• ทำไมการหาสาเหตุหลักของการโจมตีไซเบอร์ยังคงเป็นเรื่องยาก

    รายงานจาก Foundry’s Security Priorities study ระบุว่า 57% ของผู้นำด้านความปลอดภัยยอมรับว่าองค์กรของตนไม่สามารถหาสาเหตุรากของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปีที่ผ่านมาได้ ส่งผลให้มีความเสี่ยงสูงที่จะถูกโจมตีซ้ำอีกครั้ง ปัญหาหลักคือการมุ่งเน้นไปที่การ “ดับไฟ” หรือแก้ปัญหาเฉพาะหน้า มากกว่าการทำ postmortem analysis ที่จริงจัง

    ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัย เช่นจาก Huntress และ BlueVoyant เตือนว่า การไม่ทำ forensic investigation อย่างเป็นระบบ ทำให้องค์กรเหมือน “ป้องกันตัวเองแบบปิดตา” และพลาดโอกาสในการเรียนรู้เพื่อเสริมความแข็งแกร่งในอนาคต

    ความท้าทายที่ทำให้องค์กรพลาดการเรียนรู้
    ขาดทรัพยากรและบุคลากรที่มีทักษะด้าน forensics
    แรงกดดันจากธุรกิจ ที่ต้องการให้ระบบกลับมาออนไลน์เร็วที่สุด ทำให้หลักฐานถูกทำลาย
    เครื่องมือที่แยกส่วนกัน (siloed tools) ทำให้ไม่สามารถ reconstruct เส้นทางการโจมตีได้ครบถ้วน
    การข้ามขั้นตอน postmortem หรือทำแบบไม่เป็นทางการ ส่งผลให้บทเรียนไม่ถูกนำไปใช้จริง

    ผู้เชี่ยวชาญจาก Trend Micro และ Semperis เน้นว่า การสร้าง resilience ต้องอาศัยการวิเคราะห์เชิงลึกและการเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ ไม่ใช่แค่การกู้คืนระบบให้กลับมาใช้งานได้

    แนวทางแก้ไขเพื่อสร้าง Resilience
    เตรียมเครื่องมือ forensics ล่วงหน้า เช่น SIEM ที่สามารถเก็บ log ได้ยาวนาน
    ทำ incident response แบบครบวงจร: ตรวจจับ → วิเคราะห์ → กักกัน → กู้คืน → postmortem
    ฝึกซ้อมด้วย tabletop exercise เพื่อให้ทีมพร้อมรับมือจริง
    ใช้แนวคิด forensic readiness เพื่อให้มั่นใจว่าหลักฐานจะไม่สูญหาย
    บูรณาการ threat intelligence เพื่อเชื่อมโยงเหตุการณ์กับแคมเปญการโจมตีที่ใหญ่กว่า

    สรุปสาระสำคัญ
    ปัญหาที่พบในองค์กร
    57% ไม่สามารถหาสาเหตุรากของการโจมตีได้
    มุ่งเน้นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าแทนการเรียนรู้

    ความท้าทาย
    ขาดบุคลากรด้าน forensics
    เครื่องมือแยกส่วนและแรงกดดันทางธุรกิจ
    หลักฐานถูกทำลายเพราะรีบกู้ระบบ

    แนวทางแก้ไข
    ใช้ SIEM และเครื่องมือเก็บ log
    ทำ incident response ครบวงจรและ postmortem analysis
    ฝึกซ้อมและสร้าง forensic readiness

    คำเตือน
    หากไม่หาสาเหตุราก องค์กรจะเสี่ยงต่อการถูกโจมตีซ้ำ
    การกู้ระบบโดยไม่เก็บหลักฐานทำให้สูญเสียโอกาสเรียนรู้
    การข้ามขั้นตอน postmortem เท่ากับ “รักษาอาการ” แต่ไม่แก้ปัญหาที่แท้จริง

    https://www.csoonline.com/article/4093403/root-causes-of-security-breaches-remain-elusive-jeopardizing-resilience.html
    🔐 ทำไมการหาสาเหตุหลักของการโจมตีไซเบอร์ยังคงเป็นเรื่องยาก รายงานจาก Foundry’s Security Priorities study ระบุว่า 57% ของผู้นำด้านความปลอดภัยยอมรับว่าองค์กรของตนไม่สามารถหาสาเหตุรากของเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปีที่ผ่านมาได้ ส่งผลให้มีความเสี่ยงสูงที่จะถูกโจมตีซ้ำอีกครั้ง ปัญหาหลักคือการมุ่งเน้นไปที่การ “ดับไฟ” หรือแก้ปัญหาเฉพาะหน้า มากกว่าการทำ postmortem analysis ที่จริงจัง ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัย เช่นจาก Huntress และ BlueVoyant เตือนว่า การไม่ทำ forensic investigation อย่างเป็นระบบ ทำให้องค์กรเหมือน “ป้องกันตัวเองแบบปิดตา” และพลาดโอกาสในการเรียนรู้เพื่อเสริมความแข็งแกร่งในอนาคต 🛠️ ความท้าทายที่ทำให้องค์กรพลาดการเรียนรู้ 💠 ขาดทรัพยากรและบุคลากรที่มีทักษะด้าน forensics 💠 แรงกดดันจากธุรกิจ ที่ต้องการให้ระบบกลับมาออนไลน์เร็วที่สุด ทำให้หลักฐานถูกทำลาย 💠 เครื่องมือที่แยกส่วนกัน (siloed tools) ทำให้ไม่สามารถ reconstruct เส้นทางการโจมตีได้ครบถ้วน 💠 การข้ามขั้นตอน postmortem หรือทำแบบไม่เป็นทางการ ส่งผลให้บทเรียนไม่ถูกนำไปใช้จริง ผู้เชี่ยวชาญจาก Trend Micro และ Semperis เน้นว่า การสร้าง resilience ต้องอาศัยการวิเคราะห์เชิงลึกและการเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ ไม่ใช่แค่การกู้คืนระบบให้กลับมาใช้งานได้ 🌍 แนวทางแก้ไขเพื่อสร้าง Resilience 💠 เตรียมเครื่องมือ forensics ล่วงหน้า เช่น SIEM ที่สามารถเก็บ log ได้ยาวนาน 💠 ทำ incident response แบบครบวงจร: ตรวจจับ → วิเคราะห์ → กักกัน → กู้คืน → postmortem 💠 ฝึกซ้อมด้วย tabletop exercise เพื่อให้ทีมพร้อมรับมือจริง 💠 ใช้แนวคิด forensic readiness เพื่อให้มั่นใจว่าหลักฐานจะไม่สูญหาย 💠 บูรณาการ threat intelligence เพื่อเชื่อมโยงเหตุการณ์กับแคมเปญการโจมตีที่ใหญ่กว่า 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ปัญหาที่พบในองค์กร ➡️ 57% ไม่สามารถหาสาเหตุรากของการโจมตีได้ ➡️ มุ่งเน้นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าแทนการเรียนรู้ ✅ ความท้าทาย ➡️ ขาดบุคลากรด้าน forensics ➡️ เครื่องมือแยกส่วนและแรงกดดันทางธุรกิจ ➡️ หลักฐานถูกทำลายเพราะรีบกู้ระบบ ✅ แนวทางแก้ไข ➡️ ใช้ SIEM และเครื่องมือเก็บ log ➡️ ทำ incident response ครบวงจรและ postmortem analysis ➡️ ฝึกซ้อมและสร้าง forensic readiness ‼️ คำเตือน ⛔ หากไม่หาสาเหตุราก องค์กรจะเสี่ยงต่อการถูกโจมตีซ้ำ ⛔ การกู้ระบบโดยไม่เก็บหลักฐานทำให้สูญเสียโอกาสเรียนรู้ ⛔ การข้ามขั้นตอน postmortem เท่ากับ “รักษาอาการ” แต่ไม่แก้ปัญหาที่แท้จริง https://www.csoonline.com/article/4093403/root-causes-of-security-breaches-remain-elusive-jeopardizing-resilience.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Root causes of security breaches remain elusive — jeopardizing resilience
    Failure to pinpoint cause of breaches leaves many organizations wide open to further attacks. Resource shortages, firefight pressure, planning issues, and lack of post-incident follow-up to blame.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 13 มุมมอง 0 รีวิว
  • Valve เปิดตัวอุปกรณ์เกมใหม่ 3 รุ่น พร้อมความร่วมมือจาก Igalia

    Valve ได้สร้างความตื่นตาตื่นใจในวงการเกมด้วยการเปิดตัวอุปกรณ์ใหม่ 3 รุ่นในคราวเดียว ได้แก่ Steam Frame (VR Headset แบบไร้สาย), Steam Machine (Console คล้าย PlayStation/Xbox), และ Steam Controller (Gamepad) ซึ่งเป็นทายาทต่อจาก Steam Deck และ Valve Index ที่ประสบความสำเร็จมาก่อนหน้านี้

    Igalia มีบทบาทสำคัญในการพัฒนา SteamOS ที่จะใช้ใน Steam Machine และ Steam Frame โดยเฉพาะการทำงานบน ARM-based CPU ของ Steam Frame ซึ่งปกติจะไม่สามารถรันเกมที่คอมไพล์สำหรับ x86 ได้ แต่ด้วย FEX Translation Layer ทำให้สามารถแปลงโค้ด x86 เป็น ARM64 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    ความท้าทายด้านกราฟิกและการแก้ไข
    Steam Frame ใช้ Qualcomm Adreno 750 GPU ซึ่งต้องการ Vulkan driver ที่เสถียรและมีประสิทธิภาพสูง Igalia ได้พัฒนา Mesa3D Turnip (FOSS Vulkan driver) เพื่อแก้ไขปัญหาการเรนเดอร์และเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ เช่น LRZ optimization, tiled rendering และ Vulkan extensions ที่ช่วยให้เกมจาก DirectX และ OpenGL สามารถรันได้อย่างถูกต้องผ่าน DXVK และ Proton

    ผลลัพธ์คือ ประสิทธิภาพสูงกว่าไดรเวอร์ proprietary และมีความถูกต้องในการเรนเดอร์มากขึ้น ซึ่งได้รับเสียงตอบรับเชิงบวกจากผู้ใช้ที่นำไปใช้รันเกม PC บน Android อีกด้วย

    การพัฒนา Kernel และการจัดการพลังงาน
    นอกจากกราฟิกแล้ว Igalia ยังทำงานด้าน Kernel Scheduling เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของ Steam Frame ที่เป็นอุปกรณ์พกพา โดยพัฒนา LAVD (Latency-criticality Aware Virtual Deadline scheduler) ที่เขียนด้วย Rust เพื่อปรับสมดุลระหว่าง ประสิทธิภาพและการใช้พลังงาน ทำให้ VR Headset สามารถทำงานได้ลื่นไหลโดยไม่เปลืองแบตเตอรี่

    นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุง AMD Kernel Display Drivers เพื่อรองรับ HDR และการจัดการสีที่ดีขึ้นบน Steam Machine และ Steam Deck ซึ่งช่วยยกระดับคุณภาพภาพและประสบการณ์การเล่นเกม

    สรุปสาระสำคัญ
    Valve เปิดตัวอุปกรณ์ใหม่
    Steam Frame (VR Headset บน ARM)
    Steam Machine (Console)
    Steam Controller (Gamepad)

    ความร่วมมือกับ Igalia
    พัฒนา SteamOS และ FEX Translation Layer
    ทำให้เกม x86 รันบน ARM ได้

    การพัฒนา Mesa3D Turnip
    Vulkan driver สำหรับ Adreno 750 GPU
    รองรับ DXVK, Proton, OpenGL → Vulkan

    Kernel และพลังงาน
    LAVD Scheduler ปรับสมดุล performance/energy
    AMD Display Driver รองรับ HDR และ color management

    คำเตือนสำหรับนักพัฒนาและผู้ใช้
    การทดสอบยังต้องใช้ manual QA มาก อาจมีบั๊กเรนเดอร์ที่ CTS ไม่ตรวจพบ
    การเปลี่ยนสถาปัตยกรรม ARM อาจทำให้บางเกมไม่เสถียรในช่วงแรก
    ต้องติดตามการอัปเดต driver และ SteamOS อย่างต่อเนื่องเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด

    https://www.igalia.com/2025/11/helpingvalve.html
    🎮 Valve เปิดตัวอุปกรณ์เกมใหม่ 3 รุ่น พร้อมความร่วมมือจาก Igalia Valve ได้สร้างความตื่นตาตื่นใจในวงการเกมด้วยการเปิดตัวอุปกรณ์ใหม่ 3 รุ่นในคราวเดียว ได้แก่ Steam Frame (VR Headset แบบไร้สาย), Steam Machine (Console คล้าย PlayStation/Xbox), และ Steam Controller (Gamepad) ซึ่งเป็นทายาทต่อจาก Steam Deck และ Valve Index ที่ประสบความสำเร็จมาก่อนหน้านี้ Igalia มีบทบาทสำคัญในการพัฒนา SteamOS ที่จะใช้ใน Steam Machine และ Steam Frame โดยเฉพาะการทำงานบน ARM-based CPU ของ Steam Frame ซึ่งปกติจะไม่สามารถรันเกมที่คอมไพล์สำหรับ x86 ได้ แต่ด้วย FEX Translation Layer ทำให้สามารถแปลงโค้ด x86 เป็น ARM64 ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 🖥️ ความท้าทายด้านกราฟิกและการแก้ไข Steam Frame ใช้ Qualcomm Adreno 750 GPU ซึ่งต้องการ Vulkan driver ที่เสถียรและมีประสิทธิภาพสูง Igalia ได้พัฒนา Mesa3D Turnip (FOSS Vulkan driver) เพื่อแก้ไขปัญหาการเรนเดอร์และเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ เช่น LRZ optimization, tiled rendering และ Vulkan extensions ที่ช่วยให้เกมจาก DirectX และ OpenGL สามารถรันได้อย่างถูกต้องผ่าน DXVK และ Proton ผลลัพธ์คือ ประสิทธิภาพสูงกว่าไดรเวอร์ proprietary และมีความถูกต้องในการเรนเดอร์มากขึ้น ซึ่งได้รับเสียงตอบรับเชิงบวกจากผู้ใช้ที่นำไปใช้รันเกม PC บน Android อีกด้วย ⚡ การพัฒนา Kernel และการจัดการพลังงาน นอกจากกราฟิกแล้ว Igalia ยังทำงานด้าน Kernel Scheduling เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของ Steam Frame ที่เป็นอุปกรณ์พกพา โดยพัฒนา LAVD (Latency-criticality Aware Virtual Deadline scheduler) ที่เขียนด้วย Rust เพื่อปรับสมดุลระหว่าง ประสิทธิภาพและการใช้พลังงาน ทำให้ VR Headset สามารถทำงานได้ลื่นไหลโดยไม่เปลืองแบตเตอรี่ นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุง AMD Kernel Display Drivers เพื่อรองรับ HDR และการจัดการสีที่ดีขึ้นบน Steam Machine และ Steam Deck ซึ่งช่วยยกระดับคุณภาพภาพและประสบการณ์การเล่นเกม 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ Valve เปิดตัวอุปกรณ์ใหม่ ➡️ Steam Frame (VR Headset บน ARM) ➡️ Steam Machine (Console) ➡️ Steam Controller (Gamepad) ✅ ความร่วมมือกับ Igalia ➡️ พัฒนา SteamOS และ FEX Translation Layer ➡️ ทำให้เกม x86 รันบน ARM ได้ ✅ การพัฒนา Mesa3D Turnip ➡️ Vulkan driver สำหรับ Adreno 750 GPU ➡️ รองรับ DXVK, Proton, OpenGL → Vulkan ✅ Kernel และพลังงาน ➡️ LAVD Scheduler ปรับสมดุล performance/energy ➡️ AMD Display Driver รองรับ HDR และ color management ‼️ คำเตือนสำหรับนักพัฒนาและผู้ใช้ ⛔ การทดสอบยังต้องใช้ manual QA มาก อาจมีบั๊กเรนเดอร์ที่ CTS ไม่ตรวจพบ ⛔ การเปลี่ยนสถาปัตยกรรม ARM อาจทำให้บางเกมไม่เสถียรในช่วงแรก ⛔ ต้องติดตามการอัปเดต driver และ SteamOS อย่างต่อเนื่องเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด https://www.igalia.com/2025/11/helpingvalve.html
    WWW.IGALIA.COM
    Helping Valve to Power Up Steam Devices | Igalia
    Igalia is an open source consultancy specialised in the development of innovative projects and solutions. Our engineers have expertise in a wide range of technological areas, including browsers and client-side web technologies, graphics pipeline, compilers and virtual machines. We have the most WPE, WebKit, Chromium/Blink and Firefox expertise found in the consulting business, including many reviewers and committers. Igalia designs, develops, customises and optimises GNU/Linux-based solutions for companies across the globe. Our work and contributions are present in many projects such as GStreamer, Mesa 3D, WebKit, Chromium, etc.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 12 มุมมอง 0 รีวิว
  • Wealthfolio – Portfolio Tracker ที่เน้นความเป็นส่วนตัว

    Wealthfolio ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาการใช้สเปรดชีตที่ยุ่งยากและความกังวลเรื่องข้อมูลส่วนตัว โดยเป็น แอปโอเพนซอร์สที่ทำงานแบบ local ทำให้ข้อมูลไม่ถูกส่งออกไปยังเซิร์ฟเวอร์ภายนอก ผู้ใช้สามารถติดตั้งได้ทั้งบน Desktop, Mobile และ Web และมีการออกแบบ UI ที่เรียบง่ายแต่สวยงาม

    นอกจากนี้ Wealthfolio ยังได้รับความนิยมในชุมชนโอเพนซอร์ส โดยมีมากกว่า 5,000 GitHub Stars และถูกพูดถึงบน Hacker News และ Product Hunt ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นและการใช้งานจริงจากผู้ใช้ทั่วโลก

    ฟีเจอร์หลักที่โดดเด่น
    Accounts Aggregation: รวมบัญชีการลงทุนและการออมทั้งหมดไว้ในที่เดียว พร้อมรองรับการนำเข้า CSV จากธนาคารหรือโบรกเกอร์
    Holdings Overview: แสดงภาพรวมพอร์ต เช่น หุ้น, ETF, คริปโต พร้อมข้อมูลการจัดสรรสินทรัพย์และผลตอบแทน
    Performance Dashboard: เปรียบเทียบผลตอบแทนของบัญชีต่าง ๆ กับดัชนีตลาด เช่น S&P 500
    Income Tracking: ติดตามรายได้จากปันผลและดอกเบี้ย เพื่อวิเคราะห์กระแสรายได้แบบ passive
    Goals Tracking: ตั้งเป้าหมายการออมและการลงทุน พร้อมติดตามความคืบหน้า
    Contribution Limits: ตรวจสอบเพดานการลงทุนในบัญชีที่มีสิทธิประโยชน์ทางภาษี เช่น IRA, 401(k), TFSA

    Add-ons และการขยายความสามารถ
    Wealthfolio ยังมีระบบ Add-ons ที่ช่วยเพิ่มฟีเจอร์ เช่น
    Investment Fees Tracker → วิเคราะห์ค่าธรรมเนียมการลงทุน
    Goal Progress Tracker → ติดตามความคืบหน้าเป้าหมายด้วย visualization
    Stock Trading Tracker → บันทึกและวิเคราะห์การซื้อขายหุ้น พร้อมมุมมองปฏิทิน

    สรุปสาระสำคัญ
    จุดเด่นของ Wealthfolio
    ทำงานแบบ offline, ข้อมูลไม่ออกจากเครื่อง
    ฟรีและโอเพนซอร์ส ไม่มีค่าใช้จ่ายรายเดือน

    ฟีเจอร์หลัก
    รวมบัญชี, ติดตามผลตอบแทน, รายได้จากปันผล/ดอกเบี้ย
    ตั้งเป้าหมายและตรวจสอบ contribution limits

    Add-ons เสริม
    วิเคราะห์ค่าธรรมเนียม
    ติดตามเป้าหมายด้วย visualization
    บันทึกการซื้อขายหุ้น

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้
    ต้องนำเข้าข้อมูลเองผ่าน CSV → ไม่มีการเชื่อมต่อ API อัตโนมัติ
    หากไม่สำรองข้อมูล อาจสูญเสียข้อมูลเมื่อเครื่องมีปัญหา
    ฟีเจอร์บางอย่างยังอยู่ในช่วงพัฒนา อาจมีบั๊กหรือข้อจำกัด

    https://wealthfolio.app/?v=2.0
    💼 Wealthfolio – Portfolio Tracker ที่เน้นความเป็นส่วนตัว Wealthfolio ถูกออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหาการใช้สเปรดชีตที่ยุ่งยากและความกังวลเรื่องข้อมูลส่วนตัว โดยเป็น แอปโอเพนซอร์สที่ทำงานแบบ local ทำให้ข้อมูลไม่ถูกส่งออกไปยังเซิร์ฟเวอร์ภายนอก ผู้ใช้สามารถติดตั้งได้ทั้งบน Desktop, Mobile และ Web และมีการออกแบบ UI ที่เรียบง่ายแต่สวยงาม นอกจากนี้ Wealthfolio ยังได้รับความนิยมในชุมชนโอเพนซอร์ส โดยมีมากกว่า 5,000 GitHub Stars และถูกพูดถึงบน Hacker News และ Product Hunt ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อมั่นและการใช้งานจริงจากผู้ใช้ทั่วโลก 📊 ฟีเจอร์หลักที่โดดเด่น 💠 Accounts Aggregation: รวมบัญชีการลงทุนและการออมทั้งหมดไว้ในที่เดียว พร้อมรองรับการนำเข้า CSV จากธนาคารหรือโบรกเกอร์ 💠 Holdings Overview: แสดงภาพรวมพอร์ต เช่น หุ้น, ETF, คริปโต พร้อมข้อมูลการจัดสรรสินทรัพย์และผลตอบแทน 💠 Performance Dashboard: เปรียบเทียบผลตอบแทนของบัญชีต่าง ๆ กับดัชนีตลาด เช่น S&P 500 💠 Income Tracking: ติดตามรายได้จากปันผลและดอกเบี้ย เพื่อวิเคราะห์กระแสรายได้แบบ passive 💠 Goals Tracking: ตั้งเป้าหมายการออมและการลงทุน พร้อมติดตามความคืบหน้า 💠 Contribution Limits: ตรวจสอบเพดานการลงทุนในบัญชีที่มีสิทธิประโยชน์ทางภาษี เช่น IRA, 401(k), TFSA 🔌 Add-ons และการขยายความสามารถ Wealthfolio ยังมีระบบ Add-ons ที่ช่วยเพิ่มฟีเจอร์ เช่น 💠 Investment Fees Tracker → วิเคราะห์ค่าธรรมเนียมการลงทุน 💠 Goal Progress Tracker → ติดตามความคืบหน้าเป้าหมายด้วย visualization 💠 Stock Trading Tracker → บันทึกและวิเคราะห์การซื้อขายหุ้น พร้อมมุมมองปฏิทิน 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ จุดเด่นของ Wealthfolio ➡️ ทำงานแบบ offline, ข้อมูลไม่ออกจากเครื่อง ➡️ ฟรีและโอเพนซอร์ส ไม่มีค่าใช้จ่ายรายเดือน ✅ ฟีเจอร์หลัก ➡️ รวมบัญชี, ติดตามผลตอบแทน, รายได้จากปันผล/ดอกเบี้ย ➡️ ตั้งเป้าหมายและตรวจสอบ contribution limits ✅ Add-ons เสริม ➡️ วิเคราะห์ค่าธรรมเนียม ➡️ ติดตามเป้าหมายด้วย visualization ➡️ บันทึกการซื้อขายหุ้น ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ ⛔ ต้องนำเข้าข้อมูลเองผ่าน CSV → ไม่มีการเชื่อมต่อ API อัตโนมัติ ⛔ หากไม่สำรองข้อมูล อาจสูญเสียข้อมูลเมื่อเครื่องมีปัญหา ⛔ ฟีเจอร์บางอย่างยังอยู่ในช่วงพัฒนา อาจมีบั๊กหรือข้อจำกัด https://wealthfolio.app/?v=2.0
    WEALTHFOLIO.APP
    Wealthfolio | Open-Source, Offline & Private Portfolio Tracker
    Wealthfolio is an open-source, private, and offline desktop portfolio tracker. Keep your financial data safe on your computer. No subscriptions, no cloud storage - just a straightforward tool to manage your wealth.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 15 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผู้พิพากษาฝรั่งเศสถูกตัดขาดทางดิจิทัลโดยสหรัฐฯ

