• คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 37
    เพื่อนแท้ หายากยิ่งกว่าทองคำ หายากยิ่งกว่าสิ่งของมีค่าใดๆ แม้บางคนชั่วชีวิตทั้งชีวิตยังไม่เคยมีเพื่อนแท้เลยแม้แต่คนเดียว เพราะฉะนั้นเมื่อเราได้พบเจอกับเพื่อนแท้แล้ว เราก็ควรที่จะรักษามิตรภาพนี้ไว้ให้นานตราบนานเท่านานเท่าที่จะสามารถทำได้ นับวันเพื่อนแท้ก็ยิ่งที่จะหายากมากขึ้นทุกทีๆ “เพื่อนดีหายาก เพื่อนชั่วหาง่าย” “คนดีหายาก คนชั่วหาง่าย”
    คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 37 เพื่อนแท้ หายากยิ่งกว่าทองคำ หายากยิ่งกว่าสิ่งของมีค่าใดๆ แม้บางคนชั่วชีวิตทั้งชีวิตยังไม่เคยมีเพื่อนแท้เลยแม้แต่คนเดียว เพราะฉะนั้นเมื่อเราได้พบเจอกับเพื่อนแท้แล้ว เราก็ควรที่จะรักษามิตรภาพนี้ไว้ให้นานตราบนานเท่านานเท่าที่จะสามารถทำได้ นับวันเพื่อนแท้ก็ยิ่งที่จะหายากมากขึ้นทุกทีๆ “เพื่อนดีหายาก เพื่อนชั่วหาง่าย” “คนดีหายาก คนชั่วหาง่าย”
    0 Comments 0 Shares 39 Views 0 Reviews
  • เพื่อนแท้ที่แท้จริง
    เพื่อนแท้ที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร คือ เพื่อนที่รักเราจริงๆ เข้าใจเราจริงๆ ให้อภัยเราได้ทุกเมื่อเชื่อวันจริงๆ ช่วยเหลือเราจริงๆ ถึงแม้ว่าจะต้องเดือดร้อนด้วยกันก็ยอมทำ ตายแทนกันได้ อยู่ด้วยกันในยามที่เราทุกข์ยากเข็ญใจ มีความสุขร่วมกันในทุกๆวันทุกๆวินาที ให้ความสำคัญกับเราในวันสำคัญของเรา รู้ว่าเราเป็นอย่างไร ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร คิดถึงจิตใจของเราอยู่เสมอๆว่าเรารู้สึกอย่างไร คอยเตือนเราในวันที่เรากำลังทำในสิ่งที่ผิดไม่ดี ให้คำแนะนำกับเราเสมอๆในเวลาที่เราต้องการ กำราบเราเมื่อเราเดินทางที่ผิด ปกป้องเราเมื่อรู้ว่าเราไม่ผิด ไม่เดินจากเราไปไหนๆเมื่อเราต้องการความช่วยเหลือและให้กำลังใจเรา เพื่อนนั้นมีค่ามากกว่าสิ่งใดๆ เป็นได้ทั้งแฟน ทั้งพ่อแม่ ทั้งพี่น้อง ทั้งครู ทั้งศิษย์ ทุกสถานะนั้นล้วนต้องเกิดมาจากคำว่าเพื่อน เพื่อนแท้ไม่มีวันจากเราไปไหน ถึงแม้จะแยกจากกันไปคนละโลกก็ยังจะเป็นเพื่อนกัน เพียงแค่เรานึกถึงเค้าๆก็จะอยู่กับเราเสมอๆตลอดเวลา แม้ตายกายแยกจากกันไปก็ยังจะมากลายเป็นวิญญาณผู้พิทักษ์ประจำตัวเราติดตามเราไปในทุกๆที่ เพื่อนมีทั้งคนและสัตว์ มีทั้งสิ่งของต่างๆ รวมทั้งดวงวิญญาณในปรโลก ไม่ว่าใครๆก็มีเพื่อนได้ ไม่ว่าใครๆก็เป็นเพื่อนกันได้ ขอเพียงแค่เราเปิดใจเข้าหากัน เข้าใจซึ่งกันและกัน เท่านั้นเอง “เพื่อนกินหาง่าย เพื่อนตายหายาก”
    เพื่อนแท้ที่แท้จริง เพื่อนแท้ที่แท้จริงนั้นเป็นอย่างไร คือ เพื่อนที่รักเราจริงๆ เข้าใจเราจริงๆ ให้อภัยเราได้ทุกเมื่อเชื่อวันจริงๆ ช่วยเหลือเราจริงๆ ถึงแม้ว่าจะต้องเดือดร้อนด้วยกันก็ยอมทำ ตายแทนกันได้ อยู่ด้วยกันในยามที่เราทุกข์ยากเข็ญใจ มีความสุขร่วมกันในทุกๆวันทุกๆวินาที ให้ความสำคัญกับเราในวันสำคัญของเรา รู้ว่าเราเป็นอย่างไร ชอบอะไร ไม่ชอบอะไร คิดถึงจิตใจของเราอยู่เสมอๆว่าเรารู้สึกอย่างไร คอยเตือนเราในวันที่เรากำลังทำในสิ่งที่ผิดไม่ดี ให้คำแนะนำกับเราเสมอๆในเวลาที่เราต้องการ กำราบเราเมื่อเราเดินทางที่ผิด ปกป้องเราเมื่อรู้ว่าเราไม่ผิด ไม่เดินจากเราไปไหนๆเมื่อเราต้องการความช่วยเหลือและให้กำลังใจเรา เพื่อนนั้นมีค่ามากกว่าสิ่งใดๆ เป็นได้ทั้งแฟน ทั้งพ่อแม่ ทั้งพี่น้อง ทั้งครู ทั้งศิษย์ ทุกสถานะนั้นล้วนต้องเกิดมาจากคำว่าเพื่อน เพื่อนแท้ไม่มีวันจากเราไปไหน ถึงแม้จะแยกจากกันไปคนละโลกก็ยังจะเป็นเพื่อนกัน เพียงแค่เรานึกถึงเค้าๆก็จะอยู่กับเราเสมอๆตลอดเวลา แม้ตายกายแยกจากกันไปก็ยังจะมากลายเป็นวิญญาณผู้พิทักษ์ประจำตัวเราติดตามเราไปในทุกๆที่ เพื่อนมีทั้งคนและสัตว์ มีทั้งสิ่งของต่างๆ รวมทั้งดวงวิญญาณในปรโลก ไม่ว่าใครๆก็มีเพื่อนได้ ไม่ว่าใครๆก็เป็นเพื่อนกันได้ ขอเพียงแค่เราเปิดใจเข้าหากัน เข้าใจซึ่งกันและกัน เท่านั้นเอง “เพื่อนกินหาง่าย เพื่อนตายหายาก”
    0 Comments 0 Shares 56 Views 0 Reviews
  • นิทานเรื่องกระต่ายกับเต่า(ยุคพระศรีอารย์)
    นิทานเรื่องกระต่ายกับเต่าที่ผมจะเสนอทุกท่านนี้นั้นจะเป็นไปในแบบที่มีความสุขและเรียบง่ายมาก แต่ทุกคนนั้นมองข้ามในบางสิ่งที่สำคัญมากไป เอ้ามาเริ่มกันเลยเนาะ
    ครั้งหนึ่งมีเจ้ากระต่ายที่ทะนงตนเองอยู่ตัวหนึ่ง กับเจ้าเต่าน้อยที่อ่อนแออีกตัวหนึ่ง พร้อมทั้งเหล่าสหายผองเพื่อนสัตว์ป่าน้อยใหญ่ประเภทต่างๆอีกมากมายอาศัยอยู่ด้วยกันในป่าแห่งหนึ่ง
    ทุกวันนั้นเจ้ากระต่ายมักจะเห็นเจ้าเต่าน้อยที่น่าสงสารแต่น่ารำคาญในสายตาของเจ้ากระต่ายอยู่ทุกวันๆ และเจ้ากระต่ายก็มักจะดูถูกดูหมิ่นเหยียดหยามเจ้าเต่าน้อยอยู่ทุกวันๆว่า
    “เต่าอย่างนายมันดีแต่เดินชักช้าน่ารำคาญไม่ทันใครๆเค้าหรอก จะทำอะไรก็ชักช้าต้วมเตี้ยมๆ แล้วอย่างนี้จะไปทันเค้าเรอะ ฮ่าๆๆ”
    แล้วมีอยู่วันหนึ่งที่เจ้ากระต่ายได้ไปเห็นเจ้าเต่าน้อยที่น่ารำคาญเดินชักช้าต้วมเตี้ยมๆแล้วก็เกิดความคิดอยากที่จะกลั่นแกล้งเจ้าเต่าน้อยให้อับอายขายขี้หน้าประชาชีไปทั่วทั้งป่าให้สะใจตนเองจนถึงที่สุด เลยออกสาส์นท้ารบท้าทายเจ้าเต่าน้อย และอยากที่โอ้อวดตนเองที่มีร่างกายที่ดีกว่าเจ้าเต่าน้อยที่ดีแต่ชักช้าทำอะไรไม่ทันใครเค้าว่า
    “เรามาวิ่งแข่งกัน ถ้าชั้นชนะนาย นายจะต้องกลายมาเป็นเบ้ของชั้นตลอดไป หรือ นายจะต้องออกไปจากป่าแห่งนี้และไม่ต้องกลับมาที่นี่อีก” “แต่ถ้าชั้นแพ้ นายจะได้รับการยอมรับจากชั้นว่านายไม่ใช่แค่เต่าที่ดีแต่เดินต้วมเตี้ยมๆไปวันๆที่ไม่มีอะไรดีเด่นในตัวเองเลย หรือ นายจะได้อยู่ในป่าแห่งนี้ต่อไป และได้รับการยอมรับจากชั้นว่านายก็มีดีเหมือนกัน และก็จะได้เป็นเจ้าป่าด้วย”
    เต่าน้อยลังเลใจอยู่พักใหญ่ แต่ด้วยความที่เต่าน้อยสุดที่จะอดทนอดกลั้นกับเจ้ากระต่ายที่แสนจะทะนงตนและโอ้อวดนั่นได้ เจ้าเต่าน้อยเลยทำการตกลงที่จะแข่งขันกับเจ้ากระต่าย เพื่อให้เจ้ากระต่ายได้รับรู้กันไปเลยว่า
    “ชั้นไม่ได้เป็นแค่เต่ากระจอกๆที่ใครๆก็จะมาดูถูกดูหมิ่นเหยียดหยามกันได้ง่ายๆ” อย่างที่เจ้ากระต่ายพูดไว้ “ชั้นก็มีดีในตัวเองเหมือนกัน”
    จากนั้นเจ้ากระต่ายก็ได้ประกาศบอกไปกับเหล่าเพื่อนพ้องสหายสัตว์น้อยใหญ่ที่อาศัยอยู่ในป่าเดียวกันให้ได้รับทราบและรับรู้โดยทั่วกันให้มาเป็นสักขีพยานในการที่เจ้ากระต่ายกับเจ้าเต่าน้อยจะทำการประลองวิ่งแข่งกัน โดยให้จัดเตรียมงานการแข่งขันกันในอีกสามวัน
    ครั้นพอถึงวันที่ได้กำหนดไว้แล้ว เจ้ากระต่ายก็มาก่อนเจ้าเต่า และได้เตรียมพร้อมที่จะทำการประลองแข่งขันในทันที แต่ครั้นพอถึงเวลาที่จะทำการแข่งขันแล้ว แต่เจ้าเต่ากลับยังไม่มาตามที่ได้นัดหมายเอาไว้ เจ้ากระต่ายจึงได้ประกาศเหยียดหยามดูถูกเจ้าเต่าว่า
    “ฮ่าๆๆ ป่านนี้แล้วเจ้าเต่ามันยังไม่โผล่หัวมาที่ลานประลองนี้อีก ดูท่าว่าเจ้าเต่ามันคงจะกลัวหัวหดอยู่ในกระดองหนีไปจากป่านี้แล้วล่ะมั้ง”
    แต่พอเจ้ากระต่ายพูดจบยังไม่ทันขาดคำ เจ้าเต่าน้อยที่น่าสงสารก็มาถึงที่ลานประลองในทันที เจ้ากระต่ายจึงได้พูดเกทับบอกเจ้าเต่าไปว่า
    “นายแน่มากที่มาประลองกับชั้นในวันนี้ทั้งๆที่รู้ว่าแพ้อยู่แล้ว ฮ่าๆๆ”
    เจ้าเต่าน้อยที่น่าสงสารก็เลยบอกกับเจ้ากระต่ายที่ทระนงตนเองว่า “เรายังไม่ทันได้แข่งกันเลย ใครจะไปรู้ว่าบางทีกระต่ายที่แสนรวดเร็วอย่างนายอาจจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในวันนี้ก็เป็นได้ หึๆๆ”
    พอได้เวลาที่จะแข่งขันแล้วเหล่าเพื่อนพ้องสัตว์ป่าน้อยใหญ่ทั้งหลายก็มาเป็นสักขีพยานกันถ้วนหน้า และเชียร์ให้กำลังใจเจ้ากระต่ายกับเจ้าเต่าที่มาแข่งขันกันอย่างเอิกเกริกเจี๊ยวจ๊าวเซ็งแซ่ไปทั่วทั้งป่า
    สัญญาณเริ่มการประลองเริ่มดังขึ้น เจ้ากระต่ายออกตัวได้อย่างรวดเร็วแซงหน้าเจ้าเต่าไปอย่างไม่เห็นฝุ่น ตามเส้นทางแข่งขันมีที่อุปสรรคขวากหนามต่างๆมากมาย เจ้ากระต่ายผ่านไปได้หมดได้อย่างง่ายดาย ส่วนเจ้าเต่ากลับทุลักทุเลผ่านไปแทบจะทุกๆด่าน แต่มีอุปสรรคหนึ่งที่เป็นหัวใจในการแข่งขันในครั้งนี้ที่เหล่าผองเพื่อนสัตว์ป่าน้อยใหญ่ได้ตกลงทำกันไว้และคอยลุ้นอยู่อย่างน่าตื่นเต้นเร้าใจที่สุด โดยมีเจ้าป่าราชสีห์เป็นผู้คิดขึ้นมาเพื่อท้าทายเจ้ากระต่ายกับเจ้าเต่าเพื่อให้เห็นถึงคุณค่าของการสามัคคีกลมเกลียวรักกันและกัน เพื่อหวังว่าจะให้เจ้ากระต่ายกับเจ้าเต่าได้รับรู้ถึงมิตรภาพและความดีงามในการอยู่ร่วมกันในป่าแห่งนี้ว่า
    “จงเห็นคุณค่าของกันและกัน อย่าดูถูกกัน อย่าแตกสามัคคีกัน จงเห็นใจกันและกัน เข้าใจกันและกัน และยอมรับความแตกต่างซึ่งกันและกัน ทุกคนนั้นล้วนย่อมมีดีในตนเองด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีใครอยู่เหนือไปกว่ากัน แม้แต่ผู้ที่อ่อนแอที่สุดก็สามารถช่วยเหลือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดได้ ทุกคนย่อมมีดีอยู่ในตัวเองด้วยกันทั้งนั้น”
    ว่าแล้วก็หันไปทางที่เจ้ากระต่ายที่ทุลักทุเลไม่สามารถฝ่าด่านสุดท้ายของราชสีห์และเหล่าเพื่อนพ้องสหายสัตว์ป่าน้อยใหญ่ที่ได้ทำการทดสอบเจ้ากระต่ายกับเจ้าเต่าได้ เจ้ากระต่ายหมดแรงหยุดอยู่ที่ด่านนั้น จนฝ่ายเจ้าเต่าน้อยผ่านมาถึงด่านเดียวกันในที่สุด ถึงแม้ว่าจะทุลักทุเลเกือบหมดสภาพดูไม่จืดก็ตามที
    ด่านสุดท้ายที่ว่านี้ก็คือ ด่านที่จะต้องใช้กำลังแรงของทั้งคู่ฟันฝ่าผ่านไปให้ได้เท่านั้น เพียงแค่กำลังสัตว์ตัวคนเดียวนั้นไม่สามารที่จะฟันฝ่าผ่านไปได้เลย
    ว่าแล้วเจ้าเต่าก็บอกกับเจ้ากระต่ายว่า “ไหนนายบอกว่านายแน่จริงไง ไหงนายยังฝ่าด่านนี้ไปไม่ได้” ส่วนฝ่ายเจ้ากระต่ายนั้นก็รู้สึกตัวว่าตนเองผิดที่ชอบดูถูกเจ้าเต่าอยู่เสมอๆ จึงยอมรับว่าตนเองนั้นฝ่าด่านนี้ไปไม่ได้แน่ถ้าไม่มีเจ้าเต่าคอยช่วยเหลือด้วยอีกแรงหนึ่ง และได้ร้องขออ้อนวอนขอโทษเจ้าเต่าอย่างสำนึกในความหลงผิดที่ตัวเองได้เคยทำไม่ดีกับเจ้าเต่าไว้ และขอให้เจ้าเต่าให้อภัยให้กับตน และจะไม่ทำไม่ดีแบบนี้กับเจ้าเต่าอีกต่อไป ส่วนเจ้าเต่าก็ได้รับรู้ถึงความรู้สึกที่แท้จริงของเจ้ากระต่ายที่มีต่อตนเองนั้นเป็นของจริง จึงคิดถึงคำที่ราชสีห์และเหล่าเพื่อนพ้องสัตว์ป่าทั้งหลายที่ได้เคยสั่งสอนตนและเหล่าสัตว์น้อยใหญ่ทั่วทั้งป่าไว้ในตอนที่มีเหล่าสัตว์ป่าสมาชิกใหม่ทุกตัวที่ถือกำเนิดเกิดมาในป่านี้นั้นต้องได้รับการปฏิญาณตนต่อหน้าเจ้าป่าราชสีห์และสัตว์ป่าตัวอื่นๆทุกตัวที่อาศัยอยู่ในป่าแห่งนี้ว่าจะสืบทอดสานต่อเจตจำนงบรรพชนที่ตายไปที่เคยอาศัยอยู่ในป่าแห่งนี้และได้เฝ้าคอยดูแลรักษาป่าแห่งนี้ไว้ให้กับรุ่นลูกรุ่นหลานในรุ่นหลังว่า
