0 ความคิดเห็น
0 การแบ่งปัน
1 มุมมอง
0 รีวิว
รายการ
ค้นพบผู้คนใหม่ๆ สร้างการเชื่อมต่อใหม่ๆ และรู้จักเพื่อนใหม่
- กรุณาเข้าสู่ระบบเพื่อกดถูกใจ แชร์ และแสดงความคิดเห็น!
- Hello พันธมิตร
Hello พันธมิตร0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 16 มุมมอง 0 รีวิว - #ถ้าชีวิตท่านสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด# นอกจากการถูกหวย การร่ำรวย หรือหนังเหนียว คงกระพัน...
...แนะนำว่า ควรมีติดตัว...สุดยอดนิรันตราย...หนักเป็นเบา เบาเป็นแคล้วคลาดไปเลย...ผู้เขียนเจอประสบการณ์ตรง รอดชีวิตจากการขับรถมา 3_4 ครั้ง ...ที่จำได้...และที่ไม่รับรู้คงอีกไม่ถ้วน....
...ทำไม ทุกวัดสร้างพระเครื่องรูปเคารพท่าน..และเป็นพระเครื่องที่ถูกสร้างมากที่สุด ในประเทศนี้ แทบทุกวัด วัดละหลายรุ่น...
#ข้อห้ามอย่าเล่นการพนันมีแต่หมด##ถ้าชีวิตท่านสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด# นอกจากการถูกหวย การร่ำรวย หรือหนังเหนียว คงกระพัน... ...แนะนำว่า ควรมีติดตัว...สุดยอดนิรันตราย...หนักเป็นเบา เบาเป็นแคล้วคลาดไปเลย...ผู้เขียนเจอประสบการณ์ตรง รอดชีวิตจากการขับรถมา 3_4 ครั้ง ...ที่จำได้...และที่ไม่รับรู้คงอีกไม่ถ้วน.... ...ทำไม ทุกวัดสร้างพระเครื่องรูปเคารพท่าน..และเป็นพระเครื่องที่ถูกสร้างมากที่สุด ในประเทศนี้ แทบทุกวัด วัดละหลายรุ่น... #ข้อห้ามอย่าเล่นการพนันมีแต่หมด# - 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 10 มุมมอง 32 0 รีวิว
-
- 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 56 มุมมอง 27 0 รีวิว
-
- เกจิยุคใหม่ ที่ยังมีชีวิตอยู่ ..มีทั้งของจริง และแบบจัดฉากทางการตลาดขึ้นมา ในเชิงธุรกิจ.......อยู่ที่ท่านเลือก...ส่วนตัวศึกษาและศรัทธาท่านนี้..คนจีนก็นับถือท่านไม่น้อย...
#ครูบาอริยชาติเกจิยุคใหม่ ที่ยังมีชีวิตอยู่ ..มีทั้งของจริง และแบบจัดฉากทางการตลาดขึ้นมา ในเชิงธุรกิจ.......อยู่ที่ท่านเลือก...ส่วนตัวศึกษาและศรัทธาท่านนี้..คนจีนก็นับถือท่านไม่น้อย... #ครูบาอริยชาติ0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 46 มุมมอง 0 รีวิว -
- สนธิกอดชูวิทย์แนบแน่นสะท้านโลกธรรม
.
ผมดีใจที่สุดเมื่อวานนี้ 7 พฤศจิกายนซึ่งเป็นวันเกิดผม คุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ แจ้งมาว่า เขาจะมาพบผมสิบโมงครึ่งที่บ้านพระอาทิตย์ ผมไปนั่งรอที่ขั้นบันได พอรถเขามาถึงปั๊บ เขาเปิดประตูรถ ผมไปรับเขา ผมเห็นสภาพเขาเดินไม่ค่อยได้ ผมกลั้นน้ำตาไว้ วันนี้เขาอ่อนแอมาก เขาไม่ใช่สิงห์ผงาดในอดีตที่ออกมาแล้วยกมือชี้เรื่องโน้นเรื่องนี้ ผมดูสภาพเขาอายุหกสิบกว่ากับสภาพผมซึ่งเต็ม 77 กำลังจะเริ่ม 78 ปีวันนี้แล้ว เขาอ่อนแอมาก เขาบอกว่าในตับเขามีมะเร็งยาวถึง 5 เซนติเมตร ซึ่งมันผ่าไม่ได้แล้วและทานอะไรไม่ได้เลย
.
ผมบอกเขาว่า ชูวิทย์คุณอยู่เฉยๆก่อน ขอผมกอดคุณที ผมก็กอดเขา เขาก็กอดผมและสะอื้น ผมน้ำตาปริ่ม ผมบอกชูวิทย์ นิ่งๆนะ หายใจเข้าลึกๆ อย่าไปสนใจเสียงข้างนอก กำหนดจิตให้สงบ ไม่รู้สึกอะไร เดี๋ยวผมจะถ่ายพลังที่มีอยู่ในตัวของผมเอาไปให้คุณเพื่อรักษาตัว แล้วผมก็ภาวนาในใจและกอดเขาแน่นเลย เขาก็กอดผมแน่นเช่นกัน ผมภาวนาจนกระทั่งถึงจุดหนึ่งผมคิดว่าพอแล้ว พอผมพูดจบ ชูวิทย์สะอื้นแล้วบอกว่า พี่สนธิ ขอบคุณมาก ขอบคุณในน้ำใจพี่ สภาพเขาเดินยังแทบจะเดินไม่ได้ ต้องใช้ไม้เท้า ต้องประคองแขนทั้งสองข้าง ขากลับเขายืนยันจะเดิน ผมบอกไม่ได้ ชูวิทย์ คุณนั่งรถเข็น เดี๋ยวผมเข็นให้
.
ผมบอกว่า ชูวิทย์วันนี้เราไม่พูดเรื่องเก่ากันแล้วนะ เพราะคุณกับผมสวมหมวกคนละใบ อาจจะมีการปะทะกันในหลักการ แต่ผมไม่ได้โกรธคุณ และคุณก็ไม่ได้โกรธผม
.
นี่คือความสัมพันธ์ระหว่างผม สนธิ ลิ้มทองกุล กับคุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เหตุการณ์ที่พัฒนามาจากวันนั้นถึงวันนี้ น่าจะเป็นบทเรียนในชีวิตให้กับพวกเราหลายๆ คนที่ยังคงฝังตัวเองและจมลึกอยู่ท่ามกลางความแค้น ความแค้นไม่ได้ช่วยให้อะไรมันดีขึ้นเลย มีแต่แผดเผาจิตใจของเรา
.