    กรณีนี้เกิดขึ้นเมื่อผู้พิพากษาชาวฝรั่งเศสไม่สามารถเข้าถึงระบบดิจิทัลที่จำเป็นต่อการทำงานได้ เนื่องจากสหรัฐฯ ใช้อำนาจทางกฎหมายและเทคโนโลยีในการบล็อกการเข้าถึง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของประเทศที่พึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลจากต่างชาติ

    สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่แค่ปัญหาส่วนบุคคล แต่เป็นสัญญาณเตือนว่า การพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศโดยไม่มีระบบสำรอง อาจทำให้หน่วยงานรัฐหรือองค์กรสำคัญถูกควบคุมได้จากภายนอก

    ประเด็นเรื่องอธิปไตยทางดิจิทัล
    เหตุการณ์นี้ทำให้เกิดการถกเถียงในยุโรปเกี่ยวกับ Digital Sovereignty ว่าประเทศควรมีสิทธิ์และความสามารถในการควบคุมระบบดิจิทัลของตนเองหรือไม่ หากโครงสร้างพื้นฐาน เช่น Cloud, Email, หรือระบบยืนยันตัวตน ถูกควบคุมโดยบริษัทสหรัฐฯ หรือประเทศอื่น ๆ ก็อาจถูกตัดขาดได้ทุกเมื่อ

    นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายเตือนว่า การพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างชาติเท่ากับการยอมให้ประเทศอื่นมีอำนาจเหนือระบบยุติธรรมและการบริหารภายใน ซึ่งอาจกระทบต่อความเป็นอิสระของรัฐและประชาชน

    ผลกระทบและความเสี่ยงในอนาคต
    กรณีนี้ไม่ใช่เหตุการณ์โดดเดี่ยว แต่เป็นตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นว่า ความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายและเทคโนโลยีระดับโลก กำลังซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ หากประเทศต่าง ๆ ไม่สร้างระบบดิจิทัลที่เป็นอิสระ ก็เสี่ยงที่จะถูกบังคับหรือควบคุมจากภายนอก

    ในอนาคต หากไม่มีมาตรการป้องกัน อาจเกิดกรณีที่หน่วยงานรัฐ, ศาล, หรือแม้แต่ระบบการเงิน ถูกตัดขาดจากบริการสำคัญเพียงเพราะข้อพิพาททางการเมืองหรือกฎหมาย

    สรุปสาระสำคัญ
    กรณีผู้พิพากษาฝรั่งเศส
    ถูกตัดการเข้าถึงระบบดิจิทัลโดยสหรัฐฯ
    สะท้อนความเปราะบางของการพึ่งพาเทคโนโลยีต่างชาติ

    ประเด็น Digital Sovereignty
    ประเทศควรมีสิทธิ์ควบคุมระบบดิจิทัลของตนเอง
    การพึ่งพา Cloud และบริการจากต่างชาติอาจเสี่ยงถูกตัดขาด

    ผลกระทบต่อยุโรปและโลก
    อาจกระทบต่อระบบยุติธรรมและการบริหารภายใน
    ความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายและเทคโนโลยีซับซ้อนขึ้น

    คำเตือน
    หากไม่สร้างระบบดิจิทัลที่เป็นอิสระ ประเทศเสี่ยงถูกควบคุมจากภายนอก
    หน่วยงานรัฐและศาลอาจถูกตัดขาดจากบริการสำคัญในอนาคต
    ความเป็นอิสระทางกฎหมายและการบริหารอาจถูกบั่นทอน

    https://www.heise.de/en/news/How-a-French-judge-was-digitally-cut-off-by-the-USA-11087561.html
    ⚖️ ผู้พิพากษาฝรั่งเศสถูกตัดขาดทางดิจิทัลโดยสหรัฐฯ กรณีนี้เกิดขึ้นเมื่อผู้พิพากษาชาวฝรั่งเศสไม่สามารถเข้าถึงระบบดิจิทัลที่จำเป็นต่อการทำงานได้ เนื่องจากสหรัฐฯ ใช้อำนาจทางกฎหมายและเทคโนโลยีในการบล็อกการเข้าถึง ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเปราะบางของประเทศที่พึ่งพาโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลจากต่างชาติ สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่แค่ปัญหาส่วนบุคคล แต่เป็นสัญญาณเตือนว่า การพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างประเทศโดยไม่มีระบบสำรอง อาจทำให้หน่วยงานรัฐหรือองค์กรสำคัญถูกควบคุมได้จากภายนอก 🌍 ประเด็นเรื่องอธิปไตยทางดิจิทัล เหตุการณ์นี้ทำให้เกิดการถกเถียงในยุโรปเกี่ยวกับ Digital Sovereignty ว่าประเทศควรมีสิทธิ์และความสามารถในการควบคุมระบบดิจิทัลของตนเองหรือไม่ หากโครงสร้างพื้นฐาน เช่น Cloud, Email, หรือระบบยืนยันตัวตน ถูกควบคุมโดยบริษัทสหรัฐฯ หรือประเทศอื่น ๆ ก็อาจถูกตัดขาดได้ทุกเมื่อ นักวิชาการและผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายเตือนว่า การพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่างชาติเท่ากับการยอมให้ประเทศอื่นมีอำนาจเหนือระบบยุติธรรมและการบริหารภายใน ซึ่งอาจกระทบต่อความเป็นอิสระของรัฐและประชาชน 🔒 ผลกระทบและความเสี่ยงในอนาคต กรณีนี้ไม่ใช่เหตุการณ์โดดเดี่ยว แต่เป็นตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นว่า ความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายและเทคโนโลยีระดับโลก กำลังซับซ้อนขึ้นเรื่อย ๆ หากประเทศต่าง ๆ ไม่สร้างระบบดิจิทัลที่เป็นอิสระ ก็เสี่ยงที่จะถูกบังคับหรือควบคุมจากภายนอก ในอนาคต หากไม่มีมาตรการป้องกัน อาจเกิดกรณีที่หน่วยงานรัฐ, ศาล, หรือแม้แต่ระบบการเงิน ถูกตัดขาดจากบริการสำคัญเพียงเพราะข้อพิพาททางการเมืองหรือกฎหมาย 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ กรณีผู้พิพากษาฝรั่งเศส ➡️ ถูกตัดการเข้าถึงระบบดิจิทัลโดยสหรัฐฯ ➡️ สะท้อนความเปราะบางของการพึ่งพาเทคโนโลยีต่างชาติ ✅ ประเด็น Digital Sovereignty ➡️ ประเทศควรมีสิทธิ์ควบคุมระบบดิจิทัลของตนเอง ➡️ การพึ่งพา Cloud และบริการจากต่างชาติอาจเสี่ยงถูกตัดขาด ✅ ผลกระทบต่อยุโรปและโลก ➡️ อาจกระทบต่อระบบยุติธรรมและการบริหารภายใน ➡️ ความสัมพันธ์ระหว่างกฎหมายและเทคโนโลยีซับซ้อนขึ้น ‼️ คำเตือน ⛔ หากไม่สร้างระบบดิจิทัลที่เป็นอิสระ ประเทศเสี่ยงถูกควบคุมจากภายนอก ⛔ หน่วยงานรัฐและศาลอาจถูกตัดขาดจากบริการสำคัญในอนาคต ⛔ ความเป็นอิสระทางกฎหมายและการบริหารอาจถูกบั่นทอน https://www.heise.de/en/news/How-a-French-judge-was-digitally-cut-off-by-the-USA-11087561.html
    WWW.HEISE.DE
    How a French judge was digitally cut off by the USA
    Nicolas Guillou has been sanctioned by the USA as a judge of the International Criminal Court. He notices the effects primarily in the digital realm.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 12 มุมมอง 0 รีวิว
  • Olmo 3 – เปิดทางใหม่ให้ AI แบบโอเพนซอร์ส

    AI2 เปิดตัว Olmo 3 ซึ่งเป็นตระกูลโมเดลภาษาโอเพนซอร์สที่มีทั้งรุ่น 7B และ 32B parameters จุดเด่นคือไม่ใช่แค่ปล่อยโมเดลสำเร็จ แต่ยังเปิดเผย model flow หรือเส้นทางการพัฒนาทั้งหมด ตั้งแต่ข้อมูลฝึก, pipeline, ไปจนถึง checkpoint แต่ละช่วง เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเข้าใจและปรับแต่งได้อย่างเต็มที่

    ที่สำคัญ Olmo 3 มาพร้อม Olmo 3-Think (32B) ซึ่งเป็น reasoning model ที่สามารถตรวจสอบ intermediate reasoning traces และเชื่อมโยงพฤติกรรมกลับไปยังข้อมูลฝึกและการตัดสินใจที่ใช้ในการเทรน ถือเป็นครั้งแรกที่โมเดลโอเพนซอร์สเปิดให้ตรวจสอบการคิดแบบละเอียดเช่นนี้

    สมรรถนะและการเปรียบเทียบ
    Olmo 3-Base (7B, 32B): โมเดลฐานที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มโอเพนซอร์ส สามารถแก้โจทย์โปรแกรมมิ่ง, การอ่านจับใจความ, และคณิตศาสตร์ได้ดีเยี่ยม พร้อมรองรับ context ยาวถึง ~65K tokens
    Olmo 3-Think: โมเดล reasoning ที่แข่งขันได้กับ Qwen 3 และ Gemma 3 โดยใช้ข้อมูลฝึกน้อยกว่า แต่ยังคงทำคะแนนสูงใน benchmark อย่าง MATH, BigBenchHard และ HumanEvalPlus
    Olmo 3-Instruct (7B): โมเดลสำหรับการสนทนาและการทำงานแบบ multi-turn ที่สามารถทำงาน instruction-following และ function calling ได้ดี เทียบเคียงกับ Qwen 2.5 และ Llama 3.1
    Olmo 3-RL Zero: เส้นทางสำหรับการทดลอง reinforcement learning โดยเปิด checkpoint สำหรับโดเมนเฉพาะ เช่น math, code, และ instruction-following

    ความโปร่งใสและการเข้าถึง
    Olmo 3 ใช้ชุดข้อมูลใหม่ Dolma 3 (~9.3T tokens) และ Dolci สำหรับ post-training โดยเปิดให้ดาวน์โหลดทั้งหมดภายใต้ใบอนุญาตโอเพนซอร์ส พร้อมเครื่องมือเสริม เช่น OlmoTrace ที่ช่วยตรวจสอบว่าโมเดลเรียนรู้จากข้อมูลใดและอย่างไร

    การเปิดเผยทั้ง pipeline และข้อมูลฝึกทำให้ Olmo 3 ไม่ใช่แค่โมเดล แต่เป็น scaffold สำหรับการสร้างระบบ AI ใหม่ ที่ทุกคนสามารถ fork, remix หรือปรับแต่งได้ตามความต้องการ

    สรุปสาระสำคัญ
    จุดเด่นของ Olmo 3
    เปิดเผยทั้ง model flow ตั้งแต่ข้อมูลฝึกถึง checkpoint
    รองรับ context ยาว ~65K tokens

    โมเดลย่อย
    Olmo 3-Base: โมเดลฐานที่แข็งแกร่งที่สุดในโอเพนซอร์ส
    Olmo 3-Think: reasoning model ที่ตรวจสอบ trace ได้
    Olmo 3-Instruct: เน้นสนทนาและการใช้เครื่องมือ
    Olmo 3-RL Zero: สำหรับการทดลอง reinforcement learning

    ความโปร่งใส
    เปิดข้อมูล Dolma 3 และ Dolci ให้ดาวน์โหลด
    มี OlmoTrace สำหรับตรวจสอบการเรียนรู้

    คำเตือน
    แม้เปิดกว้าง แต่การใช้งาน reasoning model ต้องใช้ทรัพยากรสูง (เช่น GPU cluster)
    การปรับแต่งต้องอาศัยความเข้าใจเชิงลึกใน pipeline และ data mix
    ยังมีความเสี่ยงด้านบั๊กหรือการตีความผิดพลาดจาก reasoning trace ที่ต้องตรวจสอบเอง

    https://allenai.org/blog/olmo3
    🤖 Olmo 3 – เปิดทางใหม่ให้ AI แบบโอเพนซอร์ส AI2 เปิดตัว Olmo 3 ซึ่งเป็นตระกูลโมเดลภาษาโอเพนซอร์สที่มีทั้งรุ่น 7B และ 32B parameters จุดเด่นคือไม่ใช่แค่ปล่อยโมเดลสำเร็จ แต่ยังเปิดเผย model flow หรือเส้นทางการพัฒนาทั้งหมด ตั้งแต่ข้อมูลฝึก, pipeline, ไปจนถึง checkpoint แต่ละช่วง เพื่อให้ผู้ใช้สามารถเข้าใจและปรับแต่งได้อย่างเต็มที่ ที่สำคัญ Olmo 3 มาพร้อม Olmo 3-Think (32B) ซึ่งเป็น reasoning model ที่สามารถตรวจสอบ intermediate reasoning traces และเชื่อมโยงพฤติกรรมกลับไปยังข้อมูลฝึกและการตัดสินใจที่ใช้ในการเทรน ถือเป็นครั้งแรกที่โมเดลโอเพนซอร์สเปิดให้ตรวจสอบการคิดแบบละเอียดเช่นนี้ 📊 สมรรถนะและการเปรียบเทียบ 🎗️ Olmo 3-Base (7B, 32B): โมเดลฐานที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มโอเพนซอร์ส สามารถแก้โจทย์โปรแกรมมิ่ง, การอ่านจับใจความ, และคณิตศาสตร์ได้ดีเยี่ยม พร้อมรองรับ context ยาวถึง ~65K tokens 🎗️ Olmo 3-Think: โมเดล reasoning ที่แข่งขันได้กับ Qwen 3 และ Gemma 3 โดยใช้ข้อมูลฝึกน้อยกว่า แต่ยังคงทำคะแนนสูงใน benchmark อย่าง MATH, BigBenchHard และ HumanEvalPlus 🎗️ Olmo 3-Instruct (7B): โมเดลสำหรับการสนทนาและการทำงานแบบ multi-turn ที่สามารถทำงาน instruction-following และ function calling ได้ดี เทียบเคียงกับ Qwen 2.5 และ Llama 3.1 🎗️ Olmo 3-RL Zero: เส้นทางสำหรับการทดลอง reinforcement learning โดยเปิด checkpoint สำหรับโดเมนเฉพาะ เช่น math, code, และ instruction-following 🔍 ความโปร่งใสและการเข้าถึง Olmo 3 ใช้ชุดข้อมูลใหม่ Dolma 3 (~9.3T tokens) และ Dolci สำหรับ post-training โดยเปิดให้ดาวน์โหลดทั้งหมดภายใต้ใบอนุญาตโอเพนซอร์ส พร้อมเครื่องมือเสริม เช่น OlmoTrace ที่ช่วยตรวจสอบว่าโมเดลเรียนรู้จากข้อมูลใดและอย่างไร การเปิดเผยทั้ง pipeline และข้อมูลฝึกทำให้ Olmo 3 ไม่ใช่แค่โมเดล แต่เป็น scaffold สำหรับการสร้างระบบ AI ใหม่ ที่ทุกคนสามารถ fork, remix หรือปรับแต่งได้ตามความต้องการ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ จุดเด่นของ Olmo 3 ➡️ เปิดเผยทั้ง model flow ตั้งแต่ข้อมูลฝึกถึง checkpoint ➡️ รองรับ context ยาว ~65K tokens ✅ โมเดลย่อย ➡️ Olmo 3-Base: โมเดลฐานที่แข็งแกร่งที่สุดในโอเพนซอร์ส ➡️ Olmo 3-Think: reasoning model ที่ตรวจสอบ trace ได้ ➡️ Olmo 3-Instruct: เน้นสนทนาและการใช้เครื่องมือ ➡️ Olmo 3-RL Zero: สำหรับการทดลอง reinforcement learning ✅ ความโปร่งใส ➡️ เปิดข้อมูล Dolma 3 และ Dolci ให้ดาวน์โหลด ➡️ มี OlmoTrace สำหรับตรวจสอบการเรียนรู้ ‼️ คำเตือน ⛔ แม้เปิดกว้าง แต่การใช้งาน reasoning model ต้องใช้ทรัพยากรสูง (เช่น GPU cluster) ⛔ การปรับแต่งต้องอาศัยความเข้าใจเชิงลึกใน pipeline และ data mix ⛔ ยังมีความเสี่ยงด้านบั๊กหรือการตีความผิดพลาดจาก reasoning trace ที่ต้องตรวจสอบเอง https://allenai.org/blog/olmo3
    ALLENAI.ORG
    Olmo 3: Charting a path through the model flow to lead open-source AI | Ai2
    Our new flagship Olmo 3 model family empowers the open source community with not only state-of-the-art open models, but the entire model flow and full traceability back to training data.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 10 มุมมอง 0 รีวิว
  • ตำนานเกมข้อความ Zork เปิดซอร์สโค้ด

    เกม Zork ถือเป็นหนึ่งในเกมแนว interactive fiction ที่ทรงอิทธิพลที่สุดในยุคแรกๆ ของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล มันสร้างโลกด้วย "ตัวหนังสือ" แทนภาพกราฟิก และใช้จินตนาการของผู้เล่นเป็นเครื่องมือหลักในการเล่น จุดเด่นคือการใช้ Z-Machine ซึ่งเป็น virtual machine ที่ทำให้เกมสามารถรันได้บนหลายแพลตฟอร์มโดยไม่ต้องเขียนใหม่ทั้งหมด

    การอนุรักษ์และการศึกษา
    Microsoft Open Source Programs Office (OSPO) ได้ร่วมมือกับนักอนุรักษ์ดิจิทัลชื่อดัง Jason Scott และ Internet Archive เพื่อส่งซอร์สโค้ด Zork I–III เข้าสู่ repository ประวัติศาสตร์ พร้อมเพิ่ม MIT License และเอกสารประกอบที่มีอยู่ การเปิดซอร์สครั้งนี้ไม่ได้มุ่งหวังการพัฒนาเชิงพาณิชย์ แต่เพื่อให้ นักเรียน นักวิจัย และนักพัฒนา สามารถศึกษาโครงสร้างและวิธีคิดของวิศวกรยุคแรก

    เล่น Zork ได้ง่ายขึ้นในยุคปัจจุบัน
    แม้จะผ่านมากว่า 40 ปี เกม Zork ยังสามารถเล่นได้ทั้งในเชิงพาณิชย์ผ่าน The Zork Anthology บน Good Old Games หรือคอมไพล์ซอร์สโค้ดด้วยเครื่องมืออย่าง ZILF และรันผ่าน interpreter เช่น Windows Frotz หรือ Fic ที่เขียนด้วย Python สิ่งนี้สะท้อนว่าเกมคลาสสิกยังคงมีชีวิตและสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม

    ความหมายต่อวงการเกมและโอเพนซอร์ส
    การเปิดซอร์สโค้ด Zork ไม่เพียงแต่เป็นการอนุรักษ์ แต่ยังเป็นการย้ำเตือนว่า จินตนาการและวิศวกรรม สามารถสร้างสิ่งที่ยืนยาวกว่าฮาร์ดแวร์หรือกราฟิกที่ล้าสมัย มันเป็นการเปิดพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้จากโค้ดจริงของเกมที่เคยเปลี่ยนโลก และยังเป็นการขอบคุณทีมผู้สร้าง Infocom ที่วางรากฐานให้วงการเกมเชิงเนื้อเรื่อง

    สรุปเป็นหัวข้อ
    การเปิดซอร์สโค้ด Zork I–III
    ใช้ MIT License เพื่อให้ศึกษาและพัฒนาได้อย่างเสรี

    ความสำคัญของ Z-Machine
    ทำให้เกมสามารถรันได้บนหลายแพลตฟอร์มโดยไม่ต้องเขียนใหม่

    การเข้าถึงเกมในปัจจุบัน
    เล่นผ่าน Good Old Games หรือคอมไพล์ด้วย ZILF และ interpreter

    ความร่วมมือเพื่อการอนุรักษ์
    Microsoft OSPO และ Jason Scott ส่งซอร์สโค้ดเข้าสู่ repository ประวัติศาสตร์

