• 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 142 มุมมอง 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 139 มุมมอง 0 รีวิว
  • Love
    1
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 141 มุมมอง 0 รีวิว
  • น้ำท่วมเร็วมากเพราะมวลน้ำมากมาจากเมียนมาร์!:

    ฟังผู้เชี่ยวชาญเรื่องน้ำท่วมหลายรอบนะครับ ฟังแล้วก็เบื่อ ไม่ว่าจะเป็นที่กรุงเทพฯ อุบลฯ ฯลฯ และล่าสุดก็คือเชียงราย เวลาให้สัมภาษณ์ พวกเขาจะบอกเหมือนกันว่า ‘น้ำมามาก น้ำมาเร็ว ใช้เวลาไม่นาน แล้วตั้งตัวไม่ทัน น้ำจึงท่วมมาก’ อีกนัยก็คือ ‘เห็นใจพวกผมหน่อย น้ำมามาก น้ำมาเร็ว พวกผมทำงานไม่ทัน’

    ผมเคยเขียนวิจารณ์หลายครั้งแล้วว่าน้ำจะมามากหรือน้อยไม่สำคัญ จะมาจากเมียนมาร์ ทิเบต ขั้วโลกเหนือหรือจากภูเขาหิมาลัยที่ประเทศเนปาลก็ไม่สำคัญ ที่สำคัญซึ่งในหลวงร.๙ ทรงรับสั่งหลายครั้งก็คือให้เตรียมทางน้ำ (flood way) ให้มวลน้ำใหลผ่านโดยสะดวก น้ำจะได้ไม่ท่วมขังนาน

    ผู้ว่าราชการจังหวัดทั้งหลายในขณะนี้ได้เตรียมทำทางน้ำไว้แล้วหรือยัง? จังหวัดต่างๆ ได้อนุมัติให้บริษัทอสังหาริมทรัพย์สร้างหมู่บ้านจัดสรรขวางทางน้ำหรือไม่? อนุมัติให้เจ้าสัวสร้างห้างสรรพสินค้าขวางทางน้ำหรือไม่? ฯลฯ ถ้าสร้างสิ่งกีดขวางทางน้ำ แล้วน้ำท่วมก็เหมาะสมแล้ว ประชาชนควรจะพากันเฉ่งผู้ว่าราชการจังหวัดของตนจึงจะถูก

    ฝนตกและทำให้มีน้ำมาก เป็นเรื่องปรกติธรรมดาของธรรมชาติ แต่ว่าทุกจังหวัดที่สุ่มเสี่ยงมากมักจะได้รับงบประมาณเพื่อเตรียมหาทางน้ำ ให้มวลน้ำที่มามากๆ ผ่านไปลงทะเลหรือแม่น้ำโขงโดยเร็วกันทั้งนั้น

    ต้องถามว่าผู้ว่าเมืองเชียงรายหลายยุคสมัยที่ผ่านมาไม่พากันเตรียมการหาทางน้ำให้มวลน้ำมากๆ ใหลผ่านโดยสะดวกเลยหรือ? น้ำจะได้ไม่ท่วมขังนาน งบประมาณเอาไปทำอะไรกันหมด?

    ตอนนี้ จังหวัดไหนที่น้ำสุ่มเสี่ยงจะท่วมและไม่อยากถูกน้ำท่วม ชาวบ้านทั้งหลายต้องหาไม้หน้าสามมาถือให้พร้อม แล้วพากันบุกไปถามผู้ว่าราชการจังหวัดที่ตนอยู่อาศัยเลยครับว่าเตรียมหาทางน้ำให้น้ำใหลผ่านได้สะดวกหรือยัง? ถ้ายังไม่ทำอะไรเลยก็แนะนำให้พากันลาออกไปเสียเถิด


    ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์
    น้ำท่วมเร็วมากเพราะมวลน้ำมากมาจากเมียนมาร์!: ฟังผู้เชี่ยวชาญเรื่องน้ำท่วมหลายรอบนะครับ ฟังแล้วก็เบื่อ ไม่ว่าจะเป็นที่กรุงเทพฯ อุบลฯ ฯลฯ และล่าสุดก็คือเชียงราย เวลาให้สัมภาษณ์ พวกเขาจะบอกเหมือนกันว่า ‘น้ำมามาก น้ำมาเร็ว ใช้เวลาไม่นาน แล้วตั้งตัวไม่ทัน น้ำจึงท่วมมาก’ อีกนัยก็คือ ‘เห็นใจพวกผมหน่อย น้ำมามาก น้ำมาเร็ว พวกผมทำงานไม่ทัน’ ผมเคยเขียนวิจารณ์หลายครั้งแล้วว่าน้ำจะมามากหรือน้อยไม่สำคัญ จะมาจากเมียนมาร์ ทิเบต ขั้วโลกเหนือหรือจากภูเขาหิมาลัยที่ประเทศเนปาลก็ไม่สำคัญ ที่สำคัญซึ่งในหลวงร.๙ ทรงรับสั่งหลายครั้งก็คือให้เตรียมทางน้ำ (flood way) ให้มวลน้ำใหลผ่านโดยสะดวก น้ำจะได้ไม่ท่วมขังนาน ผู้ว่าราชการจังหวัดทั้งหลายในขณะนี้ได้เตรียมทำทางน้ำไว้แล้วหรือยัง? จังหวัดต่างๆ ได้อนุมัติให้บริษัทอสังหาริมทรัพย์สร้างหมู่บ้านจัดสรรขวางทางน้ำหรือไม่? อนุมัติให้เจ้าสัวสร้างห้างสรรพสินค้าขวางทางน้ำหรือไม่? ฯลฯ ถ้าสร้างสิ่งกีดขวางทางน้ำ แล้วน้ำท่วมก็เหมาะสมแล้ว ประชาชนควรจะพากันเฉ่งผู้ว่าราชการจังหวัดของตนจึงจะถูก ฝนตกและทำให้มีน้ำมาก เป็นเรื่องปรกติธรรมดาของธรรมชาติ แต่ว่าทุกจังหวัดที่สุ่มเสี่ยงมากมักจะได้รับงบประมาณเพื่อเตรียมหาทางน้ำ ให้มวลน้ำที่มามากๆ ผ่านไปลงทะเลหรือแม่น้ำโขงโดยเร็วกันทั้งนั้น ต้องถามว่าผู้ว่าเมืองเชียงรายหลายยุคสมัยที่ผ่านมาไม่พากันเตรียมการหาทางน้ำให้มวลน้ำมากๆ ใหลผ่านโดยสะดวกเลยหรือ? น้ำจะได้ไม่ท่วมขังนาน งบประมาณเอาไปทำอะไรกันหมด? ตอนนี้ จังหวัดไหนที่น้ำสุ่มเสี่ยงจะท่วมและไม่อยากถูกน้ำท่วม ชาวบ้านทั้งหลายต้องหาไม้หน้าสามมาถือให้พร้อม แล้วพากันบุกไปถามผู้ว่าราชการจังหวัดที่ตนอยู่อาศัยเลยครับว่าเตรียมหาทางน้ำให้น้ำใหลผ่านได้สะดวกหรือยัง? ถ้ายังไม่ทำอะไรเลยก็แนะนำให้พากันลาออกไปเสียเถิด ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 647 มุมมอง 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 90 มุมมอง 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 130 มุมมอง 0 รีวิว
  • สงสัยมั้ยครับ เหตุใดรัฐบาลอเมริกาจึงออกมารณรงค์ปิดสื่อมากขึ้นในช่วงนี้?

    เพราะวิญญูชนทั่วโลกได้ใช้บัญชีสื่อโซเชียลมิเดียกระจายข่าวอาชญากรรมของกลุ่มยิวไซออนิสต์ที่อยู่เบื้องหลังรัฐบาลอเมริกาหนักขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า โดยเฉพาะวิญญูชนอเมริกัน น่าสรรเสริญมาก หลายคนแม้จะโดนข่มขู่คุกคามก็สู้ไม่ถอย เพื่อปลุกชาวอเมริกันให้ตื่น

    ต้นๆ อาทิตย์นี้ ข่าวที่สรุปว่ายิวไซออนิสต์อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ 9/11 แพร่หลายไปทั่วโลกสื่อโซเชียลมิเดีย ที่ VK เยอะมาก ที่ X ก็หลายพันบัญชีที่ลงข่าว

    ในช่วงเกิดเหตุการณ์ 9/11 ผมกำลังเรียนปริญญาเอก เหตุการณ์นี้ ทำให้ผมต้องเอาเวลาพักผ่อนจากเรียนหนังสือมาอ่านข่าวจริงๆ จังๆ เมื่ออ่านค้นข้อเท็จจริง ก็เป็นอย่างที่คาด ผมสรุปว่ายิวไซออนิสต์อยู่เบื้องหลัง บิน ลาเดนทำงานให้ซีไอเอ ถูกกำหนดให้ตายทางสื่อ แต่ตัวจริง ไม่ได้ตาย เขาทำศัลยกรรมใบหน้า เปลี่ยนชื่อแซ่ตนเองและอยู่กับภรรยาหลายคนบนเกาะแห่งหนึ่งในขณะนี้

    อเมริกาต้องรีบหาทางปิดปากสื่อในตอนนี้ ทั้งสื่อรัสเซีย เช่น RT และสื่อตนเอง หาไม่แล้ว คนอเมริกันที่รู้ข่าวจริงมากขึ้นอาจต่อต้านยิวไซออนิสต์กันมากขึ้นตามมา


    ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์
    สงสัยมั้ยครับ เหตุใดรัฐบาลอเมริกาจึงออกมารณรงค์ปิดสื่อมากขึ้นในช่วงนี้? เพราะวิญญูชนทั่วโลกได้ใช้บัญชีสื่อโซเชียลมิเดียกระจายข่าวอาชญากรรมของกลุ่มยิวไซออนิสต์ที่อยู่เบื้องหลังรัฐบาลอเมริกาหนักขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า โดยเฉพาะวิญญูชนอเมริกัน น่าสรรเสริญมาก หลายคนแม้จะโดนข่มขู่คุกคามก็สู้ไม่ถอย เพื่อปลุกชาวอเมริกันให้ตื่น ต้นๆ อาทิตย์นี้ ข่าวที่สรุปว่ายิวไซออนิสต์อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ 9/11 แพร่หลายไปทั่วโลกสื่อโซเชียลมิเดีย ที่ VK เยอะมาก ที่ X ก็หลายพันบัญชีที่ลงข่าว ในช่วงเกิดเหตุการณ์ 9/11 ผมกำลังเรียนปริญญาเอก เหตุการณ์นี้ ทำให้ผมต้องเอาเวลาพักผ่อนจากเรียนหนังสือมาอ่านข่าวจริงๆ จังๆ เมื่ออ่านค้นข้อเท็จจริง ก็เป็นอย่างที่คาด ผมสรุปว่ายิวไซออนิสต์อยู่เบื้องหลัง บิน ลาเดนทำงานให้ซีไอเอ ถูกกำหนดให้ตายทางสื่อ แต่ตัวจริง ไม่ได้ตาย เขาทำศัลยกรรมใบหน้า เปลี่ยนชื่อแซ่ตนเองและอยู่กับภรรยาหลายคนบนเกาะแห่งหนึ่งในขณะนี้ อเมริกาต้องรีบหาทางปิดปากสื่อในตอนนี้ ทั้งสื่อรัสเซีย เช่น RT และสื่อตนเอง หาไม่แล้ว คนอเมริกันที่รู้ข่าวจริงมากขึ้นอาจต่อต้านยิวไซออนิสต์กันมากขึ้นตามมา ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 525 มุมมอง 0 รีวิว
  • เบื้องหลังชัยชนะสงครามข่าวของจักรวรรดิ์นิยมอเมริกา:

    รัฐสภาอเมริกันเห็นชอบอนุมัติเงิน ๑.๖ พันล้านดอลล่าร์สหรัฐอเมริกาเพื่อจ้างสื่อให้เขียนโจมตีจีนด้วยข่าวเท็จ เพราะจีนกำลังสร้างเครือข่ายพัฒนาเศรษฐกิจไปรอบโลกด้วยโครงการเส้นทางสายไหมใหม่

    ยังไม่รวมงบประมาณจ้างสื่อเพื่อโจมตีรัฐบาลรัสเซีย เกาหลีเหนือ อิหร่าน ซีเรีย เวเนซุเอล่า คิวบา นิคารากัว รัฐบาลเมียนมาร์ ฯลฯ ที่อเมริกากำลังหาทางล้มรัฐบาลเขาตลอดเวลา และงบประมาณในการสร้างภาพตนเองว่าเป็นชาติประชาธิปไตย ส่งเสริมเสรีภาพและส่งเสริมสิทธิมนุษยชนอีกต่างหาก

    เป็นเรื่องโง่เขลาเบาปัญญาของสื่อกระแสหลักของไทยมากที่เอาข่าวโจมตีรัสเซีย จีน เกาหลีเหนือ อิหร่าน ซีเรีย ฯลฯ จากสื่อตะวันตกมาแปลล้างสมองคนไทยต่อ โดยไม่ใช้วิจารณญาณใดๆ เลย มีแต่สื่อหรือนักเขียนที่เป็นเครือข่าย CIA เท่านั้นที่ทำเช่นนี้

    อเมริกาโจมตีรัสเซียและจีนว่าปล่อยข่าวเท็จหรือข่าวโฆษณาชวนเชื่อ แต่ข้อมูลข่าวนี้คือหลักฐานชัดที่บ่งชี้ว่าอเมริกาต่างหากที่จ้างนักข่าวปล่อยข่าวเท็จลวงโลกทำลายชาติอื่น


    ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์
    เบื้องหลังชัยชนะสงครามข่าวของจักรวรรดิ์นิยมอเมริกา: รัฐสภาอเมริกันเห็นชอบอนุมัติเงิน ๑.๖ พันล้านดอลล่าร์สหรัฐอเมริกาเพื่อจ้างสื่อให้เขียนโจมตีจีนด้วยข่าวเท็จ เพราะจีนกำลังสร้างเครือข่ายพัฒนาเศรษฐกิจไปรอบโลกด้วยโครงการเส้นทางสายไหมใหม่ ยังไม่รวมงบประมาณจ้างสื่อเพื่อโจมตีรัฐบาลรัสเซีย เกาหลีเหนือ อิหร่าน ซีเรีย เวเนซุเอล่า คิวบา นิคารากัว รัฐบาลเมียนมาร์ ฯลฯ ที่อเมริกากำลังหาทางล้มรัฐบาลเขาตลอดเวลา และงบประมาณในการสร้างภาพตนเองว่าเป็นชาติประชาธิปไตย ส่งเสริมเสรีภาพและส่งเสริมสิทธิมนุษยชนอีกต่างหาก เป็นเรื่องโง่เขลาเบาปัญญาของสื่อกระแสหลักของไทยมากที่เอาข่าวโจมตีรัสเซีย จีน เกาหลีเหนือ อิหร่าน ซีเรีย ฯลฯ จากสื่อตะวันตกมาแปลล้างสมองคนไทยต่อ โดยไม่ใช้วิจารณญาณใดๆ เลย มีแต่สื่อหรือนักเขียนที่เป็นเครือข่าย CIA เท่านั้นที่ทำเช่นนี้ อเมริกาโจมตีรัสเซียและจีนว่าปล่อยข่าวเท็จหรือข่าวโฆษณาชวนเชื่อ แต่ข้อมูลข่าวนี้คือหลักฐานชัดที่บ่งชี้ว่าอเมริกาต่างหากที่จ้างนักข่าวปล่อยข่าวเท็จลวงโลกทำลายชาติอื่น ปฐมพงษ์ โพธิ์ประสิทธินันท์
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 520 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฉันไม่เข้าใจว่าเราทำอะไรอยู่ในยูเครน และฉันก็ไม่คิดว่าคุณจะเข้าใจเช่นกัน

    Eric Weinstein
    .
    I don’t understand what we are doing in Ukraine. And I don’t think you do either.
    .
    11:16 PM · Sep 13, 2024 · 5.6M Views
    https://x.com/EricRWeinstein/status/1834627309275578789
    .
    ฉันเข้าใจ

    โดยพื้นฐานแล้วยูเครนเป็นฐานทัพใหญ่ของ CIA, ที่แอบอ้างว่าเป็นประเทศที่มีอำนาจอธิปไตย

    CIA ย้ายเข้ามาในยูเครนหลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียต, โดยมุ่งหวังที่จะใช้ประโยชน์จากประเทศที่ไร้กฎหมายและไม่มั่นคงแห่งนี้, โดยใช้ประเทศนี้เป็นตัวแทนในต่างประเทศ, นอกเหนือขอบเขตการกำกับดูแลของสหรัฐฯ

    เริ่มต้นด้วยกฎหมาย Nunn-Lugar ในปี ๑๙๙๑, และดำเนินต่อไปในปี ๒๐๐๕, เมื่อวุฒิสมาชิกโอบามาและลูการ์เดินทางไปเยือนยูเครน, เพื่อตรวจสอบโรงงานชีวภาพ, โรงงานเคมี, และโรงงานนิวเคลียร์ของอดีตสหภาพโซเวียต (ตามภาพด้านล่าง), จากนั้นจึงเพิ่มยูเครนเข้าในหน่วยงานลดภัยคุกคามทางการป้องกัน, และเริ่มเปลี่ยนโรงงานโซเวียตเหล่านี้ให้กลายเป็น "โรงงานวิจัยเชิงป้องกัน", ซึ่งเปิดประตูให้ผู้รับเหมาของสหรัฐฯเข้ามาตั้งหลักปักฐานในยูเครน, และจัดตั้งปฏิบัติการฟอกเงินและกรรโชกทรัพย์, ภายใต้ข้ออ้างของ "ความช่วยเหลือจากต่างประเทศ"

    จากนั้น CIA ก็ให้ทุนสนับสนุนกลุ่มนักรบนาซีในยูเครน ซึ่งนำไปสู่การปะทุของสงครามกลางเมืองในปี ๒๐๑๔ ในดอนบาส ท่ามกลางความโกลาหล, กระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ, ได้ใช้สถานการณ์นี้ผ่านวิกตอเรีย นูลแลนด์, เพื่อจัดตั้งหุ่นเชิดที่ภักดีต่อสหรัฐฯ, รวมถึงสายโทรศัพท์ที่รั่วไหลอย่างฉาวโฉ่ระหว่างเธอและเจฟฟรีย์ ไพแอตต์ ข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศด้วยกัน, เกี่ยวกับการให้แน่ใจว่า “คนของพวกเขา” ยัตเซนุยก์, ได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี กระทรวงการต่างประเทศ, ร่วมกับ CIA, เข้าควบคุมยูเครนอย่างลับๆผ่านการปฏิวัติสีในปี ๒๐๑๔

    ปูตินตระหนักถึงเรื่องนี้, เขารู้ว่าสหรัฐฯได้ทำให้ยูเครนไม่มั่นคงและได้เข้าควบคุม, และยอมรับว่าสหรัฐฯกำลังสร้างกองทัพตัวแทนบนชายแดนของเขา, โดยให้ทุน, ฝึกอบรม, และจัดหาอาวุธให้กับยูเครน และพยายามนำยูเครนเข้าสู่ NATO นี่คือเส้นแบ่งสำหรับปูติน, ดังที่เขาพูดมาหลายทศวรรษ รัสเซียได้ถูกรุกรานจากตะวันตกมาหลายครั้งแล้ว และจะไม่ยอมให้มีกองทัพประจำการที่เป็นศัตรูและขีปนาวุธพิสัยไกลบนชายแดนของพวกเขา เหมือนกับที่สหรัฐฯไม่ชอบเมื่อรัสเซียพยายามติดตั้งอาวุธนิวเคลียร์ในคิวบาในยุค ๖๐, รัสเซียก็ไม่ชอบที่สหรัฐฯพยายามนำกองทัพและอาวุธเข้ามาในยูเครน

    โดยพื้นฐานแล้ว, ยูเครนเป็นดินแดนที่ไม่เป็นทางการของสหรัฐฯ และไม่เป็นสมาชิกนาโต, และกลุ่มดีพสเตตไม่ต้องการสูญเสียแหล่งรายได้และสินทรัพย์เชิงยุทธศาสตร์อย่างยูเครน, ดังนั้น พวกเขาจึงยังคงส่งเงินภาษีของเราหลายแสนล้านดอลลาร์เพื่อปกป้องชายแดนยูเครน พวกเขากำลังใช้ยูเครนเป็นแหล่งฟอกเงินเพื่อนำเงินหลายแสนล้านดอลลาร์ไปใช้กับเครื่องจักรสงคราม, และยังปกปิดอาชญากรรมร้ายแรงในยูเครนอีกด้วย, รวมถึงอาชญากรรมต่อมนุษยชาติในการพัฒนาอาวุธชีวภาพ, การค้ามนุษย์, การค้ายาเสพติด, และอื่นๆ สิ่งที่พวกเขาทำไม่ได้ในสหรัฐฯ, พวกเขาทำในยูเครน