สำหรับผมแล้ว เรื่องเล็กมาก เพราะผมถือว่าเป็นเรื่องสมมุติ และเป็นเรื่องที่มันควรจะจบด้วยการให้อภัยและลืมมันไปซะ ชีวิตเรามันสั้น เหลือเวลาของชีวิต รักษาความเป็นมิตรภาพ สัมพันธภาพอันดี
.
ผมคิดว่าคุณชูวิทย์ ในช่วงสุดท้ายของชีวิต ถ้าจะเป็นช่วงสุดท้าย เขาคงอยากจะมีเพื่อนดีๆ หรือพี่ดีๆ อย่างผมที่เขาแวะมาคุยด้วยได้ มองตาแล้วเขาสบายใจ นั่นล่ะครับ ประสบการณ์ที่ผมเจอคุณชูวิทย์ สิบโมงครึ่ง ที่บ้านพระอาทิตย์
.
จุดจบของความสัมพันธ์ก็คือความเข้าใจกัน และความจริงใจให้กันด้วยความเต็มใจทั้งสองฝ่ายสนธิกอดชูวิทย์แนบแน่นสะท้านโลกธรรม . ผมดีใจที่สุดเมื่อวานนี้ 7 พฤศจิกายนซึ่งเป็นวันเกิดผม คุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ แจ้งมาว่า เขาจะมาพบผมสิบโมงครึ่งที่บ้านพระอาทิตย์ ผมไปนั่งรอที่ขั้นบันได พอรถเขามาถึงปั๊บ เขาเปิดประตูรถ ผมไปรับเขา ผมเห็นสภาพเขาเดินไม่ค่อยได้ ผมกลั้นน้ำตาไว้ วันนี้เขาอ่อนแอมาก เขาไม่ใช่สิงห์ผงาดในอดีตที่ออกมาแล้วยกมือชี้เรื่องโน้นเรื่องนี้ ผมดูสภาพเขาอายุหกสิบกว่ากับสภาพผมซึ่งเต็ม 77 กำลังจะเริ่ม 78 ปีวันนี้แล้ว เขาอ่อนแอมาก เขาบอกว่าในตับเขามีมะเร็งยาวถึง 5 เซนติเมตร ซึ่งมันผ่าไม่ได้แล้วและทานอะไรไม่ได้เลย . ผมบอกเขาว่า ชูวิทย์คุณอยู่เฉยๆก่อน ขอผมกอดคุณที ผมก็กอดเขา เขาก็กอดผมและสะอื้น ผมน้ำตาปริ่ม ผมบอกชูวิทย์ นิ่งๆนะ หายใจเข้าลึกๆ อย่าไปสนใจเสียงข้างนอก กำหนดจิตให้สงบ ไม่รู้สึกอะไร เดี๋ยวผมจะถ่ายพลังที่มีอยู่ในตัวของผมเอาไปให้คุณเพื่อรักษาตัว แล้วผมก็ภาวนาในใจและกอดเขาแน่นเลย เขาก็กอดผมแน่นเช่นกัน ผมภาวนาจนกระทั่งถึงจุดหนึ่งผมคิดว่าพอแล้ว พอผมพูดจบ ชูวิทย์สะอื้นแล้วบอกว่า พี่สนธิ ขอบคุณมาก ขอบคุณในน้ำใจพี่ สภาพเขาเดินยังแทบจะเดินไม่ได้ ต้องใช้ไม้เท้า ต้องประคองแขนทั้งสองข้าง ขากลับเขายืนยันจะเดิน ผมบอกไม่ได้ ชูวิทย์ คุณนั่งรถเข็น เดี๋ยวผมเข็นให้ . ผมบอกว่า ชูวิทย์วันนี้เราไม่พูดเรื่องเก่ากันแล้วนะ เพราะคุณกับผมสวมหมวกคนละใบ อาจจะมีการปะทะกันในหลักการ แต่ผมไม่ได้โกรธคุณ และคุณก็ไม่ได้โกรธผม . นี่คือความสัมพันธ์ระหว่างผม สนธิ ลิ้มทองกุล กับคุณชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ เหตุการณ์ที่พัฒนามาจากวันนั้นถึงวันนี้ น่าจะเป็นบทเรียนในชีวิตให้กับพวกเราหลายๆ คนที่ยังคงฝังตัวเองและจมลึกอยู่ท่ามกลางความแค้น ความแค้นไม่ได้ช่วยให้อะไรมันดีขึ้นเลย มีแต่แผดเผาจิตใจของเรา . สำหรับผมแล้ว เรื่องเล็กมาก เพราะผมถือว่าเป็นเรื่องสมมุติ และเป็นเรื่องที่มันควรจะจบด้วยการให้อภัยและลืมมันไปซะ ชีวิตเรามันสั้น เหลือเวลาของชีวิต รักษาความเป็นมิตรภาพ สัมพันธภาพอันดี . ผมคิดว่าคุณชูวิทย์ ในช่วงสุดท้ายของชีวิต ถ้าจะเป็นช่วงสุดท้าย เขาคงอยากจะมีเพื่อนดีๆ หรือพี่ดีๆ อย่างผมที่เขาแวะมาคุยด้วยได้ มองตาแล้วเขาสบายใจ นั่นล่ะครับ ประสบการณ์ที่ผมเจอคุณชูวิทย์ สิบโมงครึ่ง ที่บ้านพระอาทิตย์ . จุดจบของความสัมพันธ์ก็คือความเข้าใจกัน และความจริงใจให้กันด้วยความเต็มใจทั้งสองฝ่าย - กรุณาพกเงินสดไว้,มีตังแบงค์ไหนรีบถอนออกให้หมดก่อนจะสายไป,จะเสียใจหนัก!!!.,มันกำลังจะเกิดขึ้น.กรุณาพกเงินสดไว้,มีตังแบงค์ไหนรีบถอนออกให้หมดก่อนจะสายไป,จะเสียใจหนัก!!!.,มันกำลังจะเกิดขึ้น.
- เงิดสด&เงินสดเงิดสด&เงินสด
- จุดจบ “ทนายษิทรา”? ฉ้อโกงโยงแก๊งฟอกเงิน
.
ผมเคยพูดมาตลอดว่าเวรกรรมมันมีจริง และปล่อยให้กรรมทำงานของมันไปดีกว่า ผมถูกนายษิทรา เบี้ยบังเกิด กล่าวหาว่าผมอยู่เบื้องหลัง เป็นผู้วางแผนการ ทั้งๆที่ผมไม่ได้เกี่ยวข้องเลยแม้แต่นิดเดียวซึ่งผมอธิบายให้ท่านผู้ชมฟังไปแล้ว
.
นายษิทรา เบี้ยบังเกิด โดนหมายจับครั้งนี้เนื่องจากคณะกรรมการสอบสวนเขาได้ระบุชัดเจนเลยว่า "จากหลักฐานที่มีอยู่" เขาอนุมานและประเมินเรื่องราวต่างๆ ได้ว่า นายษิทรา เบี้ยบังเกิด และภรรยา มีส่วนร่วมกันฉ้อโกง
.