    ความเสี่ยงด้านสิทธิ์เชิงพาณิชย์
    การเปิดซอร์สไม่รวมสิทธิ์ทางการตลาดหรือเครื่องหมายการค้า
    ความท้าทายในการศึกษาโค้ดเก่า
    โครงสร้างและภาษาโปรแกรมอาจซับซ้อนสำหรับผู้เรียนรุ่นใหม่

    https://opensource.microsoft.com/blog/2025/11/20/preserving-code-that-shaped-generations-zork-i-ii-and-iii-go-open-source
    🕹️ ตำนานเกมข้อความ Zork เปิดซอร์สโค้ด เกม Zork ถือเป็นหนึ่งในเกมแนว interactive fiction ที่ทรงอิทธิพลที่สุดในยุคแรกๆ ของคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคล มันสร้างโลกด้วย "ตัวหนังสือ" แทนภาพกราฟิก และใช้จินตนาการของผู้เล่นเป็นเครื่องมือหลักในการเล่น จุดเด่นคือการใช้ Z-Machine ซึ่งเป็น virtual machine ที่ทำให้เกมสามารถรันได้บนหลายแพลตฟอร์มโดยไม่ต้องเขียนใหม่ทั้งหมด 📚 การอนุรักษ์และการศึกษา Microsoft Open Source Programs Office (OSPO) ได้ร่วมมือกับนักอนุรักษ์ดิจิทัลชื่อดัง Jason Scott และ Internet Archive เพื่อส่งซอร์สโค้ด Zork I–III เข้าสู่ repository ประวัติศาสตร์ พร้อมเพิ่ม MIT License และเอกสารประกอบที่มีอยู่ การเปิดซอร์สครั้งนี้ไม่ได้มุ่งหวังการพัฒนาเชิงพาณิชย์ แต่เพื่อให้ นักเรียน นักวิจัย และนักพัฒนา สามารถศึกษาโครงสร้างและวิธีคิดของวิศวกรยุคแรก 💡 เล่น Zork ได้ง่ายขึ้นในยุคปัจจุบัน แม้จะผ่านมากว่า 40 ปี เกม Zork ยังสามารถเล่นได้ทั้งในเชิงพาณิชย์ผ่าน The Zork Anthology บน Good Old Games หรือคอมไพล์ซอร์สโค้ดด้วยเครื่องมืออย่าง ZILF และรันผ่าน interpreter เช่น Windows Frotz หรือ Fic ที่เขียนด้วย Python สิ่งนี้สะท้อนว่าเกมคลาสสิกยังคงมีชีวิตและสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้นกว่าเดิม 🌍 ความหมายต่อวงการเกมและโอเพนซอร์ส การเปิดซอร์สโค้ด Zork ไม่เพียงแต่เป็นการอนุรักษ์ แต่ยังเป็นการย้ำเตือนว่า จินตนาการและวิศวกรรม สามารถสร้างสิ่งที่ยืนยาวกว่าฮาร์ดแวร์หรือกราฟิกที่ล้าสมัย มันเป็นการเปิดพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่ได้เรียนรู้จากโค้ดจริงของเกมที่เคยเปลี่ยนโลก และยังเป็นการขอบคุณทีมผู้สร้าง Infocom ที่วางรากฐานให้วงการเกมเชิงเนื้อเรื่อง 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ การเปิดซอร์สโค้ด Zork I–III ➡️ ใช้ MIT License เพื่อให้ศึกษาและพัฒนาได้อย่างเสรี ✅ ความสำคัญของ Z-Machine ➡️ ทำให้เกมสามารถรันได้บนหลายแพลตฟอร์มโดยไม่ต้องเขียนใหม่ ✅ การเข้าถึงเกมในปัจจุบัน ➡️ เล่นผ่าน Good Old Games หรือคอมไพล์ด้วย ZILF และ interpreter ✅ ความร่วมมือเพื่อการอนุรักษ์ ➡️ Microsoft OSPO และ Jason Scott ส่งซอร์สโค้ดเข้าสู่ repository ประวัติศาสตร์ ‼️ ความเสี่ยงด้านสิทธิ์เชิงพาณิชย์ ⛔ การเปิดซอร์สไม่รวมสิทธิ์ทางการตลาดหรือเครื่องหมายการค้า ‼️ ความท้าทายในการศึกษาโค้ดเก่า ⛔ โครงสร้างและภาษาโปรแกรมอาจซับซ้อนสำหรับผู้เรียนรุ่นใหม่ https://opensource.microsoft.com/blog/2025/11/20/preserving-code-that-shaped-generations-zork-i-ii-and-iii-go-open-source
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 14 มุมมอง 0 รีวิว
  • Android จับมือ iOS: Quick Share + AirDrop

    Google เปิดตัวการเชื่อมต่อใหม่ที่ทำให้ผู้ใช้ Android และ iPhone สามารถส่งไฟล์หากันได้โดยตรงผ่าน Quick Share และ AirDrop ฟีเจอร์นี้เริ่มใช้งานได้แล้วบน Pixel 10 family และจะขยายไปยังอุปกรณ์ Android รุ่นอื่นในอนาคต การพัฒนานี้สะท้อนถึงความพยายามของ Google ในการทำให้ระบบนิเวศของ Android และ iOS เข้ากันได้มากขึ้น

    ความปลอดภัยเป็นหัวใจหลัก
    Google ย้ำว่าฟีเจอร์ใหม่นี้ถูกออกแบบโดยมี ความปลอดภัยเป็นแกนกลาง ข้อมูลที่ส่งผ่าน Quick Share และ AirDrop จะถูกปกป้องด้วยมาตรการเข้ารหัสและผ่านการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยอิสระ จุดนี้ช่วยสร้างความมั่นใจให้ผู้ใช้ว่าไฟล์ที่แชร์จะไม่ถูกดักจับหรือถูกแก้ไขระหว่างทาง

    ก้าวต่อไปของการเชื่อมต่อข้ามระบบ
    การทำงานร่วมกันระหว่าง Quick Share และ AirDrop เป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญหลังจาก Google ผลักดันมาตรฐาน RCS และระบบแจ้งเตือน unknown tracker alerts เพื่อให้ Android และ iOS สื่อสารกันได้ดีขึ้น นี่คือการตอบสนองต่อเสียงเรียกร้องของผู้ใช้ที่ต้องการความสะดวกสบายและความเข้ากันได้โดยไม่ต้องกังวลว่าใช้เครื่องยี่ห้อไหน

    ผลกระทบต่อผู้ใช้และตลาด
    การเชื่อมต่อที่ไร้รอยต่อระหว่าง Android และ iOS จะช่วยลดกำแพงระหว่างสองระบบ ทำให้การแชร์ไฟล์ในครอบครัวหรือที่ทำงานง่ายขึ้นมาก และยังสะท้อนถึงแนวโน้มที่บริษัทเทคโนโลยีใหญ่ๆ เริ่มเปิดกว้างมากขึ้นเพื่อสร้าง ประสบการณ์ผู้ใช้ที่เป็นมิตรและครอบคลุม

    สรุปเป็นหัวข้อ
    ฟีเจอร์ Quick Share ทำงานร่วมกับ AirDrop
    เริ่มใช้งานได้แล้วบน Pixel 10 และจะขยายไปยัง Android รุ่นอื่น

    ความปลอดภัยของการแชร์ไฟล์
    ใช้มาตรการเข้ารหัสและตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญอิสระ

    ความเข้ากันได้ระหว่างระบบ
    ต่อเนื่องจากการผลักดัน RCS และ unknown tracker alerts

    ผลกระทบเชิงบวกต่อผู้ใช้
    ลดกำแพงระหว่าง Android และ iOS ทำให้แชร์ไฟล์ง่ายขึ้น

    ข้อจำกัดการใช้งานเบื้องต้น
    ฟีเจอร์นี้ยังจำกัดเฉพาะ Pixel 10 และยังไม่ครอบคลุมทุกอุปกรณ์ Android

    ความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัว
    แม้มีการเข้ารหัส แต่ผู้ใช้ควรตรวจสอบการตั้งค่าการแชร์เพื่อหลีกเลี่ยงการเปิดเผยข้อมูลโดยไม่ตั้งใจ

    https://blog.google/products/android/quick-share-airdrop/
    📱 Android จับมือ iOS: Quick Share + AirDrop Google เปิดตัวการเชื่อมต่อใหม่ที่ทำให้ผู้ใช้ Android และ iPhone สามารถส่งไฟล์หากันได้โดยตรงผ่าน Quick Share และ AirDrop ฟีเจอร์นี้เริ่มใช้งานได้แล้วบน Pixel 10 family และจะขยายไปยังอุปกรณ์ Android รุ่นอื่นในอนาคต การพัฒนานี้สะท้อนถึงความพยายามของ Google ในการทำให้ระบบนิเวศของ Android และ iOS เข้ากันได้มากขึ้น 🔒 ความปลอดภัยเป็นหัวใจหลัก Google ย้ำว่าฟีเจอร์ใหม่นี้ถูกออกแบบโดยมี ความปลอดภัยเป็นแกนกลาง ข้อมูลที่ส่งผ่าน Quick Share และ AirDrop จะถูกปกป้องด้วยมาตรการเข้ารหัสและผ่านการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยอิสระ จุดนี้ช่วยสร้างความมั่นใจให้ผู้ใช้ว่าไฟล์ที่แชร์จะไม่ถูกดักจับหรือถูกแก้ไขระหว่างทาง 🌐 ก้าวต่อไปของการเชื่อมต่อข้ามระบบ การทำงานร่วมกันระหว่าง Quick Share และ AirDrop เป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญหลังจาก Google ผลักดันมาตรฐาน RCS และระบบแจ้งเตือน unknown tracker alerts เพื่อให้ Android และ iOS สื่อสารกันได้ดีขึ้น นี่คือการตอบสนองต่อเสียงเรียกร้องของผู้ใช้ที่ต้องการความสะดวกสบายและความเข้ากันได้โดยไม่ต้องกังวลว่าใช้เครื่องยี่ห้อไหน 🚀 ผลกระทบต่อผู้ใช้และตลาด การเชื่อมต่อที่ไร้รอยต่อระหว่าง Android และ iOS จะช่วยลดกำแพงระหว่างสองระบบ ทำให้การแชร์ไฟล์ในครอบครัวหรือที่ทำงานง่ายขึ้นมาก และยังสะท้อนถึงแนวโน้มที่บริษัทเทคโนโลยีใหญ่ๆ เริ่มเปิดกว้างมากขึ้นเพื่อสร้าง ประสบการณ์ผู้ใช้ที่เป็นมิตรและครอบคลุม 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ ฟีเจอร์ Quick Share ทำงานร่วมกับ AirDrop ➡️ เริ่มใช้งานได้แล้วบน Pixel 10 และจะขยายไปยัง Android รุ่นอื่น ✅ ความปลอดภัยของการแชร์ไฟล์ ➡️ ใช้มาตรการเข้ารหัสและตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญอิสระ ✅ ความเข้ากันได้ระหว่างระบบ ➡️ ต่อเนื่องจากการผลักดัน RCS และ unknown tracker alerts ✅ ผลกระทบเชิงบวกต่อผู้ใช้ ➡️ ลดกำแพงระหว่าง Android และ iOS ทำให้แชร์ไฟล์ง่ายขึ้น ‼️ ข้อจำกัดการใช้งานเบื้องต้น ⛔ ฟีเจอร์นี้ยังจำกัดเฉพาะ Pixel 10 และยังไม่ครอบคลุมทุกอุปกรณ์ Android ‼️ ความเสี่ยงด้านความเป็นส่วนตัว ⛔ แม้มีการเข้ารหัส แต่ผู้ใช้ควรตรวจสอบการตั้งค่าการแชร์เพื่อหลีกเลี่ยงการเปิดเผยข้อมูลโดยไม่ตั้งใจ https://blog.google/products/android/quick-share-airdrop/
    BLOG.GOOGLE
    Android and iPhone users can now share files, starting with the Pixel 10 family.
    Today, we’re introducing a way for Quick Share to work with AirDrop.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 7 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทกวีที่กลายเป็นช่องโหว่

    ทีมวิจัยจากยุโรปและอิตาลีพบว่า การเปลี่ยนข้อความโจมตีที่เป็น prose (ร้อยแก้ว) ให้เป็น บทกวี สามารถเพิ่มอัตราความสำเร็จในการโจมตี (Attack Success Rate – ASR) ได้สูงถึง 18 เท่า เมื่อเทียบกับข้อความเดิม ผลการทดลองครอบคลุมโมเดลกว่า 25 ตัว ทั้งแบบ proprietary และ open-weight โดยบางโมเดลมี ASR เกิน 90%

    วิธีการทดลองและผลลัพธ์
    นักวิจัยใช้ชุด prompt ที่เป็นอันตรายจาก MLCommons และ EU CoP risk taxonomies แล้วแปลงเป็นบทกวีด้วย meta-prompt ที่ออกแบบมาตรฐาน ผลลัพธ์ถูกประเมินโดย ensemble ของโมเดล open-weight และตรวจสอบซ้ำด้วยมนุษย์ในชุดข้อมูลย่อยที่มีการ double-annotation เพื่อวัดความสอดคล้อง พบว่า:
    บทกวีที่เขียนเอง (hand-crafted) มีค่า ASR เฉลี่ย 62%
    บทกวีที่สร้างจาก meta-prompt มีค่า ASR เฉลี่ย 43% ซึ่งทั้งสองแบบยังคงสูงกว่าข้อความร้อยแก้วทั่วไปอย่างมีนัยสำคัญ

    ความหมายต่อการพัฒนา AI
    ผลการวิจัยนี้ชี้ว่า เพียงการเปลี่ยนรูปแบบการเขียน ก็สามารถทำให้โมเดลหลุดจากข้อจำกัดด้านความปลอดภัยได้ แสดงถึงข้อจำกัดเชิงโครงสร้างของวิธีการ alignment และการฝึกอบรมที่ใช้ในปัจจุบัน นั่นหมายความว่า การป้องกันเชิงเนื้อหาเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ และจำเป็นต้องมีการออกแบบระบบตรวจจับที่เข้าใจ รูปแบบเชิงสไตล์ มากขึ้น

    ผลกระทบในวงกว้าง
    การค้นพบนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนความเสี่ยงในเชิงวิชาการ แต่ยังมีผลต่อการใช้งานจริงในด้าน ความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ การจัดการข้อมูล และการควบคุมโมเดล หากไม่ถูกแก้ไข อาจถูกนำไปใช้ในโดเมนที่อ่อนไหว เช่น CBRN (Chemical, Biological, Radiological, Nuclear), การบิดเบือนข้อมูล, หรือการโจมตีทางไซเบอร์ ซึ่งอาจสร้างผลกระทบในระดับสังคมและเศรษฐกิจ

    สรุปเป็นหัวข้อ
    เทคนิค Adversarial Poetry
    เปลี่ยนข้อความโจมตีเป็นบทกวี เพิ่มอัตราความสำเร็จสูงสุดถึง 18 เท่า

    ผลการทดลอง
    ครอบคลุมโมเดลกว่า 25 ตัว บางโมเดลมี ASR เกิน 90%

    การประเมินผล
    ใช้ทั้งโมเดล open-weight และการตรวจสอบโดยมนุษย์

    ความหมายต่อการพัฒนา AI
    แสดงข้อจำกัดของ alignment และความจำเป็นในการตรวจจับเชิงสไตล์

    ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย
    อาจถูกใช้ในโดเมนที่อ่อนไหว เช่น CBRN หรือการโจมตีไซเบอร์

    ข้อจำกัดของระบบป้องกันปัจจุบัน
    การพึ่งพาการกรองเชิงเนื้อหาไม่เพียงพอ ต้องพัฒนาแนวทางใหม่

    https://arxiv.org/abs/2511.15304
    ✒️ บทกวีที่กลายเป็นช่องโหว่ ทีมวิจัยจากยุโรปและอิตาลีพบว่า การเปลี่ยนข้อความโจมตีที่เป็น prose (ร้อยแก้ว) ให้เป็น บทกวี สามารถเพิ่มอัตราความสำเร็จในการโจมตี (Attack Success Rate – ASR) ได้สูงถึง 18 เท่า เมื่อเทียบกับข้อความเดิม ผลการทดลองครอบคลุมโมเดลกว่า 25 ตัว ทั้งแบบ proprietary และ open-weight โดยบางโมเดลมี ASR เกิน 90% 🧩 วิธีการทดลองและผลลัพธ์ นักวิจัยใช้ชุด prompt ที่เป็นอันตรายจาก MLCommons และ EU CoP risk taxonomies แล้วแปลงเป็นบทกวีด้วย meta-prompt ที่ออกแบบมาตรฐาน ผลลัพธ์ถูกประเมินโดย ensemble ของโมเดล open-weight และตรวจสอบซ้ำด้วยมนุษย์ในชุดข้อมูลย่อยที่มีการ double-annotation เพื่อวัดความสอดคล้อง พบว่า: 💠 บทกวีที่เขียนเอง (hand-crafted) มีค่า ASR เฉลี่ย 62% 💠 บทกวีที่สร้างจาก meta-prompt มีค่า ASR เฉลี่ย 43% ซึ่งทั้งสองแบบยังคงสูงกว่าข้อความร้อยแก้วทั่วไปอย่างมีนัยสำคัญ 🔍 ความหมายต่อการพัฒนา AI ผลการวิจัยนี้ชี้ว่า เพียงการเปลี่ยนรูปแบบการเขียน ก็สามารถทำให้โมเดลหลุดจากข้อจำกัดด้านความปลอดภัยได้ แสดงถึงข้อจำกัดเชิงโครงสร้างของวิธีการ alignment และการฝึกอบรมที่ใช้ในปัจจุบัน นั่นหมายความว่า การป้องกันเชิงเนื้อหาเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ และจำเป็นต้องมีการออกแบบระบบตรวจจับที่เข้าใจ รูปแบบเชิงสไตล์ มากขึ้น 🌐 ผลกระทบในวงกว้าง การค้นพบนี้ไม่เพียงแต่สะท้อนความเสี่ยงในเชิงวิชาการ แต่ยังมีผลต่อการใช้งานจริงในด้าน ความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ การจัดการข้อมูล และการควบคุมโมเดล หากไม่ถูกแก้ไข อาจถูกนำไปใช้ในโดเมนที่อ่อนไหว เช่น CBRN (Chemical, Biological, Radiological, Nuclear), การบิดเบือนข้อมูล, หรือการโจมตีทางไซเบอร์ ซึ่งอาจสร้างผลกระทบในระดับสังคมและเศรษฐกิจ 📌 สรุปเป็นหัวข้อ ✅ เทคนิค Adversarial Poetry ➡️ เปลี่ยนข้อความโจมตีเป็นบทกวี เพิ่มอัตราความสำเร็จสูงสุดถึง 18 เท่า ✅ ผลการทดลอง ➡️ ครอบคลุมโมเดลกว่า 25 ตัว บางโมเดลมี ASR เกิน 90% ✅ การประเมินผล ➡️ ใช้ทั้งโมเดล open-weight และการตรวจสอบโดยมนุษย์ ✅ ความหมายต่อการพัฒนา AI ➡️ แสดงข้อจำกัดของ alignment และความจำเป็นในการตรวจจับเชิงสไตล์ ‼️ ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย ⛔ อาจถูกใช้ในโดเมนที่อ่อนไหว เช่น CBRN หรือการโจมตีไซเบอร์ ‼️ ข้อจำกัดของระบบป้องกันปัจจุบัน ⛔ การพึ่งพาการกรองเชิงเนื้อหาไม่เพียงพอ ต้องพัฒนาแนวทางใหม่ https://arxiv.org/abs/2511.15304
    ARXIV.ORG
    Adversarial Poetry as a Universal Single-Turn Jailbreak Mechanism in Large Language Models
    We present evidence that adversarial poetry functions as a universal single-turn jailbreak technique for Large Language Models (LLMs). Across 25 frontier proprietary and open-weight models, curated poetic prompts yielded high attack-success rates (ASR), with some providers exceeding 90%. Mapping prompts to MLCommons and EU CoP risk taxonomies shows that poetic attacks transfer across CBRN, manipulation, cyber-offence, and loss-of-control domains. Converting 1,200 MLCommons harmful prompts into verse via a standardized meta-prompt produced ASRs up to 18 times higher than their prose baselines. Outputs are evaluated using an ensemble of 3 open-weight LLM judges, whose binary safety assessments were validated on a stratified human-labeled subset. Poetic framing achieved an average jailbreak success rate of 62% for hand-crafted poems and approximately 43% for meta-prompt conversions (compared to non-poetic baselines), substantially outperforming non-poetic baselines and revealing a systematic vulnerability across model families and safety training approaches. These findings demonstrate that stylistic variation alone can circumvent contemporary safety mechanisms, suggesting fundamental limitations in current alignment methods and evaluation protocols.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 8 มุมมอง 0 รีวิว
  • Bitcoin ร่วงหนัก สะเทือนตลาดคริปโต

    ราคาบิทคอยน์ร่วงลงแตะ $80,553 ซึ่งถือเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 7 เดือน ขณะที่ Ethereum ก็ลดลงกว่า 19% ในปีนี้ การร่วงครั้งนี้เกิดจากแรงกดดันหลายด้าน ทั้งการขายทำกำไรของนักลงทุนรายใหญ่ การถอนเงินจากกองทุน ETF และความไม่แน่นอนเรื่องการปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ ส่งผลให้บรรยากาศการลงทุนเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

    มูลค่าตลาดหายไปกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์
    การร่วงของบิทคอยน์ทำให้มูลค่าตลาดคริปโตทั้งหมดหายไปกว่า 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ภายในเวลาเพียง 6 สัปดาห์ นักลงทุนสถาบันและบริษัทที่ถือครองบิทคอยน์ในงบดุลต้องเผชิญกับความเสี่ยงสูง หลายบริษัทอาจถูกบังคับให้ขายสินทรัพย์เพื่อป้องกันการขาดทุน ซึ่งยิ่งกดดันราคาลงไปอีก

    ปฏิกิริยาของนักลงทุนสถาบัน
    ข้อมูลล่าสุดเผยว่าการซื้อบิทคอยน์โดยบริษัทใหญ่ลดลงถึง 76% เมื่อเทียบกับช่วงกลางปี ขณะเดียวกันกองทุน ETF บิทคอยน์ก็มีการไหลออกมหาศาล นักลงทุนสถาบันเลือกที่จะถอยออกจากตลาดคริปโตชั่วคราว และหันไปหาสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ทองคำและพันธบัตรรัฐบาล

    สัญญาณ “Crypto Winter” รอบใหม่
    นักวิเคราะห์หลายรายเตือนว่าหากราคาบิทคอยน์หลุดต่ำกว่า $80,000 อาจนำไปสู่การร่วงต่อถึง $50,000 หรือแม้แต่ $10,000 หากซ้ำรอยปี 2018 ความเชื่อมั่นของตลาดที่สั่นคลอนอาจทำให้เกิด “Crypto Winter” รอบใหม่ ซึ่งหมายถึงช่วงเวลายาวนานที่ตลาดคริปโตซบเซาและราคาต่ำต่อเนื่อง

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ราคาบิทคอยน์ร่วงแตะ $80,553
    ลดลงกว่า 12% ในสัปดาห์เดียว และลบกำไรทั้งปี 2025

