• Frentree จับมือ AccuKnox ขยาย Zero Trust CNAPP ในเกาหลีใต้

    Frentree บริษัทโซลูชันด้านความปลอดภัยไซเบอร์จากเกาหลีใต้ ได้ประกาศความร่วมมือกับ AccuKnox ผู้เชี่ยวชาญด้าน Zero Trust CNAPP (Cloud-Native Application Protection Platform) เพื่อเสริมความปลอดภัยให้กับองค์กรในภูมิภาค โดยความร่วมมือนี้มีเป้าหมายเพื่อยกระดับการป้องกันภัยคุกคามในระบบคลาวด์ คอนเทนเนอร์ และ AI workloads ซึ่งกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในตลาดเกาหลีใต้

    การจับมือครั้งนี้เกิดขึ้นจากความต้องการขององค์กรในเกาหลีใต้ที่ต้องการระบบ Visibility ครอบคลุม, Runtime Protection ที่ปรับขยายได้ และ Compliance อัตโนมัติ เพื่อรับมือกับการโจมตีไซเบอร์ที่ซับซ้อนมากขึ้น โดย Frentree เลือก AccuKnox เพราะมีความเชี่ยวชาญด้านสถาปัตยกรรม Zero Trust และเป็นผู้ร่วมพัฒนาโครงการโอเพนซอร์ส CNCF เช่น KubeArmor และ ModelArmor ซึ่งช่วยให้แพลตฟอร์มมีความยืดหยุ่นและน่าเชื่อถือ

    ในเชิงกลยุทธ์ ความร่วมมือนี้สะท้อนถึงการที่ตลาดเกาหลีใต้กำลังเร่งการนำระบบคลาวด์มาใช้ในภาคการเงินและองค์กรขนาดใหญ่ การมีโซลูชันที่สามารถตรวจสอบและป้องกันภัยคุกคามได้ตั้งแต่ระดับโค้ดจนถึงการทำงานจริง จึงเป็นสิ่งจำเป็นต่อการสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าและผู้ลงทุน อีกทั้งยังช่วยให้บริษัทสามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวที่เข้มงวดในภูมิภาค

    นอกจากนี้ แนวโน้มระดับโลกยังชี้ให้เห็นว่า Zero Trust และ CNAPP กำลังกลายเป็นมาตรฐานใหม่ ในการป้องกันภัยคุกคามไซเบอร์ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียที่มีการลงทุนด้าน AI และคลาวด์สูง การที่ Frentree และ AccuKnox ร่วมมือกันจึงไม่เพียงแต่เป็นการเสริมความปลอดภัย แต่ยังเป็นการสร้างความได้เปรียบเชิงการแข่งขันในตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

    สรุปสาระสำคัญ
    ความร่วมมือ Frentree – AccuKnox
    เสริมความปลอดภัยไซเบอร์ในเกาหลีใต้
    เน้นระบบ Zero Trust CNAPP ครอบคลุมคลาวด์ คอนเทนเนอร์ และ AI workloads

    จุดเด่นของ AccuKnox
    มีความเชี่ยวชาญด้าน Zero Trust Architecture
    เป็นผู้ร่วมพัฒนาโครงการโอเพนซอร์ส CNCF เช่น KubeArmor และ ModelArmor

    ผลลัพธ์ที่คาดหวัง
    เพิ่ม Visibility และ Runtime Protection ที่ปรับขยายได้
    Compliance อัตโนมัติ รองรับข้อกำหนดเข้มงวดในเกาหลีใต้

    ความท้าทายและคำเตือน
    ภัยคุกคามไซเบอร์ในภูมิภาคมีความซับซ้อนและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง
    การเร่งนำระบบคลาวด์และ AI มาใช้ อาจเพิ่มช่องโหว่ใหม่ที่ต้องจัดการอย่างจริงจัง

    https://securityonline.info/frentree-partners-with-accuknox-to-expand-zero-trust-cnapp-security-in-south-korea/
    🌐 Frentree จับมือ AccuKnox ขยาย Zero Trust CNAPP ในเกาหลีใต้ Frentree บริษัทโซลูชันด้านความปลอดภัยไซเบอร์จากเกาหลีใต้ ได้ประกาศความร่วมมือกับ AccuKnox ผู้เชี่ยวชาญด้าน Zero Trust CNAPP (Cloud-Native Application Protection Platform) เพื่อเสริมความปลอดภัยให้กับองค์กรในภูมิภาค โดยความร่วมมือนี้มีเป้าหมายเพื่อยกระดับการป้องกันภัยคุกคามในระบบคลาวด์ คอนเทนเนอร์ และ AI workloads ซึ่งกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วในตลาดเกาหลีใต้ การจับมือครั้งนี้เกิดขึ้นจากความต้องการขององค์กรในเกาหลีใต้ที่ต้องการระบบ Visibility ครอบคลุม, Runtime Protection ที่ปรับขยายได้ และ Compliance อัตโนมัติ เพื่อรับมือกับการโจมตีไซเบอร์ที่ซับซ้อนมากขึ้น โดย Frentree เลือก AccuKnox เพราะมีความเชี่ยวชาญด้านสถาปัตยกรรม Zero Trust และเป็นผู้ร่วมพัฒนาโครงการโอเพนซอร์ส CNCF เช่น KubeArmor และ ModelArmor ซึ่งช่วยให้แพลตฟอร์มมีความยืดหยุ่นและน่าเชื่อถือ ในเชิงกลยุทธ์ ความร่วมมือนี้สะท้อนถึงการที่ตลาดเกาหลีใต้กำลังเร่งการนำระบบคลาวด์มาใช้ในภาคการเงินและองค์กรขนาดใหญ่ การมีโซลูชันที่สามารถตรวจสอบและป้องกันภัยคุกคามได้ตั้งแต่ระดับโค้ดจนถึงการทำงานจริง จึงเป็นสิ่งจำเป็นต่อการสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าและผู้ลงทุน อีกทั้งยังช่วยให้บริษัทสามารถปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวที่เข้มงวดในภูมิภาค นอกจากนี้ แนวโน้มระดับโลกยังชี้ให้เห็นว่า Zero Trust และ CNAPP กำลังกลายเป็นมาตรฐานใหม่ ในการป้องกันภัยคุกคามไซเบอร์ โดยเฉพาะในภูมิภาคเอเชียที่มีการลงทุนด้าน AI และคลาวด์สูง การที่ Frentree และ AccuKnox ร่วมมือกันจึงไม่เพียงแต่เป็นการเสริมความปลอดภัย แต่ยังเป็นการสร้างความได้เปรียบเชิงการแข่งขันในตลาดที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ความร่วมมือ Frentree – AccuKnox ➡️ เสริมความปลอดภัยไซเบอร์ในเกาหลีใต้ ➡️ เน้นระบบ Zero Trust CNAPP ครอบคลุมคลาวด์ คอนเทนเนอร์ และ AI workloads ✅ จุดเด่นของ AccuKnox ➡️ มีความเชี่ยวชาญด้าน Zero Trust Architecture ➡️ เป็นผู้ร่วมพัฒนาโครงการโอเพนซอร์ส CNCF เช่น KubeArmor และ ModelArmor ✅ ผลลัพธ์ที่คาดหวัง ➡️ เพิ่ม Visibility และ Runtime Protection ที่ปรับขยายได้ ➡️ Compliance อัตโนมัติ รองรับข้อกำหนดเข้มงวดในเกาหลีใต้ ‼️ ความท้าทายและคำเตือน ⛔ ภัยคุกคามไซเบอร์ในภูมิภาคมีความซับซ้อนและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ⛔ การเร่งนำระบบคลาวด์และ AI มาใช้ อาจเพิ่มช่องโหว่ใหม่ที่ต้องจัดการอย่างจริงจัง https://securityonline.info/frentree-partners-with-accuknox-to-expand-zero-trust-cnapp-security-in-south-korea/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 5 มุมมอง 0 รีวิว
  • แก๊งแรนซัมแวร์ Akira ทำรายได้จากการโจมตีไปแล้วกว่า 244 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

    หน่วยงาน CISA และ Europol ร่วมกันออกคำเตือนเกี่ยวกับภัยคุกคามจาก Akira ransomware ที่กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว โดยข้อมูลล่าสุดระบุว่า ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2023 จนถึงกันยายน 2025 แก๊งนี้สามารถทำรายได้จากการโจมตีรวมกว่า 244.17 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งทำให้ Akira กลายเป็นหนึ่งในกลุ่มแรนซัมแวร์ที่ทำเงินได้สูงที่สุดในโลก

    ขยายเป้าหมายสู่ Nutanix AHV และแพลตฟอร์มเสมือนจริง
    หนึ่งในประเด็นสำคัญคือ Akira ได้เพิ่มความสามารถในการเข้ารหัสไฟล์ของ Nutanix AHV virtual machines โดยใช้ช่องโหว่ SonicWall (CVE-2024-40766) ซึ่งทำให้การโจมตีสามารถกระทบต่อองค์กรที่ใช้ระบบเสมือนจริงในระดับกว้าง นอกจากนี้ Akira ยังใช้การเข้ารหัสแบบ ChaCha20 + RSA hybrid scheme ที่รวดเร็วและปลอดภัย พร้อมเพิ่มนามสกุลไฟล์ใหม่ เช่น .akira, .powerranges, .akiranew, และ .aki เพื่อปิดกั้นข้อมูลของเหยื่อ

    เทคนิคการโจมตีที่ซับซ้อนและรวดเร็ว
    รายงานระบุว่า Akira สามารถ ขโมยข้อมูลภายในเวลาเพียง 2 ชั่วโมงหลังจากเจาะระบบ ซึ่งทำให้องค์กรจำนวนมากไม่ทันตรวจจับการบุกรุก นอกจากนี้ยังมีการใช้ช่องโหว่ VPN ของ Cisco (เช่น CVE-2020-3259, CVE-2023-20269) รวมถึง SonicWall และ Veeam เพื่อเข้าถึงระบบ พร้อมใช้เครื่องมือที่ถูกต้องตามกฎหมาย เช่น AnyDesk, LogMeIn, RClone และ WinRAR ในการเคลื่อนย้ายและขโมยข้อมูล

    แนวโน้มและคำแนะนำจากหน่วยงานความปลอดภัย
    CISA และพันธมิตรแนะนำให้องค์กรทั่วโลกเร่งดำเนินมาตรการ เช่น เปิดใช้ MFA ที่ต้านฟิชชิ่ง, อัปเดตแพตช์ช่องโหว่, สำรองข้อมูลแบบออฟไลน์, และใช้ระบบ EDR ตรวจจับพฤติกรรมผิดปกติ เพื่อรับมือกับการโจมตีที่ซับซ้อนและรวดเร็วของ Akira

    สรุปสาระสำคัญ
    รายได้ของ Akira Ransomware
    ทำเงินไปแล้วกว่า 244.17 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
    กลายเป็นหนึ่งในกลุ่มแรนซัมแวร์ที่ทำเงินสูงสุด

    การขยายเป้าหมายใหม่
    เข้ารหัส Nutanix AHV VM ผ่านช่องโหว่ SonicWall
    ใช้การเข้ารหัสแบบ ChaCha20 + RSA พร้อมนามสกุลไฟล์ใหม่

    เทคนิคการโจมตี
    ขโมยข้อมูลภายใน 2 ชั่วโมงหลังเจาะระบบ
    ใช้ช่องโหว่ VPN และเครื่องมือที่ถูกต้องตามกฎหมายในการโจมตี

    คำเตือนจากหน่วยงานความปลอดภัย
    องค์กรเสี่ยงถูกโจมตีหากไม่อัปเดตแพตช์และไม่มี MFA
    การพึ่งพา VPN และระบบเสมือนจริงเพิ่มช่องโหว่ใหม่ที่ต้องจัดการ

    https://securityonline.info/cisa-europol-warn-akira-ransomware-profits-hit-244m-group-expands-to-encrypt-nutanix-ahv-vms/
    💻 แก๊งแรนซัมแวร์ Akira ทำรายได้จากการโจมตีไปแล้วกว่า 244 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หน่วยงาน CISA และ Europol ร่วมกันออกคำเตือนเกี่ยวกับภัยคุกคามจาก Akira ransomware ที่กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว โดยข้อมูลล่าสุดระบุว่า ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2023 จนถึงกันยายน 2025 แก๊งนี้สามารถทำรายได้จากการโจมตีรวมกว่า 244.17 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งทำให้ Akira กลายเป็นหนึ่งในกลุ่มแรนซัมแวร์ที่ทำเงินได้สูงที่สุดในโลก 🖥️ ขยายเป้าหมายสู่ Nutanix AHV และแพลตฟอร์มเสมือนจริง หนึ่งในประเด็นสำคัญคือ Akira ได้เพิ่มความสามารถในการเข้ารหัสไฟล์ของ Nutanix AHV virtual machines โดยใช้ช่องโหว่ SonicWall (CVE-2024-40766) ซึ่งทำให้การโจมตีสามารถกระทบต่อองค์กรที่ใช้ระบบเสมือนจริงในระดับกว้าง นอกจากนี้ Akira ยังใช้การเข้ารหัสแบบ ChaCha20 + RSA hybrid scheme ที่รวดเร็วและปลอดภัย พร้อมเพิ่มนามสกุลไฟล์ใหม่ เช่น .akira, .powerranges, .akiranew, และ .aki เพื่อปิดกั้นข้อมูลของเหยื่อ ⚠️ เทคนิคการโจมตีที่ซับซ้อนและรวดเร็ว รายงานระบุว่า Akira สามารถ ขโมยข้อมูลภายในเวลาเพียง 2 ชั่วโมงหลังจากเจาะระบบ ซึ่งทำให้องค์กรจำนวนมากไม่ทันตรวจจับการบุกรุก นอกจากนี้ยังมีการใช้ช่องโหว่ VPN ของ Cisco (เช่น CVE-2020-3259, CVE-2023-20269) รวมถึง SonicWall และ Veeam เพื่อเข้าถึงระบบ พร้อมใช้เครื่องมือที่ถูกต้องตามกฎหมาย เช่น AnyDesk, LogMeIn, RClone และ WinRAR ในการเคลื่อนย้ายและขโมยข้อมูล 🌍 แนวโน้มและคำแนะนำจากหน่วยงานความปลอดภัย CISA และพันธมิตรแนะนำให้องค์กรทั่วโลกเร่งดำเนินมาตรการ เช่น เปิดใช้ MFA ที่ต้านฟิชชิ่ง, อัปเดตแพตช์ช่องโหว่, สำรองข้อมูลแบบออฟไลน์, และใช้ระบบ EDR ตรวจจับพฤติกรรมผิดปกติ เพื่อรับมือกับการโจมตีที่ซับซ้อนและรวดเร็วของ Akira 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ รายได้ของ Akira Ransomware ➡️ ทำเงินไปแล้วกว่า 244.17 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ➡️ กลายเป็นหนึ่งในกลุ่มแรนซัมแวร์ที่ทำเงินสูงสุด ✅ การขยายเป้าหมายใหม่ ➡️ เข้ารหัส Nutanix AHV VM ผ่านช่องโหว่ SonicWall ➡️ ใช้การเข้ารหัสแบบ ChaCha20 + RSA พร้อมนามสกุลไฟล์ใหม่ ✅ เทคนิคการโจมตี ➡️ ขโมยข้อมูลภายใน 2 ชั่วโมงหลังเจาะระบบ ➡️ ใช้ช่องโหว่ VPN และเครื่องมือที่ถูกต้องตามกฎหมายในการโจมตี ‼️ คำเตือนจากหน่วยงานความปลอดภัย ⛔ องค์กรเสี่ยงถูกโจมตีหากไม่อัปเดตแพตช์และไม่มี MFA ⛔ การพึ่งพา VPN และระบบเสมือนจริงเพิ่มช่องโหว่ใหม่ที่ต้องจัดการ https://securityonline.info/cisa-europol-warn-akira-ransomware-profits-hit-244m-group-expands-to-encrypt-nutanix-ahv-vms/
    SECURITYONLINE.INFO
    CISA/Europol Warn: Akira Ransomware Profits Hit $244M, Group Expands to Encrypt Nutanix AHV VMs
    CISA/Europol updated their advisory on Akira Ransomware, confirming $244M in profits. The group now encrypts Nutanix AHV VMs and performs data exfiltration in just two hours via VPN flaws.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 6 มุมมอง 0 รีวิว
  • Dragon Breath APT เปิดตัว RoningLoader โจมตีขั้นสูง

    กลุ่ม Dragon Breath APT (APT-Q-27) ถูกเปิดโปงโดย Elastic Security Labs ว่ากำลังดำเนินการแคมเปญมัลแวร์ใหม่ที่ใช้ RoningLoader ซึ่งเป็นตัวโหลดหลายขั้นตอนที่มีความซับซ้อนสูง จุดเด่นคือการใช้ Kernel Driver ที่เซ็นรับรองอย่างถูกต้อง และการ โจมตี Protected Process Light (PPL) เพื่อปิดการทำงานของ Windows Defender ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    เทคนิคการโจมตีที่ซับซ้อน
    RoningLoader ถูกปล่อยผ่าน ตัวติดตั้งที่ถูกปลอมแปลงเป็นแอปพลิเคชันที่เชื่อถือได้ เช่น Google Chrome และ Microsoft Teams โดยในเบื้องหน้าจะติดตั้งแอปจริงเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ แต่เบื้องหลังจะรันโค้ดอันตรายแบบเงียบ ๆ แคมเปญนี้ยังใช้ Phantom DLL sideloading, reflective loading, process hollowing และ remote thread execution เพื่อฉีดโค้ดเข้าสู่ระบบอย่างแนบเนียน

    การปิดระบบป้องกันและเลี่ยงการตรวจจับ
    หนึ่งในเทคนิคที่น่ากังวลคือการใช้ ClipUp.exe พร้อม custom hooks เพื่อเขียนทับไฟล์สำคัญของ Defender ทำให้ระบบป้องกันถูกปิดแม้หลังรีบูต อีกทั้งยังใช้ WDAC policy ที่ไม่ได้เซ็นรับรอง เพื่อบล็อกโปรแกรมป้องกันไวรัสยอดนิยมในจีน เช่น 360 Total Security และ Huorong ซึ่งสะท้อนถึงการมุ่งเป้าโจมตีผู้ใช้ที่พูดภาษาจีนโดยเฉพาะ