นั่นคือตำรวจทำคดีนี้ ไม่ได้มองว่างานนี้นายษิทราคนเดียวที่ทำ แต่ทำเป็นขบวนการ ตรงนี้ที่นายษิทราแพ้ แล้วยังมีทีเด็ดอีก ซึ่งผมไม่สามารถพูดได้ เอาเป็นว่ามันมีหลักฐานพิสูจน์ว่านายษิทรา เบี้ยบังเกิดนั้นรับรู้ในเรื่องเงิน 39 ล้านและก็ได้ส่วนแบ่งไปด้วย
.
เพราะฉะนั้นแล้ว จากการฉ้อโกงส่วนบุคคล กลายเป็นฉ้อโกงเป็นขบวนการ เมื่อฉ้อโกงเป็นขบวนการแล้ว ข้อหาฉ้อโกงธรรมดาก็ไม่ได้ใช้แล้ว ก็เพิ่มข้อหาเป็น "ฉ้อโกงเป็นปกติธุระ" ก็คือฉ้อโกงอย่างเป็นสันดานนั่นเอง เจอเรื่องอะไรก็ฉ้อโกงมันหมดทุกเรื่อง
.
ผมอ่านตามหน้าไพ่ว่า ข้อแรก ข้อหาที่ตำรวจตั้งนั้นเป็นข้อหาที่รุนแรงหนัก ไม่ใช่ข้อหาธรรมดา "ฉ้อโกงเป็นปกติธุระ" ก็คือฉ้อโกงจนเป็นสันดาน เมื่อบวกการฟอกเงินเป็นข้อหาที่หนักมาก
.
ข้อที่สอง การที่นายษิทรา เบี้ยบังเกิดปากเสีย ไปที่หน้ากองปราบ ไปโชว์ตัวและออกมาพูดถึงเนื้อหาในคดี ซึ่งข้างในอาคารเขากำลังสอบสวนอยู่ แล้วอ้างว่าตัวเองไม่ผิด อย่างโน้นอย่างนี้ นี่คือการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม เหมือนกับข่มขู่คนที่กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ หรือข่มขู่พยานที่กำลังให้ปากคำอยู่
.
ข้อที่สามก็คือ แทนที่จะอยู่เพื่อให้จับ กลับขับรถหนีอ้างว่าไปไหว้หลวงพ่อโสธร
.
เพราะฉะนั้น ด้วยเหตุสามข้อนี้ ตามที่ผมอ่านตามหน้าไพ่ ตำรวจจะคัดค้านการประกันตัว และถ้าศาลไม่ให้ประกันตัวตามมูลเหตุดังที่ผมพูดมานี้ ก็ค่อนข้างจะแน่นอนว่า ยื่นประกันตัวต่อไปในอนาคตก็ไม่ได้
.
มิหนำซ้ำ ระหว่างที่ฝากขังและสอบสวนษิทราอยู่ ตำรวจก็หาข้อมูล ก็อาจจะมีหมายจับออกมาเรื่อยๆ เพราะมันมีไม่ใช่เฉพาะ ษิทราและภรรยาเท่านั้น มีพี่ภรรยาอีก ซึ่งจะโดนหรือเปล่า ผมไม่ทราบ แต่ถ้าโดนผมก็ไม่ประหลาดใจ มีนายณุ และภรรยาชื่อ สา ซึ่งเกี่ยวข้องกับเงิน 39 ล้าน ก็อาจจะโดนหมายจับเช่นกัน แล้วผมยังมั่นใจว่าหมายจับยังจะต้องมีเพิ่มอีก
.
เชื่อหรือยังว่าเวรกรรมนั้นมันมีจริง ทำความชั่ว ทำร้ายผู้คนจำนวนมากจากการหลอกลวง ฉ้อโกงเขา ตั้งแต่หนุ่มตั้งแต่แน่นแล้ว เคยมีคดีลวนลามผู้หญิง หรือว่าพรากผู้เยาว์ ผมมีประวัติเขาตั้งแต่เขายังเป็นเด็กหนุ่ม เอาไว้วันหลังผมจะเรียบเรียงให้ฟังจุดจบ “ทนายษิทรา”? ฉ้อโกงโยงแก๊งฟอกเงิน . ผมเคยพูดมาตลอดว่าเวรกรรมมันมีจริง และปล่อยให้กรรมทำงานของมันไปดีกว่า ผมถูกนายษิทรา เบี้ยบังเกิด กล่าวหาว่าผมอยู่เบื้องหลัง เป็นผู้วางแผนการ ทั้งๆที่ผมไม่ได้เกี่ยวข้องเลยแม้แต่นิดเดียวซึ่งผมอธิบายให้ท่านผู้ชมฟังไปแล้ว . นายษิทรา เบี้ยบังเกิด โดนหมายจับครั้งนี้เนื่องจากคณะกรรมการสอบสวนเขาได้ระบุชัดเจนเลยว่า "จากหลักฐานที่มีอยู่" เขาอนุมานและประเมินเรื่องราวต่างๆ ได้ว่า นายษิทรา เบี้ยบังเกิด และภรรยา มีส่วนร่วมกันฉ้อโกง . นั่นคือตำรวจทำคดีนี้ ไม่ได้มองว่างานนี้นายษิทราคนเดียวที่ทำ แต่ทำเป็นขบวนการ ตรงนี้ที่นายษิทราแพ้ แล้วยังมีทีเด็ดอีก ซึ่งผมไม่สามารถพูดได้ เอาเป็นว่ามันมีหลักฐานพิสูจน์ว่านายษิทรา เบี้ยบังเกิดนั้นรับรู้ในเรื่องเงิน 39 ล้านและก็ได้ส่วนแบ่งไปด้วย . เพราะฉะนั้นแล้ว จากการฉ้อโกงส่วนบุคคล กลายเป็นฉ้อโกงเป็นขบวนการ เมื่อฉ้อโกงเป็นขบวนการแล้ว ข้อหาฉ้อโกงธรรมดาก็ไม่ได้ใช้แล้ว ก็เพิ่มข้อหาเป็น "ฉ้อโกงเป็นปกติธุระ" ก็คือฉ้อโกงอย่างเป็นสันดานนั่นเอง เจอเรื่องอะไรก็ฉ้อโกงมันหมดทุกเรื่อง . ผมอ่านตามหน้าไพ่ว่า ข้อแรก ข้อหาที่ตำรวจตั้งนั้นเป็นข้อหาที่รุนแรงหนัก ไม่ใช่ข้อหาธรรมดา "ฉ้อโกงเป็นปกติธุระ" ก็คือฉ้อโกงจนเป็นสันดาน เมื่อบวกการฟอกเงินเป็นข้อหาที่หนักมาก . ข้อที่สอง การที่นายษิทรา เบี้ยบังเกิดปากเสีย ไปที่หน้ากองปราบ ไปโชว์ตัวและออกมาพูดถึงเนื้อหาในคดี