• คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 18
    เงินทองนั้นหาง่าย ธรรมะนั้นหายาก
    คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 18 เงินทองนั้นหาง่าย ธรรมะนั้นหายาก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 20 มุมมอง 0 รีวิว
  • คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 19
    ลำบากอะไรไม่เท่าลำบากใจ สุขอะไรไม่เท่าสุขใจ
    คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 19 ลำบากอะไรไม่เท่าลำบากใจ สุขอะไรไม่เท่าสุขใจ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 10 มุมมอง 0 รีวิว
  • คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 20
    ตายเยี่ยงวีรบุรุษ ดีกว่าอยู่อย่างทาส
    หมายถึง ให้ตายอย่างมีศักดิ์ศรี ดีกว่าอยู่อย่างไร้ซึ่งศักดิ์ศรี
    คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 20 ตายเยี่ยงวีรบุรุษ ดีกว่าอยู่อย่างทาส หมายถึง ให้ตายอย่างมีศักดิ์ศรี ดีกว่าอยู่อย่างไร้ซึ่งศักดิ์ศรี
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 37 มุมมอง 0 รีวิว
  • คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 21
    คนเก่งน่ะ...หาง่าย แต่คนดีน่ะ...หายาก
    การทำให้คนดีเป็นคนเก่งนั้นง่ายกว่า การทำคนเก่งให้เป็นคนดีเสียอีก
    คนดีหายาก แต่สิ่งที่หายากยิ่งกว่าคือ ธรรมขั้นสูงของพระพุทธเจ้า เพราะว่าคนที่สามารถหาได้นั้นจะต้องเข้าถึงธรรมอย่างจริงจังและสม่ำเสมอ และคนที่จะสอนธรรมขั้นสูงได้นั้นจะต้องเป็นพระอรหันต์แล้วเท่านั้น ซึ่งไม่ค่อยมีแล้วในสังคมสมัยนี้นั่นเอง
    คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 21 คนเก่งน่ะ...หาง่าย แต่คนดีน่ะ...หายาก การทำให้คนดีเป็นคนเก่งนั้นง่ายกว่า การทำคนเก่งให้เป็นคนดีเสียอีก คนดีหายาก แต่สิ่งที่หายากยิ่งกว่าคือ ธรรมขั้นสูงของพระพุทธเจ้า เพราะว่าคนที่สามารถหาได้นั้นจะต้องเข้าถึงธรรมอย่างจริงจังและสม่ำเสมอ และคนที่จะสอนธรรมขั้นสูงได้นั้นจะต้องเป็นพระอรหันต์แล้วเท่านั้น ซึ่งไม่ค่อยมีแล้วในสังคมสมัยนี้นั่นเอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 40 มุมมอง 0 รีวิว
  • คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 22
    การทำความชั่วมันง่ายเหมือนกับพลิกฝ่ามือ แต่การทำความดีมันยากเหมือนกับพลิกฝ่าเท้า ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่านัก
    คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 22 การทำความชั่วมันง่ายเหมือนกับพลิกฝ่ามือ แต่การทำความดีมันยากเหมือนกับพลิกฝ่าเท้า ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ยากยิ่งกว่านัก
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 14 มุมมอง 0 รีวิว
  • คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 23
    ใช้ตัวขยัน ขยันทำความดี ใช้ตัวขี้เกียจ ขี้เกียจทำความชั่ว
    คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 23 ใช้ตัวขยัน ขยันทำความดี ใช้ตัวขี้เกียจ ขี้เกียจทำความชั่ว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 14 มุมมอง 0 รีวิว
  • คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 24
    มีศัตรูที่ชั่ว ดีกว่ามีสหายที่ชั่ว
    คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 24 มีศัตรูที่ชั่ว ดีกว่ามีสหายที่ชั่ว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 21 มุมมอง 0 รีวิว
  • คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 25
    ปณิธานที่ยิ่งใหญ่มักเกิดจากบุคคลที่ยิ่งใหญ่เท่านั้น
    คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 25 ปณิธานที่ยิ่งใหญ่มักเกิดจากบุคคลที่ยิ่งใหญ่เท่านั้น
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 12 มุมมอง 0 รีวิว
  • คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 26
    คนดีจะพยายามทำตัวให้มีค่า ส่วนคนชั่วจะพยายามทำตัวให้ไร้ค่า
    คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 26 คนดีจะพยายามทำตัวให้มีค่า ส่วนคนชั่วจะพยายามทำตัวให้ไร้ค่า
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 13 มุมมอง 0 รีวิว
  • คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 27
    ร่างกายมันก็แค่ของปลอม แต่จิตใจน่ะของจริง
    คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 27 ร่างกายมันก็แค่ของปลอม แต่จิตใจน่ะของจริง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 43 มุมมอง 0 รีวิว
  • คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 28
    กาลเวลาอาจทำให้กายใจเราเปลี่ยน แต่จิตวิญญาณของเราจะไม่มีวันเปลี่ยน
    คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 28 กาลเวลาอาจทำให้กายใจเราเปลี่ยน แต่จิตวิญญาณของเราจะไม่มีวันเปลี่ยน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 12 มุมมอง 0 รีวิว
  • คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 29