    “พวกเราจะรักษาไว้ซึ่งความดีงามของบรรพชนที่ได้ส่งต่อมาสู่พวกเรารุ่นลูกรุ่นหลาน และเราจะส่งต่อซึ่งความดีงามนี้ไปให้ถึงรุ่นลูกรุ่นหลานข้างหน้าสืบต่อไป”
    ว่าแล้วเจ้าเต่าก็ได้บอกถึงเคล็ดลับวิธีที่จะฟันฝ่าผ่านด่านทดสอบของราชสีห์และเหล่าเพื่อนพ้องสัตว์ป่าน้อยใหญ่ให้กับเจ้ากระต่ายได้ฟัง เจ้ากระต่ายจึงได้รับรู้ถึงเจตจำนงบรรพชนที่ตนเองนั้นได้เคยหลงลืมละเลยไปนานเลยว่า ในตอนที่ตนเองนั้นได้ถือกำเนิดเกิดมาแล้วนั้น และได้อาศัยอยู่ในป่าแห่งนี้นั้น ตนเองได้เคยกระทำอะไรไปบ้างในตอนนั้น ทำให้เจ้ากระต่ายถึงกับร้องไห้น้ำตาไหลคลออาบแก้ม เพราะได้รับรู้ซึ้งซึ่งเจตจำนงของบรรพชนที่ได้ถ่ายทอดมาสู่รุ่นหลังที่ตนเองได้เคยทำการปฏิญาณตนไปนั่นเอง ดังนั้นแล้วเจ้ากระต่ายจึงได้ทำการร่วมมือกับเจ้าเต่าช่วยกันฟันฝ่าผ่านด่านสุดท้ายนี้ไปได้อย่างง่ายดาย
    เหล่าเพื่อนพ้องสัตว์ป่าทุกตัวล้วนต่างตั้งหน้าตั้งตามารอดูเจ้ากระต่ายกับเจ้าเต่าทั้งคู่ที่ทางวิ่งเข้าเส้นชัย ที่ในท้ายที่สุดเจ้ากระต่ายกับเจ้าเต่าก็ได้จับมือจูงกันไปจนถึงเส้นชัยไปได้ในที่สุด โดยที่ปลายทางนั้นมีเจ้าป่าราชสีห์เป็นผู้ให้กำลังใจปลอบโยนเจ้ากระต่ายกับเจ้าเต่าที่รับรู้ได้ถึงหัวใจของการถูกทดสอบในครั้งนี้และตลอดไป
    สุดท้ายนี้ในท้ายที่สุดแล้วก็ไม่มีใครที่ต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ และไม่มีใครที่ได้เป็นฝ่ายที่ได้รับชัยชนะ เพราะเสมอด้วยกันทั้งคู่ แต่มีสิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงไป คือ เหล่าเพื่อนพ้องสัตว์ป่าน้อยใหญ่ในป่าทุกตัวล้วนอาศัยอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขสงบ โดยมีเจ้าป่าราชสีห์เป็นผู้นำประมุขสูงสุดอยู่ในป่าแห่งนี้นั่นเอง
    จบบริบูรณ์
    ป.ล.ผมหวังว่าทุกท่านคงจะชอบนิทานเรื่องกระต่ายกับเต่าแบบฉบับนี้กันไม่มากก็น้อยนะครับ
    นิทานเรื่องกระต่ายกับเต่า(ยุคพระศรีอารย์) นิทานเรื่องกระต่ายกับเต่าที่ผมจะเสนอทุกท่านนี้นั้นจะเป็นไปในแบบที่มีความสุขและเรียบง่ายมาก แต่ทุกคนนั้นมองข้ามในบางสิ่งที่สำคัญมากไป เอ้ามาเริ่มกันเลยเนาะ ครั้งหนึ่งมีเจ้ากระต่ายที่ทะนงตนเองอยู่ตัวหนึ่ง กับเจ้าเต่าน้อยที่อ่อนแออีกตัวหนึ่ง พร้อมทั้งเหล่าสหายผองเพื่อนสัตว์ป่าน้อยใหญ่ประเภทต่างๆอีกมากมายอาศัยอยู่ด้วยกันในป่าแห่งหนึ่ง ทุกวันนั้นเจ้ากระต่ายมักจะเห็นเจ้าเต่าน้อยที่น่าสงสารแต่น่ารำคาญในสายตาของเจ้ากระต่ายอยู่ทุกวันๆ และเจ้ากระต่ายก็มักจะดูถูกดูหมิ่นเหยียดหยามเจ้าเต่าน้อยอยู่ทุกวันๆว่า “เต่าอย่างนายมันดีแต่เดินชักช้าน่ารำคาญไม่ทันใครๆเค้าหรอก จะทำอะไรก็ชักช้าต้วมเตี้ยมๆ แล้วอย่างนี้จะไปทันเค้าเรอะ ฮ่าๆๆ” แล้วมีอยู่วันหนึ่งที่เจ้ากระต่ายได้ไปเห็นเจ้าเต่าน้อยที่น่ารำคาญเดินชักช้าต้วมเตี้ยมๆแล้วก็เกิดความคิดอยากที่จะกลั่นแกล้งเจ้าเต่าน้อยให้อับอายขายขี้หน้าประชาชีไปทั่วทั้งป่าให้สะใจตนเองจนถึงที่สุด เลยออกสาส์นท้ารบท้าทายเจ้าเต่าน้อย และอยากที่โอ้อวดตนเองที่มีร่างกายที่ดีกว่าเจ้าเต่าน้อยที่ดีแต่ชักช้าทำอะไรไม่ทันใครเค้าว่า “เรามาวิ่งแข่งกัน ถ้าชั้นชนะนาย นายจะต้องกลายมาเป็นเบ้ของชั้นตลอดไป หรือ นายจะต้องออกไปจากป่าแห่งนี้และไม่ต้องกลับมาที่นี่อีก” “แต่ถ้าชั้นแพ้ นายจะได้รับการยอมรับจากชั้นว่านายไม่ใช่แค่เต่าที่ดีแต่เดินต้วมเตี้ยมๆไปวันๆที่ไม่มีอะไรดีเด่นในตัวเองเลย หรือ นายจะได้อยู่ในป่าแห่งนี้ต่อไป และได้รับการยอมรับจากชั้นว่านายก็มีดีเหมือนกัน และก็จะได้เป็นเจ้าป่าด้วย” เต่าน้อยลังเลใจอยู่พักใหญ่ แต่ด้วยความที่เต่าน้อยสุดที่จะอดทนอดกลั้นกับเจ้ากระต่ายที่แสนจะทะนงตนและโอ้อวดนั่นได้ เจ้าเต่าน้อยเลยทำการตกลงที่จะแข่งขันกับเจ้ากระต่าย เพื่อให้เจ้ากระต่ายได้รับรู้กันไปเลยว่า “ชั้นไม่ได้เป็นแค่เต่ากระจอกๆที่ใครๆก็จะมาดูถูกดูหมิ่นเหยียดหยามกันได้ง่ายๆ” อย่างที่เจ้ากระต่ายพูดไว้ “ชั้นก็มีดีในตัวเองเหมือนกัน” จากนั้นเจ้ากระต่ายก็ได้ประกาศบอกไปกับเหล่าเพื่อนพ้องสหายสัตว์น้อยใหญ่ที่อาศัยอยู่ในป่าเดียวกันให้ได้รับทราบและรับรู้โดยทั่วกันให้มาเป็นสักขีพยานในการที่เจ้ากระต่ายกับเจ้าเต่าน้อยจะทำการประลองวิ่งแข่งกัน โดยให้จัดเตรียมงานการแข่งขันกันในอีกสามวัน ครั้นพอถึงวันที่ได้กำหนดไว้แล้ว เจ้ากระต่ายก็มาก่อนเจ้าเต่า และได้เตรียมพร้อมที่จะทำการประลองแข่งขันในทันที แต่ครั้นพอถึงเวลาที่จะทำการแข่งขันแล้ว แต่เจ้าเต่ากลับยังไม่มาตามที่ได้นัดหมายเอาไว้ เจ้ากระต่ายจึงได้ประกาศเหยียดหยามดูถูกเจ้าเต่าว่า “ฮ่าๆๆ ป่านนี้แล้วเจ้าเต่ามันยังไม่โผล่หัวมาที่ลานประลองนี้อีก ดูท่าว่าเจ้าเต่ามันคงจะกลัวหัวหดอยู่ในกระดองหนีไปจากป่านี้แล้วล่ะมั้ง” แต่พอเจ้ากระต่ายพูดจบยังไม่ทันขาดคำ เจ้าเต่าน้อยที่น่าสงสารก็มาถึงที่ลานประลองในทันที เจ้ากระต่ายจึงได้พูดเกทับบอกเจ้าเต่าไปว่า “นายแน่มากที่มาประลองกับชั้นในวันนี้ทั้งๆที่รู้ว่าแพ้อยู่แล้ว ฮ่าๆๆ” เจ้าเต่าน้อยที่น่าสงสารก็เลยบอกกับเจ้ากระต่ายที่ทระนงตนเองว่า “เรายังไม่ทันได้แข่งกันเลย ใครจะไปรู้ว่าบางทีกระต่ายที่แสนรวดเร็วอย่างนายอาจจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ในวันนี้ก็เป็นได้ หึๆๆ” พอได้เวลาที่จะแข่งขันแล้วเหล่าเพื่อนพ้องสัตว์ป่าน้อยใหญ่ทั้งหลายก็มาเป็นสักขีพยานกันถ้วนหน้า และเชียร์ให้กำลังใจเจ้ากระต่ายกับเจ้าเต่าที่มาแข่งขันกันอย่างเอิกเกริกเจี๊ยวจ๊าวเซ็งแซ่ไปทั่วทั้งป่า สัญญาณเริ่มการประลองเริ่มดังขึ้น เจ้ากระต่ายออกตัวได้อย่างรวดเร็วแซงหน้าเจ้าเต่าไปอย่างไม่เห็นฝุ่น ตามเส้นทางแข่งขันมีที่อุปสรรคขวากหนามต่างๆมากมาย เจ้ากระต่ายผ่านไปได้หมดได้อย่างง่ายดาย ส่วนเจ้าเต่ากลับทุลักทุเลผ่านไปแทบจะทุกๆด่าน แต่มีอุปสรรคหนึ่งที่เป็นหัวใจในการแข่งขันในครั้งนี้ที่เหล่าผองเพื่อนสัตว์ป่าน้อยใหญ่ได้ตกลงทำกันไว้และคอยลุ้นอยู่อย่างน่าตื่นเต้นเร้าใจที่สุด โดยมีเจ้าป่าราชสีห์เป็นผู้คิดขึ้นมาเพื่อท้าทายเจ้ากระต่ายกับเจ้าเต่าเพื่อให้เห็นถึงคุณค่าของการสามัคคีกลมเกลียวรักกันและกัน เพื่อหวังว่าจะให้เจ้ากระต่ายกับเจ้าเต่าได้รับรู้ถึงมิตรภาพและความดีงามในการอยู่ร่วมกันในป่าแห่งนี้ว่า “จงเห็นคุณค่าของกันและกัน อย่าดูถูกกัน อย่าแตกสามัคคีกัน จงเห็นใจกันและกัน เข้าใจกันและกัน และยอมรับความแตกต่างซึ่งกันและกัน ทุกคนนั้นล้วนย่อมมีดีในตนเองด้วยกันทั้งนั้น ไม่มีใครอยู่เหนือไปกว่ากัน แม้แต่ผู้ที่อ่อนแอที่สุดก็สามารถช่วยเหลือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดได้ ทุกคนย่อมมีดีอยู่ในตัวเองด้วยกันทั้งนั้น” ว่าแล้วก็หันไปทางที่เจ้ากระต่ายที่ทุลักทุเลไม่สามารถฝ่าด่านสุดท้ายของราชสีห์และเหล่าเพื่อนพ้องสหายสัตว์ป่าน้อยใหญ่ที่ได้ทำการทดสอบเจ้ากระต่ายกับเจ้าเต่าได้ เจ้ากระต่ายหมดแรงหยุดอยู่ที่ด่านนั้น จนฝ่ายเจ้าเต่าน้อยผ่านมาถึงด่านเดียวกันในที่สุด ถึงแม้ว่าจะทุลักทุเลเกือบหมดสภาพดูไม่จืดก็ตามที ด่านสุดท้ายที่ว่านี้ก็คือ ด่านที่จะต้องใช้กำลังแรงของทั้งคู่ฟันฝ่าผ่านไปให้ได้เท่านั้น เพียงแค่กำลังสัตว์ตัวคนเดียวนั้นไม่สามารที่จะฟันฝ่าผ่านไปได้เลย ว่าแล้วเจ้าเต่าก็บอกกับเจ้ากระต่ายว่า “ไหนนายบอกว่านายแน่จริงไง ไหงนายยังฝ่าด่านนี้ไปไม่ได้” ส่วนฝ่ายเจ้ากระต่ายนั้นก็รู้สึกตัวว่าตนเองผิดที่ชอบดูถูกเจ้าเต่าอยู่เสมอๆ จึงยอมรับว่าตนเองนั้นฝ่าด่านนี้ไปไม่ได้แน่ถ้าไม่มีเจ้าเต่าคอยช่วยเหลือด้วยอีกแรงหนึ่ง และได้ร้องขออ้อนวอนขอโทษเจ้าเต่าอย่างสำนึกในความหลงผิดที่ตัวเองได้เคยทำไม่ดีกับเจ้าเต่าไว้ และขอให้เจ้าเต่าให้อภัยให้กับตน และจะไม่ทำไม่ดีแบบนี้กับเจ้าเต่าอีกต่อไป ส่วนเจ้าเต่าก็ได้รับรู้ถึงความรู้สึกที่แท้จริงของเจ้ากระต่ายที่มีต่อตนเองนั้นเป็นของจริง จึงคิดถึงคำที่ราชสีห์และเหล่าเพื่อนพ้องสัตว์ป่าทั้งหลายที่ได้เคยสั่งสอนตนและเหล่าสัตว์น้อยใหญ่ทั่วทั้งป่าไว้ในตอนที่มีเหล่าสัตว์ป่าสมาชิกใหม่ทุกตัวที่ถือกำเนิดเกิดมาในป่านี้นั้นต้องได้รับการปฏิญาณตนต่อหน้าเจ้าป่าราชสีห์และสัตว์ป่าตัวอื่นๆทุกตัวที่อาศัยอยู่ในป่าแห่งนี้ว่าจะสืบทอดสานต่อเจตจำนงบรรพชนที่ตายไปที่เคยอาศัยอยู่ในป่าแห่งนี้และได้เฝ้าคอยดูแลรักษาป่าแห่งนี้ไว้ให้กับรุ่นลูกรุ่นหลานในรุ่นหลังว่า “พวกเราจะรักษาไว้ซึ่งความดีงามของบรรพชนที่ได้ส่งต่อมาสู่พวกเรารุ่นลูกรุ่นหลาน และเราจะส่งต่อซึ่งความดีงามนี้ไปให้ถึงรุ่นลูกรุ่นหลานข้างหน้าสืบต่อไป” ว่าแล้วเจ้าเต่าก็ได้บอกถึงเคล็ดลับวิธีที่จะฟันฝ่าผ่านด่านทดสอบของราชสีห์และเหล่าเพื่อนพ้องสัตว์ป่าน้อยใหญ่ให้กับเจ้ากระต่ายได้ฟัง เจ้ากระต่ายจึงได้รับรู้ถึงเจตจำนงบรรพชนที่ตนเองนั้นได้เคยหลงลืมละเลยไปนานเลยว่า ในตอนที่ตนเองนั้นได้ถือกำเนิดเกิดมาแล้วนั้น และได้อาศัยอยู่ในป่าแห่งนี้นั้น ตนเองได้เคยกระทำอะไรไปบ้างในตอนนั้น ทำให้เจ้ากระต่ายถึงกับร้องไห้น้ำตาไหลคลออาบแก้ม เพราะได้รับรู้ซึ้งซึ่งเจตจำนงของบรรพชนที่ได้ถ่ายทอดมาสู่รุ่นหลังที่ตนเองได้เคยทำการปฏิญาณตนไปนั่นเอง ดังนั้นแล้วเจ้ากระต่ายจึงได้ทำการร่วมมือกับเจ้าเต่าช่วยกันฟันฝ่าผ่านด่านสุดท้ายนี้ไปได้อย่างง่ายดาย เหล่าเพื่อนพ้องสัตว์ป่าทุกตัวล้วนต่างตั้งหน้าตั้งตามารอดูเจ้ากระต่ายกับเจ้าเต่าทั้งคู่ที่ทางวิ่งเข้าเส้นชัย ที่ในท้ายที่สุดเจ้ากระต่ายกับเจ้าเต่าก็ได้จับมือจูงกันไปจนถึงเส้นชัยไปได้ในที่สุด โดยที่ปลายทางนั้นมีเจ้าป่าราชสีห์เป็นผู้ให้กำลังใจปลอบโยนเจ้ากระต่ายกับเจ้าเต่าที่รับรู้ได้ถึงหัวใจของการถูกทดสอบในครั้งนี้และตลอดไป สุดท้ายนี้ในท้ายที่สุดแล้วก็ไม่มีใครที่ต้องเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ และไม่มีใครที่ได้เป็นฝ่ายที่ได้รับชัยชนะ เพราะเสมอด้วยกันทั้งคู่ แต่มีสิ่งหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงไป คือ เหล่าเพื่อนพ้องสัตว์ป่าน้อยใหญ่ในป่าทุกตัวล้วนอาศัยอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขสงบ โดยมีเจ้าป่าราชสีห์เป็นผู้นำประมุขสูงสุดอยู่ในป่าแห่งนี้นั่นเอง จบบริบูรณ์ ป.ล.ผมหวังว่าทุกท่านคงจะชอบนิทานเรื่องกระต่ายกับเต่าแบบฉบับนี้กันไม่มากก็น้อยนะครับ