ซึ่งข้างในอาคารเขากำลังสอบสวนอยู่ แล้วอ้างว่าตัวเองไม่ผิด อย่างโน้นอย่างนี้ นี่คือการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม เหมือนกับข่มขู่คนที่กำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่ หรือข่มขู่พยานที่กำลังให้ปากคำอยู่ . ข้อที่สามก็คือ แทนที่จะอยู่เพื่อให้จับ กลับขับรถหนีอ้างว่าไปไหว้หลวงพ่อโสธร . เพราะฉะนั้น ด้วยเหตุสามข้อนี้ ตามที่ผมอ่านตามหน้าไพ่ ตำรวจจะคัดค้านการประกันตัว และถ้าศาลไม่ให้ประกันตัวตามมูลเหตุดังที่ผมพูดมานี้ ก็ค่อนข้างจะแน่นอนว่า ยื่นประกันตัวต่อไปในอนาคตก็ไม่ได้ . มิหนำซ้ำ ระหว่างที่ฝากขังและสอบสวนษิทราอยู่ ตำรวจก็หาข้อมูล ก็อาจจะมีหมายจับออกมาเรื่อยๆ เพราะมันมีไม่ใช่เฉพาะ ษิทราและภรรยาเท่านั้น มีพี่ภรรยาอีก ซึ่งจะโดนหรือเปล่า ผมไม่ทราบ แต่ถ้าโดนผมก็ไม่ประหลาดใจ มีนายณุ และภรรยาชื่อ สา ซึ่งเกี่ยวข้องกับเงิน 39 ล้าน ก็อาจจะโดนหมายจับเช่นกัน แล้วผมยังมั่นใจว่าหมายจับยังจะต้องมีเพิ่มอีก . เชื่อหรือยังว่าเวรกรรมนั้นมันมีจริง ทำความชั่ว ทำร้ายผู้คนจำนวนมากจากการหลอกลวง ฉ้อโกงเขา ตั้งแต่หนุ่มตั้งแต่แน่นแล้ว เคยมีคดีลวนลามผู้หญิง หรือว่าพรากผู้เยาว์ ผมมีประวัติเขาตั้งแต่เขายังเป็นเด็กหนุ่ม เอาไว้วันหลังผมจะเรียบเรียงให้ฟัง - เปิดเอกสารสัญญา-หลักฐานถึงพี่เมียทนายตั้ม
.
วันนี้ผมเปิดเผยเอกสารชิ้นหนึ่งที่หลายๆ คนเฝ้ารอ และยังไม่มีใครเปิดเผยมาก่อน เอกสารชิ้นนี้คือสัญญาและหลักฐานสำคัญในการจ้างที่ปรึกษาดูแลผลประโยชน์ทางธุรกิจ ระหว่างคุณจตุพร อุบลเลิศ กับบริษัท ษิทรา ลอว์ เฟิร์ม อ้างอิงอยู่ในใบบันทึกคำให้การผู้กล่าวหา หรือใบแจ้งความของคุณจตุพร อุบลเลิศ เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2567
.
สิ่งที่น่าสนใจของสัญญาฉบับนี้ สัญญาฉบับนี้มีระยะเวลา 1 ปีตั้งแต่เมษายน 2565 มีการจ่ายเงินค่าจ้างเดือนละ 3 แสนบาท และจ่ายเงินค่าจ้างงวดสุดท้ายเมื่อเดือนมีนาคม 2566 ทำจดหมายยกเลิกสัญญาจ้างอย่างเป็นทางการ เนื่องจากสำนักทนายความของทนายตั้มไม่ได้ทำอะไรสมกับค่าจ้างที่ได้รับไปและยังขนครอบครัวไปต่างประเทศแทบทุกเดือน ไปพักโรงแรมหรูๆ แล้วให้เขารับผิดชอบค่าใช้จ่าย
.
แต่ประเด็นที่น่าสนใจมากคือ หลักฐานการเงินระบุชัดเจนว่าฝั่งพี่อ้อยไม่เคยโอนเงินเข้าบริษัท ษิทรา ลอว์ เฟิร์ม แต่ษิทราระบุว่าให้โอนเข้าบัญชีของบุคคลที่ชื่อ ปิณฑิรา การิวัลย์ โดยตลอด มีเพจ CSILA ที่ไม่กี่วันมานี้ ออกมาตั้งคำถามว่า "อยากให้ตำรวจและนักข่าวตรวจสอบพี่สาวเมียทนายตั้ม น.ส.ปิณฑิรา การิวัลย์ ซึ่งมีอาชีพคือคนใช้กับเลี้ยงลูกตั้ม แต่เงินในบัญชีเยอะมาก ถ้าตรวจสอบเส้นเงินได้ก็เกมส์"
.
เมื่อเราไปเปิดดูงบการเงินบริษัท ษิทรา ลอว์ เฟิร์ม ตั้งอยู่ที่อาคารเอ็มไพร์ทาวเวอร์ ถนนสาทร แจ้งงบการเงิน 5 ปีย้อนหลัง มีรายได้รวมประมาณ 37 ล้านบาท มีรายได้ดีอยู่ปีเดียว คือปี 2565 ซึ่งมีรายได้รวม 21.9 ล้านบาท ก่อนหน้านั้นรายได้อยู่ในระดับประมาณ 2 ล้านบาทและขาดทุนมากกว่า
.
หลายคนถามว่า คุณษิทราเอาเงินที่ไหนไปซื้อบ้านราคาหลายสิบล้าน มีรถหรูอีกหลายคัน นาฬิกาหรู เสื้อแบรนด์เนมอีกเพียบ ส่วนที่ไปเที่ยวเมืองนอกบ่อยๆ คุณรู้แล้วใช่ไหมว่าคุณใช้เงินของพี่อ้อยนั่นเอง
.
ผมเอารูปรถให้ดูนะครับ Porsche Cayenne ที่ทนายตั้มขับมาที่กองปราบ วันอังคารที่ 5 พฤศจิกายน 2567 รถหรูราคาแพงที่นายษิทราใช้อยู่นั้น ซื้อด้วยเงินสด แต่ไม่มีชื่อนายษิทราเป็นเจ้าของเลยแม้แต่คันเดียว อนุมานได้ไหมครับคุณษิทรา ว่าคุณกำลังซ่อนเร้นเรื่องเงินก้อนนี้อยู่ โดยที่ให้คนอื่นมาเป็นเจ้าของรถแทนคุณ มันเป็นวิธีการง่ายๆ ของคนที่ชอบฟอกเงินในอดีต
.
