• หน่วยงานหลายแห่งของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ปิดทำการตั้งแต่วันพุธ (1 ต.ค.) หลังจากสมาชิกรัฐสภาพรรครีพับลิกันและทำเนียบขาว ไม่สามารถตกลงเรื่องงบประมาณชั่วคราวกับทางพรรคเดโมแครตฝ่ายค้าน นำไปสู่การเผชิญหน้ากันซึ่งนอกจากหมายถึงหน่วยงานรัฐไม่มีงบประมาณทำงาน จนบางแห่งอาจต้องหยุดดำเนินการอย่างไม่มีกำหนดแล้ว ยังอาจลามปามมีการปลดพนักงานลูกจ้างรัฐบาลกลางจำนวนนับหมื่นๆ คน โดยทรัมป์ขู่ว่า จะใช้โอกาสนี้จัดการพวกผู้สนับสนุนเดโมแครต
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000094029

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    หน่วยงานหลายแห่งของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ปิดทำการตั้งแต่วันพุธ (1 ต.ค.) หลังจากสมาชิกรัฐสภาพรรครีพับลิกันและทำเนียบขาว ไม่สามารถตกลงเรื่องงบประมาณชั่วคราวกับทางพรรคเดโมแครตฝ่ายค้าน นำไปสู่การเผชิญหน้ากันซึ่งนอกจากหมายถึงหน่วยงานรัฐไม่มีงบประมาณทำงาน จนบางแห่งอาจต้องหยุดดำเนินการอย่างไม่มีกำหนดแล้ว ยังอาจลามปามมีการปลดพนักงานลูกจ้างรัฐบาลกลางจำนวนนับหมื่นๆ คน โดยทรัมป์ขู่ว่า จะใช้โอกาสนี้จัดการพวกผู้สนับสนุนเดโมแครต . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000094029 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    Haha
    2
    0 Comments 0 Shares 426 Views 0 Reviews
  • 'ทรัมป์' ประกาศกลางที่ประชุมผู้บัญชาการทหารสหรัฐฯหลายร้อยนาย ว่าอเมริกากำลังเผชิญ “ศึกภายใน” พร้อมแนะให้ใช้ “เมืองอันตราย” เป็นสนามฝึกสำหรับกำลังพล และกำชับให้กองทัพเตรียมพร้อมมีส่วนร่วมในการปราบปรามอาชญากรรมในเมืองที่อยู่ภายใต้การบริหารของเดโมแครต ขณะเดียวกัน เฮกเซธ-นายใหญ่เพนตากอนก็ตำหนิ “นายพลอ้วน” และพวกแผนริเริ่มให้ยอมรับความหลากหลาย ว่าเป็นสาเหตุให้กองทัพสหรัฐฯ เสื่อมทรุดลงตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000094030

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    'ทรัมป์' ประกาศกลางที่ประชุมผู้บัญชาการทหารสหรัฐฯหลายร้อยนาย ว่าอเมริกากำลังเผชิญ “ศึกภายใน” พร้อมแนะให้ใช้ “เมืองอันตราย” เป็นสนามฝึกสำหรับกำลังพล และกำชับให้กองทัพเตรียมพร้อมมีส่วนร่วมในการปราบปรามอาชญากรรมในเมืองที่อยู่ภายใต้การบริหารของเดโมแครต ขณะเดียวกัน เฮกเซธ-นายใหญ่เพนตากอนก็ตำหนิ “นายพลอ้วน” และพวกแผนริเริ่มให้ยอมรับความหลากหลาย ว่าเป็นสาเหตุให้กองทัพสหรัฐฯ เสื่อมทรุดลงตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000094030 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    Haha
    2
    0 Comments 0 Shares 545 Views 0 Reviews
  • ที่ดินเขากระโดงเป็นของใคร

    บทความโดย : สุรวิชช์ วีรวรรณ

    คลิก >> https://mgronline.com/daily/detail/9680000094037
    ที่ดินเขากระโดงเป็นของใคร บทความโดย : สุรวิชช์ วีรวรรณ คลิก >> https://mgronline.com/daily/detail/9680000094037
    MGRONLINE.COM
    ที่ดินเขากระโดงเป็นของใคร
    คดีเขากระโดงคือมหากาพย์ข้อพิพาทที่ดินกว่า 5,000 ไร่ในจังหวัดบุรีรัมย์ ที่สะท้อนชัดเจนว่าประเทศไทยกำลังติดกับดักระหว่าง “หลักกฎหมาย” ที่ศาลวางไว้ กับ “การปฏิบัติ” ที่ถูกดัดแปลงเพื่อตอบสนองสมการทางการเมือง
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 169 Views 0 Reviews
  • “Apache Kylin เจอช่องโหว่ 3 จุด — เสี่ยงถูกข้ามระบบยืนยันตัวตนและเจาะข้อมูลจากภายใน”

    Apache Kylin ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม OLAP สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ ถูกเปิดเผยว่ามีช่องโหว่ความปลอดภัย 3 รายการที่ส่งผลกระทบต่อเวอร์ชัน 4.0.0 ถึง 5.0.2 โดยช่องโหว่เหล่านี้ได้รับการแก้ไขแล้วในเวอร์ชัน 5.0.3 แต่ก่อนหน้านั้นมีความเสี่ยงสูงต่อองค์กรที่ใช้ระบบนี้ในการวิเคราะห์ข้อมูลธุรกิจ

    ช่องโหว่แรก CVE-2025-61733 เป็นช่องโหว่ระดับ “สูง” ที่อนุญาตให้ผู้โจมตีข้ามระบบยืนยันตัวตนได้โดยใช้เส้นทางหรือช่องทางทางเลือก ซึ่งหมายความว่าแฮกเกอร์สามารถเข้าถึงข้อมูลหรือฟังก์ชันการจัดการได้โดยไม่ต้องล็อกอินเลย

    ช่องโหว่ที่สอง CVE-2025-61734 แม้จะถูกจัดเป็นระดับ “ต่ำ” แต่ก็เปิดช่องให้ผู้โจมตีที่มีสิทธิ์เข้าถึงระบบสามารถอ่านไฟล์หรือโฟลเดอร์ที่ควรถูกจำกัดไว้ได้ หากระบบไม่ได้ตั้งค่าการป้องกันสิทธิ์อย่างรัดกุม

    ช่องโหว่สุดท้าย CVE-2025-61735 เป็น Server-Side Request Forgery (SSRF) ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้โจมตีหลอกให้เซิร์ฟเวอร์ของ Kylin ส่งคำขอไปยังระบบภายในหรือภายนอกที่ไม่ได้รับอนุญาต อาจนำไปสู่การเปิดเผยข้อมูล metadata หรือใช้เป็นจุดเริ่มต้นในการโจมตีแบบ lateral movement

    Apache Software Foundation แนะนำให้ผู้ใช้ทุกคนอัปเดตเป็นเวอร์ชัน 5.0.3 โดยด่วน และหากยังไม่สามารถอัปเดตได้ ควรจำกัดการเข้าถึงเครือข่ายของ Kylin และตั้งค่าการยืนยันตัวตนให้เข้มงวดมากขึ้น

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Apache Kylin พบช่องโหว่ 3 รายการในเวอร์ชัน 4.0.0 ถึง 5.0.2
    CVE-2025-61733 เป็นช่องโหว่ Authentication Bypass ที่ร้ายแรงที่สุด
    CVE-2025-61734 เปิดช่องให้เข้าถึงไฟล์หรือโฟลเดอร์ที่ควรถูกจำกัด
    CVE-2025-61735 เป็น SSRF ที่อาจนำไปสู่การเปิดเผยข้อมูลภายใน
    ช่องโหว่ทั้งหมดได้รับการแก้ไขในเวอร์ชัน 5.0.3
    Apache แนะนำให้อัปเดตทันทีเพื่อป้องกันการโจมตี
    หากยังไม่สามารถอัปเดตได้ ควรจำกัดการเข้าถึงเครือข่ายและตั้งค่าการยืนยันตัวตนให้เข้มงวด

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Apache Kylin เป็น OLAP engine ที่ใช้ในระบบวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่แบบ real-time
    Authentication Bypass เป็นหนึ่งในช่องโหว่ที่ถูกใช้บ่อยในการเจาะระบบองค์กร
    SSRF เป็นเทคนิคที่นิยมใช้ในการเจาะระบบ cloud และ microservices
    การอัปเดตเวอร์ชันเป็นวิธีป้องกันที่มีประสิทธิภาพที่สุดในกรณีนี้
    ช่องโหว่ลักษณะนี้อาจถูกใช้ร่วมกับช่องโหว่อื่นเพื่อสร้างการโจมตีแบบซับซ้อน

    https://securityonline.info/apache-kylin-flaw-authentication-bypass-and-ssrf-vulnerabilities-found-in-big-data-platform/
    🧩 “Apache Kylin เจอช่องโหว่ 3 จุด — เสี่ยงถูกข้ามระบบยืนยันตัวตนและเจาะข้อมูลจากภายใน” Apache Kylin ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม OLAP สำหรับการวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ ถูกเปิดเผยว่ามีช่องโหว่ความปลอดภัย 3 รายการที่ส่งผลกระทบต่อเวอร์ชัน 4.0.0 ถึง 5.0.2 โดยช่องโหว่เหล่านี้ได้รับการแก้ไขแล้วในเวอร์ชัน 5.0.3 แต่ก่อนหน้านั้นมีความเสี่ยงสูงต่อองค์กรที่ใช้ระบบนี้ในการวิเคราะห์ข้อมูลธุรกิจ ช่องโหว่แรก CVE-2025-61733 เป็นช่องโหว่ระดับ “สูง” ที่อนุญาตให้ผู้โจมตีข้ามระบบยืนยันตัวตนได้โดยใช้เส้นทางหรือช่องทางทางเลือก ซึ่งหมายความว่าแฮกเกอร์สามารถเข้าถึงข้อมูลหรือฟังก์ชันการจัดการได้โดยไม่ต้องล็อกอินเลย ช่องโหว่ที่สอง CVE-2025-61734 แม้จะถูกจัดเป็นระดับ “ต่ำ” แต่ก็เปิดช่องให้ผู้โจมตีที่มีสิทธิ์เข้าถึงระบบสามารถอ่านไฟล์หรือโฟลเดอร์ที่ควรถูกจำกัดไว้ได้ หากระบบไม่ได้ตั้งค่าการป้องกันสิทธิ์อย่างรัดกุม ช่องโหว่สุดท้าย CVE-2025-61735 เป็น Server-Side Request Forgery (SSRF) ซึ่งเปิดโอกาสให้ผู้โจมตีหลอกให้เซิร์ฟเวอร์ของ Kylin ส่งคำขอไปยังระบบภายในหรือภายนอกที่ไม่ได้รับอนุญาต อาจนำไปสู่การเปิดเผยข้อมูล metadata หรือใช้เป็นจุดเริ่มต้นในการโจมตีแบบ lateral movement Apache Software Foundation แนะนำให้ผู้ใช้ทุกคนอัปเดตเป็นเวอร์ชัน 5.0.3 โดยด่วน และหากยังไม่สามารถอัปเดตได้ ควรจำกัดการเข้าถึงเครือข่ายของ Kylin และตั้งค่าการยืนยันตัวตนให้เข้มงวดมากขึ้น ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Apache Kylin พบช่องโหว่ 3 รายการในเวอร์ชัน 4.0.0 ถึง 5.0.2 ➡️ CVE-2025-61733 เป็นช่องโหว่ Authentication Bypass ที่ร้ายแรงที่สุด ➡️ CVE-2025-61734 เปิดช่องให้เข้าถึงไฟล์หรือโฟลเดอร์ที่ควรถูกจำกัด ➡️ CVE-2025-61735 เป็น SSRF ที่อาจนำไปสู่การเปิดเผยข้อมูลภายใน ➡️ ช่องโหว่ทั้งหมดได้รับการแก้ไขในเวอร์ชัน 5.0.3 ➡️ Apache แนะนำให้อัปเดตทันทีเพื่อป้องกันการโจมตี ➡️ หากยังไม่สามารถอัปเดตได้ ควรจำกัดการเข้าถึงเครือข่ายและตั้งค่าการยืนยันตัวตนให้เข้มงวด ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Apache Kylin เป็น OLAP engine ที่ใช้ในระบบวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่แบบ real-time ➡️ Authentication Bypass เป็นหนึ่งในช่องโหว่ที่ถูกใช้บ่อยในการเจาะระบบองค์กร ➡️ SSRF เป็นเทคนิคที่นิยมใช้ในการเจาะระบบ cloud และ microservices ➡️ การอัปเดตเวอร์ชันเป็นวิธีป้องกันที่มีประสิทธิภาพที่สุดในกรณีนี้ ➡️ ช่องโหว่ลักษณะนี้อาจถูกใช้ร่วมกับช่องโหว่อื่นเพื่อสร้างการโจมตีแบบซับซ้อน https://securityonline.info/apache-kylin-flaw-authentication-bypass-and-ssrf-vulnerabilities-found-in-big-data-platform/
    SECURITYONLINE.INFO
    Apache Kylin Flaw: Authentication Bypass and SSRF Vulnerabilities Found in Big Data Platform
    The Apache Software Foundation has published a new security advisory disclosing three vulnerabilities in Apache Kylin, a high-concurrency
    0 Comments 0 Shares 158 Views 0 Reviews
  • “Rhadamanthys v0.9.2 กลับมาอีกครั้ง — มัลแวร์ขโมยข้อมูลที่ฉลาดขึ้น ซ่อนตัวในไฟล์ PNG พร้อมหลบการวิเคราะห์แบบมืออาชีพ”

    มัลแวร์ Rhadamanthys Stealer ซึ่งเปิดตัวครั้งแรกในปี 2022 ได้กลับมาอีกครั้งในเวอร์ชันใหม่ v0.9.2 พร้อมความสามารถที่อันตรายและซับซ้อนมากขึ้น โดยเวอร์ชันล่าสุดนี้ถูกใช้ในแคมเปญ ClickFix และมีการปรับปรุงหลายด้านเพื่อให้หลบเลี่ยงการตรวจจับและการวิเคราะห์จากนักวิจัยด้านความปลอดภัยได้ดีขึ้น

    หนึ่งในเทคนิคใหม่ที่โดดเด่นคือการซ่อน payload ในไฟล์ภาพ PNG ที่ดู “มีสัญญาณรบกวน” ซึ่งต่างจากเวอร์ชันก่อนที่ใช้ไฟล์ WAV หรือ JPG เป็นตัวบรรจุโค้ด โดยไฟล์ PNG เหล่านี้จะบรรจุโมดูลขั้นถัดไปของมัลแวร์ไว้ภายใน ทำให้การตรวจจับด้วยเครื่องมือทั่วไปยากขึ้น

    นอกจากนี้ Rhadamanthys ยังเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ เช่น

    การตรวจสอบ sandbox ผ่าน wallpaper hash และ hardware ID
    การ inject โค้ดเข้าโปรเซสที่กำหนดไว้ล่วงหน้า
    การขยาย Lua plugin ให้รองรับการขโมยข้อมูลจากแอปกระเป๋าเงินคริปโต เช่น Ledger Live
    การเก็บข้อมูล fingerprint ของเบราว์เซอร์ผ่านโมดูล fingerprint.js เช่น WebGL, ฟอนต์ที่ติดตั้ง, และข้อมูลระบบ

    ผู้พัฒนา Rhadamanthys ยังเปิดตัวเว็บไซต์บน Tor ที่มีการรีแบรนด์ใหม่ภายใต้ชื่อ “RHAD Security” และ “Mythical Origin Labs” พร้อมขายผลิตภัณฑ์อื่น ๆ เช่น Elysium Proxy Bot และบริการเข้ารหัสข้อมูล โดยมีแพ็กเกจเริ่มต้นที่ $299 ต่อเดือน และแบบองค์กรที่ปรับแต่งได้ตามต้องการ

    นักวิจัยจาก Check Point Research ระบุว่า Rhadamanthys กำลังกลายเป็น “ธุรกิจไซเบอร์เต็มรูปแบบ” มากกว่าการเป็นโปรเจกต์ของแฮกเกอร์ทั่วไป และหากพัฒนาต่อไปในทิศทางนี้ เวอร์ชัน 1.0 อาจกลายเป็นแพลตฟอร์มมัลแวร์ที่เสถียรและทรงพลังที่สุดในกลุ่ม stealer

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Rhadamanthys Stealer v0.9.2 เปิดตัวพร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่ซับซ้อนและหลบการวิเคราะห์ได้ดีขึ้น
    ใช้ไฟล์ PNG ที่มีสัญญาณรบกวนเป็นตัวบรรจุ payload แทน WAV/JPG
    เพิ่มการตรวจสอบ sandbox ผ่าน wallpaper hash, username และ hardware ID
    รองรับ targeted process injection เพื่อหลบการป้องกันของระบบ
    ขยาย Lua plugin ให้รองรับการขโมยข้อมูลจากแอปคริปโต เช่น Ledger Live
    ใช้ fingerprint.js เพื่อเก็บข้อมูลเบราว์เซอร์และระบบ เช่น WebGL และฟอนต์
    เปิดตัวเว็บไซต์ Tor ภายใต้ชื่อ RHAD Security และ Mythical Origin Labs
    ขายผลิตภัณฑ์มัลแวร์แบบ subscription เริ่มต้นที่ $299 ต่อเดือน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Rhadamanthys เป็นมัลแวร์แบบ multi-modular ที่สามารถขโมยข้อมูลจาก VPN, 2FA, messenger และ crypto wallets
    ใช้เทคนิค anti-analysis เช่นการแสดงกล่องข้อความ “Do you want to run a malware?” หากรันในสภาพแวดล้อมที่ไม่ปลอดภัย
    ใช้ executable format แบบ XS ที่ออกแบบมาให้หลบเครื่องมือวิเคราะห์รุ่นเก่า
    config blob ถูกปรับใหม่ให้เริ่มต้นด้วย 0xBEEF แทน !RHY และรองรับหลาย C2 address
    มีการลงทุนต่อเนื่องในโครงสร้างมัลแวร์เพื่อให้ใช้งานได้ยาวนานและมีเสถียรภาพ

    https://securityonline.info/rhadamanthys-stealer-v0-9-2-drops-new-png-payloads-and-anti-analysis-tricks-make-malware-deadlier/
    🕷️ “Rhadamanthys v0.9.2 กลับมาอีกครั้ง — มัลแวร์ขโมยข้อมูลที่ฉลาดขึ้น ซ่อนตัวในไฟล์ PNG พร้อมหลบการวิเคราะห์แบบมืออาชีพ” มัลแวร์ Rhadamanthys Stealer ซึ่งเปิดตัวครั้งแรกในปี 2022 ได้กลับมาอีกครั้งในเวอร์ชันใหม่ v0.9.2 พร้อมความสามารถที่อันตรายและซับซ้อนมากขึ้น โดยเวอร์ชันล่าสุดนี้ถูกใช้ในแคมเปญ ClickFix และมีการปรับปรุงหลายด้านเพื่อให้หลบเลี่ยงการตรวจจับและการวิเคราะห์จากนักวิจัยด้านความปลอดภัยได้ดีขึ้น หนึ่งในเทคนิคใหม่ที่โดดเด่นคือการซ่อน payload ในไฟล์ภาพ PNG ที่ดู “มีสัญญาณรบกวน” ซึ่งต่างจากเวอร์ชันก่อนที่ใช้ไฟล์ WAV หรือ JPG เป็นตัวบรรจุโค้ด โดยไฟล์ PNG เหล่านี้จะบรรจุโมดูลขั้นถัดไปของมัลแวร์ไว้ภายใน ทำให้การตรวจจับด้วยเครื่องมือทั่วไปยากขึ้น นอกจากนี้ Rhadamanthys ยังเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ เช่น ⚠️ การตรวจสอบ sandbox ผ่าน wallpaper hash และ hardware ID ⚠️ การ inject โค้ดเข้าโปรเซสที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ⚠️ การขยาย Lua plugin ให้รองรับการขโมยข้อมูลจากแอปกระเป๋าเงินคริปโต เช่น Ledger Live ⚠️ การเก็บข้อมูล fingerprint ของเบราว์เซอร์ผ่านโมดูล fingerprint.js เช่น WebGL, ฟอนต์ที่ติดตั้ง, และข้อมูลระบบ ผู้พัฒนา Rhadamanthys ยังเปิดตัวเว็บไซต์บน Tor ที่มีการรีแบรนด์ใหม่ภายใต้ชื่อ “RHAD Security” และ “Mythical Origin Labs” พร้อมขายผลิตภัณฑ์อื่น ๆ เช่น Elysium Proxy Bot และบริการเข้ารหัสข้อมูล โดยมีแพ็กเกจเริ่มต้นที่ $299 ต่อเดือน และแบบองค์กรที่ปรับแต่งได้ตามต้องการ นักวิจัยจาก Check Point Research ระบุว่า Rhadamanthys กำลังกลายเป็น “ธุรกิจไซเบอร์เต็มรูปแบบ” มากกว่าการเป็นโปรเจกต์ของแฮกเกอร์ทั่วไป และหากพัฒนาต่อไปในทิศทางนี้ เวอร์ชัน 1.0 อาจกลายเป็นแพลตฟอร์มมัลแวร์ที่เสถียรและทรงพลังที่สุดในกลุ่ม stealer ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Rhadamanthys Stealer v0.9.2 เปิดตัวพร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่ซับซ้อนและหลบการวิเคราะห์ได้ดีขึ้น ➡️ ใช้ไฟล์ PNG ที่มีสัญญาณรบกวนเป็นตัวบรรจุ payload แทน WAV/JPG ➡️ เพิ่มการตรวจสอบ sandbox ผ่าน wallpaper hash, username และ hardware ID ➡️ รองรับ targeted process injection เพื่อหลบการป้องกันของระบบ ➡️ ขยาย Lua plugin ให้รองรับการขโมยข้อมูลจากแอปคริปโต เช่น Ledger Live ➡️ ใช้ fingerprint.js เพื่อเก็บข้อมูลเบราว์เซอร์และระบบ เช่น WebGL และฟอนต์ ➡️ เปิดตัวเว็บไซต์ Tor ภายใต้ชื่อ RHAD Security และ Mythical Origin Labs ➡️ ขายผลิตภัณฑ์มัลแวร์แบบ subscription เริ่มต้นที่ $299 ต่อเดือน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Rhadamanthys เป็นมัลแวร์แบบ multi-modular ที่สามารถขโมยข้อมูลจาก VPN, 2FA, messenger และ crypto wallets ➡️ ใช้เทคนิค anti-analysis เช่นการแสดงกล่องข้อความ “Do you want to run a malware?” หากรันในสภาพแวดล้อมที่ไม่ปลอดภัย ➡️ ใช้ executable format แบบ XS ที่ออกแบบมาให้หลบเครื่องมือวิเคราะห์รุ่นเก่า ➡️ config blob ถูกปรับใหม่ให้เริ่มต้นด้วย 0xBEEF แทน !RHY และรองรับหลาย C2 address ➡️ มีการลงทุนต่อเนื่องในโครงสร้างมัลแวร์เพื่อให้ใช้งานได้ยาวนานและมีเสถียรภาพ https://securityonline.info/rhadamanthys-stealer-v0-9-2-drops-new-png-payloads-and-anti-analysis-tricks-make-malware-deadlier/
    SECURITYONLINE.INFO
    Rhadamanthys Stealer v0.9.2 Drops: New PNG Payloads and Anti-Analysis Tricks Make Malware Deadlier
    Rhadamanthys stealer's v0.9.2 update adds new anti-analysis checks, a custom executable format, and uses noisy PNG files for payload delivery to bypass security tools.
    0 Comments 0 Shares 286 Views 0 Reviews
  • “Detour Dog มัลแวร์ DNS สุดแสบ — ซ่อนคำสั่งใน TXT Record หลอกเว็บทั่วโลกให้กลายเป็นฐานโจมตี”