    เป้าหมายและ Payload สุดท้าย
    เมื่อกระบวนการโหลดเสร็จสิ้น RoningLoader จะติดตั้ง Gh0st RAT รุ่นปรับปรุง ซึ่งสามารถทำงานได้หลายอย่าง เช่น การสั่งรันคำสั่งระยะไกล, keylogging, clipboard hijacking (รวมถึงการแทนที่ address ของกระเป๋าเงินคริปโต), และการส่งข้อมูลระบบไปยังเซิร์ฟเวอร์ควบคุม การโจมตีนี้จึงไม่เพียงแต่เป็นการสอดแนม แต่ยังมีเป้าหมายเพื่อ ขโมยคริปโตเคอร์เรนซี อีกด้วย

    สรุปสาระสำคัญ
    Dragon Breath APT เปิดตัว RoningLoader
    ใช้ Kernel Driver ที่เซ็นรับรองเพื่อฆ่าโปรเซสป้องกัน
    ใช้ PPL abuse ปิด Windows Defender

    เทคนิคการโจมตีขั้นสูง
    Phantom DLL sideloading และ reflective loading
    Process hollowing และ remote thread execution

    การเลี่ยงการตรวจจับ
    ใช้ ClipUp.exe เขียนทับไฟล์ Defender
    WDAC policy ที่ไม่ได้เซ็นรับรอง บล็ก AV จีน

    Payload สุดท้าย Gh0st RAT
    Keylogging, clipboard hijacking, system profiling
    ขโมยข้อมูลและ cryptocurrency

    คำเตือนด้านความปลอดภัย
    การใช้ driver ที่เซ็นรับรองจริงทำให้การตรวจจับยากขึ้น
    ผู้ใช้ในจีนเสี่ยงสูงจากการบล็อก AV ยอดนิยม
    Clipboard hijacking อาจทำให้สูญเสียเงินคริปโตทันที

    https://securityonline.info/dragon-breath-apt-deploys-roningloader-using-kernel-driver-and-ppl-abuse-to-disable-windows-defender/
    🐉 Dragon Breath APT เปิดตัว RoningLoader โจมตีขั้นสูง กลุ่ม Dragon Breath APT (APT-Q-27) ถูกเปิดโปงโดย Elastic Security Labs ว่ากำลังดำเนินการแคมเปญมัลแวร์ใหม่ที่ใช้ RoningLoader ซึ่งเป็นตัวโหลดหลายขั้นตอนที่มีความซับซ้อนสูง จุดเด่นคือการใช้ Kernel Driver ที่เซ็นรับรองอย่างถูกต้อง และการ โจมตี Protected Process Light (PPL) เพื่อปิดการทำงานของ Windows Defender ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 🛠️ เทคนิคการโจมตีที่ซับซ้อน RoningLoader ถูกปล่อยผ่าน ตัวติดตั้งที่ถูกปลอมแปลงเป็นแอปพลิเคชันที่เชื่อถือได้ เช่น Google Chrome และ Microsoft Teams โดยในเบื้องหน้าจะติดตั้งแอปจริงเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ แต่เบื้องหลังจะรันโค้ดอันตรายแบบเงียบ ๆ แคมเปญนี้ยังใช้ Phantom DLL sideloading, reflective loading, process hollowing และ remote thread execution เพื่อฉีดโค้ดเข้าสู่ระบบอย่างแนบเนียน 🔒 การปิดระบบป้องกันและเลี่ยงการตรวจจับ หนึ่งในเทคนิคที่น่ากังวลคือการใช้ ClipUp.exe พร้อม custom hooks เพื่อเขียนทับไฟล์สำคัญของ Defender ทำให้ระบบป้องกันถูกปิดแม้หลังรีบูต อีกทั้งยังใช้ WDAC policy ที่ไม่ได้เซ็นรับรอง เพื่อบล็อกโปรแกรมป้องกันไวรัสยอดนิยมในจีน เช่น 360 Total Security และ Huorong ซึ่งสะท้อนถึงการมุ่งเป้าโจมตีผู้ใช้ที่พูดภาษาจีนโดยเฉพาะ 🕵️ เป้าหมายและ Payload สุดท้าย เมื่อกระบวนการโหลดเสร็จสิ้น RoningLoader จะติดตั้ง Gh0st RAT รุ่นปรับปรุง ซึ่งสามารถทำงานได้หลายอย่าง เช่น การสั่งรันคำสั่งระยะไกล, keylogging, clipboard hijacking (รวมถึงการแทนที่ address ของกระเป๋าเงินคริปโต), และการส่งข้อมูลระบบไปยังเซิร์ฟเวอร์ควบคุม การโจมตีนี้จึงไม่เพียงแต่เป็นการสอดแนม แต่ยังมีเป้าหมายเพื่อ ขโมยคริปโตเคอร์เรนซี อีกด้วย 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ Dragon Breath APT เปิดตัว RoningLoader ➡️ ใช้ Kernel Driver ที่เซ็นรับรองเพื่อฆ่าโปรเซสป้องกัน ➡️ ใช้ PPL abuse ปิด Windows Defender ✅ เทคนิคการโจมตีขั้นสูง ➡️ Phantom DLL sideloading และ reflective loading ➡️ Process hollowing และ remote thread execution ✅ การเลี่ยงการตรวจจับ ➡️ ใช้ ClipUp.exe เขียนทับไฟล์ Defender ➡️ WDAC policy ที่ไม่ได้เซ็นรับรอง บล็ก AV จีน ✅ Payload สุดท้าย Gh0st RAT ➡️ Keylogging, clipboard hijacking, system profiling ➡️ ขโมยข้อมูลและ cryptocurrency ‼️ คำเตือนด้านความปลอดภัย ⛔ การใช้ driver ที่เซ็นรับรองจริงทำให้การตรวจจับยากขึ้น ⛔ ผู้ใช้ในจีนเสี่ยงสูงจากการบล็อก AV ยอดนิยม ⛔ Clipboard hijacking อาจทำให้สูญเสียเงินคริปโตทันที https://securityonline.info/dragon-breath-apt-deploys-roningloader-using-kernel-driver-and-ppl-abuse-to-disable-windows-defender/
    SECURITYONLINE.INFO
    Dragon Breath APT Deploys RoningLoader, Using Kernel Driver and PPL Abuse to Disable Windows Defender
    Elastic exposed Dragon Breath APT's new RoningLoader malware. It uses PPL abuse and a signed kernel driver (ollama.sys) to disable Windows Defender and inject a modified gh0st RAT for espionage.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 9 มุมมอง 0 รีวิว
  • Google ออกแพตช์ฉุกเฉินแก้ไขช่องโหว่ Zero-Day บน Chrome

    Google ได้ปล่อยการอัปเดตฉุกเฉินสำหรับ Chrome Stable Channel เพื่อแก้ไขช่องโหว่ร้ายแรงใน V8 JavaScript Engine โดยเฉพาะ CVE-2025-13223 ซึ่งเป็นช่องโหว่แบบ Type Confusion ที่ถูกพบว่ามีการโจมตีจริงแล้วในโลกไซเบอร์ ช่องโหว่นี้สามารถนำไปสู่การ Heap Corruption และอาจทำให้ผู้โจมตีสามารถรันโค้ดอันตรายบนเครื่องเหยื่อได้ เพียงแค่เหยื่อเข้าเว็บไซต์ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อโจมตี

    รายละเอียดช่องโหว่และการโจมตี
    ช่องโหว่ CVE-2025-13223 ถูกค้นพบโดย Google Threat Analysis Group (TAG) ซึ่งมักติดตามการโจมตีขั้นสูงที่มีเป้าหมายเฉพาะ การโจมตีนี้ถือเป็น Drive-by Attack ที่อันตรายมาก เพราะผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องดาวน์โหลดไฟล์ใด ๆ เพียงแค่เข้าเว็บที่ฝังโค้ดอันตรายก็สามารถถูกโจมตีได้ทันที นอกจากนี้ Google ยังแก้ไขช่องโหว่อีกหนึ่งรายการใน V8 Engine คือ CVE-2025-13224 แม้ยังไม่มีรายงานการโจมตี แต่ก็ถูกจัดเป็นช่องโหว่ระดับสูงเช่นกัน

    คำแนะนำจาก Google
    Google แนะนำให้ผู้ใช้ อัปเดต Chrome ทันที โดยเวอร์ชันที่ปลอดภัยคือ 142.0.7444.175/.176 บน Windows, 142.0.7444.176 บน Mac และ 142.0.7444.175 บน Linux การอัปเดตสามารถทำได้ง่าย ๆ ผ่านเมนู Help → About Google Chrome ซึ่งจะตรวจสอบและดาวน์โหลดแพตช์โดยอัตโนมัติ จากนั้นผู้ใช้ต้องกด Relaunch เพื่อให้การแก้ไขมีผล

    ความสำคัญในระดับโลก
    การออกแพตช์ฉุกเฉินครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความรุนแรงของช่องโหว่ที่ถูกใช้โจมตีจริง และตอกย้ำว่าการอัปเดตซอฟต์แวร์อย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งจำเป็นต่อการป้องกันภัยคุกคามไซเบอร์ โดยเฉพาะเบราว์เซอร์ที่เป็นเครื่องมือหลักในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต หากผู้ใช้ละเลยการอัปเดต อาจเสี่ยงต่อการถูกโจมตีโดยไม่รู้ตัว

    สรุปสาระสำคัญ
    ช่องโหว่ CVE-2025-13223
    Type Confusion ใน V8 Engine
    ถูกโจมตีจริงแล้ว (Zero-Day)

    ช่องโหว่ CVE-2025-13224
    Type Confusion เช่นกัน
    ยังไม่มีรายงานการโจมตี แต่จัดเป็น High Severity

    การอัปเดตที่ปลอดภัย
    Windows: 142.0.7444.175/.176
    Mac: 142.0.7444.176
    Linux: 142.0.7444.175

    คำเตือนด้านความปลอดภัย
    ผู้ใช้เสี่ยงถูกโจมตีเพียงแค่เข้าเว็บที่ฝังโค้ดอันตราย
    หากไม่อัปเดต Chrome ทันที อาจถูกโจมตีแบบ Drive-by Attack

    https://securityonline.info/google-patches-actively-exploited-chrome-zero-day-flaw-cve-2025-13223-in-emergency-update/
    🌐 Google ออกแพตช์ฉุกเฉินแก้ไขช่องโหว่ Zero-Day บน Chrome Google ได้ปล่อยการอัปเดตฉุกเฉินสำหรับ Chrome Stable Channel เพื่อแก้ไขช่องโหว่ร้ายแรงใน V8 JavaScript Engine โดยเฉพาะ CVE-2025-13223 ซึ่งเป็นช่องโหว่แบบ Type Confusion ที่ถูกพบว่ามีการโจมตีจริงแล้วในโลกไซเบอร์ ช่องโหว่นี้สามารถนำไปสู่การ Heap Corruption และอาจทำให้ผู้โจมตีสามารถรันโค้ดอันตรายบนเครื่องเหยื่อได้ เพียงแค่เหยื่อเข้าเว็บไซต์ที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อโจมตี 🛠️ รายละเอียดช่องโหว่และการโจมตี ช่องโหว่ CVE-2025-13223 ถูกค้นพบโดย Google Threat Analysis Group (TAG) ซึ่งมักติดตามการโจมตีขั้นสูงที่มีเป้าหมายเฉพาะ การโจมตีนี้ถือเป็น Drive-by Attack ที่อันตรายมาก เพราะผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องดาวน์โหลดไฟล์ใด ๆ เพียงแค่เข้าเว็บที่ฝังโค้ดอันตรายก็สามารถถูกโจมตีได้ทันที นอกจากนี้ Google ยังแก้ไขช่องโหว่อีกหนึ่งรายการใน V8 Engine คือ CVE-2025-13224 แม้ยังไม่มีรายงานการโจมตี แต่ก็ถูกจัดเป็นช่องโหว่ระดับสูงเช่นกัน ⚡ คำแนะนำจาก Google Google แนะนำให้ผู้ใช้ อัปเดต Chrome ทันที โดยเวอร์ชันที่ปลอดภัยคือ 142.0.7444.175/.176 บน Windows, 142.0.7444.176 บน Mac และ 142.0.7444.175 บน Linux การอัปเดตสามารถทำได้ง่าย ๆ ผ่านเมนู Help → About Google Chrome ซึ่งจะตรวจสอบและดาวน์โหลดแพตช์โดยอัตโนมัติ จากนั้นผู้ใช้ต้องกด Relaunch เพื่อให้การแก้ไขมีผล 🌍 ความสำคัญในระดับโลก การออกแพตช์ฉุกเฉินครั้งนี้สะท้อนให้เห็นถึงความรุนแรงของช่องโหว่ที่ถูกใช้โจมตีจริง และตอกย้ำว่าการอัปเดตซอฟต์แวร์อย่างสม่ำเสมอเป็นสิ่งจำเป็นต่อการป้องกันภัยคุกคามไซเบอร์ โดยเฉพาะเบราว์เซอร์ที่เป็นเครื่องมือหลักในการเข้าถึงอินเทอร์เน็ต หากผู้ใช้ละเลยการอัปเดต อาจเสี่ยงต่อการถูกโจมตีโดยไม่รู้ตัว 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ช่องโหว่ CVE-2025-13223 ➡️ Type Confusion ใน V8 Engine ➡️ ถูกโจมตีจริงแล้ว (Zero-Day) ✅ ช่องโหว่ CVE-2025-13224 ➡️ Type Confusion เช่นกัน ➡️ ยังไม่มีรายงานการโจมตี แต่จัดเป็น High Severity ✅ การอัปเดตที่ปลอดภัย ➡️ Windows: 142.0.7444.175/.176 ➡️ Mac: 142.0.7444.176 ➡️ Linux: 142.0.7444.175 ‼️ คำเตือนด้านความปลอดภัย ⛔ ผู้ใช้เสี่ยงถูกโจมตีเพียงแค่เข้าเว็บที่ฝังโค้ดอันตราย ⛔ หากไม่อัปเดต Chrome ทันที อาจถูกโจมตีแบบ Drive-by Attack https://securityonline.info/google-patches-actively-exploited-chrome-zero-day-flaw-cve-2025-13223-in-emergency-update/
    SECURITYONLINE.INFO
    Google Patches Actively Exploited Chrome Zero-Day Flaw (CVE-2025-13223) in Emergency Update
    Google released an emergency Chrome update (142.0.7444.175) to patch two V8 Type Confusion flaws. One zero-day (CVE-2025-13223) is actively exploited. Update now!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 10 มุมมอง 0 รีวิว
  • ช่องโหว่ร้ายแรงใน W3 Total Cache (CVE-2025-9501)

    มีการเปิดเผยช่องโหว่ความปลอดภัยระดับ Critical ในปลั๊กอิน W3 Total Cache (W3TC) ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายบน WordPress โดยมีการติดตั้งมากกว่า 1 ล้านเว็บไซต์ทั่วโลก ช่องโหว่นี้ถูกระบุว่าเป็น CVE-2025-9501 และได้รับคะแนนความรุนแรง CVSS 9.0 ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับสูงสุดที่อาจนำไปสู่การโจมตีแบบ Remote Code Execution (RCE) โดยไม่ต้องมีการยืนยันตัวตน

    รายละเอียดช่องโหว่
    ปัญหานี้เกิดจากการจัดการที่ไม่ถูกต้องในฟังก์ชันภายในของปลั๊กอินชื่อ _parse_dynamic_mfunc ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้โจมตีสามารถส่งคอมเมนต์ที่มี payload อันตราย เมื่อระบบทำการ parse คอมเมนต์นั้น เว็บไซต์จะรันโค้ด PHP ที่ผู้โจมตีใส่เข้ามา ส่งผลให้สามารถเข้าควบคุมเว็บไซต์ได้เต็มรูปแบบ เช่น การขโมยข้อมูล, ติดตั้ง backdoor, หรือกระจายมัลแวร์

    การแพตช์และการป้องกัน
    ช่องโหว่นี้ได้รับการแก้ไขแล้วในเวอร์ชัน W3 Total Cache 2.8.13 ผู้ดูแลเว็บไซต์ทุกคนถูกแนะนำให้อัปเดตทันทีเพื่อป้องกันการโจมตี เนื่องจากการโจมตีนี้ไม่ต้องใช้สิทธิ์ใด ๆ และสามารถทำได้ง่ายเพียงแค่โพสต์คอมเมนต์บนเว็บไซต์ที่ยังไม่ได้แพตช์

    ผลกระทบและแนวโน้ม
    ด้วยจำนวนการติดตั้งที่มากกว่า 1 ล้านเว็บไซต์ แม้เพียงส่วนน้อยที่ไม่ได้อัปเดต ก็สามารถสร้าง attack surface ขนาดใหญ่ ให้กับผู้โจมตีที่ใช้เครื่องมืออัตโนมัติในการสแกนและโจมตีเว็บไซต์ WordPress ที่ยังมีช่องโหว่ การเปิดเผย Proof-of-Concept (PoC) ถูกกำหนดไว้ในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2025 เพื่อให้ผู้ดูแลมีเวลาอัปเดตก่อนที่โค้ดโจมตีจะถูกเผยแพร่สู่สาธารณะ

    สรุปสาระสำคัญ
    รายละเอียดช่องโหว่ CVE-2025-9501
    เกิดจากฟังก์ชัน _parse_dynamic_mfunc ใน W3TC
    เปิดทางให้โจมตีแบบ Remote Code Execution โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน

    การแพตช์ที่ปลอดภัย
    แก้ไขแล้วใน W3 Total Cache เวอร์ชัน 2.8.13
    ผู้ดูแลเว็บไซต์ควรอัปเดตทันที

    ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
    การเข้าควบคุมเว็บไซต์เต็มรูปแบบ
    การขโมยข้อมูลและติดตั้ง backdoor