    ความหวังเป็นเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่ทำให้คนดียังมีอยู่ ถ้าหากไร้ซึ่งคนดีแล้วโลกใบนี้ก็คงจะไร้ซึ่งความสงบสุข
    คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 29 ความหวังเป็นเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่ทำให้คนดียังมีอยู่ ถ้าหากไร้ซึ่งคนดีแล้วโลกใบนี้ก็คงจะไร้ซึ่งความสงบสุข
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 15 มุมมอง 0 รีวิว
  • คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 30
    ผู้ใดเข้าถึงธรรม ผู้นั้นย่อมมีความสุข
    คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 30 ผู้ใดเข้าถึงธรรม ผู้นั้นย่อมมีความสุข
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 12 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความถูกต้องกับความปรารถนาและความปรารถนาในความถูกต้อง
    ความถูกต้องกับความปรารถนานั้นแตกต่างกัน และส่วนใหญ่มักจะไปด้วยกันไม่ได้ แต่ก็มียกเว้นอยู่อย่างหนึ่ง ซึ่งก็คือความปรารถนาในความถูกต้อง
    ความถูกต้อง นั้นไม่สามารถเกี่ยงได้ ไม่ว่าจะเป็นด้านใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว,ญาติ,มิตร,สหาย ไม่ว่าจะเป็นลาภ,ยศ,สรรเสริญ,สุข ไม่ว่าจะเป็นความอยาก,ไม่อยาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ตาม เพราะจะต้องไม่โอนเอียงไปในด้านใดด้านหนึ่ง และจะต้องคำนึงถึงแต่ในความถูกต้องเท่านั้น ไม่ว่าผู้นั้นจะพึงพอใจหรือไม่ก็ตามที และจะต้องมีความเด็ดขาดอีกด้วย โดยจะต้องอยู่ในครรลองทำนองธรรม หลักคุณธรรมความดี และความถูกต้องอีกด้วย
    ไม่เหมือนกับ ความปรารถนา ที่สามารถที่จะกระทำในสิ่งที่ผู้นั้นจะพึงสามารถกระทำทำได้ทุกสิ่งทุกอย่าง โดยไม่คำนึงถึงบาป,บุญ,คุณ,โทษหลักคุณธรรม,จริยธรรม,จรรยาบรรณ สามารถทำได้ทุกสิ่งทุกอย่างโดยเข้าข้างตนเองและพวกพ้อง โดยไม่จำเป็นที่จะต้องใส่ใจในเรื่องใดๆทั้งสิ้นก็ตามที เพื่อสนองตัณหาความต้องการของตนเองเพื่อให้ได้ในทุกสิ่งที่ตนเองต้องการ
    สุดท้าย ความปรารถนาในความถูกต้อง เป็นเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่สามารถอยู่ร่วมด้วยกันได้ในทั้งสองอย่างแรก แต่เป็นเรื่องที่ยากมากที่จะทำได้โดยง่าย สำหรับคนเลว,คนชั่วช้าต่ำทราม,คนใจคด และไม่มีคุณธรรม,คุณงามความดี,ความถูกต้องดีงามในจิตใจของตนเองเลย จะไม่สามารถที่จะกระทำได้เลย แต่ก็ยกเว้นเฉพาะกับคนที่ดีอย่างแท้จริง และคนที่รักความถูกต้องดีงามเท่านั้นที่จะสามารถที่จะกระทำได้ และบุคคลเช่นนี้นั้นหายากมากในสังคมของเรา และบุคคลดังกล่าวที่ว่ามานี้นั้น ส่วนใหญ่มักจะได้เป็นที่ยกย่องเชิดชูในสายตาของคนดี ไม่ใช่ทั้งในโลกนี้เท่านั้น แต่รวมถึงทั้งในโลกหน้าด้วย ซึ่งเป็นบุคคลที่หาได้ยากยิ่งในสังคมจริงๆ
    ความถูกต้องกับความปรารถนาและความปรารถนาในความถูกต้อง ความถูกต้องกับความปรารถนานั้นแตกต่างกัน และส่วนใหญ่มักจะไปด้วยกันไม่ได้ แต่ก็มียกเว้นอยู่อย่างหนึ่ง ซึ่งก็คือความปรารถนาในความถูกต้อง ความถูกต้อง นั้นไม่สามารถเกี่ยงได้ ไม่ว่าจะเป็นด้านใดก็ตาม ไม่ว่าจะเป็นครอบครัว,ญาติ,มิตร,สหาย ไม่ว่าจะเป็นลาภ,ยศ,สรรเสริญ,สุข ไม่ว่าจะเป็นความอยาก,ไม่อยาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ตาม เพราะจะต้องไม่โอนเอียงไปในด้านใดด้านหนึ่ง และจะต้องคำนึงถึงแต่ในความถูกต้องเท่านั้น ไม่ว่าผู้นั้นจะพึงพอใจหรือไม่ก็ตามที และจะต้องมีความเด็ดขาดอีกด้วย โดยจะต้องอยู่ในครรลองทำนองธรรม หลักคุณธรรมความดี และความถูกต้องอีกด้วย ไม่เหมือนกับ ความปรารถนา ที่สามารถที่จะกระทำในสิ่งที่ผู้นั้นจะพึงสามารถกระทำทำได้ทุกสิ่งทุกอย่าง โดยไม่คำนึงถึงบาป,บุญ,คุณ,โทษหลักคุณธรรม,จริยธรรม,จรรยาบรรณ สามารถทำได้ทุกสิ่งทุกอย่างโดยเข้าข้างตนเองและพวกพ้อง โดยไม่จำเป็นที่จะต้องใส่ใจในเรื่องใดๆทั้งสิ้นก็ตามที เพื่อสนองตัณหาความต้องการของตนเองเพื่อให้ได้ในทุกสิ่งที่ตนเองต้องการ สุดท้าย ความปรารถนาในความถูกต้อง เป็นเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่สามารถอยู่ร่วมด้วยกันได้ในทั้งสองอย่างแรก แต่เป็นเรื่องที่ยากมากที่จะทำได้โดยง่าย สำหรับคนเลว,คนชั่วช้าต่ำทราม,คนใจคด และไม่มีคุณธรรม,คุณงามความดี,ความถูกต้องดีงามในจิตใจของตนเองเลย จะไม่สามารถที่จะกระทำได้เลย แต่ก็ยกเว้นเฉพาะกับคนที่ดีอย่างแท้จริง และคนที่รักความถูกต้องดีงามเท่านั้นที่จะสามารถที่จะกระทำได้ และบุคคลเช่นนี้นั้นหายากมากในสังคมของเรา และบุคคลดังกล่าวที่ว่ามานี้นั้น ส่วนใหญ่มักจะได้เป็นที่ยกย่องเชิดชูในสายตาของคนดี ไม่ใช่ทั้งในโลกนี้เท่านั้น แต่รวมถึงทั้งในโลกหน้าด้วย ซึ่งเป็นบุคคลที่หาได้ยากยิ่งในสังคมจริงๆ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 76 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องของความศรัทธาที่แท้จริง
    ความศรัทธา มันมีอยู่หลายรูปแบบ แต่ผมจะแยกเป็น 2 แบบ ด้วยกันคือ ศรัทธาโดยมีหลักธรรม กับศรัทธาโดยไม่มีธรรม