ด้วยเหตุนี้ มีผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีจึงชี้ให้เห็นว่า การกระทำของทนายตั้มในการรับค่าจ้างที่ปรึกษาพี่อ้อย แต่กลับโอนเงินเข้าคนอื่น ในทางภาษี ในทางกฎหมาย มันเข้าข่ายเลี่ยงภาษีอย่างชัดเจน
.
เรื่องนี้เป็นเหตุบังเอิญอย่างร้ายกาจ เรื่องราวที่คุณชูวิทย์เล่าเมื่อปีที่แล้ว มันช่างคล้ายๆ กับทนายแบรนด์เนมคนหนึ่งซึ่งผมไม่รู้ว่าเป็นใคร จะใช่ทนายตั้ม ษิทรา สำนักกฎหมายษิทรา ลอว์เฟิร์ม กับพี่สาวภรรยาที่ขึ้นต้นด้วย ป. ที่ชื่อ ปิณฑิรา การิวัลย์ หรือไม่ เจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบ กรุณาช่วยสืบค้นข้อเท็จจริงเรื่องนี้ให้ผมหน่อย
.
และผมอยากให้กรมสรรพากร ซึ่งผมจะไปยื่นเรื่องร้องเรียนอย่างเป็นทางการว่าคุณปิณฑิราได้รับเงินมาจากแหล่งที่มาที่ไม่ทราบ เป็นประจำเดือน มีหลักฐานเงินโอนเข้าบัญชีให้ เดือนละ 3 แสนบาท ปีหนึ่งเป็นเงิน 3 ล้าน 6 แสนบาท ผมใคร่จะถามด้วยความเคารพว่า ผู้รับเงินรายได้นี้ ได้เสียภาษีเงินได้หรือเปล่า ถ้าไม่ได้เสียเลยเป็นเวลา 12 เดือน ควรจะต้องถูกเสียภาษีย้อนหลังประมาณเท่าไร และจะต้องถูกเบี้ยปรับอีกเท่าไร ถ้าตอบผมได้ก็จะเป็นพระคุณยิ่ง อันนี้เข้าข่ายในการฟอกเงินหรือเปล่า ขึ้นอยู่กับผู้เกี่ยวข้องที่ดูแลกฎหมายอยู่จะต้องเป็นคนตัดสินใจครับ
เปิดเอกสารสัญญา-หลักฐานถึงพี่เมียทนายตั้ม . วันนี้ผมเปิดเผยเอกสารชิ้นหนึ่งที่หลายๆ คนเฝ้ารอ และยังไม่มีใครเปิดเผยมาก่อน เอกสารชิ้นนี้คือสัญญาและหลักฐานสำคัญในการจ้างที่ปรึกษาดูแลผลประโยชน์ทางธุรกิจ ระหว่างคุณจตุพร อุบลเลิศ กับบริษัท ษิทรา ลอว์ เฟิร์ม อ้างอิงอยู่ในใบบันทึกคำให้การผู้กล่าวหา หรือใบแจ้งความของคุณจตุพร อุบลเลิศ เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2567 . สิ่งที่น่าสนใจของสัญญาฉบับนี้ สัญญาฉบับนี้มีระยะเวลา 1 ปีตั้งแต่เมษายน 2565 มีการจ่ายเงินค่าจ้างเดือนละ 3 แสนบาท และจ่ายเงินค่าจ้างงวดสุดท้ายเมื่อเดือนมีนาคม 2566 ทำจดหมายยกเลิกสัญญาจ้างอย่างเป็นทางการ เนื่องจากสำนักทนายความของทนายตั้มไม่ได้ทำอะไรสมกับค่าจ้างที่ได้รับไปและยังขนครอบครัวไปต่างประเทศแทบทุกเดือน ไปพักโรงแรมหรูๆ แล้วให้เขารับผิดชอบค่าใช้จ่าย . แต่ประเด็นที่น่าสนใจมากคือ หลักฐานการเงินระบุชัดเจนว่าฝั่งพี่อ้อยไม่เคยโอนเงินเข้าบริษัท ษิทรา ลอว์ เฟิร์ม แต่ษิทราระบุว่าให้โอนเข้าบัญชีของบุคคลที่ชื่อ ปิณฑิรา การิวัลย์ โดยตลอด มีเพจ CSILA ที่ไม่กี่วันมานี้ ออกมาตั้งคำถามว่า "อยากให้ตำรวจและนักข่าวตรวจสอบพี่สาวเมียทนายตั้ม น.ส.ปิณฑิรา การิวัลย์ ซึ่งมีอาชีพคือคนใช้กับเลี้ยงลูกตั้ม แต่เงินในบัญชีเยอะมาก ถ้าตรวจสอบเส้นเงินได้ก็เกมส์" . เมื่อเราไปเปิดดูงบการเงินบริษัท ษิทรา ลอว์ เฟิร์ม ตั้งอยู่ที่อาคารเอ็มไพร์ทาวเวอร์ ถนนสาทร แจ้งงบการเงิน 5 ปีย้อนหลัง มีรายได้รวมประมาณ 37 ล้านบาท มีรายได้ดีอยู่ปีเดียว คือปี 2565 ซึ่งมีรายได้รวม 21.9 ล้านบาท ก่อนหน้านั้นรายได้อยู่ในระดับประมาณ 2 ล้านบาทและขาดทุนมากกว่า . หลายคนถามว่า คุณษิทราเอาเงินที่ไหนไปซื้อบ้านราคาหลายสิบล้าน มีรถหรูอีกหลายคัน นาฬิกาหรู เสื้อแบรนด์เนมอีกเพียบ ส่วนที่ไปเที่ยวเมืองนอกบ่อยๆ คุณรู้แล้วใช่ไหมว่าคุณใช้เงินของพี่อ้อยนั่นเอง . ผมเอารูปรถให้ดูนะครับ Porsche Cayenne ที่ทนายตั้มขับมาที่กองปราบ วันอังคารที่ 5 พฤศจิกายน 2567 รถหรูราคาแพงที่นายษิทราใช้อยู่นั้น ซื้อด้วยเงินสด แต่ไม่มีชื่อนายษิทราเป็นเจ้าของเลยแม้แต่คันเดียว อนุมานได้ไหมครับคุณษิทรา ว่าคุณกำลังซ่อนเร้นเรื่องเงินก้อนนี้อยู่ โดยที่ให้คนอื่นมาเป็นเจ้าของรถแทนคุณ มันเป็นวิธีการง่ายๆ ของคนที่ชอบฟอกเงินในอดีต . ด้วยเหตุนี้ มีผู้เชี่ยวชาญด้านภาษีจึงชี้ให้เห็นว่า การกระทำของทนายตั้มในการรับค่าจ้างที่ปรึกษาพี่อ้อย แต่กลับโอนเงินเข้าคนอื่น ในทางภาษี ในทางกฎหมาย มันเข้าข่ายเลี่ยงภาษีอย่างชัดเจน . เรื่องนี้เป็นเหตุบังเอิญอย่างร้ายกาจ เรื่องราวที่คุณชูวิทย์เล่าเมื่อปีที่แล้ว