    มูลค่าตลาดคริปโตหายไปกว่า 1.2 ล้านล้านดอลลาร์
    บริษัทที่ถือครองบิทคอยน์ในงบดุลเสี่ยงขาดทุนหนัก

    นักลงทุนสถาบันลดการซื้อบิทคอยน์ลง 76%
    กองทุน ETF บิทคอยน์มีการไหลออกหลายร้อยล้านดอลลาร์

    นักวิเคราะห์เตือนระดับ $80,000 เป็นจุดวิกฤติ
    หากหลุดต่ำกว่านี้อาจร่วงต่อถึง $69,000 หรือ $50,000

    ความเสี่ยง “Crypto Winter” รอบใหม่
    ตลาดอาจเข้าสู่ภาวะซบเซายาวนานเหมือนปี 2018

    นักลงทุนรายย่อยเสี่ยงถูกล้างพอร์ต
    การใช้ Leverage สูงอาจทำให้สูญเสียเงินลงทุนทั้งหมด

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/22/bitcoin-on-thin-ice-after-sinking-in-flight-from-risk
    🪙 Bitcoin ร่วงหนัก สะเทือนตลาดคริปโต ราคาบิทคอยน์ร่วงลงแตะ $80,553 ซึ่งถือเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 7 เดือน ขณะที่ Ethereum ก็ลดลงกว่า 19% ในปีนี้ การร่วงครั้งนี้เกิดจากแรงกดดันหลายด้าน ทั้งการขายทำกำไรของนักลงทุนรายใหญ่ การถอนเงินจากกองทุน ETF และความไม่แน่นอนเรื่องการปรับลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ ส่งผลให้บรรยากาศการลงทุนเต็มไปด้วยความหวาดกลัว 📉 มูลค่าตลาดหายไปกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ การร่วงของบิทคอยน์ทำให้มูลค่าตลาดคริปโตทั้งหมดหายไปกว่า 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ภายในเวลาเพียง 6 สัปดาห์ นักลงทุนสถาบันและบริษัทที่ถือครองบิทคอยน์ในงบดุลต้องเผชิญกับความเสี่ยงสูง หลายบริษัทอาจถูกบังคับให้ขายสินทรัพย์เพื่อป้องกันการขาดทุน ซึ่งยิ่งกดดันราคาลงไปอีก 🏦 ปฏิกิริยาของนักลงทุนสถาบัน ข้อมูลล่าสุดเผยว่าการซื้อบิทคอยน์โดยบริษัทใหญ่ลดลงถึง 76% เมื่อเทียบกับช่วงกลางปี ขณะเดียวกันกองทุน ETF บิทคอยน์ก็มีการไหลออกมหาศาล นักลงทุนสถาบันเลือกที่จะถอยออกจากตลาดคริปโตชั่วคราว และหันไปหาสินทรัพย์ปลอดภัย เช่น ทองคำและพันธบัตรรัฐบาล ❄️ สัญญาณ “Crypto Winter” รอบใหม่ นักวิเคราะห์หลายรายเตือนว่าหากราคาบิทคอยน์หลุดต่ำกว่า $80,000 อาจนำไปสู่การร่วงต่อถึง $50,000 หรือแม้แต่ $10,000 หากซ้ำรอยปี 2018 ความเชื่อมั่นของตลาดที่สั่นคลอนอาจทำให้เกิด “Crypto Winter” รอบใหม่ ซึ่งหมายถึงช่วงเวลายาวนานที่ตลาดคริปโตซบเซาและราคาต่ำต่อเนื่อง 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ราคาบิทคอยน์ร่วงแตะ $80,553 ➡️ ลดลงกว่า 12% ในสัปดาห์เดียว และลบกำไรทั้งปี 2025 ✅ มูลค่าตลาดคริปโตหายไปกว่า 1.2 ล้านล้านดอลลาร์ ➡️ บริษัทที่ถือครองบิทคอยน์ในงบดุลเสี่ยงขาดทุนหนัก ✅ นักลงทุนสถาบันลดการซื้อบิทคอยน์ลง 76% ➡️ กองทุน ETF บิทคอยน์มีการไหลออกหลายร้อยล้านดอลลาร์ ✅ นักวิเคราะห์เตือนระดับ $80,000 เป็นจุดวิกฤติ ➡️ หากหลุดต่ำกว่านี้อาจร่วงต่อถึง $69,000 หรือ $50,000 ‼️ ความเสี่ยง “Crypto Winter” รอบใหม่ ⛔ ตลาดอาจเข้าสู่ภาวะซบเซายาวนานเหมือนปี 2018 ‼️ นักลงทุนรายย่อยเสี่ยงถูกล้างพอร์ต ⛔ การใช้ Leverage สูงอาจทำให้สูญเสียเงินลงทุนทั้งหมด https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/22/bitcoin-on-thin-ice-after-sinking-in-flight-from-risk
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Bitcoin on thin ice after sinking in flight from risk
    SINGAPORE/LONDON (Reuters) -Bitcoin dropped to a seven-month low on Friday, closing in on the $80,000 level below which some analysts say much heavier losses are likely for the world's largest cryptocurrency.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 7 มุมมอง 0 รีวิว
  • การคืนดีระหว่างทรัมป์และมัสก์

    หลังจากความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในปี 2024 ซึ่งมัสก์วิจารณ์ “เมกะบิล” ของรัฐบาลทรัมป์ว่าทำให้หนี้สาธารณะพุ่งสูง ทั้งคู่ก็มีการปะทะคารมทั้งในทำเนียบขาวและบนโซเชียลมีเดีย แต่ล่าสุด มัสก์ได้เดินทางไปทำเนียบขาวและเข้าร่วมงานเลี้ยงกับทรัมป์และผู้นำซาอุฯ สะท้อนว่าความสัมพันธ์เริ่มกลับมาดีขึ้น

    งานเลี้ยงและเวทีการลงทุน
    มัสก์เข้าร่วมงานเลี้ยงกับทรัมป์และเจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน พร้อมนักธุรกิจและนักกีฬาอย่างคริสเตียโน โรนัลโด วันถัดมาเขายังเข้าร่วมเวที US-Saudi Investment Forum ซึ่งทรัมป์ประกาศข้อตกลงการค้ากว่า 270 พันล้านดอลลาร์ การปรากฏตัวของมัสก์ในงานระดับนี้ถือเป็นการกลับเข้าสู่เวทีการเมืองและเศรษฐกิจอีกครั้ง

    สัญญาณบนโซเชียลมีเดีย
    มัสก์โพสต์ข้อความบนแพลตฟอร์ม X ของเขา ขอบคุณทรัมป์สำหรับสิ่งที่ทำเพื่ออเมริกาและโลก ขณะที่ทรัมป์ก็กล่าวถึงมัสก์หลายครั้งในสุนทรพจน์ โดยมีประโยคที่โดดเด่นว่า “You’re so lucky I’m with you, Elon” ซึ่งสะท้อนถึงการยอมรับและการคืนดี

    เงื่อนไขและความเสี่ยง
    แม้จะมีสัญญาณเชิงบวก แต่ความสัมพันธ์นี้ยังมีความเสี่ยง เนื่องจากมัสก์เคยขู่จะตั้งพรรคใหม่และสนับสนุนผู้สมัครที่ต่อต้านการใช้จ่ายภาครัฐ หากนโยบายทรัมป์ยังคงขัดแย้งกับแนวทางของเขา ความร่วมมืออาจไม่ยั่งยืน และอาจกลับไปสู่ความขัดแย้งอีกครั้ง

    สรุปประเด็นสำคัญ
    มัสก์และทรัมป์ปรากฏตัวร่วมกันในงานเลี้ยงกับผู้นำซาอุฯ
    สะท้อนการคืนดีและการกลับมาสู่เวทีการเมืองของมัสก์

    ทรัมป์ประกาศข้อตกลงการค้ากว่า 270 พันล้านดอลลาร์ในเวที US-Saudi Investment Forum
    มัสก์เข้าร่วมพร้อมนักธุรกิจและนักกีฬาชื่อดัง

    มัสก์โพสต์ข้อความขอบคุณทรัมป์บนแพลตฟอร์ม X
    แสดงออกถึงการสนับสนุนและความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น

    ทรัมป์กล่าวถึงมัสก์หลายครั้งในสุนทรพจน์
    ประโยค “You’re so lucky I’m with you” กลายเป็นสัญลักษณ์การคืนดี

    ความเสี่ยงจากความเห็นต่างด้านนโยบายการใช้จ่ายภาครัฐ
    มัสก์เคยขู่ตั้งพรรคใหม่และสนับสนุนผู้สมัครที่ต่อต้านการใช้จ่าย

    ความสัมพันธ์อาจไม่มั่นคงในระยะยาว
    หากนโยบายทรัมป์ยังขัดแย้งกับแนวทางของมัสก์ อาจกลับไปสู่ความขัดแย้งอีกครั้ง

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/22/039youre-so-lucky-im-with-you039-is-the-trump-musk-feud-finally-over
    🤝 การคืนดีระหว่างทรัมป์และมัสก์ หลังจากความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในปี 2024 ซึ่งมัสก์วิจารณ์ “เมกะบิล” ของรัฐบาลทรัมป์ว่าทำให้หนี้สาธารณะพุ่งสูง ทั้งคู่ก็มีการปะทะคารมทั้งในทำเนียบขาวและบนโซเชียลมีเดีย แต่ล่าสุด มัสก์ได้เดินทางไปทำเนียบขาวและเข้าร่วมงานเลี้ยงกับทรัมป์และผู้นำซาอุฯ สะท้อนว่าความสัมพันธ์เริ่มกลับมาดีขึ้น 🏛️ งานเลี้ยงและเวทีการลงทุน มัสก์เข้าร่วมงานเลี้ยงกับทรัมป์และเจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน พร้อมนักธุรกิจและนักกีฬาอย่างคริสเตียโน โรนัลโด วันถัดมาเขายังเข้าร่วมเวที US-Saudi Investment Forum ซึ่งทรัมป์ประกาศข้อตกลงการค้ากว่า 270 พันล้านดอลลาร์ การปรากฏตัวของมัสก์ในงานระดับนี้ถือเป็นการกลับเข้าสู่เวทีการเมืองและเศรษฐกิจอีกครั้ง 📲 สัญญาณบนโซเชียลมีเดีย มัสก์โพสต์ข้อความบนแพลตฟอร์ม X ของเขา ขอบคุณทรัมป์สำหรับสิ่งที่ทำเพื่ออเมริกาและโลก ขณะที่ทรัมป์ก็กล่าวถึงมัสก์หลายครั้งในสุนทรพจน์ โดยมีประโยคที่โดดเด่นว่า “You’re so lucky I’m with you, Elon” ซึ่งสะท้อนถึงการยอมรับและการคืนดี ⚠️ เงื่อนไขและความเสี่ยง แม้จะมีสัญญาณเชิงบวก แต่ความสัมพันธ์นี้ยังมีความเสี่ยง เนื่องจากมัสก์เคยขู่จะตั้งพรรคใหม่และสนับสนุนผู้สมัครที่ต่อต้านการใช้จ่ายภาครัฐ หากนโยบายทรัมป์ยังคงขัดแย้งกับแนวทางของเขา ความร่วมมืออาจไม่ยั่งยืน และอาจกลับไปสู่ความขัดแย้งอีกครั้ง 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ มัสก์และทรัมป์ปรากฏตัวร่วมกันในงานเลี้ยงกับผู้นำซาอุฯ ➡️ สะท้อนการคืนดีและการกลับมาสู่เวทีการเมืองของมัสก์ ✅ ทรัมป์ประกาศข้อตกลงการค้ากว่า 270 พันล้านดอลลาร์ในเวที US-Saudi Investment Forum ➡️ มัสก์เข้าร่วมพร้อมนักธุรกิจและนักกีฬาชื่อดัง ✅ มัสก์โพสต์ข้อความขอบคุณทรัมป์บนแพลตฟอร์ม X ➡️ แสดงออกถึงการสนับสนุนและความสัมพันธ์ที่ดีขึ้น ✅ ทรัมป์กล่าวถึงมัสก์หลายครั้งในสุนทรพจน์ ➡️ ประโยค “You’re so lucky I’m with you” กลายเป็นสัญลักษณ์การคืนดี ‼️ ความเสี่ยงจากความเห็นต่างด้านนโยบายการใช้จ่ายภาครัฐ ⛔ มัสก์เคยขู่ตั้งพรรคใหม่และสนับสนุนผู้สมัครที่ต่อต้านการใช้จ่าย ‼️ ความสัมพันธ์อาจไม่มั่นคงในระยะยาว ⛔ หากนโยบายทรัมป์ยังขัดแย้งกับแนวทางของมัสก์ อาจกลับไปสู่ความขัดแย้งอีกครั้ง https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/11/22/039youre-so-lucky-im-with-you039-is-the-trump-musk-feud-finally-over
    WWW.THESTAR.COM.MY
    'You’re so lucky I’m with you': Is the Trump-Musk feud finally over?
    President Donald Trump and tech billionaire Elon Musk appeared to have made amends.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 10 มุมมอง 0 รีวิว
  • Snapdragon Control Panel: เครื่องมือใหม่สำหรับนักเล่นเกม

    Qualcomm เปิดตัว Snapdragon Control Panel ซึ่งทำหน้าที่คล้ายกับ Nvidia App และ AMD Adrenalin โดยมีเมนูย่อย 4 ส่วน ได้แก่ graphics, software, system info และ preferences ผู้เล่นสามารถปรับแต่งการตั้งค่าเกม เช่น การอัปสเกล, จำกัดเฟรมเรต, anti-aliasing และ texture filtering ได้ตามต้องการ ถือเป็นการยกระดับการควบคุมที่นักเล่นเกม ARM รอคอย

    อัปเดตไดรเวอร์ GPU แบบดาวน์โหลด
    Qualcomm เพิ่มระบบ ดาวน์โหลดไดรเวอร์ GPU โดยตรงจากเมนู software ซึ่งทำงานคล้ายกับ Nvidia และ AMD ผู้ใช้จะได้รับการแก้บั๊กและการปรับแต่งเกมใหม่ทันที เช่น การอัปเดตล่าสุด v121.1 ที่เพิ่มประสิทธิภาพในเกม Fortnite นี่คือก้าวสำคัญที่ทำให้ Snapdragon PC สามารถแข่งขันกับแพลตฟอร์มอื่นได้

    ปรับปรุงระบบ Anti-Cheat
    Snapdragon X-series ได้เพิ่มการรองรับระบบ anti-cheat ชั้นนำ เช่น Denuvo, BattleEye, Tencent Anti-Cheat Expert, Roblox Hyperion และ Easy Anti-Cheat ที่อัปเดตให้ทำงานในระดับ kernel สิ่งนี้ช่วยให้ผู้เล่นเกมออนไลน์บน ARM PC มีความปลอดภัยและลดปัญหาการโกงได้มากขึ้น

    รองรับ AVX2 Emulation
    Qualcomm กำลังเพิ่ม AVX2 emulation ให้กับ Snapdragon Windows-compatible chips โดย Snapdragon X2 Elite รองรับแล้ว และรุ่นก่อนหน้าจะได้รับอัปเดตในอีกไม่กี่สัปดาห์ การรองรับนี้ช่วยให้สามารถรันแอปพลิเคชันและเกมที่ต้องการ AVX2 ได้ ซึ่งเป็นการขยายขอบเขตการใช้งาน ARM PC ให้กว้างขึ้น

    สรุปประเด็นสำคัญ
    เปิดตัว Snapdragon Control Panel
    ปรับแต่งกราฟิกและการตั้งค่าเกมได้ละเอียดเหมือนแพลตฟอร์ม x86

    ระบบอัปเดตไดรเวอร์ GPU แบบใหม่
    เพิ่มประสิทธิภาพเกม เช่น Fortnite ในเวอร์ชันล่าสุด

    รองรับระบบ Anti-Cheat ชั้นนำ
    ป้องกันการโกงในเกมออนไลน์ด้วย Denuvo, BattleEye และ Easy Anti-Cheat

    เพิ่มการรองรับ AVX2 Emulation
    Snapdragon X2 Elite รองรับแล้ว รุ่นเก่าจะได้รับอัปเดตเร็ว ๆ นี้

    ความเสี่ยงด้านการเข้ากันได้ของเกม
    เกมที่ต้องการการประมวลผลสูงอาจยังไม่ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพบน ARM

    การแข่งขันกับแพลตฟอร์ม x86
    แม้ Qualcomm จะพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แต่ยังต้องใช้เวลาเพื่อให้ทันกับ Intel และ AMD

    https://www.tomshardware.com/video-games/pc-gaming/qualcomm-refines-windows-on-arm-gaming-with-broad-feature-release-platform-gets-snapdragon-control-panel-avx2-emulation-improved-anti-cheat-support
    🎮 Snapdragon Control Panel: เครื่องมือใหม่สำหรับนักเล่นเกม Qualcomm เปิดตัว Snapdragon Control Panel ซึ่งทำหน้าที่คล้ายกับ Nvidia App และ AMD Adrenalin โดยมีเมนูย่อย 4 ส่วน ได้แก่ graphics, software, system info และ preferences ผู้เล่นสามารถปรับแต่งการตั้งค่าเกม เช่น การอัปสเกล, จำกัดเฟรมเรต, anti-aliasing และ texture filtering ได้ตามต้องการ ถือเป็นการยกระดับการควบคุมที่นักเล่นเกม ARM รอคอย 🖥️ อัปเดตไดรเวอร์ GPU แบบดาวน์โหลด Qualcomm เพิ่มระบบ ดาวน์โหลดไดรเวอร์ GPU โดยตรงจากเมนู software ซึ่งทำงานคล้ายกับ Nvidia และ AMD ผู้ใช้จะได้รับการแก้บั๊กและการปรับแต่งเกมใหม่ทันที เช่น การอัปเดตล่าสุด v121.1 ที่เพิ่มประสิทธิภาพในเกม Fortnite นี่คือก้าวสำคัญที่ทำให้ Snapdragon PC สามารถแข่งขันกับแพลตฟอร์มอื่นได้ 🛡️ ปรับปรุงระบบ Anti-Cheat Snapdragon X-series ได้เพิ่มการรองรับระบบ anti-cheat ชั้นนำ เช่น Denuvo, BattleEye, Tencent Anti-Cheat Expert, Roblox Hyperion และ Easy Anti-Cheat ที่อัปเดตให้ทำงานในระดับ kernel สิ่งนี้ช่วยให้ผู้เล่นเกมออนไลน์บน ARM PC มีความปลอดภัยและลดปัญหาการโกงได้มากขึ้น ⚙️ รองรับ AVX2 Emulation Qualcomm กำลังเพิ่ม AVX2 emulation ให้กับ Snapdragon Windows-compatible chips โดย Snapdragon X2 Elite รองรับแล้ว และรุ่นก่อนหน้าจะได้รับอัปเดตในอีกไม่กี่สัปดาห์ การรองรับนี้ช่วยให้สามารถรันแอปพลิเคชันและเกมที่ต้องการ AVX2 ได้ ซึ่งเป็นการขยายขอบเขตการใช้งาน ARM PC ให้กว้างขึ้น 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ เปิดตัว Snapdragon Control Panel ➡️ ปรับแต่งกราฟิกและการตั้งค่าเกมได้ละเอียดเหมือนแพลตฟอร์ม x86 ✅ ระบบอัปเดตไดรเวอร์ GPU แบบใหม่ ➡️ เพิ่มประสิทธิภาพเกม เช่น Fortnite ในเวอร์ชันล่าสุด ✅ รองรับระบบ Anti-Cheat ชั้นนำ ➡️ ป้องกันการโกงในเกมออนไลน์ด้วย Denuvo, BattleEye และ Easy Anti-Cheat ✅ เพิ่มการรองรับ AVX2 Emulation ➡️ Snapdragon X2 Elite รองรับแล้ว รุ่นเก่าจะได้รับอัปเดตเร็ว ๆ นี้ ‼️ ความเสี่ยงด้านการเข้ากันได้ของเกม ⛔ เกมที่ต้องการการประมวลผลสูงอาจยังไม่ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพบน ARM ‼️ การแข่งขันกับแพลตฟอร์ม x86 ⛔ แม้ Qualcomm จะพัฒนาอย่างต่อเนื่อง แต่ยังต้องใช้เวลาเพื่อให้ทันกับ Intel และ AMD https://www.tomshardware.com/video-games/pc-gaming/qualcomm-refines-windows-on-arm-gaming-with-broad-feature-release-platform-gets-snapdragon-control-panel-avx2-emulation-improved-anti-cheat-support
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 7 มุมมอง 0 รีวิว
  • กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ตั้งข้อหาชาวอเมริกัน 4 คนในคดีลักลอบส่งออก GPU Nvidia มีโทษจำคุกสูงสุดถึง 200 ปี

    กลุ่มผู้ต้องหานำโดย Brian Curtis Raymond ผู้ก่อตั้งบริษัท Bitworks ใน Alabama ถูกกล่าวหาว่าซื้อ GPU Nvidia A100, H100, H200 และซูเปอร์คอมพิวเตอร์ HPE จากช่องทางถูกกฎหมาย ก่อนจะขายต่อให้บริษัท Janford Realtor ใน Florida ซึ่งควบคุมโดย Hon Ning “Mathew” Ho จากนั้นมีการส่งออกไปจีนผ่านฮ่องกง มาเลเซีย และไทย โดยใช้เอกสารปลอมและเส้นทางการขนส่งที่ซับซ้อน

    มูลค่าการลักลอบและเส้นทางเงิน
    การดำเนินการนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2023–2025 หลังจากรัฐบาลสหรัฐฯ ออกมาตรการควบคุมการส่งออกชิป AI ขั้นสูง ผู้ต้องหาสามารถลักลอบส่งออก GPU A100 จำนวน 400 ตัว ไปจีนได้สำเร็จ และพยายามส่งออกซูเปอร์คอมพิวเตอร์ HPE อีก 10 เครื่องพร้อม GPU H100 และ H200 แต่ถูกจับกุมก่อน มูลค่าการทำธุรกรรมรวมกว่า 3.89 ล้านดอลลาร์ โดยมีการโอนเงินจากจีนมายังสหรัฐฯ ผ่านการฟอกเงิน

    ความสำคัญเชิงภูมิรัฐศาสตร์
    ชิป AI อย่าง A100/H100/H200 ถือเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนา AI และการประมวลผลขั้นสูง รัฐบาลสหรัฐฯ จึงเข้มงวดต่อการส่งออกไปจีนเพราะเกรงว่าจะถูกนำไปใช้ในงานด้านทหารและการวิจัยเชิงกลยุทธ์ การจับกุมครั้งนี้สะท้อนถึงความตึงเครียดด้านเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่ยังคงรุนแรง