    หากประชาชนรู้ความจริงเกี่ยวกับที่มาของการมีส่วนร่วมของสหรัฐฯในยูเครน, พวกเขาจะไม่สนับสนุนการส่งเงินแม้แต่เพนนีเดียวไปยังยูเครน เรื่องเล่าที่ว่ารัสเซียโจมตียูเครนในปี ๒๐๒๒ "โดยไม่ได้รับการยั่วยุ", เป็นการโฆษณาชวนเชื่อสงครามเพื่อให้ดูเหมือนว่ายูเครนเป็นผู้ปกป้องที่ชอบธรรมเพื่อรวบรวมการสนับสนุนของคุณ, ในขณะที่ในความเป็นจริง, สหรัฐฯเป็นคนเริ่มความขัดแย้งนี้, พวกเขาคือผู้ที่นำสงครามมาที่หน้าประตูบ้านของปูติน, และสหรัฐฯเป็นผู้ทำให้สงครามดำเนินต่อไป โดยยังคงให้เงินทุนและเสบียงแก่ยูเครน

    ปูตินไม่ต้องการพิชิตยุโรปทั้งหมด, เขาต้องการเพียงแค่ให้ NATO ออกไปจากชายแดนของเขา, และความยุติธรรมสำหรับการพัฒนาอาวุธทำลายล้างสูงของสหรัฐฯ ในยูเครน, โดยเฉพาะ, อาวุธชีวภาพที่จำเพาะต่อยีน

    สงครามเย็นไม่เคยสิ้นสุดอย่างแท้จริง

    Clandestine
    .
    I do.

    Ukraine is essentially a giant CIA base, posing as a sovereign nation.

    The CIA moved into Ukraine after the fall of the Soviet Union, looking to take advantage of the lawless and destabilized country, using it as an offshore proxy, outside the scope of US oversight.

    It began with the Nunn-Lugar Act in 1991, and then carried on into 2005, when then Senators Obama and Lugar visited Ukraine, to inspect the former Soviet bio, chemical, and nuclear facilities (pictured below), and then added Ukraine to the Defense Threat Reduction Agency, and began turning these former Soviet facilities into “defensive research facilities”, which opened the door for US contractors to establish their foothold in Ukraine, and set up their money laundering and racketeering operations, under the guise of “foreign aid”.

    Then the CIA funded Nazi militant groups in Ukraine which led to the outbreak of civil war in 2014 in the Donbas. Amidst the chaos, the US State Department, via Victoria Nuland, leveraged the situation to install US-loyal puppets, including the infamous leaked phone call between her and fellow State Department bureaucrat Geoffrey Pyatt, about ensuring “their guy” Yatsenuik, was installed as Prime Minister. The State Department, in tandem with the CIA, covertly took control of Ukraine via Color Revolution in 2014.

    Putin recognized this. He knew that the US had destabilized and taken control of Ukraine, and recognized that the US were building a proxy army on his border, by funding, training, and supplying Ukraine with weapons, and trying to bring them into NATO. This was a red line for Putin, as he has said for decades. Russia have been invaded from the West too many times before, and will not tolerate a hostile standing army and long-range missiles on their border. Just like the US didn’t like it when Russia tried to put nukes in Cuba in the 60’s, Russia doesn’t like the US trying to bring armies and weapons to Ukraine.

    Essentially, Ukraine is an unofficial US territory and NATO member, and the Deep State do not want to lose out on their cash cow and strategic asset that is Ukraine, hence why they continue to send hundreds of billions of our tax dollars to protect Ukraine’s border. They are using Ukraine as a laundry mat to funnel in hundreds of billions for the war machine, and also covering up their extreme criminality in Ukraine, including crimes against humanity for bioweapon development, human trafficking, drug trafficking, etc. All the things they can’t get away with stateside, they do in Ukraine.

    If the public knew the truth about the origins of US involvement in Ukraine, they would NEVER have supported sending a single penny to Ukraine. The narrative that Russia attacked Ukraine in 2022 “unprovoked”, is war propaganda to make it appear Ukraine are the righteous defenders in order to garner your support, when in reality, The US started this conflict, they are the ones who brought war to Putin’s doorstep, and the US are the ones perpetuating the war by continuing to fund and supply Ukraine.

    Putin does not want to conquer all of Europe, he just wants NATO off of his border, and justice for US development of weapons of mass destruction in Ukraine, namely, gene-specific biological weapons.

    The Cold War never truly ended.
    .
    1:44 AM · Sep 14, 2024 · 3.3M Views
    https://x.com/WarClandestine/status/1834664499976323116
    ฉันไม่เข้าใจว่าเราทำอะไรอยู่ในยูเครน และฉันก็ไม่คิดว่าคุณจะเข้าใจเช่นกัน Eric Weinstein . I don’t understand what we are doing in Ukraine. And I don’t think you do either. . 11:16 PM · Sep 13, 2024 · 5.6M Views https://x.com/EricRWeinstein/status/1834627309275578789 . ฉันเข้าใจ โดยพื้นฐานแล้วยูเครนเป็นฐานทัพใหญ่ของ CIA, ที่แอบอ้างว่าเป็นประเทศที่มีอำนาจอธิปไตย CIA ย้ายเข้ามาในยูเครนหลังจากการล่มสลายของสหภาพโซเวียต, โดยมุ่งหวังที่จะใช้ประโยชน์จากประเทศที่ไร้กฎหมายและไม่มั่นคงแห่งนี้, โดยใช้ประเทศนี้เป็นตัวแทนในต่างประเทศ, นอกเหนือขอบเขตการกำกับดูแลของสหรัฐฯ เริ่มต้นด้วยกฎหมาย Nunn-Lugar ในปี ๑๙๙๑, และดำเนินต่อไปในปี ๒๐๐๕, เมื่อวุฒิสมาชิกโอบามาและลูการ์เดินทางไปเยือนยูเครน, เพื่อตรวจสอบโรงงานชีวภาพ, โรงงานเคมี, และโรงงานนิวเคลียร์ของอดีตสหภาพโซเวียต (ตามภาพด้านล่าง), จากนั้นจึงเพิ่มยูเครนเข้าในหน่วยงานลดภัยคุกคามทางการป้องกัน, และเริ่มเปลี่ยนโรงงานโซเวียตเหล่านี้ให้กลายเป็น "โรงงานวิจัยเชิงป้องกัน", ซึ่งเปิดประตูให้ผู้รับเหมาของสหรัฐฯเข้ามาตั้งหลักปักฐานในยูเครน, และจัดตั้งปฏิบัติการฟอกเงินและกรรโชกทรัพย์, ภายใต้ข้ออ้างของ "ความช่วยเหลือจากต่างประเทศ" จากนั้น CIA ก็ให้ทุนสนับสนุนกลุ่มนักรบนาซีในยูเครน ซึ่งนำไปสู่การปะทุของสงครามกลางเมืองในปี ๒๐๑๔ ในดอนบาส ท่ามกลางความโกลาหล, กระทรวงการต่างประเทศของสหรัฐฯ, ได้ใช้สถานการณ์นี้ผ่านวิกตอเรีย นูลแลนด์, เพื่อจัดตั้งหุ่นเชิดที่ภักดีต่อสหรัฐฯ, รวมถึงสายโทรศัพท์ที่รั่วไหลอย่างฉาวโฉ่ระหว่างเธอและเจฟฟรีย์ ไพแอตต์ ข้าราชการกระทรวงการต่างประเทศด้วยกัน, เกี่ยวกับการให้แน่ใจว่า “คนของพวกเขา” ยัตเซนุยก์, ได้รับการแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี กระทรวงการต่างประเทศ, ร่วมกับ CIA, เข้าควบคุมยูเครนอย่างลับๆผ่านการปฏิวัติสีในปี ๒๐๑๔ ปูตินตระหนักถึงเรื่องนี้, เขารู้ว่าสหรัฐฯได้ทำให้ยูเครนไม่มั่นคงและได้เข้าควบคุม, และยอมรับว่าสหรัฐฯกำลังสร้างกองทัพตัวแทนบนชายแดนของเขา, โดยให้ทุน, ฝึกอบรม, และจัดหาอาวุธให้กับยูเครน และพยายามนำยูเครนเข้าสู่ NATO นี่คือเส้นแบ่งสำหรับปูติน, ดังที่เขาพูดมาหลายทศวรรษ รัสเซียได้ถูกรุกรานจากตะวันตกมาหลายครั้งแล้ว และจะไม่ยอมให้มีกองทัพประจำการที่เป็นศัตรูและขีปนาวุธพิสัยไกลบนชายแดนของพวกเขา เหมือนกับที่สหรัฐฯไม่ชอบเมื่อรัสเซียพยายามติดตั้งอาวุธนิวเคลียร์ในคิวบาในยุค ๖๐, รัสเซียก็ไม่ชอบที่สหรัฐฯพยายามนำกองทัพและอาวุธเข้ามาในยูเครน โดยพื้นฐานแล้ว, ยูเครนเป็นดินแดนที่ไม่เป็นทางการของสหรัฐฯ และไม่เป็นสมาชิกนาโต, และกลุ่มดีพสเตตไม่ต้องการสูญเสียแหล่งรายได้และสินทรัพย์เชิงยุทธศาสตร์อย่างยูเครน, ดังนั้น พวกเขาจึงยังคงส่งเงินภาษีของเราหลายแสนล้านดอลลาร์เพื่อปกป้องชายแดนยูเครน พวกเขากำลังใช้ยูเครนเป็นแหล่งฟอกเงินเพื่อนำเงินหลายแสนล้านดอลลาร์ไปใช้กับเครื่องจักรสงคราม, และยังปกปิดอาชญากรรมร้ายแรงในยูเครนอีกด้วย, รวมถึงอาชญากรรมต่อมนุษยชาติในการพัฒนาอาวุธชีวภาพ, การค้ามนุษย์, การค้ายาเสพติด, และอื่นๆ สิ่งที่พวกเขาทำไม่ได้ในสหรัฐฯ, พวกเขาทำในยูเครน หากประชาชนรู้ความจริงเกี่ยวกับที่มาของการมีส่วนร่วมของสหรัฐฯในยูเครน, พวกเขาจะไม่สนับสนุนการส่งเงินแม้แต่เพนนีเดียวไปยังยูเครน เรื่องเล่าที่ว่ารัสเซียโจมตียูเครนในปี ๒๐๒๒ "โดยไม่ได้รับการยั่วยุ", เป็นการโฆษณาชวนเชื่อสงครามเพื่อให้ดูเหมือนว่ายูเครนเป็นผู้ปกป้องที่ชอบธรรมเพื่อรวบรวมการสนับสนุนของคุณ, ในขณะที่ในความเป็นจริง, สหรัฐฯเป็นคนเริ่มความขัดแย้งนี้, พวกเขาคือผู้ที่นำสงครามมาที่หน้าประตูบ้านของปูติน, และสหรัฐฯเป็นผู้ทำให้สงครามดำเนินต่อไป โดยยังคงให้เงินทุนและเสบียงแก่ยูเครน ปูตินไม่ต้องการพิชิตยุโรปทั้งหมด, เขาต้องการเพียงแค่ให้ NATO ออกไปจากชายแดนของเขา, และความยุติธรรมสำหรับการพัฒนาอาวุธทำลายล้างสูงของสหรัฐฯ ในยูเครน, โดยเฉพาะ, อาวุธชีวภาพที่จำเพาะต่อยีน สงครามเย็นไม่เคยสิ้นสุดอย่างแท้จริง Clandestine . I do. Ukraine is essentially a giant CIA base, posing as a sovereign nation. The CIA moved into Ukraine after the fall of the Soviet Union, looking to take advantage of the lawless and destabilized country, using it as an offshore proxy, outside the scope of US oversight. It began with the Nunn-Lugar Act in 1991, and then carried on into 2005, when then Senators Obama and Lugar visited Ukraine, to inspect the former Soviet bio, chemical, and nuclear facilities (pictured below), and then added Ukraine to the Defense Threat Reduction Agency, and began turning these former Soviet facilities into “defensive research facilities”, which opened the door for US contractors to establish their foothold in Ukraine, and set up their money laundering and racketeering operations, under the guise of “foreign aid”. Then the CIA funded Nazi militant groups in Ukraine which led to the outbreak of civil war in 2014 in the Donbas. Amidst the chaos, the US State Department, via Victoria Nuland, leveraged the situation to install US-loyal puppets, including the infamous leaked phone call between her and fellow State Department bureaucrat Geoffrey Pyatt, about ensuring “their guy” Yatsenuik, was installed as Prime Minister. The State Department, in tandem with the CIA, covertly took control of Ukraine via Color Revolution in 2014. Putin recognized this. He knew that the US had destabilized and taken control of Ukraine, and recognized that the US were building a proxy army on his border, by funding, training, and supplying Ukraine with weapons, and trying to bring them into NATO. This was a red line for Putin, as he has said for decades. Russia have been invaded from the West too many times before, and will not tolerate a hostile standing army and long-range missiles on their border. Just like the US didn’t like it when Russia tried to put nukes in Cuba in the 60’s, Russia doesn’t like the US trying to bring armies and weapons to Ukraine. Essentially, Ukraine is an unofficial US territory and NATO member, and the Deep State do not want to lose out on their cash cow and strategic asset that is Ukraine, hence why they continue to send hundreds of billions of our tax dollars to protect Ukraine’s border. They are using Ukraine as a laundry mat to funnel in hundreds of billions for the war machine, and also covering up their extreme criminality in Ukraine, including crimes against humanity for bioweapon development, human trafficking, drug trafficking, etc. All the things they can’t get away with stateside, they do in Ukraine. If the public knew the truth about the origins of US involvement in Ukraine, they would NEVER have supported sending a single penny to Ukraine. The narrative that Russia attacked Ukraine in 2022 “unprovoked”, is war propaganda to make it appear Ukraine are the righteous defenders in order to garner your support, when in reality, The US started this conflict, they are the ones who brought war to Putin’s doorstep, and the US are the ones perpetuating the war by continuing to fund and supply Ukraine. Putin does not want to conquer all of Europe, he just wants NATO off of his border, and justice for US development of weapons of mass destruction in Ukraine, namely, gene-specific biological weapons. The Cold War never truly ended. . 1:44 AM · Sep 14, 2024 · 3.3M Views https://x.com/WarClandestine/status/1834664499976323116
    Wow
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1382 มุมมอง 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 96 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหล่าติ่งทั้งหลาย…………มาช่วยส่งกำลังใจให้พี่ปูหน่อยเร้วววว……!!!