    Infoblox และ Shadowserver ร่วมกันเปิดโปงแคมเปญมัลแวร์ระดับโลกที่ใช้ชื่อว่า “Detour Dog” ซึ่งแฮกเกอร์เบื้องหลังได้ใช้เทคนิคใหม่ในการควบคุมเว็บไซต์ที่ติดมัลแวร์ผ่านระบบ DNS โดยเฉพาะการใช้ DNS TXT records เป็นช่องทางส่งคำสั่ง (Command and Control หรือ C2) แบบลับ ๆ ที่ไม่สามารถตรวจจับได้จากฝั่งผู้ใช้งานทั่วไป

    มัลแวร์นี้ฝังตัวอยู่ในเว็บไซต์หลายหมื่นแห่งทั่วโลก โดยเว็บไซต์เหล่านี้จะส่งคำขอ DNS จากฝั่งเซิร์ฟเวอร์ไปยัง name server ที่ควบคุมโดยแฮกเกอร์ ซึ่งจะตอบกลับด้วยคำสั่งที่ซ่อนอยู่ใน TXT record เช่น redirect ผู้ใช้ไปยังหน้าโฆษณาหลอกลวง หรือแม้แต่สั่งให้เว็บไซต์รันโค้ดจากเซิร์ฟเวอร์ระยะไกล

    ตั้งแต่กลางปี 2025 Detour Dog ได้พัฒนาให้สามารถติดตั้งมัลแวร์ backdoor ชื่อ StarFish ซึ่งใช้เป็นตัวนำ Strela Stealer เข้าสู่เครื่องของผู้ใช้ โดยพบว่า 69% ของเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้ติดตั้ง StarFish อยู่ภายใต้การควบคุมของ Detour Dog

    ในเดือนสิงหาคม Shadowserver ได้ sinkhole โดเมนหลักของ Detour Dog (webdmonitor[.]io) และพบว่ามีการส่งคำขอ TXT มากกว่า 39 ล้านครั้งภายใน 48 ชั่วโมงจากเว็บไซต์ที่ติดมัลแวร์กว่า 30,000 แห่งใน 584 โดเมนระดับบน (TLD) โดยมี IP จากหน่วยงานสำคัญ เช่น กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ปรากฏอยู่ในคำขอด้วย

    แม้จะถูกปิดโดเมนหลัก แต่ Detour Dog ก็สามารถตั้งโดเมนใหม่ (aeroarrows[.]io) ได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง แสดงถึงความยืดหยุ่นและความเร็วในการฟื้นตัวของโครงสร้างมัลแวร์

    Infoblox เตือนว่า DNS ซึ่งมักถูกมองข้ามในด้านความปลอดภัย กำลังกลายเป็นช่องทางใหม่ในการกระจายมัลแวร์ และแนะนำให้องค์กรตรวจสอบ DNS TXT record อย่างละเอียด รวมถึงติดตามโดเมน redirect ที่น่าสงสัย

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Detour Dog ใช้ DNS TXT record เป็นช่องทางส่งคำสั่งควบคุมมัลแวร์ (C2)
    เว็บไซต์ที่ติดมัลแวร์จะส่งคำขอ DNS จากฝั่งเซิร์ฟเวอร์ไปยัง name server ที่ควบคุมโดยแฮกเกอร์
    คำสั่งที่ส่งกลับมาอาจเป็น redirect หรือคำสั่งให้รันโค้ดจากเซิร์ฟเวอร์ระยะไกล
    Detour Dog ใช้มัลแวร์ StarFish เป็นตัวนำ Strela Stealer เข้าสู่ระบบ
    69% ของเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้ติดตั้ง StarFish อยู่ภายใต้การควบคุมของ Detour Dog
    Shadowserver พบคำขอ TXT มากกว่า 39 ล้านครั้งใน 48 ชั่วโมงจาก 30,000 เว็บไซต์
    Detour Dog สามารถตั้งโดเมนใหม่ได้ภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังถูกปิด
    Infoblox เตือนให้องค์กรตรวจสอบ DNS TXT record และโดเมน redirect อย่างละเอียด

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    DNS TXT record เดิมใช้สำหรับเก็บข้อมูลเสริม เช่น SPF หรือ DKIM แต่ถูกนำมาใช้ส่งคำสั่งมัลแวร์
    Strela Stealer เป็นมัลแวร์ขโมยข้อมูลที่เน้นเจาะอีเมลและเบราว์เซอร์
    การ sinkhole คือการเปลี่ยนเส้นทางโดเมนมัลแวร์ไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่ควบคุมโดยนักวิจัยเพื่อเก็บข้อมูล
    Passive DNS log ช่วยให้เห็นภาพรวมของการโจมตีและการกระจายคำสั่ง
    Detour Dog อาจเป็นโครงสร้างบริการมัลแวร์ที่เปิดให้กลุ่มอื่นใช้งานร่วม

    https://securityonline.info/detour-dog-stealthy-dns-malware-uses-txt-records-for-command-and-control/
    🧠 “Detour Dog มัลแวร์ DNS สุดแสบ — ซ่อนคำสั่งใน TXT Record หลอกเว็บทั่วโลกให้กลายเป็นฐานโจมตี” Infoblox และ Shadowserver ร่วมกันเปิดโปงแคมเปญมัลแวร์ระดับโลกที่ใช้ชื่อว่า “Detour Dog” ซึ่งแฮกเกอร์เบื้องหลังได้ใช้เทคนิคใหม่ในการควบคุมเว็บไซต์ที่ติดมัลแวร์ผ่านระบบ DNS โดยเฉพาะการใช้ DNS TXT records เป็นช่องทางส่งคำสั่ง (Command and Control หรือ C2) แบบลับ ๆ ที่ไม่สามารถตรวจจับได้จากฝั่งผู้ใช้งานทั่วไป มัลแวร์นี้ฝังตัวอยู่ในเว็บไซต์หลายหมื่นแห่งทั่วโลก โดยเว็บไซต์เหล่านี้จะส่งคำขอ DNS จากฝั่งเซิร์ฟเวอร์ไปยัง name server ที่ควบคุมโดยแฮกเกอร์ ซึ่งจะตอบกลับด้วยคำสั่งที่ซ่อนอยู่ใน TXT record เช่น redirect ผู้ใช้ไปยังหน้าโฆษณาหลอกลวง หรือแม้แต่สั่งให้เว็บไซต์รันโค้ดจากเซิร์ฟเวอร์ระยะไกล ตั้งแต่กลางปี 2025 Detour Dog ได้พัฒนาให้สามารถติดตั้งมัลแวร์ backdoor ชื่อ StarFish ซึ่งใช้เป็นตัวนำ Strela Stealer เข้าสู่เครื่องของผู้ใช้ โดยพบว่า 69% ของเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้ติดตั้ง StarFish อยู่ภายใต้การควบคุมของ Detour Dog ในเดือนสิงหาคม Shadowserver ได้ sinkhole โดเมนหลักของ Detour Dog (webdmonitor[.]io) และพบว่ามีการส่งคำขอ TXT มากกว่า 39 ล้านครั้งภายใน 48 ชั่วโมงจากเว็บไซต์ที่ติดมัลแวร์กว่า 30,000 แห่งใน 584 โดเมนระดับบน (TLD) โดยมี IP จากหน่วยงานสำคัญ เช่น กระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ปรากฏอยู่ในคำขอด้วย แม้จะถูกปิดโดเมนหลัก แต่ Detour Dog ก็สามารถตั้งโดเมนใหม่ (aeroarrows[.]io) ได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง แสดงถึงความยืดหยุ่นและความเร็วในการฟื้นตัวของโครงสร้างมัลแวร์ Infoblox เตือนว่า DNS ซึ่งมักถูกมองข้ามในด้านความปลอดภัย กำลังกลายเป็นช่องทางใหม่ในการกระจายมัลแวร์ และแนะนำให้องค์กรตรวจสอบ DNS TXT record อย่างละเอียด รวมถึงติดตามโดเมน redirect ที่น่าสงสัย ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Detour Dog ใช้ DNS TXT record เป็นช่องทางส่งคำสั่งควบคุมมัลแวร์ (C2) ➡️ เว็บไซต์ที่ติดมัลแวร์จะส่งคำขอ DNS จากฝั่งเซิร์ฟเวอร์ไปยัง name server ที่ควบคุมโดยแฮกเกอร์ ➡️ คำสั่งที่ส่งกลับมาอาจเป็น redirect หรือคำสั่งให้รันโค้ดจากเซิร์ฟเวอร์ระยะไกล ➡️ Detour Dog ใช้มัลแวร์ StarFish เป็นตัวนำ Strela Stealer เข้าสู่ระบบ ➡️ 69% ของเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้ติดตั้ง StarFish อยู่ภายใต้การควบคุมของ Detour Dog ➡️ Shadowserver พบคำขอ TXT มากกว่า 39 ล้านครั้งใน 48 ชั่วโมงจาก 30,000 เว็บไซต์ ➡️ Detour Dog สามารถตั้งโดเมนใหม่ได้ภายในไม่กี่ชั่วโมงหลังถูกปิด ➡️ Infoblox เตือนให้องค์กรตรวจสอบ DNS TXT record และโดเมน redirect อย่างละเอียด ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ DNS TXT record เดิมใช้สำหรับเก็บข้อมูลเสริม เช่น SPF หรือ DKIM แต่ถูกนำมาใช้ส่งคำสั่งมัลแวร์ ➡️ Strela Stealer เป็นมัลแวร์ขโมยข้อมูลที่เน้นเจาะอีเมลและเบราว์เซอร์ ➡️ การ sinkhole คือการเปลี่ยนเส้นทางโดเมนมัลแวร์ไปยังเซิร์ฟเวอร์ที่ควบคุมโดยนักวิจัยเพื่อเก็บข้อมูล ➡️ Passive DNS log ช่วยให้เห็นภาพรวมของการโจมตีและการกระจายคำสั่ง ➡️ Detour Dog อาจเป็นโครงสร้างบริการมัลแวร์ที่เปิดให้กลุ่มอื่นใช้งานร่วม https://securityonline.info/detour-dog-stealthy-dns-malware-uses-txt-records-for-command-and-control/
    SECURITYONLINE.INFO
    Detour Dog: Stealthy DNS Malware Uses TXT Records for Command and Control
    The Detour Dog campaign is using DNS TXT records for stealthy C2, infecting thousands of websites and quickly shifting infrastructure to evade sinkholing efforts.
    0 Comments 0 Shares 241 Views 0 Reviews
  • “Django ออกแพตช์ด่วน! อุดช่องโหว่ SQL Injection ร้ายแรงใน MySQL/MariaDB พร้อมเตือนภัย Directory Traversal”

    ทีมพัฒนา Django ได้ออกอัปเดตความปลอดภัยครั้งสำคัญในวันที่ 1 ตุลาคม 2025 เพื่อแก้ไขช่องโหว่สองรายการที่ส่งผลกระทบต่อระบบฐานข้อมูลและการตั้งค่าโปรเจกต์ โดยเฉพาะช่องโหว่ CVE-2025-59681 ซึ่งถูกจัดอยู่ในระดับ “ร้ายแรง” เนื่องจากเปิดทางให้ผู้โจมตีสามารถฝังคำสั่ง SQL ผ่านฟังก์ชันยอดนิยมของ Django ORM ได้แก่ annotate(), alias(), aggregate() และ extra() เมื่อใช้งานร่วมกับฐานข้อมูล MySQL หรือ MariaDB

    ช่องโหว่นี้เกิดจากการใช้ dictionary expansion (**kwargs) ที่ไม่ผ่านการตรวจสอบอย่างเหมาะสม ทำให้ attacker สามารถส่ง key ที่มีคำสั่ง SQL แฝงเข้าไปเป็น column alias ได้โดยตรง เช่น malicious_alias; DROP TABLE users; -- ซึ่งจะถูกแปลเป็นคำสั่ง SQL และรันทันทีหากระบบไม่มีการป้องกัน

    อีกหนึ่งช่องโหว่ CVE-2025-59682 แม้จะมีความรุนแรงต่ำกว่า แต่ก็อันตรายไม่น้อย โดยเกิดจากฟังก์ชัน django.utils.archive.extract() ที่ใช้ในการสร้างโปรเจกต์หรือแอปผ่าน template ซึ่งสามารถถูกใช้เพื่อโจมตีแบบ directory traversal ได้ หากไฟล์ใน archive มี path ที่คล้ายกับโฟลเดอร์เป้าหมาย เช่น ../../config.py อาจทำให้ไฟล์สำคัญถูกเขียนทับได้

    Django ได้ออกแพตช์ในเวอร์ชัน 5.2.7, 5.1.13 และ 4.2.25 รวมถึงสาขา main และ 6.0 alpha โดยแนะนำให้ผู้ใช้ทุกคนอัปเดตทันที และสำหรับผู้ที่ยังไม่สามารถอัปเดตได้ ควรตรวจสอบโค้ดที่ใช้ฟังก์ชันดังกล่าว และหลีกเลี่ยงการใช้ template ที่ไม่ได้รับความไว้วางใจ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Django ออกแพตช์แก้ไขช่องโหว่ CVE-2025-59681 และ CVE-2025-59682
    CVE-2025-59681 เป็นช่องโหว่ SQL Injection ในฟังก์ชัน ORM เช่น annotate(), alias(), aggregate(), extra()
    ช่องโหว่นี้เกิดจากการใช้ dictionary expansion (**kwargs) ที่ไม่ผ่านการตรวจสอบ
    ส่งผลเฉพาะกับฐานข้อมูล MySQL และ MariaDB ไม่กระทบ PostgreSQL หรือ SQLite
    CVE-2025-59682 เป็นช่องโหว่ directory traversal ในฟังก์ชัน extract() ที่ใช้ใน startapp และ startproject
    Django ออกแพตช์ในเวอร์ชัน 5.2.7, 5.1.13, 4.2.25 และสาขา main/6.0 alpha
    แนะนำให้อัปเดตทันที หรือหลีกเลี่ยงการใช้ template ที่ไม่ปลอดภัย

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Django ORM เป็นหนึ่งในจุดแข็งของ framework ที่ช่วยป้องกัน SQL injection ได้ดี แต่ช่องโหว่นี้หลุดจากการตรวจสอบ alias
    การใช้ dictionary ที่มี key จาก user input เป็นความเสี่ยงที่พบได้บ่อยในระบบ dynamic query
    Directory traversal เป็นเทคนิคที่ใช้ path เช่น ../ เพื่อเข้าถึงไฟล์นอกโฟลเดอร์เป้าหมาย
    ช่องโหว่ลักษณะนี้สามารถใช้ร่วมกับ template ที่ฝังมัลแวร์เพื่อโจมตีในขั้นตอน setup
    Django มีระบบแจ้งช่องโหว่ผ่านอีเมล security@djangoproject.com เพื่อให้แก้ไขได้รวดเร็ว

    https://securityonline.info/django-security-alert-high-severity-sql-injection-flaw-cve-2025-59681-fixed-in-latest-updates/
    🛡️ “Django ออกแพตช์ด่วน! อุดช่องโหว่ SQL Injection ร้ายแรงใน MySQL/MariaDB พร้อมเตือนภัย Directory Traversal” ทีมพัฒนา Django ได้ออกอัปเดตความปลอดภัยครั้งสำคัญในวันที่ 1 ตุลาคม 2025 เพื่อแก้ไขช่องโหว่สองรายการที่ส่งผลกระทบต่อระบบฐานข้อมูลและการตั้งค่าโปรเจกต์ โดยเฉพาะช่องโหว่ CVE-2025-59681 ซึ่งถูกจัดอยู่ในระดับ “ร้ายแรง” เนื่องจากเปิดทางให้ผู้โจมตีสามารถฝังคำสั่ง SQL ผ่านฟังก์ชันยอดนิยมของ Django ORM ได้แก่ annotate(), alias(), aggregate() และ extra() เมื่อใช้งานร่วมกับฐานข้อมูล MySQL หรือ MariaDB ช่องโหว่นี้เกิดจากการใช้ dictionary expansion (**kwargs) ที่ไม่ผ่านการตรวจสอบอย่างเหมาะสม ทำให้ attacker สามารถส่ง key ที่มีคำสั่ง SQL แฝงเข้าไปเป็น column alias ได้โดยตรง เช่น malicious_alias; DROP TABLE users; -- ซึ่งจะถูกแปลเป็นคำสั่ง SQL และรันทันทีหากระบบไม่มีการป้องกัน อีกหนึ่งช่องโหว่ CVE-2025-59682 แม้จะมีความรุนแรงต่ำกว่า แต่ก็อันตรายไม่น้อย โดยเกิดจากฟังก์ชัน django.utils.archive.extract() ที่ใช้ในการสร้างโปรเจกต์หรือแอปผ่าน template ซึ่งสามารถถูกใช้เพื่อโจมตีแบบ directory traversal ได้ หากไฟล์ใน archive มี path ที่คล้ายกับโฟลเดอร์เป้าหมาย เช่น ../../config.py อาจทำให้ไฟล์สำคัญถูกเขียนทับได้ Django ได้ออกแพตช์ในเวอร์ชัน 5.2.7, 5.1.13 และ 4.2.25 รวมถึงสาขา main และ 6.0 alpha โดยแนะนำให้ผู้ใช้ทุกคนอัปเดตทันที และสำหรับผู้ที่ยังไม่สามารถอัปเดตได้ ควรตรวจสอบโค้ดที่ใช้ฟังก์ชันดังกล่าว และหลีกเลี่ยงการใช้ template ที่ไม่ได้รับความไว้วางใจ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Django ออกแพตช์แก้ไขช่องโหว่ CVE-2025-59681 และ CVE-2025-59682 ➡️ CVE-2025-59681 เป็นช่องโหว่ SQL Injection ในฟังก์ชัน ORM เช่น annotate(), alias(), aggregate(), extra() ➡️ ช่องโหว่นี้เกิดจากการใช้ dictionary expansion (**kwargs) ที่ไม่ผ่านการตรวจสอบ ➡️ ส่งผลเฉพาะกับฐานข้อมูล MySQL และ MariaDB ไม่กระทบ PostgreSQL หรือ SQLite ➡️ CVE-2025-59682 เป็นช่องโหว่ directory traversal ในฟังก์ชัน extract() ที่ใช้ใน startapp และ startproject ➡️ Django ออกแพตช์ในเวอร์ชัน 5.2.7, 5.1.13, 4.2.25 และสาขา main/6.0 alpha ➡️ แนะนำให้อัปเดตทันที หรือหลีกเลี่ยงการใช้ template ที่ไม่ปลอดภัย ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Django ORM เป็นหนึ่งในจุดแข็งของ framework ที่ช่วยป้องกัน SQL injection ได้ดี แต่ช่องโหว่นี้หลุดจากการตรวจสอบ alias ➡️ การใช้ dictionary ที่มี key จาก user input เป็นความเสี่ยงที่พบได้บ่อยในระบบ dynamic query ➡️ Directory traversal เป็นเทคนิคที่ใช้ path เช่น ../ เพื่อเข้าถึงไฟล์นอกโฟลเดอร์เป้าหมาย ➡️ ช่องโหว่ลักษณะนี้สามารถใช้ร่วมกับ template ที่ฝังมัลแวร์เพื่อโจมตีในขั้นตอน setup ➡️ Django มีระบบแจ้งช่องโหว่ผ่านอีเมล security@djangoproject.com เพื่อให้แก้ไขได้รวดเร็ว https://securityonline.info/django-security-alert-high-severity-sql-injection-flaw-cve-2025-59681-fixed-in-latest-updates/
    SECURITYONLINE.INFO
    Django Security Alert: High-Severity SQL Injection Flaw (CVE-2025-59681) Fixed in Latest Updates
    The Django team released urgent updates (v5.2.7, 5.1.13, 4.2.25) to fix a High-severity SQL Injection flaw (CVE-2025-59681) affecting QuerySet methods in MySQL/MariaDB.
    0 Comments 0 Shares 276 Views 0 Reviews
  • “Splunk ออกแพตช์อุด 6 ช่องโหว่ร้ายแรง — SSRF, XSS, XXE และ DoS ครบสูตรในแพลตฟอร์ม Enterprise และ Cloud”