    บทเรียนและผลกระทบ
    แม้ตัวเลข 3.89 ล้านดอลลาร์จะดูเล็กเมื่อเทียบกับตลาด AI ที่มีมูลค่าหลายหมื่นล้าน แต่คดีนี้ชี้ให้เห็นช่องโหว่ในระบบควบคุมการส่งออก และอาจทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ เข้มงวดมากขึ้นต่อบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการจัดจำหน่ายฮาร์ดแวร์ AI ในอนาคต

    สรุปประเด็นสำคัญ
    DOJ ตั้งข้อหาชาวอเมริกัน 4 คนในคดีลักลอบส่งออก GPU และซูเปอร์คอมพิวเตอร์
    ผู้ต้องหาหลักคือ Brian Curtis Raymond และ Hon Ning “Mathew” Ho

    ลักลอบส่งออก GPU A100 จำนวน 400 ตัว สำเร็จ
    พยายามส่งออก HPE Supercomputers และ GPU H200 แต่ถูกจับกุม
    มีโทษจำคุกสูงสุดถึง 200 ปี

    มูลค่าการลักลอบรวมกว่า 3.89 ล้านดอลลาร์
    มีการฟอกเงินผ่านบริษัท Janford Realtor

    สหรัฐฯ คุมเข้มการส่งออกชิป AI ขั้นสูง
    เกรงว่าจะถูกนำไปใช้ในงานด้านทหารและการวิจัยเชิงกลยุทธ์

    ความเสี่ยงด้านความมั่นคงและภูมิรัฐศาสตร์
    การลักลอบส่งออกชิปอาจช่วยเพิ่มศักยภาพด้าน AI ของจีน

    ช่องโหว่ในระบบควบคุมการส่งออก
    อาจทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ เข้มงวดมากขึ้นต่อบริษัทผู้จัดจำหน่ายฮาร์ดแวร์ AI

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/four-americans-charged-with-smuggling-nvidia-gpus-and-hpe-supercomputers-to-china-face-up-to-200-years-in-prison-usd3-89-million-worth-of-gear-smuggled-in-operation
    ⚖️ กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ตั้งข้อหาชาวอเมริกัน 4 คนในคดีลักลอบส่งออก GPU Nvidia มีโทษจำคุกสูงสุดถึง 200 ปี กลุ่มผู้ต้องหานำโดย Brian Curtis Raymond ผู้ก่อตั้งบริษัท Bitworks ใน Alabama ถูกกล่าวหาว่าซื้อ GPU Nvidia A100, H100, H200 และซูเปอร์คอมพิวเตอร์ HPE จากช่องทางถูกกฎหมาย ก่อนจะขายต่อให้บริษัท Janford Realtor ใน Florida ซึ่งควบคุมโดย Hon Ning “Mathew” Ho จากนั้นมีการส่งออกไปจีนผ่านฮ่องกง มาเลเซีย และไทย โดยใช้เอกสารปลอมและเส้นทางการขนส่งที่ซับซ้อน 💰 มูลค่าการลักลอบและเส้นทางเงิน การดำเนินการนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ปี 2023–2025 หลังจากรัฐบาลสหรัฐฯ ออกมาตรการควบคุมการส่งออกชิป AI ขั้นสูง ผู้ต้องหาสามารถลักลอบส่งออก GPU A100 จำนวน 400 ตัว ไปจีนได้สำเร็จ และพยายามส่งออกซูเปอร์คอมพิวเตอร์ HPE อีก 10 เครื่องพร้อม GPU H100 และ H200 แต่ถูกจับกุมก่อน มูลค่าการทำธุรกรรมรวมกว่า 3.89 ล้านดอลลาร์ โดยมีการโอนเงินจากจีนมายังสหรัฐฯ ผ่านการฟอกเงิน 🌐 ความสำคัญเชิงภูมิรัฐศาสตร์ ชิป AI อย่าง A100/H100/H200 ถือเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนา AI และการประมวลผลขั้นสูง รัฐบาลสหรัฐฯ จึงเข้มงวดต่อการส่งออกไปจีนเพราะเกรงว่าจะถูกนำไปใช้ในงานด้านทหารและการวิจัยเชิงกลยุทธ์ การจับกุมครั้งนี้สะท้อนถึงความตึงเครียดด้านเทคโนโลยีระหว่างสหรัฐฯ และจีนที่ยังคงรุนแรง 🚨 บทเรียนและผลกระทบ แม้ตัวเลข 3.89 ล้านดอลลาร์จะดูเล็กเมื่อเทียบกับตลาด AI ที่มีมูลค่าหลายหมื่นล้าน แต่คดีนี้ชี้ให้เห็นช่องโหว่ในระบบควบคุมการส่งออก และอาจทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ เข้มงวดมากขึ้นต่อบริษัทที่เกี่ยวข้องกับการจัดจำหน่ายฮาร์ดแวร์ AI ในอนาคต 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ DOJ ตั้งข้อหาชาวอเมริกัน 4 คนในคดีลักลอบส่งออก GPU และซูเปอร์คอมพิวเตอร์ ➡️ ผู้ต้องหาหลักคือ Brian Curtis Raymond และ Hon Ning “Mathew” Ho ✅ ลักลอบส่งออก GPU A100 จำนวน 400 ตัว สำเร็จ ➡️ พยายามส่งออก HPE Supercomputers และ GPU H200 แต่ถูกจับกุม ➡️ มีโทษจำคุกสูงสุดถึง 200 ปี ✅ มูลค่าการลักลอบรวมกว่า 3.89 ล้านดอลลาร์ ➡️ มีการฟอกเงินผ่านบริษัท Janford Realtor ✅ สหรัฐฯ คุมเข้มการส่งออกชิป AI ขั้นสูง ➡️ เกรงว่าจะถูกนำไปใช้ในงานด้านทหารและการวิจัยเชิงกลยุทธ์ ‼️ ความเสี่ยงด้านความมั่นคงและภูมิรัฐศาสตร์ ⛔ การลักลอบส่งออกชิปอาจช่วยเพิ่มศักยภาพด้าน AI ของจีน ‼️ ช่องโหว่ในระบบควบคุมการส่งออก ⛔ อาจทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ เข้มงวดมากขึ้นต่อบริษัทผู้จัดจำหน่ายฮาร์ดแวร์ AI https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/four-americans-charged-with-smuggling-nvidia-gpus-and-hpe-supercomputers-to-china-face-up-to-200-years-in-prison-usd3-89-million-worth-of-gear-smuggled-in-operation
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 13 มุมมอง 0 รีวิว
  • Intel ปฏิเสธการได้ข้อมูลลับจาก TSMC

    Lip-Bu Tan ซีอีโอของ Intel ออกมาปฏิเสธข่าวลือที่ว่า Wei-Jen Lo อดีตผู้บริหารระดับสูงของ TSMC ได้นำข้อมูลเชิงลึกด้านเทคโนโลยีการผลิตชิปขั้นสูงมาให้ Intel หลังจากเข้ารับตำแหน่งใหม่ โดย Tan ย้ำว่า “นี่เป็นเพียงข่าวลือและการคาดเดา เราเคารพทรัพย์สินทางปัญญา”

    การสอบสวนของไต้หวัน
    อัยการไต้หวันได้เริ่มการสอบสวนในระดับความมั่นคงแห่งชาติ โดยตรวจสอบว่า Lo อาจนำข้อมูลกระบวนการผลิตขั้นสูง เช่น N2, A16 และ A14 ไปเผยแพร่ให้กับ Intel หรือไม่ รายงานบางฉบับระบุว่า Lo เคยขอเอกสารภายในก่อนลาออกจาก TSMC ซึ่งสร้างความกังวลว่าข้อมูลอาจถูกนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต

    ความแตกต่างด้านเทคโนโลยี
    แม้จะมีข้อสงสัย แต่ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า เทคโนโลยีของ Intel (18A และ 14A) แตกต่างจากของ TSMC อย่างมาก ทำให้ข้อมูลที่ Lo อาจนำออกไปไม่สามารถนำมาใช้โดยตรงกับกระบวนการผลิตของ Intel ได้ อย่างมากก็อาจใช้เพื่อการวิเคราะห์เชิงแข่งขันเท่านั้น

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์
    กรณีนี้สะท้อนถึงการแข่งขันที่ดุเดือดระหว่าง Intel และ TSMC ในการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตชิปขั้นสูง การสอบสวนยังคงดำเนินต่อไป และอาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของลูกค้าและพันธมิตรในอุตสาหกรรม หากพบว่ามีการละเมิดจริง

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Intel ปฏิเสธข่าวลือเรื่องการได้ข้อมูลลับจาก TSMC
    ซีอีโอ Lip-Bu Tan ยืนยันว่า “เคารพทรัพย์สินทางปัญญา”

    อัยการไต้หวันสอบสวน Wei-Jen Lo อดีตผู้บริหาร TSMC
    ตรวจสอบการขอเอกสารภายในเกี่ยวกับเทคโนโลยี N2, A16, A14

    เทคโนโลยี Intel (18A, 14A) แตกต่างจาก TSMC
    ทำให้ข้อมูลที่อาจถูกนำออกมาไม่สามารถใช้ได้โดยตรง

    กรณีนี้สะท้อนการแข่งขันในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์
    อาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของลูกค้าและพันธมิตร

    ความเสี่ยงด้านความมั่นคงและทรัพย์สินทางปัญญา
    หากพบการละเมิดจริง อาจส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและการลงทุน

    ความไม่แน่นอนต่ออนาคตของ Intel และ TSMC
    การสอบสวนที่ยืดเยื้ออาจสร้างแรงกดดันต่อทั้งสองบริษัท

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/intel-ceo-rejects-reports-the-company-is-obtaining-tsmc-secrets-from-former-executive-taiwans-investigation-into-intels-controversial-recent-hire-continues
    🏭 Intel ปฏิเสธการได้ข้อมูลลับจาก TSMC Lip-Bu Tan ซีอีโอของ Intel ออกมาปฏิเสธข่าวลือที่ว่า Wei-Jen Lo อดีตผู้บริหารระดับสูงของ TSMC ได้นำข้อมูลเชิงลึกด้านเทคโนโลยีการผลิตชิปขั้นสูงมาให้ Intel หลังจากเข้ารับตำแหน่งใหม่ โดย Tan ย้ำว่า “นี่เป็นเพียงข่าวลือและการคาดเดา เราเคารพทรัพย์สินทางปัญญา” 🔎 การสอบสวนของไต้หวัน อัยการไต้หวันได้เริ่มการสอบสวนในระดับความมั่นคงแห่งชาติ โดยตรวจสอบว่า Lo อาจนำข้อมูลกระบวนการผลิตขั้นสูง เช่น N2, A16 และ A14 ไปเผยแพร่ให้กับ Intel หรือไม่ รายงานบางฉบับระบุว่า Lo เคยขอเอกสารภายในก่อนลาออกจาก TSMC ซึ่งสร้างความกังวลว่าข้อมูลอาจถูกนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ⚙️ ความแตกต่างด้านเทคโนโลยี แม้จะมีข้อสงสัย แต่ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า เทคโนโลยีของ Intel (18A และ 14A) แตกต่างจากของ TSMC อย่างมาก ทำให้ข้อมูลที่ Lo อาจนำออกไปไม่สามารถนำมาใช้โดยตรงกับกระบวนการผลิตของ Intel ได้ อย่างมากก็อาจใช้เพื่อการวิเคราะห์เชิงแข่งขันเท่านั้น 🌐 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ กรณีนี้สะท้อนถึงการแข่งขันที่ดุเดือดระหว่าง Intel และ TSMC ในการพัฒนาเทคโนโลยีการผลิตชิปขั้นสูง การสอบสวนยังคงดำเนินต่อไป และอาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นของลูกค้าและพันธมิตรในอุตสาหกรรม หากพบว่ามีการละเมิดจริง 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Intel ปฏิเสธข่าวลือเรื่องการได้ข้อมูลลับจาก TSMC ➡️ ซีอีโอ Lip-Bu Tan ยืนยันว่า “เคารพทรัพย์สินทางปัญญา” ✅ อัยการไต้หวันสอบสวน Wei-Jen Lo อดีตผู้บริหาร TSMC ➡️ ตรวจสอบการขอเอกสารภายในเกี่ยวกับเทคโนโลยี N2, A16, A14 ✅ เทคโนโลยี Intel (18A, 14A) แตกต่างจาก TSMC ➡️ ทำให้ข้อมูลที่อาจถูกนำออกมาไม่สามารถใช้ได้โดยตรง ✅ กรณีนี้สะท้อนการแข่งขันในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ➡️ อาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของลูกค้าและพันธมิตร ‼️ ความเสี่ยงด้านความมั่นคงและทรัพย์สินทางปัญญา ⛔ หากพบการละเมิดจริง อาจส่งผลต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและการลงทุน ‼️ ความไม่แน่นอนต่ออนาคตของ Intel และ TSMC ⛔ การสอบสวนที่ยืดเยื้ออาจสร้างแรงกดดันต่อทั้งสองบริษัท https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/intel-ceo-rejects-reports-the-company-is-obtaining-tsmc-secrets-from-former-executive-taiwans-investigation-into-intels-controversial-recent-hire-continues
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 9 มุมมอง 0 รีวิว
  • Microsoft ประกาศว่า Full Screen Experience (FSE) จะถูกเปิดให้ใช้งานบน Windows 11 gaming handhelds ทุกเครื่อง

    FSE เป็นอินเทอร์เฟซที่ออกแบบมาเพื่อแทนที่ UI มาตรฐานของ Windows โดยเน้นการใช้งานสำหรับเกมเมอร์ เมื่อเปิดเครื่อง ผู้ใช้สามารถเข้าสู่หน้าจอที่รวมเกมจากหลายแพลตฟอร์ม เช่น Windows Store, Steam, Epic Games และ Battle.net ได้ทันที โดยไม่ต้องผ่าน Start Menu หรือ Explorer ซึ่งช่วยลดความซับซ้อนและเพิ่มความเร็วในการเข้าถึงเกม

    การขยายสู่เครื่องเล่นเกมพกพา
    เดิมที FSE มีให้ใช้งานเฉพาะบน Asus ROG Xbox Ally X แต่ Microsoft ได้ประกาศว่าจะเปิดให้ใช้งานบน ทุกเครื่องเล่นเกมพกพาที่ใช้ Windows 11 เช่น Lenovo Legion Go, MSI Claw 8 AI+ และ AYANEO 2/Next การเปลี่ยนแปลงนี้ถือเป็นการตอบสนองต่อเสียงเรียกร้องของผู้ใช้ที่ต้องการ UI ที่เหมาะสมกับการเล่นเกมบนอุปกรณ์พกพา

    ประสิทธิภาพและการปรับแต่ง
    นอกจากการรวมเกมไว้ในที่เดียว FSE ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเล่นเกม โดยการบูตเข้าสู่ FSE จะข้ามบางส่วนของ Windows Explorer ที่กิน RAM ทำให้ระบบเบาลงและเฟรมเรตเสถียรกว่าโหมด Game Mode แบบเดิม ผู้ใช้ยังสามารถปรับแต่งการตั้งค่าได้ง่ายขึ้นผ่านเมนูที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับเกมเมอร์

    ทางเลือกสำหรับผู้ใช้ขั้นสูง
    แม้ Microsoft จะเปิดให้ใช้งาน FSE อย่างเป็นทางการ แต่ผู้ใช้ที่จริงจังกับการปรับแต่งประสิทธิภาพยังสามารถเลือกใช้ระบบปฏิบัติการอื่น เช่น Bazzite Linux ซึ่งมีรายงานว่าสามารถให้ FPS ที่สูงและเสถียรกว่าในหลายเกม อย่างไรก็ตาม FSE ถือเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้ Windows 11 บนเครื่องเล่นเกมพกพาใกล้เคียงกับประสบการณ์ของ SteamOS และ Big Picture Mode

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Microsoft เปิดให้ใช้ Full Screen Experience (FSE) บน Windows 11 handhelds ทุกเครื่อง
    เดิมทีเป็นฟีเจอร์เฉพาะของ Asus ROG Xbox Ally X

    FSE รวมเกมจากหลายแพลตฟอร์มไว้ในที่เดียว
    Windows Store, Steam, Epic Games, Battle.net

    FSE ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเล่นเกม
    ลดการใช้ RAM และทำให้เฟรมเรตเสถียรกว่า Game Mode

    รองรับอุปกรณ์พกพาหลากหลาย เช่น Lenovo Legion Go, MSI Claw, AYANEO
    ตอบโจทย์ผู้ใช้ที่ต้องการ UI ที่เหมาะกับการเล่นเกม

    ผู้ใช้ขั้นสูงอาจเลือกทางเลือกอื่น
    Bazzite Linux ให้ FPS ที่สูงและเสถียรกว่าในบางเกม

    ความเสี่ยงด้านการปรับแต่งและความเข้ากันได้
    FSE ยังอยู่ในช่วงทดสอบ อาจมีบั๊กหรือไม่รองรับบางเกม

    https://www.tomshardware.com/video-games/pc-gaming/microsoft-makes-full-screen-experience-available-to-all-windows-11-gaming-handhelds-highly-requested-feature-no-longer-exclusive-to-the-asus-rog-xbox-ally-x
    🎮 Microsoft ประกาศว่า Full Screen Experience (FSE) จะถูกเปิดให้ใช้งานบน Windows 11 gaming handhelds ทุกเครื่อง FSE เป็นอินเทอร์เฟซที่ออกแบบมาเพื่อแทนที่ UI มาตรฐานของ Windows โดยเน้นการใช้งานสำหรับเกมเมอร์ เมื่อเปิดเครื่อง ผู้ใช้สามารถเข้าสู่หน้าจอที่รวมเกมจากหลายแพลตฟอร์ม เช่น Windows Store, Steam, Epic Games และ Battle.net ได้ทันที โดยไม่ต้องผ่าน Start Menu หรือ Explorer ซึ่งช่วยลดความซับซ้อนและเพิ่มความเร็วในการเข้าถึงเกม 🎮 การขยายสู่เครื่องเล่นเกมพกพา เดิมที FSE มีให้ใช้งานเฉพาะบน Asus ROG Xbox Ally X แต่ Microsoft ได้ประกาศว่าจะเปิดให้ใช้งานบน ทุกเครื่องเล่นเกมพกพาที่ใช้ Windows 11 เช่น Lenovo Legion Go, MSI Claw 8 AI+ และ AYANEO 2/Next การเปลี่ยนแปลงนี้ถือเป็นการตอบสนองต่อเสียงเรียกร้องของผู้ใช้ที่ต้องการ UI ที่เหมาะสมกับการเล่นเกมบนอุปกรณ์พกพา ⚙️ ประสิทธิภาพและการปรับแต่ง นอกจากการรวมเกมไว้ในที่เดียว FSE ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเล่นเกม โดยการบูตเข้าสู่ FSE จะข้ามบางส่วนของ Windows Explorer ที่กิน RAM ทำให้ระบบเบาลงและเฟรมเรตเสถียรกว่าโหมด Game Mode แบบเดิม ผู้ใช้ยังสามารถปรับแต่งการตั้งค่าได้ง่ายขึ้นผ่านเมนูที่ออกแบบมาเฉพาะสำหรับเกมเมอร์ 🌐 ทางเลือกสำหรับผู้ใช้ขั้นสูง แม้ Microsoft จะเปิดให้ใช้งาน FSE อย่างเป็นทางการ แต่ผู้ใช้ที่จริงจังกับการปรับแต่งประสิทธิภาพยังสามารถเลือกใช้ระบบปฏิบัติการอื่น เช่น Bazzite Linux ซึ่งมีรายงานว่าสามารถให้ FPS ที่สูงและเสถียรกว่าในหลายเกม อย่างไรก็ตาม FSE ถือเป็นก้าวสำคัญที่ทำให้ Windows 11 บนเครื่องเล่นเกมพกพาใกล้เคียงกับประสบการณ์ของ SteamOS และ Big Picture Mode 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Microsoft เปิดให้ใช้ Full Screen Experience (FSE) บน Windows 11 handhelds ทุกเครื่อง ➡️ เดิมทีเป็นฟีเจอร์เฉพาะของ Asus ROG Xbox Ally X ✅ FSE รวมเกมจากหลายแพลตฟอร์มไว้ในที่เดียว ➡️ Windows Store, Steam, Epic Games, Battle.net ✅ FSE ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการเล่นเกม ➡️ ลดการใช้ RAM และทำให้เฟรมเรตเสถียรกว่า Game Mode ✅ รองรับอุปกรณ์พกพาหลากหลาย เช่น Lenovo Legion Go, MSI Claw, AYANEO ➡️ ตอบโจทย์ผู้ใช้ที่ต้องการ UI ที่เหมาะกับการเล่นเกม ‼️ ผู้ใช้ขั้นสูงอาจเลือกทางเลือกอื่น ⛔ Bazzite Linux ให้ FPS ที่สูงและเสถียรกว่าในบางเกม ‼️ ความเสี่ยงด้านการปรับแต่งและความเข้ากันได้ ⛔ FSE ยังอยู่ในช่วงทดสอบ อาจมีบั๊กหรือไม่รองรับบางเกม https://www.tomshardware.com/video-games/pc-gaming/microsoft-makes-full-screen-experience-available-to-all-windows-11-gaming-handhelds-highly-requested-feature-no-longer-exclusive-to-the-asus-rog-xbox-ally-x
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 8 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไต้หวันรอดภาษีลงโทษ 300%

    รัฐบาลสหรัฐฯ เคยขู่จะเก็บภาษีสูงถึง 300% ต่อการนำเข้าเซมิคอนดักเตอร์จากไต้หวัน แต่ล่าสุด Wu Cheng-wen รัฐมนตรีสภาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของไต้หวันยืนยันว่า สหรัฐฯ จะไม่เดินหน้ามาตรการดังกล่าว เนื่องจากการลงโทษไต้หวันไม่เป็นผลดีต่อผลประโยชน์ของสหรัฐฯ

    โมเดล “Silicon Shield” และการลงทุนในสหรัฐฯ
    ไต้หวันมีระบบ science parks และ industrial parks ที่ช่วยให้บริษัทเทคโนโลยีเติบโตโดยลดขั้นตอนราชการและควบคุมค่าเช่า ทำให้บริษัทอย่าง TSMC กลายเป็นผู้นำโลกด้านการผลิตชิป ขณะเดียวกัน ไต้หวันยังลงทุนมหาศาลในสหรัฐฯ เช่น TSMC ลงทุน $165 พันล้านใน Arizona เพื่อสร้างโรงงานและศูนย์ R&D