    ตอนสี่……เข้ามาจนใกล้……แต่ยังไปไม่ถึง……!!!

    และแล้ว ปูตินก็ได้ดินทางมาสู่ Dresden เยอรมันตะวันออกเพียงลำพังในเดือนสิงหาคม 1985 เพราะลุดมิลายังต้องเลี้ยงดูลูกเล็ก มาเรีย (หรือ มาช่า) จนกว่าจะโตอีกนิดนึง
    เขาเข้าเริ่มงานในสำนักงานฝ่ายความมั่นคงของโซเวียต
    ที่เป็นที่ทำงานเดียวกับ KGB
    ปูตินกลายเป็น “Little Volodya” ในหมู่ของเพื่อนร่วมงานและผู้บังคับบัญชา เพราะในหน่วยได้มีชื่อ Vladimir อยู่แล้วสองคน
    คนหนึ่งในหนวด ก็เป็น Mustahios Volodya
    อีกคนหนึ่งร่างยักษ์ ก็เป็น “Big Volodya”
    เขาเริ่มสับสนกับการทำงานในที่นี้ เพราะ เขาไม่ใช่ “Comrade Platov” อย่างควรจะเป็นในระบบของ KGB
    แต่กลายมาเป็น นายทหารธรรมดา ยศพันตรี แปะอกหรา…
    แล้วนี่มันเป็นสายลับชนิดไหนในโลก………!!!

    ต่อมาหลังจากที่เรียนรู้งาน เขาจึงทราบว่า การทำงานแบบอินเตอร์นี้ เขามาอย่างเปิดเผยพร้อมโปรไฟล์ พร้อมพาสปอร์ต
    ก็ต้องเล่นไปตามเกมส์
    งานใต้ดิน……จะแยกออกไปอีกสายหนึ่ง เรียกว่า Stasi (The Ministry for State Security หรือ Staatsischerheitdiest)
    ที่เป็นหน่วยงานของเยอรมันฝ่ายคอมมิวนิสต์ ก่อตั้งในปี 1950
    สำนักงานใหญ่อยู่ที่ Lichtenberg, East Germany
    ที่ทางรัสเซียจะสั่งการลงไปอีกชั้นหนึ่ง ปูตินจึงกลายมาเป็นทหารนั่งออฟฟิศ คอยประสานกับหน่วยสตาซี
    สำนักงานของ Stasi, Dresden ก็อยู่บนชั้นสองในอาคารเดียวกัน หัวหน้าหน่วย ชื่อว่า Horst Böhm
    วันดีคืนดีก็กวักมือชวนกันไปเล่นฟุตบอล แมช ระหว่าง Stasi vs KGB

    การประสานงานนี้ แม้ว่าพันตรีปูตินจะเชี่ยวชาญในภาษาเยอรมัน แต่ปัญหาอื่นๆก็ตามมาคือการสื่อสารภาษาชาวบ้านในชีวิตประจำวัน ศัพท์แสลง ที่เขาไม่คุ้นเคย
    ทางหน่วยสตาซี จึงส่งเจ้าหน้าที่มาเปิดทำการสอนอย่างติวเข้ม
    และอีกปัญหาหนึ่ง คือ เหล่าทหารเกณฑ์โซเวียตที่ได้มาประจำการในเยอรมัน ต่างกันหลุดวินัย เพราะเปรียบเทียบได้ว่า
    มาสู่เมืองสวรรค์ ดื่มเหล้า ดื่มเบียร์ นุ่กางเกงยีนส์ ดูหนังโป๊
    หรือแม้แต่เหล่านายทหารอีลีทที่มาอยู่ทั้งครอบครัว ก็ใช้จ่ายแบบฟุ้งเฟ้อ เสื้อผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้าสารพัด บางคนก็ส่งกลับไปขายในตลาดมืดที่โซเวียต

    ปูตินจึงเปรียบเสมือนกับได้เข้ามาอยู่ในโลกใหม่ เขาเองได้รับเงินเดือนเป็นเงินสดเทียบเท่า หนึ่งร้อยยูเอสดอลล่าร์ (นับว่ามากโข)
    ใครต่อใครบอกเขาว่า การที่ได้มาประจำการที่นี่ คือ สุดยอดของความสุข แต่สำหรับเขานั้น……มันไม่ใช่..!!

    ลุดมิลาและลูกน้อยได้มาถึงในช่วงปลายปี เธอเปิดประตูอพาร์ตเมนต์เข้ามา พบกับตะกร้าใส่กล้วยหอมวางอยู่บนโต๊ะอาหารโด่เด่………ไม่มีแม้แต่ช่อดอกไม้……!!!
    เพียงแค่นั้น เธอก็พอที่จะรู้แล้วว่า……ทุกอย่างจะไม่ใช่เป็นอย่างที่เคยคิด……!!