    0 Comments 0 Shares 169 Views 0 Reviews
  • ลิขิตแห่งฟ้า ชะตาแห่งดิน
    ผู้คนทั่วไปมักมองว่าโชคชะตาของเรานั้นล้วนลิขิตเองได้ แต่สำหรับผมแล้วนั้นมันไม่ใช่อย่างนั้นเลย ไม่มีใครฝืนชะตาแห่งฟ้าที่ถูกกำหนดเอาไว้แล้วได้ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ซึ่งบางครั้งเราก็รู้สึกว่าชีวิตเราทำไมมันเป็นอย่างนี้ไปได้ ทั้งๆที่เราก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะทำและต้องการที่จะให้มันเป็นไปอย่างนี้อย่างนั้นเลย แต่สุดท้ายแล้วในท้ายที่สุดแล้วมันก็มักจะมาลงเอยในแบบที่เราไม่อยากให้เป็น ทุกชีวิตทุกจิตวิญญาณล้วนถูกฟ้าเบื้องบนลิขิตเอาไว้แล้วทั้งนั้น ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงใดๆได้เลย
    ชะตากรรมแห่งดินของเราๆสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้ หมายถึงเราสามารถที่จะเลือกได้ เลือกได้ว่าจะไปในทิศทางใด จะไปดีหรือไปร้าย เราเลือกเดินได้และเลือกเดินด้วยตนเองทั้งนั้น เราสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้ว่าอนาคตของเราที่เราคาดหวังไว้นั้นจะเป็นไปอย่างไรในชั่วชีวิตนี้ชาติหนึ่งของเรา และทุกบททดสอบ ทุกการทดสอบจากเบื้องบนนั้น เราสามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยการเลือก และในการเลือกแต่ละครั้งนั้นหมายถึงอนาคตของเรานั่นเอง
    ลุงตั๊บ(ลุงสนธิ ลิ้มทองกุล)มักจะบอกอยู่เสมอๆว่า “คนคำนวณ ไม่สู้ฟ้าลิขิต” ซึ่งมันเป็นเรื่องจริง และมันไม่สามารถที่จะคำนวณเองได้ด้วยตรรกะของคนธรรมดาๆได้เลย
    นักปราชญ์อย่างท่านเทพขงเบ้ง หรือ จูกัดเหลียง มักจะบอกอยู่เสมอๆว่า “ฝืนฟ้ามิอาจอยู่ได้ ต้องปล่อยไปตามฟ้า” ซึ่งคนเราไม่อาจสามารถที่จะฝืนฟ้าหรือเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของตนเองได้เลย
    ส่วนผมนั้นได้คิดคำๆนี้ขึ้นมาก็คือ “ลิขิตแห่งฟ้า ชะตาแห่งดิน” ลิขิตแห่งฟ้านั้นฝืนไม่ได้ แต่โชคชะตาแห่งดินนั้นเราสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงมันได้ โดยการเลือกของเรา การเลือกเส้นทางเดินของเรา หากเราเลือกถูกก็ดีไป หากเราเลือกผิดก็แย่ไป
    หลวงปู่ญาณฯ(สมเด็จพระญาณสังวรฯ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก)ประมุขสงฆ์ไทยและโลก ได้เคยสอนไว้ว่า “ชีวิตนี้น้อยนัก แต่สำคัญนัก จะไปสูงไปต่ำ จะไปดีไปร้าย เลือกได้ในชีวิตนี้เท่านั้น จงคิดให้ดี แล้วจึงเลือกเถิด เลือกให้ดีเถิด”
    สุดท้ายนี้นี่ก็เป็นแค่ทฤษฎีของผมเอง ซึ่งมันขึ้นอยู่กับว่าคุณมีความเชื่อเป็นเช่นไร ซึ่งมันขึ้นอยู่กับตัวของคุณเอง ว่าคุณจะเชื่อหรือไม่ แล้วแต่ประสบการณ์ของคุณเอง
    ลิขิตแห่งฟ้า ชะตาแห่งดิน ผู้คนทั่วไปมักมองว่าโชคชะตาของเรานั้นล้วนลิขิตเองได้ แต่สำหรับผมแล้วนั้นมันไม่ใช่อย่างนั้นเลย ไม่มีใครฝืนชะตาแห่งฟ้าที่ถูกกำหนดเอาไว้แล้วได้ ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ซึ่งบางครั้งเราก็รู้สึกว่าชีวิตเราทำไมมันเป็นอย่างนี้ไปได้ ทั้งๆที่เราก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะทำและต้องการที่จะให้มันเป็นไปอย่างนี้อย่างนั้นเลย แต่สุดท้ายแล้วในท้ายที่สุดแล้วมันก็มักจะมาลงเอยในแบบที่เราไม่อยากให้เป็น ทุกชีวิตทุกจิตวิญญาณล้วนถูกฟ้าเบื้องบนลิขิตเอาไว้แล้วทั้งนั้น ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงใดๆได้เลย ชะตากรรมแห่งดินของเราๆสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้ หมายถึงเราสามารถที่จะเลือกได้ เลือกได้ว่าจะไปในทิศทางใด จะไปดีหรือไปร้าย เราเลือกเดินได้และเลือกเดินด้วยตนเองทั้งนั้น เราสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงได้ว่าอนาคตของเราที่เราคาดหวังไว้นั้นจะเป็นไปอย่างไรในชั่วชีวิตนี้ชาติหนึ่งของเรา และทุกบททดสอบ ทุกการทดสอบจากเบื้องบนนั้น เราสามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยการเลือก และในการเลือกแต่ละครั้งนั้นหมายถึงอนาคตของเรานั่นเอง ลุงตั๊บ(ลุงสนธิ ลิ้มทองกุล)มักจะบอกอยู่เสมอๆว่า “คนคำนวณ ไม่สู้ฟ้าลิขิต” ซึ่งมันเป็นเรื่องจริง และมันไม่สามารถที่จะคำนวณเองได้ด้วยตรรกะของคนธรรมดาๆได้เลย นักปราชญ์อย่างท่านเทพขงเบ้ง หรือ จูกัดเหลียง มักจะบอกอยู่เสมอๆว่า “ฝืนฟ้ามิอาจอยู่ได้ ต้องปล่อยไปตามฟ้า” ซึ่งคนเราไม่อาจสามารถที่จะฝืนฟ้าหรือเปลี่ยนแปลงชะตากรรมของตนเองได้เลย ส่วนผมนั้นได้คิดคำๆนี้ขึ้นมาก็คือ “ลิขิตแห่งฟ้า ชะตาแห่งดิน” ลิขิตแห่งฟ้านั้นฝืนไม่ได้ แต่โชคชะตาแห่งดินนั้นเราสามารถที่จะเปลี่ยนแปลงมันได้ โดยการเลือกของเรา การเลือกเส้นทางเดินของเรา หากเราเลือกถูกก็ดีไป หากเราเลือกผิดก็แย่ไป หลวงปู่ญาณฯ(สมเด็จพระญาณสังวรฯ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก)ประมุขสงฆ์ไทยและโลก ได้เคยสอนไว้ว่า “ชีวิตนี้น้อยนัก แต่สำคัญนัก จะไปสูงไปต่ำ จะไปดีไปร้าย เลือกได้ในชีวิตนี้เท่านั้น จงคิดให้ดี แล้วจึงเลือกเถิด เลือกให้ดีเถิด” สุดท้ายนี้นี่ก็เป็นแค่ทฤษฎีของผมเอง ซึ่งมันขึ้นอยู่กับว่าคุณมีความเชื่อเป็นเช่นไร ซึ่งมันขึ้นอยู่กับตัวของคุณเอง ว่าคุณจะเชื่อหรือไม่ แล้วแต่ประสบการณ์ของคุณเอง
    0 Comments 0 Shares 96 Views 0 Reviews
  • คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 38
    ใครที่มันล้อเล่นกับความรัก มันก็มักจะถูกความรักเล่นงาน
    แต่ถ้าใครที่จริงจังจริงใจกับความรัก เค้าก็มักจะได้ความรักในแบบที่จริงจังจริงใจกลับไป
    คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 38 ใครที่มันล้อเล่นกับความรัก มันก็มักจะถูกความรักเล่นงาน แต่ถ้าใครที่จริงจังจริงใจกับความรัก เค้าก็มักจะได้ความรักในแบบที่จริงจังจริงใจกลับไป
    0 Comments 0 Shares 30 Views 0 Reviews
  • คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 39
    คนดีไม่มีวันทำให้คนที่รักเค้าต้องเจ็บปวด ไม่เหมือนคนชั่วที่ขายพวกพ้องเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง
    คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 39 คนดีไม่มีวันทำให้คนที่รักเค้าต้องเจ็บปวด ไม่เหมือนคนชั่วที่ขายพวกพ้องเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง
    0 Comments 0 Shares 35 Views 0 Reviews
  • คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 40
    ท่ามกลางความมืดมิด ก็ยังมีแสงสว่างอยู่ ตราบใดที่ยังมีความหวังอยู่ ก็จะเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์
    คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 40 ท่ามกลางความมืดมิด ก็ยังมีแสงสว่างอยู่ ตราบใดที่ยังมีความหวังอยู่ ก็จะเห็นแสงสว่างที่ปลายอุโมงค์
    0 Comments 0 Shares 11 Views 0 Reviews
  • คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 41
    ถ้าหากว่าเราไม่ชอบให้ใครทำอะไรกับเรา เราก็อย่าไปทำอย่างนั้นกับคนอื่น
    ถ้าหากว่าเราชอบให้ใครทำอะไรกับเรา เราก็ควรที่จะทำอย่างนั้นกับคนอื่น
    เฉกเช่นเดียวกัน ใครที่ทำไม่ดีกับเรา เราก็อย่าไปโต้ตอบไม่ดีกลับไป แต่ถ้าใครที่ทำดีกับเรา เราก็ควรที่จะทำดีตอบแทนน้ำใจเค้าไป
    “กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นคืนสนอง” สักวันคนที่ทำไม่ดีกับเรา เค้าก็จะได้รับกรรมไม่ดีกลับไปอย่างแน่นอน ไม่ต้องไปตอบโต้กลับ เพราะกฎแห่งกรรมย่อมยุติธรรมเสมอ
    คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 41 ถ้าหากว่าเราไม่ชอบให้ใครทำอะไรกับเรา เราก็อย่าไปทำอย่างนั้นกับคนอื่น ถ้าหากว่าเราชอบให้ใครทำอะไรกับเรา เราก็ควรที่จะทำอย่างนั้นกับคนอื่น เฉกเช่นเดียวกัน ใครที่ทำไม่ดีกับเรา เราก็อย่าไปโต้ตอบไม่ดีกลับไป แต่ถ้าใครที่ทำดีกับเรา เราก็ควรที่จะทำดีตอบแทนน้ำใจเค้าไป “กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นคืนสนอง” สักวันคนที่ทำไม่ดีกับเรา เค้าก็จะได้รับกรรมไม่ดีกลับไปอย่างแน่นอน ไม่ต้องไปตอบโต้กลับ เพราะกฎแห่งกรรมย่อมยุติธรรมเสมอ
    0 Comments 0 Shares 27 Views 0 Reviews
  • คนที่มีจิตใจสูงกับคนที่มีจิตใจต่ำ
    นับวันโลกใบนี้ยิ่งอยู่กันยากมากขึ้นทุกวันๆ แต่โดยส่วนใหญ่แล้วมักจะอยู่ที่กลุ่มบุคคลที่มีพวกพ้องมากนั่นเอง และก็จะได้รับสิทธิพิเศษต่างๆมากมาย ยิ่งคนที่เป็นผู้นำกลุ่มแล้วด้วย ถ้าเป็นคนที่ดีก็ดีไป และก็ดีมากๆด้วย แต่ถ้าเป็นคนที่ชั่วล่ะก็ ฉิบหายแม่งมันทั้งโคตรตระกูลโคตรเหง้ากันเลยทีเดียว “ผู้นำที่ดีก็ดีไป ผู้นำที่ชั่วก็ชั่วไป” ค่าของคนไม่ได้วัดกันที่คนมากหรือน้อย ไม่ได้วัดกันที่มีชื่อเสียงมากดีหรือไม่ ไม่ได้วัดกันที่มีอิทธิพลมากหรือเปล่า แต่วัดกันที่คุณงามความดีในขณะที่ตนเองยังมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่ที่ผลงานอย่างที่ใครๆหลายๆคนเข้าใจกัน ซึ่งบางคนเค้าก็ไม่ได้มีงานทำ ไม่ได้มีผลงานออกมาเป็นชิ้นเป็นอัน ในแบบที่จะสามารถจับต้องกันได้ ก็ไม่มีผลงานออกมา และแม้แต่พระพุทธเจ้าเองท่านก็ไม่มีผลงานที่จับต้องได้เป็นชิ้นเป็นอันเลยแม้แต่น้อยเดียว แต่ท่านมี “ความดี” มี “ธรรมะ” มี “สาระ” และเป็นแก่นสารในตัวของท่านเอง ท่านไม่เคยชักจูงใครให้หลงใหลไปกับท่าน และแถมยังมีแม้แต่คำสอนของท่านเองที่ยังหักล้างในตัวของท่านเองเลยว่า “ห้ามให้เชื่อโดยปราศจากเหตุและผล” ถ้าตัวของท่านเองไม่มี “เหตุผล” ไม่มี “ธรรม” ซึ่งก็คือ “ปัญญา” ความรอบรู้ในทุกโลกหล้า ในทุกอณูของจักรวาล ในทุกดวงจิตวิญญาณแล้ว ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมาเชื่อถือเคารพศรัทธาในตัวของท่านเองเลยแม้แต่น้อยเดียว แต่มันไม่ใช่ ใช่มั้ย ก็เพราะว่าท่านเป็นถึง “พุทธะ” ซึ่งก็คือ “ผู้รู้” และแถมด้วย “รู้แจ้งเห็นจริงทุกสรรพสิ่ง” ศาสนาของท่านถึงได้มีผู้คนศรัทธานับถือมากมายมาจนถึงปัจจุบันนี้นั่นเอง