    Splunk ได้ออกชุดแพตช์ความปลอดภัยในวันที่ 2 ตุลาคม 2025 เพื่อแก้ไขช่องโหว่รวม 6 รายการใน Splunk Enterprise และ Splunk Cloud Platform โดยช่องโหว่เหล่านี้มีตั้งแต่ระดับกลางไปจนถึงระดับสูง และครอบคลุมทั้งการควบคุมสิทธิ์ที่ผิดพลาด, การโจมตีแบบ cross-site scripting (XSS), XML injection, denial-of-service (DoS) และ server-side request forgery (SSRF) ที่ไม่ต้องยืนยันตัวตน

    ช่องโหว่ที่ร้ายแรงที่สุดคือ CVE-2025-20371 ซึ่งเป็น blind SSRF ที่เปิดทางให้ผู้โจมตีภายนอกสามารถสั่ง REST API แทนผู้ใช้ที่มีสิทธิ์สูงได้ โดยไม่ต้องล็อกอินเลย หากระบบเปิดใช้งานการตั้งค่า enableSplunkWebClientNetloc และเหยื่อถูกหลอกให้คลิกลิงก์ที่ฝังคำสั่งไว้

    อีกช่องโหว่ที่น่ากังวลคือ CVE-2025-20366 ซึ่งอนุญาตให้ผู้ใช้สิทธิ์ต่ำสามารถเข้าถึงผลการค้นหาที่ควรเป็นของผู้ดูแลระบบได้ หากสามารถเดา Search ID (SID) ของ job ที่รันอยู่เบื้องหลังได้ถูกต้อง

    ช่องโหว่อื่น ๆ ได้แก่

    Reflected XSS ผ่านพารามิเตอร์ dataset.command
    Stored XSS ใน error message ของ saved search
    XXE injection ผ่าน dashboard tab label
    DoS จากการส่ง LDAP bind request จำนวนมากโดยผู้ใช้ที่มีสิทธิ์เปลี่ยนการยืนยันตัวตน

    Splunk แนะนำให้ผู้ใช้ทุกคนอัปเดตเป็นเวอร์ชันล่าสุดทันที ได้แก่ 9.4.4, 9.3.6, 9.2.8 หรือ 10.0.1 ขึ้นไป และสำหรับผู้ใช้ Splunk Cloud ให้ตรวจสอบว่าได้รับ hotfix แล้วหรือยัง รวมถึงตั้งค่า enableSplunkWebClientNetloc ให้เป็น false หากไม่จำเป็นต้องใช้งาน

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Splunk ออกแพตช์แก้ไขช่องโหว่ 6 รายการใน Enterprise และ Cloud Platform
    CVE-2025-20371 เป็น blind SSRF ที่ไม่ต้องยืนยันตัวตน และสามารถสั่ง REST API แทนผู้ใช้สิทธิ์สูง
    ช่องโหว่นี้เกิดขึ้นเมื่อเปิดใช้งาน enableSplunkWebClientNetloc และเหยื่อถูกหลอกให้คลิกลิงก์
    CVE-2025-20366 เป็น improper access control ที่เปิดให้ผู้ใช้สิทธิ์ต่ำเข้าถึงผลการค้นหา
    CVE-2025-20367 และ CVE-2025-20368 เป็น XSS แบบ reflected และ stored ตามลำดับ
    CVE-2025-20369 เป็น XXE injection ผ่าน dashboard tab label
    CVE-2025-20370 เป็น DoS จาก LDAP bind request จำนวนมาก
    แนะนำให้อัปเดตเป็นเวอร์ชัน 9.4.4, 9.3.6, 9.2.8 หรือ 10.0.1 ขึ้นไป
    ผู้ใช้ Splunk Cloud ควรตรวจสอบว่าได้รับ hotfix แล้วหรือยัง

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    SSRF เป็นเทคนิคที่ใช้เซิร์ฟเวอร์เป็นตัวกลางในการส่งคำขอไปยังระบบภายในหรือ API ที่ควบคุมโดย attacker
    XXE injection สามารถใช้เพื่ออ่านไฟล์ภายในเซิร์ฟเวอร์หรือทำให้ระบบล่ม
    LDAP bind request ที่มากเกินไปสามารถทำให้ CPU พุ่งสูงและระบบหยุดทำงาน
    XSS เป็นช่องโหว่ที่ใช้ฝัง JavaScript เพื่อขโมย session หรือหลอกผู้ใช้
    การเดา Search ID (SID) เป็นเทคนิคที่ใช้ brute-force หรือการวิเคราะห์ pattern ของระบบ

    https://securityonline.info/splunk-fixes-six-flaws-including-unauthenticated-ssrf-and-xss-vulnerabilities-in-enterprise-platform/
    🧨 “Splunk ออกแพตช์อุด 6 ช่องโหว่ร้ายแรง — SSRF, XSS, XXE และ DoS ครบสูตรในแพลตฟอร์ม Enterprise และ Cloud” Splunk ได้ออกชุดแพตช์ความปลอดภัยในวันที่ 2 ตุลาคม 2025 เพื่อแก้ไขช่องโหว่รวม 6 รายการใน Splunk Enterprise และ Splunk Cloud Platform โดยช่องโหว่เหล่านี้มีตั้งแต่ระดับกลางไปจนถึงระดับสูง และครอบคลุมทั้งการควบคุมสิทธิ์ที่ผิดพลาด, การโจมตีแบบ cross-site scripting (XSS), XML injection, denial-of-service (DoS) และ server-side request forgery (SSRF) ที่ไม่ต้องยืนยันตัวตน ช่องโหว่ที่ร้ายแรงที่สุดคือ CVE-2025-20371 ซึ่งเป็น blind SSRF ที่เปิดทางให้ผู้โจมตีภายนอกสามารถสั่ง REST API แทนผู้ใช้ที่มีสิทธิ์สูงได้ โดยไม่ต้องล็อกอินเลย หากระบบเปิดใช้งานการตั้งค่า enableSplunkWebClientNetloc และเหยื่อถูกหลอกให้คลิกลิงก์ที่ฝังคำสั่งไว้ อีกช่องโหว่ที่น่ากังวลคือ CVE-2025-20366 ซึ่งอนุญาตให้ผู้ใช้สิทธิ์ต่ำสามารถเข้าถึงผลการค้นหาที่ควรเป็นของผู้ดูแลระบบได้ หากสามารถเดา Search ID (SID) ของ job ที่รันอยู่เบื้องหลังได้ถูกต้อง ช่องโหว่อื่น ๆ ได้แก่ ⚠️ Reflected XSS ผ่านพารามิเตอร์ dataset.command ⚠️ Stored XSS ใน error message ของ saved search ⚠️ XXE injection ผ่าน dashboard tab label ⚠️ DoS จากการส่ง LDAP bind request จำนวนมากโดยผู้ใช้ที่มีสิทธิ์เปลี่ยนการยืนยันตัวตน Splunk แนะนำให้ผู้ใช้ทุกคนอัปเดตเป็นเวอร์ชันล่าสุดทันที ได้แก่ 9.4.4, 9.3.6, 9.2.8 หรือ 10.0.1 ขึ้นไป และสำหรับผู้ใช้ Splunk Cloud ให้ตรวจสอบว่าได้รับ hotfix แล้วหรือยัง รวมถึงตั้งค่า enableSplunkWebClientNetloc ให้เป็น false หากไม่จำเป็นต้องใช้งาน ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Splunk ออกแพตช์แก้ไขช่องโหว่ 6 รายการใน Enterprise และ Cloud Platform ➡️ CVE-2025-20371 เป็น blind SSRF ที่ไม่ต้องยืนยันตัวตน และสามารถสั่ง REST API แทนผู้ใช้สิทธิ์สูง ➡️ ช่องโหว่นี้เกิดขึ้นเมื่อเปิดใช้งาน enableSplunkWebClientNetloc และเหยื่อถูกหลอกให้คลิกลิงก์ ➡️ CVE-2025-20366 เป็น improper access control ที่เปิดให้ผู้ใช้สิทธิ์ต่ำเข้าถึงผลการค้นหา ➡️ CVE-2025-20367 และ CVE-2025-20368 เป็น XSS แบบ reflected และ stored ตามลำดับ ➡️ CVE-2025-20369 เป็น XXE injection ผ่าน dashboard tab label ➡️ CVE-2025-20370 เป็น DoS จาก LDAP bind request จำนวนมาก ➡️ แนะนำให้อัปเดตเป็นเวอร์ชัน 9.4.4, 9.3.6, 9.2.8 หรือ 10.0.1 ขึ้นไป ➡️ ผู้ใช้ Splunk Cloud ควรตรวจสอบว่าได้รับ hotfix แล้วหรือยัง ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ SSRF เป็นเทคนิคที่ใช้เซิร์ฟเวอร์เป็นตัวกลางในการส่งคำขอไปยังระบบภายในหรือ API ที่ควบคุมโดย attacker ➡️ XXE injection สามารถใช้เพื่ออ่านไฟล์ภายในเซิร์ฟเวอร์หรือทำให้ระบบล่ม ➡️ LDAP bind request ที่มากเกินไปสามารถทำให้ CPU พุ่งสูงและระบบหยุดทำงาน ➡️ XSS เป็นช่องโหว่ที่ใช้ฝัง JavaScript เพื่อขโมย session หรือหลอกผู้ใช้ ➡️ การเดา Search ID (SID) เป็นเทคนิคที่ใช้ brute-force หรือการวิเคราะห์ pattern ของระบบ https://securityonline.info/splunk-fixes-six-flaws-including-unauthenticated-ssrf-and-xss-vulnerabilities-in-enterprise-platform/
    SECURITYONLINE.INFO
    Splunk Fixes Six Flaws, Including Unauthenticated SSRF and XSS Vulnerabilities in Enterprise Platform
    Splunk issued patches for six flaws, including a High-severity blind SSRF (CVE-2025-20371) and XSS issues that could allow attackers to access sensitive data and crash the platform.
    0 Comments 0 Shares 198 Views 0 Reviews
  • “TOTOLINK X6000R เจอช่องโหว่ร้ายแรง! แฮกเกอร์เจาะระบบได้ทันทีโดยไม่ต้องล็อกอิน”

    นักวิจัยจาก Unit 42 ของ Palo Alto Networks เปิดเผยช่องโหว่ความปลอดภัยระดับ “วิกฤต” ในเราเตอร์ TOTOLINK X6000R ซึ่งใช้เฟิร์มแวร์เวอร์ชัน V9.4.0cu.1360_B20241207 โดยช่องโหว่นี้เปิดทางให้ผู้โจมตีสามารถเข้าควบคุมอุปกรณ์จากระยะไกลได้โดยไม่ต้องยืนยันตัวตนเลย

    ช่องโหว่หลัก CVE-2025-52906 เกิดจากฟังก์ชัน setEasyMeshAgentCfg ที่ไม่ตรวจสอบค่าพารามิเตอร์ agentName อย่างเหมาะสม ทำให้แฮกเกอร์สามารถฝังคำสั่งระบบ (command injection) เข้าไปได้โดยตรง และรันด้วยสิทธิ์ root ซึ่งหมายความว่าแฮกเกอร์สามารถ:

    ดักฟังข้อมูลในเครือข่าย
    เจาะไปยังอุปกรณ์อื่นในเครือข่ายเดียวกัน
    ติดตั้งมัลแวร์แบบถาวรในเราเตอร์

    นอกจากนี้ยังมีอีกสองช่องโหว่ที่ถูกค้นพบในเฟิร์มแวร์เดียวกัน ได้แก่:

    CVE-2025-52905: ช่องโหว่ argument injection ที่เกิดจากการกรอง input ไม่สมบูรณ์ โดยไม่กรองเครื่องหมาย “-” ทำให้สามารถโจมตีแบบ DoS ได้
    CVE-2025-52907: ช่องโหว่ security bypass ที่เปิดทางให้เขียนไฟล์ระบบโดยไม่ต้องล็อกอิน เช่น แก้ไขไฟล์ /etc/passwd เพื่อสร้างผู้ใช้ใหม่ หรือเปลี่ยน boot script เพื่อฝังมัลแวร์ถาวร

    TOTOLINK ได้ออกแพตช์แก้ไขแล้วในเฟิร์มแวร์เวอร์ชัน V9.4.0cu.1498_B20250826 และแนะนำให้ผู้ใช้ทุกคนอัปเดตทันทีเพื่อป้องกันการถูกโจมตี

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    TOTOLINK X6000R พบช่องโหว่ร้ายแรง 3 รายการในเฟิร์มแวร์ V9.4.0cu.1360_B20241207
    CVE-2025-52906 เป็นช่องโหว่ command injection ที่ไม่ต้องล็อกอินและรันคำสั่งด้วยสิทธิ์ root
    ช่องโหว่นี้อยู่ในฟังก์ชัน setEasyMeshAgentCfg ที่ไม่ตรวจสอบ agentName
    CVE-2025-52905 เป็น argument injection ที่เกิดจากการไม่กรองเครื่องหมาย “-”
    CVE-2025-52907 เป็นช่องโหว่ security bypass ที่เปิดทางให้เขียนไฟล์ระบบโดยไม่ต้องล็อกอิน
    TOTOLINK ออกแพตช์แก้ไขในเวอร์ชัน V9.4.0cu.1498_B20250826
    ผู้ใช้ควรอัปเดตเฟิร์มแวร์ทันทีเพื่อป้องกันการถูกโจมตี

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Command injection เป็นหนึ่งในช่องโหว่ที่อันตรายที่สุด เพราะสามารถควบคุมระบบได้เต็มรูปแบบ
    การเขียนไฟล์ระบบ เช่น /etc/passwd เป็นเทคนิคที่ใช้ในการสร้างผู้ใช้ปลอมเพื่อควบคุมอุปกรณ์
    การโจมตีแบบ DoS ผ่าน argument injection สามารถทำให้เราเตอร์ล่มหรือหยุดให้บริการ
    TOTOLINK เป็นแบรนด์ที่มีการใช้งานแพร่หลายทั่วโลก โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้ตามบ้านและ SME
    การอัปเดตเฟิร์มแวร์เป็นวิธีป้องกันที่มีประสิทธิภาพที่สุดสำหรับอุปกรณ์ IoT

    https://securityonline.info/critical-flaw-cve-2025-52906-cvss-9-3-allows-unauthenticated-rce-on-totolink-x6000r-routers/
    📡 “TOTOLINK X6000R เจอช่องโหว่ร้ายแรง! แฮกเกอร์เจาะระบบได้ทันทีโดยไม่ต้องล็อกอิน” นักวิจัยจาก Unit 42 ของ Palo Alto Networks เปิดเผยช่องโหว่ความปลอดภัยระดับ “วิกฤต” ในเราเตอร์ TOTOLINK X6000R ซึ่งใช้เฟิร์มแวร์เวอร์ชัน V9.4.0cu.1360_B20241207 โดยช่องโหว่นี้เปิดทางให้ผู้โจมตีสามารถเข้าควบคุมอุปกรณ์จากระยะไกลได้โดยไม่ต้องยืนยันตัวตนเลย ช่องโหว่หลัก CVE-2025-52906 เกิดจากฟังก์ชัน setEasyMeshAgentCfg ที่ไม่ตรวจสอบค่าพารามิเตอร์ agentName อย่างเหมาะสม ทำให้แฮกเกอร์สามารถฝังคำสั่งระบบ (command injection) เข้าไปได้โดยตรง และรันด้วยสิทธิ์ root ซึ่งหมายความว่าแฮกเกอร์สามารถ: ⚠️ ดักฟังข้อมูลในเครือข่าย ⚠️ เจาะไปยังอุปกรณ์อื่นในเครือข่ายเดียวกัน ⚠️ ติดตั้งมัลแวร์แบบถาวรในเราเตอร์ นอกจากนี้ยังมีอีกสองช่องโหว่ที่ถูกค้นพบในเฟิร์มแวร์เดียวกัน ได้แก่: ⚠️ CVE-2025-52905: ช่องโหว่ argument injection ที่เกิดจากการกรอง input ไม่สมบูรณ์ โดยไม่กรองเครื่องหมาย “-” ทำให้สามารถโจมตีแบบ DoS ได้ ⚠️ CVE-2025-52907: ช่องโหว่ security bypass ที่เปิดทางให้เขียนไฟล์ระบบโดยไม่ต้องล็อกอิน เช่น แก้ไขไฟล์ /etc/passwd เพื่อสร้างผู้ใช้ใหม่ หรือเปลี่ยน boot script เพื่อฝังมัลแวร์ถาวร TOTOLINK ได้ออกแพตช์แก้ไขแล้วในเฟิร์มแวร์เวอร์ชัน V9.4.0cu.1498_B20250826 และแนะนำให้ผู้ใช้ทุกคนอัปเดตทันทีเพื่อป้องกันการถูกโจมตี ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ TOTOLINK X6000R พบช่องโหว่ร้ายแรง 3 รายการในเฟิร์มแวร์ V9.4.0cu.1360_B20241207 ➡️ CVE-2025-52906 เป็นช่องโหว่ command injection ที่ไม่ต้องล็อกอินและรันคำสั่งด้วยสิทธิ์ root ➡️ ช่องโหว่นี้อยู่ในฟังก์ชัน setEasyMeshAgentCfg ที่ไม่ตรวจสอบ agentName ➡️ CVE-2025-52905 เป็น argument injection ที่เกิดจากการไม่กรองเครื่องหมาย “-” ➡️ CVE-2025-52907 เป็นช่องโหว่ security bypass ที่เปิดทางให้เขียนไฟล์ระบบโดยไม่ต้องล็อกอิน ➡️ TOTOLINK ออกแพตช์แก้ไขในเวอร์ชัน V9.4.0cu.1498_B20250826 ➡️ ผู้ใช้ควรอัปเดตเฟิร์มแวร์ทันทีเพื่อป้องกันการถูกโจมตี ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Command injection เป็นหนึ่งในช่องโหว่ที่อันตรายที่สุด เพราะสามารถควบคุมระบบได้เต็มรูปแบบ ➡️ การเขียนไฟล์ระบบ เช่น /etc/passwd เป็นเทคนิคที่ใช้ในการสร้างผู้ใช้ปลอมเพื่อควบคุมอุปกรณ์ ➡️ การโจมตีแบบ DoS ผ่าน argument injection สามารถทำให้เราเตอร์ล่มหรือหยุดให้บริการ ➡️ TOTOLINK เป็นแบรนด์ที่มีการใช้งานแพร่หลายทั่วโลก โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ใช้ตามบ้านและ SME ➡️ การอัปเดตเฟิร์มแวร์เป็นวิธีป้องกันที่มีประสิทธิภาพที่สุดสำหรับอุปกรณ์ IoT https://securityonline.info/critical-flaw-cve-2025-52906-cvss-9-3-allows-unauthenticated-rce-on-totolink-x6000r-routers/
    SECURITYONLINE.INFO
    Critical Flaw CVE-2025-52906 (CVSS 9.3) Allows Unauthenticated RCE on TOTOLINK X6000R Routers
    Unit 42 disclosed a Critical unauthenticated RCE flaw (CVE-2025-52906) in TOTOLINK X6000R routers, allowing remote attackers to execute arbitrary commands. Update immediately.
    0 Comments 0 Shares 188 Views 0 Reviews
  • “กองทัพออสเตรียเลิกใช้ Microsoft Office — หันใช้ LibreOffice เพื่ออธิปไตยดิจิทัลและความปลอดภัยข้อมูล”

    ในยุคที่รัฐบาลยุโรปเริ่มตั้งคำถามกับการพึ่งพาซอฟต์แวร์จากบริษัทอเมริกัน กองทัพออสเตรีย (Bundesheer) ได้ตัดสินใจครั้งสำคัญในการยุติการใช้งาน Microsoft Office บนเครื่องคอมพิวเตอร์กว่า 16,000 เครื่อง และเปลี่ยนมาใช้ LibreOffice ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สแทน

    การเปลี่ยนผ่านนี้ไม่ได้เกิดขึ้นทันที แต่เริ่มวางแผนมาตั้งแต่ปี 2020 เมื่อ Microsoft Office เริ่มบังคับให้ใช้งานผ่านระบบคลาวด์ ซึ่งสร้างความกังวลด้านความมั่นคงของข้อมูล กองทัพออสเตรียจึงเลือกที่จะควบคุมข้อมูลไว้ภายในประเทศ โดยไม่ต้องพึ่งพาเซิร์ฟเวอร์ของบริษัทต่างชาติ

    ในปี 2022 กองทัพเริ่มให้เจ้าหน้าที่ทดลองใช้ LibreOffice และฝึกอบรมทีมพัฒนาเพื่อปรับแต่งซอฟต์แวร์ให้เหมาะกับการใช้งานจริง ต่อมาในปี 2023 ได้ร่วมมือกับบริษัทเยอรมันเพื่อสนับสนุนด้านเทคนิค และในปี 2025 ก็ได้ถอดถอน Microsoft Office 2016 ออกจากระบบทั้งหมด โดยมีข้อยกเว้นเพียงบางหน่วยงานที่ยังใช้ Microsoft Office 2024 LTSC หรือ Access สำหรับงานเฉพาะทาง