    เจ้านายสายตรงของปูติน คือ Colonel Lazar Matveyev ที่เข้ากันได้ดีกับปูตินเป็นปี่เป็นขลุ่ย เพราะมีประวัติการเป็นมาคล้ายๆกัน และชื่นชมในตัวลุดมิลา ที่เป็นหญิงฉลาด คล่องแคล่ว ไหวพริบดี
    ปูตินใช้ชีวิตอย่างง่ายๆสบายๆในเดรสเดน และเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาไม่ได้ซ้อมยูโดอย่างที่ทำเป็นประจำ อีกทั้งไม่เคยหยิบจับอะไรในเรื่องงานบ้าน ลุดมิลาได้ตั้งครรภ์ที่สอง
    เธอทำทุกอย่างในบ้าน
    รวมทั้งต้องเอาใจสามีที่ค่อนข้าง”เยอะ” ในเรื่องอาการการกิน
    อะไรที่ไม่ชอบ เขาจะไม่แตะเลย
    พอเธอบ่นเข้า……เขางัดเอาคติของรัสเซียโบราณขึ้นมาพูดลอยๆ……ว่า……ผู้หญิงยิ่งเอาใจ ยิ่งเคยตัว..!!!!
    และเขาไม่เคยจำวันครบรอบแต่งงานได้……
    ตอนที่ลุดมิลาจะต้องไปคลอดลูกคนเล็กนอนโรงพยาบาลต่อด้วยการพักฟื้นหลายวัน
    ปูตินจะต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ทั้งเลี้ยงลูก ทำความสะอาด หุงหา ที่เขาบอกว่าเป็นงานที่หนักที่สุดในชีวิต
    ทั้งนี้ทั้งนั้น หลายคนจับในน้ำเสียงได้ว่า เขาผิดหวังมากที่ไม่ได้ลูกชาย……
    ทั้งคู่ใช้ชีวิตอย่างสบายเพราะได้ออกไปเที่ยวในวันหยุด มีเครื่องซักผ้า มีสเตอริโอ และมีเกมส์ทีวี (รุ่น Atari) เล่น
    แต่ลุดมิลาไม่มีความสุขเท่าที่ควร เพราะเธอไม่มีเพื่อน
    คบคุยกับใครเป็นเรื่องเป็นราวไม่ได้ เหมือนมีคนคอยจับจ้องอยู่ตลอดเวลา สามีก็ไม่เคยเล่าเรื่องอะไรให้ฟังเลย
    แต่ปูตินก็มีเหตุผล……เพราะในหน่วยของเขาก็มีสายลับจากเยอรมันตะวันตกแฝงเข้ามา เท่าที่รู้คือ ล่ามที่เข้ามาทำการแปลให้ เป็นผู้หญิง (จาก BND = Bundesnachrichtendient) ที่มีโค้ดของตัวเองว่า BALCONY ที่เข้ามาทำตัวสนิทสนมกับลุดมิลา จนเธอเชื่อใจ ยอมนินทาสามีให้ฟังว่า เป็นคนเข้มระเบียบ
    มีแอบเจ้าชู้ และชีวิตครอบครัวเริ่มมีปัญหา

    ปี 1986 ที่โซเวียตเริ่มมีปัญหาภายในเพราะสภาพเศรษฐกิจ
    ส่วนภายนอกคือความกดดันจากองค์กร NATO จนท่านผู้นำ
    Mikhail Gorbachev ยอมอ่อนข้อให้ในเรื่องเครียดๆของสงครามเย็น
    ปี 1987 ปูตินได้เลื่อนยศเป็น พันโท และเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการ นั่นหมายถึงเป็นเบอร์สองขององค์กร ใน Dresden ที่ต้องคอยควบคุมพฤติกรรมทุกย่างก้าวของผู้ใต้บังคับบัญชา ที่เข้มถึงขนาดห้ามมีการถ่ายรูปภายในบริเวณ
    สถานการณ์เริ่มอึมครึมในระหว่างกลุ่ม KGB และ Stasi
    เพราะกลุ่มสายลับตะวันตกเริ่มมีบทบาทเข้ามาเกี่ยวข้องทางตะวันออกมากขึ้น มันบ่งบอกถึงสัญญาณอะไรบางอย่าง
    และ……นั่นคือ การลงนามระหว่างโรนัล รีแกน กับ กอร์บาเชฟ ในเรื่องสนธิสัญญาสันติภาพในขีปนาวุธนิวเคลียร์ในยุโรป
    (จำกัดจำนวน ถ้ามีเกิน ทำลายทิ้ง) ที่เกิดขึ้นในเดือนต่อมา

    สัญญาณนั้นชี้ไปในทางทิศที่ว่า สงครามเย็นอาจจะจบสิ้นในไม่ช้า เพราะกอร์บาเชฟได้เห็นแล้วว่าโซเวียตยังล้าหลังจากยุโรปไปมาก ควรจะต้องเปิดใจปรับปรุงให้เป็นคอมมิวนิสต์ที่พัฒนาและยอมรับความจริง
    เพียงแต่……เหล่าสีแดงเข้ม ไม่เข้าใจ และไม่พอใจ เห็นต่างกับนโยบายของท่านผู้นำ
    เมื่อโซเวียตเริ่มอ่อนกำลัง ปี 1989 ฮังการีได้เปิดพรมแดนที่ติดกับออสเตรีย ให้คนต่างเดินทางไปมาหาสู่ได้
    นั่นคือที่มาของความระส่ำระสายในเยอรมันตะวันออก ที่ต่างเรียกร้องให้เปิดพรมแดน รวมทั้งเบอร์ลิน
    มีการเดินขบวนเรียกร้อง มีการลุกฮือก่อการวุ่นวายที่นั่นที่นี่
    ผู้พันปูตินเริ่มรู้สึกว่า หน่วยของเขาเริ่มถูกตัดรอนไปจากมอสโคว์ เพราะไม่ว่าจะส่งรายงานอะไรไปก็ไม่ได้รับคำตอบกลับมา
    อ่านบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้…?!!

    ในที่สุดกำแพงเบอร์ลินได้ถูกทะลายลงในคืนวันที่ 9 พฤศจิกายน 1989 เกิดการชุมนุมขึ้นในทุกหย่อมหญ้าของแผ่นดิน
    ใน Dresden วันที่ 5 ธันวาคม ที่คนจำนวนร้อยๆได้มุ่งหน้ามาที่สำนักงาน KGB ผู้พันปูตินได้มองเห็นการเคลื่อนตัวมาจากชั้นบนของอาคาร
    จากนั้นไม่กี่ชั่วโมงต่อมา…มวลชนเพิ่มเป็นจำนวนพัน……เมื่อถึงหน้าประตู ทุกคนอยู่ในสภาพคลั่ง โกรธแค้น ขว้างปา ด่าทอ
    เสียงคนตะโกนว่า ……ในอาคารมีช่องทางลับที่จะมุ่งไปสู่โรเมเนีย…มีคุกที่ทรมานนักโทษให้จมน้ำอยู่ครึ่งตัว…
    ตอนนั้น……ผู้พันปูตินขำไม่ออก……กับเรื่องเพ้อเจ้อที่แต่งกันขึ้นมาเพื่อที่จะเกลียดชังโซเวียต
    ที่ขำไม่ออก……เพราะเขาทำอะไรไม่ได้ ถ้าไม่ได้รับคำสั่งจากมอสโคว์
    ซึ่ง……ไม่ว่าจะส่งโทรเลขไปกี่ครั้ง แต่……ไม่มีคำตอบใดๆกลับมา……!!
    ณ. นาทีนั้น เขาได้รู้ได้ทันทีว่า…ไม่มีโซเวียตอีกต่อไป ระบอบระบบทุกอย่างได้ล่มลงหมดแล้ว

    เขาตัดสินใจแต่งเครื่องแบบออกไป ไม่มีอาวุธ (เขาเอาปืนและบัตรประจำตัวสายลับไว้ในเซฟ) ออกพบกับฝูงชนเมื่อเวลาเที่ยงคืน พร้อมกับทหารอีกหยิบมือ เป็นการเจรจาที่มีรั้วเหล็กกั้น
    ฝ่ายมวลชนพยายามที่จะผลักประตูเข้ามา……
    ผู้พันปูตินประกาศด้วยภาษาเยอรมันที่ชัดเจน จนทุกคนประหลาดใจ ว่า…
    “สถานที่นี้เป็นของรัฐบาลโซเวียต ที่ฝ่ายมั่นคงข้างในได้มีการเตรียมพร้อมรับมือด้วยอาวุธ…หากว่ามีการล่วงล้ำเข้ามา
    ทุกคนรอฟังคำสั่งและสัญญาณจากผมเท่านั้น……กรุณารักษาความสงบ……”
    ได้ผลเกินร้อย……ทุกคนสงบลง เสียงโห่ร้องกลายเป็นการสนทนาสู่กันเบาๆ
    แล้ว……ผู้พันปูตินก็เดินหันหลังกลับเข้าไป…!!!

    ทุกอย่างที่ว่ามา……ไม่มีทั้งสิ้น ไม่มีกำลังพล ไม่มีอาวุธ มีแต่เจ้าหน้าที่เด็กๆที่ช่วยกันทำลายเผาเอกสารสำคัญกันทั้งวันทั้งคืน
    แต่……การที่ไม่ได้รับคำตอบใดๆจากมอสโคว์………ยังเป็นฝันร้ายของผู้พันปูตินจนถึงทุกวันนี้……!!!

    เดือนกุมภาพันธ์ 1990 ผู้พันปูตินและลุดมิลาได้เตรียมตัวจัดกระเป๋า หีบห่อสัมภาระกลับสู่โซเวียต เขามีเงินเก็บไม่มากนักจากเงินเดือนที่ได้รับ ข้าวของจะถูกส่งกลับไปทางเรือ ส่วนเขา ลุดมิลาและลูกทั้งสองจะกลับทางรถไฟสู่มอสโคว์
    ระหว่างเดินทางกลับ เสื้อโค้ดและกระเป๋าถือของลุดมิลาถูกขโมยในระหว่างทาง……

    การกลับเข้าสู่ดินแดนของโซเวียตในครั้งนี้ ที่เขาต้องเจอกับความขาดแคลนไปในทุกสิ่ง ผู้คนที่ต้องใช้คูปองสงเคราะห์ในการซื้ออาหาร ข้าวของขาดตลาด การว่างงาน……
    แม้แต่ตัวผู้พันปูตินเอง ตั้งแต่ต้นปี 1990 จนผ่านมาสามเดือนก็ยังไม่ได้รับเงินเดือน……ส่วนอาคารสงเคราะห์ที่จะเป็นที่อยู่อาศัยก็ยังไม่มี เพราะทุกแห่งเต็มไปหมด ถ้าจะรอก็ต้องใช้เวลาเป็นปี
    แต่ตัวปูตินเอง……เขาหมดความมั่นใจในการบริหารงานของรัฐบาลโซเวียต แม้ว่าจะถูกเสนองานใหม่ให้ในมอสโคว์
    ก็ยังปฏิเสธ……เขาอยากกลับไปที่เลนินกราดบ้านเกิด อย่างน้อยก็ไปอยู่กับพ่อแม่ได้…

    ที่เลนินกราด……เขาได้งานใหม่ (แต่ยังเป็น KGB) ในหน้าที่คณบดี ฝ่ายการเมืองต่างประเทศ ที่มหาวิทยาลัย
    เลนินกราด (ที่เขาจบมา) หน้าที่ของเขาคือ ส่ายตาสอดส่องนักศึกษาและคนแปลกหน้า เท่ากับว่า เขาทำหน้าที่เช่นเดียวกับ Oleg Kalugin คนที่เคยนำเขาเข้าสู่ KGB เมื่อครั้งยังเป็นนักศึกษากฎหมายเมื่อปี 1975
    ปูตินเคยบ่นปรับทุกข์กับเพื่อนรัก Sergei Roldugin ว่าเขาอยากลาออกจากการเป็น KGB
    แต่คำตอบที่ได้รับคือ ……”นายเคยเห็นหรือได้ยินคำว่า อดีตสายลับบ้างไหม……ไม่เคยละซิ เพราะถ้านายเป็น KGB แล้ว นายก็จะเป็นตลอดไป ต่อให้ไม่ได้อยู่ในองค์กร แต่นายก็ยังเป็น……เพราะ……มันคือจิตวิญญาณ……!!!”