มันช่างคล้ายๆ กับทนายแบรนด์เนมคนหนึ่งซึ่งผมไม่รู้ว่าเป็นใคร จะใช่ทนายตั้ม ษิทรา สำนักกฎหมายษิทรา ลอว์เฟิร์ม กับพี่สาวภรรยาที่ขึ้นต้นด้วย ป. ที่ชื่อ ปิณฑิรา การิวัลย์ หรือไม่ เจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบ กรุณาช่วยสืบค้นข้อเท็จจริงเรื่องนี้ให้ผมหน่อย . และผมอยากให้กรมสรรพากร ซึ่งผมจะไปยื่นเรื่องร้องเรียนอย่างเป็นทางการว่าคุณปิณฑิราได้รับเงินมาจากแหล่งที่มาที่ไม่ทราบ เป็นประจำเดือน มีหลักฐานเงินโอนเข้าบัญชีให้ เดือนละ 3 แสนบาท ปีหนึ่งเป็นเงิน 3 ล้าน 6 แสนบาท ผมใคร่จะถามด้วยความเคารพว่า ผู้รับเงินรายได้นี้ ได้เสียภาษีเงินได้หรือเปล่า ถ้าไม่ได้เสียเลยเป็นเวลา 12 เดือน ควรจะต้องถูกเสียภาษีย้อนหลังประมาณเท่าไร และจะต้องถูกเบี้ยปรับอีกเท่าไร ถ้าตอบผมได้ก็จะเป็นพระคุณยิ่ง อันนี้เข้าข่ายในการฟอกเงินหรือเปล่า ขึ้นอยู่กับผู้เกี่ยวข้องที่ดูแลกฎหมายอยู่จะต้องเป็นคนตัดสินใจครับ - "ทนายจุ๊กกรู้" ที่ผมก็ไม่อยากรู้จักด้วย
.
เมื่อวันจันทร์ที่่4พฤศจิกายนที่ผ่านมา ทนายเดชาออกรายการ "ถกไม่เถียง" ทางช่อง 7 กับคุณอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ในรายการ "ถกไม่เถียง" ทนายเดชากล่าวพาดพิงตอบโต้คณะกรรมการสภาทนายความ กรณีจะจัดการทนายโซเชียลที่เดินสายออกทีวี เนื่องจากได้ละเมิดต่อข้อบังคับของสภาทนายความว่าด้วยมรรยาททนายความ จนส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงองค์กรและสมาชิกทนายความส่วนใหญ่
.
นายเดชาอ้างว่าสภาทนายความไม่ได้มีอำนาจพิพากษาทนายทำผิด ถือเป็นการกระทำเกินบทบาท เพราะสภาทนายความเป็นสภาวิชาชีพ แต่คนที่เป็นนายก และอุปนายก มาจากการเลือกตั้ง สามปีก็ไปแล้ว เป็นผู้ประกอบวิชาชีพ ไม่ใช่อยู่ดีๆ จะทำตัวเป็นศาล จะจัดระเบียบทนายโซเชียล จะไปเอากฎหมายอะไรมาจัดการได้
.
อย่างที่ผมกล่าวไปแล้วในรายการวันศุกร์ที่แล้วว่าผมจะยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการสภาทนายความชุดปัจจุบันให้ถอดถอนตั๋วทนายหรือใบอนุญาตเป็นทนายความของนายษิทรา เบี้ยบังเกิด เสีย เนื่องจากมีการกระทำผิดกฎหมายและละเมิดมรรยาททนายความอย่างร้ายแรงในหลายประเด็นด้วยกัน
.
แม้ผมจะไม่ใช่นักกฎหมาย ไม่ใช่ทนาย แต่ผมระแคะระคายว่าทนายตั้ม ษิทรา เคยถูกร้องเรียนเรื่องราวต่อสภาทนายความมาแล้วเยอะแยะเลย รวมถึงคุณเดชาเองก็เคยร้องเรียนทนายตั้มเสียด้วยซ้ำ ตัวเองเคยร้องเรียนเอง แต่พอไกล่เกลี่ย เกี้ยเซียะกัน จะเกี้ยเซียะกันด้วยอะไร ผมไม่รู้ ทนายเดชาก็ถอนเรื่องไป แต่เรื่องก็ยังคาอยู่ที่การพิจารณาของคณะกรรมการมรรยาทฯ แม้คุณจะถอนเรื่องออกไปแล้วก็ตาม
.
จริงๆ วิธีการวางหมากของทนายตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด ในการจัดการเรื่องราวร้องเรียนต่อสภาทนายความที่มาถึงตนเองเป็นสิบเรื่องนั้น ไม่ได้แตกต่างกว่าวิธีของนายของทนายตั้ม คือ สุรเชชษฐ์ หักพาล ใช้เพื่อจัดการเรื่องราวร้องเรียนของตัวเองที่ถูกส่งไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เหมือนกัน โดยสุรเชชษฐ์ ใช้วิธีวางคนของตัวเองไว้ใน ป.ป.ช. ตั้งแต่ระดับกรรมการ ป.ป.ช. เรื่อยไปจนถึงเจ้าหน้าที่ระดับต่างๆ ของ ป.ป.ช. ยกตัวอย่างเช่น นายสมบัติ ธรธรรม แต่กรณีทนายตั้ม ษิทรา นั้น อาจจะเรียกได้ว่าหนักหนากว่า เพราะไม่ได้วางคนทั่วไป แต่วางญาติตัวเองไว้ในคณะกรรมการมรรยาทสภาทนายความชุดเก่าเลยทีเดียว ผมไม่อยากจะเอ่ยชื่อ ชื่อย่อก็ไม่อยากจะเอ่ย
.
ทนายเดชาและคุณษิทรา เรื่องของพวกคุณกับแก๊งทนายหิวแสงนั้น ยังมีอีกเยอะ แค่ข้อมูลของคุณษิทราที่มีคน inbox ส่งเรื่องเข้ามาให้ผมได้รับรู้ รับทราบ และคัดกรองนั้นคุณเดชา คุณษิทรา รู้ไหม มากมายมหาศาล วันๆ พวกผมไม่ต้องทำงานอื่นแล้ว เพราะเรื่องฉาวๆ ของแก๊งพวกคุณมันเยอะจริงๆ ผมนึกไม่ถึงว่าจะมีเรื่องราวที่เลวทรามต่ำช้าแบบนี้เกิดขึ้นในสังคมไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกิดขึ้นกับแวดวงทนาย ที่ผมบอกแล้วว่าเอาโจรมาเป็นทนาย
.