    เรามาเปรียบเทียบกันว่าระหว่างคนที่มีจิตใจสูงกับคนที่มีจิตใจต่ำว่ามันแตกต่างกันอย่างไร
    คนที่มีจิตใจสูงก็คือ “คนดี” นั่นเอง โดยสรุปย่อๆง่ายๆ แต่เรามาขยายความต่อกันเลยว่ามันเป็นอย่างไร คนที่มีจิตใจสูงมักจะเป็นคนที่มีคุณงามความดีอยู่ในตัวเอง เป็นคนที่ไม่คิดพูดทำในสิ่งที่ไม่ดีไม่งามไม่ถูกต้องต่างๆนาๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กใหญ่ขนาดไหนอย่างไรก็ตาม โดยรวมแล้วก็คือคนที่มี “หิริ” กับ “โอตัปปะ” ซึ่งก็คือ ความละอายความชั่วกลัวเกรงต่อบาปกรรมความชั่วความเลวต่างๆในทุกประเภททั้งหมดโดยไม่มีการยกเว้นเลยแม้แต่เรื่องเดียว พูดไปพูดมามันก็เหมือนกับว่ามันทำกันได้ง่ายๆ แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้นมันไม่ได้ทำกันได้ง่ายๆเลย และเป็นเรื่องที่ยากมากๆเลยด้วย โดยเฉพาะกับคนที่เป็นเพียงแค่คนปุถุชนคนธรรมดาอย่างเราๆท่านๆ แต่กับในคนวิญญูชนนั้นมันเป็นเรื่องที่ไม่ได้ยากเย็นอะไรเลยสำหรับพวกเค้า ก็เพราะว่าเค้าคนนั้นได้ผ่านพ้นจากการเป็นคนปุถุชนมาแล้วนั่นเอง ซึ่งกว่าคนปุถุชนจะมากลายเป็นคนวิญญูชนนั้นมันมักจะต้องพานพบเจอกับตัวอุปสรรคขวากหนามต่างๆมามากมายและกับตัวปัญหาที่ยากยิ่งมาก่อน ซึ่งในจำพวกนี้ก็คือ “เจ้ากรรม นายเวร อริศัตรู และบททดสอบจากเบื้องบน” นั่นเอง และเค้าคนนั้นก็ได้สัมผัสรับรู้ซึ้งได้ถึงสัจธรรมของชีวิตและได้บรรลุธรรมแล้วด้วยดีอย่างลึกซึ้งจนถึงขั้นปล่อยปลดลดละวางซึ่งกิเลสตัวตนของเค้าเอง และได้ค้นพบหนทางสว่างในวิถีชีวิตของตนเองว่าต่อจากนี้ไปจะดำเนินชีวิตไปในทางใดอย่างไรให้มีความสุขและเป็นปกติสุขในแบบฉบับของตนเองจนกว่าร่างกายจะละสังขารของตนเองไปสู่ชีวิตที่เป็นนิรันดร์ในชาติภพหน้าต่อไป นี่คือคนที่มีจิตใจสูง
    แล้วเรามาว่ากันถึงคนที่มีจิตใจต่ำกันบ้างว่ามันเป็นอย่างไร คนที่มีจิตใจต่ำนั้นโดยทั่วไปเรามักจะเรียกขานกันว่าเป็น “คนชั่ว” นั่นเอง แต่เราจะมาอธิบายกันให้เข้าใจยิ่งขึ้นไปอีกคือ คนประเภทนี้นั้นมักจะเป็นคนเห็นแก่ตัว ชอบเอาแต่ใจของตนเองเป็นใหญ่ ไม่สนใจผู้อื่นว่าตนเองจะทำให้ใครเดือดเนื้อร้อนใจหรือไม่อย่างไรในการกระทำของตนเอง ชอบยกตนข่มท่าน ชอบเอาชนะ โลภโมโทสัน มักโกรธโมโหง่าย เลือดร้อนวู่วามบ้าคลั่ง ไม่คิดหน้าระวังหลัง ชื่นชอบอบายมุก เจ้าชู้ประตูดิน ลุ่มหลงมัวเมา และจิตใจเต็มไปด้วยกิเลสตัณหา ชอบอวดเบ่งใหญ่โต วางก้ามเป็นคนอันธพาลขวางคลองคูเมือง นึกว่าตนเองยิ่งใหญ่คับฟ้าทั่วแผ่นดิน มักทะเยอทะยานอยากเป็นใหญ่เป็นโต มักใหญ่ใฝ่สูง บ้าอำนาจ ชอบฆ่าชอบทำลายล้างผลาญ นิสัยโดยรวมแล้วแย่มาก เอาเป็นว่านี่เป็นคนที่ไม่มีธรรมในจิตใจ ไม่มีความดีงามในตัวของตัวเองเลย คนจำพวกนี้มักมีอยู่ทั่วไปในสังคมเรา ไม่เว้นแม้กระทั่งคนที่เห็นแก่ตัวก็เป็นคนชั่วด้วย และก็ชอบที่จะมีความสุขบนความทุกข์ของคนดี เพราะอยู่ในสังคมของคนชั่วเพียงอย่างเดียวไม่ได้ เพราะว่าจะไม่มีใครยอมใคร และจะฆ่ากันเองนั่นเอง และไม่สามารถที่จะอยู่ในหมู่ของคนดีได้อีกด้วย ก็เพราะว่าไม่มีคนดีที่ไหนเค้ายอมรับในนิสัยสันดานความประพฤติชั่วได้ พอตัวเองใกล้จะตายก็ทุรนทุรายและก็ตกนรกลงหลุมกันทุกราย คนจำพวกนี้มักจะกลัวมากๆเพียงอย่างเดียวคือ “กลัวตาย” แต่ไม่กลัวลงนรก เพราะไม่เชื่อในเรื่องของกฎแห่งกรรม พอตายลงไปแล้วก็มาขอส่วนบุญคนอื่น ซึ่งก็สมควรกับการกระทำของตนเองอย่างยิ่งแล้ว นี่คือคนที่มีจิตใจต่ำนั่นเอง
    สุดท้ายแล้ว ในท้ายที่สุดแล้ว คนที่จะเลือกเดินบนทางเดินของตนเองที่จะไปในทิศทางใดนั้นก็มักจะได้เป็นไปในแบบนั้น “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” “ทำอย่างไรได้อย่างนั้น” มันเป็นกฎแห่งกรรม มันเป็นสัจธรรม ไม่มีใครหลีกหนีกรรมพ้นไปได้ กรรมคือการกระทำ “ทำกรรมดีย่อมได้ดี ทำกรรมชั่วย่อมได้ชั่ว” ตอบแทนกรรมกลับไป กรรมยุติธรรมเสมอ แล้วคุณหล่ะ จะเลือกเดินไปในทิศทางใดแบบไหน จะเลือกเป็นคนที่มีจิตใจสูงหรือต่ำ คุณเลือกได้ตั้งแต่บัดนี้นะ เลือกให้ดีก็แล้วกัน ก่อนที่จะหมดโอกาสที่จะได้เลือกอีกตลอดไป เลือกให้ทันก่อนที่คุณจะตายลงไปก็แล้วกัน
    คนที่มีจิตใจสูงกับคนที่มีจิตใจต่ำ นับวันโลกใบนี้ยิ่งอยู่กันยากมากขึ้นทุกวันๆ แต่โดยส่วนใหญ่แล้วมักจะอยู่ที่กลุ่มบุคคลที่มีพวกพ้องมากนั่นเอง และก็จะได้รับสิทธิพิเศษต่างๆมากมาย ยิ่งคนที่เป็นผู้นำกลุ่มแล้วด้วย ถ้าเป็นคนที่ดีก็ดีไป และก็ดีมากๆด้วย แต่ถ้าเป็นคนที่ชั่วล่ะก็ ฉิบหายแม่งมันทั้งโคตรตระกูลโคตรเหง้ากันเลยทีเดียว “ผู้นำที่ดีก็ดีไป ผู้นำที่ชั่วก็ชั่วไป” ค่าของคนไม่ได้วัดกันที่คนมากหรือน้อย ไม่ได้วัดกันที่มีชื่อเสียงมากดีหรือไม่ ไม่ได้วัดกันที่มีอิทธิพลมากหรือเปล่า แต่วัดกันที่คุณงามความดีในขณะที่ตนเองยังมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่ที่ผลงานอย่างที่ใครๆหลายๆคนเข้าใจกัน ซึ่งบางคนเค้าก็ไม่ได้มีงานทำ ไม่ได้มีผลงานออกมาเป็นชิ้นเป็นอัน ในแบบที่จะสามารถจับต้องกันได้ ก็ไม่มีผลงานออกมา และแม้แต่พระพุทธเจ้าเองท่านก็ไม่มีผลงานที่จับต้องได้เป็นชิ้นเป็นอันเลยแม้แต่น้อยเดียว แต่ท่านมี “ความดี” มี “ธรรมะ” มี “สาระ” และเป็นแก่นสารในตัวของท่านเอง ท่านไม่เคยชักจูงใครให้หลงใหลไปกับท่าน และแถมยังมีแม้แต่คำสอนของท่านเองที่ยังหักล้างในตัวของท่านเองเลยว่า “ห้ามให้เชื่อโดยปราศจากเหตุและผล” ถ้าตัวของท่านเองไม่มี “เหตุผล” ไม่มี “ธรรม” ซึ่งก็คือ “ปัญญา” ความรอบรู้ในทุกโลกหล้า ในทุกอณูของจักรวาล ในทุกดวงจิตวิญญาณแล้ว ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องมาเชื่อถือเคารพศรัทธาในตัวของท่านเองเลยแม้แต่น้อยเดียว แต่มันไม่ใช่ ใช่มั้ย ก็เพราะว่าท่านเป็นถึง “พุทธะ” ซึ่งก็คือ “ผู้รู้” และแถมด้วย “รู้แจ้งเห็นจริงทุกสรรพสิ่ง” ศาสนาของท่านถึงได้มีผู้คนศรัทธานับถือมากมายมาจนถึงปัจจุบันนี้นั่นเอง เรามาเปรียบเทียบกันว่าระหว่างคนที่มีจิตใจสูงกับคนที่มีจิตใจต่ำว่ามันแตกต่างกันอย่างไร คนที่มีจิตใจสูงก็คือ “คนดี” นั่นเอง โดยสรุปย่อๆง่ายๆ แต่เรามาขยายความต่อกันเลยว่ามันเป็นอย่างไร คนที่มีจิตใจสูงมักจะเป็นคนที่มีคุณงามความดีอยู่ในตัวเอง เป็นคนที่ไม่คิดพูดทำในสิ่งที่ไม่ดีไม่งามไม่ถูกต้องต่างๆนาๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กใหญ่ขนาดไหนอย่างไรก็ตาม โดยรวมแล้วก็คือคนที่มี “หิริ” กับ “โอตัปปะ” ซึ่งก็คือ ความละอายความชั่วกลัวเกรงต่อบาปกรรมความชั่วความเลวต่างๆในทุกประเภททั้งหมดโดยไม่มีการยกเว้นเลยแม้แต่เรื่องเดียว พูดไปพูดมามันก็เหมือนกับว่ามันทำกันได้ง่ายๆ แต่ในความเป็นจริงแล้วนั้นมันไม่ได้ทำกันได้ง่ายๆเลย และเป็นเรื่องที่ยากมากๆเลยด้วย โดยเฉพาะกับคนที่เป็นเพียงแค่คนปุถุชนคนธรรมดาอย่างเราๆท่านๆ แต่กับในคนวิญญูชนนั้นมันเป็นเรื่องที่ไม่ได้ยากเย็นอะไรเลยสำหรับพวกเค้า ก็เพราะว่าเค้าคนนั้นได้ผ่านพ้นจากการเป็นคนปุถุชนมาแล้วนั่นเอง ซึ่งกว่าคนปุถุชนจะมากลายเป็นคนวิญญูชนนั้นมันมักจะต้องพานพบเจอกับตัวอุปสรรคขวากหนามต่างๆมามากมายและกับตัวปัญหาที่ยากยิ่งมาก่อน ซึ่งในจำพวกนี้ก็คือ “เจ้ากรรม นายเวร อริศัตรู และบททดสอบจากเบื้องบน” นั่นเอง และเค้าคนนั้นก็ได้สัมผัสรับรู้ซึ้งได้ถึงสัจธรรมของชีวิตและได้บรรลุธรรมแล้วด้วยดีอย่างลึกซึ้งจนถึงขั้นปล่อยปลดลดละวางซึ่งกิเลสตัวตนของเค้าเอง และได้ค้นพบหนทางสว่างในวิถีชีวิตของตนเองว่าต่อจากนี้ไปจะดำเนินชีวิตไปในทางใดอย่างไรให้มีความสุขและเป็นปกติสุขในแบบฉบับของตนเองจนกว่าร่างกายจะละสังขารของตนเองไปสู่ชีวิตที่เป็นนิรันดร์ในชาติภพหน้าต่อไป นี่คือคนที่มีจิตใจสูง แล้วเรามาว่ากันถึงคนที่มีจิตใจต่ำกันบ้างว่ามันเป็นอย่างไร คนที่มีจิตใจต่ำนั้นโดยทั่วไปเรามักจะเรียกขานกันว่าเป็น “คนชั่ว” นั่นเอง แต่เราจะมาอธิบายกันให้เข้าใจยิ่งขึ้นไปอีกคือ คนประเภทนี้นั้นมักจะเป็นคนเห็นแก่ตัว ชอบเอาแต่ใจของตนเองเป็นใหญ่ ไม่สนใจผู้อื่นว่าตนเองจะทำให้ใครเดือดเนื้อร้อนใจหรือไม่อย่างไรในการกระทำของตนเอง ชอบยกตนข่มท่าน ชอบเอาชนะ โลภโมโทสัน มักโกรธโมโหง่าย เลือดร้อนวู่วามบ้าคลั่ง ไม่คิดหน้าระวังหลัง ชื่นชอบอบายมุก เจ้าชู้ประตูดิน ลุ่มหลงมัวเมา และจิตใจเต็มไปด้วยกิเลสตัณหา ชอบอวดเบ่งใหญ่โต วางก้ามเป็นคนอันธพาลขวางคลองคูเมือง นึกว่าตนเองยิ่งใหญ่คับฟ้าทั่วแผ่นดิน มักทะเยอทะยานอยากเป็นใหญ่เป็นโต มักใหญ่ใฝ่สูง บ้าอำนาจ ชอบฆ่าชอบทำลายล้างผลาญ นิสัยโดยรวมแล้วแย่มาก เอาเป็นว่านี่เป็นคนที่ไม่มีธรรมในจิตใจ ไม่มีความดีงามในตัวของตัวเองเลย คนจำพวกนี้มักมีอยู่ทั่วไปในสังคมเรา ไม่เว้นแม้กระทั่งคนที่เห็นแก่ตัวก็เป็นคนชั่วด้วย และก็ชอบที่จะมีความสุขบนความทุกข์ของคนดี เพราะอยู่ในสังคมของคนชั่วเพียงอย่างเดียวไม่ได้ เพราะว่าจะไม่มีใครยอมใคร และจะฆ่ากันเองนั่นเอง และไม่สามารถที่จะอยู่ในหมู่ของคนดีได้อีกด้วย ก็เพราะว่าไม่มีคนดีที่ไหนเค้ายอมรับในนิสัยสันดานความประพฤติชั่วได้ พอตัวเองใกล้จะตายก็ทุรนทุรายและก็ตกนรกลงหลุมกันทุกราย คนจำพวกนี้มักจะกลัวมากๆเพียงอย่างเดียวคือ “กลัวตาย” แต่ไม่กลัวลงนรก เพราะไม่เชื่อในเรื่องของกฎแห่งกรรม พอตายลงไปแล้วก็มาขอส่วนบุญคนอื่น ซึ่งก็สมควรกับการกระทำของตนเองอย่างยิ่งแล้ว นี่คือคนที่มีจิตใจต่ำนั่นเอง สุดท้ายแล้ว ในท้ายที่สุดแล้ว คนที่จะเลือกเดินบนทางเดินของตนเองที่จะไปในทิศทางใดนั้นก็มักจะได้เป็นไปในแบบนั้น “ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว” “ทำอย่างไรได้อย่างนั้น” มันเป็นกฎแห่งกรรม มันเป็นสัจธรรม ไม่มีใครหลีกหนีกรรมพ้นไปได้ กรรมคือการกระทำ “ทำกรรมดีย่อมได้ดี ทำกรรมชั่วย่อมได้ชั่ว” ตอบแทนกรรมกลับไป กรรมยุติธรรมเสมอ แล้วคุณหล่ะ จะเลือกเดินไปในทิศทางใดแบบไหน จะเลือกเป็นคนที่มีจิตใจสูงหรือต่ำ คุณเลือกได้ตั้งแต่บัดนี้นะ เลือกให้ดีก็แล้วกัน ก่อนที่จะหมดโอกาสที่จะได้เลือกอีกตลอดไป เลือกให้ทันก่อนที่คุณจะตายลงไปก็แล้วกัน
    0 Comments 0 Shares 196 Views 0 Reviews
  • คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 42
    “ความชั่ว น่ากลัวกว่า ความมืด”