    สิ่งที่น่าสนใจคือ กองทัพออสเตรียไม่ได้แค่ใช้ LibreOffice แต่ยังร่วมพัฒนาและส่งฟีเจอร์กลับคืนสู่ชุมชนโอเพ่นซอร์ส โดยมีการลงทุนเทียบเท่ากับเวลาพัฒนา 5 ปีเต็ม ฟีเจอร์ที่เพิ่มเข้ามา เช่น การจัดการ metadata, รูปแบบลิสต์ที่ดีขึ้น และการนำเสนอแบบมืออาชีพ

    การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงแนวโน้มของยุโรปที่ต้องการ “อธิปไตยดิจิทัล” (digital sovereignty) เพื่อปกป้องข้อมูลสำคัญจากการเข้าถึงโดยต่างชาติ โดยเฉพาะในยุคที่ความมั่นคงไซเบอร์กลายเป็นเรื่องระดับชาติ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    กองทัพออสเตรียย้ายจาก Microsoft Office ไปใช้ LibreOffice บนเครื่องกว่า 16,000 เครื่อง
    เริ่มวางแผนตั้งแต่ปี 2020 และดำเนินการจริงในช่วง 2022–2025
    เหตุผลหลักคืออธิปไตยดิจิทัล ไม่ใช่การลดค่าใช้จ่าย
    Microsoft Office 2016 ถูกถอดออกทั้งหมด ยกเว้นบางหน่วยงานที่ยังใช้ LTSC หรือ Access
    กองทัพร่วมพัฒนา LibreOffice และส่งฟีเจอร์กลับสู่ชุมชนโอเพ่นซอร์ส
    ฟีเจอร์ที่เพิ่มเข้ามา เช่น การจัดการ metadata, รูปแบบลิสต์ และการนำเสนอ
    ใช้เซิร์ฟเวอร์ Linux และ Samba อยู่แล้ว ทำให้การเปลี่ยนผ่านง่ายขึ้น

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    หลายประเทศในยุโรป เช่น เยอรมนี เดนมาร์ก และฝรั่งเศส ก็เริ่มลดการพึ่งพา Microsoft
    LibreOffice เป็นหนึ่งในโอเพ่นซอร์สที่ได้รับความนิยมสูงสุดในภาครัฐ
    แนวคิด digital sovereignty คือการควบคุมข้อมูลภายในประเทศโดยไม่พึ่งพาบริษัทต่างชาติ
    Nextcloud จากเยอรมนี ก็เปิดตัวบริการคลาวด์แบบอธิปไตยเพื่อแข่งกับ Microsoft 365 และ Google Workspace
    การลงทุนในโอเพ่นซอร์สช่วยให้ประเทศมีความยืดหยุ่นและลดความเสี่ยงด้านความมั่นคง

    https://news.itsfoss.com/austrian-forces-ditch-microsoft-office/
    🇦🇹 “กองทัพออสเตรียเลิกใช้ Microsoft Office — หันใช้ LibreOffice เพื่ออธิปไตยดิจิทัลและความปลอดภัยข้อมูล” ในยุคที่รัฐบาลยุโรปเริ่มตั้งคำถามกับการพึ่งพาซอฟต์แวร์จากบริษัทอเมริกัน กองทัพออสเตรีย (Bundesheer) ได้ตัดสินใจครั้งสำคัญในการยุติการใช้งาน Microsoft Office บนเครื่องคอมพิวเตอร์กว่า 16,000 เครื่อง และเปลี่ยนมาใช้ LibreOffice ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สแทน การเปลี่ยนผ่านนี้ไม่ได้เกิดขึ้นทันที แต่เริ่มวางแผนมาตั้งแต่ปี 2020 เมื่อ Microsoft Office เริ่มบังคับให้ใช้งานผ่านระบบคลาวด์ ซึ่งสร้างความกังวลด้านความมั่นคงของข้อมูล กองทัพออสเตรียจึงเลือกที่จะควบคุมข้อมูลไว้ภายในประเทศ โดยไม่ต้องพึ่งพาเซิร์ฟเวอร์ของบริษัทต่างชาติ ในปี 2022 กองทัพเริ่มให้เจ้าหน้าที่ทดลองใช้ LibreOffice และฝึกอบรมทีมพัฒนาเพื่อปรับแต่งซอฟต์แวร์ให้เหมาะกับการใช้งานจริง ต่อมาในปี 2023 ได้ร่วมมือกับบริษัทเยอรมันเพื่อสนับสนุนด้านเทคนิค และในปี 2025 ก็ได้ถอดถอน Microsoft Office 2016 ออกจากระบบทั้งหมด โดยมีข้อยกเว้นเพียงบางหน่วยงานที่ยังใช้ Microsoft Office 2024 LTSC หรือ Access สำหรับงานเฉพาะทาง สิ่งที่น่าสนใจคือ กองทัพออสเตรียไม่ได้แค่ใช้ LibreOffice แต่ยังร่วมพัฒนาและส่งฟีเจอร์กลับคืนสู่ชุมชนโอเพ่นซอร์ส โดยมีการลงทุนเทียบเท่ากับเวลาพัฒนา 5 ปีเต็ม ฟีเจอร์ที่เพิ่มเข้ามา เช่น การจัดการ metadata, รูปแบบลิสต์ที่ดีขึ้น และการนำเสนอแบบมืออาชีพ การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงแนวโน้มของยุโรปที่ต้องการ “อธิปไตยดิจิทัล” (digital sovereignty) เพื่อปกป้องข้อมูลสำคัญจากการเข้าถึงโดยต่างชาติ โดยเฉพาะในยุคที่ความมั่นคงไซเบอร์กลายเป็นเรื่องระดับชาติ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ กองทัพออสเตรียย้ายจาก Microsoft Office ไปใช้ LibreOffice บนเครื่องกว่า 16,000 เครื่อง ➡️ เริ่มวางแผนตั้งแต่ปี 2020 และดำเนินการจริงในช่วง 2022–2025 ➡️ เหตุผลหลักคืออธิปไตยดิจิทัล ไม่ใช่การลดค่าใช้จ่าย ➡️ Microsoft Office 2016 ถูกถอดออกทั้งหมด ยกเว้นบางหน่วยงานที่ยังใช้ LTSC หรือ Access ➡️ กองทัพร่วมพัฒนา LibreOffice และส่งฟีเจอร์กลับสู่ชุมชนโอเพ่นซอร์ส ➡️ ฟีเจอร์ที่เพิ่มเข้ามา เช่น การจัดการ metadata, รูปแบบลิสต์ และการนำเสนอ ➡️ ใช้เซิร์ฟเวอร์ Linux และ Samba อยู่แล้ว ทำให้การเปลี่ยนผ่านง่ายขึ้น ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ หลายประเทศในยุโรป เช่น เยอรมนี เดนมาร์ก และฝรั่งเศส ก็เริ่มลดการพึ่งพา Microsoft ➡️ LibreOffice เป็นหนึ่งในโอเพ่นซอร์สที่ได้รับความนิยมสูงสุดในภาครัฐ ➡️ แนวคิด digital sovereignty คือการควบคุมข้อมูลภายในประเทศโดยไม่พึ่งพาบริษัทต่างชาติ ➡️ Nextcloud จากเยอรมนี ก็เปิดตัวบริการคลาวด์แบบอธิปไตยเพื่อแข่งกับ Microsoft 365 และ Google Workspace ➡️ การลงทุนในโอเพ่นซอร์สช่วยให้ประเทศมีความยืดหยุ่นและลดความเสี่ยงด้านความมั่นคง https://news.itsfoss.com/austrian-forces-ditch-microsoft-office/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    Austria's Armed Forces Gets Rid of Microsoft Office (Mostly) for LibreOffice
    The Austrian military prioritizes independence over convenience.
    0 Comments 0 Shares 258 Views 0 Reviews
  • ผบ.ทอ.คนใหม่พูดแบบนี้ เอาหัวใจคนไทยไปได้เลย (2/10/68)

    #ThaiTimes
    #News1
    #News1short
    #TruthFromThailand
    #shorts
    #ผบทอ
    #กองทัพอากาศ
    #กองทัพไทย
    ผบ.ทอ.คนใหม่พูดแบบนี้ เอาหัวใจคนไทยไปได้เลย (2/10/68) #ThaiTimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #ผบทอ #กองทัพอากาศ #กองทัพไทย
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 126 Views 0 0 Reviews
  • “Jane Goodall เสียชีวิตในวัย 91 — นักวิทยาศาสตร์ผู้เปลี่ยนความเข้าใจของมนุษย์ต่อสัตว์โลก”

    Jane Goodall นักธรรมชาติวิทยาและนักอนุรักษ์ชื่อดังระดับโลก ได้เสียชีวิตอย่างสงบในรัฐแคลิฟอร์เนียเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2025 ขณะอยู่ระหว่างการเดินสายบรรยายในสหรัฐฯ เธอจากไปในวัย 91 ปี โดยสถาบัน Jane Goodall Institute ได้ประกาศข่าวผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย พร้อมยกย่องว่า “การค้นพบของเธอได้พลิกโฉมวิทยาศาสตร์ และการอุทิศตนเพื่อธรรมชาติคือแรงบันดาลใจให้คนทั่วโลก”

    Goodall เริ่มต้นเส้นทางวิทยาศาสตร์โดยไม่มีวุฒิการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย แต่ด้วยความหลงใหลในสัตว์และธรรมชาติ เธอเดินทางไปเคนยาในปี 1957 และได้พบกับนักมานุษยวิทยาชื่อดัง Louis Leakey ซึ่งส่งเธอไปศึกษาชิมแปนซีในป่า Gombe ประเทศแทนซาเนีย

    ในปี 1960 เธอค้นพบว่า ชิมแปนซีสามารถใช้และสร้างเครื่องมือได้ เช่น การใช้ใบหญ้าเพื่อจับปลวก ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่เคยเชื่อว่าเป็นเอกลักษณ์ของมนุษย์เท่านั้น การค้นพบนี้ทำให้โลกต้อง “นิยามมนุษย์ใหม่” และเปิดประตูสู่การศึกษาพฤติกรรมสัตว์ในมิติที่ลึกซึ้งขึ้น

    Goodall ยังเป็นผู้บุกเบิกการตั้งชื่อให้กับชิมแปนซีแต่ละตัว เช่น David Greybeard, Flo และ Flint แทนการใช้หมายเลข ซึ่งเป็นแนวทางที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในยุคนั้น แต่ต่อมากลับกลายเป็นมาตรฐานใหม่ในวงการวิทยาศาสตร์สัตว์

    เธอพบว่าชิมแปนซีมีอารมณ์ ความรัก ความเศร้า และแม้แต่ความรุนแรงที่คล้ายคลึงกับมนุษย์ โดยเฉพาะเหตุการณ์ “สงครามสี่ปี” ที่กลุ่มชิมแปนซี Kasakela โจมตีและทำลายกลุ่มเพื่อนบ้านอย่างเป็นระบบ ซึ่งเปลี่ยนมุมมองของ Goodall ต่อธรรมชาติของสัตว์อย่างสิ้นเชิง

    นอกจากงานวิจัย เธอยังเป็นนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมและสิทธิสัตว์ โดยก่อตั้ง Jane Goodall Institute ในปี 1977 และโครงการ Roots & Shoots เพื่อส่งเสริมเยาวชนในกว่า 130 ประเทศให้ร่วมอนุรักษ์โลก เธอได้รับรางวัลระดับโลกมากมาย รวมถึงเหรียญ Presidential Medal of Freedom จากสหรัฐฯ และตำแหน่ง Messenger of Peace จากสหประชาชาติ

    https://www.latimes.com/obituaries/story/2025-10-01/jane-goodall-chimpanzees-dead
    🌿 “Jane Goodall เสียชีวิตในวัย 91 — นักวิทยาศาสตร์ผู้เปลี่ยนความเข้าใจของมนุษย์ต่อสัตว์โลก” Jane Goodall นักธรรมชาติวิทยาและนักอนุรักษ์ชื่อดังระดับโลก ได้เสียชีวิตอย่างสงบในรัฐแคลิฟอร์เนียเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2025 ขณะอยู่ระหว่างการเดินสายบรรยายในสหรัฐฯ เธอจากไปในวัย 91 ปี โดยสถาบัน Jane Goodall Institute ได้ประกาศข่าวผ่านช่องทางโซเชียลมีเดีย พร้อมยกย่องว่า “การค้นพบของเธอได้พลิกโฉมวิทยาศาสตร์ และการอุทิศตนเพื่อธรรมชาติคือแรงบันดาลใจให้คนทั่วโลก” Goodall เริ่มต้นเส้นทางวิทยาศาสตร์โดยไม่มีวุฒิการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย แต่ด้วยความหลงใหลในสัตว์และธรรมชาติ เธอเดินทางไปเคนยาในปี 1957 และได้พบกับนักมานุษยวิทยาชื่อดัง Louis Leakey ซึ่งส่งเธอไปศึกษาชิมแปนซีในป่า Gombe ประเทศแทนซาเนีย ในปี 1960 เธอค้นพบว่า ชิมแปนซีสามารถใช้และสร้างเครื่องมือได้ เช่น การใช้ใบหญ้าเพื่อจับปลวก ซึ่งเป็นพฤติกรรมที่เคยเชื่อว่าเป็นเอกลักษณ์ของมนุษย์เท่านั้น การค้นพบนี้ทำให้โลกต้อง “นิยามมนุษย์ใหม่” และเปิดประตูสู่การศึกษาพฤติกรรมสัตว์ในมิติที่ลึกซึ้งขึ้น Goodall ยังเป็นผู้บุกเบิกการตั้งชื่อให้กับชิมแปนซีแต่ละตัว เช่น David Greybeard, Flo และ Flint แทนการใช้หมายเลข ซึ่งเป็นแนวทางที่ถูกวิพากษ์วิจารณ์ในยุคนั้น แต่ต่อมากลับกลายเป็นมาตรฐานใหม่ในวงการวิทยาศาสตร์สัตว์ เธอพบว่าชิมแปนซีมีอารมณ์ ความรัก ความเศร้า และแม้แต่ความรุนแรงที่คล้ายคลึงกับมนุษย์ โดยเฉพาะเหตุการณ์ “สงครามสี่ปี” ที่กลุ่มชิมแปนซี Kasakela โจมตีและทำลายกลุ่มเพื่อนบ้านอย่างเป็นระบบ ซึ่งเปลี่ยนมุมมองของ Goodall ต่อธรรมชาติของสัตว์อย่างสิ้นเชิง นอกจากงานวิจัย เธอยังเป็นนักเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมและสิทธิสัตว์ โดยก่อตั้ง Jane Goodall Institute ในปี 1977 และโครงการ Roots & Shoots เพื่อส่งเสริมเยาวชนในกว่า 130 ประเทศให้ร่วมอนุรักษ์โลก เธอได้รับรางวัลระดับโลกมากมาย รวมถึงเหรียญ Presidential Medal of Freedom จากสหรัฐฯ และตำแหน่ง Messenger of Peace จากสหประชาชาติ https://www.latimes.com/obituaries/story/2025-10-01/jane-goodall-chimpanzees-dead
    WWW.LATIMES.COM
    Jane Goodall, trailblazing naturalist whose intimate observations of chimpanzees transformed our understanding of humankind, has died
    Jane Goodall, the trailblazing naturalist whose intimate observations of chimpanzees in the African wild produced powerful insights that transformed basic conceptions of humankind, has died. She was 91.
    0 Comments 0 Shares 322 Views 0 Reviews
  • “เลิกหลบการเมืองในที่ทำงาน — เพราะการไม่เล่นเกม อาจทำให้คุณแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่ม”

    บทความจาก Terrible Software ได้เปิดประเด็นที่หลายคนในสายงานวิศวกรรมและเทคโนโลยีมักหลีกเลี่ยง: “การเมืองในองค์กร” ซึ่งมักถูกมองว่าเป็นเรื่องสกปรก ไร้สาระ และไม่เกี่ยวกับงานจริง แต่ผู้เขียนกลับเสนอว่า การเมืองไม่ใช่ปัญหา — การเมืองที่แย่ต่างหากที่เป็นปัญหา และการแสร้งทำเป็นว่าไม่มีการเมืองในองค์กร คือการเปิดทางให้คนที่เข้าใจเกมนี้ได้เปรียบโดยไม่ต้องแข่งขันกับคุณเลย

    การเมืองในที่ทำงานไม่ใช่แค่การชิงดีชิงเด่น แต่คือการเข้าใจว่าใครมีอิทธิพล ใครตัดสินใจ และใครควรได้รับข้อมูลที่คุณมี เพื่อให้ไอเดียดี ๆ ไม่ถูกกลบไปโดยเสียงของคนที่ “พูดเก่งแต่คิดไม่ลึก” ผู้เขียนยกตัวอย่างว่า หลายครั้งที่โปรเจกต์ดี ๆ ถูกยกเลิก หรือเทคโนโลยีที่ไม่เหมาะสมถูกเลือกใช้ ไม่ใช่เพราะคนตัดสินใจโง่ แต่เพราะคนที่มีข้อมูลจริง “ไม่อยู่ในห้องนั้น” เพราะเขา “ไม่เล่นการเมือง”

    การเมืองที่ดีคือการสร้างความสัมพันธ์ก่อนจะต้องใช้มัน เช่น การคุยกับทีมอื่นเพื่อเข้าใจปัญหา หรือการนำเสนอไอเดียในภาษาที่ผู้บริหารเข้าใจ ไม่ใช่แค่พูดเรื่องเทคนิคอย่างเดียว การเมืองที่ดีคือการจัดการ stakeholder อย่างมีเป้าหมาย ไม่ใช่การแทงข้างหลัง

    บทความยังชี้ว่า คนที่เก่งด้านเทคนิคแต่ไม่ยอมเรียนรู้การเมืองในองค์กร มักจะรู้สึกว่าบริษัทตัดสินใจผิดบ่อย ๆ แต่ไม่เคยพยายามเข้าไปมีส่วนร่วมในการตัดสินใจนั้นเลย

    ข้อมูลสำคัญจากบทความ
    การเมืองในองค์กรคือการจัดการความสัมพันธ์ อิทธิพล และการสื่อสารเพื่อให้ไอเดียถูกนำไปใช้
    การหลีกเลี่ยงการเมืองไม่ทำให้มันหายไป แต่ทำให้คุณไม่มีส่วนร่วมในการตัดสินใจ
    ตัวอย่างของการเมืองที่ดี ได้แก่ stakeholder management, alignment, และ organizational awareness
    การสร้างความสัมพันธ์ก่อนจะต้องใช้ เช่น การคุยกับทีมอื่นล่วงหน้า เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า
    การเข้าใจแรงจูงใจของผู้บริหาร เช่น การเน้นผลลัพธ์มากกว่าความสวยงามของโค้ด ช่วยให้ไอเดียถูกนำเสนอได้ดีขึ้น
    การมองการเมืองในแง่ดีช่วยให้คุณปกป้องทีมจากการตัดสินใจที่ผิดพลาด
    การมองว่า “ไอเดียดีจะชนะเสมอ” เป็นความคิดที่ไม่ตรงกับความจริงในองค์กร