    ที่มหาวิทยาลัย มีนักกฎหมายรุ่นพี่ที่จบจากที่เดียวกัน Anatoly Sobchak ที่เป็นผู้ที่เลื่อมใสระบอบประชาธิปไตยโดยใช้กฎหมายบังคับ เขาชอบเล่นการเมือง (เป็นฝ่ายตรงข้ามกับคอมมิวนิสต์)
    อนาโตลี มีความเลื่อมใสในกลุ่มนักกฏหมายไฟแรงที่หนึ่งในนั้น คือ Boris Yeltzin ที่ได้เป็นถึงหนึ่งคณะมนตรีในมอสโคว์
    อนาโตลี ต้องการใช้กฎหมายแบบระบบสากล คือ ไม่ว่าทหาร หรือ KGB ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเช่นคนอื่นๆ หากว่ามีความผิด ดังที่เขาพยายามที่จะขัดค้นในเรื่องการสังหารหมู่ในชนกลุ่มน้อยที่เกิดขึ้นในลิธัวเนีย, อาร์เมเนีย และ อาเซอร์ไบจาน

    อนาโตลี ได้รับเลือกตั้งให้เป็นนายกเทศมนตรี เลนินกราด……
    เขามีความรู้ มีความสามารถทางด้านวิชาการ เป็นนักพูดที่ดี
    แต่ไม่มีประสบการณ์กับชาวบ้าน และ การเป็นนักการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยในบ้านเมืองที่ยังถูกควบคุมในระบอบคอมมิวนิสต์นั้น มันไม่น่าจะง่าย……
    เขาจึงติดต่อไปที่ Oleg Kalugin หัวหน้าหน่วยสายลับผู้เป็นเพื่อนรัก เพื่อช่วยหาคนที่ไว้ใจได้ รอบรู้ ให้มาช่วยงาน
    โอเลก……ได้ให้รายชื่อไปสองสามคน แต่ อนาโตลี บอกว่า
    มันชัดเจนไปเพราะผู้คนรู้จักแล้ว เขาอยากได้คนที่โนเนม และเป็นคนธรรมดาๆมากกว่า
    ชื่อของ Vladimir Putin จึงถูกเสนอขึ้นไป
    อนาโตลี……รับข้อเสนอนี้ทันที เพราะนอกจากคุณสมบัติล้นเหลือแล้ว ยังเป็นรุ่นน้องที่จบมาจากที่เดียวกันด้วย

    ในเดือนพฤษภาคม ปูตินไปพบกับอนาโตลี ในที่ทำงานที่
    Mariinsky Palace ที่อนาโตลีได้บอกให้เขาเข้ามาทำงานในวันจันทร์ได้เลย……
    ปูติน……ตอบว่า……
    “เดี๋ยวก่อนครับ……ก่อนที่ท่านจะตัดสินใจ ผมต้องขอเรียนให้ทราบก่อนว่า นอกจากจะเป็นคณบดีที่มหาวิทยาลัยแล้ว……
    งานหลัก……ผมยังเป็น KGB อีกด้วย”

    เป็นการประจันหน้ากันระหว่าง อนาโตลี ผู้ใฝ่ประชาธิปไตย กับ
    วลาดิเมียร์ ปูติน สายลับใต้ดินตัวเก่งของโซเวียต…!!!

    ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบงัน……แต่เพียงอึดใจเดียว
    อนาโตลีได้เข้ามาตบบ่าปูติน และบอกว่า…
    “KGB ก็ KGB ซิวะ………ไม่เห็นแปลกตรงไหนเลยนี่………!!!!