    ข้อตกลงการค้าใหม่และการลงทุน 400 พันล้านดอลลาร์
    เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ระบุว่าข้อตกลงการค้าใหม่จะนำไปสู่การลงทุนจากไต้หวันกว่า 400 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งรวมถึงการขยายธุรกิจของบริษัท GlobalWafers และผู้ผลิตเทคโนโลยีอื่น ๆ การลงทุนนี้จะช่วยเสริมสร้าง “Silicon Shield” ที่สองในสหรัฐฯ และลดการพึ่งพาการผลิตชิปจากไต้หวันเพียงอย่างเดียว

    การเปลี่ยนแปลงสู่ “AI Island”
    นอกจากการลงทุนในสหรัฐฯ ไต้หวันยังทุ่มงบประมาณกว่า 3 พันล้านดอลลาร์ เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรม AI, หุ่นยนต์, โดรน และเทคโนโลยีการแพทย์ พร้อมทั้งจำกัดการส่งออกเทคโนโลยีการผลิตขั้นสูงของ TSMC เพื่อรักษาความได้เปรียบเชิงกลยุทธ์ในระยะยาว

    สรุปประเด็นสำคัญ
    สหรัฐฯ ไม่เดินหน้าภาษี 300% ต่อการส่งออกเซมิคอนดักเตอร์จากไต้หวัน
    Wu Cheng-wen ยืนยันว่าการลงโทษไม่เป็นผลดีต่อสหรัฐฯ

    ไต้หวันมีโมเดล science parks และ industrial parks
    ช่วยให้บริษัทเทคโนโลยีเติบโตโดยลดขั้นตอนราชการและควบคุมค่าเช่า

    TSMC ลงทุนกว่า $165 พันล้านใน Arizona
    สร้างโรงงานผลิตชิปและศูนย์วิจัยพัฒนาในสหรัฐฯ

    ข้อตกลงการค้าใหม่อาจนำไปสู่การลงทุน 400 พันล้านดอลลาร์จากไต้หวัน
    รวมถึงการขยายธุรกิจของ GlobalWafers และบริษัทเทคโนโลยีอื่น ๆ

    ไต้หวันทุ่มงบ $3 พันล้านเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรม AI และหุ่นยนต์
    สร้างภาพลักษณ์ใหม่เป็น “AI Island”

    ความเสี่ยงด้านความมั่นคงหากเทคโนโลยีขั้นสูงรั่วไหล
    รัฐบาลไต้หวันจำกัดการส่งออกเทคโนโลยีการผลิตขั้นสูงของ TSMC

    ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนยังคงสูง
    การลงทุนและข้อตกลงใหม่อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/taiwan-set-to-avoid-punishing-300-percent-tariffs-on-semiconductor-exports-says-report-new-trade-deal-could-spur-usd400-billion-investment-commitment-from-island-nation
    🇹🇼 ไต้หวันรอดภาษีลงโทษ 300% รัฐบาลสหรัฐฯ เคยขู่จะเก็บภาษีสูงถึง 300% ต่อการนำเข้าเซมิคอนดักเตอร์จากไต้หวัน แต่ล่าสุด Wu Cheng-wen รัฐมนตรีสภาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของไต้หวันยืนยันว่า สหรัฐฯ จะไม่เดินหน้ามาตรการดังกล่าว เนื่องจากการลงโทษไต้หวันไม่เป็นผลดีต่อผลประโยชน์ของสหรัฐฯ 🏭 โมเดล “Silicon Shield” และการลงทุนในสหรัฐฯ ไต้หวันมีระบบ science parks และ industrial parks ที่ช่วยให้บริษัทเทคโนโลยีเติบโตโดยลดขั้นตอนราชการและควบคุมค่าเช่า ทำให้บริษัทอย่าง TSMC กลายเป็นผู้นำโลกด้านการผลิตชิป ขณะเดียวกัน ไต้หวันยังลงทุนมหาศาลในสหรัฐฯ เช่น TSMC ลงทุน $165 พันล้านใน Arizona เพื่อสร้างโรงงานและศูนย์ R&D 💵 ข้อตกลงการค้าใหม่และการลงทุน 400 พันล้านดอลลาร์ เจ้าหน้าที่สหรัฐฯ ระบุว่าข้อตกลงการค้าใหม่จะนำไปสู่การลงทุนจากไต้หวันกว่า 400 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งรวมถึงการขยายธุรกิจของบริษัท GlobalWafers และผู้ผลิตเทคโนโลยีอื่น ๆ การลงทุนนี้จะช่วยเสริมสร้าง “Silicon Shield” ที่สองในสหรัฐฯ และลดการพึ่งพาการผลิตชิปจากไต้หวันเพียงอย่างเดียว 🤖 การเปลี่ยนแปลงสู่ “AI Island” นอกจากการลงทุนในสหรัฐฯ ไต้หวันยังทุ่มงบประมาณกว่า 3 พันล้านดอลลาร์ เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรม AI, หุ่นยนต์, โดรน และเทคโนโลยีการแพทย์ พร้อมทั้งจำกัดการส่งออกเทคโนโลยีการผลิตขั้นสูงของ TSMC เพื่อรักษาความได้เปรียบเชิงกลยุทธ์ในระยะยาว 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ สหรัฐฯ ไม่เดินหน้าภาษี 300% ต่อการส่งออกเซมิคอนดักเตอร์จากไต้หวัน ➡️ Wu Cheng-wen ยืนยันว่าการลงโทษไม่เป็นผลดีต่อสหรัฐฯ ✅ ไต้หวันมีโมเดล science parks และ industrial parks ➡️ ช่วยให้บริษัทเทคโนโลยีเติบโตโดยลดขั้นตอนราชการและควบคุมค่าเช่า ✅ TSMC ลงทุนกว่า $165 พันล้านใน Arizona ➡️ สร้างโรงงานผลิตชิปและศูนย์วิจัยพัฒนาในสหรัฐฯ ✅ ข้อตกลงการค้าใหม่อาจนำไปสู่การลงทุน 400 พันล้านดอลลาร์จากไต้หวัน ➡️ รวมถึงการขยายธุรกิจของ GlobalWafers และบริษัทเทคโนโลยีอื่น ๆ ✅ ไต้หวันทุ่มงบ $3 พันล้านเพื่อพัฒนาอุตสาหกรรม AI และหุ่นยนต์ ➡️ สร้างภาพลักษณ์ใหม่เป็น “AI Island” ‼️ ความเสี่ยงด้านความมั่นคงหากเทคโนโลยีขั้นสูงรั่วไหล ⛔ รัฐบาลไต้หวันจำกัดการส่งออกเทคโนโลยีการผลิตขั้นสูงของ TSMC ‼️ ความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนยังคงสูง ⛔ การลงทุนและข้อตกลงใหม่อาจถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง https://www.tomshardware.com/tech-industry/taiwan-set-to-avoid-punishing-300-percent-tariffs-on-semiconductor-exports-says-report-new-trade-deal-could-spur-usd400-billion-investment-commitment-from-island-nation
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 10 มุมมอง 0 รีวิว
  • AMD เริ่มส่งแพตช์เข้าสู่ Linux kernel เพื่อรองรับ Instinct MI400-series

    AMD ได้ upstream แพตช์ใหม่ที่เกี่ยวข้องกับ GPU IP blocks เช่น PSP 15.0.8, IH 7.1, MMHUB 4.2, GFXHUB 12.1 และ GMC 12.1 ซึ่งบ่งชี้ว่ากำลังมีการรองรับสถาปัตยกรรมใหม่ โดยเฉพาะ GFXHUB 12.1 ที่เชื่อมโยงกับ CDNA5 ซึ่งเป็นแกนหลักของ Instinct MI430 และ MI450-series accelerators

    สถาปัตยกรรม CDNA5 และการแบ่งรุ่น
    ข้อมูลหลุดก่อนหน้านี้ระบุว่า GFX1250 จะใช้กับ Instinct MI450 (AI-oriented) และ GFX1251 จะใช้กับ Instinct MI430 (HPC-oriented) แม้ AMD ยังไม่ยืนยันอย่างเป็นทางการ แต่การส่งแพตช์ครั้งนี้ถือเป็นสัญญาณชัดเจนว่ากำลังเตรียมเปิดตัว GPU รุ่นใหม่สำหรับงาน AI และ HPC

    การแข่งขันกับ Nvidia
    AMD ตั้งเป้าที่จะเปิดตัว Instinct MI450 และโซลูชัน Helios rack-scale ที่ใช้ซีพียู EPYC Venice และ GPU MI450 ก่อนที่ Nvidia จะเปิดตัวแพลตฟอร์ม Vera Rubin ในไตรมาส 3 ปี 2026 หาก AMD สามารถเร่งการผลิตและส่งมอบได้ทัน จะเป็นการเพิ่มแรงกดดันต่อ Nvidia ในตลาด AI ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว

    ความหมายต่ออุตสาหกรรม
    การเริ่มต้น enablement ของ MI400-series แสดงให้เห็นว่า AMD กำลังเดินหน้าอย่างมั่นคงตามโรดแมป Instinct และ CDNA ทั้งในด้าน AI และ HPC ซึ่งอาจช่วยให้ตลาดมีการแข่งขันมากขึ้น ลดการพึ่งพา Nvidia และเปิดทางเลือกใหม่ให้กับผู้พัฒนา AI และซูเปอร์คอมพิวเตอร์ทั่วโลก

    สรุปประเด็นสำคัญ
    AMD ส่งแพตช์เข้าสู่ Linux kernel เพื่อรองรับ GPU IP blocks ใหม่
    รวมถึง GFXHUB 12.1 ที่เชื่อมโยงกับสถาปัตยกรรม CDNA5

    Instinct MI400-series แบ่งเป็น MI430 (HPC) และ MI450 (AI)
    ใช้รหัส GFX1251 และ GFX1250 ตามลำดับ

    AMD เตรียมเปิดตัว MI450 และ Helios rack-scale solution
    ตั้งเป้าเปิดตัวก่อน Nvidia Vera Rubin ใน Q3 2026

    การ enablement แสดงถึงความต่อเนื่องของโรดแมป Instinct และ CDNA
    เพิ่มการแข่งขันในตลาด AI และ HPC

    ความเสี่ยงด้านการผลิตและการส่งมอบ
    หาก AMD ไม่สามารถเร่งการผลิตได้ทัน อาจเสียเปรียบ Nvidia

    ตลาด AI ยังพึ่งพา Nvidia อย่างมาก
    AMD ต้องพิสูจน์ว่าซอฟต์แวร์และ ecosystem รองรับได้จริง

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/amds-linux-kernel-patches-suggest-enablement-of-next-gen-instinct-mi400-series-ai-gpu-accelerators
    🐧 AMD เริ่มส่งแพตช์เข้าสู่ Linux kernel เพื่อรองรับ Instinct MI400-series AMD ได้ upstream แพตช์ใหม่ที่เกี่ยวข้องกับ GPU IP blocks เช่น PSP 15.0.8, IH 7.1, MMHUB 4.2, GFXHUB 12.1 และ GMC 12.1 ซึ่งบ่งชี้ว่ากำลังมีการรองรับสถาปัตยกรรมใหม่ โดยเฉพาะ GFXHUB 12.1 ที่เชื่อมโยงกับ CDNA5 ซึ่งเป็นแกนหลักของ Instinct MI430 และ MI450-series accelerators ⚙️ สถาปัตยกรรม CDNA5 และการแบ่งรุ่น ข้อมูลหลุดก่อนหน้านี้ระบุว่า GFX1250 จะใช้กับ Instinct MI450 (AI-oriented) และ GFX1251 จะใช้กับ Instinct MI430 (HPC-oriented) แม้ AMD ยังไม่ยืนยันอย่างเป็นทางการ แต่การส่งแพตช์ครั้งนี้ถือเป็นสัญญาณชัดเจนว่ากำลังเตรียมเปิดตัว GPU รุ่นใหม่สำหรับงาน AI และ HPC 🚀 การแข่งขันกับ Nvidia AMD ตั้งเป้าที่จะเปิดตัว Instinct MI450 และโซลูชัน Helios rack-scale ที่ใช้ซีพียู EPYC Venice และ GPU MI450 ก่อนที่ Nvidia จะเปิดตัวแพลตฟอร์ม Vera Rubin ในไตรมาส 3 ปี 2026 หาก AMD สามารถเร่งการผลิตและส่งมอบได้ทัน จะเป็นการเพิ่มแรงกดดันต่อ Nvidia ในตลาด AI ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว 🌐 ความหมายต่ออุตสาหกรรม การเริ่มต้น enablement ของ MI400-series แสดงให้เห็นว่า AMD กำลังเดินหน้าอย่างมั่นคงตามโรดแมป Instinct และ CDNA ทั้งในด้าน AI และ HPC ซึ่งอาจช่วยให้ตลาดมีการแข่งขันมากขึ้น ลดการพึ่งพา Nvidia และเปิดทางเลือกใหม่ให้กับผู้พัฒนา AI และซูเปอร์คอมพิวเตอร์ทั่วโลก 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ AMD ส่งแพตช์เข้าสู่ Linux kernel เพื่อรองรับ GPU IP blocks ใหม่ ➡️ รวมถึง GFXHUB 12.1 ที่เชื่อมโยงกับสถาปัตยกรรม CDNA5 ✅ Instinct MI400-series แบ่งเป็น MI430 (HPC) และ MI450 (AI) ➡️ ใช้รหัส GFX1251 และ GFX1250 ตามลำดับ ✅ AMD เตรียมเปิดตัว MI450 และ Helios rack-scale solution ➡️ ตั้งเป้าเปิดตัวก่อน Nvidia Vera Rubin ใน Q3 2026 ✅ การ enablement แสดงถึงความต่อเนื่องของโรดแมป Instinct และ CDNA ➡️ เพิ่มการแข่งขันในตลาด AI และ HPC ‼️ ความเสี่ยงด้านการผลิตและการส่งมอบ ⛔ หาก AMD ไม่สามารถเร่งการผลิตได้ทัน อาจเสียเปรียบ Nvidia ‼️ ตลาด AI ยังพึ่งพา Nvidia อย่างมาก ⛔ AMD ต้องพิสูจน์ว่าซอฟต์แวร์และ ecosystem รองรับได้จริง https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/amds-linux-kernel-patches-suggest-enablement-of-next-gen-instinct-mi400-series-ai-gpu-accelerators
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 6 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความกังวลเรื่องหนี้ในอุตสาหกรรม AI

    รายงานจาก Wall Street ระบุว่าบริษัทเทคโนโลยีและ AI ชั้นนำ เช่น OpenAI, Nvidia, Microsoft, Anthropic ต่างพึ่งพาการกู้ยืมและการลงทุนขนาดใหญ่เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI แม้จะยังไม่เห็นผลกำไรที่ชัดเจน การพึ่งพาหนี้จำนวนมหาศาลนี้ทำให้เกิดความเสี่ยงหากรายได้ไม่สามารถตามทันการลงทุน

    การขยายตัวของบริษัทที่ฐานะการเงินอ่อนแอ
    นักวิเคราะห์จาก Morgan Stanley ชี้ว่า ecosystem ของ AI เริ่มรวมบริษัทที่มีฐานะการเงินอ่อนแอ เช่น Oracle และ CoreWeave ซึ่งต้องกู้เงินจำนวนมากเพื่อแข่งขันในตลาด แม้บริษัทใหญ่เช่น Microsoft, Amazon และ Google ยังมีธุรกิจหลักที่ทำกำไร แต่บริษัทเล็กที่เข้ามาเสริม ecosystem อาจเป็นจุดเปราะบางที่ทำให้เกิดความเสี่ยงเชิงระบบ

    ราคาหุ้น Nvidia และแรงกดดันจากนักลงทุน
    แม้ Nvidia จะยังทำกำไรจากการขาย GPU สำหรับศูนย์ข้อมูล AI แต่ราคาหุ้นก็ลดลงกว่า 10% ตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายน 2025 นักลงทุนเริ่มเข้าสู่ช่วง “show me the money” โดยต้องการเห็นผลตอบแทนที่แท้จริงจากการลงทุน ไม่ใช่เพียงการขยายโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง

    ความเสี่ยงต่ออนาคตของตลาด AI
    หากการลงทุนมหาศาลเหล่านี้ไม่สามารถสร้างรายได้ที่ยั่งยืน นักลงทุนอาจถอนตัวและกดดันให้บริษัท AI ต้องปรับกลยุทธ์อย่างเร่งด่วน แม้ยังไม่มีสัญญาณว่าฟองสบู่ AI จะ “แตก” ในทันที แต่ความเชื่อมั่นที่สั่นคลอนอาจนำไปสู่การชะลอตัวของตลาดในปีถัดไป

    สรุปประเด็นสำคัญ
    บริษัท AI และเทคโนโลยีชั้นนำพึ่งพาหนี้มหาศาล
    OpenAI, Nvidia, Microsoft, Anthropic ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานโดยยังไม่เห็นกำไรชัดเจน

    บริษัทที่ฐานะการเงินอ่อนแอเข้ามาใน ecosystem
    Oracle และ CoreWeave ต้องกู้เงินจำนวนมากเพื่อแข่งขัน

    ราคาหุ้น Nvidia ลดลงกว่า 10% ตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายน
    นักลงทุนเริ่มเรียกร้องผลตอบแทนที่แท้จริงจากการลงทุน

    ตลาด AI เข้าสู่ช่วง “show me the money”
    นักลงทุนต้องการรายได้จริง ไม่ใช่เพียงการขยายโครงสร้างพื้นฐาน

    ความเสี่ยงเชิงระบบจากหนี้และการเชื่อมโยงซับซ้อน
    หากบริษัทเล็กไม่สามารถชำระหนี้ได้ อาจกระทบทั้ง ecosystem

    ความเชื่อมั่นนักลงทุนสั่นคลอน
    อาจนำไปสู่การชะลอตัวของตลาด AI ในปีถัดไป

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/wall-street-warns-of-rising-ai-debt-risk-as-stocks-slide-on-wobbly-investor-confidence-analysts-warn-of-systemic-risk-as-nvidia-share-price-creaks
    📉 ความกังวลเรื่องหนี้ในอุตสาหกรรม AI รายงานจาก Wall Street ระบุว่าบริษัทเทคโนโลยีและ AI ชั้นนำ เช่น OpenAI, Nvidia, Microsoft, Anthropic ต่างพึ่งพาการกู้ยืมและการลงทุนขนาดใหญ่เพื่อสร้างโครงสร้างพื้นฐาน AI แม้จะยังไม่เห็นผลกำไรที่ชัดเจน การพึ่งพาหนี้จำนวนมหาศาลนี้ทำให้เกิดความเสี่ยงหากรายได้ไม่สามารถตามทันการลงทุน 🏦 การขยายตัวของบริษัทที่ฐานะการเงินอ่อนแอ นักวิเคราะห์จาก Morgan Stanley ชี้ว่า ecosystem ของ AI เริ่มรวมบริษัทที่มีฐานะการเงินอ่อนแอ เช่น Oracle และ CoreWeave ซึ่งต้องกู้เงินจำนวนมากเพื่อแข่งขันในตลาด แม้บริษัทใหญ่เช่น Microsoft, Amazon และ Google ยังมีธุรกิจหลักที่ทำกำไร แต่บริษัทเล็กที่เข้ามาเสริม ecosystem อาจเป็นจุดเปราะบางที่ทำให้เกิดความเสี่ยงเชิงระบบ 📊 ราคาหุ้น Nvidia และแรงกดดันจากนักลงทุน แม้ Nvidia จะยังทำกำไรจากการขาย GPU สำหรับศูนย์ข้อมูล AI แต่ราคาหุ้นก็ลดลงกว่า 10% ตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายน 2025 นักลงทุนเริ่มเข้าสู่ช่วง “show me the money” โดยต้องการเห็นผลตอบแทนที่แท้จริงจากการลงทุน ไม่ใช่เพียงการขยายโครงสร้างพื้นฐานอย่างต่อเนื่อง ⚠️ ความเสี่ยงต่ออนาคตของตลาด AI หากการลงทุนมหาศาลเหล่านี้ไม่สามารถสร้างรายได้ที่ยั่งยืน นักลงทุนอาจถอนตัวและกดดันให้บริษัท AI ต้องปรับกลยุทธ์อย่างเร่งด่วน แม้ยังไม่มีสัญญาณว่าฟองสบู่ AI จะ “แตก” ในทันที แต่ความเชื่อมั่นที่สั่นคลอนอาจนำไปสู่การชะลอตัวของตลาดในปีถัดไป 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ บริษัท AI และเทคโนโลยีชั้นนำพึ่งพาหนี้มหาศาล ➡️ OpenAI, Nvidia, Microsoft, Anthropic ลงทุนโครงสร้างพื้นฐานโดยยังไม่เห็นกำไรชัดเจน ✅ บริษัทที่ฐานะการเงินอ่อนแอเข้ามาใน ecosystem ➡️ Oracle และ CoreWeave ต้องกู้เงินจำนวนมากเพื่อแข่งขัน ✅ ราคาหุ้น Nvidia ลดลงกว่า 10% ตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายน ➡️ นักลงทุนเริ่มเรียกร้องผลตอบแทนที่แท้จริงจากการลงทุน ✅ ตลาด AI เข้าสู่ช่วง “show me the money” ➡️ นักลงทุนต้องการรายได้จริง ไม่ใช่เพียงการขยายโครงสร้างพื้นฐาน ‼️ ความเสี่ยงเชิงระบบจากหนี้และการเชื่อมโยงซับซ้อน ⛔ หากบริษัทเล็กไม่สามารถชำระหนี้ได้ อาจกระทบทั้ง ecosystem ‼️ ความเชื่อมั่นนักลงทุนสั่นคลอน ⛔ อาจนำไปสู่การชะลอตัวของตลาด AI ในปีถัดไป https://www.tomshardware.com/tech-industry/wall-street-warns-of-rising-ai-debt-risk-as-stocks-slide-on-wobbly-investor-confidence-analysts-warn-of-systemic-risk-as-nvidia-share-price-creaks
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 10 มุมมอง 0 รีวิว
  • Panther Lake: ก้าวใหม่ของ Intel

    Intel เปิดเผยว่า Core Ultra 3-series “Panther Lake” จะมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นกว่า 50% และใช้พลังงานน้อยลง 30% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า ถือเป็นการตอบโต้คู่แข่งที่ใช้สถาปัตยกรรม ARM อย่าง Qualcomm และ Apple ที่กำลังรุกตลาดโน้ตบุ๊กพลังงานต่ำ

    การผลิตใน Oregon และ Arizona
    ช่วงแรก Intel จะผลิตชิป Panther Lake ที่โรงงาน D1X ใน Oregon ซึ่งเป็นสายการผลิตนำร่อง ก่อนจะย้ายไปยัง Fab 52 ใน Arizona ที่ได้รับเงินสนับสนุนจาก CHIPS Act การย้ายนี้จะช่วยลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิตในเชิงปริมาณ แม้ในปี 2026 อัตราผลผลิต (yield) ยังต่ำ แต่ Intel คาดว่าจะปรับปรุงได้ต่อเนื่อง