ทนายเดชา คุณใจเย็นๆ ผมจะค่อยๆ ทยอยเอามานำเสนอทีละเรื่องๆ คุณคอยฝึกร้องจุ๊กกรู้ๆ เหมือนที่คุณชอบร้องเวลาไลฟ์สดอยู่ประจำก็แล้วกัน เวลามีเรื่องจริงๆ กรุณาอย่าหายหน้าหายตาหลบไปเหมือนทนายษิทราเลยนะครับ
"ทนายจุ๊กกรู้" ที่ผมก็ไม่อยากรู้จักด้วย . เมื่อวันจันทร์ที่่4พฤศจิกายนที่ผ่านมา ทนายเดชาออกรายการ "ถกไม่เถียง" ทางช่อง 7 กับคุณอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ในรายการ "ถกไม่เถียง" ทนายเดชากล่าวพาดพิงตอบโต้คณะกรรมการสภาทนายความ กรณีจะจัดการทนายโซเชียลที่เดินสายออกทีวี เนื่องจากได้ละเมิดต่อข้อบังคับของสภาทนายความว่าด้วยมรรยาททนายความ จนส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงองค์กรและสมาชิกทนายความส่วนใหญ่ . นายเดชาอ้างว่าสภาทนายความไม่ได้มีอำนาจพิพากษาทนายทำผิด ถือเป็นการกระทำเกินบทบาท เพราะสภาทนายความเป็นสภาวิชาชีพ แต่คนที่เป็นนายก และอุปนายก มาจากการเลือกตั้ง สามปีก็ไปแล้ว เป็นผู้ประกอบวิชาชีพ ไม่ใช่อยู่ดีๆ จะทำตัวเป็นศาล จะจัดระเบียบทนายโซเชียล จะไปเอากฎหมายอะไรมาจัดการได้ . อย่างที่ผมกล่าวไปแล้วในรายการวันศุกร์ที่แล้วว่าผมจะยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการสภาทนายความชุดปัจจุบันให้ถอดถอนตั๋วทนายหรือใบอนุญาตเป็นทนายความของนายษิทรา เบี้ยบังเกิด เสีย เนื่องจากมีการกระทำผิดกฎหมายและละเมิดมรรยาททนายความอย่างร้ายแรงในหลายประเด็นด้วยกัน . แม้ผมจะไม่ใช่นักกฎหมาย ไม่ใช่ทนาย แต่ผมระแคะระคายว่าทนายตั้ม ษิทรา เคยถูกร้องเรียนเรื่องราวต่อสภาทนายความมาแล้วเยอะแยะเลย รวมถึงคุณเดชาเองก็เคยร้องเรียนทนายตั้มเสียด้วยซ้ำ ตัวเองเคยร้องเรียนเอง แต่พอไกล่เกลี่ย เกี้ยเซียะกัน จะเกี้ยเซียะกันด้วยอะไร ผมไม่รู้ ทนายเดชาก็ถอนเรื่องไป แต่เรื่องก็ยังคาอยู่ที่การพิจารณาของคณะกรรมการมรรยาทฯ แม้คุณจะถอนเรื่องออกไปแล้วก็ตาม . จริงๆ วิธีการวางหมากของทนายตั้ม ษิทรา เบี้ยบังเกิด ในการจัดการเรื่องราวร้องเรียนต่อสภาทนายความที่มาถึงตนเองเป็นสิบเรื่องนั้น ไม่ได้แตกต่างกว่าวิธีของนายของทนายตั้ม คือ สุรเชชษฐ์ หักพาล ใช้เพื่อจัดการเรื่องราวร้องเรียนของตัวเองที่ถูกส่งไปยังคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เหมือนกัน โดยสุรเชชษฐ์ ใช้วิธีวางคนของตัวเองไว้ใน ป.ป.ช. ตั้งแต่ระดับกรรมการ ป.ป.ช. เรื่อยไปจนถึงเจ้าหน้าที่ระดับต่างๆ ของ ป.ป.ช. ยกตัวอย่างเช่น นายสมบัติ ธรธรรม แต่กรณีทนายตั้ม ษิทรา นั้น อาจจะเรียกได้ว่าหนักหนากว่า เพราะไม่ได้วางคนทั่วไป แต่วางญาติตัวเองไว้ในคณะกรรมการมรรยาทสภาทนายความชุดเก่าเลยทีเดียว ผมไม่อยากจะเอ่ยชื่อ ชื่อย่อก็ไม่อยากจะเอ่ย . ทนายเดชาและคุณษิทรา เรื่องของพวกคุณกับแก๊งทนายหิวแสงนั้น ยังมีอีกเยอะ แค่ข้อมูลของคุณษิทราที่มีคน inbox ส่งเรื่องเข้ามาให้ผมได้รับรู้ รับทราบ และคัดกรองนั้นคุณเดชา คุณษิทรา รู้ไหม มากมายมหาศาล วันๆ พวกผมไม่ต้องทำงานอื่นแล้ว เพราะเรื่องฉาวๆ ของแก๊งพวกคุณมันเยอะจริงๆ ผมนึกไม่ถึงว่าจะมีเรื่องราวที่เลวทรามต่ำช้าแบบนี้เกิดขึ้นในสังคมไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกิดขึ้นกับแวดวงทนาย ที่ผมบอกแล้วว่าเอาโจรมาเป็นทนาย . ทนายเดชา คุณใจเย็นๆ ผมจะค่อยๆ ทยอยเอามานำเสนอทีละเรื่องๆ คุณคอยฝึกร้องจุ๊กกรู้ๆ เหมือนที่คุณชอบร้องเวลาไลฟ์สดอยู่ประจำก็แล้วกัน เวลามีเรื่องจริงๆ กรุณาอย่าหายหน้าหายตาหลบไปเหมือนทนายษิทราเลยนะครับ - 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2 มุมมอง 0 รีวิว
- 10/11/67 โรงเรียนสุนัข https://youtube.com/shorts/qzLvTaxsF1g?si=wd43nzxSFyE3r8WR0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 43 มุมมอง 0 รีวิว
- #กรูไม่ผิด# #กรูไม่ยอม#
📌หลายคนทนงตน..และชีวิต ก็ พัง เพราะวิธีคิดแบบนี้มามากแล้ว....
🪵 ผู้เขียน บอกทุกคนใกล้ตัวว่า ทิ้งวิธีคิดแบบนี้ไป..เสีย.
..จัดระบบความคิดใหม่...เรื่องถูกผิด ตัดออกไป ...จงคิดว่า ยอมแล้วได้อะไร.....ถ้าไม่ยอมแล้วเสียอะไร.....แล้วมันคุ้มไหม?