    Wiwanda W. Vichit
    เหล่าติ่งทั้งหลาย…………มาช่วยส่งกำลังใจให้พี่ปูหน่อยเร้วววว……!!! ตอนสี่……เข้ามาจนใกล้……แต่ยังไปไม่ถึง……!!! และแล้ว ปูตินก็ได้ดินทางมาสู่ Dresden เยอรมันตะวันออกเพียงลำพังในเดือนสิงหาคม 1985 เพราะลุดมิลายังต้องเลี้ยงดูลูกเล็ก มาเรีย (หรือ มาช่า) จนกว่าจะโตอีกนิดนึง เขาเข้าเริ่มงานในสำนักงานฝ่ายความมั่นคงของโซเวียต ที่เป็นที่ทำงานเดียวกับ KGB ปูตินกลายเป็น “Little Volodya” ในหมู่ของเพื่อนร่วมงานและผู้บังคับบัญชา เพราะในหน่วยได้มีชื่อ Vladimir อยู่แล้วสองคน คนหนึ่งในหนวด ก็เป็น Mustahios Volodya อีกคนหนึ่งร่างยักษ์ ก็เป็น “Big Volodya” เขาเริ่มสับสนกับการทำงานในที่นี้ เพราะ เขาไม่ใช่ “Comrade Platov” อย่างควรจะเป็นในระบบของ KGB แต่กลายมาเป็น นายทหารธรรมดา ยศพันตรี แปะอกหรา… แล้วนี่มันเป็นสายลับชนิดไหนในโลก………!!! ต่อมาหลังจากที่เรียนรู้งาน เขาจึงทราบว่า การทำงานแบบอินเตอร์นี้ เขามาอย่างเปิดเผยพร้อมโปรไฟล์ พร้อมพาสปอร์ต ก็ต้องเล่นไปตามเกมส์ งานใต้ดิน……จะแยกออกไปอีกสายหนึ่ง เรียกว่า Stasi (The Ministry for State Security หรือ Staatsischerheitdiest) ที่เป็นหน่วยงานของเยอรมันฝ่ายคอมมิวนิสต์ ก่อตั้งในปี 1950 สำนักงานใหญ่อยู่ที่ Lichtenberg, East Germany ที่ทางรัสเซียจะสั่งการลงไปอีกชั้นหนึ่ง ปูตินจึงกลายมาเป็นทหารนั่งออฟฟิศ คอยประสานกับหน่วยสตาซี สำนักงานของ Stasi, Dresden ก็อยู่บนชั้นสองในอาคารเดียวกัน หัวหน้าหน่วย ชื่อว่า Horst Böhm วันดีคืนดีก็กวักมือชวนกันไปเล่นฟุตบอล แมช ระหว่าง Stasi vs KGB การประสานงานนี้ แม้ว่าพันตรีปูตินจะเชี่ยวชาญในภาษาเยอรมัน แต่ปัญหาอื่นๆก็ตามมาคือการสื่อสารภาษาชาวบ้านในชีวิตประจำวัน ศัพท์แสลง ที่เขาไม่คุ้นเคย ทางหน่วยสตาซี จึงส่งเจ้าหน้าที่มาเปิดทำการสอนอย่างติวเข้ม และอีกปัญหาหนึ่ง คือ เหล่าทหารเกณฑ์โซเวียตที่ได้มาประจำการในเยอรมัน ต่างกันหลุดวินัย เพราะเปรียบเทียบได้ว่า มาสู่เมืองสวรรค์ ดื่มเหล้า ดื่มเบียร์ นุ่กางเกงยีนส์ ดูหนังโป๊ หรือแม้แต่เหล่านายทหารอีลีทที่มาอยู่ทั้งครอบครัว ก็ใช้จ่ายแบบฟุ้งเฟ้อ เสื้อผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้าสารพัด บางคนก็ส่งกลับไปขายในตลาดมืดที่โซเวียต ปูตินจึงเปรียบเสมือนกับได้เข้ามาอยู่ในโลกใหม่ เขาเองได้รับเงินเดือนเป็นเงินสดเทียบเท่า หนึ่งร้อยยูเอสดอลล่าร์ (นับว่ามากโข) ใครต่อใครบอกเขาว่า การที่ได้มาประจำการที่นี่ คือ สุดยอดของความสุข แต่สำหรับเขานั้น……มันไม่ใช่..!! ลุดมิลาและลูกน้อยได้มาถึงในช่วงปลายปี เธอเปิดประตูอพาร์ตเมนต์เข้ามา พบกับตะกร้าใส่กล้วยหอมวางอยู่บนโต๊ะอาหารโด่เด่………ไม่มีแม้แต่ช่อดอกไม้……!!! เพียงแค่นั้น เธอก็พอที่จะรู้แล้วว่า……ทุกอย่างจะไม่ใช่เป็นอย่างที่เคยคิด……!! เจ้านายสายตรงของปูติน คือ Colonel Lazar Matveyev ที่เข้ากันได้ดีกับปูตินเป็นปี่เป็นขลุ่ย เพราะมีประวัติการเป็นมาคล้ายๆกัน และชื่นชมในตัวลุดมิลา ที่เป็นหญิงฉลาด คล่องแคล่ว ไหวพริบดี ปูตินใช้ชีวิตอย่างง่ายๆสบายๆในเดรสเดน และเป็นครั้งแรกในชีวิตที่เขาไม่ได้ซ้อมยูโดอย่างที่ทำเป็นประจำ อีกทั้งไม่เคยหยิบจับอะไรในเรื่องงานบ้าน ลุดมิลาได้ตั้งครรภ์ที่สอง เธอทำทุกอย่างในบ้าน รวมทั้งต้องเอาใจสามีที่ค่อนข้าง”เยอะ” ในเรื่องอาการการกิน อะไรที่ไม่ชอบ เขาจะไม่แตะเลย พอเธอบ่นเข้า……เขางัดเอาคติของรัสเซียโบราณขึ้นมาพูดลอยๆ……ว่า……ผู้หญิงยิ่งเอาใจ ยิ่งเคยตัว..!!!! และเขาไม่เคยจำวันครบรอบแต่งงานได้…… ตอนที่ลุดมิลาจะต้องไปคลอดลูกคนเล็กนอนโรงพยาบาลต่อด้วยการพักฟื้นหลายวัน ปูตินจะต้องทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ทั้งเลี้ยงลูก ทำความสะอาด หุงหา ที่เขาบอกว่าเป็นงานที่หนักที่สุดในชีวิต ทั้งนี้ทั้งนั้น หลายคนจับในน้ำเสียงได้ว่า เขาผิดหวังมากที่ไม่ได้ลูกชาย…… ทั้งคู่ใช้ชีวิตอย่างสบายเพราะได้ออกไปเที่ยวในวันหยุด มีเครื่องซักผ้า มีสเตอริโอ และมีเกมส์ทีวี (รุ่น Atari) เล่น แต่ลุดมิลาไม่มีความสุขเท่าที่ควร เพราะเธอไม่มีเพื่อน คบคุยกับใครเป็นเรื่องเป็นราวไม่ได้ เหมือนมีคนคอยจับจ้องอยู่ตลอดเวลา สามีก็ไม่เคยเล่าเรื่องอะไรให้ฟังเลย แต่ปูตินก็มีเหตุผล……เพราะในหน่วยของเขาก็มีสายลับจากเยอรมันตะวันตกแฝงเข้ามา เท่าที่รู้คือ ล่ามที่เข้ามาทำการแปลให้ เป็นผู้หญิง (จาก BND = Bundesnachrichtendient) ที่มีโค้ดของตัวเองว่า BALCONY ที่เข้ามาทำตัวสนิทสนมกับลุดมิลา จนเธอเชื่อใจ ยอมนินทาสามีให้ฟังว่า เป็นคนเข้มระเบียบ มีแอบเจ้าชู้ และชีวิตครอบครัวเริ่มมีปัญหา ปี 1986 ที่โซเวียตเริ่มมีปัญหาภายในเพราะสภาพเศรษฐกิจ ส่วนภายนอกคือความกดดันจากองค์กร NATO จนท่านผู้นำ Mikhail Gorbachev ยอมอ่อนข้อให้ในเรื่องเครียดๆของสงครามเย็น ปี 1987 ปูตินได้เลื่อนยศเป็น พันโท และเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการ นั่นหมายถึงเป็นเบอร์สองขององค์กร ใน Dresden ที่ต้องคอยควบคุมพฤติกรรมทุกย่างก้าวของผู้ใต้บังคับบัญชา ที่เข้มถึงขนาดห้ามมีการถ่ายรูปภายในบริเวณ สถานการณ์เริ่มอึมครึมในระหว่างกลุ่ม KGB และ Stasi เพราะกลุ่มสายลับตะวันตกเริ่มมีบทบาทเข้ามาเกี่ยวข้องทางตะวันออกมากขึ้น มันบ่งบอกถึงสัญญาณอะไรบางอย่าง และ……นั่นคือ การลงนามระหว่างโรนัล รีแกน กับ กอร์บาเชฟ ในเรื่องสนธิสัญญาสันติภาพในขีปนาวุธนิวเคลียร์ในยุโรป (จำกัดจำนวน ถ้ามีเกิน ทำลายทิ้ง) ที่เกิดขึ้นในเดือนต่อมา สัญญาณนั้นชี้ไปในทางทิศที่ว่า สงครามเย็นอาจจะจบสิ้นในไม่ช้า เพราะกอร์บาเชฟได้เห็นแล้วว่าโซเวียตยังล้าหลังจากยุโรปไปมาก ควรจะต้องเปิดใจปรับปรุงให้เป็นคอมมิวนิสต์ที่พัฒนาและยอมรับความจริง เพียงแต่……เหล่าสีแดงเข้ม ไม่เข้าใจ และไม่พอใจ เห็นต่างกับนโยบายของท่านผู้นำ เมื่อโซเวียตเริ่มอ่อนกำลัง ปี 1989 ฮังการีได้เปิดพรมแดนที่ติดกับออสเตรีย ให้คนต่างเดินทางไปมาหาสู่ได้ นั่นคือที่มาของความระส่ำระสายในเยอรมันตะวันออก ที่ต่างเรียกร้องให้เปิดพรมแดน รวมทั้งเบอร์ลิน มีการเดินขบวนเรียกร้อง มีการลุกฮือก่อการวุ่นวายที่นั่นที่นี่ ผู้พันปูตินเริ่มรู้สึกว่า หน่วยของเขาเริ่มถูกตัดรอนไปจากมอสโคว์ เพราะไม่ว่าจะส่งรายงานอะไรไปก็ไม่ได้รับคำตอบกลับมา อ่านบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้…?!! ในที่สุดกำแพงเบอร์ลินได้ถูกทะลายลงในคืนวันที่ 9 พฤศจิกายน 1989 เกิดการชุมนุมขึ้นในทุกหย่อมหญ้าของแผ่นดิน ใน Dresden วันที่ 5 ธันวาคม ที่คนจำนวนร้อยๆได้มุ่งหน้ามาที่สำนักงาน KGB ผู้พันปูตินได้มองเห็นการเคลื่อนตัวมาจากชั้นบนของอาคาร จากนั้นไม่กี่ชั่วโมงต่อมา…มวลชนเพิ่มเป็นจำนวนพัน……เมื่อถึงหน้าประตู ทุกคนอยู่ในสภาพคลั่ง โกรธแค้น ขว้างปา ด่าทอ เสียงคนตะโกนว่า ……ในอาคารมีช่องทางลับที่จะมุ่งไปสู่โรเมเนีย…มีคุกที่ทรมานนักโทษให้จมน้ำอยู่ครึ่งตัว… ตอนนั้น……ผู้พันปูตินขำไม่ออก……กับเรื่องเพ้อเจ้อที่แต่งกันขึ้นมาเพื่อที่จะเกลียดชังโซเวียต ที่ขำไม่ออก……เพราะเขาทำอะไรไม่ได้ ถ้าไม่ได้รับคำสั่งจากมอสโคว์ ซึ่ง……ไม่ว่าจะส่งโทรเลขไปกี่ครั้ง แต่……ไม่มีคำตอบใดๆกลับมา……!! ณ. นาทีนั้น เขาได้รู้ได้ทันทีว่า…ไม่มีโซเวียตอีกต่อไป ระบอบระบบทุกอย่างได้ล่มลงหมดแล้ว เขาตัดสินใจแต่งเครื่องแบบออกไป ไม่มีอาวุธ (เขาเอาปืนและบัตรประจำตัวสายลับไว้ในเซฟ) ออกพบกับฝูงชนเมื่อเวลาเที่ยงคืน พร้อมกับทหารอีกหยิบมือ เป็นการเจรจาที่มีรั้วเหล็กกั้น ฝ่ายมวลชนพยายามที่จะผลักประตูเข้ามา…… ผู้พันปูตินประกาศด้วยภาษาเยอรมันที่ชัดเจน จนทุกคนประหลาดใจ ว่า… “สถานที่นี้เป็นของรัฐบาลโซเวียต ที่ฝ่ายมั่นคงข้างในได้มีการเตรียมพร้อมรับมือด้วยอาวุธ…หากว่ามีการล่วงล้ำเข้ามา ทุกคนรอฟังคำสั่งและสัญญาณจากผมเท่านั้น……กรุณารักษาความสงบ……” ได้ผลเกินร้อย……ทุกคนสงบลง เสียงโห่ร้องกลายเป็นการสนทนาสู่กันเบาๆ แล้ว……ผู้พันปูตินก็เดินหันหลังกลับเข้าไป…!!! ทุกอย่างที่ว่ามา……ไม่มีทั้งสิ้น ไม่มีกำลังพล ไม่มีอาวุธ มีแต่เจ้าหน้าที่เด็กๆที่ช่วยกันทำลายเผาเอกสารสำคัญกันทั้งวันทั้งคืน แต่……การที่ไม่ได้รับคำตอบใดๆจากมอสโคว์………ยังเป็นฝันร้ายของผู้พันปูตินจนถึงทุกวันนี้……!!! เดือนกุมภาพันธ์ 1990 ผู้พันปูตินและลุดมิลาได้เตรียมตัวจัดกระเป๋า หีบห่อสัมภาระกลับสู่โซเวียต เขามีเงินเก็บไม่มากนักจากเงินเดือนที่ได้รับ ข้าวของจะถูกส่งกลับไปทางเรือ ส่วนเขา ลุดมิลาและลูกทั้งสองจะกลับทางรถไฟสู่มอสโคว์ ระหว่างเดินทางกลับ เสื้อโค้ดและกระเป๋าถือของลุดมิลาถูกขโมยในระหว่างทาง…… การกลับเข้าสู่ดินแดนของโซเวียตในครั้งนี้ ที่เขาต้องเจอกับความขาดแคลนไปในทุกสิ่ง ผู้คนที่ต้องใช้คูปองสงเคราะห์ในการซื้ออาหาร ข้าวของขาดตลาด การว่างงาน…… แม้แต่ตัวผู้พันปูตินเอง ตั้งแต่ต้นปี 1990 จนผ่านมาสามเดือนก็ยังไม่ได้รับเงินเดือน……ส่วนอาคารสงเคราะห์ที่จะเป็นที่อยู่อาศัยก็ยังไม่มี เพราะทุกแห่งเต็มไปหมด ถ้าจะรอก็ต้องใช้เวลาเป็นปี แต่ตัวปูตินเอง……เขาหมดความมั่นใจในการบริหารงานของรัฐบาลโซเวียต แม้ว่าจะถูกเสนองานใหม่ให้ในมอสโคว์ ก็ยังปฏิเสธ……เขาอยากกลับไปที่เลนินกราดบ้านเกิด อย่างน้อยก็ไปอยู่กับพ่อแม่ได้… ที่เลนินกราด……เขาได้งานใหม่ (แต่ยังเป็น KGB) ในหน้าที่คณบดี ฝ่ายการเมืองต่างประเทศ ที่มหาวิทยาลัย เลนินกราด (ที่เขาจบมา) หน้าที่ของเขาคือ ส่ายตาสอดส่องนักศึกษาและคนแปลกหน้า เท่ากับว่า เขาทำหน้าที่เช่นเดียวกับ Oleg Kalugin คนที่เคยนำเขาเข้าสู่ KGB เมื่อครั้งยังเป็นนักศึกษากฎหมายเมื่อปี 1975 ปูตินเคยบ่นปรับทุกข์กับเพื่อนรัก Sergei Roldugin ว่าเขาอยากลาออกจากการเป็น KGB แต่คำตอบที่ได้รับคือ ……”นายเคยเห็นหรือได้ยินคำว่า อดีตสายลับบ้างไหม……ไม่เคยละซิ เพราะถ้านายเป็น KGB แล้ว นายก็จะเป็นตลอดไป ต่อให้ไม่ได้อยู่ในองค์กร แต่นายก็ยังเป็น……เพราะ……มันคือจิตวิญญาณ……!!!” ที่มหาวิทยาลัย มีนักกฎหมายรุ่นพี่ที่จบจากที่เดียวกัน Anatoly Sobchak ที่เป็นผู้ที่เลื่อมใสระบอบประชาธิปไตยโดยใช้กฎหมายบังคับ เขาชอบเล่นการเมือง (เป็นฝ่ายตรงข้ามกับคอมมิวนิสต์) อนาโตลี มีความเลื่อมใสในกลุ่มนักกฏหมายไฟแรงที่หนึ่งในนั้น คือ Boris Yeltzin ที่ได้เป็นถึงหนึ่งคณะมนตรีในมอสโคว์ อนาโตลี ต้องการใช้กฎหมายแบบระบบสากล คือ ไม่ว่าทหาร หรือ KGB ต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมเช่นคนอื่นๆ หากว่ามีความผิด ดังที่เขาพยายามที่จะขัดค้นในเรื่องการสังหารหมู่ในชนกลุ่มน้อยที่เกิดขึ้นในลิธัวเนีย, อาร์เมเนีย และ อาเซอร์ไบจาน อนาโตลี ได้รับเลือกตั้งให้เป็นนายกเทศมนตรี เลนินกราด…… เขามีความรู้ มีความสามารถทางด้านวิชาการ เป็นนักพูดที่ดี แต่ไม่มีประสบการณ์กับชาวบ้าน และ การเป็นนักการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยในบ้านเมืองที่ยังถูกควบคุมในระบอบคอมมิวนิสต์นั้น มันไม่น่าจะง่าย…… เขาจึงติดต่อไปที่ Oleg Kalugin หัวหน้าหน่วยสายลับผู้เป็นเพื่อนรัก เพื่อช่วยหาคนที่ไว้ใจได้ รอบรู้ ให้มาช่วยงาน โอเลก……ได้ให้รายชื่อไปสองสามคน แต่ อนาโตลี บอกว่า มันชัดเจนไปเพราะผู้คนรู้จักแล้ว เขาอยากได้คนที่โนเนม และเป็นคนธรรมดาๆมากกว่า ชื่อของ Vladimir Putin จึงถูกเสนอขึ้นไป อนาโตลี……รับข้อเสนอนี้ทันที เพราะนอกจากคุณสมบัติล้นเหลือแล้ว ยังเป็นรุ่นน้องที่จบมาจากที่เดียวกันด้วย ในเดือนพฤษภาคม ปูตินไปพบกับอนาโตลี ในที่ทำงานที่ Mariinsky Palace ที่อนาโตลีได้บอกให้เขาเข้ามาทำงานในวันจันทร์ได้เลย…… ปูติน……ตอบว่า…… “เดี๋ยวก่อนครับ……ก่อนที่ท่านจะตัดสินใจ ผมต้องขอเรียนให้ทราบก่อนว่า นอกจากจะเป็นคณบดีที่มหาวิทยาลัยแล้ว…… งานหลัก……ผมยังเป็น KGB อีกด้วย” เป็นการประจันหน้ากันระหว่าง อนาโตลี ผู้ใฝ่ประชาธิปไตย กับ วลาดิเมียร์ ปูติน สายลับใต้ดินตัวเก่งของโซเวียต…!!! ทุกอย่างตกอยู่ในความเงียบงัน……แต่เพียงอึดใจเดียว อนาโตลีได้เข้ามาตบบ่าปูติน และบอกว่า… “KGB ก็ KGB ซิวะ………ไม่เห็นแปลกตรงไหนเลยนี่………!!!! Wiwanda W. Vichit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 3556 มุมมอง 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 136 มุมมอง 0 รีวิว
  • Salvatore Ferragamo
    RAIN LUX
    (Made in ITALY 🇮🇹)
    Men’s Luxury Closet Leather Loafers Shoes
    (SAL68218)
    Size. EUR 40 /25(26) cm