    ศรัทธาโดยไม่มีธรรม คือ การหวังในสิ่งต่างๆที่ไม่มีจริง หวังลมๆแล้งว่ามันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ทั้งๆที่มันไม่มีวันเป็นจริงได้โดยง่าย เช่นหวังโง่งมงายกับลมฟ้าฝน ว่าจะตกโดยทำพิธีขอฝน แทนที่จะทำทุกปัจจัยที่มันทำให้เกิดฝน อย่างฝนเทียมของในหลวงท่านน่ะ หวังว่าเราจะถูกหวยรวยเป็นล้านๆ โดยไปขอหวยกับคนประเภทต่างๆ หรือไม่ก็สิ่งต่างๆที่มันแปลกๆ ทั้งๆที่มันไม่มีความเกี่ยวข้องเกี่ยวเนื่องกันเลย นี่ผมยกตัวอย่างแบบง่ายๆให้ได้เห็นกัน และยังมีตัวอย่างอีกมากมายไม่รู้จบที่สามารถบ่งบอกได้โดยง่ายๆว่ามันเป็นศรัทธาที่ไม่มีธรรมนั่นเอง

    ศรัทธาโดยมีธรรมเป็นยังไง มาว่ากัน ศรัทธาโดยมีธรรม คือ การเชื่ออย่างมีหลักเหตุและผลของมัน ซึ่งแม้ว่าบางครั้งศรัทธาประเภทนี้มักไม่เกี่ยวข้องเนื่องโยงกัน แต่แท้จริงแล้วทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกี่ยวข้องกันโดยที่เราไม่รู้ ซึ่งมันยากยิ่งที่เราจะรู้ได้ เพราะมันเป็นธรรมขั้นสูงสุดและสูงส่งกว่าคนธรรมดาจะรู้ได้นั่นเอง แต่ก็ใช่ว่ามันจะไม่มีจริงและไม่มีเหตุผล ซึ่งพระพุทธองค์ท่านก็รู้พระอรหันต์ท่านก็รู้ โดยเฉพาะเรื่องรู้อนาคตของสรรพสิ่งที่เกี่ยวเนื่องโยงใยกับท่านทั้งทางตรงและทางอ้อมนั่นเอง ผมจะยกตัวอย่างแบบง่ายๆให้เข้าใจกัน
    มีคนชั่วทำชั่วโดยฆ่าผู้อื่นตายและหนีมาหาพระ มาพึ่งพระและบอกว่าข้าพเจ้ายังไม่อยากตาย ท่านได้โปรดช่วยข้าด้วย พระท่านก็ทักว่า โยมไปทำอะไรมาล่ะ ถึงไม่อยากตายและหนีมาพึ่งพระ ข้าพเจ้าแค่ฆ่าคนตาย ถึงมันจะน้อยก็เถอะ แค่เป็นพันๆเอง ข้าพเจ้าสั่งลูกน้องให้มันทำให้ แต่ข้าพเจ้าไม่ได้ทำเองสักหน่อยเดียวเลยนะท่าน พระท่านก็กล่าวท่านทำไงก็ต้องได้รับผลกรรมของท่านเอง รวมทั้งลูกน้องของท่านด้วย เพราะท่านทำเหตุไว้ ท่านก็ต้องรับผลกรรมของท่านไป ไม่ว่าท่านจะไปไหน ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ไหน ท่านทำอะไรอยู่ท่านย่อมรู้แก่ใจของท่านเอง ท่านจะมาหวังพึ่งพระหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไหนไม่ได้หรอกนะ แต่ใช่ว่าท่านจะไม่สามารถลดทอนกรรมเก่าไม่ได้ ถ้าท่านกลับเนื้อกลับตัวกลับใจเสียใหม่ ไม่ทำบาปเพิ่มและหมั่นทำดีขึ้นทุกเมื่อทุกที่ ท่านก็สามารถลดทอนกำลังกรรมของท่านได้นะ แต่ต้องเร็วหน่อยนะ แค่ก่อนสิ้นลมเท่านั้น ถ้าท่านทำไม่ได้ท่านก็อย่าหวังว่าท่านจะรอดพ้นเงื้อมือมัจจุราชได้เลย เพราะฉะนั้นแล้วเราควรที่จะมีสติ มีสมาธิ และปัญญาที่ถูกต้องที่ดีเอาไว้กับตัวเอง ทุกสิ่งล้วนมีเหตุและผลเสมอ ซึ่งบางเรื่องมันสุดวิสัยคนธรรมดาเท่านั้นเอง

    และศรัทธาที่จะทำให้เกิดปาฏิหาริย์ได้นั้นจะมีอยู่เฉพาะกับบุคคลที่ดีอย่างแท้จริงเท่านั้น โดยเฉพาะกับพวกพระอรหันต์ท่านต่างๆซึ่งเป็นดั่งศิษย์ของพระพุทธองค์ และน้อยนักที่จะมีและเกิดกับศาสนาอื่นๆ ซึ่งในคนดีนั้นก็จะมีดีอยู่ในตัวเอง โดยที่บางครั้งเจ้าตัวเองก็ไม่รู้เลยด้วยซ้ำไป "ของดีมีไว้ให้กับคนดีเท่านั้น" คำพูดของท่านพระยม "ทำดีย่อมได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่ว" "ทำอย่างไรได้อย่างนั้น" คำพูดของพระพุทธองค์และพระอรหันต์ "อยากได้ดีต้องทำดี" คำพูดของข้าพเจ้าเอง
    เรื่องของความศรัทธาที่แท้จริง ความศรัทธา มันมีอยู่หลายรูปแบบ แต่ผมจะแยกเป็น 2 แบบ ด้วยกันคือ ศรัทธาโดยมีหลักธรรม กับศรัทธาโดยไม่มีธรรม ศรัทธาโดยไม่มีธรรม คือ การหวังในสิ่งต่างๆที่ไม่มีจริง หวังลมๆแล้งว่ามันเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ ทั้งๆที่มันไม่มีวันเป็นจริงได้โดยง่าย เช่นหวังโง่งมงายกับลมฟ้าฝน ว่าจะตกโดยทำพิธีขอฝน แทนที่จะทำทุกปัจจัยที่มันทำให้เกิดฝน อย่างฝนเทียมของในหลวงท่านน่ะ หวังว่าเราจะถูกหวยรวยเป็นล้านๆ โดยไปขอหวยกับคนประเภทต่างๆ หรือไม่ก็สิ่งต่างๆที่มันแปลกๆ ทั้งๆที่มันไม่มีความเกี่ยวข้องเกี่ยวเนื่องกันเลย นี่ผมยกตัวอย่างแบบง่ายๆให้ได้เห็นกัน และยังมีตัวอย่างอีกมากมายไม่รู้จบที่สามารถบ่งบอกได้โดยง่ายๆว่ามันเป็นศรัทธาที่ไม่มีธรรมนั่นเอง ศรัทธาโดยมีธรรมเป็นยังไง มาว่ากัน ศรัทธาโดยมีธรรม คือ การเชื่ออย่างมีหลักเหตุและผลของมัน ซึ่งแม้ว่าบางครั้งศรัทธาประเภทนี้มักไม่เกี่ยวข้องเนื่องโยงกัน แต่แท้จริงแล้วทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเกี่ยวข้องกันโดยที่เราไม่รู้ ซึ่งมันยากยิ่งที่เราจะรู้ได้ เพราะมันเป็นธรรมขั้นสูงสุดและสูงส่งกว่าคนธรรมดาจะรู้ได้นั่นเอง แต่ก็ใช่ว่ามันจะไม่มีจริงและไม่มีเหตุผล ซึ่งพระพุทธองค์ท่านก็รู้พระอรหันต์ท่านก็รู้ โดยเฉพาะเรื่องรู้อนาคตของสรรพสิ่งที่เกี่ยวเนื่องโยงใยกับท่านทั้งทางตรงและทางอ้อมนั่นเอง ผมจะยกตัวอย่างแบบง่ายๆให้เข้าใจกัน มีคนชั่วทำชั่วโดยฆ่าผู้อื่นตายและหนีมาหาพระ มาพึ่งพระและบอกว่าข้าพเจ้ายังไม่อยากตาย ท่านได้โปรดช่วยข้าด้วย พระท่านก็ทักว่า โยมไปทำอะไรมาล่ะ ถึงไม่อยากตายและหนีมาพึ่งพระ ข้าพเจ้าแค่ฆ่าคนตาย ถึงมันจะน้อยก็เถอะ แค่เป็นพันๆเอง ข้าพเจ้าสั่งลูกน้องให้มันทำให้ แต่ข้าพเจ้าไม่ได้ทำเองสักหน่อยเดียวเลยนะท่าน พระท่านก็กล่าวท่านทำไงก็ต้องได้รับผลกรรมของท่านเอง รวมทั้งลูกน้องของท่านด้วย เพราะท่านทำเหตุไว้ ท่านก็ต้องรับผลกรรมของท่านไป ไม่ว่าท่านจะไปไหน ไม่ว่าท่านจะอยู่ที่ไหน ท่านทำอะไรอยู่ท่านย่อมรู้แก่ใจของท่านเอง