    คำเตือนด้านความปลอดภัย
    เว็บไซต์ที่ยังไม่ได้อัปเดตเสี่ยงต่อการถูกโจมตีอัตโนมัติ
    PoC จะถูกเผยแพร่ในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2025 เพิ่มความเสี่ยงต่อการโจมตีจำนวนมาก

    https://securityonline.info/critical-w3-total-cache-flaw-cve-2025-9501-cvss-9-0-risks-unauthenticated-rce-on-1-million-wordpress-sites/
    ⚠️ ช่องโหว่ร้ายแรงใน W3 Total Cache (CVE-2025-9501) มีการเปิดเผยช่องโหว่ความปลอดภัยระดับ Critical ในปลั๊กอิน W3 Total Cache (W3TC) ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายบน WordPress โดยมีการติดตั้งมากกว่า 1 ล้านเว็บไซต์ทั่วโลก ช่องโหว่นี้ถูกระบุว่าเป็น CVE-2025-9501 และได้รับคะแนนความรุนแรง CVSS 9.0 ซึ่งถือว่าอยู่ในระดับสูงสุดที่อาจนำไปสู่การโจมตีแบบ Remote Code Execution (RCE) โดยไม่ต้องมีการยืนยันตัวตน 🛠️ รายละเอียดช่องโหว่ ปัญหานี้เกิดจากการจัดการที่ไม่ถูกต้องในฟังก์ชันภายในของปลั๊กอินชื่อ _parse_dynamic_mfunc ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้โจมตีสามารถส่งคอมเมนต์ที่มี payload อันตราย เมื่อระบบทำการ parse คอมเมนต์นั้น เว็บไซต์จะรันโค้ด PHP ที่ผู้โจมตีใส่เข้ามา ส่งผลให้สามารถเข้าควบคุมเว็บไซต์ได้เต็มรูปแบบ เช่น การขโมยข้อมูล, ติดตั้ง backdoor, หรือกระจายมัลแวร์ 🔒 การแพตช์และการป้องกัน ช่องโหว่นี้ได้รับการแก้ไขแล้วในเวอร์ชัน W3 Total Cache 2.8.13 ผู้ดูแลเว็บไซต์ทุกคนถูกแนะนำให้อัปเดตทันทีเพื่อป้องกันการโจมตี เนื่องจากการโจมตีนี้ไม่ต้องใช้สิทธิ์ใด ๆ และสามารถทำได้ง่ายเพียงแค่โพสต์คอมเมนต์บนเว็บไซต์ที่ยังไม่ได้แพตช์ 🌍 ผลกระทบและแนวโน้ม ด้วยจำนวนการติดตั้งที่มากกว่า 1 ล้านเว็บไซต์ แม้เพียงส่วนน้อยที่ไม่ได้อัปเดต ก็สามารถสร้าง attack surface ขนาดใหญ่ ให้กับผู้โจมตีที่ใช้เครื่องมืออัตโนมัติในการสแกนและโจมตีเว็บไซต์ WordPress ที่ยังมีช่องโหว่ การเปิดเผย Proof-of-Concept (PoC) ถูกกำหนดไว้ในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2025 เพื่อให้ผู้ดูแลมีเวลาอัปเดตก่อนที่โค้ดโจมตีจะถูกเผยแพร่สู่สาธารณะ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ รายละเอียดช่องโหว่ CVE-2025-9501 ➡️ เกิดจากฟังก์ชัน _parse_dynamic_mfunc ใน W3TC ➡️ เปิดทางให้โจมตีแบบ Remote Code Execution โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน ✅ การแพตช์ที่ปลอดภัย ➡️ แก้ไขแล้วใน W3 Total Cache เวอร์ชัน 2.8.13 ➡️ ผู้ดูแลเว็บไซต์ควรอัปเดตทันที ✅ ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น ➡️ การเข้าควบคุมเว็บไซต์เต็มรูปแบบ ➡️ การขโมยข้อมูลและติดตั้ง backdoor ‼️ คำเตือนด้านความปลอดภัย ⛔ เว็บไซต์ที่ยังไม่ได้อัปเดตเสี่ยงต่อการถูกโจมตีอัตโนมัติ ⛔ PoC จะถูกเผยแพร่ในวันที่ 24 พฤศจิกายน 2025 เพิ่มความเสี่ยงต่อการโจมตีจำนวนมาก https://securityonline.info/critical-w3-total-cache-flaw-cve-2025-9501-cvss-9-0-risks-unauthenticated-rce-on-1-million-wordpress-sites/
    SECURITYONLINE.INFO
    Critical W3 Total Cache Flaw (CVE-2025-9501, CVSS 9.0) Risks Unauthenticated RCE on 1 Million WordPress Sites
    A Critical (CVSS 9.0) flaw in W3 Total Cache (CVE-2025-9501) allows unauthenticated attackers to execute arbitrary PHP code via a crafted comment. 1M+ sites are at risk. Update to v2.8.13.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 8 มุมมอง 0 รีวิว
  • Veil: ส่วนขยายใหม่เพื่อจัดการ GNOME Panel

    Veil ถูกพัฒนาโดย Dagim G. Astatkie นักพัฒนาจากเอธิโอเปีย โดยมีเป้าหมายเพื่อแก้ปัญหาที่ผู้ใช้ GNOME หลายคนเจอ คือแถบด้านบนที่เต็มไปด้วย system indicators และ status icons จนดูรกและใช้งานไม่สะดวก Veil จึงเข้ามาช่วยให้ผู้ใช้สามารถเลือกได้ว่าไอคอนใดจะถูกซ่อนหรือแสดง พร้อมทั้งมีฟีเจอร์เสริม เช่น การซ่อนอัตโนมัติแบบตั้งเวลา, แอนิเมชันลื่นไหล, และการปรับแต่งไอคอนลูกศร สำหรับเปิด/ปิดการแสดงผล

    ประสบการณ์ใช้งานจริง
    ผู้เขียนบทความได้ทดลองติดตั้ง Veil บน Ubuntu 25.10 ผ่าน Extension Manager และพบว่าการใช้งานง่ายและตรงไปตรงมา เพียงคลิกที่ลูกศรด้านบนขวา ไอคอนต่าง ๆ เช่น Network Stats, Tiling Shell Switcher และ System Monitor ก็หายไปทันที ทำให้แถบด้านบนสะอาดตา นอกจากนี้ยังสามารถปรับแต่งเพิ่มเติมได้ในแท็บ General เช่น การบันทึกสถานะ, ตั้งค่า default visibility, และกำหนดเวลา auto-hide

    ความสำคัญต่อผู้ใช้ GNOME
    Veil ไม่เพียงช่วยให้หน้าจอสะอาดขึ้น แต่ยังเพิ่ม ความยืดหยุ่นและความเป็นส่วนตัว ให้ผู้ใช้ โดยเฉพาะ power users ที่ต้องจัดการหลาย extension พร้อมกัน การมีเครื่องมือที่สามารถควบคุมการแสดงผลได้ละเอียดจึงช่วยลดความวุ่นวาย และทำให้การทำงานบน GNOME มีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ Veil ยังเปิดซอร์สโค้ดบน GitHub เพื่อให้ผู้สนใจสามารถร่วมพัฒนาได้ต่อไป

    สรุปสาระสำคัญ
    Veil Extension บน GNOME
    พัฒนาโดย Dagim G. Astatkie จากเอธิโอเปีย
    ช่วยซ่อนและจัดการไอคอนบนแถบด้านบน

    ฟีเจอร์หลักของ Veil
    Auto-hide แบบตั้งเวลา
    แอนิเมชันลื่นไหล และปรับแต่งไอคอนลูกศร

    ประสบการณ์ใช้งานจริง
    ติดตั้งง่ายผ่าน Extension Manager
    ทำให้แถบด้านบนสะอาดและปรับแต่งได้ตามต้องการ

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้
    หากไม่อัปเดตหรือปรับแต่งอย่างถูกต้อง อาจทำให้บางไอคอนสำคัญหายไปโดยไม่ตั้งใจ
    ผู้ใช้ใหม่ที่ไม่คุ้นกับ GNOME Extensions อาจต้องศึกษาเพิ่มเติมก่อนใช้งาน

    https://itsfoss.com/veil-gnome-extension/
    🖥️ Veil: ส่วนขยายใหม่เพื่อจัดการ GNOME Panel Veil ถูกพัฒนาโดย Dagim G. Astatkie นักพัฒนาจากเอธิโอเปีย โดยมีเป้าหมายเพื่อแก้ปัญหาที่ผู้ใช้ GNOME หลายคนเจอ คือแถบด้านบนที่เต็มไปด้วย system indicators และ status icons จนดูรกและใช้งานไม่สะดวก Veil จึงเข้ามาช่วยให้ผู้ใช้สามารถเลือกได้ว่าไอคอนใดจะถูกซ่อนหรือแสดง พร้อมทั้งมีฟีเจอร์เสริม เช่น การซ่อนอัตโนมัติแบบตั้งเวลา, แอนิเมชันลื่นไหล, และการปรับแต่งไอคอนลูกศร สำหรับเปิด/ปิดการแสดงผล ⚡ ประสบการณ์ใช้งานจริง ผู้เขียนบทความได้ทดลองติดตั้ง Veil บน Ubuntu 25.10 ผ่าน Extension Manager และพบว่าการใช้งานง่ายและตรงไปตรงมา เพียงคลิกที่ลูกศรด้านบนขวา ไอคอนต่าง ๆ เช่น Network Stats, Tiling Shell Switcher และ System Monitor ก็หายไปทันที ทำให้แถบด้านบนสะอาดตา นอกจากนี้ยังสามารถปรับแต่งเพิ่มเติมได้ในแท็บ General เช่น การบันทึกสถานะ, ตั้งค่า default visibility, และกำหนดเวลา auto-hide 🌍 ความสำคัญต่อผู้ใช้ GNOME Veil ไม่เพียงช่วยให้หน้าจอสะอาดขึ้น แต่ยังเพิ่ม ความยืดหยุ่นและความเป็นส่วนตัว ให้ผู้ใช้ โดยเฉพาะ power users ที่ต้องจัดการหลาย extension พร้อมกัน การมีเครื่องมือที่สามารถควบคุมการแสดงผลได้ละเอียดจึงช่วยลดความวุ่นวาย และทำให้การทำงานบน GNOME มีประสิทธิภาพมากขึ้น นอกจากนี้ Veil ยังเปิดซอร์สโค้ดบน GitHub เพื่อให้ผู้สนใจสามารถร่วมพัฒนาได้ต่อไป 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ Veil Extension บน GNOME ➡️ พัฒนาโดย Dagim G. Astatkie จากเอธิโอเปีย ➡️ ช่วยซ่อนและจัดการไอคอนบนแถบด้านบน ✅ ฟีเจอร์หลักของ Veil ➡️ Auto-hide แบบตั้งเวลา ➡️ แอนิเมชันลื่นไหล และปรับแต่งไอคอนลูกศร ✅ ประสบการณ์ใช้งานจริง ➡️ ติดตั้งง่ายผ่าน Extension Manager ➡️ ทำให้แถบด้านบนสะอาดและปรับแต่งได้ตามต้องการ ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ ⛔ หากไม่อัปเดตหรือปรับแต่งอย่างถูกต้อง อาจทำให้บางไอคอนสำคัญหายไปโดยไม่ตั้งใจ ⛔ ผู้ใช้ใหม่ที่ไม่คุ้นกับ GNOME Extensions อาจต้องศึกษาเพิ่มเติมก่อนใช้งาน https://itsfoss.com/veil-gnome-extension/
    ITSFOSS.COM
    Clean Up Your GNOME Panel With This New Extension
    Hide unwanted panel icons automatically with Veil.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 11 มุมมอง 0 รีวิว
  • Snapchat เปิดซอร์ส Valdi Framework

    Snap Inc. บริษัทเบื้องหลังแอป Snapchat ได้สร้างความประหลาดใจด้วยการเปิดซอร์ส Valdi ซึ่งเป็น cross-platform mobile UI framework ที่ใช้พัฒนาแอป Snapchat มาตลอด 8 ปีที่ผ่านมา โดยเปิดให้ใช้งานภายใต้ MIT License บน GitHub นักพัฒนาสามารถนำไปใช้ ปรับปรุง และแจกจ่ายได้โดยไม่มีข้อจำกัดเชิงพาณิชย์

    จุดเด่นของ Valdi
    Valdi มีความแตกต่างจากเฟรมเวิร์กอื่นตรงที่ คอมไพล์ TypeScript เป็น native views โดยตรง สำหรับ Android, iOS และ macOS โดยไม่ใช้ web views หรือ JavaScript bridges ซึ่งช่วยให้ เร็วขึ้น 2 เท่าในการ render ครั้งแรก และใช้หน่วยความจำเพียง 1/4 ของคู่แข่ง นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ทันสมัย เช่น instant hot reload, VSCode debugging, automatic view recycling, C++ layout engine และ FlexBox support

    การเปิดตัวและการตอบรับ
    ก่อนเปิดซอร์สอย่างเป็นทางการ Valdi เคยอยู่ในช่วง beta ตั้งแต่สิงหาคม 2025 โดย Snapchatเปิดให้ทดสอบแบบมี NDA และใช้เวลาสามเดือนในการปรับปรุงเอกสารและ tooling จนพร้อมปล่อยสู่สาธารณะ อย่างไรก็ตาม การตอบรับจากนักพัฒนายังมีความเห็นที่หลากหลาย โดยบางคนตั้งคำถามว่า Valdi มีข้อได้เปรียบเหนือ React Native จริงหรือไม่ เนื่องจาก React Native รุ่นใหม่ก็เลิกใช้ JavaScript bridges เช่นกัน

    ความสำคัญและอนาคต
    การเปิดซอร์ส Valdi ถือเป็นก้าวสำคัญที่ Snap Inc. เข้าสู่โลกโอเพนซอร์สอย่างจริงจัง ซึ่งอาจช่วยสร้างชุมชนผู้ใช้และนักพัฒนาที่กว้างขึ้น แต่ก็ยังต้องพิสูจน์ว่า Valdi จะสามารถก้าวออกจากเงาของ Snapchat และแข่งขันในตลาดเฟรมเวิร์ก UI ที่มีผู้เล่นใหญ่หลายรายได้หรือไม่

    สรุปสาระสำคัญ
    Snapchat เปิดซอร์ส Valdi Framework
    ใช้งานภายในมาแล้วกว่า 8 ปี
    ปล่อยบน GitHub ภายใต้ MIT License

    จุดเด่นของ Valdi
    คอมไพล์ TypeScript เป็น native views โดยตรง
    เร็วขึ้น 2 เท่า และใช้หน่วยความจำ 1/4

    ฟีเจอร์สำคัญ
    Hot reload, VSCode debugging, FlexBox support
    Embed components ใน native apps ได้

    คำเตือนและข้อสงสัย
    นักพัฒนาบางส่วนตั้งคำถามว่าเหนือกว่า React Native จริงหรือไม่
    ต้องพิสูจน์ว่าจะได้รับการยอมรับนอก Snapchat

    https://itsfoss.com/news/snapchat-open-sources-valdi/
    📱 Snapchat เปิดซอร์ส Valdi Framework Snap Inc. บริษัทเบื้องหลังแอป Snapchat ได้สร้างความประหลาดใจด้วยการเปิดซอร์ส Valdi ซึ่งเป็น cross-platform mobile UI framework ที่ใช้พัฒนาแอป Snapchat มาตลอด 8 ปีที่ผ่านมา โดยเปิดให้ใช้งานภายใต้ MIT License บน GitHub นักพัฒนาสามารถนำไปใช้ ปรับปรุง และแจกจ่ายได้โดยไม่มีข้อจำกัดเชิงพาณิชย์ ⚡ จุดเด่นของ Valdi Valdi มีความแตกต่างจากเฟรมเวิร์กอื่นตรงที่ คอมไพล์ TypeScript เป็น native views โดยตรง สำหรับ Android, iOS และ macOS โดยไม่ใช้ web views หรือ JavaScript bridges ซึ่งช่วยให้ เร็วขึ้น 2 เท่าในการ render ครั้งแรก และใช้หน่วยความจำเพียง 1/4 ของคู่แข่ง นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ทันสมัย เช่น instant hot reload, VSCode debugging, automatic view recycling, C++ layout engine และ FlexBox support 🌍 การเปิดตัวและการตอบรับ ก่อนเปิดซอร์สอย่างเป็นทางการ Valdi เคยอยู่ในช่วง beta ตั้งแต่สิงหาคม 2025 โดย Snapchatเปิดให้ทดสอบแบบมี NDA และใช้เวลาสามเดือนในการปรับปรุงเอกสารและ tooling จนพร้อมปล่อยสู่สาธารณะ อย่างไรก็ตาม การตอบรับจากนักพัฒนายังมีความเห็นที่หลากหลาย โดยบางคนตั้งคำถามว่า Valdi มีข้อได้เปรียบเหนือ React Native จริงหรือไม่ เนื่องจาก React Native รุ่นใหม่ก็เลิกใช้ JavaScript bridges เช่นกัน 🔮 ความสำคัญและอนาคต การเปิดซอร์ส Valdi ถือเป็นก้าวสำคัญที่ Snap Inc. เข้าสู่โลกโอเพนซอร์สอย่างจริงจัง ซึ่งอาจช่วยสร้างชุมชนผู้ใช้และนักพัฒนาที่กว้างขึ้น แต่ก็ยังต้องพิสูจน์ว่า Valdi จะสามารถก้าวออกจากเงาของ Snapchat และแข่งขันในตลาดเฟรมเวิร์ก UI ที่มีผู้เล่นใหญ่หลายรายได้หรือไม่ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ Snapchat เปิดซอร์ส Valdi Framework ➡️ ใช้งานภายในมาแล้วกว่า 8 ปี ➡️ ปล่อยบน GitHub ภายใต้ MIT License ✅ จุดเด่นของ Valdi ➡️ คอมไพล์ TypeScript เป็น native views โดยตรง ➡️ เร็วขึ้น 2 เท่า และใช้หน่วยความจำ 1/4 ✅ ฟีเจอร์สำคัญ ➡️ Hot reload, VSCode debugging, FlexBox support ➡️ Embed components ใน native apps ได้ ‼️ คำเตือนและข้อสงสัย ⛔ นักพัฒนาบางส่วนตั้งคำถามว่าเหนือกว่า React Native จริงหรือไม่ ⛔ ต้องพิสูจน์ว่าจะได้รับการยอมรับนอก Snapchat https://itsfoss.com/news/snapchat-open-sources-valdi/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 10 มุมมอง 0 รีวิว
  • HP ปล่อย HPLIP 3.25.8 รองรับเครื่องพิมพ์รุ่นใหม่

    HP ได้ประกาศเปิดตัว HP Linux Imaging and Printing (HPLIP) เวอร์ชัน 3.25.8 โดยมีการเพิ่มการรองรับเครื่องพิมพ์ในตระกูล HP LaserJet Enterprise หลายรุ่น เช่น MFP 5601dn, 6500dn, Flow MFP 8601z และรุ่น X-series ที่ออกแบบมาสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ การอัปเดตนี้ช่วยให้ผู้ใช้ Linux สามารถใช้งานเครื่องพิมพ์รุ่นใหม่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ทั้งการพิมพ์ สแกน และการจัดการเอกสารในระบบเครือข่าย