    เหตุก็เพราะว่า ความมืดนั้น แค่ทำให้เรามองไม่เห็นทางหรือในสิ่งต่างๆที่อยู่รอบกายข้างตัวเรา แต่ความชั่วนั้น แม้ในความสว่างก็ยังจะทิ่มแทงใจเราอยู่เสมอๆตลอดเวลา ถึงแม้ว่าคนอื่นๆเค้านั้นจะไม่ได้รับรู้หรือไม่เห็นในการกระทำในสิ่งต่างๆของเราก็ตามที แต่พอเรามานึกคิดถึงในใจขึ้นมาได้เมื่อไหร่ ก็จะทำให้เราเจ็บปวดในการกระทำสิ่งต่างๆของเราที่ไม่ดีไม่งามไม่น่าอภัยและไม่น่าคิดที่จะกระทำลงไปเลยแม้แต่น้อยเดียว ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครสามารถที่จะล่วงรู้ในการกระทำในสิ่งต่างๆของเราที่ไม่ดีไม่งามนั้นก็ตามที แต่เราก็ไม่สามารถที่จะปิดบังจิตใจตัวตนที่แท้จริงของเรานั้นเองได้หรอกว่า เราได้กระทำการใดๆที่ไม่ดีไม่งามนั้นลงไป “สักวันมันต้องชดใช้ในสิ่งที่มันได้กระทำลงไป” เปรียบเสมือนกับ “กรรม” ซึ่งก็คือ “การกระทำ” โดยเฉพาะกรรมชั่วที่เราได้กระทำลงไปไว้แล้วนั้น สักวันนั้นจะต้องชดใช้ในกรรมเก่าในสิ่งที่เรานั้นได้เคยกระทำลงไปไว้แล้วนั้นอยู่ดี ไม่ว่าจะเป็นในชาตินี้หรือจะเป็นในชาติหน้านั่นเอง หรือที่เรามักจะเรียกกันว่า “กรรมตามสนอง” (ไม่มีเว้นในแม้แต่กรรมชั่วกรรมดี) นั่นหล่ะครับ
    คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 42 “ความชั่ว น่ากลัวกว่า ความมืด” เหตุก็เพราะว่า ความมืดนั้น แค่ทำให้เรามองไม่เห็นทางหรือในสิ่งต่างๆที่อยู่รอบกายข้างตัวเรา แต่ความชั่วนั้น แม้ในความสว่างก็ยังจะทิ่มแทงใจเราอยู่เสมอๆตลอดเวลา ถึงแม้ว่าคนอื่นๆเค้านั้นจะไม่ได้รับรู้หรือไม่เห็นในการกระทำในสิ่งต่างๆของเราก็ตามที แต่พอเรามานึกคิดถึงในใจขึ้นมาได้เมื่อไหร่ ก็จะทำให้เราเจ็บปวดในการกระทำสิ่งต่างๆของเราที่ไม่ดีไม่งามไม่น่าอภัยและไม่น่าคิดที่จะกระทำลงไปเลยแม้แต่น้อยเดียว ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครสามารถที่จะล่วงรู้ในการกระทำในสิ่งต่างๆของเราที่ไม่ดีไม่งามนั้นก็ตามที แต่เราก็ไม่สามารถที่จะปิดบังจิตใจตัวตนที่แท้จริงของเรานั้นเองได้หรอกว่า เราได้กระทำการใดๆที่ไม่ดีไม่งามนั้นลงไป “สักวันมันต้องชดใช้ในสิ่งที่มันได้กระทำลงไป” เปรียบเสมือนกับ “กรรม” ซึ่งก็คือ “การกระทำ” โดยเฉพาะกรรมชั่วที่เราได้กระทำลงไปไว้แล้วนั้น สักวันนั้นจะต้องชดใช้ในกรรมเก่าในสิ่งที่เรานั้นได้เคยกระทำลงไปไว้แล้วนั้นอยู่ดี ไม่ว่าจะเป็นในชาตินี้หรือจะเป็นในชาติหน้านั่นเอง หรือที่เรามักจะเรียกกันว่า “กรรมตามสนอง” (ไม่มีเว้นในแม้แต่กรรมชั่วกรรมดี) นั่นหล่ะครับ
    0 Comments 0 Shares 61 Views 0 Reviews
  • คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 43
    การทำดีมันก็เหมือนกับการปิดทองข้างหลังพระ นมนานกว่ามันจะเต็มหลังพระมาถึงข้างหน้า
    ไม่เหมือนกับการทำความชั่ว ได้หน้าในวันนี้ แต่สักวันหนึ่งมันจะย้อนกลับมาแทงข้างหลังได้
    คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 43 การทำดีมันก็เหมือนกับการปิดทองข้างหลังพระ นมนานกว่ามันจะเต็มหลังพระมาถึงข้างหน้า ไม่เหมือนกับการทำความชั่ว ได้หน้าในวันนี้ แต่สักวันหนึ่งมันจะย้อนกลับมาแทงข้างหลังได้
    0 Comments 0 Shares 16 Views 0 Reviews
  • คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 44
    ความแตกต่างระหว่างคนดีกับคนชั่ว
    คนดีไม่ทำชั่ว คนชั่วไม่ทำดี
    ซึ่งมันเป็นประโยคที่สั้นๆง่ายๆ แต่มันเป็นความจริง และไม่ต้องไปคิดมากให้มันปวดหัว เพราะมันก็เป็นเช่นนั้นเอง จดจำเอาไว้ล่ะ
    คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 44 ความแตกต่างระหว่างคนดีกับคนชั่ว คนดีไม่ทำชั่ว คนชั่วไม่ทำดี ซึ่งมันเป็นประโยคที่สั้นๆง่ายๆ แต่มันเป็นความจริง และไม่ต้องไปคิดมากให้มันปวดหัว เพราะมันก็เป็นเช่นนั้นเอง จดจำเอาไว้ล่ะ
    0 Comments 0 Shares 40 Views 0 Reviews
  • คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 45
    คนเก่งมีมากมาย คนดีหายากยิ่ง
    หมายถึง คนที่อ้างตนเองว่าเป็นคนดีคนเก่งนั้นมีมากมาย แต่คนที่เป็นคนที่ดีจริงๆนั้นมีเพียงแค่หยิบมือเดียว นั่นเอง
    คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 45 คนเก่งมีมากมาย คนดีหายากยิ่ง หมายถึง คนที่อ้างตนเองว่าเป็นคนดีคนเก่งนั้นมีมากมาย แต่คนที่เป็นคนที่ดีจริงๆนั้นมีเพียงแค่หยิบมือเดียว นั่นเอง
    0 Comments 0 Shares 15 Views 0 Reviews
  • คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 46
    จะทำการสิ่งใดจงอย่าทำเล่นๆ เพราะว่าถ้าหากทำเล่นๆ ก็จะได้สิ่งที่เล่นๆตอบแทนกลับคืนมา แต่ถ้าหากว่าทำอย่างจริงๆจังๆ ก็จะได้สิ่งที่จริงๆจังๆตอบแทนกลับคืนมา
    คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 46 จะทำการสิ่งใดจงอย่าทำเล่นๆ เพราะว่าถ้าหากทำเล่นๆ ก็จะได้สิ่งที่เล่นๆตอบแทนกลับคืนมา แต่ถ้าหากว่าทำอย่างจริงๆจังๆ ก็จะได้สิ่งที่จริงๆจังๆตอบแทนกลับคืนมา
    0 Comments 0 Shares 19 Views 0 Reviews
  • คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 47
    จะเป็นเหลืองทอง หรือ เหลืองขี้ ก็ให้เลือกเอาเอง
    เหลืองทอง คือ คนที่เป็นคนที่ดีอย่างแท้จริง ที่ไม่ใส่ใจในคำกล่าวหานินทาใส่ร้ายป้ายสีใดๆ และยังคงตั้งหน้าตั้งตาก้มหน้าทำความดีอย่างไม่ย่อท้อตลอดไป
    เหลืองขี้ คือ คนที่เป็นคนกะท่อนกะแท่น ที่มัวแต่ไปฟังคำพูดกล่าวหานินทาของคนอื่นอยู่ตลอดเวลา แล้วก็ทำชั่วใส่คนอื่น และไม่มีความหนักแน่นมั่นคงในตนเอง คิดว่าตนเองไม่ดีพอ เลยเลิกล้มทำความดีเสีย
    เปรียบเปรย เหลืองทอง คือคนที่ดีจริง ส่วนเหลืองขี้ คือ คนที่ไม่ดีพอ หรือ ดีไม่จริง นั่นเอง
    คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 47 จะเป็นเหลืองทอง หรือ เหลืองขี้ ก็ให้เลือกเอาเอง เหลืองทอง คือ คนที่เป็นคนที่ดีอย่างแท้จริง ที่ไม่ใส่ใจในคำกล่าวหานินทาใส่ร้ายป้ายสีใดๆ และยังคงตั้งหน้าตั้งตาก้มหน้าทำความดีอย่างไม่ย่อท้อตลอดไป เหลืองขี้ คือ คนที่เป็นคนกะท่อนกะแท่น ที่มัวแต่ไปฟังคำพูดกล่าวหานินทาของคนอื่นอยู่ตลอดเวลา แล้วก็ทำชั่วใส่คนอื่น และไม่มีความหนักแน่นมั่นคงในตนเอง คิดว่าตนเองไม่ดีพอ เลยเลิกล้มทำความดีเสีย เปรียบเปรย เหลืองทอง คือคนที่ดีจริง ส่วนเหลืองขี้ คือ คนที่ไม่ดีพอ หรือ ดีไม่จริง นั่นเอง
    0 Comments 0 Shares 19 Views 0 Reviews
  • คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 48
    หมาเห่า อย่าเห่าตอบ เดี๋ยวจะกลายเป็นหมาอีกตัวได้
    เปรียบเสมือน การที่คนอื่นหาเรื่องเรา แล้วเราก็หาเรื่องตอบกลับไป มันก็เป็นแบบเดียวกันกับเขา
    เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร ก็เช่นกัน เป็นแบบเดียวกัน แต่เป็นการกระทำที่ชั่วกว่า เพราะคนเราเดี๋ยวนี้มันเหมือนหมาเห่ากัดกันมากกว่าคนแล้วนะ ในยุคสมัยนี้นี่น่ะ ก็เพราะว่าคนเรานั้นขาดสติ ดีแต่ใช่อารมณ์กันเสียเป็นส่วนใหญ่นั่นแหล่ะ
    คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 48 หมาเห่า อย่าเห่าตอบ เดี๋ยวจะกลายเป็นหมาอีกตัวได้ เปรียบเสมือน การที่คนอื่นหาเรื่องเรา แล้วเราก็หาเรื่องตอบกลับไป มันก็เป็นแบบเดียวกันกับเขา เวรย่อมระงับด้วยการไม่จองเวร ก็เช่นกัน เป็นแบบเดียวกัน แต่เป็นการกระทำที่ชั่วกว่า เพราะคนเราเดี๋ยวนี้มันเหมือนหมาเห่ากัดกันมากกว่าคนแล้วนะ ในยุคสมัยนี้นี่น่ะ ก็เพราะว่าคนเรานั้นขาดสติ ดีแต่ใช่อารมณ์กันเสียเป็นส่วนใหญ่นั่นแหล่ะ
    0 Comments 0 Shares 52 Views 0 Reviews
  • ตัวเลขและความฮา(อย่าจริงจังให้มันมากนัก เพราะนี่คือการคลายเครียด)
    เลขหนึ่ง-หึงหวง
    เลขสอง-จองหอง
    เลขสาม-หยามเกียรติ
    เลขสี่-ดีแตก
    เลขห้า-บ้าเห่อ
    เลขหก-ซกมก
    เลขเจ็ด-เข็ดหลาบ
    เลขแปด-แผดเผา
    เลขเก้า-เร้าใจ
    เลขศูนย์-สูญเสีย
    ฮ่าๆๆ ตัวเลขแห่งความฮาทั้งหมดก็มีอยู่เท่านี้แหล่ะ ใครชอบเลขไหนก็เฮฮากันไปเนาะ
    ตัวเลขและความฮา(อย่าจริงจังให้มันมากนัก เพราะนี่คือการคลายเครียด) เลขหนึ่ง-หึงหวง เลขสอง-จองหอง เลขสาม-หยามเกียรติ เลขสี่-ดีแตก เลขห้า-บ้าเห่อ เลขหก-ซกมก เลขเจ็ด-เข็ดหลาบ เลขแปด-แผดเผา เลขเก้า-เร้าใจ เลขศูนย์-สูญเสีย ฮ่าๆๆ ตัวเลขแห่งความฮาทั้งหมดก็มีอยู่เท่านี้แหล่ะ ใครชอบเลขไหนก็เฮฮากันไปเนาะ
    0 Comments 0 Shares 41 Views 0 Reviews
  • คำอธิบายการเป็นราชาผู้พิทักษ์แห่งความมืดของฉัน
    ราชาผู้พิทักษ์มีอยู่สองแบบ คือ
    หนึ่ง เป็นโดยกำเนิด ซึ่งก็คือการที่มีพรสวรรค์ที่พิเศษมาตั้งแต่กำเนิด โดยอาศัยปัจจัยที่สำคัญมากยิ่ง หนึ่งในนั้นก็คือ บุญญาธิการ หรือ บุญกุศลบุญบารมี ที่เคยได้เคยกระทำมาแล้วในอดีตชาตินั่นเอง
    สอง เป็นโดยความสามรถ ซึ่งก็คือการฝึกฝนอบรมขัดเกลาความสามารถในด้านต่างๆโดยได้รับการอบรมสั่งสอนจากผู้อื่น หรือ โดยบังคับโดยสภาวะแวดล้อมในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโดยตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจกระทำด้วยตนเองก็ตาม