ท่านจะมาหวังพึ่งพระหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไหนไม่ได้หรอกนะ แต่ใช่ว่าท่านจะไม่สามารถลดทอนกรรมเก่าไม่ได้ ถ้าท่านกลับเนื้อกลับตัวกลับใจเสียใหม่ ไม่ทำบาปเพิ่มและหมั่นทำดีขึ้นทุกเมื่อทุกที่ ท่านก็สามารถลดทอนกำลังกรรมของท่านได้นะ แต่ต้องเร็วหน่อยนะ แค่ก่อนสิ้นลมเท่านั้น ถ้าท่านทำไม่ได้ท่านก็อย่าหวังว่าท่านจะรอดพ้นเงื้อมือมัจจุราชได้เลย เพราะฉะนั้นแล้วเราควรที่จะมีสติ มีสมาธิ และปัญญาที่ถูกต้องที่ดีเอาไว้กับตัวเอง ทุกสิ่งล้วนมีเหตุและผลเสมอ ซึ่งบางเรื่องมันสุดวิสัยคนธรรมดาเท่านั้นเอง และศรัทธาที่จะทำให้เกิดปาฏิหาริย์ได้นั้นจะมีอยู่เฉพาะกับบุคคลที่ดีอย่างแท้จริงเท่านั้น โดยเฉพาะกับพวกพระอรหันต์ท่านต่างๆซึ่งเป็นดั่งศิษย์ของพระพุทธองค์ และน้อยนักที่จะมีและเกิดกับศาสนาอื่นๆ ซึ่งในคนดีนั้นก็จะมีดีอยู่ในตัวเอง โดยที่บางครั้งเจ้าตัวเองก็ไม่รู้เลยด้วยซ้ำไป "ของดีมีไว้ให้กับคนดีเท่านั้น" คำพูดของท่านพระยม "ทำดีย่อมได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่ว" "ทำอย่างไรได้อย่างนั้น" คำพูดของพระพุทธองค์และพระอรหันต์ "อยากได้ดีต้องทำดี" คำพูดของข้าพเจ้าเอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 172 มุมมอง 0 รีวิว
  • การเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์
    การเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั้นพูดไปมันก็ดูเหมือนว่าจะเป็นกันได้โดยง่ายๆ แต่แท้ที่จริงแล้วนั้นมันเป็นกันได้โดยยากมาก ยากมากๆๆ
    มาดูคุณสมบัติของผู้ที่มีสิทธิ์ที่จะมาเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์กัน ผู้ที่มีคุณสมบัติที่จะมาเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั้นมีเพียง 1ใน1ล้าน คนเท่านั้น และผู้ที่เป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จริงๆนั้นมีเพียงแค่ 1ใน1พันล้าน คนเท่านั้นเอง
    คุณสมบัติของผู้ที่จะมาเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั้นมีดังต่อไปนี้ คือ
    1.จะต้องเป็นคนที่ดีอย่างแท้จริงเท่านั้น ซึ่งคนชั่วนั้นเป็นไม่ได้เลย ซึ่งหรือก็คือ คนชั่วนั้นหมดสิทธิ์ที่จะมาเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง
    2.จะต้องได้รับการยอมรับจากเบี้องบนก่อน นี่หมายถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งมวล ซึ่งนั่นก็คือ เหล่าพุทธะ หรือก็คือ เหล่าผู้รู้แจ้งแล้วนั่นเอง(เมื่อเป็นแล้วก็จะรู้เอง)จะรู้เองเห็นเองเหมือนกันกับพระอรหันต์นั่นแหล่ะ แต่ก็ยังด้อยกว่ามากนัก ซึ่งหมายถึงพวกที่มีความสามารถพิเศษในตัวตนของตนเองนั่นเอง
    3.จะต้องเป็นคนที่มีศีลมีธรรมประจำใจเป็นของตนเอง และเคร่งครัดในศีลมากพอสมควร ซึ่งคนที่ไร้ศีลไร้ธรรมประจำใจของตนเองนั้นหมดสิทธิ์เป็นโดยสิ้นเชิง และยังจะต้องรักษาศีลได้อีกด้วย ซึ่งหมายถึงการไม่ละเมิดในศีลข้องต่างๆอย่างเด็ดขาด และจะต้องมีกฎเหล็กประจำตัวประจำใจเป็นของตนเองตามศาสนาหรือลัทธินั้นๆที่ตนเองเคารพนับถือเพิ่มขึ้นมาอีกด้วย
    4.จะต้องมีศาสนาหรือลัทธิ หรือซึ่งก็คือ จะต้องเป็นผู้ที่นับถือศาสนาหรือลัทธิที่ดีและถูกต้องเท่านั้น ถ้าหากไปนับถือศาสนาหรือลัทธิที่ผิดๆที่แตกต่างไปจากการทำดีการเป็นคนที่ดีแล้วล่ะก็ๆจะหมดสิทธิที่จะได้เป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ในทันที
    5.จะต้องเป็นผู้ที่มีปัญญามากพอสมควร นี่ไม่ได้หมายถึงการที่มีภูมิความรู้เท่าทันผู้คนกลโกงคนอื่นๆที่มีมากมายก่ายกอง แต่นี่หมายถึงการที่จะต้องมีปัญญามากพอที่จะรับรู้ได้ในจิตใจของตนเองว่าสิ่งใดที่เป็นสิ่งที่ถูกต้องชอบธรรม และสิ่งใดที่เป็นสิ่งที่ผิดศีลผิดธรรม ซึ่งหมายถึงการมีปัญญามากพอที่จะแยกแยะผิดชอบชั่วดีได้อย่างแม่นยำและแน่วแน่มั่นคงในตนเอง และถึงแม้ว่าบุคคลผู้นั้นจะเป็นคนที่บริสิทธิ์ผุดผ่องกายใจ และไว้ใจผู้อื่นง่ายจนเกินไป หรือจะให้พูดโดยง่ายๆก็คือ เชื่อใจคนง่ายจนเกินไป ถูกหลอกได้โดยง่ายจนเกินไป ซึ่งนั่นก็ไม่ได้หมายความว่าบุคคลผู้นั้นจะขาดคุณสมบัติในการเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไป เป็นเพียงแค่บุคคลผู้นั้นเค้าอ่อนต่อโลกเกินไป หรือเป็นคนใสซื่อบริสุทธิ์แล้วจะหมดสิทธิ์หมดคุณสมบัติไป และนี่ก็เป็นหนึ่งในหลายข้อที่บุคคลผู้ซึ่งเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์พึงจะมีควรจะมีอีกด้วย
    6.จะต้องเป็นคนที่กล้าหาญชาญชัย นี่ไม่ได้หมายถึงว่าจะต้องไปเป็นคนที่กล้าหาญชาญชัยในการต่อสู้รบตบมือกับใครเพียงอย่างเดียว แต่หมายรวมถึงการเป็นคนที่กล้าคิดนอกกรอบกฎระเบียบเก่าแก่คร่ำครึโบราณ กล้าที่จะคิดและตัดสินใจในการทำกิจการงานต่างๆในทางที่ดีและถูกต้องชอบธรรมและเด็ดเดี่ยวเด็ดขาดปราศจากความลังเลใจและเกรงกลัวใดๆ และยังต้องมีความกล้าหาญมากพอที่จะยอมรับความผิดหรือรับผิดชอบในสิ่งที่ตนเองได้กระทำมาในสิ่งที่ผู้อื่นชี้แนะและเห็นสมควรว่ามันไม่ถูกต้องชอบธรรม และไม่มีการประนีประนอมยอมความกันหรือเกิดกลัวความผิดพลาดของตนเองต่อผู้อื่นที่ตนเองได้เคยกระทำลงไปแล้วนั่นเอง