...เอา 2 อย่าง มาชั่งน้ำหนักดู....คุ้มก็ยอม...ไม่คุ้มก็ไม่ต้อง........#กรูไม่ผิด# #กรูไม่ยอม# 📌หลายคนทนงตน..และชีวิต ก็ พัง เพราะวิธีคิดแบบนี้มามากแล้ว.... 🪵 ผู้เขียน บอกทุกคนใกล้ตัวว่า ทิ้งวิธีคิดแบบนี้ไป..เสีย. ..จัดระบบความคิดใหม่...เรื่องถูกผิด ตัดออกไป ...จงคิดว่า ยอมแล้วได้อะไร.....ถ้าไม่ยอมแล้วเสียอะไร.....แล้วมันคุ้มไหม? ...เอา 2 อย่าง มาชั่งน้ำหนักดู....คุ้มก็ยอม...ไม่คุ้มก็ไม่ต้อง........ - 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 2 มุมมอง 0 รีวิว
-
- “แพทองธาร” ปลื้ม “พ่อทักษิณ” ชมเรียนรู้งานเร็ว ไม่เหลิง พร้อมรับคำติชม รับ ห่วงสุขภาพ “ทักษิณ” หลัง 70 ปีป่วยทีหนัก บอกสื่อครั้งแรกห่างลูกนานสุดไม่เจอกัน 8 วัน
อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000108207
#News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes“แพทองธาร” ปลื้ม “พ่อทักษิณ” ชมเรียนรู้งานเร็ว ไม่เหลิง พร้อมรับคำติชม รับ ห่วงสุขภาพ “ทักษิณ” หลัง 70 ปีป่วยทีหนัก บอกสื่อครั้งแรกห่างลูกนานสุดไม่เจอกัน 8 วัน อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000108207 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes - มันตลกดีจริงๆ ที่ได้ดูใบหน้าที่หวาดกลัวของพวกคนหัวรุนแรงในยุโรป ที่เคยเรียกทรัมป์ว่าทรัพย์สินของรัสเซีย, และตอนนี้กำลังทำเรื่องสกปรกให้ตัวเอง ในขณะที่รีบวิ่งไปจูบรองเท้าของเจ้านายคนใหม่ของพวกเขา
Dmitry Medvedev
.
It's actually hilarious to look at the terrified faces of European establishment mutts who used to call Trump a Russian asset, and who are now soiling themselves as they rush to kiss the boots of their new master
.
4:57 PM · Nov 10, 2024 · 87.1K Views
https://x.com/MedvedevRussiaE/status/1855550409571508621มันตลกดีจริงๆ ที่ได้ดูใบหน้าที่หวาดกลัวของพวกคนหัวรุนแรงในยุโรป ที่เคยเรียกทรัมป์ว่าทรัพย์สินของรัสเซีย, และตอนนี้กำลังทำเรื่องสกปรกให้ตัวเอง ในขณะที่รีบวิ่งไปจูบรองเท้าของเจ้านายคนใหม่ของพวกเขา Dmitry Medvedev . It's actually hilarious to look at the terrified faces of European establishment mutts who used to call Trump a Russian asset, and who are now soiling themselves as they rush to kiss the boots of their new master . 4:57 PM · Nov 10, 2024 · 87.1K Views https://x.com/MedvedevRussiaE/status/1855550409571508621 - 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 3 มุมมอง 0 รีวิว
- ได้มีโอกาส อ่านบทความของไอร์ไสตน์หลายปีก่อน...พบว่า เขาให้ความเห็นว่า คนส่วนใหญ่ ใช้สมองทำงานผิดวิธี...สมองมีไว้ให้คิด...ประมวลผล..ใครครวญ....แต่คนส่วนใหญ่ ใช้งานสมอง เพื่อ จดจำ....ซึ่งเป็นหน้าที่รองของสมอง....
..ผู้เขียนเคยได้อ่านงานวิจัยชิ้นนึง ผลการเก็บข้อมูลพบว่า ระดับ อัจฉริยะของโลก..ใช่ประสิทธิภาพของสมอง แค่ 50 กว่า % ....ในขณะที่คนทั่วไป ..ใช่ประสิทธิภาพแค่ ไม่เกิน 30% ....จะเห็นได้ว่า...เรายังเรียนรู้...และพัฒนา...ได้อีกมาก .......
..เดี๋ยวนี้แหล่งความรู้ "เฉพาะทาง" มีหลายช่องทางให้เราเรียนรู้...ได้อย่างเฉพาะเจาะจง....ผู้เขียนทำนายว่า..ถ้าระบบการศึกษาไทย ยังคงเป็นอยู่แบบนี้...การเข้าศึกษาใน มหาวิทยาลัย...อาจไม่จำเป็นอีกต่อไปในอนาคต....ส่วน.ชั้น ปฐมภูมิ ทุติยภูมิ ยังจำเป็น...ได้มีโอกาส อ่านบทความของไอร์ไสตน์หลายปีก่อน...พบว่า เขาให้ความเห็นว่า คนส่วนใหญ่ ใช้สมองทำงานผิดวิธี...สมองมีไว้ให้คิด...ประมวลผล..ใครครวญ....แต่คนส่วนใหญ่ ใช้งานสมอง เพื่อ จดจำ....ซึ่งเป็นหน้าที่รองของสมอง.... ..ผู้เขียนเคยได้อ่านงานวิจัยชิ้นนึง ผลการเก็บข้อมูลพบว่า ระดับ อัจฉริยะของโลก..ใช่ประสิทธิภาพของสมอง แค่ 50 กว่า % ....ในขณะที่คนทั่วไป ..ใช่ประสิทธิภาพแค่ ไม่เกิน 30% ....จะเห็นได้ว่า...เรายังเรียนรู้...และพัฒนา...ได้อีกมาก ....... ..เดี๋ยวนี้แหล่งความรู้ "เฉพาะทาง" มีหลายช่องทางให้เราเรียนรู้...ได้อย่างเฉพาะเจาะจง....ผู้เขียนทำนายว่า..ถ้าระบบการศึกษาไทย ยังคงเป็นอยู่แบบนี้...การเข้าศึกษาใน มหาวิทยาลัย...อาจไม่จำเป็นอีกต่อไปในอนาคต....ส่วน.ชั้น ปฐมภูมิ ทุติยภูมิ ยังจำเป็น...0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 65 มุมมอง 0 รีวิว - #จบข่าว!! ค้นจนเจอหลักฐาน ภาพการส่งคืน #เกาะกูด ที่ #ประเทศไทย และ #ฝรั่งเศส ถ่ายร่วมกัน0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 46 มุมมอง 0 รีวิว