    แม้จะมีการเพิ่มการรองรับเครื่องพิมพ์ใหม่ แต่ HPLIP 3.25.8 ไม่ได้เพิ่มการรองรับดิสโทร Linux รุ่นล่าสุด เช่น Ubuntu หรือ Fedora รุ่นใหม่ ๆ ซึ่งอาจทำให้ผู้ใช้ต้องพึ่งพาวิธีการติดตั้งแบบ manual หรือใช้เวอร์ชันก่อนหน้าเพื่อให้ใช้งานได้อย่างสมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม เวอร์ชันก่อนหน้า (3.25.6) เคยเพิ่มการรองรับ AlmaLinux 9.5 และ 9.6 ซึ่งสะท้อนว่า HP ยังคงทยอยปรับปรุงการรองรับดิสโทรที่ใช้ในองค์กร

    อีกประเด็นที่สำคัญคือ HP ได้ปรับปรุง ระบบ Digital Certificate Verification ในการติดตั้ง HPLIP เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการดาวน์โหลดและใช้งาน ผู้ใช้จึงควรตรวจสอบขั้นตอนการติดตั้งอย่างละเอียด เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการยืนยันตัวตนที่อาจทำให้การติดตั้งไม่สมบูรณ์

    นอกจากนี้ HPLIP ยังคงเป็นโครงการที่รองรับเครื่องพิมพ์ HP มากกว่า 3,000 รุ่น ครอบคลุมตั้งแต่ DeskJet, OfficeJet, Photosmart ไปจนถึง LaserJet Enterprise ซึ่งทำให้ Linux ยังคงเป็นระบบที่สามารถใช้งานเครื่องพิมพ์ HP ได้อย่างกว้างขวาง แม้จะมีข้อจำกัดบางประการในเรื่องการรองรับดิสโทรใหม่ ๆ

    สรุปสาระสำคัญ
    การอัปเดต HPLIP 3.25.8
    รองรับเครื่องพิมพ์ HP LaserJet Enterprise รุ่นใหม่หลายรุ่น
    ครอบคลุมการใช้งานทั้งการพิมพ์และสแกน

    การรองรับดิสโทร Linux
    ไม่มีการเพิ่มการรองรับดิสโทรใหม่ในเวอร์ชันนี้
    เวอร์ชันก่อนหน้า (3.25.6) เคยรองรับ AlmaLinux 9.5 และ 9.6

    ระบบ Digital Certificate Verification
    มีการปรับปรุงขั้นตอนการตรวจสอบเพื่อเพิ่มความปลอดภัย
    ผู้ใช้ต้องทำตามขั้นตอนการติดตั้งอย่างเคร่งครัด

    ความครอบคลุมของ HPLIP
    รองรับเครื่องพิมพ์ HP มากกว่า 3,000 รุ่น
    ครอบคลุมตั้งแต่ DeskJet, OfficeJet, Photosmart จนถึง LaserJet Enterprise

    ข้อควรระวังในการใช้งาน
    ผู้ใช้ดิสโทร Linux รุ่นใหม่อาจพบปัญหาการติดตั้ง
    หากไม่ตรวจสอบ Digital Certificate อาจเสี่ยงต่อความปลอดภัย

    https://9to5linux.com/hp-linux-imaging-and-printing-hplip-3-25-8-adds-support-for-new-printers
    🖨️ HP ปล่อย HPLIP 3.25.8 รองรับเครื่องพิมพ์รุ่นใหม่ HP ได้ประกาศเปิดตัว HP Linux Imaging and Printing (HPLIP) เวอร์ชัน 3.25.8 โดยมีการเพิ่มการรองรับเครื่องพิมพ์ในตระกูล HP LaserJet Enterprise หลายรุ่น เช่น MFP 5601dn, 6500dn, Flow MFP 8601z และรุ่น X-series ที่ออกแบบมาสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ การอัปเดตนี้ช่วยให้ผู้ใช้ Linux สามารถใช้งานเครื่องพิมพ์รุ่นใหม่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ทั้งการพิมพ์ สแกน และการจัดการเอกสารในระบบเครือข่าย แม้จะมีการเพิ่มการรองรับเครื่องพิมพ์ใหม่ แต่ HPLIP 3.25.8 ไม่ได้เพิ่มการรองรับดิสโทร Linux รุ่นล่าสุด เช่น Ubuntu หรือ Fedora รุ่นใหม่ ๆ ซึ่งอาจทำให้ผู้ใช้ต้องพึ่งพาวิธีการติดตั้งแบบ manual หรือใช้เวอร์ชันก่อนหน้าเพื่อให้ใช้งานได้อย่างสมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม เวอร์ชันก่อนหน้า (3.25.6) เคยเพิ่มการรองรับ AlmaLinux 9.5 และ 9.6 ซึ่งสะท้อนว่า HP ยังคงทยอยปรับปรุงการรองรับดิสโทรที่ใช้ในองค์กร อีกประเด็นที่สำคัญคือ HP ได้ปรับปรุง ระบบ Digital Certificate Verification ในการติดตั้ง HPLIP เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการดาวน์โหลดและใช้งาน ผู้ใช้จึงควรตรวจสอบขั้นตอนการติดตั้งอย่างละเอียด เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการยืนยันตัวตนที่อาจทำให้การติดตั้งไม่สมบูรณ์ นอกจากนี้ HPLIP ยังคงเป็นโครงการที่รองรับเครื่องพิมพ์ HP มากกว่า 3,000 รุ่น ครอบคลุมตั้งแต่ DeskJet, OfficeJet, Photosmart ไปจนถึง LaserJet Enterprise ซึ่งทำให้ Linux ยังคงเป็นระบบที่สามารถใช้งานเครื่องพิมพ์ HP ได้อย่างกว้างขวาง แม้จะมีข้อจำกัดบางประการในเรื่องการรองรับดิสโทรใหม่ ๆ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การอัปเดต HPLIP 3.25.8 ➡️ รองรับเครื่องพิมพ์ HP LaserJet Enterprise รุ่นใหม่หลายรุ่น ➡️ ครอบคลุมการใช้งานทั้งการพิมพ์และสแกน ✅ การรองรับดิสโทร Linux ➡️ ไม่มีการเพิ่มการรองรับดิสโทรใหม่ในเวอร์ชันนี้ ➡️ เวอร์ชันก่อนหน้า (3.25.6) เคยรองรับ AlmaLinux 9.5 และ 9.6 ✅ ระบบ Digital Certificate Verification ➡️ มีการปรับปรุงขั้นตอนการตรวจสอบเพื่อเพิ่มความปลอดภัย ➡️ ผู้ใช้ต้องทำตามขั้นตอนการติดตั้งอย่างเคร่งครัด ✅ ความครอบคลุมของ HPLIP ➡️ รองรับเครื่องพิมพ์ HP มากกว่า 3,000 รุ่น ➡️ ครอบคลุมตั้งแต่ DeskJet, OfficeJet, Photosmart จนถึง LaserJet Enterprise ‼️ ข้อควรระวังในการใช้งาน ⛔ ผู้ใช้ดิสโทร Linux รุ่นใหม่อาจพบปัญหาการติดตั้ง ⛔ หากไม่ตรวจสอบ Digital Certificate อาจเสี่ยงต่อความปลอดภัย https://9to5linux.com/hp-linux-imaging-and-printing-hplip-3-25-8-adds-support-for-new-printers
    9TO5LINUX.COM
    HP Linux Imaging and Printing (HPLIP) 3.25.8 Adds Support for New Printers - 9to5Linux
    HP Linux Imaging and Printing (HPLIP) 3.25.8 drivers are now available for download with support for new HP printers.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 6 มุมมอง 0 รีวิว
  • openSUSE ปล่อย Agama 18 Installer รุ่นล่าสุด

    ทีมพัฒนา openSUSE ได้ประกาศเปิดตัว Agama 18 Installer สำหรับการติดตั้งระบบปฏิบัติการ Tumbleweed, Slowroll และ MicroOS โดยมีการปรับปรุงครั้งใหญ่ในหน้าจอ Storage Configuration ให้มีการจัดเรียงข้อมูลใหม่ ทำให้ผู้ใช้เข้าใจได้ง่ายขึ้นว่าดิสก์จะถูกจัดการอย่างไร การออกแบบใหม่นี้ช่วยลดความซับซ้อนและเหมาะสำหรับผู้ใช้หน้าใหม่ที่ไม่คุ้นเคยกับการตั้งค่าระบบจัดเก็บข้อมูล

    นอกจากนี้ Agama 18 ยังเพิ่มการรองรับ Direct-Access Storage Device (DASD) บนเครื่อง IBM System/390 Mainframe ซึ่งช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถจัดการอุปกรณ์จำนวนมากได้สะดวกขึ้น ถือเป็นการขยายขอบเขตการใช้งานของ openSUSE ไปสู่ระบบองค์กรที่ต้องการความเสถียรและรองรับฮาร์ดแวร์เฉพาะทาง

    อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่น่าสนใจคือการปรับปรุงการทำงานกับ JSON Configuration โดยผู้ใช้สามารถตรวจสอบความถูกต้องของ JSON Profile ได้โดยตรง โดยไม่จำเป็นต้องรัน Agama Installer ซึ่งช่วยให้การปรับแต่งการติดตั้งทำได้รวดเร็วและลดความผิดพลาดในการตั้งค่า

    Agama 18 ยังเพิ่มการรองรับการอัปเดตผ่าน SUSE Linux Enterprise Self-Update Repositories รวมถึงการติดตั้งเวอร์ชันทดสอบของ SUSE Linux Enterprise 16.1 และ openSUSE Leap 16.1 อีกด้วย ขณะเดียวกันได้ยกเลิกการรองรับสถาปัตยกรรม i586 (32-bit) และลบ openSUSE Kalpa ออกจากรายการดิสโทรที่สามารถติดตั้งได้

    สรุปสาระสำคัญ
    การปรับปรุง Storage UI
    หน้าจอ Storage ถูกออกแบบใหม่ให้เข้าใจง่ายขึ้น
    ลดความซับซ้อนสำหรับผู้ใช้หน้าใหม่

    รองรับ DASD บน System/390
    ช่วยจัดการอุปกรณ์จำนวนมากได้สะดวกขึ้น
    เหมาะสำหรับระบบองค์กรที่ใช้ Mainframe

    การปรับปรุง JSON Configuration
    ตรวจสอบ JSON Profile ได้โดยไม่ต้องรัน Agama
    ลดความผิดพลาดในการตั้งค่า

    การอัปเดตและการรองรับเวอร์ชันใหม่
    รองรับ SUSE Linux Enterprise Self-Update Repositories
    ติดตั้งเวอร์ชันทดสอบ SUSE Linux Enterprise 16.1 และ openSUSE Leap 16.1 ได้

    ข้อควรระวัง
    ยกเลิกการรองรับสถาปัตยกรรม i586 (32-bit)
    ลบ openSUSE Kalpa ออกจากรายการดิสโทรที่ติดตั้งได้

    https://9to5linux.com/opensuse-releases-agama-18-installer-with-cleaner-and-more-intuitive-storage-ui
    💻 openSUSE ปล่อย Agama 18 Installer รุ่นล่าสุด ทีมพัฒนา openSUSE ได้ประกาศเปิดตัว Agama 18 Installer สำหรับการติดตั้งระบบปฏิบัติการ Tumbleweed, Slowroll และ MicroOS โดยมีการปรับปรุงครั้งใหญ่ในหน้าจอ Storage Configuration ให้มีการจัดเรียงข้อมูลใหม่ ทำให้ผู้ใช้เข้าใจได้ง่ายขึ้นว่าดิสก์จะถูกจัดการอย่างไร การออกแบบใหม่นี้ช่วยลดความซับซ้อนและเหมาะสำหรับผู้ใช้หน้าใหม่ที่ไม่คุ้นเคยกับการตั้งค่าระบบจัดเก็บข้อมูล นอกจากนี้ Agama 18 ยังเพิ่มการรองรับ Direct-Access Storage Device (DASD) บนเครื่อง IBM System/390 Mainframe ซึ่งช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถจัดการอุปกรณ์จำนวนมากได้สะดวกขึ้น ถือเป็นการขยายขอบเขตการใช้งานของ openSUSE ไปสู่ระบบองค์กรที่ต้องการความเสถียรและรองรับฮาร์ดแวร์เฉพาะทาง อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่น่าสนใจคือการปรับปรุงการทำงานกับ JSON Configuration โดยผู้ใช้สามารถตรวจสอบความถูกต้องของ JSON Profile ได้โดยตรง โดยไม่จำเป็นต้องรัน Agama Installer ซึ่งช่วยให้การปรับแต่งการติดตั้งทำได้รวดเร็วและลดความผิดพลาดในการตั้งค่า Agama 18 ยังเพิ่มการรองรับการอัปเดตผ่าน SUSE Linux Enterprise Self-Update Repositories รวมถึงการติดตั้งเวอร์ชันทดสอบของ SUSE Linux Enterprise 16.1 และ openSUSE Leap 16.1 อีกด้วย ขณะเดียวกันได้ยกเลิกการรองรับสถาปัตยกรรม i586 (32-bit) และลบ openSUSE Kalpa ออกจากรายการดิสโทรที่สามารถติดตั้งได้ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การปรับปรุง Storage UI ➡️ หน้าจอ Storage ถูกออกแบบใหม่ให้เข้าใจง่ายขึ้น ➡️ ลดความซับซ้อนสำหรับผู้ใช้หน้าใหม่ ✅ รองรับ DASD บน System/390 ➡️ ช่วยจัดการอุปกรณ์จำนวนมากได้สะดวกขึ้น ➡️ เหมาะสำหรับระบบองค์กรที่ใช้ Mainframe ✅ การปรับปรุง JSON Configuration ➡️ ตรวจสอบ JSON Profile ได้โดยไม่ต้องรัน Agama ➡️ ลดความผิดพลาดในการตั้งค่า ✅ การอัปเดตและการรองรับเวอร์ชันใหม่ ➡️ รองรับ SUSE Linux Enterprise Self-Update Repositories ➡️ ติดตั้งเวอร์ชันทดสอบ SUSE Linux Enterprise 16.1 และ openSUSE Leap 16.1 ได้ ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ ยกเลิกการรองรับสถาปัตยกรรม i586 (32-bit) ⛔ ลบ openSUSE Kalpa ออกจากรายการดิสโทรที่ติดตั้งได้ https://9to5linux.com/opensuse-releases-agama-18-installer-with-cleaner-and-more-intuitive-storage-ui
    9TO5LINUX.COM
    openSUSE Releases Agama 18 Installer with Cleaner and More Intuitive Storage UI - 9to5Linux
    openSUSE releases Agama 18 installer for Tumbleweed and Slowroll with a cleaner and more intuitive Storage configuration page.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 7 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดร.บิ๊กชี้สัญญาณอันตราย GDP ไทยขยายตัวต่ำสุดในอาเซียน เหตุ “ภาษีทรัมป์-ลงทุนภาครัฐ/เอกชนต่ำ“ กระตุ้นระยะสั้นเอาไม่อยู่แน่
    https://www.thai-tai.tv/news/22427/
    .
    #ไทยไท #เศรษฐกิจไทย #ไทยก้าวใหม่ #ต่ำสุดในอาเซียน #หนี้ครัวเรือน #ปฏิรูปโครงสร้าง

    ดร.บิ๊กชี้สัญญาณอันตราย GDP ไทยขยายตัวต่ำสุดในอาเซียน เหตุ “ภาษีทรัมป์-ลงทุนภาครัฐ/เอกชนต่ำ“ กระตุ้นระยะสั้นเอาไม่อยู่แน่ https://www.thai-tai.tv/news/22427/ . #ไทยไท #เศรษฐกิจไทย #ไทยก้าวใหม่ #ต่ำสุดในอาเซียน #หนี้ครัวเรือน #ปฏิรูปโครงสร้าง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 6 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทัวร์เวียดนาม ดานัง ฮอยอัน บานาฮิลล์ 6,996

    🗓 จำนวนวัน 3วัน 2คืน
    ✈ EK-เอมิเรตส์แอร์ไลน์
    พักโรงแรม

    บานาฮิลล์
    สะพานมือยักษ์
    สะพานมังกร
    สะพานแห่งความรัก
    นั่งเรือกระด้ง
    เมืองโบราณฮอยอัน
    วัดหลินอึ๋ง
    ร้านกาแฟ Son Tra Marina

    รวมทัวร์ไฟไหม้ ทัวร์หลุดจอง โปรพักเดี่ยว ลดเยอะสุด by 21 ปี ">https://eTravelWay.com
    ⭕️ เข้ากลุ่มลับ Facebook โปรเพียบบบบ : https://78s.me/e86e1a
    ⭕️ เข้ากลุ่มลับ LINE openchat ทัวร์ที่หลุด คลิก https://78s.me/501ad8

    LINE ID: @etravelway.fire https://78s.me/e58a3f
    Facebook: etravelway.fire https://78s.me/317663
    Instagram: etravelway.fire https://78s.me/d43626
    Tiktok : https://78s.me/903597
    : 021166395

    #ทัวร์เวียดนาม #vietnam #ทัวร์บานาฮิลล์ #banahills #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #ทัวร์ไฟไหม้
    #ทัวร์ลดราคา #ทัวร์ราคาถูก #etravelwayfire #thaitimes #News1
    #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    ทัวร์เวียดนาม ดานัง ฮอยอัน บานาฮิลล์ 😍🎡 6,996 🔥🔥 🗓 จำนวนวัน 3วัน 2คืน ✈ EK-เอมิเรตส์แอร์ไลน์ 🏨 พักโรงแรม ⭐⭐⭐ 📍 บานาฮิลล์ 📍 สะพานมือยักษ์ 📍 สะพานมังกร 📍 สะพานแห่งความรัก 📍 นั่งเรือกระด้ง 📍 เมืองโบราณฮอยอัน 📍 วัดหลินอึ๋ง 📍 ร้านกาแฟ Son Tra Marina รวมทัวร์ไฟไหม้ ทัวร์หลุดจอง โปรพักเดี่ยว ลดเยอะสุด by 21 ปี https://eTravelWay.com🔥 ⭕️ เข้ากลุ่มลับ Facebook โปรเพียบบบบ : https://78s.me/e86e1a ⭕️ เข้ากลุ่มลับ LINE openchat ทัวร์ที่หลุด คลิก https://78s.me/501ad8 LINE ID: @etravelway.fire https://78s.me/e58a3f Facebook: etravelway.fire https://78s.me/317663 Instagram: etravelway.fire https://78s.me/d43626 Tiktok : https://78s.me/903597 ☎️: 021166395 #ทัวร์เวียดนาม #vietnam #ทัวร์บานาฮิลล์ #banahills #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #ทัวร์ไฟไหม้ #ทัวร์ลดราคา #ทัวร์ราคาถูก #etravelwayfire #thaitimes #News1 #คิงส์โพธิ์แดง #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 12 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • น้อมกราบ สาธุ
    น้อมกราบ สาธุ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 3 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • OpenVPN 2.6.15 คืนฟีเจอร์ Broadcast Address