    7.จะต้องเป็นคนที่มีระเบียบวินัยในตนเองอย่างเคร่งครัด การมีระเบียบวินัยนั้นสามารถที่จะทำให้กิจการงานต่างๆนั้นมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยราบรื่นไปได้ด้วยดี และจำเป็นที่จะต้องมีระเบียบวินัยในการรักษากฎระเบียบหรือข้อบังคับต่างๆตามสภาพและสถานะของตนเองในสถานที่ตำแหน่งแห่งงานต่างๆด้วยดี
    8.จะต้องเป็นคนที่มีความอดทนอดกลั้น มีความละอายชั่วกลัวบาปเป็นสำคัญ มีความอดทนอดกลั้นต่อหน้าที่การงานที่ได้รับมอบหมายที่ได้รับผิดชอบไว้ จำเป็นที่จะต้องมีความอดทนอดกลั้นต่อแรงกระทบกระทั่งจากสิ่งยั่วยุต่างๆภายนอกไม่ให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งรุกรามไปในวงกว้าง เพียงแค่เราสงบสยบใจของเราไว้ไม่ให้ไปผูกโกรธอาฆาตพยาบาทมาดร้ายใครก็จะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างจบลงได้โดยเร็วไว จะต้องไม่หลงใหลไปกับกิเลสชั่วอำนาจฝ่ายต่ำที่เข้ามากระทบรบกวนจิตใจ โดยให้กระทำการกิจการงานต่างๆให้เป็นไปได้ด้วยดีราบรื่นปลอดภัย ไม่หวั่นไหวไปกับสิ่งต่างๆที่ไม่ดีไม่ให้มันเข้ามาครอบงำจิตใจได้
    ซึ่งคุณสมบัติคร่าวๆพอประมาณของผู้ที่เป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็มีดังนี้ ซึ่งที่จริงแล้วนั้นยังมีอีกหลายข้อนัก แต่โดยส่วนรวมแล้วก็คือ การที่จะต้องเป็นคนที่ดีและการที่จะต้องไม่เป็นคนชั่วนั่นเองครับ แต่ถ้าหากถามว่าโดยสรุปง่ายๆมีมั้ยนั้น มันก็มีตัวอย่างอยู่แล้ว ซึ่งตัวอย่างนั่นก็คือ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ นั่นเอง ประพฤติปฏิบัติตนเองตามอย่างท่าน ทำตามคำสอนของท่าน เป็นให้ได้อย่างท่านก็แค่นั้นเอง มันก็เท่านั้นเอง เพราะว่าท่านคือจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ท่านเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงแล้วนั่นเอง
    การเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ การเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั้นพูดไปมันก็ดูเหมือนว่าจะเป็นกันได้โดยง่ายๆ แต่แท้ที่จริงแล้วนั้นมันเป็นกันได้โดยยากมาก ยากมากๆๆ มาดูคุณสมบัติของผู้ที่มีสิทธิ์ที่จะมาเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์กัน ผู้ที่มีคุณสมบัติที่จะมาเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั้นมีเพียง 1ใน1ล้าน คนเท่านั้น และผู้ที่เป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์จริงๆนั้นมีเพียงแค่ 1ใน1พันล้าน คนเท่านั้นเอง คุณสมบัติของผู้ที่จะมาเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั้นมีดังต่อไปนี้ คือ 1.จะต้องเป็นคนที่ดีอย่างแท้จริงเท่านั้น ซึ่งคนชั่วนั้นเป็นไม่ได้เลย ซึ่งหรือก็คือ คนชั่วนั้นหมดสิทธิ์ที่จะมาเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง 2.จะต้องได้รับการยอมรับจากเบี้องบนก่อน นี่หมายถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งมวล ซึ่งนั่นก็คือ เหล่าพุทธะ หรือก็คือ เหล่าผู้รู้แจ้งแล้วนั่นเอง(เมื่อเป็นแล้วก็จะรู้เอง)จะรู้เองเห็นเองเหมือนกันกับพระอรหันต์นั่นแหล่ะ แต่ก็ยังด้อยกว่ามากนัก ซึ่งหมายถึงพวกที่มีความสามารถพิเศษในตัวตนของตนเองนั่นเอง 3.จะต้องเป็นคนที่มีศีลมีธรรมประจำใจเป็นของตนเอง และเคร่งครัดในศีลมากพอสมควร ซึ่งคนที่ไร้ศีลไร้ธรรมประจำใจของตนเองนั้นหมดสิทธิ์เป็นโดยสิ้นเชิง และยังจะต้องรักษาศีลได้อีกด้วย ซึ่งหมายถึงการไม่ละเมิดในศีลข้องต่างๆอย่างเด็ดขาด และจะต้องมีกฎเหล็กประจำตัวประจำใจเป็นของตนเองตามศาสนาหรือลัทธินั้นๆที่ตนเองเคารพนับถือเพิ่มขึ้นมาอีกด้วย 4.จะต้องมีศาสนาหรือลัทธิ หรือซึ่งก็คือ จะต้องเป็นผู้ที่นับถือศาสนาหรือลัทธิที่ดีและถูกต้องเท่านั้น ถ้าหากไปนับถือศาสนาหรือลัทธิที่ผิดๆที่แตกต่างไปจากการทำดีการเป็นคนที่ดีแล้วล่ะก็ๆจะหมดสิทธิที่จะได้เป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ในทันที 5.จะต้องเป็นผู้ที่มีปัญญามากพอสมควร นี่ไม่ได้หมายถึงการที่มีภูมิความรู้เท่าทันผู้คนกลโกงคนอื่นๆที่มีมากมายก่ายกอง แต่นี่หมายถึงการที่จะต้องมีปัญญามากพอที่จะรับรู้ได้ในจิตใจของตนเองว่าสิ่งใดที่เป็นสิ่งที่ถูกต้องชอบธรรม และสิ่งใดที่เป็นสิ่งที่ผิดศีลผิดธรรม ซึ่งหมายถึงการมีปัญญามากพอที่จะแยกแยะผิดชอบชั่วดีได้อย่างแม่นยำและแน่วแน่มั่นคงในตนเอง และถึงแม้ว่าบุคคลผู้นั้นจะเป็นคนที่บริสิทธิ์ผุดผ่องกายใจ และไว้ใจผู้อื่นง่ายจนเกินไป หรือจะให้พูดโดยง่ายๆก็คือ เชื่อใจคนง่ายจนเกินไป ถูกหลอกได้โดยง่ายจนเกินไป ซึ่งนั่นก็ไม่ได้หมายความว่าบุคคลผู้นั้นจะขาดคุณสมบัติในการเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ไป เป็นเพียงแค่บุคคลผู้นั้นเค้าอ่อนต่อโลกเกินไป หรือเป็นคนใสซื่อบริสุทธิ์แล้วจะหมดสิทธิ์หมดคุณสมบัติไป และนี่ก็เป็นหนึ่งในหลายข้อที่บุคคลผู้ซึ่งเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์พึงจะมีควรจะมีอีกด้วย 6.