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    วิศวกรที่เข้าใจการเมืองสามารถมีบทบาทในการกำหนดนโยบายระดับประเทศ เช่น ด้านโครงสร้างพื้นฐานหรือสิ่งแวดล้อม
    การเมืองในองค์กรมีหลายรูปแบบ เช่น legitimate power, reward power, และ information power2
    การสร้างพันธมิตรและการสื่อสารที่ชัดเจนเป็นหัวใจของกลยุทธ์การเมืองที่ดี
    การเมืองที่ดีสามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงระดับองค์กรและสังคม เช่น การเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมหรือสิทธิมนุษยชน
    การเข้าใจโครงสร้างอำนาจในองค์กรช่วยให้คุณวางแผนการนำเสนอและการสนับสนุนไอเดียได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    https://terriblesoftware.org/2025/10/01/stop-avoiding-politics/
    🏛️ “เลิกหลบการเมืองในที่ทำงาน — เพราะการไม่เล่นเกม อาจทำให้คุณแพ้ตั้งแต่ยังไม่เริ่ม” บทความจาก Terrible Software ได้เปิดประเด็นที่หลายคนในสายงานวิศวกรรมและเทคโนโลยีมักหลีกเลี่ยง: “การเมืองในองค์กร” ซึ่งมักถูกมองว่าเป็นเรื่องสกปรก ไร้สาระ และไม่เกี่ยวกับงานจริง แต่ผู้เขียนกลับเสนอว่า การเมืองไม่ใช่ปัญหา — การเมืองที่แย่ต่างหากที่เป็นปัญหา และการแสร้งทำเป็นว่าไม่มีการเมืองในองค์กร คือการเปิดทางให้คนที่เข้าใจเกมนี้ได้เปรียบโดยไม่ต้องแข่งขันกับคุณเลย การเมืองในที่ทำงานไม่ใช่แค่การชิงดีชิงเด่น แต่คือการเข้าใจว่าใครมีอิทธิพล ใครตัดสินใจ และใครควรได้รับข้อมูลที่คุณมี เพื่อให้ไอเดียดี ๆ ไม่ถูกกลบไปโดยเสียงของคนที่ “พูดเก่งแต่คิดไม่ลึก” ผู้เขียนยกตัวอย่างว่า หลายครั้งที่โปรเจกต์ดี ๆ ถูกยกเลิก หรือเทคโนโลยีที่ไม่เหมาะสมถูกเลือกใช้ ไม่ใช่เพราะคนตัดสินใจโง่ แต่เพราะคนที่มีข้อมูลจริง “ไม่อยู่ในห้องนั้น” เพราะเขา “ไม่เล่นการเมือง” การเมืองที่ดีคือการสร้างความสัมพันธ์ก่อนจะต้องใช้มัน เช่น การคุยกับทีมอื่นเพื่อเข้าใจปัญหา หรือการนำเสนอไอเดียในภาษาที่ผู้บริหารเข้าใจ ไม่ใช่แค่พูดเรื่องเทคนิคอย่างเดียว การเมืองที่ดีคือการจัดการ stakeholder อย่างมีเป้าหมาย ไม่ใช่การแทงข้างหลัง บทความยังชี้ว่า คนที่เก่งด้านเทคนิคแต่ไม่ยอมเรียนรู้การเมืองในองค์กร มักจะรู้สึกว่าบริษัทตัดสินใจผิดบ่อย ๆ แต่ไม่เคยพยายามเข้าไปมีส่วนร่วมในการตัดสินใจนั้นเลย ✅ ข้อมูลสำคัญจากบทความ ➡️ การเมืองในองค์กรคือการจัดการความสัมพันธ์ อิทธิพล และการสื่อสารเพื่อให้ไอเดียถูกนำไปใช้ ➡️ การหลีกเลี่ยงการเมืองไม่ทำให้มันหายไป แต่ทำให้คุณไม่มีส่วนร่วมในการตัดสินใจ ➡️ ตัวอย่างของการเมืองที่ดี ได้แก่ stakeholder management, alignment, และ organizational awareness ➡️ การสร้างความสัมพันธ์ก่อนจะต้องใช้ เช่น การคุยกับทีมอื่นล่วงหน้า เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า ➡️ การเข้าใจแรงจูงใจของผู้บริหาร เช่น การเน้นผลลัพธ์มากกว่าความสวยงามของโค้ด ช่วยให้ไอเดียถูกนำเสนอได้ดีขึ้น ➡️ การมองการเมืองในแง่ดีช่วยให้คุณปกป้องทีมจากการตัดสินใจที่ผิดพลาด ➡️ การมองว่า “ไอเดียดีจะชนะเสมอ” เป็นความคิดที่ไม่ตรงกับความจริงในองค์กร ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ วิศวกรที่เข้าใจการเมืองสามารถมีบทบาทในการกำหนดนโยบายระดับประเทศ เช่น ด้านโครงสร้างพื้นฐานหรือสิ่งแวดล้อม ➡️ การเมืองในองค์กรมีหลายรูปแบบ เช่น legitimate power, reward power, และ information power2 ➡️ การสร้างพันธมิตรและการสื่อสารที่ชัดเจนเป็นหัวใจของกลยุทธ์การเมืองที่ดี ➡️ การเมืองที่ดีสามารถนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงระดับองค์กรและสังคม เช่น การเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมหรือสิทธิมนุษยชน ➡️ การเข้าใจโครงสร้างอำนาจในองค์กรช่วยให้คุณวางแผนการนำเสนอและการสนับสนุนไอเดียได้อย่างมีประสิทธิภาพ https://terriblesoftware.org/2025/10/01/stop-avoiding-politics/
    TERRIBLESOFTWARE.ORG
    Stop Avoiding Politics
    Most engineers think workplace politics is dirty. They’re wrong. Refusing to play politics doesn’t make you noble; it makes you ineffective.
    0 Comments 0 Shares 208 Views 0 Reviews
  • ด่วน! หมอวรงค์ชี้ ถ้ารัฐบาลทำแบบนี้ มีโอกาสเสียแผ่นดิน (2/10/68)

    #ThaiTimes
    #News1
    #News1short
    #TruthFromThailand
    #shorts
    #หมอวรงค์
    #รัฐบาลไทย
    #เสียแผ่นดิน
    #การเมืองไทย
    ด่วน! หมอวรงค์ชี้ ถ้ารัฐบาลทำแบบนี้ มีโอกาสเสียแผ่นดิน (2/10/68) #ThaiTimes #News1 #News1short #TruthFromThailand #shorts #หมอวรงค์ #รัฐบาลไทย #เสียแผ่นดิน #การเมืองไทย
    0 Comments 0 Shares 172 Views 0 0 Reviews
  • สหรัฐฯ เมื่อช่วงต้นสัปดาห์ กล่าวหารัฐบาลกัมพูชา ไม่ใช่แค่ล้มเหลวในการจัดการกับการค้ามนุษย์ แต่ยังสมคบคิดอย่างเป็นระบบเปิดทางอาชญากรรมดังกล่าว
    .
    อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000094033

    #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    สหรัฐฯ เมื่อช่วงต้นสัปดาห์ กล่าวหารัฐบาลกัมพูชา ไม่ใช่แค่ล้มเหลวในการจัดการกับการค้ามนุษย์ แต่ยังสมคบคิดอย่างเป็นระบบเปิดทางอาชญากรรมดังกล่าว . อ่านเพิ่มเติม..https://sondhitalk.com/detail/9680000094033 #Sondhitalk #SondhiX #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิเล่าเรื่อง #Thaitimes #กัมพูชายิงก่อน #ไทยนี้รักสงบแต่ถึงรบไม่ขลาด #CambodiaOpenedFire
    Like
    Haha
    2
    0 Comments 0 Shares 465 Views 0 Reviews
  • “เมื่อความพยายามกลายเป็นเรื่องง่าย — เราจะยังรู้สึกมีคุณค่าอยู่ไหม?”

    บทความ “Our efforts, in part, define us” จากเว็บไซต์ Weakty ได้ตั้งคำถามที่สะเทือนใจคนทำงานยุค AI อย่างลึกซึ้ง: เมื่อสิ่งที่เคยต้องใช้ความพยายามกลายเป็นเรื่องง่าย เราจะยังรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่าอยู่หรือไม่?

    ผู้เขียนเล่าถึงความรู้สึกส่วนตัวที่เกิดขึ้นเมื่อการเขียนโค้ด ซึ่งเคยเป็นงานที่ต้องใช้ทักษะและประสบการณ์ กลับถูกแทนที่ด้วย AI ที่สามารถสร้างโค้ดได้ในพริบตา แม้จะมีข้อผิดพลาดบ้าง แต่ก็ทำให้เขารู้สึกว่า “ความพยายาม” ที่เคยเป็นแก่นของงาน กลับถูกลดทอนลงอย่างน่าหดหู่

    เขายกตัวอย่างเพื่อนคนหนึ่งที่เคยถ่ายภาพฟิล์มด้วยความรักและพิถีพิถัน แต่เมื่อสมาร์ตโฟนทำให้การถ่ายภาพกลายเป็นเรื่องง่าย ความหมายของงานนั้นก็เริ่มจางหายไป ความพยายามที่เคยเป็นรากฐานของตัวตน กลับถูกแทนที่ด้วยความสะดวก และนั่นทำให้เกิดคำถามว่า “เรายังเป็นใครอยู่” เมื่อสิ่งที่เคยนิยามเรากลายเป็นเรื่องที่ใคร ๆ ก็ทำได้

    บทความยังสะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงในองค์กร ที่เริ่มผลักดันให้พนักงานใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ โดยไม่ได้คำนึงถึงความรู้สึกของคนที่เคยใช้ทักษะและประสบการณ์เป็นเครื่องมือหลักในการทำงาน การเปลี่ยนแปลงนี้อาจทำให้คนรู้สึกสูญเสียคุณค่าในสิ่งที่เคยเป็น “งานของตน”

    แม้ผู้เขียนจะยอมรับว่า AI เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ และไม่ต้องการให้คนถูกกีดกันจากความสะดวก แต่เขาก็ยังรู้สึกถึง “ความเศร้าแปลก ๆ” ที่เกิดจากการที่ความพยายามกลายเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นอีกต่อไป

    ข้อมูลสำคัญจากบทความ
    ผู้เขียนตั้งคำถามว่า เมื่อสิ่งที่เคยใช้ความพยายามกลายเป็นเรื่องง่าย เราจะยังรู้สึกมีคุณค่าอยู่ไหม
    ยกตัวอย่างการถ่ายภาพฟิล์มที่เคยเป็นงานศิลป์ แต่ถูกแทนที่ด้วยสมาร์ตโฟน
    การเขียนโค้ดที่เคยเป็นงานหลักของผู้เขียน ถูกแทนที่ด้วย AI ที่สร้างโค้ดได้อย่างรวดเร็ว
    ความพยายามเคยเป็นสิ่งที่นิยามตัวตน แต่เมื่อมันหายไป ความหมายของงานก็เปลี่ยนไป
    องค์กรเริ่มผลักดันให้พนักงานใช้ AI โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบทางจิตใจ
    ผู้เขียนรู้สึกว่าการใช้ความสามารถเพื่อแลกเงินเคยมีคุณค่า เพราะมันต้องใช้ความพยายาม
    การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้เกิดคำถามว่า “เรายังเป็นใครอยู่” ในโลกที่ทุกอย่างกลายเป็นเรื่องง่าย

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    งานวิจัยจาก Wharton และ McKinsey ระบุว่า AI ไม่ได้แทนที่งาน แต่เปลี่ยนรูปแบบของงานและคุณค่าที่คนได้รับจากงานนั้น
    คนมักยอมรับการใช้ AI ในงานที่น่าเบื่อ แต่ต่อต้านเมื่อ AI เข้ามาแทนที่ทักษะที่นิยามตัวตนของพวกเขา
    การใช้ AI อย่างมีสติควรเน้นการเสริมทักษะ ไม่ใช่แทนที่ความสามารถของมนุษย์
    องค์กรที่ใช้ AI อย่างมีประสิทธิภาพมักลงทุนในการฝึกอบรมและปรับโครงสร้างงานใหม่เพื่อรักษาคุณค่าของพนักงาน
    ความพยายามยังคงเป็นสิ่งที่มนุษย์ใช้ในการสร้างความหมาย ไม่ว่าจะในงานหรือชีวิตส่วนตัว



    https://weakty.com/posts/efforts/
    🧠 “เมื่อความพยายามกลายเป็นเรื่องง่าย — เราจะยังรู้สึกมีคุณค่าอยู่ไหม?” บทความ “Our efforts, in part, define us” จากเว็บไซต์ Weakty ได้ตั้งคำถามที่สะเทือนใจคนทำงานยุค AI อย่างลึกซึ้ง: เมื่อสิ่งที่เคยต้องใช้ความพยายามกลายเป็นเรื่องง่าย เราจะยังรู้สึกว่าตัวเองมีคุณค่าอยู่หรือไม่? ผู้เขียนเล่าถึงความรู้สึกส่วนตัวที่เกิดขึ้นเมื่อการเขียนโค้ด ซึ่งเคยเป็นงานที่ต้องใช้ทักษะและประสบการณ์ กลับถูกแทนที่ด้วย AI ที่สามารถสร้างโค้ดได้ในพริบตา แม้จะมีข้อผิดพลาดบ้าง แต่ก็ทำให้เขารู้สึกว่า “ความพยายาม” ที่เคยเป็นแก่นของงาน กลับถูกลดทอนลงอย่างน่าหดหู่ เขายกตัวอย่างเพื่อนคนหนึ่งที่เคยถ่ายภาพฟิล์มด้วยความรักและพิถีพิถัน แต่เมื่อสมาร์ตโฟนทำให้การถ่ายภาพกลายเป็นเรื่องง่าย ความหมายของงานนั้นก็เริ่มจางหายไป ความพยายามที่เคยเป็นรากฐานของตัวตน กลับถูกแทนที่ด้วยความสะดวก และนั่นทำให้เกิดคำถามว่า “เรายังเป็นใครอยู่” เมื่อสิ่งที่เคยนิยามเรากลายเป็นเรื่องที่ใคร ๆ ก็ทำได้ บทความยังสะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงในองค์กร ที่เริ่มผลักดันให้พนักงานใช้ AI เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ โดยไม่ได้คำนึงถึงความรู้สึกของคนที่เคยใช้ทักษะและประสบการณ์เป็นเครื่องมือหลักในการทำงาน การเปลี่ยนแปลงนี้อาจทำให้คนรู้สึกสูญเสียคุณค่าในสิ่งที่เคยเป็น “งานของตน” แม้ผู้เขียนจะยอมรับว่า AI เป็นเครื่องมือที่มีประโยชน์ และไม่ต้องการให้คนถูกกีดกันจากความสะดวก แต่เขาก็ยังรู้สึกถึง “ความเศร้าแปลก ๆ” ที่เกิดจากการที่ความพยายามกลายเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นอีกต่อไป ✅ ข้อมูลสำคัญจากบทความ ➡️ ผู้เขียนตั้งคำถามว่า เมื่อสิ่งที่เคยใช้ความพยายามกลายเป็นเรื่องง่าย เราจะยังรู้สึกมีคุณค่าอยู่ไหม ➡️ ยกตัวอย่างการถ่ายภาพฟิล์มที่เคยเป็นงานศิลป์ แต่ถูกแทนที่ด้วยสมาร์ตโฟน ➡️ การเขียนโค้ดที่เคยเป็นงานหลักของผู้เขียน ถูกแทนที่ด้วย AI ที่สร้างโค้ดได้อย่างรวดเร็ว ➡️ ความพยายามเคยเป็นสิ่งที่นิยามตัวตน แต่เมื่อมันหายไป ความหมายของงานก็เปลี่ยนไป ➡️ องค์กรเริ่มผลักดันให้พนักงานใช้ AI โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบทางจิตใจ ➡️ ผู้เขียนรู้สึกว่าการใช้ความสามารถเพื่อแลกเงินเคยมีคุณค่า เพราะมันต้องใช้ความพยายาม ➡️ การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้เกิดคำถามว่า “เรายังเป็นใครอยู่” ในโลกที่ทุกอย่างกลายเป็นเรื่องง่าย ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ งานวิจัยจาก Wharton และ McKinsey ระบุว่า AI ไม่ได้แทนที่งาน แต่เปลี่ยนรูปแบบของงานและคุณค่าที่คนได้รับจากงานนั้น ➡️ คนมักยอมรับการใช้ AI ในงานที่น่าเบื่อ แต่ต่อต้านเมื่อ AI เข้ามาแทนที่ทักษะที่นิยามตัวตนของพวกเขา ➡️ การใช้ AI อย่างมีสติควรเน้นการเสริมทักษะ ไม่ใช่แทนที่ความสามารถของมนุษย์ ➡️ องค์กรที่ใช้ AI อย่างมีประสิทธิภาพมักลงทุนในการฝึกอบรมและปรับโครงสร้างงานใหม่เพื่อรักษาคุณค่าของพนักงาน ➡️ ความพยายามยังคงเป็นสิ่งที่มนุษย์ใช้ในการสร้างความหมาย ไม่ว่าจะในงานหรือชีวิตส่วนตัว https://weakty.com/posts/efforts/
    0 Comments 0 Shares 246 Views 0 Reviews
  • “Google Sheets ไม่ใช่แค่เครื่องมือชั่วคราว — แต่คือวิธีคิดที่ช่วยธุรกิจเล็กอยู่รอดในโลกที่เปลี่ยนเร็ว”

    บทความจาก Maybe-Ray เล่าประสบการณ์ตรงของผู้เขียนที่เพิ่งเข้าสู่โลกการทำงานได้ 9 เดือน และพบว่าความหวังในการสร้างเครื่องมือใหม่ ๆ เพื่อช่วยธุรกิจเล็กที่เขาทำงานด้วยนั้น “หายไปอย่างรวดเร็ว” เพราะความเปลี่ยนแปลงภายในองค์กรเกิดขึ้นทุก 2 เดือนตามไอเดียใหม่ของเจ้านาย ทำให้โปรเจกต์ที่ลงทุนเวลาและแรงไปมาก กลับถูกใช้งานจริงเพียงไม่กี่ครั้ง

    ตัวอย่างที่เขายกมา เช่น การใช้เวลา 2 เดือนสร้าง admin panel เพื่อจัดการข้อมูลพัสดุ ซึ่งสุดท้ายถูกใช้งานแค่ 2 ครั้ง แล้วเปลี่ยนมาใช้ Google Sheets แทน หรือการสร้างระบบคำนวณภาษีสำหรับลูกค้าในซิมบับเวที่ซับซ้อนมาก แต่สุดท้ายก็ใช้แค่ตารางจากคู่แข่งแล้วใส่ลงใน Google Sheets

    เขายังเล่าถึงการเสียเวลาไปกับการหาระบบ CRM ที่เหมาะสม แต่สุดท้ายกลับพบว่า Google Sheets มี template CRM อยู่แล้ว และใช้งานได้ง่ายกว่าที่คิด

    บทเรียนสำคัญคือ: ในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนเร็วและไม่รู้ขอบเขตของปัญหาชัดเจน การเริ่มต้นด้วยวิธีที่ง่ายที่สุด เช่น Google Sheets คือทางเลือกที่ดีที่สุด เพราะช่วยให้ทีมเข้าใจปัญหาได้เร็ว และสามารถปรับเปลี่ยนได้ทันทีเมื่อรู้ว่าต้องการอะไรจริง ๆ

    แม้ผู้เขียนจะยอมรับว่า Google Sheets ไม่ใช่คำตอบทุกอย่าง และมีข้อจำกัดในองค์กรขนาดใหญ่ แต่สำหรับธุรกิจเล็กที่ยังไม่รู้ว่าต้องการอะไร การเริ่มต้นด้วยสิ่งง่าย ๆ คือการประหยัดเวลาและแรงงานที่ดีที่สุด

    ข้อมูลสำคัญจากบทความ
    ผู้เขียนใช้ Google Sheets เป็นเครื่องมือหลักในการแก้ปัญหาในธุรกิจเล็ก
    สร้าง admin panel ใช้เวลา 2 เดือน แต่ถูกใช้งานแค่ 2 ครั้ง ก่อนเปลี่ยนมาใช้ Google Sheets
    ระบบคำนวณภาษีถูกแทนที่ด้วยตารางจากคู่แข่งใน Google Sheets
    ใช้เวลาหลายสัปดาห์หา CRM แต่สุดท้ายพบว่า Google Sheets มี template CRM อยู่แล้ว
    การเริ่มต้นด้วยวิธีง่ายที่สุดช่วยให้เข้าใจปัญหาได้เร็ว และปรับเปลี่ยนได้ทันที
    Google Sheets เหมาะกับสถานการณ์ที่ยังไม่รู้ขอบเขตของปัญหา
    ผู้เขียนต้องการช่วยให้คนไม่เสียเวลาไปกับการสร้างสิ่งที่ไม่มีใครใช้