    ทีมพัฒนา OpenVPN ได้ปล่อย เวอร์ชัน 2.6.15 ซึ่งถือเป็นการแก้ไขปัญหาสำคัญที่เกิดขึ้นในรุ่นก่อนหน้า โดยฟีเจอร์การตั้งค่า Broadcast Address ที่เคยถูกถอดออกไป ถูกนำกลับมาใช้งานอีกครั้ง เนื่องจากการปล่อยให้ระบบ Kernel จัดการเองทำให้เกิดปัญหาการตั้งค่า IP Address เป็น “0.0.0.0” ส่งผลให้แอปพลิเคชันที่ต้องอาศัย Broadcast ไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ

    นอกจากนั้นยังมีการปรับปรุงการตรวจสอบ DNS Domain Name Validation โดยใช้รายการตัวอักษรที่อนุญาตอย่างเข้มงวด รวมถึงรองรับ UTF-8 เพื่อป้องกันการโจมตีผ่านการส่งค่า Domain ที่ไม่ถูกต้องเข้าสู่ PowerShell

    อีกหนึ่งการเปลี่ยนแปลงคือการเพิ่มการตรวจสอบ TLS Handshake Packets ก่อนที่จะสร้าง State ใหม่ ซึ่งช่วยแก้ปัญหากับ Client ที่เชื่อมต่อเร็วเกินไปและส่งข้อมูลจาก IP ที่ยังไม่ถูกยืนยัน ทำให้การเชื่อมต่อมีความปลอดภัยและเสถียรมากขึ้น

    การอัปเดตนี้สะท้อนให้เห็นว่า OpenVPN ยังคงมุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในระบบใช้งาน เพื่อให้ผู้ใช้ทั้งองค์กรและบุคคลทั่วไปสามารถใช้งาน VPN ได้อย่างมั่นใจและปลอดภัย

    สรุปสาระสำคัญ
    การคืนฟีเจอร์ Broadcast Address
    รองรับการตั้งค่า Broadcast Address บน Linux อีกครั้ง
    แก้ปัญหา IP “0.0.0.0” ที่ทำให้แอปพลิเคชัน Broadcast ใช้งานไม่ได้

    การตรวจสอบ DNS Domain Name
    ใช้รายการตัวอักษรที่อนุญาตอย่างเข้มงวด
    รองรับ UTF-8 เพื่อความปลอดภัย

    การปรับปรุง TLS Handshake
    ตรวจสอบแพ็กเก็ตก่อนสร้าง State ใหม่
    ลดปัญหา Client ที่เชื่อมต่อเร็วเกินไป

    ข้อควรระวังในการใช้งาน
    หากใช้ดิสโทร Linux รุ่นใหม่ อาจต้องตรวจสอบความเข้ากันได้
    การตั้งค่า DNS และ TLS ที่เข้มงวดขึ้นอาจทำให้บางสคริปต์หรือปลั๊กอินเดิมไม่ทำงาน

    https://9to5linux.com/openvpn-2-6-15-re-adds-support-for-explicitly-configuring-the-broadcast-address
    🔒 OpenVPN 2.6.15 คืนฟีเจอร์ Broadcast Address ทีมพัฒนา OpenVPN ได้ปล่อย เวอร์ชัน 2.6.15 ซึ่งถือเป็นการแก้ไขปัญหาสำคัญที่เกิดขึ้นในรุ่นก่อนหน้า โดยฟีเจอร์การตั้งค่า Broadcast Address ที่เคยถูกถอดออกไป ถูกนำกลับมาใช้งานอีกครั้ง เนื่องจากการปล่อยให้ระบบ Kernel จัดการเองทำให้เกิดปัญหาการตั้งค่า IP Address เป็น “0.0.0.0” ส่งผลให้แอปพลิเคชันที่ต้องอาศัย Broadcast ไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ นอกจากนั้นยังมีการปรับปรุงการตรวจสอบ DNS Domain Name Validation โดยใช้รายการตัวอักษรที่อนุญาตอย่างเข้มงวด รวมถึงรองรับ UTF-8 เพื่อป้องกันการโจมตีผ่านการส่งค่า Domain ที่ไม่ถูกต้องเข้าสู่ PowerShell อีกหนึ่งการเปลี่ยนแปลงคือการเพิ่มการตรวจสอบ TLS Handshake Packets ก่อนที่จะสร้าง State ใหม่ ซึ่งช่วยแก้ปัญหากับ Client ที่เชื่อมต่อเร็วเกินไปและส่งข้อมูลจาก IP ที่ยังไม่ถูกยืนยัน ทำให้การเชื่อมต่อมีความปลอดภัยและเสถียรมากขึ้น การอัปเดตนี้สะท้อนให้เห็นว่า OpenVPN ยังคงมุ่งเน้นการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นจริงในระบบใช้งาน เพื่อให้ผู้ใช้ทั้งองค์กรและบุคคลทั่วไปสามารถใช้งาน VPN ได้อย่างมั่นใจและปลอดภัย 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การคืนฟีเจอร์ Broadcast Address ➡️ รองรับการตั้งค่า Broadcast Address บน Linux อีกครั้ง ➡️ แก้ปัญหา IP “0.0.0.0” ที่ทำให้แอปพลิเคชัน Broadcast ใช้งานไม่ได้ ✅ การตรวจสอบ DNS Domain Name ➡️ ใช้รายการตัวอักษรที่อนุญาตอย่างเข้มงวด ➡️ รองรับ UTF-8 เพื่อความปลอดภัย ✅ การปรับปรุง TLS Handshake ➡️ ตรวจสอบแพ็กเก็ตก่อนสร้าง State ใหม่ ➡️ ลดปัญหา Client ที่เชื่อมต่อเร็วเกินไป ‼️ ข้อควรระวังในการใช้งาน ⛔ หากใช้ดิสโทร Linux รุ่นใหม่ อาจต้องตรวจสอบความเข้ากันได้ ⛔ การตั้งค่า DNS และ TLS ที่เข้มงวดขึ้นอาจทำให้บางสคริปต์หรือปลั๊กอินเดิมไม่ทำงาน https://9to5linux.com/openvpn-2-6-15-re-adds-support-for-explicitly-configuring-the-broadcast-address
    9TO5LINUX.COM
    OpenVPN 2.6.16 Released with a Security Fix and Various Bug Fixes - 9to5Linux
    OpenVPN 2.6.16 open-source VPN system is now available for download with various improvements and security fixes.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 8 มุมมอง 0 รีวิว
  • NetworkManager 1.54.2 เพิ่มการตั้งค่า HSR Protocol

    ทีมพัฒนา NetworkManager ได้ปล่อย เวอร์ชัน 1.54.2 ซึ่งถือเป็นการอัปเดตย่อยในซีรีส์ 1.54 โดยมีการเพิ่มการรองรับการตั้งค่า HSR (High-availability Seamless Redundancy) Protocol Version ผ่าน property ใหม่ hsr.protocol-version รวมถึงการตั้งค่า HSR Interlink Port ผ่าน hsr.interlink สิ่งนี้ช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถปรับแต่งการทำงานของเครือข่ายที่ต้องการความทนทานสูงได้อย่างละเอียดมากขึ้น

    HSR คืออะไร?
    HSR เป็น Layer 2 redundancy protocol ที่กำหนดโดยมาตรฐาน IEC 62439-3 ใช้ในระบบอัตโนมัติอุตสาหกรรมและระบบที่ต้องความเสถียรสูง เช่น substation automation (IEC 61850), ระบบไฟฟ้า, การขนส่ง, โรงงานที่ต้อง real-time communication

    หัวใจของ HSR คือ:
    การทำงานแบบ Ring redundancy โดยไม่มีเวลาสลับเส้นทาง (0 ms recovery)
    อุปกรณ์ HSR จะเชื่อมต่อกันเป็นวง (ring) และ ทุกเฟรมที่ส่งออกมาจะถูกส่งสองทางพร้อมกัน — วิ่งตามเข็มและทวนเข็มนาฬิกา หากทางใดทางหนึ่งขาด ระบบจะยังคงรับข้อมูลจากอีกทางหนึ่งทันที จึงไม่มี Downtime แม้เกิด failure

    นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงการทำงานกับค่า sriov.vfs โดยสามารถ reapply ได้หากค่า sriov.total-vfs ไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งช่วยให้การจัดการ Virtual Functions บน SR-IOV มีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยไม่ต้องรีสตาร์ทระบบเครือข่ายทั้งหมด

    แม้จะเป็นการอัปเดตเล็ก แต่ NetworkManager 1.54.2 ถือเป็นการต่อยอดจากเวอร์ชัน 1.54 ที่เปิดตัวในเดือนสิงหาคม 2025 ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงใหญ่ เช่น การรองรับการตั้งค่า IPv4 Forwarding ต่ออุปกรณ์, การเพิ่มการจัดการ OCI Baremetal ใน nm-cloud-setup และการปรับปรุง UI ของ nmtui ให้รองรับการตั้งค่า Loopback Interface

    ขณะเดียวกัน ทีมพัฒนากำลังเดินหน้าสู่ NetworkManager 1.56 ซึ่งจะเป็นการอัปเดตใหญ่ โดยมีแผนเพิ่มการจัดการ WireGuard peers ผ่าน nmcli, รองรับ DNS Hostname ที่ยาวกว่า 64 ตัวอักษร และการปรับปรุงการทำงานร่วมกับ systemd-resolved DNSSEC เพื่อเพิ่มความปลอดภัยของระบบเครือข่าย

    สรุปสาระสำคัญ
    การอัปเดตใหม่ใน NetworkManager 1.54.2
    รองรับการตั้งค่า HSR Protocol Version (hsr.protocol-version)
    รองรับการตั้งค่า HSR Interlink Port (hsr.interlink)

    การปรับปรุง SR-IOV
    สามารถ reapply ค่า sriov.vfs ได้
    ไม่ต้องรีสตาร์ทระบบหากค่า sriov.total-vfs ไม่เปลี่ยน

    การต่อยอดจาก NetworkManager 1.54
    เพิ่ม IPv4 Forwarding ต่ออุปกรณ์
    รองรับ OCI Baremetal และปรับปรุง UI ของ nmtui

    แผนใน NetworkManager 1.56
    เพิ่มการจัดการ WireGuard peers ผ่าน nmcli
    รองรับ DNS Hostname ที่ยาวกว่า 64 ตัวอักษร
    ปรับปรุงการทำงานร่วมกับ systemd-resolved DNSSEC

    ข้อควรระวัง
    การตั้งค่า HSR ต้องใช้กับระบบที่รองรับเท่านั้น
    หาก SR-IOV ถูกตั้งค่าไม่ถูกต้อง อาจทำให้ระบบเครือข่ายไม่เสถียร

    https://9to5linux.com/networkmanager-1-54-2-adds-support-for-configuring-the-hsr-protocol-version
    🌐 NetworkManager 1.54.2 เพิ่มการตั้งค่า HSR Protocol ทีมพัฒนา NetworkManager ได้ปล่อย เวอร์ชัน 1.54.2 ซึ่งถือเป็นการอัปเดตย่อยในซีรีส์ 1.54 โดยมีการเพิ่มการรองรับการตั้งค่า HSR (High-availability Seamless Redundancy) Protocol Version ผ่าน property ใหม่ hsr.protocol-version รวมถึงการตั้งค่า HSR Interlink Port ผ่าน hsr.interlink สิ่งนี้ช่วยให้ผู้ดูแลระบบสามารถปรับแต่งการทำงานของเครือข่ายที่ต้องการความทนทานสูงได้อย่างละเอียดมากขึ้น ✅ HSR คืออะไร? HSR เป็น Layer 2 redundancy protocol ที่กำหนดโดยมาตรฐาน IEC 62439-3 ใช้ในระบบอัตโนมัติอุตสาหกรรมและระบบที่ต้องความเสถียรสูง เช่น substation automation (IEC 61850), ระบบไฟฟ้า, การขนส่ง, โรงงานที่ต้อง real-time communication 💖 หัวใจของ HSR คือ: 🔁 การทำงานแบบ Ring redundancy โดยไม่มีเวลาสลับเส้นทาง (0 ms recovery) อุปกรณ์ HSR จะเชื่อมต่อกันเป็นวง (ring) และ ทุกเฟรมที่ส่งออกมาจะถูกส่งสองทางพร้อมกัน — วิ่งตามเข็มและทวนเข็มนาฬิกา หากทางใดทางหนึ่งขาด ระบบจะยังคงรับข้อมูลจากอีกทางหนึ่งทันที จึงไม่มี Downtime แม้เกิด failure นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงการทำงานกับค่า sriov.vfs โดยสามารถ reapply ได้หากค่า sriov.total-vfs ไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งช่วยให้การจัดการ Virtual Functions บน SR-IOV มีความยืดหยุ่นมากขึ้น โดยไม่ต้องรีสตาร์ทระบบเครือข่ายทั้งหมด แม้จะเป็นการอัปเดตเล็ก แต่ NetworkManager 1.54.2 ถือเป็นการต่อยอดจากเวอร์ชัน 1.54 ที่เปิดตัวในเดือนสิงหาคม 2025 ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงใหญ่ เช่น การรองรับการตั้งค่า IPv4 Forwarding ต่ออุปกรณ์, การเพิ่มการจัดการ OCI Baremetal ใน nm-cloud-setup และการปรับปรุง UI ของ nmtui ให้รองรับการตั้งค่า Loopback Interface ขณะเดียวกัน ทีมพัฒนากำลังเดินหน้าสู่ NetworkManager 1.56 ซึ่งจะเป็นการอัปเดตใหญ่ โดยมีแผนเพิ่มการจัดการ WireGuard peers ผ่าน nmcli, รองรับ DNS Hostname ที่ยาวกว่า 64 ตัวอักษร และการปรับปรุงการทำงานร่วมกับ systemd-resolved DNSSEC เพื่อเพิ่มความปลอดภัยของระบบเครือข่าย 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การอัปเดตใหม่ใน NetworkManager 1.54.2 ➡️ รองรับการตั้งค่า HSR Protocol Version (hsr.protocol-version) ➡️ รองรับการตั้งค่า HSR Interlink Port (hsr.interlink) ✅ การปรับปรุง SR-IOV ➡️ สามารถ reapply ค่า sriov.vfs ได้ ➡️ ไม่ต้องรีสตาร์ทระบบหากค่า sriov.total-vfs ไม่เปลี่ยน ✅ การต่อยอดจาก NetworkManager 1.54 ➡️ เพิ่ม IPv4 Forwarding ต่ออุปกรณ์ ➡️ รองรับ OCI Baremetal และปรับปรุง UI ของ nmtui ✅ แผนใน NetworkManager 1.56 ➡️ เพิ่มการจัดการ WireGuard peers ผ่าน nmcli ➡️ รองรับ DNS Hostname ที่ยาวกว่า 64 ตัวอักษร ➡️ ปรับปรุงการทำงานร่วมกับ systemd-resolved DNSSEC ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ การตั้งค่า HSR ต้องใช้กับระบบที่รองรับเท่านั้น ⛔ หาก SR-IOV ถูกตั้งค่าไม่ถูกต้อง อาจทำให้ระบบเครือข่ายไม่เสถียร https://9to5linux.com/networkmanager-1-54-2-adds-support-for-configuring-the-hsr-protocol-version
    9TO5LINUX.COM
    NetworkManager 1.54.2 Adds Support for Configuring the HSR Protocol Version - 9to5Linux
    NetworkManager 1.54.2 open-source network connection manager is now available for downlaoad with various new features.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 9 มุมมอง 0 รีวิว
  • VKD3D-Proton 3.0 มาพร้อม FSR4 และ Shader Backend Rewrite

    ทีมพัฒนา VKD3D-Proton ได้ปล่อยเวอร์ชัน 3.0 ซึ่งถือเป็นการอัปเดตครั้งใหญ่หลังจาก Proton 10 โดยมีการเพิ่มการรองรับ AMD FidelityFX Super Resolution 4 (FSR4) ผ่านการใช้ Vulkan extensions เช่น VK_KHR_cooperative_matrix และ VK_KHR_shader_float8 ทำให้เกมที่รองรับสามารถเรนเดอร์ได้คมชัดขึ้นและมีประสิทธิภาพสูงขึ้นบน Linux

    หนึ่งในการเปลี่ยนแปลงสำคัญคือการเขียนระบบ DXBC Shader Backend ใหม่ทั้งหมด แทนที่ระบบเก่า (vkd3d-shader) ที่มีบั๊กและฟีเจอร์ไม่ครบ ส่งผลให้เกมที่เคยไม่สามารถรันได้ เช่น Red Dead Redemption 2 ตอนนี้สามารถทำงานได้อย่างสมบูรณ์ในโหมด D3D12

    นอกจากนี้ VKD3D-Proton 3.0 ยังเพิ่มการรองรับ D3D12 Work Graphs, ปรับปรุงการทำงานกับ AgilitySDK, และเพิ่มการจัดการทรัพยากรใหม่ เช่น Sparse TIER_4 รวมถึงระบบ batching logic ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในหลายเกม อีกทั้งยังแก้ไขปัญหาการทำงานกับ Halo Infinite, The Last of Us Part 1, และเกมดังอื่น ๆ เช่น Death Stranding, Helldivers II, Star Citizen, Final Fantasy VII Rebirth, Monster Hunter Wilds, Starfield และอีกมากมาย

    การอัปเดตนี้ยังช่วยให้ VKD3D-Proton ใช้งานง่ายขึ้นในโปรเจกต์ Linux-native และปรับปรุงการทำงานกับการบีบอัด GDeflate รวมถึงการจัดการภาพแบบ depth/stencil ↔ color copies ได้ดีขึ้น ถือเป็นก้าวสำคัญในการทำให้ Linux กลายเป็นแพลตฟอร์มที่รองรับเกม Windows ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ

    สรุปสาระสำคัญ
    ฟีเจอร์ใหม่ใน VKD3D-Proton 3.0
    รองรับ AMD FSR4 ผ่าน Vulkan extensions
    เขียน DXBC Shader Backend ใหม่ทั้งหมด

    การปรับปรุงเกมที่รองรับ
    Red Dead Redemption 2 รันได้ในโหมด D3D12
    ปรับปรุงเกมดัง เช่น Halo Infinite, The Last of Us Part 1, Death Stranding, Starfield

    ฟีเจอร์ด้านเทคนิคเพิ่มเติม
    รองรับ D3D12 Work Graphs และ Sparse TIER_4
    ปรับปรุง batching logic และการจัดการ GDeflate