จะต้องเป็นคนที่กล้าหาญชาญชัย นี่ไม่ได้หมายถึงว่าจะต้องไปเป็นคนที่กล้าหาญชาญชัยในการต่อสู้รบตบมือกับใครเพียงอย่างเดียว แต่หมายรวมถึงการเป็นคนที่กล้าคิดนอกกรอบกฎระเบียบเก่าแก่คร่ำครึโบราณ กล้าที่จะคิดและตัดสินใจในการทำกิจการงานต่างๆในทางที่ดีและถูกต้องชอบธรรมและเด็ดเดี่ยวเด็ดขาดปราศจากความลังเลใจและเกรงกลัวใดๆ และยังต้องมีความกล้าหาญมากพอที่จะยอมรับความผิดหรือรับผิดชอบในสิ่งที่ตนเองได้กระทำมาในสิ่งที่ผู้อื่นชี้แนะและเห็นสมควรว่ามันไม่ถูกต้องชอบธรรม และไม่มีการประนีประนอมยอมความกันหรือเกิดกลัวความผิดพลาดของตนเองต่อผู้อื่นที่ตนเองได้เคยกระทำลงไปแล้วนั่นเอง 7.จะต้องเป็นคนที่มีระเบียบวินัยในตนเองอย่างเคร่งครัด การมีระเบียบวินัยนั้นสามารถที่จะทำให้กิจการงานต่างๆนั้นมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยราบรื่นไปได้ด้วยดี และจำเป็นที่จะต้องมีระเบียบวินัยในการรักษากฎระเบียบหรือข้อบังคับต่างๆตามสภาพและสถานะของตนเองในสถานที่ตำแหน่งแห่งงานต่างๆด้วยดี 8.จะต้องเป็นคนที่มีความอดทนอดกลั้น มีความละอายชั่วกลัวบาปเป็นสำคัญ มีความอดทนอดกลั้นต่อหน้าที่การงานที่ได้รับมอบหมายที่ได้รับผิดชอบไว้ จำเป็นที่จะต้องมีความอดทนอดกลั้นต่อแรงกระทบกระทั่งจากสิ่งยั่วยุต่างๆภายนอกไม่ให้เกิดการทะเลาะเบาะแว้งรุกรามไปในวงกว้าง เพียงแค่เราสงบสยบใจของเราไว้ไม่ให้ไปผูกโกรธอาฆาตพยาบาทมาดร้ายใครก็จะทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างจบลงได้โดยเร็วไว จะต้องไม่หลงใหลไปกับกิเลสชั่วอำนาจฝ่ายต่ำที่เข้ามากระทบรบกวนจิตใจ โดยให้กระทำการกิจการงานต่างๆให้เป็นไปได้ด้วยดีราบรื่นปลอดภัย ไม่หวั่นไหวไปกับสิ่งต่างๆที่ไม่ดีไม่ให้มันเข้ามาครอบงำจิตใจได้ ซึ่งคุณสมบัติคร่าวๆพอประมาณของผู้ที่เป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ก็มีดังนี้ ซึ่งที่จริงแล้วนั้นยังมีอีกหลายข้อนัก แต่โดยส่วนรวมแล้วก็คือ การที่จะต้องเป็นคนที่ดีและการที่จะต้องไม่เป็นคนชั่วนั่นเองครับ แต่ถ้าหากถามว่าโดยสรุปง่ายๆมีมั้ยนั้น มันก็มีตัวอย่างอยู่แล้ว ซึ่งตัวอย่างนั่นก็คือ ในหลวงรัชกาลที่ ๙ นั่นเอง ประพฤติปฏิบัติตนเองตามอย่างท่าน ทำตามคำสอนของท่าน เป็นให้ได้อย่างท่านก็แค่นั้นเอง มันก็เท่านั้นเอง เพราะว่าท่านคือจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ท่านเป็นจิตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ที่แท้จริงแล้วนั่นเอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 171 มุมมอง 0 รีวิว
  • เหี้ยเหลือง,ควายแดง,แมลงสาบฟ้า,จิ้งจกกลางกลวง
    วันนี้เรามาเจาะลึกกันกับบุคคลที่มีพรรคพวกต่างๆกันนะครับ เอ้า มาเริ่มกันเลยเนาะ
    เหี้ยเหลือง-พวกนี้มักจะเป็นพวกหัวดื้อ รักความถูกต้องจนมากเกินไป ไม่ชอบประนีประนอมยอมความกับใครๆ อยู่กันเป็นกระจุก ถึงจะมีพวกน้อยแต่ก็ทรงพลานุภาพและประสิทธิภาพมาก พวกนี้สู้ไม่ถอย สู้ยิบตา และสู้จนตัวตาย แต่ก็รักพวกพ้อง รักกันอย่างเหนียวแน่นกลมกลืนกันเลยทีเดียว พวกนี้กินไก่เป็นอาหารเลยฉลาด แต่ไม่โกง และพวกนี้เคยล้มเสือมาแล้วนะ ระวังตัวกันให้ดีนะทุกคน แต่มีข้อเสียคือ พวกนี้ตายง่ายกันเกินไป แต่ๆละตัวที่ตายนั้นได้สร้างชื่อจารึกในประวัติศาสตร์ไว้ลายทิ้งทวนกันทุกตัวนะจะบอกให้
    ควายแดง-พวกนี้นั้นโง่ ถูกชักจูงได้ง่าย ไม่สนในสิ่งใดนอกจากเศษกระดูกหรือเงินทองที่ผู้ชักจูงให้มา พวกนี้กินหญ้าเป็นอาหารนะ เป็นมังสวิรัตินะ พวกนี้ตายได้เพื่อผลประโยชน์แค่เพียงเล็กๆน้อยๆ แต่ส่วนใหญ่ที่ตายนั้นไม่ได้ตายเพราะจากฝ่ายศัตรูนะ ตายเพราะพวกเดียวกัน ขัดผลประโยชน์กันเอง แย่งอาหารกันจนฆ่ากันตายกันไปเองนะ พวกนี้นับถือเชื่อฟังและเคารพจ่าฝูงมาก และตอนนี้จ่าฝูงของพวกมันก็อยู่นอกบ้านนะ เข้าบ้านไม่ได้เพราะทำผิดใหญ่หลวงไว้นะ ตอนนี้พวกนี้รอวันที่จ่าฝูงของพวกมันจะกลับมาเข้าบ้านได้อีกครั้งนะ
    แมลงสาบฟ้า-พวกนี้เป็นพวกมีศักดินานะ มีตำแหน่งสูงส่งกว่าชาวบ้านชาวช่องเค้านะ พวกนี้เป็นพวกบ้าศักดินาบ้ายศบ้าตำแหน่ง พวกนี้ตอนนี้มีอิทธิพลมากในบ้าน เพราะได้ไล่รองจ่าฝูงของพวกควายแดงได้สำเร็จ และยังมีพรรคพวกที่มีอิทธิพลในบ้านอยู่เยอะ พวกนี้กินเศษอาหารเป็นปกติ แต่ถ้าขาดอาหารก็จะกินมูลสัตว์แทนนะ พวกนี้รักกันแบบลูบหน้าปาดจมูก รักกันแบบพอเป็นพิธีให้ชาวบ้านเค้าอิจฉากันนะ พวกนี้ไม่โง่นะ แต่ก็ไม่ได้ฉลาดนักนะ และพวกนี้ชอบใช้คำพูดที่ดูสวยหรูพูดคุยกันนะ และก็บ้าวิชาการมาก แต่ทำกันไม่เป็นนะ ดีแต่ชอบใช้ผู้อื่นทำงานให้นะ แบบรักสบายๆสไตล์ชิวๆนะ
    จิ้งจกกลางกลวง-พวกนี้เป็นพวกที่เปลี่ยนสีได้เก่ง ใครชนะก็ไปอยู่กับเค้า และเกลียดการพ่ายแพ้ พวกนี้มีความสามารถที่พิเศษปรับตัวได้เก่งนะ แต่พวกนี้ไม่ชอบการทะเลาะเบาะแว้งกันนะ ชอบการปรองดองกันกับทุกฝ่ายนะ และก็ไม่ฉลาดนักนะ แต่จะเรียกว่าโง่ก็ไม่ได้ เพราะฉลาดในการปรับตัวเอาชีวิตอยู่รอดได้เก่ง พวกนี้เป็นพวกที่เห็นแก่ตัวที่สุด รักทุกคนแม้กระทั่งศัตรูจนกระทั่งตัวตายไปเพราะไปหลงรักศัตรูนะ พวกนี้กินขี้เถ้าธุลีเป็นอาหารนะ ขี้เถ้าธุลีของบรรพชนนะ ตอนนี้พวกนี้อาศัยอยู่เต็มบ้านเลยนะ ทุกที่ทุกหนทุกแห่งเต็มบ้านไปหมดเลย ไล่ออกนอกบ้านเท่าไหร่ก็ไม่ยอมไป และมักจะกลับมาเรื่อยๆ พร้อมกับพวกพ้องกลุ่มใหม่ที่มาจากนอกบ้านนะ
    จบสรุปโดยคร่าวๆของบุคลในสัตว์ในพรรคพวกประเภทต่างๆกันเท่านี้นะครับ แล้วคุณล่ะ เป็นพวกไหนกันล่ะ