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Google Sheets เป็นเครื่องมือที่เข้าถึงง่าย ใช้ฟรี และมีความยืดหยุ่นสูงสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก
    งานวิจัยพบว่า 88% ของ spreadsheet มีข้อผิดพลาด ซึ่งอาจส่งผลต่อการตัดสินใจทางธุรกิจ
    Custom dashboard เหมาะกับองค์กรที่มีข้อมูลจำนวนมากและต้องการการวิเคราะห์แบบ real-time1
    Google Sheets เหมาะกับการทดลองไอเดียและการทำงานแบบ agile ที่ต้องปรับเปลี่ยนบ่อย
    สำหรับองค์กรขนาดใหญ่ การใช้ spreadsheet อาจกลายเป็นคอขวดของข้อมูล หากไม่มีระบบจัดการที่ดี

    https://mayberay.bearblog.dev/why-i-only-use-google-sheets/
    📊 “Google Sheets ไม่ใช่แค่เครื่องมือชั่วคราว — แต่คือวิธีคิดที่ช่วยธุรกิจเล็กอยู่รอดในโลกที่เปลี่ยนเร็ว” บทความจาก Maybe-Ray เล่าประสบการณ์ตรงของผู้เขียนที่เพิ่งเข้าสู่โลกการทำงานได้ 9 เดือน และพบว่าความหวังในการสร้างเครื่องมือใหม่ ๆ เพื่อช่วยธุรกิจเล็กที่เขาทำงานด้วยนั้น “หายไปอย่างรวดเร็ว” เพราะความเปลี่ยนแปลงภายในองค์กรเกิดขึ้นทุก 2 เดือนตามไอเดียใหม่ของเจ้านาย ทำให้โปรเจกต์ที่ลงทุนเวลาและแรงไปมาก กลับถูกใช้งานจริงเพียงไม่กี่ครั้ง ตัวอย่างที่เขายกมา เช่น การใช้เวลา 2 เดือนสร้าง admin panel เพื่อจัดการข้อมูลพัสดุ ซึ่งสุดท้ายถูกใช้งานแค่ 2 ครั้ง แล้วเปลี่ยนมาใช้ Google Sheets แทน หรือการสร้างระบบคำนวณภาษีสำหรับลูกค้าในซิมบับเวที่ซับซ้อนมาก แต่สุดท้ายก็ใช้แค่ตารางจากคู่แข่งแล้วใส่ลงใน Google Sheets เขายังเล่าถึงการเสียเวลาไปกับการหาระบบ CRM ที่เหมาะสม แต่สุดท้ายกลับพบว่า Google Sheets มี template CRM อยู่แล้ว และใช้งานได้ง่ายกว่าที่คิด บทเรียนสำคัญคือ: ในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนเร็วและไม่รู้ขอบเขตของปัญหาชัดเจน การเริ่มต้นด้วยวิธีที่ง่ายที่สุด เช่น Google Sheets คือทางเลือกที่ดีที่สุด เพราะช่วยให้ทีมเข้าใจปัญหาได้เร็ว และสามารถปรับเปลี่ยนได้ทันทีเมื่อรู้ว่าต้องการอะไรจริง ๆ แม้ผู้เขียนจะยอมรับว่า Google Sheets ไม่ใช่คำตอบทุกอย่าง และมีข้อจำกัดในองค์กรขนาดใหญ่ แต่สำหรับธุรกิจเล็กที่ยังไม่รู้ว่าต้องการอะไร การเริ่มต้นด้วยสิ่งง่าย ๆ คือการประหยัดเวลาและแรงงานที่ดีที่สุด ✅ ข้อมูลสำคัญจากบทความ ➡️ ผู้เขียนใช้ Google Sheets เป็นเครื่องมือหลักในการแก้ปัญหาในธุรกิจเล็ก ➡️ สร้าง admin panel ใช้เวลา 2 เดือน แต่ถูกใช้งานแค่ 2 ครั้ง ก่อนเปลี่ยนมาใช้ Google Sheets ➡️ ระบบคำนวณภาษีถูกแทนที่ด้วยตารางจากคู่แข่งใน Google Sheets ➡️ ใช้เวลาหลายสัปดาห์หา CRM แต่สุดท้ายพบว่า Google Sheets มี template CRM อยู่แล้ว ➡️ การเริ่มต้นด้วยวิธีง่ายที่สุดช่วยให้เข้าใจปัญหาได้เร็ว และปรับเปลี่ยนได้ทันที ➡️ Google Sheets เหมาะกับสถานการณ์ที่ยังไม่รู้ขอบเขตของปัญหา ➡️ ผู้เขียนต้องการช่วยให้คนไม่เสียเวลาไปกับการสร้างสิ่งที่ไม่มีใครใช้ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Google Sheets เป็นเครื่องมือที่เข้าถึงง่าย ใช้ฟรี และมีความยืดหยุ่นสูงสำหรับธุรกิจขนาดเล็ก ➡️ งานวิจัยพบว่า 88% ของ spreadsheet มีข้อผิดพลาด ซึ่งอาจส่งผลต่อการตัดสินใจทางธุรกิจ ➡️ Custom dashboard เหมาะกับองค์กรที่มีข้อมูลจำนวนมากและต้องการการวิเคราะห์แบบ real-time1 ➡️ Google Sheets เหมาะกับการทดลองไอเดียและการทำงานแบบ agile ที่ต้องปรับเปลี่ยนบ่อย ➡️ สำหรับองค์กรขนาดใหญ่ การใช้ spreadsheet อาจกลายเป็นคอขวดของข้อมูล หากไม่มีระบบจัดการที่ดี https://mayberay.bearblog.dev/why-i-only-use-google-sheets/
    MAYBERAY.BEARBLOG.DEV
    Why I only use Google sheets
    To cut things short, always use the easiest solution to solve a particular problem and once that solution does not work for the business anymore reassess wha...
    0 Comments 0 Shares 258 Views 0 Reviews
  • “openSUSE Leap 16 เปิดตัวแล้ว — ปรับโฉมด้วย Agama, SELinux และ Linux Kernel 6.12 LTS พร้อมรองรับอนาคตองค์กร”

    openSUSE ประกาศเปิดตัว Leap 16 อย่างเป็นทางการในวันที่ 1 ตุลาคม 2025 โดยถือเป็นการอัปเดตครั้งใหญ่ของดิสโทรสายเสถียรที่ได้รับการสนับสนุนระยะยาว (LTS) รุ่นนี้ถูกพัฒนาบนพื้นฐาน SUSE Linux Enterprise Server (SLES) 16 และใช้โครงสร้างใหม่ที่เรียกว่า SUSE Linux Framework One (ชื่อเดิมคือ Adaptable Linux Platform หรือ ALP) พร้อมขับเคลื่อนด้วย Linux Kernel 6.12 LTS ที่เน้นความเสถียรและความปลอดภัยสำหรับองค์กร

    หนึ่งในการเปลี่ยนแปลงสำคัญคือการเปลี่ยนตัวติดตั้งจาก YaST มาเป็น Agama ซึ่งพัฒนาโดยทีมเดียวกันกับ YaST แต่เน้นความยืดหยุ่นมากขึ้น รองรับการติดตั้งดิสโทรอื่น ๆ ของ openSUSE เช่น Tumbleweed, Slowroll และ MicroOS ได้ด้วย

    Leap 16 ยังเปลี่ยนระบบควบคุมสิทธิ์จาก AppArmor มาใช้ SELinux เป็นค่าเริ่มต้น ซึ่งได้รับการยอมรับมากกว่าในแวดวงความปลอดภัยระดับสูง และมีชุมชนพัฒนา upstream ที่แข็งแกร่งกว่า

    ด้านประสิทธิภาพ Leap 16 ปรับปรุงระบบจัดการ repository โดยใช้ RIS-based repository management ที่แยกตามสถาปัตยกรรม ทำให้ metadata มีขนาดเล็กลงและรีเฟรชได้เร็วขึ้น พร้อมเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ใน Zypper ให้รองรับการดาวน์โหลดแพ็กเกจแบบขนาน (parallel downloads) เพื่อเร่งความเร็วในการติดตั้งและอัปเดต

    Leap 16 ยังเพิ่มเครื่องมือใหม่ เช่น Cockpit สำหรับจัดการระบบผ่านเว็บ และ Myrlyn ซึ่งมาแทน YaST Qt GUI สำหรับการติดตั้งซอฟต์แวร์ โดย Leap 16 ได้ถอดการรองรับ SysV init ออกอย่างสมบูรณ์แล้ว

    ผู้ใช้สามารถเลือกติดตั้ง Leap 16 ได้ทั้งแบบไม่มี GUI (Base) หรือใช้ GNOME 48, KDE Plasma 6.4 หรือ Xfce 4.20 เป็นเดสก์ท็อป โดยรองรับสถาปัตยกรรมหลากหลาย เช่น x86_64 v2, AArch64, ppc64le และ s390x รวมถึงมีภาพติดตั้งแบบ OEM เป็นครั้งแรก

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    openSUSE Leap 16 เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อ 1 ตุลาคม 2025
    พัฒนาบน SUSE Linux Framework One และใช้ Linux Kernel 6.12 LTS
    เปลี่ยนตัวติดตั้งจาก YaST มาเป็น Agama ที่ยืดหยุ่นและรองรับหลายดิสโทร
    เปลี่ยนระบบควบคุมสิทธิ์จาก AppArmor มาใช้ SELinux เป็นค่าเริ่มต้น
    ปรับปรุง repository ด้วย RIS-based management แยกตามสถาปัตยกรรม
    Zypper รองรับการดาวน์โหลดแพ็กเกจแบบขนาน เพิ่มความเร็วในการติดตั้ง
    เพิ่ม Cockpit สำหรับจัดการระบบ และ Myrlyn แทน YaST Qt GUI
    ถอดการรองรับ SysV init ออกอย่างสมบูรณ์
    รองรับ GNOME 48, KDE Plasma 6.4, Xfce 4.20 และมีภาพติดตั้งแบบ OEM
    รองรับสถาปัตยกรรม x86_64 v2, AArch64, ppc64le และ s390x
    สนับสนุนการอัปเดตและแพตช์ความปลอดภัยเป็นเวลา 24 เดือน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    SELinux ถูกใช้เป็นมาตรฐานในหลายระบบองค์กร เช่น Red Hat และ Fedora
    Agama installer ถูกออกแบบให้รองรับการติดตั้งแบบอัตโนมัติและ third-party integration
    Cockpit เป็นเครื่องมือจัดการระบบผ่านเว็บที่ได้รับความนิยมในดิสโทรองค์กร
    Myrlyn เป็น GUI ใหม่ที่เน้นความเบาและการจัดการ repository ได้ดีขึ้น
    Leap 16 เป็นรุ่นแรกที่ไม่รองรับเครื่องที่ไม่ใช่ x86_64 v2 อีกต่อไป

    https://9to5linux.com/opensuse-leap-16-is-now-available-for-download-with-linux-kernel-6-12-lts
    🐧 “openSUSE Leap 16 เปิดตัวแล้ว — ปรับโฉมด้วย Agama, SELinux และ Linux Kernel 6.12 LTS พร้อมรองรับอนาคตองค์กร” openSUSE ประกาศเปิดตัว Leap 16 อย่างเป็นทางการในวันที่ 1 ตุลาคม 2025 โดยถือเป็นการอัปเดตครั้งใหญ่ของดิสโทรสายเสถียรที่ได้รับการสนับสนุนระยะยาว (LTS) รุ่นนี้ถูกพัฒนาบนพื้นฐาน SUSE Linux Enterprise Server (SLES) 16 และใช้โครงสร้างใหม่ที่เรียกว่า SUSE Linux Framework One (ชื่อเดิมคือ Adaptable Linux Platform หรือ ALP) พร้อมขับเคลื่อนด้วย Linux Kernel 6.12 LTS ที่เน้นความเสถียรและความปลอดภัยสำหรับองค์กร หนึ่งในการเปลี่ยนแปลงสำคัญคือการเปลี่ยนตัวติดตั้งจาก YaST มาเป็น Agama ซึ่งพัฒนาโดยทีมเดียวกันกับ YaST แต่เน้นความยืดหยุ่นมากขึ้น รองรับการติดตั้งดิสโทรอื่น ๆ ของ openSUSE เช่น Tumbleweed, Slowroll และ MicroOS ได้ด้วย Leap 16 ยังเปลี่ยนระบบควบคุมสิทธิ์จาก AppArmor มาใช้ SELinux เป็นค่าเริ่มต้น ซึ่งได้รับการยอมรับมากกว่าในแวดวงความปลอดภัยระดับสูง และมีชุมชนพัฒนา upstream ที่แข็งแกร่งกว่า ด้านประสิทธิภาพ Leap 16 ปรับปรุงระบบจัดการ repository โดยใช้ RIS-based repository management ที่แยกตามสถาปัตยกรรม ทำให้ metadata มีขนาดเล็กลงและรีเฟรชได้เร็วขึ้น พร้อมเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ใน Zypper ให้รองรับการดาวน์โหลดแพ็กเกจแบบขนาน (parallel downloads) เพื่อเร่งความเร็วในการติดตั้งและอัปเดต Leap 16 ยังเพิ่มเครื่องมือใหม่ เช่น Cockpit สำหรับจัดการระบบผ่านเว็บ และ Myrlyn ซึ่งมาแทน YaST Qt GUI สำหรับการติดตั้งซอฟต์แวร์ โดย Leap 16 ได้ถอดการรองรับ SysV init ออกอย่างสมบูรณ์แล้ว ผู้ใช้สามารถเลือกติดตั้ง Leap 16 ได้ทั้งแบบไม่มี GUI (Base) หรือใช้ GNOME 48, KDE Plasma 6.4 หรือ Xfce 4.20 เป็นเดสก์ท็อป โดยรองรับสถาปัตยกรรมหลากหลาย เช่น x86_64 v2, AArch64, ppc64le และ s390x รวมถึงมีภาพติดตั้งแบบ OEM เป็นครั้งแรก ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ openSUSE Leap 16 เปิดตัวอย่างเป็นทางการเมื่อ 1 ตุลาคม 2025 ➡️ พัฒนาบน SUSE Linux Framework One และใช้ Linux Kernel 6.12 LTS ➡️ เปลี่ยนตัวติดตั้งจาก YaST มาเป็น Agama ที่ยืดหยุ่นและรองรับหลายดิสโทร ➡️ เปลี่ยนระบบควบคุมสิทธิ์จาก AppArmor มาใช้ SELinux เป็นค่าเริ่มต้น ➡️ ปรับปรุง repository ด้วย RIS-based management แยกตามสถาปัตยกรรม ➡️ Zypper รองรับการดาวน์โหลดแพ็กเกจแบบขนาน เพิ่มความเร็วในการติดตั้ง ➡️ เพิ่ม Cockpit สำหรับจัดการระบบ และ Myrlyn แทน YaST Qt GUI ➡️ ถอดการรองรับ SysV init ออกอย่างสมบูรณ์ ➡️ รองรับ GNOME 48, KDE Plasma 6.4, Xfce 4.20 และมีภาพติดตั้งแบบ OEM ➡️ รองรับสถาปัตยกรรม x86_64 v2, AArch64, ppc64le และ s390x ➡️ สนับสนุนการอัปเดตและแพตช์ความปลอดภัยเป็นเวลา 24 เดือน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ SELinux ถูกใช้เป็นมาตรฐานในหลายระบบองค์กร เช่น Red Hat และ Fedora ➡️ Agama installer ถูกออกแบบให้รองรับการติดตั้งแบบอัตโนมัติและ third-party integration ➡️ Cockpit เป็นเครื่องมือจัดการระบบผ่านเว็บที่ได้รับความนิยมในดิสโทรองค์กร ➡️ Myrlyn เป็น GUI ใหม่ที่เน้นความเบาและการจัดการ repository ได้ดีขึ้น ➡️ Leap 16 เป็นรุ่นแรกที่ไม่รองรับเครื่องที่ไม่ใช่ x86_64 v2 อีกต่อไป https://9to5linux.com/opensuse-leap-16-is-now-available-for-download-with-linux-kernel-6-12-lts
    9TO5LINUX.COM
    openSUSE Leap 16 Is Now Available for Download with Linux Kernel 6.12 LTS - 9to5Linux
    openSUSE Leap 16 operating system is now available for download as a major update based on SUSE Linux Enterprise 16 and Linux 6.12 LTS.
    0 Comments 0 Shares 249 Views 0 Reviews
  • อัวร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน (Ursula von der Leyen) ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ประกาศอย่างเป็นทางการว่า สหภาพยุโรปได้ยึดเงินของรัสเซีย 4,000 ล้านยูโร จากดอกเบี้ยที่งอกเงยของทรัพย์สินรัสเซียที่ถูกอายัดไว้ไปยังยูเครนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

    ในจำนวนเงิน 4,000 ล้านยูโร ทางสหภาพยุโรปจะหักไว้ 2,000 ล้านยูโร เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการผลิตโดรน (UAV) ป้อนให้ยูเครน ตามข้อตกลงร่วมกันระหว่างสหภาพยุโรป (EU) กับยูเครน

    ทางด้านรัสเซียได้ออกมาตอบโต้การตัดสินใจของสหภาพยุโรปครั้งนี้อย่างทันที
    ดมิทรี เปสคอฟ โฆษกเครมลิน ได้ออกคำเตือนอย่างแข็งกร้าวต่อผู้นำยุโรป ที่กำลังรวมหัวกันยึดทรัพย์สินของรัสเซียอย่างแยบยลและผิดกฎหมาย และรัสเซียยืนยันว่าจะดำเนินการตามกฎหมายกับบุคคลหรือประเทศใดก็ตามที่ขโมยเงินของรัสเซียอย่างแน่นอน

    เซอร์เกย์ ลาฟรอฟ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย ได้กล่าวว่า รัสเซียกำลังมองถึงความเป็นไปได้ในการอายัดทรัพย์สินของชาติตะวันตกถือมีอยู่ในรัสเซีย
    อัวร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน (Ursula von der Leyen) ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป ประกาศอย่างเป็นทางการว่า สหภาพยุโรปได้ยึดเงินของรัสเซีย 4,000 ล้านยูโร จากดอกเบี้ยที่งอกเงยของทรัพย์สินรัสเซียที่ถูกอายัดไว้ไปยังยูเครนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ในจำนวนเงิน 4,000 ล้านยูโร ทางสหภาพยุโรปจะหักไว้ 2,000 ล้านยูโร เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการผลิตโดรน (UAV) ป้อนให้ยูเครน ตามข้อตกลงร่วมกันระหว่างสหภาพยุโรป (EU) กับยูเครน ทางด้านรัสเซียได้ออกมาตอบโต้การตัดสินใจของสหภาพยุโรปครั้งนี้อย่างทันที 👉ดมิทรี เปสคอฟ โฆษกเครมลิน ได้ออกคำเตือนอย่างแข็งกร้าวต่อผู้นำยุโรป ที่กำลังรวมหัวกันยึดทรัพย์สินของรัสเซียอย่างแยบยลและผิดกฎหมาย และรัสเซียยืนยันว่าจะดำเนินการตามกฎหมายกับบุคคลหรือประเทศใดก็ตามที่ขโมยเงินของรัสเซียอย่างแน่นอน 👉เซอร์เกย์ ลาฟรอฟ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย ได้กล่าวว่า รัสเซียกำลังมองถึงความเป็นไปได้ในการอายัดทรัพย์สินของชาติตะวันตกถือมีอยู่ในรัสเซีย
    0 Comments 0 Shares 340 Views 0 0 Reviews
  • สำหรับคนที่ปกป้องอิสราเอล และเพิ่งรับรู้แค่เหตุการณ์ตุลาคม 2023
    .
    นี่คือบางส่วนในชีวิตประจำวันของชาวกาซา ที่ต้องแบกรับกับความรู้สึกถูกกดขี่ข่มแหงมาหลายสิบปี พวกเขาเป็นเพียงทาสและฝุ่นผงในสายตาของชาวยิว
    สำหรับคนที่ปกป้องอิสราเอล และเพิ่งรับรู้แค่เหตุการณ์ตุลาคม 2023 . นี่คือบางส่วนในชีวิตประจำวันของชาวกาซา ที่ต้องแบกรับกับความรู้สึกถูกกดขี่ข่มแหงมาหลายสิบปี พวกเขาเป็นเพียงทาสและฝุ่นผงในสายตาของชาวยิว
    0 Comments 0 Shares 221 Views 0 0 Reviews
  • “OpenSSL 3.6 เปิดตัวอย่างเป็นทางการ — เสริมความปลอดภัยยุคหลังควอนตัม พร้อมฟีเจอร์ใหม่ระดับองค์กร”

    OpenSSL 3.6 ได้รับการเปิดตัวเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2025 โดยถือเป็นการอัปเดตครั้งใหญ่ของไลบรารีเข้ารหัสยอดนิยมที่ใช้ในเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน และระบบเครือข่ายทั่วโลก เวอร์ชันนี้มาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่ตอบโจทย์ทั้งความปลอดภัยระดับสูงและการเตรียมพร้อมสำหรับยุคหลังควอนตัม (post-quantum cryptography)

    หนึ่งในไฮไลต์สำคัญคือการรองรับการตรวจสอบลายเซ็น LMS (Leighton-Micali Signature) ตามมาตรฐาน NIST SP 800-208 ซึ่งเป็นลายเซ็นที่ออกแบบมาเพื่อความปลอดภัยในยุคที่คอมพิวเตอร์ควอนตัมอาจทำลายระบบเข้ารหัสแบบเดิมได้ โดย LMS รองรับทั้งในโหมด FIPS และโหมดทั่วไป

    OpenSSL 3.6 ยังเพิ่มการรองรับคีย์แบบ opaque symmetric key objects ผ่านฟังก์ชันใหม่ เช่น EVP_KDF_CTX_set_SKEY() และ EVP_PKEY_derive_SKEY() ซึ่งช่วยให้การจัดการคีย์ในระบบองค์กรมีความปลอดภัยมากขึ้น

    นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ใหม่อีกมากมาย เช่น:
    เครื่องมือใหม่ openssl configutl สำหรับจัดการไฟล์คอนฟิก
    รองรับการคอมไพล์ด้วย C99 (ไม่รองรับ ANSI-C อีกต่อไป)
    เพิ่มการตรวจสอบ PCT (Power-On Self Test) สำหรับการนำเข้าคีย์ในโหมด FIPS
    รองรับ ML-KEM และ KEMRecipientInfo สำหรับ CMS ตามมาตรฐาน RFC 9629
    เพิ่มการสร้างลายเซ็น ECDSA แบบ deterministic ตาม FIPS 186-5
    รองรับ TLS 1.3 OCSP multi-stapling สำหรับเซิร์ฟเวอร์
    เพิ่มการปรับแต่งหน่วยความจำปลอดภัยด้วย CRYPTO_MEM_SEC
    ปรับปรุงประสิทธิภาพด้วย Intel AVX-512 และ VAES สำหรับ AES-CFB128
    รองรับ AES-CBC+HMAC-SHA แบบ interleaved บน AArch64
    เพิ่ม SHA-2 assembly สำหรับสถาปัตยกรรม LoongArch
    เพิ่ม API ใหม่ CRYPTO_THREAD_[get|set]_local ลดการพึ่งพาตัวแปร thread-local ของระบบปฏิบัติการ

    OpenSSL 3.6 ยังลบการรองรับแพลตฟอร์ม VxWorks และยกเลิกการใช้งานฟังก์ชัน EVP_PKEY_ASN1_METHOD ที่ล้าสมัย พร้อมเพิ่มการตรวจสอบขนาด buffer ในการเข้ารหัส RSA เพื่อป้องกันการเขียนข้อมูลเกินขอบเขต