    การใช้งานใน Linux-native projects
    ทำให้การนำ VKD3D-Proton ไปใช้ในโปรเจกต์ Linux ง่ายขึ้น
    ปรับปรุงการจัดการ depth/stencil ↔ color copies

    ข้อควรระวัง
    ผู้ใช้ต้องใช้ Vulkan extensions รุ่นใหม่เพื่อให้ฟีเจอร์ทำงานได้เต็มที่
    เกมบางเกมอาจยังมีบั๊กที่ต้องรอการแก้ไขเพิ่มเติม

    https://9to5linux.com/vkd3d-proton-3-0-released-with-fsr4-support-dxbc-shader-backend-rewrite
    🎮 VKD3D-Proton 3.0 มาพร้อม FSR4 และ Shader Backend Rewrite ทีมพัฒนา VKD3D-Proton ได้ปล่อยเวอร์ชัน 3.0 ซึ่งถือเป็นการอัปเดตครั้งใหญ่หลังจาก Proton 10 โดยมีการเพิ่มการรองรับ AMD FidelityFX Super Resolution 4 (FSR4) ผ่านการใช้ Vulkan extensions เช่น VK_KHR_cooperative_matrix และ VK_KHR_shader_float8 ทำให้เกมที่รองรับสามารถเรนเดอร์ได้คมชัดขึ้นและมีประสิทธิภาพสูงขึ้นบน Linux หนึ่งในการเปลี่ยนแปลงสำคัญคือการเขียนระบบ DXBC Shader Backend ใหม่ทั้งหมด แทนที่ระบบเก่า (vkd3d-shader) ที่มีบั๊กและฟีเจอร์ไม่ครบ ส่งผลให้เกมที่เคยไม่สามารถรันได้ เช่น Red Dead Redemption 2 ตอนนี้สามารถทำงานได้อย่างสมบูรณ์ในโหมด D3D12 นอกจากนี้ VKD3D-Proton 3.0 ยังเพิ่มการรองรับ D3D12 Work Graphs, ปรับปรุงการทำงานกับ AgilitySDK, และเพิ่มการจัดการทรัพยากรใหม่ เช่น Sparse TIER_4 รวมถึงระบบ batching logic ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในหลายเกม อีกทั้งยังแก้ไขปัญหาการทำงานกับ Halo Infinite, The Last of Us Part 1, และเกมดังอื่น ๆ เช่น Death Stranding, Helldivers II, Star Citizen, Final Fantasy VII Rebirth, Monster Hunter Wilds, Starfield และอีกมากมาย การอัปเดตนี้ยังช่วยให้ VKD3D-Proton ใช้งานง่ายขึ้นในโปรเจกต์ Linux-native และปรับปรุงการทำงานกับการบีบอัด GDeflate รวมถึงการจัดการภาพแบบ depth/stencil ↔ color copies ได้ดีขึ้น ถือเป็นก้าวสำคัญในการทำให้ Linux กลายเป็นแพลตฟอร์มที่รองรับเกม Windows ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ฟีเจอร์ใหม่ใน VKD3D-Proton 3.0 ➡️ รองรับ AMD FSR4 ผ่าน Vulkan extensions ➡️ เขียน DXBC Shader Backend ใหม่ทั้งหมด ✅ การปรับปรุงเกมที่รองรับ ➡️ Red Dead Redemption 2 รันได้ในโหมด D3D12 ➡️ ปรับปรุงเกมดัง เช่น Halo Infinite, The Last of Us Part 1, Death Stranding, Starfield ✅ ฟีเจอร์ด้านเทคนิคเพิ่มเติม ➡️ รองรับ D3D12 Work Graphs และ Sparse TIER_4 ➡️ ปรับปรุง batching logic และการจัดการ GDeflate ✅ การใช้งานใน Linux-native projects ➡️ ทำให้การนำ VKD3D-Proton ไปใช้ในโปรเจกต์ Linux ง่ายขึ้น ➡️ ปรับปรุงการจัดการ depth/stencil ↔ color copies ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ ผู้ใช้ต้องใช้ Vulkan extensions รุ่นใหม่เพื่อให้ฟีเจอร์ทำงานได้เต็มที่ ⛔ เกมบางเกมอาจยังมีบั๊กที่ต้องรอการแก้ไขเพิ่มเติม https://9to5linux.com/vkd3d-proton-3-0-released-with-fsr4-support-dxbc-shader-backend-rewrite
    9TO5LINUX.COM
    VKD3D-Proton 3.0 Released with FSR4 Support, DXBC Shader Backend Rewrite - 9to5Linux
    VKD3D-Proton 3.0 open-source implementation of the full Direct3D 12 API on top of Vulkan is now available for download as a major update.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 10 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปกติวางท่านในตู้โชว์รวมกับสิ่งต่างๆ คืน1ท่านมาบอกว่า...
    น้อมกราบ สาธุ
    ปกติวางท่านในตู้โชว์รวมกับสิ่งต่างๆ คืน1ท่านมาบอกว่า... น้อมกราบ สาธุ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 3 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • Git 2.52 เพิ่มคำสั่งใหม่เพื่อจัดการ Repository ได้ง่ายขึ้น

    ทีมพัฒนา Git ได้ปล่อย Git 2.52 ซึ่งเป็นการอัปเดตใหญ่ที่มาพร้อมกับคำสั่งใหม่หลายตัว โดยหนึ่งในฟีเจอร์สำคัญคือคำสั่ง git repo ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถดึงข้อมูลคุณลักษณะต่าง ๆ ของ repository ได้สะดวกขึ้น เช่น โครงสร้าง repo, refs ที่มีอยู่ และ object format ที่ใช้ใน repository นั้น ๆ

    อีกคำสั่งที่น่าสนใจคือ git last-modified ซึ่งสามารถตรวจสอบ commit ล่าสุดที่แก้ไขไฟล์หรือ path ที่กำหนดได้ ทำให้ผู้ใช้สามารถติดตามการเปลี่ยนแปลงได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะในโปรเจกต์ขนาดใหญ่ที่มีไฟล์จำนวนมาก

    นอกจากนี้ Git 2.52 ยังเพิ่มคำสั่ง git refs exists ที่ทำงานคล้ายกับ git show-ref --exists และปรับปรุงการทำงานของ git commit-graph โดยเพิ่มตัวเลือก --changed-paths ให้เปิดใช้งานได้โดยค่าเริ่มต้น รวมถึงการปรับปรุงคำสั่ง git stash ให้สามารถจำลองการทำงานเหมือนใช้ --index ได้

    การอัปเดตนี้ยังรวมถึงการปรับปรุงคำสั่งอื่น ๆ เช่น git diff-tree ที่เพิ่มตัวเลือก --max-depth, git fast-import ที่รองรับ signed tags, และ git sparse-checkout ที่เพิ่ม action ใหม่ชื่อ “clean” สำหรับลบไฟล์ที่ไม่ใช้งานออกจาก working tree

    สรุปสาระสำคัญ
    คำสั่งใหม่ใน Git 2.52
    git repo สำหรับดึงข้อมูลคุณลักษณะของ repository
    git last-modified สำหรับตรวจสอบ commit ล่าสุดที่แก้ไขไฟล์
    git refs exists สำหรับตรวจสอบการมีอยู่ของ refs

    การปรับปรุงคำสั่งเดิม
    git commit-graph รองรับ --changed-paths โดยค่าเริ่มต้น
    git stash รองรับการจำลอง --index
    git diff-tree เพิ่มตัวเลือก --max-depth

    การจัดการ repository ที่ดีขึ้น
    git fast-import รองรับ signed tags
    git sparse-checkout เพิ่ม action “clean” สำหรับลบไฟล์ที่ไม่ใช้งาน

    ข้อควรระวัง
    ผู้ใช้ควรตรวจสอบการเปลี่ยนแปลง configuration เช่น stash.index และ commitGraph.changedPaths
    การใช้คำสั่งใหม่อาจต้องอัปเดตสคริปต์หรือ workflow ที่มีอยู่ให้รองรับ

    https://9to5linux.com/git-2-52-introduces-new-command-for-grabbing-various-repository-characteristics
    📂 Git 2.52 เพิ่มคำสั่งใหม่เพื่อจัดการ Repository ได้ง่ายขึ้น ทีมพัฒนา Git ได้ปล่อย Git 2.52 ซึ่งเป็นการอัปเดตใหญ่ที่มาพร้อมกับคำสั่งใหม่หลายตัว โดยหนึ่งในฟีเจอร์สำคัญคือคำสั่ง git repo ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถดึงข้อมูลคุณลักษณะต่าง ๆ ของ repository ได้สะดวกขึ้น เช่น โครงสร้าง repo, refs ที่มีอยู่ และ object format ที่ใช้ใน repository นั้น ๆ อีกคำสั่งที่น่าสนใจคือ git last-modified ซึ่งสามารถตรวจสอบ commit ล่าสุดที่แก้ไขไฟล์หรือ path ที่กำหนดได้ ทำให้ผู้ใช้สามารถติดตามการเปลี่ยนแปลงได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะในโปรเจกต์ขนาดใหญ่ที่มีไฟล์จำนวนมาก นอกจากนี้ Git 2.52 ยังเพิ่มคำสั่ง git refs exists ที่ทำงานคล้ายกับ git show-ref --exists และปรับปรุงการทำงานของ git commit-graph โดยเพิ่มตัวเลือก --changed-paths ให้เปิดใช้งานได้โดยค่าเริ่มต้น รวมถึงการปรับปรุงคำสั่ง git stash ให้สามารถจำลองการทำงานเหมือนใช้ --index ได้ การอัปเดตนี้ยังรวมถึงการปรับปรุงคำสั่งอื่น ๆ เช่น git diff-tree ที่เพิ่มตัวเลือก --max-depth, git fast-import ที่รองรับ signed tags, และ git sparse-checkout ที่เพิ่ม action ใหม่ชื่อ “clean” สำหรับลบไฟล์ที่ไม่ใช้งานออกจาก working tree 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ คำสั่งใหม่ใน Git 2.52 ➡️ git repo สำหรับดึงข้อมูลคุณลักษณะของ repository ➡️ git last-modified สำหรับตรวจสอบ commit ล่าสุดที่แก้ไขไฟล์ ➡️ git refs exists สำหรับตรวจสอบการมีอยู่ของ refs ✅ การปรับปรุงคำสั่งเดิม ➡️ git commit-graph รองรับ --changed-paths โดยค่าเริ่มต้น ➡️ git stash รองรับการจำลอง --index ➡️ git diff-tree เพิ่มตัวเลือก --max-depth ✅ การจัดการ repository ที่ดีขึ้น ➡️ git fast-import รองรับ signed tags ➡️ git sparse-checkout เพิ่ม action “clean” สำหรับลบไฟล์ที่ไม่ใช้งาน ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ ผู้ใช้ควรตรวจสอบการเปลี่ยนแปลง configuration เช่น stash.index และ commitGraph.changedPaths ⛔ การใช้คำสั่งใหม่อาจต้องอัปเดตสคริปต์หรือ workflow ที่มีอยู่ให้รองรับ https://9to5linux.com/git-2-52-introduces-new-command-for-grabbing-various-repository-characteristics
    9TO5LINUX.COM
    Git 2.52 Introduces New Command for Grabbing Various Repository Characteristics - 9to5Linux
    Git 2.52 open-source distributed version control system is now available for download with numerous new features and improvements.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 12 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวใหม่: AlmaLinux OS 9.7 เปิดตัวอย่างเป็นทางการ

    AlmaLinux OS 9.7 ได้รับการเปิดตัวเป็นเวอร์ชันเสถียรล่าสุด โดยยังคงความเข้ากันได้เต็มรูปแบบกับ Red Hat Enterprise Linux (RHEL) 9.7 จุดเด่นของรุ่นนี้คือการปรับปรุงเครื่องมือสำหรับนักพัฒนาและผู้ดูแลระบบ เช่น GDB 16.3, Valgrind 3.25.1, SystemTap 5.3, Dyninst 13.0.0 และ Grafana 10.2.6 ที่ช่วยให้การตรวจสอบและดีบักระบบทำได้ง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    ในด้านระบบเครือข่าย AlmaLinux 9.7 มาพร้อมกับ NetworkManager 1.54, Ethtool 6.15 และ iproute 6.14.0 ซึ่งช่วยให้การจัดการเครือข่ายมีความยืดหยุ่นและทันสมัยมากขึ้น ขณะเดียวกันยังมีการอัปเดต toolchain เช่น GCC 15, LLVM 20.1.8, Rust 1.88.0 และ Go 1.24 เพื่อรองรับการพัฒนาแอปพลิเคชันรุ่นใหม่ ๆ

    อีกหนึ่งการเปลี่ยนแปลงสำคัญคือการเพิ่ม PQ Subpolicy ในระบบการเข้ารหัส เพื่อรองรับ Post-Quantum Cryptography (PQC) ซึ่งเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับภัยคุกคามจากคอมพิวเตอร์ควอนตัมในอนาคต ถือเป็นการยกระดับความปลอดภัยของระบบให้ทันสมัยและมั่นคงมากขึ้น

    AlmaLinux OS 9.7 ใช้ Linux Kernel 5.14 และมีแพ็กเกจใหม่จำนวนมาก เช่น Podman 5.6.0, Buildah 1.41.4, GIMP 3.0.4, Mesa 25.0.7, Samba 4.22.4 และ OpenSSL 3.5 พร้อมให้ดาวน์โหลดสำหรับสถาปัตยกรรมหลัก ได้แก่ x86_64, AArch64, ppc64le และ s390x

    สรุปสาระสำคัญ
    การปรับปรุงเครื่องมือพัฒนาและดีบัก
    GDB 16.3, Valgrind 3.25.1, SystemTap 5.3
    Dyninst 13.0.0, Grafana 10.2.6

    การอัปเดตระบบเครือข่าย
    NetworkManager 1.54, Ethtool 6.15
    iproute 6.14.0

    การอัปเดต toolchain และแพ็กเกจใหม่
    GCC 15, LLVM 20.1.8, Rust 1.88.0, Go 1.24
    Podman 5.6.0, Buildah 1.41.4, GIMP 3.0.4

    การปรับปรุงด้านความปลอดภัย
    เพิ่ม PQ Subpolicy รองรับ Post-Quantum Cryptography
    อัปเดต OpenSSL 3.5

    ข้อควรระวัง
    ผู้ใช้ที่อัปเกรดจากเวอร์ชันเก่า ควรตรวจสอบ compatibility ของแพ็กเกจ
    การใช้ PQC อาจยังไม่รองรับในบางระบบหรือแอปพลิเคชัน

    https://9to5linux.com/almalinux-os-9-7-is-out-as-a-free-alternative-to-red-hat-enterprise-linux-9-7
    🐾 ข่าวใหม่: AlmaLinux OS 9.7 เปิดตัวอย่างเป็นทางการ AlmaLinux OS 9.7 ได้รับการเปิดตัวเป็นเวอร์ชันเสถียรล่าสุด โดยยังคงความเข้ากันได้เต็มรูปแบบกับ Red Hat Enterprise Linux (RHEL) 9.7 จุดเด่นของรุ่นนี้คือการปรับปรุงเครื่องมือสำหรับนักพัฒนาและผู้ดูแลระบบ เช่น GDB 16.3, Valgrind 3.25.1, SystemTap 5.3, Dyninst 13.0.0 และ Grafana 10.2.6 ที่ช่วยให้การตรวจสอบและดีบักระบบทำได้ง่ายและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ในด้านระบบเครือข่าย AlmaLinux 9.7 มาพร้อมกับ NetworkManager 1.54, Ethtool 6.15 และ iproute 6.14.0 ซึ่งช่วยให้การจัดการเครือข่ายมีความยืดหยุ่นและทันสมัยมากขึ้น ขณะเดียวกันยังมีการอัปเดต toolchain เช่น GCC 15, LLVM 20.1.8, Rust 1.88.0 และ Go 1.24 เพื่อรองรับการพัฒนาแอปพลิเคชันรุ่นใหม่ ๆ อีกหนึ่งการเปลี่ยนแปลงสำคัญคือการเพิ่ม PQ Subpolicy ในระบบการเข้ารหัส เพื่อรองรับ Post-Quantum Cryptography (PQC) ซึ่งเป็นการเตรียมความพร้อมสำหรับภัยคุกคามจากคอมพิวเตอร์ควอนตัมในอนาคต ถือเป็นการยกระดับความปลอดภัยของระบบให้ทันสมัยและมั่นคงมากขึ้น AlmaLinux OS 9.7 ใช้ Linux Kernel 5.14 และมีแพ็กเกจใหม่จำนวนมาก เช่น Podman 5.6.0, Buildah 1.41.4, GIMP 3.0.4, Mesa 25.0.7, Samba 4.22.4 และ OpenSSL 3.5 พร้อมให้ดาวน์โหลดสำหรับสถาปัตยกรรมหลัก ได้แก่ x86_64, AArch64, ppc64le และ s390x 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การปรับปรุงเครื่องมือพัฒนาและดีบัก ➡️ GDB 16.3, Valgrind 3.25.1, SystemTap 5.3 ➡️ Dyninst 13.0.0, Grafana 10.2.6 ✅ การอัปเดตระบบเครือข่าย ➡️ NetworkManager 1.54, Ethtool 6.15 ➡️ iproute 6.14.0 ✅ การอัปเดต toolchain และแพ็กเกจใหม่ ➡️ GCC 15, LLVM 20.1.8, Rust 1.88.0, Go 1.24 ➡️ Podman 5.6.0, Buildah 1.41.4, GIMP 3.0.4 ✅ การปรับปรุงด้านความปลอดภัย ➡️ เพิ่ม PQ Subpolicy รองรับ Post-Quantum Cryptography ➡️ อัปเดต OpenSSL 3.5 ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ ผู้ใช้ที่อัปเกรดจากเวอร์ชันเก่า ควรตรวจสอบ compatibility ของแพ็กเกจ ⛔ การใช้ PQC อาจยังไม่รองรับในบางระบบหรือแอปพลิเคชัน https://9to5linux.com/almalinux-os-9-7-is-out-as-a-free-alternative-to-red-hat-enterprise-linux-9-7
    9TO5LINUX.COM
    AlmaLinux OS 9.7 Is Out as a Free Alternative to Red Hat Enterprise Linux 9.7 - 9to5Linux
    AlmaLinux OS 9.7 distribution is now available for download as a free alternative to Red Hat Enterprise Linux 9.7.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 10 มุมมอง 0 รีวิว
  • จตุพร ย้ำหลักการ "อธิปไตยต้องมาก่อน" เหนือกำแพงภาษีสหรัฐฯ เตือน ทักษิณ "อิสรภาพยังถูกจองจำอีกนาน" แนะนึกถึงคนสู้ที่ตายในคุก-ครอบครัวแตกแยก
    https://www.thai-tai.tv/news/22428/
    .
    #ไทยไท #จตุพรพรหมพันธุ์ #อธิปไตยต้องมาก่อน #กำแพงภาษีทรัมป์ #ปราสาทตาควาย #ความหน่อมแน้มทางการเมือง

