ประชาธิปไตยที่กินได้ (ใครได้กิน??)
รัฐบาลของประธานาธิบดี Trump ได้ประกาศการเปลี่ยนแปลงนโยบายในโครงการ Broadband Equity, Access, and Deployment (BEAD) มูลค่า 42.45 พันล้านดอลลาร์ โดยยกเลิกการให้ความสำคัญกับโครงสร้างพื้นฐานอินเทอร์เน็ตใยแก้วนำแสง (Fiber Internet) เพื่อเปิดทางให้เทคโนโลยีอื่น เช่นบริการดาวเทียม Starlink ของ Elon Musk สามารถเข้าถึงงบประมาณจากโครงการนี้ได้มากขึ้น ซึ่งอาจอยู่ในช่วง 10 ถึง 20 พันล้านดอลลาร์
ภายใต้การบริหารของประธานาธิบดี Biden ก่อนหน้านี้ โครงสร้างใยแก้วนำแสงได้รับการเน้นย้ำว่าเป็นโซลูชันที่มั่นคงและพัฒนาต่อยอดได้ง่ายในอนาคต เช่น การสนับสนุนโครงข่าย 5G แต่รัฐบาล Trump มองว่านโยบายดังกล่าวมีข้อจำกัดและอุปสรรคมากเกินไป จึงเปลี่ยนมาใช้นโยบาย "เทคโนโลยีเป็นกลาง" ที่มุ่งเน้นการให้บริการอินเทอร์เน็ตที่รวดเร็วในราคาถูกแก่ประชาชน โดยลดข้อกำหนดที่ถูกมองว่าเป็นภาระหรือสร้างความล่าช้าในการก่อสร้าง
นักวิจารณ์และกลุ่มผู้สนับสนุนการเข้าถึงบรอดแบนด์คุณภาพสูง เช่น Benton Institute for Broadband & Society ได้แสดงความกังวลว่า การเปลี่ยนแปลงนี้อาจทำให้ประชาชนในชนบทหลายล้านคนต้องพึ่งพาบริการอินเทอร์เน็ตที่ช้ากว่า ไม่เสถียร และไม่ตอบโจทย์ความต้องการทางเทคโนโลยีในระยะยาว เช่น การแพทย์ทางไกลหรือการเล่นเกม
การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้อาจเป็นโอกาสทองสำหรับ Starlink ซึ่งเป็นโครงการบริการอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมที่บริหารโดย SpaceX แม้จะยังไม่ได้รับการสนับสนุนโดยตรงจากโครงการ BEAD แต่ก็มีแนวโน้มที่จะได้รับเงินทุนจากโปรแกรมสนับสนุนบรอดแบนด์ของรัฐบาล เช่น Universal Service Programs โดย FCC และบทบาทของ Elon Musk ในรัฐบาล Trump ยังถูกตั้งคำถามถึงผลประโยชน์ทับซ้อน
ในขณะที่นโยบายนี้อาจช่วยให้การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตมีความรวดเร็วขึ้นในบางพื้นที่ แต่การลดความสำคัญของใยแก้วนำแสงอาจส่งผลต่อความยั่งยืนและความมั่นคงของโครงสร้างพื้นฐานบรอดแบนด์ในระยะยาว การสร้างสมดุลระหว่างเทคโนโลยีที่หลากหลายกับคุณภาพของบริการจึงเป็นความท้าทายสำคัญที่สหรัฐฯ ต้องเผชิญ
https://www.techspot.com/news/107067-broadband-policy-shift-us-drops-fiber-priority-could.html
รัฐบาลของประธานาธิบดี Trump ได้ประกาศการเปลี่ยนแปลงนโยบายในโครงการ Broadband Equity, Access, and Deployment (BEAD) มูลค่า 42.45 พันล้านดอลลาร์ โดยยกเลิกการให้ความสำคัญกับโครงสร้างพื้นฐานอินเทอร์เน็ตใยแก้วนำแสง (Fiber Internet) เพื่อเปิดทางให้เทคโนโลยีอื่น เช่นบริการดาวเทียม Starlink ของ Elon Musk สามารถเข้าถึงงบประมาณจากโครงการนี้ได้มากขึ้น ซึ่งอาจอยู่ในช่วง 10 ถึง 20 พันล้านดอลลาร์
ภายใต้การบริหารของประธานาธิบดี Biden ก่อนหน้านี้ โครงสร้างใยแก้วนำแสงได้รับการเน้นย้ำว่าเป็นโซลูชันที่มั่นคงและพัฒนาต่อยอดได้ง่ายในอนาคต เช่น การสนับสนุนโครงข่าย 5G แต่รัฐบาล Trump มองว่านโยบายดังกล่าวมีข้อจำกัดและอุปสรรคมากเกินไป จึงเปลี่ยนมาใช้นโยบาย "เทคโนโลยีเป็นกลาง" ที่มุ่งเน้นการให้บริการอินเทอร์เน็ตที่รวดเร็วในราคาถูกแก่ประชาชน โดยลดข้อกำหนดที่ถูกมองว่าเป็นภาระหรือสร้างความล่าช้าในการก่อสร้าง
นักวิจารณ์และกลุ่มผู้สนับสนุนการเข้าถึงบรอดแบนด์คุณภาพสูง เช่น Benton Institute for Broadband & Society ได้แสดงความกังวลว่า การเปลี่ยนแปลงนี้อาจทำให้ประชาชนในชนบทหลายล้านคนต้องพึ่งพาบริการอินเทอร์เน็ตที่ช้ากว่า ไม่เสถียร และไม่ตอบโจทย์ความต้องการทางเทคโนโลยีในระยะยาว เช่น การแพทย์ทางไกลหรือการเล่นเกม
การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้อาจเป็นโอกาสทองสำหรับ Starlink ซึ่งเป็นโครงการบริการอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมที่บริหารโดย SpaceX แม้จะยังไม่ได้รับการสนับสนุนโดยตรงจากโครงการ BEAD แต่ก็มีแนวโน้มที่จะได้รับเงินทุนจากโปรแกรมสนับสนุนบรอดแบนด์ของรัฐบาล เช่น Universal Service Programs โดย FCC และบทบาทของ Elon Musk ในรัฐบาล Trump ยังถูกตั้งคำถามถึงผลประโยชน์ทับซ้อน
ในขณะที่นโยบายนี้อาจช่วยให้การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตมีความรวดเร็วขึ้นในบางพื้นที่ แต่การลดความสำคัญของใยแก้วนำแสงอาจส่งผลต่อความยั่งยืนและความมั่นคงของโครงสร้างพื้นฐานบรอดแบนด์ในระยะยาว การสร้างสมดุลระหว่างเทคโนโลยีที่หลากหลายกับคุณภาพของบริการจึงเป็นความท้าทายสำคัญที่สหรัฐฯ ต้องเผชิญ
https://www.techspot.com/news/107067-broadband-policy-shift-us-drops-fiber-priority-could.html
ประชาธิปไตยที่กินได้ (ใครได้กิน??)
รัฐบาลของประธานาธิบดี Trump ได้ประกาศการเปลี่ยนแปลงนโยบายในโครงการ Broadband Equity, Access, and Deployment (BEAD) มูลค่า 42.45 พันล้านดอลลาร์ โดยยกเลิกการให้ความสำคัญกับโครงสร้างพื้นฐานอินเทอร์เน็ตใยแก้วนำแสง (Fiber Internet) เพื่อเปิดทางให้เทคโนโลยีอื่น เช่นบริการดาวเทียม Starlink ของ Elon Musk สามารถเข้าถึงงบประมาณจากโครงการนี้ได้มากขึ้น ซึ่งอาจอยู่ในช่วง 10 ถึง 20 พันล้านดอลลาร์
ภายใต้การบริหารของประธานาธิบดี Biden ก่อนหน้านี้ โครงสร้างใยแก้วนำแสงได้รับการเน้นย้ำว่าเป็นโซลูชันที่มั่นคงและพัฒนาต่อยอดได้ง่ายในอนาคต เช่น การสนับสนุนโครงข่าย 5G แต่รัฐบาล Trump มองว่านโยบายดังกล่าวมีข้อจำกัดและอุปสรรคมากเกินไป จึงเปลี่ยนมาใช้นโยบาย "เทคโนโลยีเป็นกลาง" ที่มุ่งเน้นการให้บริการอินเทอร์เน็ตที่รวดเร็วในราคาถูกแก่ประชาชน โดยลดข้อกำหนดที่ถูกมองว่าเป็นภาระหรือสร้างความล่าช้าในการก่อสร้าง
นักวิจารณ์และกลุ่มผู้สนับสนุนการเข้าถึงบรอดแบนด์คุณภาพสูง เช่น Benton Institute for Broadband & Society ได้แสดงความกังวลว่า การเปลี่ยนแปลงนี้อาจทำให้ประชาชนในชนบทหลายล้านคนต้องพึ่งพาบริการอินเทอร์เน็ตที่ช้ากว่า ไม่เสถียร และไม่ตอบโจทย์ความต้องการทางเทคโนโลยีในระยะยาว เช่น การแพทย์ทางไกลหรือการเล่นเกม
การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้อาจเป็นโอกาสทองสำหรับ Starlink ซึ่งเป็นโครงการบริการอินเทอร์เน็ตผ่านดาวเทียมที่บริหารโดย SpaceX แม้จะยังไม่ได้รับการสนับสนุนโดยตรงจากโครงการ BEAD แต่ก็มีแนวโน้มที่จะได้รับเงินทุนจากโปรแกรมสนับสนุนบรอดแบนด์ของรัฐบาล เช่น Universal Service Programs โดย FCC และบทบาทของ Elon Musk ในรัฐบาล Trump ยังถูกตั้งคำถามถึงผลประโยชน์ทับซ้อน
ในขณะที่นโยบายนี้อาจช่วยให้การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตมีความรวดเร็วขึ้นในบางพื้นที่ แต่การลดความสำคัญของใยแก้วนำแสงอาจส่งผลต่อความยั่งยืนและความมั่นคงของโครงสร้างพื้นฐานบรอดแบนด์ในระยะยาว การสร้างสมดุลระหว่างเทคโนโลยีที่หลากหลายกับคุณภาพของบริการจึงเป็นความท้าทายสำคัญที่สหรัฐฯ ต้องเผชิญ
https://www.techspot.com/news/107067-broadband-policy-shift-us-drops-fiber-priority-could.html
0 ความคิดเห็น
0 การแบ่งปัน
85 มุมมอง
0 รีวิว