    เทคโนโลยี 18A Node
    Panther Lake เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์แรกที่ใช้ 18A process ซึ่งมีการปรับปรุง yield อย่างต่อเนื่องในระดับ 7% ต่อเดือน ถือเป็นสัญญาณเชิงบวกหลังจาก Intel เคยล้มเหลวกับ node 20A ที่ yield ไม่เสถียร การเข้าสู่เส้นโค้งมาตรฐานอุตสาหกรรมทำให้ Intel มั่นใจว่าจะสามารถแข่งขันกับ TSMC และ Samsung ได้

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม
    การเปิดตัว Panther Lake ไม่เพียงแต่ช่วย Intel ฟื้นความเชื่อมั่นในตลาด แต่ยังเป็นการยืนยันว่าเทคโนโลยี RibbonFET และ PowerVia สามารถใช้งานจริงในเชิงพาณิชย์ หาก Intel สามารถรักษาเส้นทาง yield ได้ตามเป้า จะเป็นการพลิกเกมในตลาด CPU และช่วยให้บริษัทกลับมาเป็นผู้นำด้านการผลิตชิปอีกครั้ง

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Intel เปิดตัว Core Ultra 3-series Panther Lake
    ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น 50% และใช้พลังงานน้อยลง 30%

    การผลิตเริ่มที่โรงงาน D1X Oregon
    จะย้ายไป Fab 52 Arizona เพื่อเพิ่มผลผลิตและลดต้นทุน

    ใช้กระบวนการผลิต 18A node
    มีเทคโนโลยี RibbonFET และ PowerVia

    Yield ปรับปรุงต่อเนื่อง 7% ต่อเดือน
    เข้าสู่เส้นโค้งมาตรฐานอุตสาหกรรม

    Yield ยังต่ำในปี 2026
    อาจกระทบต่อการส่งมอบและต้นทุนในระยะสั้น

    การแข่งขันกับ ARM และ TSMC ยังคงรุนแรง
    Intel ต้องพิสูจน์ว่ากระบวนการ 18A เสถียรและเชื่อถือได้จริง

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/the-panther-stalks-intels-panther-lake-cpus-set-to-take-off-in-oregon-company-reveals-and-cutting-edge-18a-process-is-on-track
    🐆 Panther Lake: ก้าวใหม่ของ Intel Intel เปิดเผยว่า Core Ultra 3-series “Panther Lake” จะมีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นกว่า 50% และใช้พลังงานน้อยลง 30% เมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า ถือเป็นการตอบโต้คู่แข่งที่ใช้สถาปัตยกรรม ARM อย่าง Qualcomm และ Apple ที่กำลังรุกตลาดโน้ตบุ๊กพลังงานต่ำ 🏭 การผลิตใน Oregon และ Arizona ช่วงแรก Intel จะผลิตชิป Panther Lake ที่โรงงาน D1X ใน Oregon ซึ่งเป็นสายการผลิตนำร่อง ก่อนจะย้ายไปยัง Fab 52 ใน Arizona ที่ได้รับเงินสนับสนุนจาก CHIPS Act การย้ายนี้จะช่วยลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิตในเชิงปริมาณ แม้ในปี 2026 อัตราผลผลิต (yield) ยังต่ำ แต่ Intel คาดว่าจะปรับปรุงได้ต่อเนื่อง ⚙️ เทคโนโลยี 18A Node Panther Lake เป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์แรกที่ใช้ 18A process ซึ่งมีการปรับปรุง yield อย่างต่อเนื่องในระดับ 7% ต่อเดือน ถือเป็นสัญญาณเชิงบวกหลังจาก Intel เคยล้มเหลวกับ node 20A ที่ yield ไม่เสถียร การเข้าสู่เส้นโค้งมาตรฐานอุตสาหกรรมทำให้ Intel มั่นใจว่าจะสามารถแข่งขันกับ TSMC และ Samsung ได้ 🌐 ผลกระทบต่ออุตสาหกรรม การเปิดตัว Panther Lake ไม่เพียงแต่ช่วย Intel ฟื้นความเชื่อมั่นในตลาด แต่ยังเป็นการยืนยันว่าเทคโนโลยี RibbonFET และ PowerVia สามารถใช้งานจริงในเชิงพาณิชย์ หาก Intel สามารถรักษาเส้นทาง yield ได้ตามเป้า จะเป็นการพลิกเกมในตลาด CPU และช่วยให้บริษัทกลับมาเป็นผู้นำด้านการผลิตชิปอีกครั้ง 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Intel เปิดตัว Core Ultra 3-series Panther Lake ➡️ ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น 50% และใช้พลังงานน้อยลง 30% ✅ การผลิตเริ่มที่โรงงาน D1X Oregon ➡️ จะย้ายไป Fab 52 Arizona เพื่อเพิ่มผลผลิตและลดต้นทุน ✅ ใช้กระบวนการผลิต 18A node ➡️ มีเทคโนโลยี RibbonFET และ PowerVia ✅ Yield ปรับปรุงต่อเนื่อง 7% ต่อเดือน ➡️ เข้าสู่เส้นโค้งมาตรฐานอุตสาหกรรม ‼️ Yield ยังต่ำในปี 2026 ⛔ อาจกระทบต่อการส่งมอบและต้นทุนในระยะสั้น ‼️ การแข่งขันกับ ARM และ TSMC ยังคงรุนแรง ⛔ Intel ต้องพิสูจน์ว่ากระบวนการ 18A เสถียรและเชื่อถือได้จริง https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/the-panther-stalks-intels-panther-lake-cpus-set-to-take-off-in-oregon-company-reveals-and-cutting-edge-18a-process-is-on-track
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 7 มุมมอง 0 รีวิว
  • Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia แสดงความไม่พอใจต่อการที่ราคาหุ้นบริษัทร่วงลงกว่า 365 พันล้านดอลลาร์

    หลังจาก Nvidia รายงานผลประกอบการไตรมาสล่าสุดที่ยอดเยี่ยม ทั้งรายได้และความต้องการ GPU สำหรับศูนย์ข้อมูลยังคงสูง ราคาหุ้นกลับร่วงจากประมาณ $195 ลงไปที่ $180 ภายในวันเดียว ทำให้มูลค่าตลาดหายไปกว่า 365 พันล้านดอลลาร์ Huang กล่าวในที่ประชุมพนักงานว่า “ตลาดไม่ได้เห็นคุณค่าของสิ่งที่เราทำ”

    ความกังวลเรื่องฟองสบู่ AI
    Huang ยอมรับว่าการเติบโตอย่างรวดเร็วของ Nvidia ทำให้หลายฝ่ายกังวลว่าอาจเป็นสัญญาณของ ฟองสบู่ AI โดยเขากล่าวว่า “ถ้าเราทำผลงานแย่ จะถูกมองว่าเป็นหลักฐานว่ามีฟองสบู่ แต่ถ้าเราทำผลงานดี ก็จะถูกมองว่าเรากำลังเติมเชื้อให้ฟองสบู่” คำพูดนี้สะท้อนถึงแรงกดดันที่ Nvidia ต้องเผชิญจากทั้งนักลงทุนและสังคม

    ความต้องการชิป AI ยังสูง
    แม้ราคาหุ้นจะผันผวน แต่ Nvidia ยืนยันว่าชิปสำหรับศูนย์ข้อมูลยังคงขายหมดทุกล็อต และคาดว่าความต้องการจะต่อเนื่องไปจนถึงปี 2026 โดยบริษัทตั้งเป้ารายได้ไตรมาส 4 ที่ 62 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งสะท้อนถึงความแข็งแกร่งของธุรกิจ แม้ตลาดการเงินจะยังไม่มั่นใจ

    ผลกระทบต่อภาพลักษณ์และตลาด
    การร่วงของหุ้น Nvidia ไม่ได้สะท้อนถึงผลประกอบการ แต่สะท้อนถึงความไม่มั่นใจของนักลงทุนต่ออนาคตของอุตสาหกรรม AI โดยรวม หากความเชื่อมั่นยังไม่ฟื้น อาจกระทบต่อการลงทุนในเทคโนโลยี AI และทำให้บริษัทอื่น ๆ ใน ecosystem ต้องเผชิญแรงกดดันตามไปด้วย

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ราคาหุ้น Nvidia ร่วงจาก $195 เหลือ $180
    มูลค่าตลาดหายไปกว่า 365 พันล้านดอลลาร์ในวันเดียว

    Jensen Huang กล่าวว่าตลาดไม่เห็นคุณค่าของผลประกอบการ
    แม้บริษัททำผลงานไตรมาสล่าสุดได้ยอดเยี่ยม

    ความกังวลเรื่องฟองสบู่ AI
    Huang เตือนว่าทั้งผลงานดีหรือแย่ก็ถูกตีความว่าเป็นสัญญาณฟองสบู่

    ความต้องการชิป AI ยังสูง
    รายได้ไตรมาส 4 คาดแตะ 62 พันล้านดอลลาร์

    ความเชื่อมั่นนักลงทุนสั่นคลอน
    อาจกระทบต่อการลงทุนในอุตสาหกรรม AI โดยรวม

    ความเสี่ยงจากการตีความผิดของตลาด
    อาจทำให้ราคาหุ้นผันผวนแม้ผลประกอบการแข็งแกร่ง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/nvidia-ceo-jensen-huang-complains-about-stock-price-slide-during-all-hands-meeting-says-market-did-not-appreciate-companys-incredible-quarter
    📉 Jensen Huang ซีอีโอของ Nvidia แสดงความไม่พอใจต่อการที่ราคาหุ้นบริษัทร่วงลงกว่า 365 พันล้านดอลลาร์ หลังจาก Nvidia รายงานผลประกอบการไตรมาสล่าสุดที่ยอดเยี่ยม ทั้งรายได้และความต้องการ GPU สำหรับศูนย์ข้อมูลยังคงสูง ราคาหุ้นกลับร่วงจากประมาณ $195 ลงไปที่ $180 ภายในวันเดียว ทำให้มูลค่าตลาดหายไปกว่า 365 พันล้านดอลลาร์ Huang กล่าวในที่ประชุมพนักงานว่า “ตลาดไม่ได้เห็นคุณค่าของสิ่งที่เราทำ” 🧩 ความกังวลเรื่องฟองสบู่ AI Huang ยอมรับว่าการเติบโตอย่างรวดเร็วของ Nvidia ทำให้หลายฝ่ายกังวลว่าอาจเป็นสัญญาณของ ฟองสบู่ AI โดยเขากล่าวว่า “ถ้าเราทำผลงานแย่ จะถูกมองว่าเป็นหลักฐานว่ามีฟองสบู่ แต่ถ้าเราทำผลงานดี ก็จะถูกมองว่าเรากำลังเติมเชื้อให้ฟองสบู่” คำพูดนี้สะท้อนถึงแรงกดดันที่ Nvidia ต้องเผชิญจากทั้งนักลงทุนและสังคม 🏭 ความต้องการชิป AI ยังสูง แม้ราคาหุ้นจะผันผวน แต่ Nvidia ยืนยันว่าชิปสำหรับศูนย์ข้อมูลยังคงขายหมดทุกล็อต และคาดว่าความต้องการจะต่อเนื่องไปจนถึงปี 2026 โดยบริษัทตั้งเป้ารายได้ไตรมาส 4 ที่ 62 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งสะท้อนถึงความแข็งแกร่งของธุรกิจ แม้ตลาดการเงินจะยังไม่มั่นใจ 🌐 ผลกระทบต่อภาพลักษณ์และตลาด การร่วงของหุ้น Nvidia ไม่ได้สะท้อนถึงผลประกอบการ แต่สะท้อนถึงความไม่มั่นใจของนักลงทุนต่ออนาคตของอุตสาหกรรม AI โดยรวม หากความเชื่อมั่นยังไม่ฟื้น อาจกระทบต่อการลงทุนในเทคโนโลยี AI และทำให้บริษัทอื่น ๆ ใน ecosystem ต้องเผชิญแรงกดดันตามไปด้วย 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ราคาหุ้น Nvidia ร่วงจาก $195 เหลือ $180 ➡️ มูลค่าตลาดหายไปกว่า 365 พันล้านดอลลาร์ในวันเดียว ✅ Jensen Huang กล่าวว่าตลาดไม่เห็นคุณค่าของผลประกอบการ ➡️ แม้บริษัททำผลงานไตรมาสล่าสุดได้ยอดเยี่ยม ✅ ความกังวลเรื่องฟองสบู่ AI ➡️ Huang เตือนว่าทั้งผลงานดีหรือแย่ก็ถูกตีความว่าเป็นสัญญาณฟองสบู่ ✅ ความต้องการชิป AI ยังสูง ➡️ รายได้ไตรมาส 4 คาดแตะ 62 พันล้านดอลลาร์ ‼️ ความเชื่อมั่นนักลงทุนสั่นคลอน ⛔ อาจกระทบต่อการลงทุนในอุตสาหกรรม AI โดยรวม ‼️ ความเสี่ยงจากการตีความผิดของตลาด ⛔ อาจทำให้ราคาหุ้นผันผวนแม้ผลประกอบการแข็งแกร่ง https://www.tomshardware.com/tech-industry/nvidia-ceo-jensen-huang-complains-about-stock-price-slide-during-all-hands-meeting-says-market-did-not-appreciate-companys-incredible-quarter
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 10 มุมมอง 0 รีวิว
  • Dell และ HP ได้ปิดการทำงานของ HEVC/H.265 hardware decoding บนโน้ตบุ๊กและพีซีบางรุ่น

    ทั้งสองบริษัทยืนยันว่าโน้ตบุ๊กในกลุ่ม entry-level และ mainstream เช่น Dell’s standard/base systems และ HP EliteBook, ProBook series รุ่นใหม่ จะถูกปิดการทำงานของ HEVC/H.265 hardware decoding โดยอธิบายว่าเป็นการปรับตามต้นทุนลิขสิทธิ์ที่เพิ่มขึ้น ขณะที่รุ่นพรีเมียมที่มีจอ 4K, GPU แยก หรือ Dolby Vision ยังคงรองรับตามปกติ

    เหตุผลด้านค่าลิขสิทธิ์
    การรองรับ HEVC/H.265 ต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์ให้กับหลายกลุ่มสิทธิบัตร เช่น MPEG LA, HEVC Advance, Velos Media และ Via LA ซึ่งรวมแล้วอาจสูงถึง $1–2 ต่อเครื่อง หรือหลายสิบล้านดอลลาร์ต่อปีสำหรับผู้ผลิตที่ขายพีซีจำนวนมาก การปิดฟีเจอร์นี้จึงช่วยให้ Dell และ HP ประหยัดต้นทุนมหาศาล

    ผลกระทบต่อผู้ใช้
    ผู้ใช้ที่ซื้อเครื่องราคาประหยัดจะไม่สามารถเล่นวิดีโอ HEVC/H.265 ด้วยการถอดรหัสแบบ hardware ได้ ต้องพึ่งพา software decoding ซึ่งกินพลังงานมากกว่าและอาจทำให้เครื่องร้อนหรือแบตหมดเร็วขึ้น โดย Dell แนะนำให้ผู้ใช้ซื้อแอปเสริมจาก Microsoft Store แต่ผู้เชี่ยวชาญย้ำว่าแอปเหล่านี้ไม่สามารถเปิดใช้งาน hardware decoding ได้จริง

    ทางเลือกและอนาคต
    ผู้ใช้ที่ได้รับผลกระทบอาจต้องหันไปใช้ AV1 codec ซึ่งเป็นมาตรฐานเปิดและไม่เสียค่าลิขสิทธิ์ หลายแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง เช่น YouTube และ Netflix กำลังเปลี่ยนมาใช้ AV1 อย่างจริงจัง ทำให้การตัด HEVC อาจเป็นการบังคับให้ตลาดเดินหน้าไปสู่ codec แบบเปิดเร็วขึ้น

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Dell และ HP ปิดการทำงาน HEVC/H.265 hardware decoding บนโน้ตบุ๊ก mainstream
    รุ่นพรีเมียมที่มีจอ 4K หรือ GPU แยกยังคงรองรับ

    เหตุผลคือค่าลิขสิทธิ์สูงจากหลายกลุ่มสิทธิบัตร
    อาจสูงถึง $1–2 ต่อเครื่อง รวมเป็นหลายสิบล้านดอลลาร์ต่อปี

    ผู้ใช้ต้องพึ่งพา software decoding
    ทำให้แบตหมดเร็วและเครื่องร้อนขึ้น

    Dell แนะนำให้ซื้อแอปเสริมจาก Microsoft Store
    แต่ไม่สามารถเปิดใช้งาน hardware decoding ได้จริง

    AV1 codec กำลังเป็นทางเลือกใหม่
    YouTube และ Netflix เริ่มใช้ AV1 อย่างแพร่หลาย

    ผู้ใช้เครื่องราคาประหยัดได้รับผลกระทบโดยตรง
    ประสบการณ์การเล่นวิดีโอด้อยลงและสิ้นเปลืองพลังงานมากขึ้น

    ความเสี่ยงต่อการยอมรับ HEVC ในอนาคต
    อาจถูกแทนที่ด้วย AV1 เร็วกว่าที่คาดการณ์

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/dell-and-hp-disable-hardware-h-265-decoding-on-select-pcs-due-to-rising-royalty-costs-companies-could-save-big-on-hevc-royalties-but-at-the-expense-of-users
    💻 Dell และ HP ได้ปิดการทำงานของ HEVC/H.265 hardware decoding บนโน้ตบุ๊กและพีซีบางรุ่น ทั้งสองบริษัทยืนยันว่าโน้ตบุ๊กในกลุ่ม entry-level และ mainstream เช่น Dell’s standard/base systems และ HP EliteBook, ProBook series รุ่นใหม่ จะถูกปิดการทำงานของ HEVC/H.265 hardware decoding โดยอธิบายว่าเป็นการปรับตามต้นทุนลิขสิทธิ์ที่เพิ่มขึ้น ขณะที่รุ่นพรีเมียมที่มีจอ 4K, GPU แยก หรือ Dolby Vision ยังคงรองรับตามปกติ 💰 เหตุผลด้านค่าลิขสิทธิ์ การรองรับ HEVC/H.265 ต้องจ่ายค่าลิขสิทธิ์ให้กับหลายกลุ่มสิทธิบัตร เช่น MPEG LA, HEVC Advance, Velos Media และ Via LA ซึ่งรวมแล้วอาจสูงถึง $1–2 ต่อเครื่อง หรือหลายสิบล้านดอลลาร์ต่อปีสำหรับผู้ผลิตที่ขายพีซีจำนวนมาก การปิดฟีเจอร์นี้จึงช่วยให้ Dell และ HP ประหยัดต้นทุนมหาศาล 🎥 ผลกระทบต่อผู้ใช้ ผู้ใช้ที่ซื้อเครื่องราคาประหยัดจะไม่สามารถเล่นวิดีโอ HEVC/H.265 ด้วยการถอดรหัสแบบ hardware ได้ ต้องพึ่งพา software decoding ซึ่งกินพลังงานมากกว่าและอาจทำให้เครื่องร้อนหรือแบตหมดเร็วขึ้น โดย Dell แนะนำให้ผู้ใช้ซื้อแอปเสริมจาก Microsoft Store แต่ผู้เชี่ยวชาญย้ำว่าแอปเหล่านี้ไม่สามารถเปิดใช้งาน hardware decoding ได้จริง 🌐 ทางเลือกและอนาคต ผู้ใช้ที่ได้รับผลกระทบอาจต้องหันไปใช้ AV1 codec ซึ่งเป็นมาตรฐานเปิดและไม่เสียค่าลิขสิทธิ์ หลายแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง เช่น YouTube และ Netflix กำลังเปลี่ยนมาใช้ AV1 อย่างจริงจัง ทำให้การตัด HEVC อาจเป็นการบังคับให้ตลาดเดินหน้าไปสู่ codec แบบเปิดเร็วขึ้น 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Dell และ HP ปิดการทำงาน HEVC/H.265 hardware decoding บนโน้ตบุ๊ก mainstream ➡️ รุ่นพรีเมียมที่มีจอ 4K หรือ GPU แยกยังคงรองรับ ✅ เหตุผลคือค่าลิขสิทธิ์สูงจากหลายกลุ่มสิทธิบัตร ➡️ อาจสูงถึง $1–2 ต่อเครื่อง รวมเป็นหลายสิบล้านดอลลาร์ต่อปี ✅ ผู้ใช้ต้องพึ่งพา software decoding ➡️ ทำให้แบตหมดเร็วและเครื่องร้อนขึ้น ✅ Dell แนะนำให้ซื้อแอปเสริมจาก Microsoft Store ➡️ แต่ไม่สามารถเปิดใช้งาน hardware decoding ได้จริง ✅ AV1 codec กำลังเป็นทางเลือกใหม่ ➡️ YouTube และ Netflix เริ่มใช้ AV1 อย่างแพร่หลาย ‼️ ผู้ใช้เครื่องราคาประหยัดได้รับผลกระทบโดยตรง ⛔ ประสบการณ์การเล่นวิดีโอด้อยลงและสิ้นเปลืองพลังงานมากขึ้น ‼️ ความเสี่ยงต่อการยอมรับ HEVC ในอนาคต ⛔ อาจถูกแทนที่ด้วย AV1 เร็วกว่าที่คาดการณ์ https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/dell-and-hp-disable-hardware-h-265-decoding-on-select-pcs-due-to-rising-royalty-costs-companies-could-save-big-on-hevc-royalties-but-at-the-expense-of-users
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 8 มุมมอง 0 รีวิว
  • EP 82
    BITCOIN ไม่หลุดแปดหมื่นเหรียนเพราะอะไร ติดตามในคลิปนี้
    EP 82 BITCOIN ไม่หลุดแปดหมื่นเหรียนเพราะอะไร ติดตามในคลิปนี้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 5 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • ASUS ได้ปล่อย ROG Matrix RTX 5090 BIOS แบบ 800W (XOC BIOS)

    BIOS รุ่นพิเศษนี้เดิมทีออกแบบมาสำหรับ ASUS ROG Matrix RTX 5090 ที่มีระบบระบายความร้อนขั้นสูงและ PCB แบบกำหนดเอง แต่ผู้ใช้ในชุมชน Overclock.net ได้ทดลองแฟลชลงบนการ์ดจาก Gigabyte, MSI, Palit และ PNY ผลลัพธ์คือสามารถดันความเร็วสัญญาณนาฬิกาเพิ่มขึ้นกว่า +200–300 MHz เมื่อเทียบกับ BIOS เดิม