    จตุพร ย้ำหลักการ "อธิปไตยต้องมาก่อน" เหนือกำแพงภาษีสหรัฐฯ เตือน ทักษิณ "อิสรภาพยังถูกจองจำอีกนาน" แนะนึกถึงคนสู้ที่ตายในคุก-ครอบครัวแตกแยก https://www.thai-tai.tv/news/22428/ . #ไทยไท #จตุพรพรหมพันธุ์ #อธิปไตยต้องมาก่อน #กำแพงภาษีทรัมป์ #ปราสาทตาควาย #ความหน่อมแน้มทางการเมือง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 5 มุมมอง 0 รีวิว
  • Finnix 251 เปิดตัวพร้อม OCI Container Images

    ทีมพัฒนา Finnix ได้ประกาศเปิดตัว Finnix 251 ซึ่งเป็นเวอร์ชันล่าสุดของดิสโทร Linux แบบ Live ที่ออกแบบมาสำหรับผู้ดูแลระบบ (Sysadmins) จุดเด่นของรุ่นนี้คือการเพิ่มการรองรับ OCI Container Images อย่างเป็นทางการ ทำให้ผู้ใช้สามารถรัน Finnix ได้โดยตรงผ่าน Podman, Docker, Kubernetes และเครื่องมือจัดการคอนเทนเนอร์อื่น ๆ ได้ทันที

    นอกจากนี้ Finnix 251 ยังได้อัปเดต Linux Kernel จาก 6.12 LTS เป็น 6.16 เพื่อรองรับฮาร์ดแวร์รุ่นใหม่ ๆ ได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะเมื่อใช้งานผ่าน USB Live System ซึ่งช่วยให้การบูตและการทำงานบนเครื่องสมัยใหม่มีความเสถียรมากขึ้น

    อีกหนึ่งการเปลี่ยนแปลงสำคัญคือการเพิ่มแพ็กเกจ dc3dd ซึ่งเป็นเวอร์ชันปรับปรุงของ GNU dd ที่มีฟีเจอร์สำหรับงาน Computer Forensics เช่น การตรวจสอบและการกู้ข้อมูล ถือเป็นการเพิ่มความสามารถให้ Finnix ในการใช้งานด้านความปลอดภัยและการวิเคราะห์ระบบ

    Finnix 251 ยังรวมการอัปเดตแพ็กเกจจาก Debian 14 “Forky” (Testing) และ Debian Sid พร้อมแก้ไขบั๊กและปรับปรุงเล็กน้อยหลายรายการ โดยยังคงจุดแข็งคือการเป็นดิสโทรที่มี footprint เล็ก แต่บรรจุเครื่องมือสำหรับการกู้คืนระบบ การบำรุงรักษา และการทดสอบจำนวนมาก

    สรุปสาระสำคัญ
    การรองรับ OCI Container Images
    ใช้งานได้กับ Podman, Docker, Kubernetes
    รองรับสถาปัตยกรรม amd64, arm64 และ riscv64

    การอัปเดต Kernel
    จาก Linux 6.12 LTS เป็น Linux 6.16
    รองรับฮาร์ดแวร์ใหม่ ๆ ได้ดียิ่งขึ้น

    การเพิ่มแพ็กเกจใหม่
    dc3dd สำหรับงาน Computer Forensics
    รวมอัปเดตจาก Debian 14 “Forky” และ Debian Sid

    คุณสมบัติของ Finnix
    footprint เล็กแต่มีเครื่องมือมากมายสำหรับ Sysadmins
    ใช้งานได้ทั้งการกู้คืนระบบและการบำรุงรักษา

    ข้อควรระวัง
    ผู้ใช้ควรตรวจสอบ compatibility ของ container runtime ที่ใช้
    การใช้งาน dc3dd ต้องระวัง เนื่องจากเป็นเครื่องมือที่สามารถเขียนทับข้อมูลได้

    https://9to5linux.com/finnix-251-linux-distro-for-sysadmins-introduces-official-oci-container-images
    🐧 Finnix 251 เปิดตัวพร้อม OCI Container Images ทีมพัฒนา Finnix ได้ประกาศเปิดตัว Finnix 251 ซึ่งเป็นเวอร์ชันล่าสุดของดิสโทร Linux แบบ Live ที่ออกแบบมาสำหรับผู้ดูแลระบบ (Sysadmins) จุดเด่นของรุ่นนี้คือการเพิ่มการรองรับ OCI Container Images อย่างเป็นทางการ ทำให้ผู้ใช้สามารถรัน Finnix ได้โดยตรงผ่าน Podman, Docker, Kubernetes และเครื่องมือจัดการคอนเทนเนอร์อื่น ๆ ได้ทันที นอกจากนี้ Finnix 251 ยังได้อัปเดต Linux Kernel จาก 6.12 LTS เป็น 6.16 เพื่อรองรับฮาร์ดแวร์รุ่นใหม่ ๆ ได้ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะเมื่อใช้งานผ่าน USB Live System ซึ่งช่วยให้การบูตและการทำงานบนเครื่องสมัยใหม่มีความเสถียรมากขึ้น อีกหนึ่งการเปลี่ยนแปลงสำคัญคือการเพิ่มแพ็กเกจ dc3dd ซึ่งเป็นเวอร์ชันปรับปรุงของ GNU dd ที่มีฟีเจอร์สำหรับงาน Computer Forensics เช่น การตรวจสอบและการกู้ข้อมูล ถือเป็นการเพิ่มความสามารถให้ Finnix ในการใช้งานด้านความปลอดภัยและการวิเคราะห์ระบบ Finnix 251 ยังรวมการอัปเดตแพ็กเกจจาก Debian 14 “Forky” (Testing) และ Debian Sid พร้อมแก้ไขบั๊กและปรับปรุงเล็กน้อยหลายรายการ โดยยังคงจุดแข็งคือการเป็นดิสโทรที่มี footprint เล็ก แต่บรรจุเครื่องมือสำหรับการกู้คืนระบบ การบำรุงรักษา และการทดสอบจำนวนมาก 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การรองรับ OCI Container Images ➡️ ใช้งานได้กับ Podman, Docker, Kubernetes ➡️ รองรับสถาปัตยกรรม amd64, arm64 และ riscv64 ✅ การอัปเดต Kernel ➡️ จาก Linux 6.12 LTS เป็น Linux 6.16 ➡️ รองรับฮาร์ดแวร์ใหม่ ๆ ได้ดียิ่งขึ้น ✅ การเพิ่มแพ็กเกจใหม่ ➡️ dc3dd สำหรับงาน Computer Forensics ➡️ รวมอัปเดตจาก Debian 14 “Forky” และ Debian Sid ✅ คุณสมบัติของ Finnix ➡️ footprint เล็กแต่มีเครื่องมือมากมายสำหรับ Sysadmins ➡️ ใช้งานได้ทั้งการกู้คืนระบบและการบำรุงรักษา ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ ผู้ใช้ควรตรวจสอบ compatibility ของ container runtime ที่ใช้ ⛔ การใช้งาน dc3dd ต้องระวัง เนื่องจากเป็นเครื่องมือที่สามารถเขียนทับข้อมูลได้ https://9to5linux.com/finnix-251-linux-distro-for-sysadmins-introduces-official-oci-container-images
    9TO5LINUX.COM
    Finnix 251 Linux Distro for Sysadmins Introduces Official OCI Container Images - 9to5Linux
    Debian-based Finnix 251 Linux distribution for sysadmins is now available for download powered by Linux kernel 6.16.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 9 มุมมอง 0 รีวิว
  • Budgie 10.10 เปิดตัว Developer Preview แบบ Wayland-only

    ทีมพัฒนา Budgie ได้ประกาศเปิดตัว Budgie 10.10 Developer Preview ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เพราะรุ่นนี้จะทำงานบน Wayland เท่านั้น โดยไม่รองรับ X11 อีกต่อไป การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงทิศทางของโครงการที่ต้องการย้ายไปสู่ระบบกราฟิกที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพมากกว่า

    Budgie 10.10 ใช้ Labwc เป็น Wayland compositor เริ่มต้น พร้อมมี “labwc bridge” ที่จะรันอัตโนมัติเมื่อเข้าสู่ระบบ เพื่อคัดลอกการตั้งค่าของ Budgie ไปยัง ~/.config/budgie-desktop/labwc โดยไม่กระทบกับการตั้งค่าเดิมของผู้ใช้ การออกแบบนี้ช่วยให้การจัดการหน้าต่างและการตั้งค่าต่าง ๆ ทำงานได้อย่างราบรื่นบน Wayland

    ฟีเจอร์ใหม่ที่น่าสนใจในรุ่นนี้ ได้แก่ Display Configuration Batch system, การปรับปรุง Night Light, Keyboard Layout, Tasklist และ Workspaces applets รวมถึงการรองรับ Wayland protocols หลายตัว เช่น wlr-layer-shell-unstable-v1 สำหรับการจัดการ panels และ popovers ทำให้ Budgie สามารถใช้งานได้อย่างเต็มรูปแบบในสภาพแวดล้อม Wayland

    นอกจากนี้ Budgie 10.10 ยังถือเป็นรุ่นสุดท้ายในซีรีส์ 10 ก่อนที่จะเข้าสู่การพัฒนา Budgie 11 ซึ่งจะรองรับ compositor อื่น ๆ เช่น Mir และ KDE KWin โดยคาดว่าจะเปิดตัวในปีหน้า ถือเป็นการปูทางไปสู่อนาคตที่ Budgie จะมีความยืดหยุ่นและรองรับระบบที่หลากหลายมากขึ้น

    สรุปสาระสำคัญ
    Budgie 10.10 Developer Preview
    ทำงานบน Wayland เท่านั้น ไม่รองรับ X11
    ใช้ Labwc เป็น compositor เริ่มต้น

    ฟีเจอร์ใหม่ที่เพิ่มเข้ามา
    Display Configuration Batch system
    ปรับปรุง Night Light, Keyboard Layout, Tasklist และ Workspaces applets

    การรองรับ Wayland protocols
    รองรับ wlr-layer-shell-unstable-v1 สำหรับ panels และ popovers
    รองรับ ext-workspace-v1 และ xdg-output-unstable-v1

    ทิศทางการพัฒนาในอนาคต
    Budgie 10.10 เป็นรุ่นสุดท้ายในซีรีส์ 10
    Budgie 11 จะรองรับ Mir และ KDE KWin

    ข้อควรระวัง
    ผู้ใช้ที่ยังต้องการ X11 จะไม่สามารถใช้งาน Budgie 10.10 ได้
    รุ่นนี้เป็น Developer Preview จึงยังไม่เหมาะสำหรับการใช้งานจริงในระบบหลัก

    https://9to5linux.com/wayland-only-budgie-10-10-desktop-environment-released-as-developer-preview
    🖥️ Budgie 10.10 เปิดตัว Developer Preview แบบ Wayland-only ทีมพัฒนา Budgie ได้ประกาศเปิดตัว Budgie 10.10 Developer Preview ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เพราะรุ่นนี้จะทำงานบน Wayland เท่านั้น โดยไม่รองรับ X11 อีกต่อไป การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงทิศทางของโครงการที่ต้องการย้ายไปสู่ระบบกราฟิกที่ทันสมัยและมีประสิทธิภาพมากกว่า Budgie 10.10 ใช้ Labwc เป็น Wayland compositor เริ่มต้น พร้อมมี “labwc bridge” ที่จะรันอัตโนมัติเมื่อเข้าสู่ระบบ เพื่อคัดลอกการตั้งค่าของ Budgie ไปยัง ~/.config/budgie-desktop/labwc โดยไม่กระทบกับการตั้งค่าเดิมของผู้ใช้ การออกแบบนี้ช่วยให้การจัดการหน้าต่างและการตั้งค่าต่าง ๆ ทำงานได้อย่างราบรื่นบน Wayland ฟีเจอร์ใหม่ที่น่าสนใจในรุ่นนี้ ได้แก่ Display Configuration Batch system, การปรับปรุง Night Light, Keyboard Layout, Tasklist และ Workspaces applets รวมถึงการรองรับ Wayland protocols หลายตัว เช่น wlr-layer-shell-unstable-v1 สำหรับการจัดการ panels และ popovers ทำให้ Budgie สามารถใช้งานได้อย่างเต็มรูปแบบในสภาพแวดล้อม Wayland นอกจากนี้ Budgie 10.10 ยังถือเป็นรุ่นสุดท้ายในซีรีส์ 10 ก่อนที่จะเข้าสู่การพัฒนา Budgie 11 ซึ่งจะรองรับ compositor อื่น ๆ เช่น Mir และ KDE KWin โดยคาดว่าจะเปิดตัวในปีหน้า ถือเป็นการปูทางไปสู่อนาคตที่ Budgie จะมีความยืดหยุ่นและรองรับระบบที่หลากหลายมากขึ้น 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ Budgie 10.10 Developer Preview ➡️ ทำงานบน Wayland เท่านั้น ไม่รองรับ X11 ➡️ ใช้ Labwc เป็น compositor เริ่มต้น ✅ ฟีเจอร์ใหม่ที่เพิ่มเข้ามา ➡️ Display Configuration Batch system ➡️ ปรับปรุง Night Light, Keyboard Layout, Tasklist และ Workspaces applets ✅ การรองรับ Wayland protocols ➡️ รองรับ wlr-layer-shell-unstable-v1 สำหรับ panels และ popovers ➡️ รองรับ ext-workspace-v1 และ xdg-output-unstable-v1 ✅ ทิศทางการพัฒนาในอนาคต ➡️ Budgie 10.10 เป็นรุ่นสุดท้ายในซีรีส์ 10 ➡️ Budgie 11 จะรองรับ Mir และ KDE KWin ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ ผู้ใช้ที่ยังต้องการ X11 จะไม่สามารถใช้งาน Budgie 10.10 ได้ ⛔ รุ่นนี้เป็น Developer Preview จึงยังไม่เหมาะสำหรับการใช้งานจริงในระบบหลัก https://9to5linux.com/wayland-only-budgie-10-10-desktop-environment-released-as-developer-preview
    9TO5LINUX.COM
    Wayland-Only Budgie 10.10 Desktop Environment Released as Developer Preview - 9to5Linux
    Budgie 10.10 desktop environment is now available as a Developer Preview for packagers as the first Wayland-only release.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 12 มุมมอง 0 รีวิว
  • Krafton ใช้ AI แทนมนุษย์ – ผู้เล่นเรียกร้องคว่ำบาตร

    Krafton บริษัทเกมยักษ์ใหญ่จากเกาหลีใต้ที่อยู่เบื้องหลัง PUBG ได้ประกาศว่า จะลงทุนครั้งใหญ่ใน Agentic AI เพื่อเข้ามาแทนที่งานที่เคยทำโดยมนุษย์ เช่น การสร้างภาพและทรัพยากรในเกม, การออกแบบตัวละคร, การเขียนบทสนทนา, การทดสอบเกม และการประเมินคุณภาพ การเปลี่ยนแปลงนี้ถูกนำเสนอในรูปแบบ “การปรับโครงสร้างโดยสมัครใจ” แต่ในความจริงกลับทำให้พนักงานจำนวนมากต้องลาออก

    แม้ Krafton จะรายงานผลประกอบการสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แต่การตัดสินใจใช้ AI กลับสร้างความไม่พอใจอย่างรุนแรงในหมู่แฟนเกมและนักพัฒนา หลายคนกังวลว่าเกมจะสูญเสียคุณภาพและความเป็นมนุษย์ที่ทำให้เกมสนุกและมีชีวิตชีวา ขณะเดียวกันก็มีการตั้งคำถามถึงผลกระทบต่อแรงงานในอุตสาหกรรมเกมที่กำลังถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยี

    การเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นท่ามกลางกระแสกว้างในวงการเกมที่หลายบริษัท เช่น Activision, Blizzard, Riot และ Square Enix ก็เริ่มนำ AI มาใช้ในกระบวนการพัฒนาเกมเช่นกัน แต่ผลลัพธ์กลับถูกวิจารณ์ว่าคุณภาพลดลง และยังมีความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมและต้นทุนสูงจากการฝึก AI

    แฟนเกมจำนวนมากจึงออกมาเรียกร้องให้ คว่ำบาตรเกมของ Krafton โดยมองว่าการใช้ AI แทนมนุษย์ไม่เพียงแต่ทำลายคุณภาพเกม แต่ยังทำลายอนาคตของแรงงานในอุตสาหกรรมนี้ด้วย

    สรุปสาระสำคัญ
    การปรับโครงสร้างของ Krafton
    ใช้ Agentic AI แทนงานมนุษย์ เช่น การสร้างภาพ, ตัวละคร, บทสนทนา และการทดสอบเกม
    นำเสนอเป็น “การลาออกโดยสมัครใจ” แต่กระทบแรงงานจำนวนมาก

    ผลประกอบการและการลงทุน
    Krafton รายงานกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์
    ประกาศลงทุนครั้งใหญ่ใน AI เพื่ออนาคตของเกม

    กระแสในอุตสาหกรรมเกม
    หลายบริษัทใหญ่ เช่น Activision, Blizzard, Riot, Square Enix กำลังใช้ AI
    ผลลัพธ์ถูกวิจารณ์ว่าคุณภาพเกมลดลง