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    OpenSSL 3.6 เปิดตัวเมื่อ 1 ตุลาคม 2025 เป็นการอัปเดตใหญ่ของไลบรารีเข้ารหัส
    รองรับ LMS signature verification ตามมาตรฐาน SP 800-208 ทั้งใน FIPS และโหมดทั่วไป
    เพิ่มการรองรับ EVP_SKEY สำหรับการจัดการคีย์แบบ opaque
    เปิดตัวเครื่องมือใหม่ openssl configutl สำหรับจัดการไฟล์คอนฟิก
    รองรับการคอมไพล์ด้วย C99 ไม่รองรับ ANSI-C อีกต่อไป
    เพิ่ม PCT สำหรับการนำเข้าคีย์ใน RSA, EC, ECX และ SLH-DSA
    รองรับ ML-KEM และ KEMRecipientInfo สำหรับ CMS ตาม RFC 9629
    เพิ่มการสร้างลายเซ็น ECDSA แบบ deterministic ตาม FIPS 186-5
    รองรับ TLS 1.3 OCSP multi-stapling สำหรับเซิร์ฟเวอร์
    เพิ่ม CRYPTO_MEM_SEC สำหรับจัดการหน่วยความจำปลอดภัย
    ปรับปรุงประสิทธิภาพด้วย AVX-512, VAES และ SHA-2 assembly
    รองรับ AES-CBC+HMAC-SHA บน AArch64
    เพิ่ม API CRYPTO_THREAD_[get|set]_local ลดการพึ่งพา OS thread-local
    ลบการรองรับ VxWorks และยกเลิกฟังก์ชัน EVP_PKEY_ASN1_METHOD

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    LMS เป็นหนึ่งในลายเซ็นที่ออกแบบมาเพื่อความปลอดภัยในยุค post-quantum
    ML-KEM เป็นอัลกอริธึมเข้ารหัสแบบ KEM ที่ใช้ในมาตรฐาน CMS รุ่นใหม่
    FIPS 140-3 เป็นมาตรฐานความปลอดภัยที่เข้มงวดสำหรับระบบที่ใช้ในภาครัฐสหรัฐฯ
    การใช้ deterministic ECDSA ช่วยลดความเสี่ยงจากการใช้ nonce ซ้ำ
    OCSP multi-stapling ช่วยให้เซิร์ฟเวอร์ส่งข้อมูลการตรวจสอบใบรับรองหลายใบพร้อมกัน

    https://9to5linux.com/openssl-3-6-officially-released-with-lms-signature-verification-support-more
    🔐 “OpenSSL 3.6 เปิดตัวอย่างเป็นทางการ — เสริมความปลอดภัยยุคหลังควอนตัม พร้อมฟีเจอร์ใหม่ระดับองค์กร” OpenSSL 3.6 ได้รับการเปิดตัวเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2025 โดยถือเป็นการอัปเดตครั้งใหญ่ของไลบรารีเข้ารหัสยอดนิยมที่ใช้ในเว็บไซต์ แอปพลิเคชัน และระบบเครือข่ายทั่วโลก เวอร์ชันนี้มาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่ตอบโจทย์ทั้งความปลอดภัยระดับสูงและการเตรียมพร้อมสำหรับยุคหลังควอนตัม (post-quantum cryptography) หนึ่งในไฮไลต์สำคัญคือการรองรับการตรวจสอบลายเซ็น LMS (Leighton-Micali Signature) ตามมาตรฐาน NIST SP 800-208 ซึ่งเป็นลายเซ็นที่ออกแบบมาเพื่อความปลอดภัยในยุคที่คอมพิวเตอร์ควอนตัมอาจทำลายระบบเข้ารหัสแบบเดิมได้ โดย LMS รองรับทั้งในโหมด FIPS และโหมดทั่วไป OpenSSL 3.6 ยังเพิ่มการรองรับคีย์แบบ opaque symmetric key objects ผ่านฟังก์ชันใหม่ เช่น EVP_KDF_CTX_set_SKEY() และ EVP_PKEY_derive_SKEY() ซึ่งช่วยให้การจัดการคีย์ในระบบองค์กรมีความปลอดภัยมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีฟีเจอร์ใหม่อีกมากมาย เช่น: 🔰 เครื่องมือใหม่ openssl configutl สำหรับจัดการไฟล์คอนฟิก 🔰 รองรับการคอมไพล์ด้วย C99 (ไม่รองรับ ANSI-C อีกต่อไป) 🔰 เพิ่มการตรวจสอบ PCT (Power-On Self Test) สำหรับการนำเข้าคีย์ในโหมด FIPS 🔰 รองรับ ML-KEM และ KEMRecipientInfo สำหรับ CMS ตามมาตรฐาน RFC 9629 🔰 เพิ่มการสร้างลายเซ็น ECDSA แบบ deterministic ตาม FIPS 186-5 🔰 รองรับ TLS 1.3 OCSP multi-stapling สำหรับเซิร์ฟเวอร์ 🔰 เพิ่มการปรับแต่งหน่วยความจำปลอดภัยด้วย CRYPTO_MEM_SEC 🔰 ปรับปรุงประสิทธิภาพด้วย Intel AVX-512 และ VAES สำหรับ AES-CFB128 🔰 รองรับ AES-CBC+HMAC-SHA แบบ interleaved บน AArch64 🔰 เพิ่ม SHA-2 assembly สำหรับสถาปัตยกรรม LoongArch 🔰 เพิ่ม API ใหม่ CRYPTO_THREAD_[get|set]_local ลดการพึ่งพาตัวแปร thread-local ของระบบปฏิบัติการ OpenSSL 3.6 ยังลบการรองรับแพลตฟอร์ม VxWorks และยกเลิกการใช้งานฟังก์ชัน EVP_PKEY_ASN1_METHOD ที่ล้าสมัย พร้อมเพิ่มการตรวจสอบขนาด buffer ในการเข้ารหัส RSA เพื่อป้องกันการเขียนข้อมูลเกินขอบเขต ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ OpenSSL 3.6 เปิดตัวเมื่อ 1 ตุลาคม 2025 เป็นการอัปเดตใหญ่ของไลบรารีเข้ารหัส ➡️ รองรับ LMS signature verification ตามมาตรฐาน SP 800-208 ทั้งใน FIPS และโหมดทั่วไป ➡️ เพิ่มการรองรับ EVP_SKEY สำหรับการจัดการคีย์แบบ opaque ➡️ เปิดตัวเครื่องมือใหม่ openssl configutl สำหรับจัดการไฟล์คอนฟิก ➡️ รองรับการคอมไพล์ด้วย C99 ไม่รองรับ ANSI-C อีกต่อไป ➡️ เพิ่ม PCT สำหรับการนำเข้าคีย์ใน RSA, EC, ECX และ SLH-DSA ➡️ รองรับ ML-KEM และ KEMRecipientInfo สำหรับ CMS ตาม RFC 9629 ➡️ เพิ่มการสร้างลายเซ็น ECDSA แบบ deterministic ตาม FIPS 186-5 ➡️ รองรับ TLS 1.3 OCSP multi-stapling สำหรับเซิร์ฟเวอร์ ➡️ เพิ่ม CRYPTO_MEM_SEC สำหรับจัดการหน่วยความจำปลอดภัย ➡️ ปรับปรุงประสิทธิภาพด้วย AVX-512, VAES และ SHA-2 assembly ➡️ รองรับ AES-CBC+HMAC-SHA บน AArch64 ➡️ เพิ่ม API CRYPTO_THREAD_[get|set]_local ลดการพึ่งพา OS thread-local ➡️ ลบการรองรับ VxWorks และยกเลิกฟังก์ชัน EVP_PKEY_ASN1_METHOD ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ LMS เป็นหนึ่งในลายเซ็นที่ออกแบบมาเพื่อความปลอดภัยในยุค post-quantum ➡️ ML-KEM เป็นอัลกอริธึมเข้ารหัสแบบ KEM ที่ใช้ในมาตรฐาน CMS รุ่นใหม่ ➡️ FIPS 140-3 เป็นมาตรฐานความปลอดภัยที่เข้มงวดสำหรับระบบที่ใช้ในภาครัฐสหรัฐฯ ➡️ การใช้ deterministic ECDSA ช่วยลดความเสี่ยงจากการใช้ nonce ซ้ำ ➡️ OCSP multi-stapling ช่วยให้เซิร์ฟเวอร์ส่งข้อมูลการตรวจสอบใบรับรองหลายใบพร้อมกัน https://9to5linux.com/openssl-3-6-officially-released-with-lms-signature-verification-support-more
    9TO5LINUX.COM
    OpenSSL 3.6 Officially Released with LMS Signature Verification Support, More - 9to5Linux
    OpenSSL 3.6 is now available for download as a major update to this open-source software library that provides secure communications.
    0 Comments 0 Shares 261 Views 0 Reviews
  • “Alpine Linux 3.23 ปรับโครงสร้างระบบไฟล์ครั้งใหญ่ — ก้าวสู่ยุค /usr-merged เพื่อความเสถียรและง่ายต่อการดูแล”

    หลังจากเตรียมการมานานหลายเดือน ทีมพัฒนา Alpine Linux ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่า ตั้งแต่เวอร์ชัน 3.23 เป็นต้นไป Alpine Linux จะใช้โครงสร้างระบบไฟล์แบบ /usr-merged โดยที่โฟลเดอร์หลักอย่าง /bin, /sbin และ /lib จะถูกเปลี่ยนเป็น symbolic links ไปยัง /usr/bin, /usr/sbin และ /usr/lib ตามลำดับ

    การเปลี่ยนแปลงนี้มีเป้าหมายเพื่อรวมตำแหน่งของไฟล์ executable และไลบรารีให้เป็นจุดเดียว ลดความซับซ้อนในการดูแลแพ็กเกจ และทำให้การจัดการข้อมูลในระบบ container ง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นการปรับตัวให้สอดคล้องกับมาตรฐานที่นิยมใช้ในดิสโทร Linux อื่น ๆ เช่น Fedora, Debian และ Arch Linux

    สำหรับผู้ใช้ที่ติดตั้งใหม่ในเวอร์ชัน 3.23 ระบบจะเป็น /usr-merged โดยอัตโนมัติ ส่วนผู้ใช้ที่อัปเกรดจากเวอร์ชันก่อนหน้า เช่น 3.22 จะยังไม่ถูกบังคับให้เปลี่ยน แต่ได้รับคำแนะนำให้เริ่มทดสอบและย้ายระบบด้วยคำสั่ง doas merge-usr --dryrun และ doas merge-usr

    อย่างไรก็ตาม เมื่อ Alpine Linux 3.22 สิ้นสุดการสนับสนุนในอนาคต (คาดว่าในช่วงเวอร์ชัน 3.26 หรือ 3.27) ระบบที่ยังไม่เป็น /usr-merged จะไม่สามารถอัปเกรดได้ และจะถือว่า “ไม่รองรับอย่างเป็นทางการ”

    การเปลี่ยนแปลงนี้ยังช่วยแก้ปัญหาที่เคยเกิดจากการมี binary ซ้ำกันระหว่าง busybox และแพ็กเกจอื่น ๆ เช่น มีไฟล์ใน /bin และ /usr/bin ที่ทำงานคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน ซึ่งสร้างความสับสนในการดูแลระบบ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Alpine Linux 3.23 เริ่มใช้โครงสร้างระบบไฟล์แบบ /usr-merged
    /bin, /sbin และ /lib จะกลายเป็น symbolic links ไปยัง /usr/bin, /usr/sbin และ /usr/lib
    การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยลดภาระการดูแลแพ็กเกจและเพิ่มความเสถียรในระบบ container
    การติดตั้งใหม่ในเวอร์ชัน 3.23 จะเป็น /usr-merged โดยอัตโนมัติ
    ผู้ใช้ที่อัปเกรดจากเวอร์ชันก่อนหน้าไม่ถูกบังคับ แต่แนะนำให้เริ่มย้ายระบบ
    คำสั่งที่ใช้ในการย้ายระบบคือ doas merge-usr --dryrun และ doas merge-usr
    เมื่อ Alpine Linux 3.22 สิ้นสุดการสนับสนุน ระบบที่ไม่ใช่ /usr-merged จะไม่สามารถอัปเกรดได้
    การรวมโฟลเดอร์ช่วยลดปัญหา binary ซ้ำระหว่าง busybox และแพ็กเกจอื่น ๆ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ดิสโทร Linux ชั้นนำหลายตัวได้เปลี่ยนมาใช้ /usr-merged แล้ว เช่น Fedora, Debian และ Arch
    Filesystem Hierarchy Standard (FHS) อาจปรับให้ /usr/bin และ /usr/sbin รวมกันในอนาคต
    การใช้ symbolic links ช่วยให้ PATH ไม่เปลี่ยน และยังคงความเข้ากันได้กับระบบเดิม
    การจัดการ container เช่น Docker หรือ Podman จะง่ายขึ้นเมื่อข้อมูลอยู่ภายใต้ /usr
    postmarketOS ซึ่งใช้ Alpine เป็นฐาน ได้รับประโยชน์จากการ merge นี้ในการลดความซับซ้อนของระบบ

    https://9to5linux.com/alpine-linux-is-moving-to-a-usr-merged-file-system-layout
    🧭 “Alpine Linux 3.23 ปรับโครงสร้างระบบไฟล์ครั้งใหญ่ — ก้าวสู่ยุค /usr-merged เพื่อความเสถียรและง่ายต่อการดูแล” หลังจากเตรียมการมานานหลายเดือน ทีมพัฒนา Alpine Linux ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่า ตั้งแต่เวอร์ชัน 3.23 เป็นต้นไป Alpine Linux จะใช้โครงสร้างระบบไฟล์แบบ /usr-merged โดยที่โฟลเดอร์หลักอย่าง /bin, /sbin และ /lib จะถูกเปลี่ยนเป็น symbolic links ไปยัง /usr/bin, /usr/sbin และ /usr/lib ตามลำดับ การเปลี่ยนแปลงนี้มีเป้าหมายเพื่อรวมตำแหน่งของไฟล์ executable และไลบรารีให้เป็นจุดเดียว ลดความซับซ้อนในการดูแลแพ็กเกจ และทำให้การจัดการข้อมูลในระบบ container ง่ายขึ้น นอกจากนี้ยังเป็นการปรับตัวให้สอดคล้องกับมาตรฐานที่นิยมใช้ในดิสโทร Linux อื่น ๆ เช่น Fedora, Debian และ Arch Linux สำหรับผู้ใช้ที่ติดตั้งใหม่ในเวอร์ชัน 3.23 ระบบจะเป็น /usr-merged โดยอัตโนมัติ ส่วนผู้ใช้ที่อัปเกรดจากเวอร์ชันก่อนหน้า เช่น 3.22 จะยังไม่ถูกบังคับให้เปลี่ยน แต่ได้รับคำแนะนำให้เริ่มทดสอบและย้ายระบบด้วยคำสั่ง doas merge-usr --dryrun และ doas merge-usr อย่างไรก็ตาม เมื่อ Alpine Linux 3.22 สิ้นสุดการสนับสนุนในอนาคต (คาดว่าในช่วงเวอร์ชัน 3.26 หรือ 3.27) ระบบที่ยังไม่เป็น /usr-merged จะไม่สามารถอัปเกรดได้ และจะถือว่า “ไม่รองรับอย่างเป็นทางการ” การเปลี่ยนแปลงนี้ยังช่วยแก้ปัญหาที่เคยเกิดจากการมี binary ซ้ำกันระหว่าง busybox และแพ็กเกจอื่น ๆ เช่น มีไฟล์ใน /bin และ /usr/bin ที่ทำงานคล้ายกันแต่ไม่เหมือนกัน ซึ่งสร้างความสับสนในการดูแลระบบ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Alpine Linux 3.23 เริ่มใช้โครงสร้างระบบไฟล์แบบ /usr-merged ➡️ /bin, /sbin และ /lib จะกลายเป็น symbolic links ไปยัง /usr/bin, /usr/sbin และ /usr/lib ➡️ การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยลดภาระการดูแลแพ็กเกจและเพิ่มความเสถียรในระบบ container ➡️ การติดตั้งใหม่ในเวอร์ชัน 3.23 จะเป็น /usr-merged โดยอัตโนมัติ ➡️ ผู้ใช้ที่อัปเกรดจากเวอร์ชันก่อนหน้าไม่ถูกบังคับ แต่แนะนำให้เริ่มย้ายระบบ ➡️ คำสั่งที่ใช้ในการย้ายระบบคือ doas merge-usr --dryrun และ doas merge-usr ➡️ เมื่อ Alpine Linux 3.22 สิ้นสุดการสนับสนุน ระบบที่ไม่ใช่ /usr-merged จะไม่สามารถอัปเกรดได้ ➡️ การรวมโฟลเดอร์ช่วยลดปัญหา binary ซ้ำระหว่าง busybox และแพ็กเกจอื่น ๆ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ดิสโทร Linux ชั้นนำหลายตัวได้เปลี่ยนมาใช้ /usr-merged แล้ว เช่น Fedora, Debian และ Arch ➡️ Filesystem Hierarchy Standard (FHS) อาจปรับให้ /usr/bin และ /usr/sbin รวมกันในอนาคต ➡️ การใช้ symbolic links ช่วยให้ PATH ไม่เปลี่ยน และยังคงความเข้ากันได้กับระบบเดิม ➡️ การจัดการ container เช่น Docker หรือ Podman จะง่ายขึ้นเมื่อข้อมูลอยู่ภายใต้ /usr ➡️ postmarketOS ซึ่งใช้ Alpine เป็นฐาน ได้รับประโยชน์จากการ merge นี้ในการลดความซับซ้อนของระบบ https://9to5linux.com/alpine-linux-is-moving-to-a-usr-merged-file-system-layout
    9TO5LINUX.COM
    Alpine Linux Is Moving to a /usr-merged File System Layout - 9to5Linux
    The Alpine Linux distribution will adopt a /usr-merged file system layout for future Alpine Linux releases starting with Alpine Linux 3.23.
    0 Comments 0 Shares 172 Views 0 Reviews
  • “Cairo-Dock 3.6 กลับมาอีกครั้ง — รองรับ Wayland, HiDPI และ systemd พร้อมปรับตัวสู่ยุคใหม่ของ Linux Desktop”

    หลังจากหายไปจากวงการมานานหลายปี Cairo-Dock ซึ่งเคยเป็นหนึ่งใน dock ยอดนิยมสำหรับผู้ใช้ Linux ได้กลับมาอีกครั้งในเวอร์ชัน 3.6 ที่เปิดตัวเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2025 โดยมาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่ตอบโจทย์ยุคปัจจุบัน ทั้งการรองรับ Wayland, HiDPI และการทำงานร่วมกับ systemd

    Cairo-Dock เคยเป็นที่นิยมในยุคที่ GNOME และ KDE ยังใช้ X11 เป็นหลัก แต่เมื่อ desktop environment หลักเปลี่ยนไปใช้ Wayland เป็นค่าเริ่มต้น ความเข้ากันได้ของ Cairo-Dock ก็ลดลงอย่างมาก จนกระทั่งเวอร์ชันล่าสุดนี้ได้เพิ่มการรองรับ Wayland compositors เช่น KWin (KDE Plasma), Labwc, Wayfire, COSMIC, Sway และ Hyprland

    แม้จะยังไม่รองรับ GNOME Shell/Mutter ซึ่งเป็นค่าเริ่มต้นของ Ubuntu แต่การกลับมาครั้งนี้ก็ถือเป็นก้าวสำคัญ โดยเฉพาะการรองรับ HiDPI ที่ช่วยให้ Cairo-Dock แสดงผลได้คมชัดบนหน้าจอความละเอียดสูง และการรวมเข้ากับ systemd ที่ช่วยให้สามารถรัน Cairo-Dock เป็น service ได้ รวมถึงแอปที่เปิดจาก dock จะถูกจัดการใน slice แยกต่างหาก

    นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงอื่น ๆ เช่น:
    Weather applet ที่ใช้ผู้ให้บริการใหม่
    การตรวจจับแอปที่แม่นยำขึ้น
    การแปลภาษาใหม่และแก้ไขบั๊กจำนวนมาก

    ผู้ดูแลโครงการยังประกาศว่าจะยุติการใช้งานเว็บไซต์เก่า และให้ผู้ใช้ติดตามข้อมูลผ่าน GitHub Wiki และรายงานปัญหาผ่าน GitHub Issues แทน

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Cairo-Dock 3.6 เปิดตัวเมื่อ 1 ตุลาคม 2025 หลังหยุดพัฒนาไปหลายปี
    รองรับ Wayland compositors เช่น KWin, Labwc, Wayfire, COSMIC, Sway และ Hyprland
    ยังไม่รองรับ GNOME Shell/Mutter ซึ่งเป็นค่าเริ่มต้นของ Ubuntu
    เพิ่มการรองรับ HiDPI สำหรับหน้าจอความละเอียดสูง
    รวมเข้ากับ systemd สามารถรันเป็น service และจัดการแอปใน slice แยก
    ปรับปรุง Weather applet และการตรวจจับแอปให้แม่นยำขึ้น
    มีการแปลภาษาใหม่และแก้ไขบั๊กจำนวนมาก
    ย้ายข้อมูลโครงการไปยัง GitHub Wiki และ Issues แทนเว็บไซต์เดิม

