบังคับใช้นโยบาย Cloud ทั้งหมด
✅ ใช้ระบบ Identity และ Governance แบบรวมศูนย์
• ลดช่องว่างระหว่าง Cloud ด้วยการจัดการสิทธิ์ผ่านระบบกลาง เช่น Microsoft Entra ID หรือ Okta
✅ ไม่ยึดติดกับ Security Tools ของแต่ละ Cloud โดยลำพัง
• สร้างมาตรฐานเดียวทั่วทุก Cloud เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อนและจุดอ่อน
✅ ใช้แนวคิด “Unified Trust Boundary”
• ยึดผู้ใช้ ข้อมูล และพฤติกรรมเป็นศูนย์กลาง แทนที่จะวางระบบความปลอดภัยแยกตามแพลตฟอร์ม
✅ กระจายความรับผิดชอบความปลอดภัยในองค์กร
• CISO เป็นเจ้าภาพ แต่ต้องมีทีม DevOps, Platform, Compliance มาร่วมรับผิดชอบด้วย
✅ เน้น Collaboration ระหว่างทีม ไม่ทำงานแบบไซโล
• ช่วยให้ระบบความปลอดภัยสอดคล้องกับภาพรวมธุรกิจ
✅ ตั้งระบบตรวจจับภัยแบบข้าม Cloud อย่างเป็นระบบ
• ลด Alert Fatigue และมองเห็นภาพรวมของภัยคุกคามได้ชัดเจนขึ้น
✅ ควบคุมการเข้าถึงด้วยแนวคิด “Session-based Access”
• ลดความเสี่ยงจากมัลแวร์หรือผู้บุกรุก ด้วยการจำกัดสิทธิ์และระยะเวลาการใช้งาน Cloud
‼️ Cloud แต่ละเจ้ามีเครื่องมือ-คำศัพท์ไม่เหมือนกัน ทำให้เกิดความสับสน
• การพึ่ง native tools แยกเจ้า โดยไม่มีแผนรวม อาจเกิดช่องโหว่ที่ไม่รู้ตัว
‼️ Multicloud อาจเพิ่ม “complexity” มากกว่าที่คิด
• ถ้าไม่ควบคุมให้ดี Cloud หลายเจ้าจะกลายเป็น “ป่าดง Security Tools” ที่ดูแลไม่ทั่วถึง
‼️ ความปลอดภัยไม่ควรฝากไว้แค่ทีม Security
• ถ้าไม่ดึงคนอื่นมารับผิดชอบร่วมกัน ก็เหมือนมีรปภ.แค่เฝ้าประตูหน้า แต่หน้าต่างเปิดโล่งหมด
‼️ หากไม่มีการวาง Detection & Response ที่เป็นระบบ จะมองไม่เห็นภัยที่แทรกข้าม Cloud
• โดยเฉพาะพฤติกรรมแฝงที่มักกระโดดข้ามแพลตฟอร์ม
‼️ การควบคุมสิทธิ์แบบ Static Access ทำให้ Cloud ตกเป็นเป้าได้ง่าย
• ต้องใช้แนวคิด “just-in-time access” แทนสิทธิถาวร
https://www.csoonline.com/article/4003915/8-tips-for-mastering-multicloud-security.html
0 Comments
0 Shares
29 Views
0 Reviews