    ข้อควรระวังและเสียงวิจารณ์
    ผู้เล่นกังวลว่าเกมจะสูญเสียความเป็นมนุษย์และคุณภาพ
    การใช้ AI อาจทำลายอนาคตแรงงานในอุตสาหกรรมเกม

    https://www.slashgear.com/2028018/krafton-replacing-humans-ai-players-call-for-boycott/
    🎮 Krafton ใช้ AI แทนมนุษย์ – ผู้เล่นเรียกร้องคว่ำบาตร Krafton บริษัทเกมยักษ์ใหญ่จากเกาหลีใต้ที่อยู่เบื้องหลัง PUBG ได้ประกาศว่า จะลงทุนครั้งใหญ่ใน Agentic AI เพื่อเข้ามาแทนที่งานที่เคยทำโดยมนุษย์ เช่น การสร้างภาพและทรัพยากรในเกม, การออกแบบตัวละคร, การเขียนบทสนทนา, การทดสอบเกม และการประเมินคุณภาพ การเปลี่ยนแปลงนี้ถูกนำเสนอในรูปแบบ “การปรับโครงสร้างโดยสมัครใจ” แต่ในความจริงกลับทำให้พนักงานจำนวนมากต้องลาออก แม้ Krafton จะรายงานผลประกอบการสูงสุดเป็นประวัติการณ์ แต่การตัดสินใจใช้ AI กลับสร้างความไม่พอใจอย่างรุนแรงในหมู่แฟนเกมและนักพัฒนา หลายคนกังวลว่าเกมจะสูญเสียคุณภาพและความเป็นมนุษย์ที่ทำให้เกมสนุกและมีชีวิตชีวา ขณะเดียวกันก็มีการตั้งคำถามถึงผลกระทบต่อแรงงานในอุตสาหกรรมเกมที่กำลังถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยี การเคลื่อนไหวนี้เกิดขึ้นท่ามกลางกระแสกว้างในวงการเกมที่หลายบริษัท เช่น Activision, Blizzard, Riot และ Square Enix ก็เริ่มนำ AI มาใช้ในกระบวนการพัฒนาเกมเช่นกัน แต่ผลลัพธ์กลับถูกวิจารณ์ว่าคุณภาพลดลง และยังมีความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมและต้นทุนสูงจากการฝึก AI แฟนเกมจำนวนมากจึงออกมาเรียกร้องให้ คว่ำบาตรเกมของ Krafton โดยมองว่าการใช้ AI แทนมนุษย์ไม่เพียงแต่ทำลายคุณภาพเกม แต่ยังทำลายอนาคตของแรงงานในอุตสาหกรรมนี้ด้วย 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การปรับโครงสร้างของ Krafton ➡️ ใช้ Agentic AI แทนงานมนุษย์ เช่น การสร้างภาพ, ตัวละคร, บทสนทนา และการทดสอบเกม ➡️ นำเสนอเป็น “การลาออกโดยสมัครใจ” แต่กระทบแรงงานจำนวนมาก ✅ ผลประกอบการและการลงทุน ➡️ Krafton รายงานกำไรสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ➡️ ประกาศลงทุนครั้งใหญ่ใน AI เพื่ออนาคตของเกม ✅ กระแสในอุตสาหกรรมเกม ➡️ หลายบริษัทใหญ่ เช่น Activision, Blizzard, Riot, Square Enix กำลังใช้ AI ➡️ ผลลัพธ์ถูกวิจารณ์ว่าคุณภาพเกมลดลง ‼️ ข้อควรระวังและเสียงวิจารณ์ ⛔ ผู้เล่นกังวลว่าเกมจะสูญเสียความเป็นมนุษย์และคุณภาพ ⛔ การใช้ AI อาจทำลายอนาคตแรงงานในอุตสาหกรรมเกม https://www.slashgear.com/2028018/krafton-replacing-humans-ai-players-call-for-boycott/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    This Gaming Company Is Replacing Humans With AI, And Players Are Calling For A Boycott - SlashGear
    Companies replacing human workers with AI are facing bigger and bigger backlashes, and one of the largest going on now may spark a full-on boycott.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 12 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://youtu.be/F8kjPilfR_4?si=cENZdXiOsnT2lduR
    https://youtu.be/F8kjPilfR_4?si=cENZdXiOsnT2lduR
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1 มุมมอง 0 รีวิว
  • เคล็ดลับการใช้ Kindle Scribe ให้คุ้มค่า

    Kindle Scribe รุ่นล่าสุดถูกออกแบบให้เป็นมากกว่า e-reader ธรรมดา ด้วยหน้าจอ 11 นิ้วแบบ anti-glare ที่ให้ความรู้สึกเหมือนกระดาษจริง พร้อมปากกา Premium Pen ที่สามารถปรับแต่งปุ่มลัดได้ เช่น ใช้เป็นปากกา, ไฮไลท์, ยางลบ หรือ Sticky Note ผู้ใช้สามารถตั้งค่าได้จากเมนู Pen Settings เพื่อให้การจดบันทึกและการอ่านสะดวกขึ้น

    อีกฟีเจอร์ที่โดดเด่นคือการสร้าง Sticky Notes ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถเขียนบันทึกลงบนหนังสือหรือเอกสารได้โดยตรง และยังสามารถ ส่งออก Sticky Notes เพื่อเก็บรวมไว้ในที่เดียว เหมาะสำหรับนักอ่านที่ต้องการจดจำประเด็นสำคัญหรือผู้ทำงานที่ต้องการบันทึกไอเดียระหว่างอ่านเอกสาร

    สำหรับผู้ที่ต้องการความสะดวก Kindle Scribe ยังมีฟีเจอร์ VoiceView ที่สามารถอ่านออกเสียงเนื้อหาให้ผู้ใช้ฟังได้ โดยต้องเชื่อมต่อกับหูฟังหรือลำโพง Bluetooth ฟีเจอร์นี้ช่วยให้ผู้ที่มีปัญหาการมองเห็นหรือผู้ที่อยากฟังแทนการอ่านสามารถเข้าถึงเนื้อหาได้ง่ายขึ้น

    นอกจากนี้ยังมีระบบ Household Library ที่ช่วยให้แชร์หนังสือกับสมาชิกครอบครัวได้สูงสุด 2 ผู้ใหญ่และเด็ก ๆ ผ่านบัญชี Amazon Family รวมถึงการเข้าถึง eBooks ฟรี จากบริการอย่าง OverDrive และ BookBub ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้ประหยัดค่าใช้จ่ายและมีหนังสือใหม่ ๆ ให้อ่านตลอดเวลา

    สรุปสาระสำคัญ
    การปรับแต่งปากกา Premium Pen
    ตั้งค่าปุ่มลัดเป็น ปากกา, ไฮไลท์, ยางลบ หรือ Sticky Note
    ปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลาในเมนู Pen Settings

    การสร้างและส่งออก Sticky Notes
    เขียนบันทึกลงบนหนังสือหรือเอกสารโดยตรง
    ส่งออก Sticky Notes เพื่อรวมไว้ในที่เดียว

    ฟีเจอร์ VoiceView อ่านออกเสียง
    เชื่อมต่อหูฟัง/ลำโพง Bluetooth เพื่อฟังเนื้อหา
    ใช้ gesture ควบคุม เช่น swipe, tap, double-tap

    การแชร์เนื้อหากับครอบครัว
    รองรับ Household Library ผ่าน Amazon Family
    ตั้งค่ารหัสควบคุมสำหรับเด็กเพื่อความปลอดภัย

    การเข้าถึง eBooks ฟรีและราคาถูก
    ใช้ OverDrive และ BookBub เพื่อโหลดหนังสือฟรี
    สมัคร Kindle Unlimited เพื่ออ่านไม่จำกัด

    ข้อควรระวัง
    ฟีเจอร์ VoiceView มี learning curve ต้องฝึก gesture
    การแชร์เนื้อหาต้องตั้งค่าความปลอดภัยสำหรับเด็ก

    https://www.slashgear.com/2025369/how-to-use-kindle-scribe-tips-tricks/
    📖 เคล็ดลับการใช้ Kindle Scribe ให้คุ้มค่า Kindle Scribe รุ่นล่าสุดถูกออกแบบให้เป็นมากกว่า e-reader ธรรมดา ด้วยหน้าจอ 11 นิ้วแบบ anti-glare ที่ให้ความรู้สึกเหมือนกระดาษจริง พร้อมปากกา Premium Pen ที่สามารถปรับแต่งปุ่มลัดได้ เช่น ใช้เป็นปากกา, ไฮไลท์, ยางลบ หรือ Sticky Note ผู้ใช้สามารถตั้งค่าได้จากเมนู Pen Settings เพื่อให้การจดบันทึกและการอ่านสะดวกขึ้น อีกฟีเจอร์ที่โดดเด่นคือการสร้าง Sticky Notes ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้สามารถเขียนบันทึกลงบนหนังสือหรือเอกสารได้โดยตรง และยังสามารถ ส่งออก Sticky Notes เพื่อเก็บรวมไว้ในที่เดียว เหมาะสำหรับนักอ่านที่ต้องการจดจำประเด็นสำคัญหรือผู้ทำงานที่ต้องการบันทึกไอเดียระหว่างอ่านเอกสาร สำหรับผู้ที่ต้องการความสะดวก Kindle Scribe ยังมีฟีเจอร์ VoiceView ที่สามารถอ่านออกเสียงเนื้อหาให้ผู้ใช้ฟังได้ โดยต้องเชื่อมต่อกับหูฟังหรือลำโพง Bluetooth ฟีเจอร์นี้ช่วยให้ผู้ที่มีปัญหาการมองเห็นหรือผู้ที่อยากฟังแทนการอ่านสามารถเข้าถึงเนื้อหาได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังมีระบบ Household Library ที่ช่วยให้แชร์หนังสือกับสมาชิกครอบครัวได้สูงสุด 2 ผู้ใหญ่และเด็ก ๆ ผ่านบัญชี Amazon Family รวมถึงการเข้าถึง eBooks ฟรี จากบริการอย่าง OverDrive และ BookBub ซึ่งช่วยให้ผู้ใช้ประหยัดค่าใช้จ่ายและมีหนังสือใหม่ ๆ ให้อ่านตลอดเวลา 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การปรับแต่งปากกา Premium Pen ➡️ ตั้งค่าปุ่มลัดเป็น ปากกา, ไฮไลท์, ยางลบ หรือ Sticky Note ➡️ ปรับเปลี่ยนได้ตลอดเวลาในเมนู Pen Settings ✅ การสร้างและส่งออก Sticky Notes ➡️ เขียนบันทึกลงบนหนังสือหรือเอกสารโดยตรง ➡️ ส่งออก Sticky Notes เพื่อรวมไว้ในที่เดียว ✅ ฟีเจอร์ VoiceView อ่านออกเสียง ➡️ เชื่อมต่อหูฟัง/ลำโพง Bluetooth เพื่อฟังเนื้อหา ➡️ ใช้ gesture ควบคุม เช่น swipe, tap, double-tap ✅ การแชร์เนื้อหากับครอบครัว ➡️ รองรับ Household Library ผ่าน Amazon Family ➡️ ตั้งค่ารหัสควบคุมสำหรับเด็กเพื่อความปลอดภัย ✅ การเข้าถึง eBooks ฟรีและราคาถูก ➡️ ใช้ OverDrive และ BookBub เพื่อโหลดหนังสือฟรี ➡️ สมัคร Kindle Unlimited เพื่ออ่านไม่จำกัด ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ ฟีเจอร์ VoiceView มี learning curve ต้องฝึก gesture ⛔ การแชร์เนื้อหาต้องตั้งค่าความปลอดภัยสำหรับเด็ก https://www.slashgear.com/2025369/how-to-use-kindle-scribe-tips-tricks/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    5 Kindle Scribe Tips & Tricks New Users Will Want To Know - SlashGear
    Are you using your Kindle Scribe like a regular old e-reader? Amazon's shiniest e-ink tablet is certainly up to the task, but it can do a lot more.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 14 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข่าวใหม่: Gemini AI เข้ามาแทนที่ Google Assistant ใน Google Home

    Google ได้เปิดตัวการอัปเดตครั้งใหญ่สำหรับ Google Home โดยนำ Gemini AI เข้ามาแทนที่ Google Assistant เพื่อยกระดับการควบคุมอุปกรณ์สมาร์ทโฮม จุดเด่นคือการสั่งงานด้วยเสียงที่มีความยืดหยุ่นและเข้าใจบริบทมากขึ้น เช่น สามารถสั่งให้ปิดเฉพาะบางดวงไฟในห้อง หรือปรับสีและความสว่างพร้อมกันได้ในคำสั่งเดียว

    อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้จำนวนมากพบว่า Gemini ยังไม่เสถียรพอ บางครั้งไม่ทำงานตามที่สั่ง หรือยืนยันว่าทำงานแล้วทั้งที่จริงไม่ได้ทำอะไรเลย ตัวอย่างเช่น การสั่งให้เปิดไฟแต่ไฟไม่ติด หรือการตอบกลับด้วยข้อมูลผิดพลาดที่ไม่เกี่ยวข้องกับคำสั่ง ทำให้ความสะดวกที่ควรจะได้ถูกลดทอนลงไป

    อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่ถูกพูดถึงคือการสร้าง Automations ด้วยคำสั่งภาษาแบบธรรมชาติ ซึ่งในทางทฤษฎีควรทำให้การตั้งค่าระบบง่ายขึ้น แต่ในทางปฏิบัติกลับมีข้อจำกัด เช่น ไม่สามารถปรับสีไฟใน Automation ใหม่ได้เหมือนเวอร์ชันก่อนหน้า ทำให้ผู้ใช้บางรายต้องกลับไปตั้งค่าเองแบบ manual

    นอกจากนี้ Gemini ยังถูกนำไปใช้กับ Nest Doorbell และกล้องวงจรปิด แต่ผู้ใช้กังวลเรื่องความแม่นยำและความปลอดภัย เช่น การแจ้งเตือนผิดพลาดว่ามีคนถือเชือกกระโดด ทั้งที่จริงเป็นเพื่อนบ้านถือขวดน้ำ อีกทั้ง Google ยังเพิ่มค่าใช้จ่ายใหม่ เช่น Google Home Premium Advanced ที่ต้องจ่ายเพิ่มแม้ผู้ใช้จะมีแพ็กเกจ Google AI Pro อยู่แล้ว

    สรุปสาระสำคัญ
    ข้อดีของ Gemini ใน Google Home
    คำสั่งเสียงยืดหยุ่นและเข้าใจบริบทมากขึ้น
    สามารถควบคุมไฟและอุปกรณ์ได้ละเอียดกว่าเดิม

    ฟีเจอร์ Automations
    สร้าง routine ด้วยคำสั่งภาษาแบบธรรมชาติ
    ลดความซับซ้อนในการตั้งค่าอัตโนมัติ

    การใช้งานกับ Nest Doorbell และกล้อง
    สามารถแจ้งเตือนกิจกรรมหน้าบ้าน
    รองรับการถามตอบเกี่ยวกับแพ็กเกจหรือกิจกรรมที่บันทึกไว้

    ข้อควรระวังและข้อเสีย
    Gemini ทำงานผิดพลาดบ่อย เช่น ไฟไม่ติดหรือข้อมูลผิด
    Automations ใหม่ไม่รองรับการปรับสีไฟเหมือนเวอร์ชันก่อน
    การแจ้งเตือนจากกล้องอาจไม่แม่นยำและเสี่ยงต่อความปลอดภัย
    มีค่าใช้จ่ายเพิ่มสำหรับ Google Home Premium Advanced

    https://www.slashgear.com/2025559/can-gemini-ai-make-google-home-less-awful-answer/
    🏠 ข่าวใหม่: Gemini AI เข้ามาแทนที่ Google Assistant ใน Google Home Google ได้เปิดตัวการอัปเดตครั้งใหญ่สำหรับ Google Home โดยนำ Gemini AI เข้ามาแทนที่ Google Assistant เพื่อยกระดับการควบคุมอุปกรณ์สมาร์ทโฮม จุดเด่นคือการสั่งงานด้วยเสียงที่มีความยืดหยุ่นและเข้าใจบริบทมากขึ้น เช่น สามารถสั่งให้ปิดเฉพาะบางดวงไฟในห้อง หรือปรับสีและความสว่างพร้อมกันได้ในคำสั่งเดียว อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้จำนวนมากพบว่า Gemini ยังไม่เสถียรพอ บางครั้งไม่ทำงานตามที่สั่ง หรือยืนยันว่าทำงานแล้วทั้งที่จริงไม่ได้ทำอะไรเลย ตัวอย่างเช่น การสั่งให้เปิดไฟแต่ไฟไม่ติด หรือการตอบกลับด้วยข้อมูลผิดพลาดที่ไม่เกี่ยวข้องกับคำสั่ง ทำให้ความสะดวกที่ควรจะได้ถูกลดทอนลงไป อีกหนึ่งฟีเจอร์ที่ถูกพูดถึงคือการสร้าง Automations ด้วยคำสั่งภาษาแบบธรรมชาติ ซึ่งในทางทฤษฎีควรทำให้การตั้งค่าระบบง่ายขึ้น แต่ในทางปฏิบัติกลับมีข้อจำกัด เช่น ไม่สามารถปรับสีไฟใน Automation ใหม่ได้เหมือนเวอร์ชันก่อนหน้า ทำให้ผู้ใช้บางรายต้องกลับไปตั้งค่าเองแบบ manual นอกจากนี้ Gemini ยังถูกนำไปใช้กับ Nest Doorbell และกล้องวงจรปิด แต่ผู้ใช้กังวลเรื่องความแม่นยำและความปลอดภัย เช่น การแจ้งเตือนผิดพลาดว่ามีคนถือเชือกกระโดด ทั้งที่จริงเป็นเพื่อนบ้านถือขวดน้ำ อีกทั้ง Google ยังเพิ่มค่าใช้จ่ายใหม่ เช่น Google Home Premium Advanced ที่ต้องจ่ายเพิ่มแม้ผู้ใช้จะมีแพ็กเกจ Google AI Pro อยู่แล้ว 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ข้อดีของ Gemini ใน Google Home ➡️ คำสั่งเสียงยืดหยุ่นและเข้าใจบริบทมากขึ้น ➡️ สามารถควบคุมไฟและอุปกรณ์ได้ละเอียดกว่าเดิม ✅ ฟีเจอร์ Automations ➡️ สร้าง routine ด้วยคำสั่งภาษาแบบธรรมชาติ ➡️ ลดความซับซ้อนในการตั้งค่าอัตโนมัติ ✅ การใช้งานกับ Nest Doorbell และกล้อง ➡️ สามารถแจ้งเตือนกิจกรรมหน้าบ้าน ➡️ รองรับการถามตอบเกี่ยวกับแพ็กเกจหรือกิจกรรมที่บันทึกไว้ ‼️ ข้อควรระวังและข้อเสีย ⛔ Gemini ทำงานผิดพลาดบ่อย เช่น ไฟไม่ติดหรือข้อมูลผิด ⛔ Automations ใหม่ไม่รองรับการปรับสีไฟเหมือนเวอร์ชันก่อน ⛔ การแจ้งเตือนจากกล้องอาจไม่แม่นยำและเสี่ยงต่อความปลอดภัย ⛔ มีค่าใช้จ่ายเพิ่มสำหรับ Google Home Premium Advanced https://www.slashgear.com/2025559/can-gemini-ai-make-google-home-less-awful-answer/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Can Gemini Make Google Home Less Awful? We Put Google's AI Update To The Test - SlashGear
    Gemini with Google Home is supposed to be like your own personal AI assistant. Our team put it to the test, but it seems like it just adds more headaches.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 14 มุมมอง 0 รีวิว