    เงื่อนไขการทำงานและข้อจำกัด
    ไม่ใช่ทุกการ์ดที่สามารถใช้งาน BIOS นี้ได้สำเร็จ โดยเฉพาะรุ่นที่มี ช่องต่อพัดลมเพียง 2 ช่อง เช่น ASUS Astral หรือ TUF ซึ่งไม่สามารถตอบสนองต่อ BIOS ที่ออกแบบมาสำหรับ 3 ช่องต่อพัดลม ทำให้เกิดปัญหาการบูตหรือการทำงานไม่เสถียร

    ความเสี่ยงด้านพลังงานและความร้อน
    การใช้ BIOS 800W ทำให้การ์ดจอใช้พลังงานสูงขึ้นมาก โดยบางกรณีอาจเกินขีดจำกัดของ 16-pin power connector ที่เคยมีปัญหากับ RTX 4090 และ RTX 5090 อยู่แล้ว ผู้ใช้บางรายรายงานว่าแม้จะได้ความเร็วเพิ่มขึ้น แต่ก็ต้องแลกกับการใช้พลังงานและความร้อนที่สูงขึ้นอย่างมาก

    คำเตือนจากผู้เชี่ยวชาญ
    แม้จะมีคู่มือการแฟลช BIOS เผยแพร่ในชุมชน แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า การแฟลช BIOS ข้ามแบรนด์มีความเสี่ยงสูง อาจทำให้การ์ดจอเสียหายหรือหมดประกันทันที การโอเวอร์คล็อกในระดับนี้เหมาะสำหรับนักทดลองที่เข้าใจความเสี่ยง ไม่ใช่ผู้ใช้ทั่วไป

    สรุปประเด็นสำคัญ
    ASUS ปล่อย ROG Matrix RTX 5090 BIOS 800W
    สามารถแฟลชลงบนการ์ด Gigabyte, MSI, Palit, PNY ได้

    เพิ่มความเร็วสัญญาณนาฬิกาได้กว่า +200–300 MHz
    ให้ประสิทธิภาพสูงขึ้นในการเล่นเกมและงานกราฟิก

    เฉพาะการ์ดที่มี 3 ช่องต่อพัดลม เท่านั้นที่ใช้งานได้เสถียร
    รุ่นที่มี 2 ช่องต่อพัดลม เช่น Astral, TUF ใช้งานไม่ได้

    มีคู่มือการแฟลช BIOS เผยแพร่ในชุมชน Overclock.net
    ใช้คำสั่งผ่าน Command Prompt และ nvflash

    ความเสี่ยงด้านพลังงานและความร้อนสูง
    อาจทำให้ 16-pin power connector เสียหายหรือเกิดปัญหาไฟฟ้า

    การแฟลช BIOS ข้ามแบรนด์เสี่ยงทำให้การ์ดเสียหาย
    หมดประกันทันทีและอาจไม่สามารถใช้งานได้อีก

    https://wccftech.com/asus-800w-rog-matrix-xoc-bios-flashed-rtx-5090-gpus-gigabyte-pny-msi-massive-boost/
    💪 ASUS ได้ปล่อย ROG Matrix RTX 5090 BIOS แบบ 800W (XOC BIOS) BIOS รุ่นพิเศษนี้เดิมทีออกแบบมาสำหรับ ASUS ROG Matrix RTX 5090 ที่มีระบบระบายความร้อนขั้นสูงและ PCB แบบกำหนดเอง แต่ผู้ใช้ในชุมชน Overclock.net ได้ทดลองแฟลชลงบนการ์ดจาก Gigabyte, MSI, Palit และ PNY ผลลัพธ์คือสามารถดันความเร็วสัญญาณนาฬิกาเพิ่มขึ้นกว่า +200–300 MHz เมื่อเทียบกับ BIOS เดิม 🖥️ เงื่อนไขการทำงานและข้อจำกัด ไม่ใช่ทุกการ์ดที่สามารถใช้งาน BIOS นี้ได้สำเร็จ โดยเฉพาะรุ่นที่มี ช่องต่อพัดลมเพียง 2 ช่อง เช่น ASUS Astral หรือ TUF ซึ่งไม่สามารถตอบสนองต่อ BIOS ที่ออกแบบมาสำหรับ 3 ช่องต่อพัดลม ทำให้เกิดปัญหาการบูตหรือการทำงานไม่เสถียร 🔥 ความเสี่ยงด้านพลังงานและความร้อน การใช้ BIOS 800W ทำให้การ์ดจอใช้พลังงานสูงขึ้นมาก โดยบางกรณีอาจเกินขีดจำกัดของ 16-pin power connector ที่เคยมีปัญหากับ RTX 4090 และ RTX 5090 อยู่แล้ว ผู้ใช้บางรายรายงานว่าแม้จะได้ความเร็วเพิ่มขึ้น แต่ก็ต้องแลกกับการใช้พลังงานและความร้อนที่สูงขึ้นอย่างมาก 🚨 คำเตือนจากผู้เชี่ยวชาญ แม้จะมีคู่มือการแฟลช BIOS เผยแพร่ในชุมชน แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า การแฟลช BIOS ข้ามแบรนด์มีความเสี่ยงสูง อาจทำให้การ์ดจอเสียหายหรือหมดประกันทันที การโอเวอร์คล็อกในระดับนี้เหมาะสำหรับนักทดลองที่เข้าใจความเสี่ยง ไม่ใช่ผู้ใช้ทั่วไป 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ ASUS ปล่อย ROG Matrix RTX 5090 BIOS 800W ➡️ สามารถแฟลชลงบนการ์ด Gigabyte, MSI, Palit, PNY ได้ ✅ เพิ่มความเร็วสัญญาณนาฬิกาได้กว่า +200–300 MHz ➡️ ให้ประสิทธิภาพสูงขึ้นในการเล่นเกมและงานกราฟิก ✅ เฉพาะการ์ดที่มี 3 ช่องต่อพัดลม เท่านั้นที่ใช้งานได้เสถียร ➡️ รุ่นที่มี 2 ช่องต่อพัดลม เช่น Astral, TUF ใช้งานไม่ได้ ✅ มีคู่มือการแฟลช BIOS เผยแพร่ในชุมชน Overclock.net ➡️ ใช้คำสั่งผ่าน Command Prompt และ nvflash ‼️ ความเสี่ยงด้านพลังงานและความร้อนสูง ⛔ อาจทำให้ 16-pin power connector เสียหายหรือเกิดปัญหาไฟฟ้า ‼️ การแฟลช BIOS ข้ามแบรนด์เสี่ยงทำให้การ์ดเสียหาย ⛔ หมดประกันทันทีและอาจไม่สามารถใช้งานได้อีก https://wccftech.com/asus-800w-rog-matrix-xoc-bios-flashed-rtx-5090-gpus-gigabyte-pny-msi-massive-boost/
    WCCFTECH.COM
    ASUS's 800W "ROG Matrix" XOC BIOS Flashed on Several GeForce RTX 5090 GPUs From Gigabyte, PNY, & MSI, Massive Boost In Clocks
    ASUS's 800W XOC BIOS, designed for the ROG Matrix RTX 5090, has been flashed on several custom designs from other AICs.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 7 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผลทดสอบ AnTuTu ของ Snapdragon 8 Gen 5

    Snapdragon 8 Gen 5 ใช้กระบวนการผลิต 3nm N3P เช่นเดียวกับรุ่น Elite แต่มีการปรับลดความเร็วสัญญาณนาฬิกาเพื่อควบคุมพลังงานและความร้อน ผลทดสอบ AnTuTu ล่าสุดทำได้ 3.56 ล้านคะแนน ขณะที่ Snapdragon 8 Elite Gen 5 ทำได้ประมาณ 4 ล้านคะแนน ซึ่งต่างกันเพียง 14% ถือเป็นตัวเลขที่น่าประทับใจสำหรับชิปที่ไม่ใช่รุ่นท็อป

    สเปกและการใช้งานจริง
    ชิป Snapdragon 8 Gen 5 จะถูกใช้ครั้งแรกใน OnePlus Ace 6T ที่มาพร้อม Android 16, RAM 16GB LPDDR5X และ UFS 4.1 ขนาด 1TB โดย CPU ใช้โครงสร้าง 2+6 cluster ที่มีคอร์ประสิทธิภาพทำงานที่ 3.80GHz และคอร์ประหยัดพลังงานที่ 3.32GHz การออกแบบนี้ช่วยลดปัญหาความร้อนที่พบในรุ่น Elite

    จุดเด่นของ Snapdragon 8 Gen 5
    แม้จะไม่ใช่รุ่นเรือธง แต่ Snapdragon 8 Gen 5 ยังคงรองรับฟีเจอร์ระดับสูง เช่น การเล่นเกมกราฟิกหนัก, การถ่ายวิดีโอ 8K และการประมวลผล AI บนอุปกรณ์พกพา จุดเด่นคือการจัดสมดุลระหว่าง ประสิทธิภาพและการควบคุมความร้อน ซึ่งทำให้เหมาะกับผู้ผลิตที่ต้องการชิปพรีเมียมแต่ไม่อยากจ่ายราคาสูงสำหรับรุ่น Elite

    ผลกระทบต่อตลาดสมาร์ทโฟน
    การเปิดตัว Snapdragon 8 Gen 5 ทำให้ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนมีตัวเลือกที่หลากหลายมากขึ้น โดยสามารถนำไปใช้ในรุ่นพรีเมียมระดับกลางที่ยังคงให้ประสบการณ์ใกล้เคียงกับเรือธง การแข่งขันในตลาด Android จะยิ่งรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะกับแบรนด์จีนที่มักใช้กลยุทธ์ “คุ้มค่าเกินราคา”

    สรุปประเด็นสำคัญ
    Snapdragon 8 Gen 5 ทำคะแนน AnTuTu ได้ 3.56 ล้าน
    ต่ำกว่า Snapdragon 8 Elite Gen 5 เพียง 14%

    ใช้กระบวนการผลิต 3nm N3P เช่นเดียวกับรุ่น Elite
    แต่ลดความเร็วสัญญาณนาฬิกาเพื่อควบคุมพลังงานและความร้อน

    เปิดตัวครั้งแรกใน OnePlus Ace 6T
    มาพร้อม Android 16, RAM 16GB, UFS 4.1 ขนาด 1TB

    CPU ใช้โครงสร้าง 2+6 cluster
    คอร์ประสิทธิภาพ 3.80GHz และคอร์ประหยัดพลังงาน 3.32GHz

    ความเสี่ยงด้านความร้อนและการจัดการพลังงาน
    แม้จะลดความเร็ว แต่ยังต้องทดสอบเพิ่มเติมในงานจริง

    การแข่งขันในตลาด Android จะรุนแรงขึ้น
    ผู้ผลิตต้องหาจุดสมดุลระหว่างราคาและประสิทธิภาพ

    https://wccftech.com/snapdragon-8-gen-5-antutu-results-only-slightly-lower-than-snapdragon-8-elite-gen-5/
    📊 ผลทดสอบ AnTuTu ของ Snapdragon 8 Gen 5 Snapdragon 8 Gen 5 ใช้กระบวนการผลิต 3nm N3P เช่นเดียวกับรุ่น Elite แต่มีการปรับลดความเร็วสัญญาณนาฬิกาเพื่อควบคุมพลังงานและความร้อน ผลทดสอบ AnTuTu ล่าสุดทำได้ 3.56 ล้านคะแนน ขณะที่ Snapdragon 8 Elite Gen 5 ทำได้ประมาณ 4 ล้านคะแนน ซึ่งต่างกันเพียง 14% ถือเป็นตัวเลขที่น่าประทับใจสำหรับชิปที่ไม่ใช่รุ่นท็อป ⚙️ สเปกและการใช้งานจริง ชิป Snapdragon 8 Gen 5 จะถูกใช้ครั้งแรกใน OnePlus Ace 6T ที่มาพร้อม Android 16, RAM 16GB LPDDR5X และ UFS 4.1 ขนาด 1TB โดย CPU ใช้โครงสร้าง 2+6 cluster ที่มีคอร์ประสิทธิภาพทำงานที่ 3.80GHz และคอร์ประหยัดพลังงานที่ 3.32GHz การออกแบบนี้ช่วยลดปัญหาความร้อนที่พบในรุ่น Elite 🔥 จุดเด่นของ Snapdragon 8 Gen 5 แม้จะไม่ใช่รุ่นเรือธง แต่ Snapdragon 8 Gen 5 ยังคงรองรับฟีเจอร์ระดับสูง เช่น การเล่นเกมกราฟิกหนัก, การถ่ายวิดีโอ 8K และการประมวลผล AI บนอุปกรณ์พกพา จุดเด่นคือการจัดสมดุลระหว่าง ประสิทธิภาพและการควบคุมความร้อน ซึ่งทำให้เหมาะกับผู้ผลิตที่ต้องการชิปพรีเมียมแต่ไม่อยากจ่ายราคาสูงสำหรับรุ่น Elite 🌐 ผลกระทบต่อตลาดสมาร์ทโฟน การเปิดตัว Snapdragon 8 Gen 5 ทำให้ผู้ผลิตสมาร์ทโฟนมีตัวเลือกที่หลากหลายมากขึ้น โดยสามารถนำไปใช้ในรุ่นพรีเมียมระดับกลางที่ยังคงให้ประสบการณ์ใกล้เคียงกับเรือธง การแข่งขันในตลาด Android จะยิ่งรุนแรงขึ้น โดยเฉพาะกับแบรนด์จีนที่มักใช้กลยุทธ์ “คุ้มค่าเกินราคา” 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ Snapdragon 8 Gen 5 ทำคะแนน AnTuTu ได้ 3.56 ล้าน ➡️ ต่ำกว่า Snapdragon 8 Elite Gen 5 เพียง 14% ✅ ใช้กระบวนการผลิต 3nm N3P เช่นเดียวกับรุ่น Elite ➡️ แต่ลดความเร็วสัญญาณนาฬิกาเพื่อควบคุมพลังงานและความร้อน ✅ เปิดตัวครั้งแรกใน OnePlus Ace 6T ➡️ มาพร้อม Android 16, RAM 16GB, UFS 4.1 ขนาด 1TB ✅ CPU ใช้โครงสร้าง 2+6 cluster ➡️ คอร์ประสิทธิภาพ 3.80GHz และคอร์ประหยัดพลังงาน 3.32GHz ‼️ ความเสี่ยงด้านความร้อนและการจัดการพลังงาน ⛔ แม้จะลดความเร็ว แต่ยังต้องทดสอบเพิ่มเติมในงานจริง ‼️ การแข่งขันในตลาด Android จะรุนแรงขึ้น ⛔ ผู้ผลิตต้องหาจุดสมดุลระหว่างราคาและประสิทธิภาพ https://wccftech.com/snapdragon-8-gen-5-antutu-results-only-slightly-lower-than-snapdragon-8-elite-gen-5/
    WCCFTECH.COM
    Snapdragon 8 Gen 5’s AnTuTu Results Are Just A Tier Below The Snapdragon 8 Elite Gen 5, Highlighting Qualcomm’s Incredible Progress With Non-Flagship SoCs
    The first AnTuTu results of the Snapdragon 8 Gen 5 are here, and the fact that it performs just slightly slower than the Snapdragon 8 Elite Gen 5 is downright impressive
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 6 มุมมอง 0 รีวิว
  • การขยายกำลังผลิต DRAM ของ SK hynix

    SK hynix หนึ่งในผู้ผลิต DRAM รายใหญ่ที่สุดของโลก ประกาศว่าจะเพิ่มกำลังผลิต 1c DRAM จาก 20,000 หน่วยต่อเดือนเป็น 140,000 หน่วยต่อเดือน ที่โรงงาน Icheon ภายในปี 2026 การขยายนี้จะเน้นไปที่ GDDR7 modules และ SOCAMM memory ซึ่งถูกใช้อย่างแพร่หลายในเซิร์ฟเวอร์ AI

    ความต้องการจากอุตสาหกรรม AI
    ความต้องการ DRAM ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเกิดจากการขยายตัวของ AI inference workloads โดยเฉพาะในศูนย์ข้อมูลทั่วโลก ตัวอย่างเช่น โครงการ Stargate ของ OpenAI เพียงโครงการเดียวคาดว่าจะใช้ DRAM wafers ถึง 900,000 ต่อเดือน ซึ่งคิดเป็นกว่า 40% ของกำลังผลิตรวมในปัจจุบัน

    ผลกระทบต่อผู้บริโภคทั่วไป
    แม้ SK hynix และคู่แข่งอย่าง Samsung และ Micron จะเร่งขยายกำลังผลิต แต่การเพิ่มนี้จะถูกจัดสรรไปยัง ตลาด AI เป็นหลัก ทำให้ผู้บริโภคทั่วไป เช่น ผู้ใช้พีซีและเกมเมอร์ ยังต้องเผชิญกับภาวะขาดแคลนและราคาที่สูงต่อไปในระยะสั้น

    แนวโน้ม “DRAM Supercycle”
    นักวิเคราะห์คาดว่าตลาด DRAM กำลังเข้าสู่ “supercycle” ซึ่งหมายถึงช่วงเวลาที่ความต้องการสูงต่อเนื่องหลายปี โดยมีแรงขับเคลื่อนจาก AI, HBM4/HBM4E และการสร้างศูนย์ข้อมูลทั่วโลก แม้ผู้ผลิตจะเร่งขยายกำลังผลิต แต่ก็ยังต้องใช้เวลาหลายปีเพื่อให้ทันกับความต้องการ

    สรุปประเด็นสำคัญ
    SK hynix จะเพิ่มกำลังผลิต DRAM มากกว่า 8 เท่า
    จาก 20,000 หน่วยต่อเดือนเป็น 140,000 หน่วยต่อเดือนภายในปี 2026

    การผลิตเน้นไปที่ GDDR7 และ SOCAMM memory
    ใช้ในเซิร์ฟเวอร์ AI และงานประมวลผลขั้นสูง

    ความต้องการจากโครงการ AI เช่น OpenAI Stargate
    ใช้ DRAM wafers 900,000 ต่อเดือน คิดเป็น 40% ของกำลังผลิตรวม

    ตลาดผู้บริโภคทั่วไปยังคงขาดแคลน
    การขยายกำลังผลิตถูกจัดสรรไปที่ตลาด AI เป็นหลัก

    ความเสี่ยงจาก “DRAM Supercycle”
    ความต้องการสูงต่อเนื่องหลายปี อาจทำให้ราคายังอยู่ในระดับสูง

    ผู้ใช้พีซีและเกมเมอร์ได้รับผลกระทบ
    ราคาหน่วยความจำยังคงแพงและหายากในระยะสั้น

    https://wccftech.com/sk-hynix-to-increase-dram-production-by-a-whopping-eight-folds/
    🏭 การขยายกำลังผลิต DRAM ของ SK hynix SK hynix หนึ่งในผู้ผลิต DRAM รายใหญ่ที่สุดของโลก ประกาศว่าจะเพิ่มกำลังผลิต 1c DRAM จาก 20,000 หน่วยต่อเดือนเป็น 140,000 หน่วยต่อเดือน ที่โรงงาน Icheon ภายในปี 2026 การขยายนี้จะเน้นไปที่ GDDR7 modules และ SOCAMM memory ซึ่งถูกใช้อย่างแพร่หลายในเซิร์ฟเวอร์ AI 🤖 ความต้องการจากอุตสาหกรรม AI ความต้องการ DRAM ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วเกิดจากการขยายตัวของ AI inference workloads โดยเฉพาะในศูนย์ข้อมูลทั่วโลก ตัวอย่างเช่น โครงการ Stargate ของ OpenAI เพียงโครงการเดียวคาดว่าจะใช้ DRAM wafers ถึง 900,000 ต่อเดือน ซึ่งคิดเป็นกว่า 40% ของกำลังผลิตรวมในปัจจุบัน 📉 ผลกระทบต่อผู้บริโภคทั่วไป แม้ SK hynix และคู่แข่งอย่าง Samsung และ Micron จะเร่งขยายกำลังผลิต แต่การเพิ่มนี้จะถูกจัดสรรไปยัง ตลาด AI เป็นหลัก ทำให้ผู้บริโภคทั่วไป เช่น ผู้ใช้พีซีและเกมเมอร์ ยังต้องเผชิญกับภาวะขาดแคลนและราคาที่สูงต่อไปในระยะสั้น 🔮 แนวโน้ม “DRAM Supercycle” นักวิเคราะห์คาดว่าตลาด DRAM กำลังเข้าสู่ “supercycle” ซึ่งหมายถึงช่วงเวลาที่ความต้องการสูงต่อเนื่องหลายปี โดยมีแรงขับเคลื่อนจาก AI, HBM4/HBM4E และการสร้างศูนย์ข้อมูลทั่วโลก แม้ผู้ผลิตจะเร่งขยายกำลังผลิต แต่ก็ยังต้องใช้เวลาหลายปีเพื่อให้ทันกับความต้องการ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ SK hynix จะเพิ่มกำลังผลิต DRAM มากกว่า 8 เท่า ➡️ จาก 20,000 หน่วยต่อเดือนเป็น 140,000 หน่วยต่อเดือนภายในปี 2026 ✅ การผลิตเน้นไปที่ GDDR7 และ SOCAMM memory ➡️ ใช้ในเซิร์ฟเวอร์ AI และงานประมวลผลขั้นสูง ✅ ความต้องการจากโครงการ AI เช่น OpenAI Stargate ➡️ ใช้ DRAM wafers 900,000 ต่อเดือน คิดเป็น 40% ของกำลังผลิตรวม ✅ ตลาดผู้บริโภคทั่วไปยังคงขาดแคลน ➡️ การขยายกำลังผลิตถูกจัดสรรไปที่ตลาด AI เป็นหลัก ‼️ ความเสี่ยงจาก “DRAM Supercycle” ⛔ ความต้องการสูงต่อเนื่องหลายปี อาจทำให้ราคายังอยู่ในระดับสูง ‼️ ผู้ใช้พีซีและเกมเมอร์ได้รับผลกระทบ ⛔ ราคาหน่วยความจำยังคงแพงและหายากในระยะสั้น https://wccftech.com/sk-hynix-to-increase-dram-production-by-a-whopping-eight-folds/
    WCCFTECH.COM
    SK Hynix to Boost DRAM Production by a Whopping Eight Times Next Year, But It Still Won’t Be Enough to Ease the Ongoing Memory Shortage
    SK hynix plans to increase DRAM production by a significant level; however, it appears that demand is currently 'too high'.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 6 มุมมอง 0 รีวิว
  • EP3 CAM350
    EDIT Flash Draw
    Apurtures
    Move

    BY
    EP3 CAM350 EDIT Flash Draw Apurtures Move BY
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 3 มุมมอง 0 0 รีวิว