    เหี้ยเหลือง,ควายแดง,แมลงสาบฟ้า,จิ้งจกกลางกลวง วันนี้เรามาเจาะลึกกันกับบุคคลที่มีพรรคพวกต่างๆกันนะครับ เอ้า มาเริ่มกันเลยเนาะ เหี้ยเหลือง-พวกนี้มักจะเป็นพวกหัวดื้อ รักความถูกต้องจนมากเกินไป ไม่ชอบประนีประนอมยอมความกับใครๆ อยู่กันเป็นกระจุก ถึงจะมีพวกน้อยแต่ก็ทรงพลานุภาพและประสิทธิภาพมาก พวกนี้สู้ไม่ถอย สู้ยิบตา และสู้จนตัวตาย แต่ก็รักพวกพ้อง รักกันอย่างเหนียวแน่นกลมกลืนกันเลยทีเดียว พวกนี้กินไก่เป็นอาหารเลยฉลาด แต่ไม่โกง และพวกนี้เคยล้มเสือมาแล้วนะ ระวังตัวกันให้ดีนะทุกคน แต่มีข้อเสียคือ พวกนี้ตายง่ายกันเกินไป แต่ๆละตัวที่ตายนั้นได้สร้างชื่อจารึกในประวัติศาสตร์ไว้ลายทิ้งทวนกันทุกตัวนะจะบอกให้ ควายแดง-พวกนี้นั้นโง่ ถูกชักจูงได้ง่าย ไม่สนในสิ่งใดนอกจากเศษกระดูกหรือเงินทองที่ผู้ชักจูงให้มา พวกนี้กินหญ้าเป็นอาหารนะ เป็นมังสวิรัตินะ พวกนี้ตายได้เพื่อผลประโยชน์แค่เพียงเล็กๆน้อยๆ แต่ส่วนใหญ่ที่ตายนั้นไม่ได้ตายเพราะจากฝ่ายศัตรูนะ ตายเพราะพวกเดียวกัน ขัดผลประโยชน์กันเอง แย่งอาหารกันจนฆ่ากันตายกันไปเองนะ พวกนี้นับถือเชื่อฟังและเคารพจ่าฝูงมาก และตอนนี้จ่าฝูงของพวกมันก็อยู่นอกบ้านนะ เข้าบ้านไม่ได้เพราะทำผิดใหญ่หลวงไว้นะ ตอนนี้พวกนี้รอวันที่จ่าฝูงของพวกมันจะกลับมาเข้าบ้านได้อีกครั้งนะ แมลงสาบฟ้า-พวกนี้เป็นพวกมีศักดินานะ มีตำแหน่งสูงส่งกว่าชาวบ้านชาวช่องเค้านะ พวกนี้เป็นพวกบ้าศักดินาบ้ายศบ้าตำแหน่ง พวกนี้ตอนนี้มีอิทธิพลมากในบ้าน เพราะได้ไล่รองจ่าฝูงของพวกควายแดงได้สำเร็จ และยังมีพรรคพวกที่มีอิทธิพลในบ้านอยู่เยอะ พวกนี้กินเศษอาหารเป็นปกติ แต่ถ้าขาดอาหารก็จะกินมูลสัตว์แทนนะ พวกนี้รักกันแบบลูบหน้าปาดจมูก รักกันแบบพอเป็นพิธีให้ชาวบ้านเค้าอิจฉากันนะ พวกนี้ไม่โง่นะ แต่ก็ไม่ได้ฉลาดนักนะ และพวกนี้ชอบใช้คำพูดที่ดูสวยหรูพูดคุยกันนะ และก็บ้าวิชาการมาก แต่ทำกันไม่เป็นนะ ดีแต่ชอบใช้ผู้อื่นทำงานให้นะ แบบรักสบายๆสไตล์ชิวๆนะ จิ้งจกกลางกลวง-พวกนี้เป็นพวกที่เปลี่ยนสีได้เก่ง ใครชนะก็ไปอยู่กับเค้า และเกลียดการพ่ายแพ้ พวกนี้มีความสามารถที่พิเศษปรับตัวได้เก่งนะ แต่พวกนี้ไม่ชอบการทะเลาะเบาะแว้งกันนะ ชอบการปรองดองกันกับทุกฝ่ายนะ และก็ไม่ฉลาดนักนะ แต่จะเรียกว่าโง่ก็ไม่ได้ เพราะฉลาดในการปรับตัวเอาชีวิตอยู่รอดได้เก่ง พวกนี้เป็นพวกที่เห็นแก่ตัวที่สุด รักทุกคนแม้กระทั่งศัตรูจนกระทั่งตัวตายไปเพราะไปหลงรักศัตรูนะ พวกนี้กินขี้เถ้าธุลีเป็นอาหารนะ ขี้เถ้าธุลีของบรรพชนนะ ตอนนี้พวกนี้อาศัยอยู่เต็มบ้านเลยนะ ทุกที่ทุกหนทุกแห่งเต็มบ้านไปหมดเลย ไล่ออกนอกบ้านเท่าไหร่ก็ไม่ยอมไป และมักจะกลับมาเรื่อยๆ พร้อมกับพวกพ้องกลุ่มใหม่ที่มาจากนอกบ้านนะ จบสรุปโดยคร่าวๆของบุคลในสัตว์ในพรรคพวกประเภทต่างๆกันเท่านี้นะครับ แล้วคุณล่ะ เป็นพวกไหนกันล่ะ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 110 มุมมอง 0 รีวิว
  • คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 31
    น้ำตาแห่งความปิติยินดี ย่อมที่จะดีกว่า น้ำตาแห่งความโศกเศร้าเสียใจ
    คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 31 น้ำตาแห่งความปิติยินดี ย่อมที่จะดีกว่า น้ำตาแห่งความโศกเศร้าเสียใจ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 17 มุมมอง 0 รีวิว
  • คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 32
    สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือความชั่ว ไม่มีอะไรที่จะน่ากลัวไปกว่าความชั่วอีกแล้ว
    คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 32 สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือความชั่ว ไม่มีอะไรที่จะน่ากลัวไปกว่าความชั่วอีกแล้ว
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 11 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทำเพื่ออยู่ หรือ อยู่เพื่อทำ
    หลายคนอาจจะสงสัยว่ามันคล้ายๆกัน แต่แท้ที่จริงแล้วมันแตกต่างกันมากเลยทีเดียว
    ทำเพื่ออยู่ คือ ในที่นี้หมายถึงการประกอบอาชีพทำการงานต่างๆนาๆกันไปเพื่อให้ตนเองมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ในแต่ละวัน ซึ่งไม่เกี่ยงว่าจะทำแบบดีๆหรือจะทำแบบลวกๆเพื่อให้งานที่ตนเองทำนั้นออกมาดูดีหรืออกมาแบบขอไปที่ แต่โดยส่วนรวมแล้วนั้นจะหมายถึงการทำงานเพื่อให้ตนเองได้มีชีวิตอยู่ต่อไปนั่นเอง
    ซึ่งนั่นก็เป็นเหตุผลพื้นฐานที่ควรทำอยู่หรอก และก็ต้องทำให้ได้ด้วย ซึ่งมันก็จริง แต่เราลองมาคิดในแง่นี้อีกแบบหนึ่งจะดีกว่ามั้ย นั่นคือสิ่งที่ผมกำลังจะบอกคุณ นั่นก็คือให้อยู่เพื่อทำงานจะดีกว่า เรามาลองดูกันว่าอยู่เพื่อทำนั้นเป็นอย่างไรกัน
    อยู่เพื่อทำ คือ การที่เรามีชีวิตอยู่เพื่อทำกิจการงานอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายๆอย่างให้เป็นที่ประจักษ์ต่อตนเองและผู้อื่น และยังเป็นความภาคภูมิใจของตัวเราเองอีกด้วย ที่ได้สร้างสรรค์ผลงานของตนเองออกมาอย่างมีคุณค่า และการมีชีวิตอยู่เพื่อทำงานนั้นจะทำให้ตนเองมีคุณค่าในชีวิตของตนเองและยังได้ผลงานที่ออกมามีคุณภาพอีกด้วย เพราะอยู่เพื่อทำมันขึ้นมานั่นเอง