    ซึ่งโดยในตัวของฉันนั้นเองนั้นเป็นโดยความสามารถนั่นเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเลยในการเป็นราชาผู้พิทักษ์ของฉันนั้น ฉันฝึกฝนตนเองโดยใช้ธรรมะในการฝึกฝนความสามารถพิเศษต่างๆจากการศึกษาหาความรู้จากในหนังสือธรรมะ การปฏิบัติธรรมในรูปแบบต่างๆมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นการสะสมบุญกุศลบุญบารมีในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการให้ทาน รักษาศีล และการภาวนา(สวดมนต์ไหว้พระก่อนนอน นั่งสมาธิ)และก็จะต้องทำทุกวันทุกคืนไม่ได้ขาดเลย เพราะว่าของมันจะเสื่อมลง ยกเว้นตอนป่วย เพราะตอนคนเราป่วยไข้นั้น มันจะทำให้เราไม่สามารถทำได้อย่างสบาย หรือ ไม่สามารถทำได้อย่างเต็มที่นัก(ก็คนมันป่วยนี่นะ มันมีคนป่วยที่ไหนมันเดินมันวิ่งได้ล่ะ ไม่มีหรอก ฮ่าๆๆ)ซึ่งแต่ก่อนที่ฉันจะหันมาเข้าสู่ทางธรรมนั้น ฉันก็ได้พลังมาโดยการเป็นบ้า คลั่ง ฟุ้งซ่าน และได้รับพลังมาโดยการถูกมารร้ายเข้าสิงร่าง ซึ่งในตอนนั้นฉันนั้นไม่สามารถควบคุมพลังของมารร้ายได้ และได้รับพลังเข้ามามากจนเกินกำลังความสามารถที่ฉันนั้นจะสามารถควบคุมพลังของมารร้ายตนนั้นได้ ซึ่งอย่าว่าแต่คิดที่จะควบคุมพลังเลย แค่ควบคุมตัวเองฉันยังทำไม่ได้เลย(ให้ตายสิว่ะ)ซึ่งมันก็เหมือนกับคนถูกของสั่งใส่หรือคนถูกผีเข้านั่นแหล่ะ แต่มันจะต่างกันตรงที่คนที่ถูกผีเข้าจะไม่รู้เรื่องรู้ราว ไม่มีสติ และก็จะจำอะไรไม่ได้เลย ในตอนที่ถูกผีเข้าสิงร่าง แต่การถูกมารร้ายเข้าสิงมันไม่เหมือนกัน มันต่างกันตรงที่มีสติ พูดจารู้เรื่อง แต่จะปวดหัวมาก เหมือนหัวมันจะระเบิดออกมาให้ได้เลยยังไงยังงั้น แต่มันไม่ระเบิดออกมาจริงๆก็เท่านั้นเอง(ถ้าหัวคนเรามันระเบิดออกมาจริงๆ มันก็ตายคาที่ตรงนั้นไปแล้ว)และก็จะต้องระบายอารมณ์ความโกรธเกรี้ยวกราดออกมาเพื่อที่จะทำให้มันหายปวดหัวนั่นเองแหล่ะ มันเหมือนกับการทำให้ตัวเองหายเหนื่อยโดยการพักผ่อนนั่นเอง แต่ตอนนี้มันไม่เป็นอย่างนั้นแล้วล่ะ ฉันสามารถควบคุมมันและพลังได้แล้ว โดยใช้ธรรมะเป็นตัวควบคุมและเป็นแรงผลักดันในการเพิ่มพลังความสามารถของฉันให้มีมากขึ้นยิ่งๆขึ้นไปเรื่อยๆ(ทุกวันนี้ฉันยังไม่เคยใช้พลังของตัวเองที่มีอย่างสูงสุดขีดอย่างเต็มที่ร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มเลย ไม่มีโอกาสใช้เลยว่ะ)และความสามารถที่แท้จริงของฉันก็ยังไม่ถึงขีดสุดเลย เพราะขีดสูงสุดของพลังที่แท้จริงนั้นมันจะต้องเปิดพลังจักรวาล ซึ่งมีอยู่ทางเดียวนั่นเองก็คือการบรรลุมรรคผลนิพพานเท่านั้น พอถึงจุดนั้นแล้วก็ไม่มีผู้ใดต่อต้านฉันได้อีกต่อไป นอกจากตัวเอง แต่แม้แต่พระพุทธเจ้าและเหล่าพระอรหันต์ยังตายเลย ฉันเองก็ต้องตายเหมือนกัน ไม่มีใครอยู่ยงค้ำฟ้าไปตลอดกาลหรอก ซึ่งมันก็จะมีคนรุ่นใหม่ๆมาทดแทนเป็นยุคสมัยใหม่ต่อไปนั่นแหล่ะ
    ที่ฉันเป็นราชาได้ไม่ใช่เพราะว่าฉันแข็งแกร่งแต่เพียงอย่างเดียวหรอกนะ มันต้องมีองค์ประกอบปัจจัยในหลายๆอย่างมันถึงจะแข็งแกร่งได้ เช่น มีร่างกายที่แข็งแรง มีจิตใจที่เข้มแข็ง มีจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์ มีธรรมะ มีความดีงาม มีบุญกุศลบุญบารมี มีคุณธรรม มีศีลธรรม มีปัญญาญาณ และก็ยังมีปัจจัยอื่นๆอีกมากมายหลายอย่างเลยนะ และคนชั่ว คนเลว คนไม่ดี คนไม่มีศีลมีธรรม มันเป็นราชาไม่ได้หรอก เค้าไม่ให้มันเป็น(ฉันหมายถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์นะ)มันจะต้องได้รับความอนุญาตอนุเคราะห์จากเค้าก่อนนะ ถึงจะเป็นราชากันได้ ซึ่งจะรับรู้ได้โดยญาณของตนเอง เมื่อฝึกฝนมาเต็มที่เต็มภูมิแล้วนั่นเอง แค่เป็นคนเก่งอย่างเดียวมันไม่พอหรอกนะ มันต้องเป็นคนดีด้วย มันถึงจะเป็นราชากันได้ ซึ่งฉันเห็นไอ้พวกที่มันอยากจะเป็นอย่างฉันนั้นมันมีมากมายเยอะแยะกันเสียเหลือเกินนักหนา แต่มันก็เป็นไม่ได้หรอก เผลอๆดีไม่ดีมันจะกลายเป็นบ้ากันไปหมดทุกคนเลยนะ เพราะเค้าไม่อนุญาตให้มันเป็น แล้วก็อีกอย่างนึงนะ ไอ้พวกนี้มันชอบเลียนแบบฉันกันนักเชียว กะอีแค่ชื่อนามแฝงของฉันมันก็เอาไป(ฉันหมายถึงชื่อ Dark Danger นะ)ตำแหน่งของฉันมันก็เอาไป(ฉันหมายถึง The King Of Dark นะ แต่ตำแหน่งนี้มันเป็นแค่ราชาแห่งความมืดธรรมดาทั่วไป)ซึ่งแค่ตำแหน่งมันก็ไม่เท่าไหร่ เพราะว่าผู้ที่มีคุณสมบัติของราชาแห่งความมืดนี้มีถึง หนึ่ง ใน หนึ่งล้าน คน แต่ว่าผู้ที่เป็นราชาแห่งความมืดนั้นมีเพียงแค่ หนึ่ง ใน หนึ่งพันล้าน คน เท่านั้น แต่ผู้ที่เป็นราชาแห่งความมืดที่แท้จริงนั้นมีเพียง หนึ่ง ใน หนึ่งล้านล้าน คน เท่านั้นเอง ซึ่งประชากรในโลกนี้มีเพียงหลายพันล้านคนในปัจจุบัน และฉันก็ปรารถนาที่จะเป็นราชาแห่งความมืดที่แท้จริงในอนาคตให้จงได้เลย(เพื่อไม่ให้ตัวเองต้องเสียใจในภายหลังว่าชาติหนึ่งนี้จะไม่ได้เป็น ฉันจะเป็นให้จงได้)ทั้งนี้ก็เพื่อช่วยเหลือผู้อื่นต่อไปในอนาคตอันไกลข้างหน้า ไม่ใช่เพื่อตัวของฉันเองเพียงแค่คนเดียว เพราะว่าการเป็นราชานั้นมันจะต้องแลกกับการเสียสละที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่เป็นราชาแล้วมันดูเท่ ดูดี เป็นแล้วมันสบาย ไม่ใช่อย่างนั้นอย่างแน่นอน มีตำแหน่งก็ต้องมีภาระหน้าที่ที่ต้องทำ ไม่ใช่ไม่มี ซึ่งมันก็เหมือนกันกับในหนังไอ้แมงมุมและหนังอื่นๆที่ว่า “พลังที่ยิ่งใหญ่ มักจะมากับภาระที่ใหญ่ยิ่ง” นั่นเอง และคนที่เคยได้ไปยืนอยู่บนจุดสูงสุดของตำแหน่งราชาที่แท้จริงก็มีให้เห็นเป็นประจักษ์พยานแล้วอยู่คนหนึ่ง คนที่ทุกคนรักและเทิดทูนบูชายิ่งกว่าราชาทั่วไป ราชาที่แท้จริง ราชาเหนือราชาทั้งปวง แค่เอ่ยแค่นี้ก็คงจะนึกออกได้ทันทีทันใด ถ้ายังนึกไม่ออกก็จะบอกให้ คนๆนั้นก็คือ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ นั่งเองไง
    “ฉันจะเป็นราชาที่แท้จริงให้จงได้ เป็นให้ได้อย่างท่านให้จงได้ ท่านพ่อหลวง(ในหลวงรัชกาลที่ ๙)”
    “ชั่วชีวิตนี้ลูกขอมอบไว้ให้กับพวกท่าน แด่ดวงวิญญาณบรรพบุรุษ ตราบใดที่ลูกยังอยู่ ลูกจะขอสืบทอดสานต่อซึ่งเจตจำนงบรรพชน อุดมการณ์พันธมิตรฯ และภารกิจของพวกท่านต่อไป และตลอดไป”
    ป.ล.ใครอยากจะเป็นราชาแห่งความมืดก็เป็นไป แต่จงจำไว้อย่างนึง คือ ใครที่มันล้อเล่นกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มันไม่มีทางได้ดีมีความสุขอย่างแน่นอน(เผลอๆมันจะตายโหงตายห่าโดยไม่รู้ตัว ถ้าไม่ตายก็ทรมาน เป็นบ้ากัน ทนทุกขเวทนาตลอดชีวิต ตกลงนรกหมกไหม้กันทังเป็นและตายไป)ฉันเตือนแล้วนะ ถ้าไม่อยากเป็นบ้า ก็ขอให้เลิกเป็นซะ แล้วจะหาว่าฉันไม่เตือนล่ะ
    คำอธิบายการเป็นราชาผู้พิทักษ์แห่งความมืดของฉัน ราชาผู้พิทักษ์มีอยู่สองแบบ คือ หนึ่ง เป็นโดยกำเนิด ซึ่งก็คือการที่มีพรสวรรค์ที่พิเศษมาตั้งแต่กำเนิด โดยอาศัยปัจจัยที่สำคัญมากยิ่ง หนึ่งในนั้นก็คือ บุญญาธิการ หรือ บุญกุศลบุญบารมี ที่เคยได้เคยกระทำมาแล้วในอดีตชาตินั่นเอง สอง เป็นโดยความสามรถ ซึ่งก็คือการฝึกฝนอบรมขัดเกลาความสามารถในด้านต่างๆโดยได้รับการอบรมสั่งสอนจากผู้อื่น หรือ โดยบังคับโดยสภาวะแวดล้อมในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโดยตั้งใจหรือไม่ได้ตั้งใจกระทำด้วยตนเองก็ตาม ซึ่งโดยในตัวของฉันนั้นเองนั้นเป็นโดยความสามารถนั่นเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเลยในการเป็นราชาผู้พิทักษ์ของฉันนั้น ฉันฝึกฝนตนเองโดยใช้ธรรมะในการฝึกฝนความสามารถพิเศษต่างๆจากการศึกษาหาความรู้จากในหนังสือธรรมะ การปฏิบัติธรรมในรูปแบบต่างๆมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นการสะสมบุญกุศลบุญบารมีในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการให้ทาน รักษาศีล และการภาวนา(สวดมนต์ไหว้พระก่อนนอน นั่งสมาธิ)และก็จะต้องทำทุกวันทุกคืนไม่ได้ขาดเลย เพราะว่าของมันจะเสื่อมลง ยกเว้นตอนป่วย เพราะตอนคนเราป่วยไข้นั้น มันจะทำให้เราไม่สามารถทำได้อย่างสบาย หรือ ไม่สามารถทำได้อย่างเต็มที่นัก(ก็คนมันป่วยนี่นะ มันมีคนป่วยที่ไหนมันเดินมันวิ่งได้ล่ะ ไม่มีหรอก ฮ่าๆๆ)ซึ่งแต่ก่อนที่ฉันจะหันมาเข้าสู่ทางธรรมนั้น ฉันก็ได้พลังมาโดยการเป็นบ้า คลั่ง ฟุ้งซ่าน และได้รับพลังมาโดยการถูกมารร้ายเข้าสิงร่าง ซึ่งในตอนนั้นฉันนั้นไม่สามารถควบคุมพลังของมารร้ายได้ และได้รับพลังเข้ามามากจนเกินกำลังความสามารถที่ฉันนั้นจะสามารถควบคุมพลังของมารร้ายตนนั้นได้ ซึ่งอย่าว่าแต่คิดที่จะควบคุมพลังเลย แค่ควบคุมตัวเองฉันยังทำไม่ได้เลย(ให้ตายสิว่ะ)ซึ่งมันก็เหมือนกับคนถูกของสั่งใส่หรือคนถูกผีเข้านั่นแหล่ะ แต่มันจะต่างกันตรงที่คนที่ถูกผีเข้าจะไม่รู้เรื่องรู้ราว ไม่มีสติ และก็จะจำอะไรไม่ได้เลย ในตอนที่ถูกผีเข้าสิงร่าง แต่การถูกมารร้ายเข้าสิงมันไม่เหมือนกัน มันต่างกันตรงที่มีสติ พูดจารู้เรื่อง แต่จะปวดหัวมาก เหมือนหัวมันจะระเบิดออกมาให้ได้เลยยังไงยังงั้น แต่มันไม่ระเบิดออกมาจริงๆก็เท่านั้นเอง(ถ้าหัวคนเรามันระเบิดออกมาจริงๆ มันก็ตายคาที่ตรงนั้นไปแล้ว)และก็จะต้องระบายอารมณ์ความโกรธเกรี้ยวกราดออกมาเพื่อที่จะทำให้มันหายปวดหัวนั่นเองแหล่ะ มันเหมือนกับการทำให้ตัวเองหายเหนื่อยโดยการพักผ่อนนั่นเอง แต่ตอนนี้มันไม่เป็นอย่างนั้นแล้วล่ะ ฉันสามารถควบคุมมันและพลังได้แล้ว โดยใช้ธรรมะเป็นตัวควบคุมและเป็นแรงผลักดันในการเพิ่มพลังความสามารถของฉันให้มีมากขึ้นยิ่งๆขึ้นไปเรื่อยๆ(ทุกวันนี้ฉันยังไม่เคยใช้พลังของตัวเองที่มีอย่างสูงสุดขีดอย่างเต็มที่ร้อยเปอร์เซ็นต์เต็มเลย ไม่มีโอกาสใช้เลยว่ะ)และความสามารถที่แท้จริงของฉันก็ยังไม่ถึงขีดสุดเลย เพราะขีดสูงสุดของพลังที่แท้จริงนั้นมันจะต้องเปิดพลังจักรวาล ซึ่งมีอยู่ทางเดียวนั่นเองก็คือการบรรลุมรรคผลนิพพานเท่านั้น พอถึงจุดนั้นแล้วก็ไม่มีผู้ใดต่อต้านฉันได้อีกต่อไป นอกจากตัวเอง แต่แม้แต่พระพุทธเจ้าและเหล่าพระอรหันต์ยังตายเลย ฉันเองก็ต้องตายเหมือนกัน ไม่มีใครอยู่ยงค้ำฟ้าไปตลอดกาลหรอก ซึ่งมันก็จะมีคนรุ่นใหม่ๆมาทดแทนเป็นยุคสมัยใหม่ต่อไปนั่นแหล่ะ ที่ฉันเป็นราชาได้ไม่ใช่เพราะว่าฉันแข็งแกร่งแต่เพียงอย่างเดียวหรอกนะ มันต้องมีองค์ประกอบปัจจัยในหลายๆอย่างมันถึงจะแข็งแกร่งได้ เช่น มีร่างกายที่แข็งแรง มีจิตใจที่เข้มแข็ง มีจิตวิญญาณที่บริสุทธิ์ มีธรรมะ มีความดีงาม มีบุญกุศลบุญบารมี มีคุณธรรม มีศีลธรรม มีปัญญาญาณ และก็ยังมีปัจจัยอื่นๆอีกมากมายหลายอย่างเลยนะ และคนชั่ว คนเลว คนไม่ดี คนไม่มีศีลมีธรรม มันเป็นราชาไม่ได้หรอก เค้าไม่ให้มันเป็น(ฉันหมายถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์นะ)มันจะต้องได้รับความอนุญาตอนุเคราะห์จากเค้าก่อนนะ ถึงจะเป็นราชากันได้ ซึ่งจะรับรู้ได้โดยญาณของตนเอง เมื่อฝึกฝนมาเต็มที่เต็มภูมิแล้วนั่นเอง แค่เป็นคนเก่งอย่างเดียวมันไม่พอหรอกนะ มันต้องเป็นคนดีด้วย มันถึงจะเป็นราชากันได้ ซึ่งฉันเห็นไอ้พวกที่มันอยากจะเป็นอย่างฉันนั้นมันมีมากมายเยอะแยะกันเสียเหลือเกินนักหนา แต่มันก็เป็นไม่ได้หรอก เผลอๆดีไม่ดีมันจะกลายเป็นบ้ากันไปหมดทุกคนเลยนะ เพราะเค้าไม่อนุญาตให้มันเป็น แล้วก็อีกอย่างนึงนะ ไอ้พวกนี้มันชอบเลียนแบบฉันกันนักเชียว กะอีแค่ชื่อนามแฝงของฉันมันก็เอาไป(ฉันหมายถึงชื่อ Dark Danger นะ)ตำแหน่งของฉันมันก็เอาไป(ฉันหมายถึง The King Of Dark นะ แต่ตำแหน่งนี้มันเป็นแค่ราชาแห่งความมืดธรรมดาทั่วไป)ซึ่งแค่ตำแหน่งมันก็ไม่เท่าไหร่ เพราะว่าผู้ที่มีคุณสมบัติของราชาแห่งความมืดนี้มีถึง หนึ่ง ใน หนึ่งล้าน คน แต่ว่าผู้ที่เป็นราชาแห่งความมืดนั้นมีเพียงแค่ หนึ่ง ใน หนึ่งพันล้าน คน เท่านั้น แต่ผู้ที่เป็นราชาแห่งความมืดที่แท้จริงนั้นมีเพียง หนึ่ง ใน หนึ่งล้านล้าน คน เท่านั้นเอง ซึ่งประชากรในโลกนี้มีเพียงหลายพันล้านคนในปัจจุบัน และฉันก็ปรารถนาที่จะเป็นราชาแห่งความมืดที่แท้จริงในอนาคตให้จงได้เลย(เพื่อไม่ให้ตัวเองต้องเสียใจในภายหลังว่าชาติหนึ่งนี้จะไม่ได้เป็น ฉันจะเป็นให้จงได้)ทั้งนี้ก็เพื่อช่วยเหลือผู้อื่นต่อไปในอนาคตอันไกลข้างหน้า ไม่ใช่เพื่อตัวของฉันเองเพียงแค่คนเดียว เพราะว่าการเป็นราชานั้นมันจะต้องแลกกับการเสียสละที่ยิ่งใหญ่ ไม่ใช่เป็นราชาแล้วมันดูเท่ ดูดี เป็นแล้วมันสบาย ไม่ใช่อย่างนั้นอย่างแน่นอน มีตำแหน่งก็ต้องมีภาระหน้าที่ที่ต้องทำ ไม่ใช่ไม่มี ซึ่งมันก็เหมือนกันกับในหนังไอ้แมงมุมและหนังอื่นๆที่ว่า “พลังที่ยิ่งใหญ่ มักจะมากับภาระที่ใหญ่ยิ่ง” นั่นเอง และคนที่เคยได้ไปยืนอยู่บนจุดสูงสุดของตำแหน่งราชาที่แท้จริงก็มีให้เห็นเป็นประจักษ์พยานแล้วอยู่คนหนึ่ง คนที่ทุกคนรักและเทิดทูนบูชายิ่งกว่าราชาทั่วไป ราชาที่แท้จริง ราชาเหนือราชาทั้งปวง แค่เอ่ยแค่นี้ก็คงจะนึกออกได้ทันทีทันใด ถ้ายังนึกไม่ออกก็จะบอกให้ คนๆนั้นก็คือ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ นั่งเองไง “ฉันจะเป็นราชาที่แท้จริงให้จงได้ เป็นให้ได้อย่างท่านให้จงได้ ท่านพ่อหลวง(ในหลวงรัชกาลที่ ๙)” “ชั่วชีวิตนี้ลูกขอมอบไว้ให้กับพวกท่าน แด่ดวงวิญญาณบรรพบุรุษ ตราบใดที่ลูกยังอยู่ ลูกจะขอสืบทอดสานต่อซึ่งเจตจำนงบรรพชน อุดมการณ์พันธมิตรฯ และภารกิจของพวกท่านต่อไป และตลอดไป” ป.ล.ใครอยากจะเป็นราชาแห่งความมืดก็เป็นไป แต่จงจำไว้อย่างนึง คือ ใครที่มันล้อเล่นกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ มันไม่มีทางได้ดีมีความสุขอย่างแน่นอน(เผลอๆมันจะตายโหงตายห่าโดยไม่รู้ตัว ถ้าไม่ตายก็ทรมาน เป็นบ้ากัน ทนทุกขเวทนาตลอดชีวิต ตกลงนรกหมกไหม้กันทังเป็นและตายไป)ฉันเตือนแล้วนะ ถ้าไม่อยากเป็นบ้า ก็ขอให้เลิกเป็นซะ แล้วจะหาว่าฉันไม่เตือนล่ะ
    0 Comments 0 Shares 272 Views 0 Reviews
  • คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 49
    คนฉลาดจะใช้เวลาอย่างคุ้มค่า ส่วนคนโง่จะใช้เวลาอย่างไร้ค่า
    คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 49 คนฉลาดจะใช้เวลาอย่างคุ้มค่า ส่วนคนโง่จะใช้เวลาอย่างไร้ค่า
    0 Comments 0 Shares 37 Views 0 Reviews
  • คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 50
    ถ้าเราทำตัวให้มีค่า เราก็จะเป็นคนที่มีค่าในตัวเอง แต่ถ้าเราทำตัวเป็นคนที่ไร้ค่า เราก็จะเป็นคนที่ไร้ค่าอยู่นั่นแหล่ะ
    คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 50 ถ้าเราทำตัวให้มีค่า เราก็จะเป็นคนที่มีค่าในตัวเอง แต่ถ้าเราทำตัวเป็นคนที่ไร้ค่า เราก็จะเป็นคนที่ไร้ค่าอยู่นั่นแหล่ะ
    0 Comments 0 Shares 13 Views 0 Reviews
  • คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 51
    มีศีล เป็น คน
    ขาดศีล เป็น เดรัจฉาน
    ขาดธรรม เป็น อสูรกาย
    ขาดความดี เป็น สัตว์นรก
    คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 51 มีศีล เป็น คน ขาดศีล เป็น เดรัจฉาน ขาดธรรม เป็น อสูรกาย ขาดความดี เป็น สัตว์นรก
    0 Comments 0 Shares 38 Views 0 Reviews
  • คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 52
    ความแตกต่างระหว่างเหตุผลกับข้ออ้าง คือ เหตุผลนั้นมีธรรมอยู่ ส่วนข้ออ้างนั้นไม่มีธรรมอยู่นั่นเอง
    คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 52 ความแตกต่างระหว่างเหตุผลกับข้ออ้าง คือ เหตุผลนั้นมีธรรมอยู่ ส่วนข้ออ้างนั้นไม่มีธรรมอยู่นั่นเอง
    0 Comments 0 Shares 28 Views 0 Reviews
  • จากความหวังของฉัน สู่แรงบันดาลใจให้ผู้อื่น
    สวัสดีทุกคน ฉันมีเรื่องมาระบายความในใจ คนเราทุกคนล้วนต้องต่อสู้ ต่อสู้กับสิ่งต่างๆมามากมาย ฉันต่อสู้มานานแล้ว โดยเฉพาะกับมารในตัวเอง และบ่อยครั้งที่มารภายในตัวเองนั้นมีชัยเหนือกว่า และมันก็ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันมีอยู่นั้นแตกสลายไป บ้างก็เสียหาย บ้างก็ตาย แต่ไม่ว่าจะมีสิ่งใดที่หายตายจากไป ฉันก็ยังมีชีวิตอยู่ ยังมีตัวตนอยู่ สิ่งที่ฉันปรารถนาสูงสุดในชีวิตนี้นั้นก็คือ การหลุดพ้น หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดกับวงจรบ้าบอที่มันเกิดตายไม่รู้จักจบจักสิ้น หลุดพ้นจากทุกสิ่งที่มันทำให้ฉันต้องเจ็บปวดทนทุกข์ทรมานอยู่ตลอดเวลา แต่มันมีสิ่งหนึ่งที่ฉันยังต้องทำอยู่ก่อนที่จะตาย นั่นคือการช่วยเหลือคนที่เค้าเป็นอย่างฉัน เจ็บปวดอย่างฉัน แต่ดูๆแล้วคงไม่มีหรอกมั้ง คนอย่างฉัน ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะว่าฉันนั้นมันเป็นตัวประหลาด เป็นตัวแปลกแยก แตกต่างจากคนอื่น แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะบางครั้งคนเราก็มีช่วงเวลาที่ท้อแท้สิ้นหวังหมดกำลังใจในชีวิตนี้ ไม่รู้จะแก้ไขปัญหาต่างๆที่ตนเองนั้นต้องเผชิญพบเจอได้อย่างไรได้ บางครั้งถึงกับคิดสั้น คิดที่จะฆ่าตัวตายไปให้มันพ้นๆจากโลกใบนี้ที่มันแสนจะทารุณก็ตามที ฉันเข้าใจในตัวคุณดี เพราะว่าฉันก็มีความคิดแบบนี้เหมือนกันกับคุณ และก็มีหลายครั้งมากๆด้วย แต่การฆ่าตัวตายนั้นมันไม่ใช่ทางออกที่ดูดีนักสักเท่าไหร่ ถึงแม้ว่ามันจะทำให้คุณหลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานในโลกนี้ไปก็ตามที แต่ก็ใช่ว่าในโลกหน้าชาติภพหน้าต่อไปของคุณนั้นจะหลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานต่างๆเหล่านั้นได้อีก มันไม่ใช่ทางออกที่ดีและถูกต้องตรงจุดต้นเหตุสาเหตูที่แท้จริงของคุณที่คุณมีอยู่ได้ แต่อย่างน้อยฉันก็ยังยกย่องพวกคุณที่ได้ฆ่าตัวตายสำเร็จทุกๆท่านมากมายอย่างยิ่งยวด เพราะอย่างน้อยคุณก็ไม่ได้ไปทำร้ายใครไม่ได้ไปฆ่าใครเค้า และก็ยังมีความกล้าหาญเป็นอย่างยิ่งอีกด้วยที่คุณทำได้สำเร็จ แต่มันไม่ดี ในเมื่อไม่มีใครรักเราเลยสักคน อย่างน้อยๆเราก็ควรที่จะรู้จักรักตัวเราเอง ช่างหัวคนที่มันไม่รักเราไม่เข้าใจเรา พวกนั้นมันก็แค่ไอ้อีพวกผู้คนเห็นแก่ตัวเลวระยำกลุ่มหนึ่งสังคมหนึ่งในหมู่คนมากมาย คุณไม่ต้องไปสนใจใส่ใจพวกมัน ไม่ต้องไปเอาใจเราไปใส่ใจสนใจความรู้สึกของพวกมัน มันไม่เป็นอย่างเรามันไม่เคยเจ็บปวดอย่างเรา มันย่อมไม่รู้ว่ามันรู้สึกอย่างไร ทนทุกข์ทรมานมากมายแค่ไหนเพียงไร คนเราในทุกวันนี้มันขาดศีลขาดธรรม ขาดความดีงาม ขาดความจริงใจ และก็ขาดจิตใจจิตวิญญาณกันทั้งนั้น ทุกวันนี้พวกมันก็เหมือนกับซากศพซอมบี้เดินได้เข้าไปกันทุกวันๆ ผู้คนมีมากมาย แต่คนดีไม่มีเลย แทบจะหาไม่ได้แล้วในโลกอันเสื่อมทรามโสมมใบนี้ เป็นพันธุ์หายากที่ใกล้จะสูญพันธุ์เข้าไปทุกทีๆ
    ความหวังและกำลังใจเป็นสิ่งที่มีค่ามากมายยิ่งนัก มากมายยิ่งกว่าชีวิตเสียอีก นั่นก็เพราะว่าเรามีความหวังอยู่ เราถึงยังปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปในวันข้างหน้า แม้ว่าความหวังนี้นั้นมันเหมือนว่ามันจะมีอยู่ริบหรี่ก็ตามที แต่มันก็เป็นความหวัง และผู้ที่ทำลายความหวังของผู้อื่นนั้น ถือว่าเป็นคนที่ฆ่าเค้าทางอ้อมเลยก็ว่าได้ วิธีที่จะทำให้คนเราได้มีความหวังได้นั้นมีอยู่หลายวิธีด้วยกัน เช่น การให้กำลังใจให้กับคนที่ท้อแท้สิ้นหวังในเวลาที่เค้าต้องการกำลังใจมากที่สุด การให้ทานแก่สรรพสัตว์น้อยใหญ่ที่เราได้ไปพบเห็นพบเจอในที่ต่างๆ โดยเฉพาะเวลาที่เค้าหิวหรือต้องการสิ่งเล็กๆน้อยๆจากใครสักคนมากที่สุด เช่น การให้อาหาร การให้ยารักษาโรค การให้เสื้อผ้าอุ่นๆสักตัวสักผืนเพื่อให้เค้าได้หายคลายจากอาการหนาวร้อนต่างๆ การให้ตังค์กับคนขอทานที่เค้าต้องการนำเงินนั้นไปซื้อของที่เค้าต้องการที่สุดในชีวิตในขณะนั้นมากที่สุด และอื่นๆอีกมากมายหลากหลายรูปแบบ การชื่นชมยินดีกับเค้าในเรื่องที่เค้าทำสำเร็จแม้ว่าเรื่องนั้นๆที่เค้าทำมันจะดูง่ายๆสำหรับเราก็ตามที แต่โดยส่วนรวมแล้วมันก็คือการแบ่งปันน้ำใจให้กับผู้อื่น การไม่ไปซ้ำเติมผู้อื่นเค้าที่เค้าต้องประสบพบเจอกับปัญหาต่างๆในชีวิต ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งที่เราสามารถทำให้กันและกันได้นั่นเอง และก็ยังมีวิธีอื่นๆอีกมากมายหลากหลายวิธีซึ่งแล้วแต่ทุกท่านจะสามารถคิดและให้กันได้
    สรุปโดยรวมแล้วสิ่งที่ฉันอยากจะบอกกล่าวกับคุณก็คือ จงอย่าละทิ้งซึ่งความหวังความฝันของตัวเอง จงรู้จักรักตัวเอง อย่าได้ไปแคร์หรือใส่ใจในความรู้สึกของผู้อื่นหรือผู้คนในสังคมให้มันมากมายนัก เพราะไม่มีใครรู้จักเรารักเราเท่ากับตัวของเราเองหรอกนะ อย่าได้ไปหลงใหลไปตามสังคมหรือผู้อื่นที่ไหลไปตามกระแสต่างๆให้มันมากมายนัก จงเป็นตัวของตัวเองอย่างดีที่สุดนั่นล่ะดีแล้ว และท้ายที่สุดนี้ฉันก็อยากจะบอกกับคุณว่าความดีเท่านั้นที่จะเป็นเสมือนที่พึ่งสุดท้ายของเรา จงสั่งสมความดีไว้ให้มากๆ เพราะมันเป็นเพียงสิ่งเดียวที่สามารถทำให้ชีวิตของคุณนั้นดำเนินไปในทางที่ดีขึ้นกว่าเดิมอย่างแน่นอน ความดีที่เรามีอยู่นั้นจะชักนำพาสิ่งที่ดีๆในชีวิตของเรานั้นดำเนินไปในแนวทางที่เราต้องการปรารถนาอย่างแน่นอน ก็ค่อยๆทำไปทีละนิดทีละหน่อยทีละน้อย สั่งสมมันไว้ให้มากๆเข้าไว้ แล้วสักวันมันต้องมีวันของเรา วันที่เรามีความสุขที่สุดในชีวิตนี้ของเรานั่นเอง ซึ่งในตอนแรกๆมันอาจจะยากสักหน่อยหนึ่ง แต่พอทำไปมากๆเข้าแล้วมันก็จะชินไปเอง และสบายแถมทำได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมอย่างแน่นอน ก็ค่อยๆพยายามทำไปเนาะ สักวันมันคงมีวันของเรา สักวันหนึ่งอย่างแน่นอน ฉันขอให้คุณจงประสบความสำเร็จในชีวิตและโชคดีตลอดไปนะ โชคดีล่ะนะ
    Hi’Everyone.I’m Danger.I want to say everyone to have faith.Faith to important for everyone.Because Have faith,Still have life too.You must to abandon the faith of your.Because,It will do you to die from humanity.And,It will do you to stronger than past.Because we have present,We have future too. Then you have future.Everything will come to you.Good luck to you.From me your best friend.