    🔥Price : 690฿

    👉 รายละเอียด :-
    รองเท้าโลฟเฟอร์หนังสีช็อกโกแลต Salvatore Ferragamo Rain Lux สำหรับผู้ชาย หนังนิ่มพร้อมโลโก้หัวเข็มขัดที่หน้ารองเท้าและเป็นรองเท้ามีส้น พื้นในและพื้นนอกเดิมๆ มีร่องรอยการใช้งานมาไม่มีขาด สภาพโดยรวม 80%
    Salvatore Ferragamo RAIN LUX (Made in ITALY 🇮🇹) Men’s Luxury Closet Leather Loafers Shoes (SAL68218) Size. EUR 40 /25(26) cm 🔥Price : 690฿ 👉 รายละเอียด :- รองเท้าโลฟเฟอร์หนังสีช็อกโกแลต Salvatore Ferragamo Rain Lux สำหรับผู้ชาย หนังนิ่มพร้อมโลโก้หัวเข็มขัดที่หน้ารองเท้าและเป็นรองเท้ามีส้น พื้นในและพื้นนอกเดิมๆ มีร่องรอยการใช้งานมาไม่มีขาด สภาพโดยรวม 80%
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 464 มุมมอง 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 124 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อวานมันจำเป็นจริงๆ หงส์ไทยขวดเก่ามันกลิ่นไม่แรงมากแล้ว เลยซื้อขวดใหม่แทน ขวดใหม่กลิ่นแรงมาก และยังซื้อจุ๊บปาจุ๊บโซดารสครีมสตรอว์เบอร์รี่เป็นรางวัลให้กำลังใจจากการทำงานมาอย่างต่อเนื่องในระบบงานอิสระ เพราะผมคงกินวิตามินซี 200% ขวดนึงเกิน 2 ครั้งต่อวันไม่ได้ และดอยคำน้ำมะเขือเทศเกินวันละ 2 กล่องไม่ได้ครับ
    ของหายากแบบนี้มันต้องอวดหน่อย ทำงาน กินกาแฟ ไม่ลืมที่จะดมหงส์ไทยอยู่แล้ว นี่แหละ Soft Power ที่สำคัญของไทย
    บางทีก็เปิด Patiphan Phengpao เพื่อฟังวิธีการใช้ชีวิตของฟรีแลนซ์โปรแกรมเมอร์ เพราะเขาเป็นโปรแกรมเมอร์ฟรีแลนซ์ ผมเลยต้องเปิดฟัง ส่วน Borntodev ผมไว้เปิดฟังเป็นบางช่วง ในด้านของการพัฒนาทักษะการพัฒนาซอฟต์แวร์ครับ
    เมื่อวานมันจำเป็นจริงๆ หงส์ไทยขวดเก่ามันกลิ่นไม่แรงมากแล้ว เลยซื้อขวดใหม่แทน ขวดใหม่กลิ่นแรงมาก และยังซื้อจุ๊บปาจุ๊บโซดารสครีมสตรอว์เบอร์รี่เป็นรางวัลให้กำลังใจจากการทำงานมาอย่างต่อเนื่องในระบบงานอิสระ เพราะผมคงกินวิตามินซี 200% ขวดนึงเกิน 2 ครั้งต่อวันไม่ได้ และดอยคำน้ำมะเขือเทศเกินวันละ 2 กล่องไม่ได้ครับ ของหายากแบบนี้มันต้องอวดหน่อย ทำงาน กินกาแฟ ไม่ลืมที่จะดมหงส์ไทยอยู่แล้ว นี่แหละ Soft Power ที่สำคัญของไทย บางทีก็เปิด Patiphan Phengpao เพื่อฟังวิธีการใช้ชีวิตของฟรีแลนซ์โปรแกรมเมอร์ เพราะเขาเป็นโปรแกรมเมอร์ฟรีแลนซ์ ผมเลยต้องเปิดฟัง ส่วน Borntodev ผมไว้เปิดฟังเป็นบางช่วง ในด้านของการพัฒนาทักษะการพัฒนาซอฟต์แวร์ครับ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 487 มุมมอง 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 135 มุมมอง 0 รีวิว
  • เพิ่งเริ่ม ราตรีนี้ยังอีกยาวไกล
    ครูใหญ่ชัยในพรหมยศ

    #ช้างชักภาพ
    #พรหมพยศ
    เพิ่งเริ่ม ราตรีนี้ยังอีกยาวไกล ครูใหญ่ชัยในพรหมยศ #ช้างชักภาพ #พรหมพยศ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 461 มุมมอง 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 144 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://th.mentboard.com/
    https://th.mentboard.com/
    TH.MENTBOARD.COM
    หน้าแรก
    ขอต้อนรับทุกคนเข้าสู่แพลตฟอร์มสังคมใหม่ "เมนต์บอร์ด" ที่นี่ คุณจะได้รับประสบการณ์สังคมออนไลน์ที่ดีที่สุด พร้อมด้วยฟีเจอร์ใหม่ ๆ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 134 มุมมอง 0 รีวิว
  • Like
    1
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 107 มุมมอง 0 รีวิว
  • Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 142 มุมมอง 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 115 มุมมอง 0 รีวิว
  • #thaitimes #ทักษิณ
    https://th.mentboard.com/thread/6g4y5v5/
    #thaitimes #ทักษิณ https://th.mentboard.com/thread/6g4y5v5/
    TH.MENTBOARD.COM
    ถอดรหัส ดร.ทักษิณ “เค้าเน้นสถานะแต่ผมเน้ นโอกาส” บางทีความเท่าเทียมอาจจะไม่ใช่ค่าน ิยมสังคมไทย
    โพสต์โดยคุณปราชญา (ID:47CB1) คลิปประกอบ: https://www.youtube.com/shorts/dw8J5ipYeuI บางทีความเท่าเทียมอาจจะไม่ใช่ค่านิยมสังคมไทย
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 584 มุมมอง 0 รีวิว