    ผมจะยกตัวอย่างบุคคลที่จะทำให้ทุกๆท่านเห็นภาพได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นบุคคลที่สำคัญมากๆและอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลตัวเรานักนั่นก็คือ ในหลวง รัชกาลที่ ๙ ของพวกเราปวงชนชาวไทยนั่นเองครับ ซึ่งจะเห็นได้อย่างชัดเจนและเป็นที่ประจักษ์กับทุกคนว่า ท่านนั้นมีชีวิตอยู่เพื่อทำงานทำประโยชน์ให้กับประเทศไทยนี้และพวกเราอย่างหาที่เปรียบมิได้อย่างเหลือคณานับนั่นเองครับ
    ทีนี้เราก็รู้แล้วว่า มีชีวิตอยู่เพื่อทำงาน ย่อมที่จะดีกว่า ทำงานเพื่อให้มีชีวิตอยู่ นั่นเอง
    ทำเพื่ออยู่ หรือ อยู่เพื่อทำ หลายคนอาจจะสงสัยว่ามันคล้ายๆกัน แต่แท้ที่จริงแล้วมันแตกต่างกันมากเลยทีเดียว ทำเพื่ออยู่ คือ ในที่นี้หมายถึงการประกอบอาชีพทำการงานต่างๆนาๆกันไปเพื่อให้ตนเองมีชีวิตอยู่ต่อไปได้ในแต่ละวัน ซึ่งไม่เกี่ยงว่าจะทำแบบดีๆหรือจะทำแบบลวกๆเพื่อให้งานที่ตนเองทำนั้นออกมาดูดีหรืออกมาแบบขอไปที่ แต่โดยส่วนรวมแล้วนั้นจะหมายถึงการทำงานเพื่อให้ตนเองได้มีชีวิตอยู่ต่อไปนั่นเอง ซึ่งนั่นก็เป็นเหตุผลพื้นฐานที่ควรทำอยู่หรอก และก็ต้องทำให้ได้ด้วย ซึ่งมันก็จริง แต่เราลองมาคิดในแง่นี้อีกแบบหนึ่งจะดีกว่ามั้ย นั่นคือสิ่งที่ผมกำลังจะบอกคุณ นั่นก็คือให้อยู่เพื่อทำงานจะดีกว่า เรามาลองดูกันว่าอยู่เพื่อทำนั้นเป็นอย่างไรกัน อยู่เพื่อทำ คือ การที่เรามีชีวิตอยู่เพื่อทำกิจการงานอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายๆอย่างให้เป็นที่ประจักษ์ต่อตนเองและผู้อื่น และยังเป็นความภาคภูมิใจของตัวเราเองอีกด้วย ที่ได้สร้างสรรค์ผลงานของตนเองออกมาอย่างมีคุณค่า และการมีชีวิตอยู่เพื่อทำงานนั้นจะทำให้ตนเองมีคุณค่าในชีวิตของตนเองและยังได้ผลงานที่ออกมามีคุณภาพอีกด้วย เพราะอยู่เพื่อทำมันขึ้นมานั่นเอง ผมจะยกตัวอย่างบุคคลที่จะทำให้ทุกๆท่านเห็นภาพได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นบุคคลที่สำคัญมากๆและอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลตัวเรานักนั่นก็คือ ในหลวง รัชกาลที่ ๙ ของพวกเราปวงชนชาวไทยนั่นเองครับ ซึ่งจะเห็นได้อย่างชัดเจนและเป็นที่ประจักษ์กับทุกคนว่า ท่านนั้นมีชีวิตอยู่เพื่อทำงานทำประโยชน์ให้กับประเทศไทยนี้และพวกเราอย่างหาที่เปรียบมิได้อย่างเหลือคณานับนั่นเองครับ ทีนี้เราก็รู้แล้วว่า มีชีวิตอยู่เพื่อทำงาน ย่อมที่จะดีกว่า ทำงานเพื่อให้มีชีวิตอยู่ นั่นเอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 76 มุมมอง 0 รีวิว
  • คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 33
    การให้ทานที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ก็คือการให้ความรู้คน การให้ธรรมะแก่ผู้อื่น การทำให้คนที่หลงผิดได้กลับเนื้อกลับตัวเป็นคนที่ดีกว่าเดิมนั่นเอง
    คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 33 การให้ทานที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ก็คือการให้ความรู้คน การให้ธรรมะแก่ผู้อื่น การทำให้คนที่หลงผิดได้กลับเนื้อกลับตัวเป็นคนที่ดีกว่าเดิมนั่นเอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 20 มุมมอง 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 16 มุมมอง 0 รีวิว
  • คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 34
    ผู้ใดไร้ธรรม ผู้นั้นย่อมเป็นคนชั่ว และมีความทุกข์
    ผู้ใดมีธรรม ผู้นั้นย่อมเป็นคนดี และมีความสุข
    คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 34 ผู้ใดไร้ธรรม ผู้นั้นย่อมเป็นคนชั่ว และมีความทุกข์ ผู้ใดมีธรรม ผู้นั้นย่อมเป็นคนดี และมีความสุข
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 26 มุมมอง 0 รีวิว
  • คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 35
    คนชั่วย่อมเห็นคนดีเป็นศัตรู
    คนดีย่อมเห็นคนชั่วเป็นศัตรู
    คนชั่วย่อมเห็นคนชั่วเป็นมิตร
    คนดีย่อมเห็นคนดีเป็นมิตร
    คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 35 คนชั่วย่อมเห็นคนดีเป็นศัตรู คนดีย่อมเห็นคนชั่วเป็นศัตรู คนชั่วย่อมเห็นคนชั่วเป็นมิตร คนดีย่อมเห็นคนดีเป็นมิตร
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 11 มุมมอง 0 รีวิว
  • คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 36
    อุปสรรคมีไว้ให้ฝ่าฟัน แต่บางครั้งมันก็ฟันเราซะจนเราไปไม่ไหว เหมือนกัน
    เปรียบเสมือนกับช่วงเวลาที่เรานั้นต้องมีความอดทน อดกลั้น และรอคอย ปล่อยให้เวลามันผ่านไป ค่อยๆเยียวยารักษาไป เหมือนกับการที่เราไปบังคับให้สิ่งที่เราต้องการมันมา ให้ถึงเวลาของมันเอง เราจะไปเร่งมันเป็นไปไม่ได้ พอถึงเวลาของมัน มันก็จะมา นั่นเอง
    คำคมใหม่ แต่เป็นสัจธรรมเก่า 36 อุปสรรคมีไว้ให้ฝ่าฟัน แต่บางครั้งมันก็ฟันเราซะจนเราไปไม่ไหว เหมือนกัน เปรียบเสมือนกับช่วงเวลาที่เรานั้นต้องมีความอดทน อดกลั้น และรอคอย ปล่อยให้เวลามันผ่านไป ค่อยๆเยียวยารักษาไป เหมือนกับการที่เราไปบังคับให้สิ่งที่เราต้องการมันมา ให้ถึงเวลาของมันเอง เราจะไปเร่งมันเป็นไปไม่ได้ พอถึงเวลาของมัน มันก็จะมา นั่นเอง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 32 มุมมอง 0 รีวิว