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Wayland เป็นโปรโตคอลใหม่ที่มาแทน X11 โดยเน้นความปลอดภัยและประสิทธิภาพ
    HiDPI เป็นมาตรฐานใหม่สำหรับหน้าจอ 4K และ Retina ที่ต้องการการเรนเดอร์แบบคมชัด
    systemd slice ช่วยให้จัดการทรัพยากรของแอปได้ดีขึ้น เช่น CPU และ memory
    COSMIC เป็น desktop environment ใหม่จาก System76 ที่เน้นความลื่นไหลและโมเดิร์น
    Cairo-Dock เคยเป็นที่นิยมในยุค Ubuntu 10.04–14.04 ก่อนจะถูกแทนที่ด้วย Unity และ GNOME Shell

    https://9to5linux.com/cairo-dock-3-6-released-with-wayland-and-hidpi-support-systemd-integration
    🖥️ “Cairo-Dock 3.6 กลับมาอีกครั้ง — รองรับ Wayland, HiDPI และ systemd พร้อมปรับตัวสู่ยุคใหม่ของ Linux Desktop” หลังจากหายไปจากวงการมานานหลายปี Cairo-Dock ซึ่งเคยเป็นหนึ่งใน dock ยอดนิยมสำหรับผู้ใช้ Linux ได้กลับมาอีกครั้งในเวอร์ชัน 3.6 ที่เปิดตัวเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2025 โดยมาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่ตอบโจทย์ยุคปัจจุบัน ทั้งการรองรับ Wayland, HiDPI และการทำงานร่วมกับ systemd Cairo-Dock เคยเป็นที่นิยมในยุคที่ GNOME และ KDE ยังใช้ X11 เป็นหลัก แต่เมื่อ desktop environment หลักเปลี่ยนไปใช้ Wayland เป็นค่าเริ่มต้น ความเข้ากันได้ของ Cairo-Dock ก็ลดลงอย่างมาก จนกระทั่งเวอร์ชันล่าสุดนี้ได้เพิ่มการรองรับ Wayland compositors เช่น KWin (KDE Plasma), Labwc, Wayfire, COSMIC, Sway และ Hyprland แม้จะยังไม่รองรับ GNOME Shell/Mutter ซึ่งเป็นค่าเริ่มต้นของ Ubuntu แต่การกลับมาครั้งนี้ก็ถือเป็นก้าวสำคัญ โดยเฉพาะการรองรับ HiDPI ที่ช่วยให้ Cairo-Dock แสดงผลได้คมชัดบนหน้าจอความละเอียดสูง และการรวมเข้ากับ systemd ที่ช่วยให้สามารถรัน Cairo-Dock เป็น service ได้ รวมถึงแอปที่เปิดจาก dock จะถูกจัดการใน slice แยกต่างหาก นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงอื่น ๆ เช่น: 🔰 Weather applet ที่ใช้ผู้ให้บริการใหม่ 🔰 การตรวจจับแอปที่แม่นยำขึ้น 🔰 การแปลภาษาใหม่และแก้ไขบั๊กจำนวนมาก ผู้ดูแลโครงการยังประกาศว่าจะยุติการใช้งานเว็บไซต์เก่า และให้ผู้ใช้ติดตามข้อมูลผ่าน GitHub Wiki และรายงานปัญหาผ่าน GitHub Issues แทน ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Cairo-Dock 3.6 เปิดตัวเมื่อ 1 ตุลาคม 2025 หลังหยุดพัฒนาไปหลายปี ➡️ รองรับ Wayland compositors เช่น KWin, Labwc, Wayfire, COSMIC, Sway และ Hyprland ➡️ ยังไม่รองรับ GNOME Shell/Mutter ซึ่งเป็นค่าเริ่มต้นของ Ubuntu ➡️ เพิ่มการรองรับ HiDPI สำหรับหน้าจอความละเอียดสูง ➡️ รวมเข้ากับ systemd สามารถรันเป็น service และจัดการแอปใน slice แยก ➡️ ปรับปรุง Weather applet และการตรวจจับแอปให้แม่นยำขึ้น ➡️ มีการแปลภาษาใหม่และแก้ไขบั๊กจำนวนมาก ➡️ ย้ายข้อมูลโครงการไปยัง GitHub Wiki และ Issues แทนเว็บไซต์เดิม ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Wayland เป็นโปรโตคอลใหม่ที่มาแทน X11 โดยเน้นความปลอดภัยและประสิทธิภาพ ➡️ HiDPI เป็นมาตรฐานใหม่สำหรับหน้าจอ 4K และ Retina ที่ต้องการการเรนเดอร์แบบคมชัด ➡️ systemd slice ช่วยให้จัดการทรัพยากรของแอปได้ดีขึ้น เช่น CPU และ memory ➡️ COSMIC เป็น desktop environment ใหม่จาก System76 ที่เน้นความลื่นไหลและโมเดิร์น ➡️ Cairo-Dock เคยเป็นที่นิยมในยุค Ubuntu 10.04–14.04 ก่อนจะถูกแทนที่ด้วย Unity และ GNOME Shell https://9to5linux.com/cairo-dock-3-6-released-with-wayland-and-hidpi-support-systemd-integration
    9TO5LINUX.COM
    Cairo-Dock 3.6 Released with Wayland and HiDPI Support, systemd Integration - 9to5Linux
    Cairo-Dock 3.6 is now available for download as a major update to this dock-like application for your GNU/Linux desktop with new features.
    0 Comments 0 Shares 199 Views 0 Reviews
  • “ซื้อ iPhone รีเฟอร์บจาก Temu — ได้ของดีเกินคาด แต่ความเสี่ยงยังไม่หายไป”

    YouTuber ชื่อดังด้านซ่อมมือถือ “Phone Repair Guru” ได้ทดลองซื้อ iPhone 14 Pro แบบรีเฟอร์บ (refurbished) จาก Temu จำนวน 2 เครื่อง เพื่อพิสูจน์ว่าโทรศัพท์ที่ขายในแพลตฟอร์มจีนราคาประหยัดนี้ “คุ้มจริงหรือแค่หลอก” โดยเขาได้ทำการแกะกล่อง ตรวจสอบสภาพภายนอก และรื้อเครื่องเพื่อดูชิ้นส่วนภายในอย่างละเอียด

    ผลลัพธ์น่าประหลาดใจ: ทั้งสองเครื่องอยู่ในสภาพ “แทบสมบูรณ์” ไม่มีร่องรอยการซ่อมหรือเปลี่ยนอะไหล่ภายใน แม้จะมีฟิล์มกันรอยติดมา ซึ่งบางครั้งใช้เพื่อปกปิดรอยขีดข่วน แต่เมื่อแกะออกพบว่าเครื่องหนึ่งมีรอยเล็กน้อย ส่วนอีกเครื่องดูใหม่มาก

    เขายังตรวจสอบสุขภาพแบตเตอรี่ พบว่าอยู่ที่ 80% และ 83% ซึ่งยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติตามมาตรฐานของ Apple และเมื่อรันระบบ Diagnostics ก็ไม่พบปัญหาใด ๆ ทั้งกล้อง, Face ID, Apple Pay และเซ็นเซอร์ต่าง ๆ ทำงานได้ดี

    เมื่อรื้อเครื่อง เขาพบว่า seal กันน้ำยังไม่ถูกแกะ และสติกเกอร์ตรวจน้ำยังเป็นสีขาว หมายถึงไม่เคยโดนน้ำมาก่อน ชิ้นส่วนภายในทั้งหมดเป็นของแท้จาก Apple ไม่มีการเปลี่ยนหรือดัดแปลงใด ๆ

    อย่างไรก็ตาม เขาเตือนว่าแม้เครื่องที่ได้จะดี แต่ราคาที่จ่ายคือ 858 ดอลลาร์แคนาดาต่อเครื่อง (ประมาณ 615 ดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งสูงกว่าราคามือสองทั่วไปถึงสองเท่า และ Temu ยังมีชื่อเสียงด้านการขายสินค้าปลอม โดยเขาแสดงภาพโฆษณา iPhone ปลอมที่พบในแอป Temu เพื่อเตือนผู้ชมว่า “โชคดีครั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะโชคดีเหมือนกัน”

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    YouTuber Phone Repair Guru ซื้อ iPhone 14 Pro รีเฟอร์บจาก Temu จำนวน 2 เครื่อง
    เครื่องทั้งสองอยู่ในสภาพดีมาก ไม่มีการเปลี่ยนชิ้นส่วนภายใน
    ฟิล์มกันรอยอาจใช้เพื่อปกปิดรอย แต่เมื่อแกะออกพบว่ารอยมีน้อยมาก
    สุขภาพแบตเตอรี่อยู่ที่ 80% และ 83% ยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ
    ระบบ Diagnostics ไม่พบปัญหาใด ๆ ทั้งกล้อง, Face ID, Apple Pay และเซ็นเซอร์
    seal กันน้ำยังอยู่ครบ และสติกเกอร์ตรวจน้ำยังเป็นสีขาว
    ชิ้นส่วนภายในเป็นของแท้จาก Apple ไม่มีการซ่อมหรือเปลี่ยน
    ราคาอยู่ที่ 858 ดอลลาร์แคนาดาต่อเครื่อง สูงกว่าราคามือสองทั่วไป
    ผู้ขายที่เขาเลือกได้รับคำชมว่าเชื่อถือได้

    https://www.slashgear.com/1981156/man-bought-temu-refurbished-iphone-here-is-what-he-found/
    📱 “ซื้อ iPhone รีเฟอร์บจาก Temu — ได้ของดีเกินคาด แต่ความเสี่ยงยังไม่หายไป” YouTuber ชื่อดังด้านซ่อมมือถือ “Phone Repair Guru” ได้ทดลองซื้อ iPhone 14 Pro แบบรีเฟอร์บ (refurbished) จาก Temu จำนวน 2 เครื่อง เพื่อพิสูจน์ว่าโทรศัพท์ที่ขายในแพลตฟอร์มจีนราคาประหยัดนี้ “คุ้มจริงหรือแค่หลอก” โดยเขาได้ทำการแกะกล่อง ตรวจสอบสภาพภายนอก และรื้อเครื่องเพื่อดูชิ้นส่วนภายในอย่างละเอียด ผลลัพธ์น่าประหลาดใจ: ทั้งสองเครื่องอยู่ในสภาพ “แทบสมบูรณ์” ไม่มีร่องรอยการซ่อมหรือเปลี่ยนอะไหล่ภายใน แม้จะมีฟิล์มกันรอยติดมา ซึ่งบางครั้งใช้เพื่อปกปิดรอยขีดข่วน แต่เมื่อแกะออกพบว่าเครื่องหนึ่งมีรอยเล็กน้อย ส่วนอีกเครื่องดูใหม่มาก เขายังตรวจสอบสุขภาพแบตเตอรี่ พบว่าอยู่ที่ 80% และ 83% ซึ่งยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติตามมาตรฐานของ Apple และเมื่อรันระบบ Diagnostics ก็ไม่พบปัญหาใด ๆ ทั้งกล้อง, Face ID, Apple Pay และเซ็นเซอร์ต่าง ๆ ทำงานได้ดี เมื่อรื้อเครื่อง เขาพบว่า seal กันน้ำยังไม่ถูกแกะ และสติกเกอร์ตรวจน้ำยังเป็นสีขาว หมายถึงไม่เคยโดนน้ำมาก่อน ชิ้นส่วนภายในทั้งหมดเป็นของแท้จาก Apple ไม่มีการเปลี่ยนหรือดัดแปลงใด ๆ อย่างไรก็ตาม เขาเตือนว่าแม้เครื่องที่ได้จะดี แต่ราคาที่จ่ายคือ 858 ดอลลาร์แคนาดาต่อเครื่อง (ประมาณ 615 ดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งสูงกว่าราคามือสองทั่วไปถึงสองเท่า และ Temu ยังมีชื่อเสียงด้านการขายสินค้าปลอม โดยเขาแสดงภาพโฆษณา iPhone ปลอมที่พบในแอป Temu เพื่อเตือนผู้ชมว่า “โชคดีครั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าทุกคนจะโชคดีเหมือนกัน” ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ YouTuber Phone Repair Guru ซื้อ iPhone 14 Pro รีเฟอร์บจาก Temu จำนวน 2 เครื่อง ➡️ เครื่องทั้งสองอยู่ในสภาพดีมาก ไม่มีการเปลี่ยนชิ้นส่วนภายใน ➡️ ฟิล์มกันรอยอาจใช้เพื่อปกปิดรอย แต่เมื่อแกะออกพบว่ารอยมีน้อยมาก ➡️ สุขภาพแบตเตอรี่อยู่ที่ 80% และ 83% ยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ ➡️ ระบบ Diagnostics ไม่พบปัญหาใด ๆ ทั้งกล้อง, Face ID, Apple Pay และเซ็นเซอร์ ➡️ seal กันน้ำยังอยู่ครบ และสติกเกอร์ตรวจน้ำยังเป็นสีขาว ➡️ ชิ้นส่วนภายในเป็นของแท้จาก Apple ไม่มีการซ่อมหรือเปลี่ยน ➡️ ราคาอยู่ที่ 858 ดอลลาร์แคนาดาต่อเครื่อง สูงกว่าราคามือสองทั่วไป ➡️ ผู้ขายที่เขาเลือกได้รับคำชมว่าเชื่อถือได้ https://www.slashgear.com/1981156/man-bought-temu-refurbished-iphone-here-is-what-he-found/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    A Man Bought Two Refurbished iPhones From Temu - Here's What He Found When He Opened Them - SlashGear
    A teardown of two refurbished iPhone 14 Pros from Temu revealed pristine OEM parts but raised questions about pricing and platform risks.
    0 Comments 0 Shares 258 Views 0 Reviews
  • “UPnP บน Xbox: ทางลัดสู่การเล่นออนไลน์ลื่นไหล หรือช่องโหว่ที่เปิดบ้านให้แฮกเกอร์?”

    ในยุคที่เกมออนไลน์กลายเป็นกิจกรรมหลักของผู้เล่น Xbox หลายคน การตั้งค่าเครือข่ายให้เหมาะสมจึงเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะการตั้งค่า NAT (Network Address Translation) ที่ส่งผลโดยตรงต่อการเชื่อมต่อกับผู้เล่นคนอื่น ๆ ซึ่ง UPnP หรือ Universal Plug and Play คือฟีเจอร์ที่ช่วยให้ Xbox สามารถเปิดพอร์ตที่จำเป็นสำหรับการเล่นเกมและแชทเสียงได้โดยอัตโนมัติ โดยไม่ต้องเข้าไปตั้งค่าด้วยตัวเอง

    UPnP ทำงานโดยให้ Xbox ส่งคำขอไปยังเราเตอร์เพื่อเปิดพอร์ตที่จำเป็น เช่น สำหรับเกม Call of Duty หรือ Fortnite ซึ่งช่วยให้ข้อมูลเกมไหลผ่านเครือข่ายได้อย่างราบรื่น และทำให้ NAT type ของ Xbox เป็นแบบ “Open” ซึ่งเป็นสถานะที่ดีที่สุดสำหรับการเล่นออนไลน์

    แต่ความสะดวกนี้ก็มีด้านมืด เพราะ UPnP ไม่มีระบบตรวจสอบสิทธิ์ใด ๆ เลย — มันเชื่อทุกคำขอจากอุปกรณ์ในเครือข่ายทันที ซึ่งหมายความว่า หากมีอุปกรณ์ที่ถูกแฮกอยู่ในเครือข่ายเดียวกัน มันสามารถส่งคำขอปลอมไปยังเราเตอร์เพื่อเปิดพอร์ตให้แฮกเกอร์เข้าถึงระบบภายในบ้านได้

    ช่องโหว่นี้เคยถูกใช้ในการโจมตีครั้งใหญ่ เช่น Mirai botnet ที่เจาะอุปกรณ์ IoT ผ่าน UPnP โดยไม่ต้องผ่าน firewall เลย ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยจึงแนะนำว่า หากคุณต้องการความปลอดภัยสูงสุด ควรปิด UPnP และตั้งค่า port forwarding ด้วยตัวเอง แม้จะยุ่งยากกว่า แต่คุณจะควบคุมได้เต็มที่ว่า “ประตูไหนเปิดให้ใคร”

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    UPnP คือโปรโตคอลที่ช่วยให้ Xbox เปิดพอร์ตเครือข่ายโดยอัตโนมัติ
    ช่วยให้ NAT type เป็นแบบ “Open” ซึ่งดีที่สุดสำหรับการเล่นเกมออนไลน์
    Xbox ใช้ UPnP เพื่อเชื่อมต่อกับเกมและแชทเสียงโดยไม่ต้องตั้งค่าด้วยตัวเอง
    หาก UPnP ไม่ทำงาน อาจเกิดข้อผิดพลาด “UPnP Not Successful” บน Xbox
    NAT แบบ Moderate หรือ Strict จะจำกัดการเชื่อมต่อกับผู้เล่นคนอื่น
    การตั้งค่า port forwarding ด้วยตัวเองเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่า
    UPnP เป็นฟีเจอร์ที่เปิดไว้โดยค่าเริ่มต้นในเราเตอร์รุ่นใหม่ส่วนใหญ่

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Xbox ใช้พอร์ต UDP: 88, 500, 3544, 4500 และ TCP/UDP: 3074 สำหรับการเชื่อมต่อ
    การตั้งค่า static IP บน Xbox ช่วยให้ port forwarding มีประสิทธิภาพมากขึ้น
    บางเราเตอร์ต้องตั้งค่า DMZ หรือปรับ firewall เพื่อให้ Xbox เชื่อมต่อได้ดี
    Carrier-Grade NAT (CGNAT) จาก ISP บางรายอาจทำให้ NAT type เป็นแบบ Strict โดยไม่สามารถแก้ไขได้เอง
    การตั้งค่า port forwarding ต้องใช้ข้อมูล IP, MAC address และ gateway ของ Xbox

    https://www.slashgear.com/1981414/xbox-upnp-router-feature-purpose-what-for-how-enable/
    🎮 “UPnP บน Xbox: ทางลัดสู่การเล่นออนไลน์ลื่นไหล หรือช่องโหว่ที่เปิดบ้านให้แฮกเกอร์?” ในยุคที่เกมออนไลน์กลายเป็นกิจกรรมหลักของผู้เล่น Xbox หลายคน การตั้งค่าเครือข่ายให้เหมาะสมจึงเป็นเรื่องสำคัญ โดยเฉพาะการตั้งค่า NAT (Network Address Translation) ที่ส่งผลโดยตรงต่อการเชื่อมต่อกับผู้เล่นคนอื่น ๆ ซึ่ง UPnP หรือ Universal Plug and Play คือฟีเจอร์ที่ช่วยให้ Xbox สามารถเปิดพอร์ตที่จำเป็นสำหรับการเล่นเกมและแชทเสียงได้โดยอัตโนมัติ โดยไม่ต้องเข้าไปตั้งค่าด้วยตัวเอง UPnP ทำงานโดยให้ Xbox ส่งคำขอไปยังเราเตอร์เพื่อเปิดพอร์ตที่จำเป็น เช่น สำหรับเกม Call of Duty หรือ Fortnite ซึ่งช่วยให้ข้อมูลเกมไหลผ่านเครือข่ายได้อย่างราบรื่น และทำให้ NAT type ของ Xbox เป็นแบบ “Open” ซึ่งเป็นสถานะที่ดีที่สุดสำหรับการเล่นออนไลน์ แต่ความสะดวกนี้ก็มีด้านมืด เพราะ UPnP ไม่มีระบบตรวจสอบสิทธิ์ใด ๆ เลย — มันเชื่อทุกคำขอจากอุปกรณ์ในเครือข่ายทันที ซึ่งหมายความว่า หากมีอุปกรณ์ที่ถูกแฮกอยู่ในเครือข่ายเดียวกัน มันสามารถส่งคำขอปลอมไปยังเราเตอร์เพื่อเปิดพอร์ตให้แฮกเกอร์เข้าถึงระบบภายในบ้านได้ ช่องโหว่นี้เคยถูกใช้ในการโจมตีครั้งใหญ่ เช่น Mirai botnet ที่เจาะอุปกรณ์ IoT ผ่าน UPnP โดยไม่ต้องผ่าน firewall เลย ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยจึงแนะนำว่า หากคุณต้องการความปลอดภัยสูงสุด ควรปิด UPnP และตั้งค่า port forwarding ด้วยตัวเอง แม้จะยุ่งยากกว่า แต่คุณจะควบคุมได้เต็มที่ว่า “ประตูไหนเปิดให้ใคร” ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ UPnP คือโปรโตคอลที่ช่วยให้ Xbox เปิดพอร์ตเครือข่ายโดยอัตโนมัติ ➡️ ช่วยให้ NAT type เป็นแบบ “Open” ซึ่งดีที่สุดสำหรับการเล่นเกมออนไลน์ ➡️ Xbox ใช้ UPnP เพื่อเชื่อมต่อกับเกมและแชทเสียงโดยไม่ต้องตั้งค่าด้วยตัวเอง ➡️ หาก UPnP ไม่ทำงาน อาจเกิดข้อผิดพลาด “UPnP Not Successful” บน Xbox ➡️ NAT แบบ Moderate หรือ Strict จะจำกัดการเชื่อมต่อกับผู้เล่นคนอื่น ➡️ การตั้งค่า port forwarding ด้วยตัวเองเป็นทางเลือกที่ปลอดภัยกว่า ➡️ UPnP เป็นฟีเจอร์ที่เปิดไว้โดยค่าเริ่มต้นในเราเตอร์รุ่นใหม่ส่วนใหญ่ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Xbox ใช้พอร์ต UDP: 88, 500, 3544, 4500 และ TCP/UDP: 3074 สำหรับการเชื่อมต่อ ➡️ การตั้งค่า static IP บน Xbox ช่วยให้ port forwarding มีประสิทธิภาพมากขึ้น ➡️ บางเราเตอร์ต้องตั้งค่า DMZ หรือปรับ firewall เพื่อให้ Xbox เชื่อมต่อได้ดี ➡️ Carrier-Grade NAT (CGNAT) จาก ISP บางรายอาจทำให้ NAT type เป็นแบบ Strict โดยไม่สามารถแก้ไขได้เอง ➡️ การตั้งค่า port forwarding ต้องใช้ข้อมูล IP, MAC address และ gateway ของ Xbox https://www.slashgear.com/1981414/xbox-upnp-router-feature-purpose-what-for-how-enable/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    What Is UPnP On Xbox, And Should You Have It Enabled? - SlashGear
    The wrong NAT type can ruin your planned night of gaming on an Xbox Series X or S, but it's an easy enough fix if you're getting a UPnP error.
    0 Comments 0 Shares 231 Views 0 Reviews