    จากความหวังของฉัน สู่แรงบันดาลใจให้ผู้อื่น สวัสดีทุกคน ฉันมีเรื่องมาระบายความในใจ คนเราทุกคนล้วนต้องต่อสู้ ต่อสู้กับสิ่งต่างๆมามากมาย ฉันต่อสู้มานานแล้ว โดยเฉพาะกับมารในตัวเอง และบ่อยครั้งที่มารภายในตัวเองนั้นมีชัยเหนือกว่า และมันก็ทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ฉันมีอยู่นั้นแตกสลายไป บ้างก็เสียหาย บ้างก็ตาย แต่ไม่ว่าจะมีสิ่งใดที่หายตายจากไป ฉันก็ยังมีชีวิตอยู่ ยังมีตัวตนอยู่ สิ่งที่ฉันปรารถนาสูงสุดในชีวิตนี้นั้นก็คือ การหลุดพ้น หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดกับวงจรบ้าบอที่มันเกิดตายไม่รู้จักจบจักสิ้น หลุดพ้นจากทุกสิ่งที่มันทำให้ฉันต้องเจ็บปวดทนทุกข์ทรมานอยู่ตลอดเวลา แต่มันมีสิ่งหนึ่งที่ฉันยังต้องทำอยู่ก่อนที่จะตาย นั่นคือการช่วยเหลือคนที่เค้าเป็นอย่างฉัน เจ็บปวดอย่างฉัน แต่ดูๆแล้วคงไม่มีหรอกมั้ง คนอย่างฉัน ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่ดี เพราะว่าฉันนั้นมันเป็นตัวประหลาด เป็นตัวแปลกแยก แตกต่างจากคนอื่น แต่ก็ไม่เป็นไร เพราะบางครั้งคนเราก็มีช่วงเวลาที่ท้อแท้สิ้นหวังหมดกำลังใจในชีวิตนี้ ไม่รู้จะแก้ไขปัญหาต่างๆที่ตนเองนั้นต้องเผชิญพบเจอได้อย่างไรได้ บางครั้งถึงกับคิดสั้น คิดที่จะฆ่าตัวตายไปให้มันพ้นๆจากโลกใบนี้ที่มันแสนจะทารุณก็ตามที ฉันเข้าใจในตัวคุณดี เพราะว่าฉันก็มีความคิดแบบนี้เหมือนกันกับคุณ และก็มีหลายครั้งมากๆด้วย แต่การฆ่าตัวตายนั้นมันไม่ใช่ทางออกที่ดูดีนักสักเท่าไหร่ ถึงแม้ว่ามันจะทำให้คุณหลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานในโลกนี้ไปก็ตามที แต่ก็ใช่ว่าในโลกหน้าชาติภพหน้าต่อไปของคุณนั้นจะหลุดพ้นจากความทุกข์ทรมานต่างๆเหล่านั้นได้อีก มันไม่ใช่ทางออกที่ดีและถูกต้องตรงจุดต้นเหตุสาเหตูที่แท้จริงของคุณที่คุณมีอยู่ได้ แต่อย่างน้อยฉันก็ยังยกย่องพวกคุณที่ได้ฆ่าตัวตายสำเร็จทุกๆท่านมากมายอย่างยิ่งยวด เพราะอย่างน้อยคุณก็ไม่ได้ไปทำร้ายใครไม่ได้ไปฆ่าใครเค้า และก็ยังมีความกล้าหาญเป็นอย่างยิ่งอีกด้วยที่คุณทำได้สำเร็จ แต่มันไม่ดี ในเมื่อไม่มีใครรักเราเลยสักคน อย่างน้อยๆเราก็ควรที่จะรู้จักรักตัวเราเอง ช่างหัวคนที่มันไม่รักเราไม่เข้าใจเรา พวกนั้นมันก็แค่ไอ้อีพวกผู้คนเห็นแก่ตัวเลวระยำกลุ่มหนึ่งสังคมหนึ่งในหมู่คนมากมาย คุณไม่ต้องไปสนใจใส่ใจพวกมัน ไม่ต้องไปเอาใจเราไปใส่ใจสนใจความรู้สึกของพวกมัน มันไม่เป็นอย่างเรามันไม่เคยเจ็บปวดอย่างเรา มันย่อมไม่รู้ว่ามันรู้สึกอย่างไร ทนทุกข์ทรมานมากมายแค่ไหนเพียงไร คนเราในทุกวันนี้มันขาดศีลขาดธรรม ขาดความดีงาม ขาดความจริงใจ และก็ขาดจิตใจจิตวิญญาณกันทั้งนั้น ทุกวันนี้พวกมันก็เหมือนกับซากศพซอมบี้เดินได้เข้าไปกันทุกวันๆ ผู้คนมีมากมาย แต่คนดีไม่มีเลย แทบจะหาไม่ได้แล้วในโลกอันเสื่อมทรามโสมมใบนี้ เป็นพันธุ์หายากที่ใกล้จะสูญพันธุ์เข้าไปทุกทีๆ ความหวังและกำลังใจเป็นสิ่งที่มีค่ามากมายยิ่งนัก มากมายยิ่งกว่าชีวิตเสียอีก นั่นก็เพราะว่าเรามีความหวังอยู่ เราถึงยังปรารถนาที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปในวันข้างหน้า แม้ว่าความหวังนี้นั้นมันเหมือนว่ามันจะมีอยู่ริบหรี่ก็ตามที แต่มันก็เป็นความหวัง และผู้ที่ทำลายความหวังของผู้อื่นนั้น ถือว่าเป็นคนที่ฆ่าเค้าทางอ้อมเลยก็ว่าได้ วิธีที่จะทำให้คนเราได้มีความหวังได้นั้นมีอยู่หลายวิธีด้วยกัน เช่น การให้กำลังใจให้กับคนที่ท้อแท้สิ้นหวังในเวลาที่เค้าต้องการกำลังใจมากที่สุด การให้ทานแก่สรรพสัตว์น้อยใหญ่ที่เราได้ไปพบเห็นพบเจอในที่ต่างๆ โดยเฉพาะเวลาที่เค้าหิวหรือต้องการสิ่งเล็กๆน้อยๆจากใครสักคนมากที่สุด เช่น การให้อาหาร การให้ยารักษาโรค การให้เสื้อผ้าอุ่นๆสักตัวสักผืนเพื่อให้เค้าได้หายคลายจากอาการหนาวร้อนต่างๆ การให้ตังค์กับคนขอทานที่เค้าต้องการนำเงินนั้นไปซื้อของที่เค้าต้องการที่สุดในชีวิตในขณะนั้นมากที่สุด และอื่นๆอีกมากมายหลากหลายรูปแบบ การชื่นชมยินดีกับเค้าในเรื่องที่เค้าทำสำเร็จแม้ว่าเรื่องนั้นๆที่เค้าทำมันจะดูง่ายๆสำหรับเราก็ตามที แต่โดยส่วนรวมแล้วมันก็คือการแบ่งปันน้ำใจให้กับผู้อื่น การไม่ไปซ้ำเติมผู้อื่นเค้าที่เค้าต้องประสบพบเจอกับปัญหาต่างๆในชีวิต ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งที่เราสามารถทำให้กันและกันได้นั่นเอง และก็ยังมีวิธีอื่นๆอีกมากมายหลากหลายวิธีซึ่งแล้วแต่ทุกท่านจะสามารถคิดและให้กันได้ สรุปโดยรวมแล้วสิ่งที่ฉันอยากจะบอกกล่าวกับคุณก็คือ จงอย่าละทิ้งซึ่งความหวังความฝันของตัวเอง จงรู้จักรักตัวเอง อย่าได้ไปแคร์หรือใส่ใจในความรู้สึกของผู้อื่นหรือผู้คนในสังคมให้มันมากมายนัก เพราะไม่มีใครรู้จักเรารักเราเท่ากับตัวของเราเองหรอกนะ อย่าได้ไปหลงใหลไปตามสังคมหรือผู้อื่นที่ไหลไปตามกระแสต่างๆให้มันมากมายนัก จงเป็นตัวของตัวเองอย่างดีที่สุดนั่นล่ะดีแล้ว และท้ายที่สุดนี้ฉันก็อยากจะบอกกับคุณว่าความดีเท่านั้นที่จะเป็นเสมือนที่พึ่งสุดท้ายของเรา จงสั่งสมความดีไว้ให้มากๆ เพราะมันเป็นเพียงสิ่งเดียวที่สามารถทำให้ชีวิตของคุณนั้นดำเนินไปในทางที่ดีขึ้นกว่าเดิมอย่างแน่นอน ความดีที่เรามีอยู่นั้นจะชักนำพาสิ่งที่ดีๆในชีวิตของเรานั้นดำเนินไปในแนวทางที่เราต้องการปรารถนาอย่างแน่นอน ก็ค่อยๆทำไปทีละนิดทีละหน่อยทีละน้อย สั่งสมมันไว้ให้มากๆเข้าไว้ แล้วสักวันมันต้องมีวันของเรา วันที่เรามีความสุขที่สุดในชีวิตนี้ของเรานั่นเอง ซึ่งในตอนแรกๆมันอาจจะยากสักหน่อยหนึ่ง แต่พอทำไปมากๆเข้าแล้วมันก็จะชินไปเอง และสบายแถมทำได้ง่ายขึ้นกว่าเดิมอย่างแน่นอน ก็ค่อยๆพยายามทำไปเนาะ สักวันมันคงมีวันของเรา สักวันหนึ่งอย่างแน่นอน ฉันขอให้คุณจงประสบความสำเร็จในชีวิตและโชคดีตลอดไปนะ โชคดีล่ะนะ Hi’Everyone.I’m Danger.I want to say everyone to have faith.Faith to important for everyone.Because Have faith,Still have life too.You must to abandon the faith of your.Because,It will do you to die from humanity.And,It will do you to stronger than past.Because we have present,We have future too. Then you have future.Everything will come to you.Good luck to you.From me your best friend.
    0 Comments 0 Shares 231 Views 0 Reviews
  • คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 53
    มารยา ส่อสถุล กริยา ส่อสกุล
    คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 53 มารยา ส่อสถุล กริยา ส่อสกุล
    0 Comments 0 Shares 12 Views 0 Reviews
  • คำศัพท์ใหม่ในปีพ.ศ.2560ที่ฉันตั้งขึ้นมาเอง
    คำศัพท์ใหม่ที่ว่านี้ก็คือคำศัพท์ที่ต่อยอดมาจากความเจ็บปวดที่ฉันเคยได้รับที่มันมากมายเสียเหลือเกิน และทุกวันนี้มันก็ยังคงอยู่ในหัวใจของฉันในสายเลือดของฉันนั่นเอง ซึ่งคำศัพท์ใหม่ที่ว่าคำนั้นก็คือ
    “กัดใจ”
    กัดใจ หมายถึง อารมณ์ความรู้สึกลึกๆที่มีอยู่ข้างในตัวเองที่ได้รับความเจ็บปวดทนทุกข์ทรมานมานานจนมันชินชากับความรู้สึกนั้นๆ เหมือนกับว่ามันมีความรู้สึกอย่างนั้นอยู่ตลอดเวลา ซึ่งบางครั้งก็ทนได้บ้าง แต่ในบางครั้งในบางเวลามันก็รู้สึกเหมือนกับว่ามันสุดที่จะอดทนกับความรู้สึกนั้นๆหรืออารมณ์นั้นๆได้อีกต่อไปแล้ว จนกระทั่งถึงกับต้องแสดงความรู้สึกหรืออารมณ์นั้นๆออกมาโดยตั้งใจจากใจจริงๆของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นทั้งต่อหน้าหรือลับหลังคนอื่นๆก็ตามที แต่โดยส่วนมากมักจะทำกันในที่ปิดมิดชิดที่ไม่มีใครที่จะสามารถมามองเห็นหรือรับรู้ด้วยได้นั่นเอง เพราะว่ากลัวที่จะถูกกล่าวหาว่าเป็นคนบ้าหรือคนเสียสติ แต่แท้ที่จริงแล้วไม่ว่าใครก็มีอารมณ์ความรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวในหัวใจของตนเองกันทุกคน ซึ่งไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นกับเฉพาะผู้ป่วยจิตเวชเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ความอ่อนแอของตนเองที่ไม่สามารถอดทนอดกลั้นต่อความเจ็บปวดที่เคยได้รับมา ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องใดก็ตามที่ทำให้ไม่สามารถอดกลั้นฝืนใจในความเจ็บปวดที่ตนเองเคยได้รับเคยถูกกระทำมา ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องที่ไม่สามารถที่จะบอกให้ใครๆได้รับรู้ได้ว่าเราได้เคยเจ็บปวดกับเรื่องราวร้ายๆที่เคยผ่านมาในอดีตนั้นๆ และทุกวันนี้ที่เรามีชีวิตอยู่มาได้นี้มันก็เป็นเหมือนกับแผลเป็นที่ไม่เคยจางหายไปจากใจของตนเองได้นั่นเอง โดยเฉพาะความกดดันการถูกกระตุ้นให้นึกถึงเรื่องราวอันแสนที่จะเจ็บปวดรวดร้าวแสนสาหัสนั้นๆ มันก็จะทำให้ตัวเองนั้นไม่สามารถที่จะอดทนอดกลั้นต่อความทรงจำในสมองที่ตนเองได้เคยถูกทำร้ายมาในอดีตนั้นๆได้อีกต่อไปนั่นเอง
    ผมจะแสดงตัวอย่างของคำศัพท์นี้ให้ได้เข้าใจกันมากยิ่งขึ้น ดังตัวอย่างนี้ที่จะกล่าวมาให้เห็นภาพอาการนี้ได้ดังนี้คือ
    ฉันมีความรู้สึกว่ามันกัดใจฉันทุกครั้งที่ฉันได้เห็นรูปภาพของท่านพ่อหลวงรัชกาลที่ ๙ ท่าน ที่ท่านได้เคยมีรอยยิ้มที่มีความสุขในชีวิตของท่านน้อยมากๆ ทั้งชีวิตของฉันนี้ฉันไม่รู้จะอธิบายอย่างไรได้อีกแล้ว มันกัดใจฉันเหลือเกินเมื่อฉันจะต้องรับรู้ว่าในอนาคตอันไกลข้างหน้านี้จะไม่มีท่านที่เคยมีชีวิตอยู่เพื่อพวกเราปวงชนชาวไทยนี้อีกต่อไปแล้ว และฉันก็จะไม่ได้มีวันที่จะได้เห็นท่านมีความสุขมีรอยยิ้มที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขนี้ ที่ท่านได้เคยยืนอยู่เคียงข้างพวกเรามานานแสนนานเสมอมา ไม่มีอีกแล้วในหลวงรัชกาลที่ ๙ ไม่มีอีกแล้ว...(และฉันก็ร้องไห้ออกมาทุกทีทุกครั้งไปที่ได้ไปพบเห็นรูปภาพของท่านในทุกๆที่ทั่วทั้งประเทศไทย ที่ๆฉันได้ไปพบเห็นรูปภาพของท่าน)ซึ่งมันทำให้ฉันรู้สึกกัดใจมากๆนั่นเอง
    คำศัพท์ใหม่ในปีพ.ศ.2560ที่ฉันตั้งขึ้นมาเอง คำศัพท์ใหม่ที่ว่านี้ก็คือคำศัพท์ที่ต่อยอดมาจากความเจ็บปวดที่ฉันเคยได้รับที่มันมากมายเสียเหลือเกิน และทุกวันนี้มันก็ยังคงอยู่ในหัวใจของฉันในสายเลือดของฉันนั่นเอง ซึ่งคำศัพท์ใหม่ที่ว่าคำนั้นก็คือ “กัดใจ” กัดใจ หมายถึง อารมณ์ความรู้สึกลึกๆที่มีอยู่ข้างในตัวเองที่ได้รับความเจ็บปวดทนทุกข์ทรมานมานานจนมันชินชากับความรู้สึกนั้นๆ เหมือนกับว่ามันมีความรู้สึกอย่างนั้นอยู่ตลอดเวลา ซึ่งบางครั้งก็ทนได้บ้าง แต่ในบางครั้งในบางเวลามันก็รู้สึกเหมือนกับว่ามันสุดที่จะอดทนกับความรู้สึกนั้นๆหรืออารมณ์นั้นๆได้อีกต่อไปแล้ว จนกระทั่งถึงกับต้องแสดงความรู้สึกหรืออารมณ์นั้นๆออกมาโดยตั้งใจจากใจจริงๆของตนเอง ไม่ว่าจะเป็นทั้งต่อหน้าหรือลับหลังคนอื่นๆก็ตามที แต่โดยส่วนมากมักจะทำกันในที่ปิดมิดชิดที่ไม่มีใครที่จะสามารถมามองเห็นหรือรับรู้ด้วยได้นั่นเอง เพราะว่ากลัวที่จะถูกกล่าวหาว่าเป็นคนบ้าหรือคนเสียสติ แต่แท้ที่จริงแล้วไม่ว่าใครก็มีอารมณ์ความรู้สึกเจ็บปวดรวดร้าวในหัวใจของตนเองกันทุกคน ซึ่งไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นกับเฉพาะผู้ป่วยจิตเวชเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ความอ่อนแอของตนเองที่ไม่สามารถอดทนอดกลั้นต่อความเจ็บปวดที่เคยได้รับมา ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องใดก็ตามที่ทำให้ไม่สามารถอดกลั้นฝืนใจในความเจ็บปวดที่ตนเองเคยได้รับเคยถูกกระทำมา ไม่ว่ามันจะเป็นเรื่องที่ไม่สามารถที่จะบอกให้ใครๆได้รับรู้ได้ว่าเราได้เคยเจ็บปวดกับเรื่องราวร้ายๆที่เคยผ่านมาในอดีตนั้นๆ และทุกวันนี้ที่เรามีชีวิตอยู่มาได้นี้มันก็เป็นเหมือนกับแผลเป็นที่ไม่เคยจางหายไปจากใจของตนเองได้นั่นเอง โดยเฉพาะความกดดันการถูกกระตุ้นให้นึกถึงเรื่องราวอันแสนที่จะเจ็บปวดรวดร้าวแสนสาหัสนั้นๆ มันก็จะทำให้ตัวเองนั้นไม่สามารถที่จะอดทนอดกลั้นต่อความทรงจำในสมองที่ตนเองได้เคยถูกทำร้ายมาในอดีตนั้นๆได้อีกต่อไปนั่นเอง ผมจะแสดงตัวอย่างของคำศัพท์นี้ให้ได้เข้าใจกันมากยิ่งขึ้น ดังตัวอย่างนี้ที่จะกล่าวมาให้เห็นภาพอาการนี้ได้ดังนี้คือ ฉันมีความรู้สึกว่ามันกัดใจฉันทุกครั้งที่ฉันได้เห็นรูปภาพของท่านพ่อหลวงรัชกาลที่ ๙ ท่าน ที่ท่านได้เคยมีรอยยิ้มที่มีความสุขในชีวิตของท่านน้อยมากๆ ทั้งชีวิตของฉันนี้ฉันไม่รู้จะอธิบายอย่างไรได้อีกแล้ว มันกัดใจฉันเหลือเกินเมื่อฉันจะต้องรับรู้ว่าในอนาคตอันไกลข้างหน้านี้จะไม่มีท่านที่เคยมีชีวิตอยู่เพื่อพวกเราปวงชนชาวไทยนี้อีกต่อไปแล้ว และฉันก็จะไม่ได้มีวันที่จะได้เห็นท่านมีความสุขมีรอยยิ้มที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขนี้ ที่ท่านได้เคยยืนอยู่เคียงข้างพวกเรามานานแสนนานเสมอมา ไม่มีอีกแล้วในหลวงรัชกาลที่ ๙ ไม่มีอีกแล้ว...(และฉันก็ร้องไห้ออกมาทุกทีทุกครั้งไปที่ได้ไปพบเห็นรูปภาพของท่านในทุกๆที่ทั่วทั้งประเทศไทย ที่ๆฉันได้ไปพบเห็นรูปภาพของท่าน)ซึ่งมันทำให้ฉันรู้สึกกัดใจมากๆนั่นเอง
    0 Comments 0 Shares 107 Views 0 Reviews