ผมกับแฟนเรา ทดลอง ทำเพจท่องเที่ยว และ ให้ความรู้เกี่ยวกับวัดและพุทธศาสนา ปัจจุบัน ก็เริ่มมีกิจกรรมอื่น ๆ อาทิ พาสมาชิกไปชมวัดชมวัง พระที่นั่ง อบรมบูรณะปิดทองพระพุทธรูปด้วยตนเองได้ ปั5มีคนตามกว่า 17,000 คนเลยขอนำเนื้อหามาแขร์ใน Thaitimes ด้วยครับ ขอบคุณครับ
Recent Updates
- วัดค้างคาว
นนทบุรี
วัดค้างคาว จากข่าวคราว การเสียชีวิตที่น่าสงสัย ของดาราสาวชื่อดัง คุณแตงโม ทำให้ชื่อเสียงวัดแห่งนี้โด่งดังขึ้นมา ด้วยเหตุที่มีการสันนิษฐานว่า น่าจะเกี่ยวพันบางประการกับเหตุการณ์ เห็นได้จากปากคำเจ้าหน้าทีวัด เดิมที่วัดแห่งนั้เป็นวัดเงียบสงบ ก็เริ่มมีผู้สนใจแวะมาสักการะบ้าง
วัดค้างคาว ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ใน ตำบลบางไผ่ อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี ซึ่งสันนิษฐานกันว่าน่าจะสร้างมาตั้งแต่ในสมัยอยุธยาตอนกลางแล้วค่ะ โดยมีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาว่า ที่มาของชื่อวัดค้างคาวนั้น มาจากการที่บริเวณวัดมีค้างคาวอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากนั่นเอง จนมาได้รับการบูรณะใหญ่ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งขณะนั้น มีการปฏิรูปพุทธศาสนาให้เคร่งครัดมากขึ้น ผ่านการก่อตั้งนิกายธรรมยุตินั่นเอง
เมื่อเดินเข้ามาในบริเวณวัด เราจะเห็นอุโบสถโบราณหลังใหญ่ ตัวอุโบสถนั้นจะเป็นอาคารก่ออิฐถือปูนขนาดกว้าง 10.35 เมตร ยาว 26 เมตร มีมุขยื่นทั้งด้านหน้าและด้านหลัง หน้าบันไม้จำหลักลายรูปเทวดาประทับในปราสาท และล้อมรอบด้วยลายก้านต่อดอกและเทพพนม ส่วนของบานประตูหน้าต่างจำหลักเป็นลวดลาย มีซุ้มจระนำ ประดิษฐานพระพุทธรูปสำคัญ คือ พระพุทธรูปทรงเครื่องปางห้ามญาติ ที่มีขนาดสูงเท่าคนปกติเลยนามว่า “หลวงพ่อเก้า” ซึ่งเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ของวัดแห่งนี้ ว่ากันว่า มาขออะไรถ้าไม่ผิดศีลธรรม หลวงพ่อดลบันดาลให้ได้ คนนิยมแก้บนด้วยการจุดประทัด ล่าสุดมีคนมาแก้บน 1 ล้านดอก จุดกันเป็นชั่วโมงครับ
นอกจากนี้ด้านในอุโบสถยังประดิษฐานพระประธาน ที่เป็นพระพุทธรูปศิลปกรรมสมัยอยุธยา และมีพระพุทธรูปรายล้อมอยู่อีก 28 องค์ ซึ่งจะหันหน้าไปยังทิศทั้ง 4 นับว่าสวยงดงามอย่างมากครับ ในซอยนี้ นอกจากวัดค้างงคาว ยังมีวัดดังอาทิ วัดสังฆทาน วัดเขียน จังหวัดนนทบุรี ใกล้แค่นี้ มารับบุญร่วมกันนะครับวัดค้างคาว นนทบุรี วัดค้างคาว จากข่าวคราว การเสียชีวิตที่น่าสงสัย ของดาราสาวชื่อดัง คุณแตงโม ทำให้ชื่อเสียงวัดแห่งนี้โด่งดังขึ้นมา ด้วยเหตุที่มีการสันนิษฐานว่า น่าจะเกี่ยวพันบางประการกับเหตุการณ์ เห็นได้จากปากคำเจ้าหน้าทีวัด เดิมที่วัดแห่งนั้เป็นวัดเงียบสงบ ก็เริ่มมีผู้สนใจแวะมาสักการะบ้าง วัดค้างคาว ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา ใน ตำบลบางไผ่ อำเภอเมืองนนทบุรี จังหวัดนนทบุรี ซึ่งสันนิษฐานกันว่าน่าจะสร้างมาตั้งแต่ในสมัยอยุธยาตอนกลางแล้วค่ะ โดยมีเรื่องเล่าสืบต่อกันมาว่า ที่มาของชื่อวัดค้างคาวนั้น มาจากการที่บริเวณวัดมีค้างคาวอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากนั่นเอง จนมาได้รับการบูรณะใหญ่ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งขณะนั้น มีการปฏิรูปพุทธศาสนาให้เคร่งครัดมากขึ้น ผ่านการก่อตั้งนิกายธรรมยุตินั่นเอง เมื่อเดินเข้ามาในบริเวณวัด เราจะเห็นอุโบสถโบราณหลังใหญ่ ตัวอุโบสถนั้นจะเป็นอาคารก่ออิฐถือปูนขนาดกว้าง 10.35 เมตร ยาว 26 เมตร มีมุขยื่นทั้งด้านหน้าและด้านหลัง หน้าบันไม้จำหลักลายรูปเทวดาประทับในปราสาท และล้อมรอบด้วยลายก้านต่อดอกและเทพพนม ส่วนของบานประตูหน้าต่างจำหลักเป็นลวดลาย มีซุ้มจระนำ ประดิษฐานพระพุทธรูปสำคัญ คือ พระพุทธรูปทรงเครื่องปางห้ามญาติ ที่มีขนาดสูงเท่าคนปกติเลยนามว่า “หลวงพ่อเก้า” ซึ่งเป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ของวัดแห่งนี้ ว่ากันว่า มาขออะไรถ้าไม่ผิดศีลธรรม หลวงพ่อดลบันดาลให้ได้ คนนิยมแก้บนด้วยการจุดประทัด ล่าสุดมีคนมาแก้บน 1 ล้านดอก จุดกันเป็นชั่วโมงครับ นอกจากนี้ด้านในอุโบสถยังประดิษฐานพระประธาน ที่เป็นพระพุทธรูปศิลปกรรมสมัยอยุธยา และมีพระพุทธรูปรายล้อมอยู่อีก 28 องค์ ซึ่งจะหันหน้าไปยังทิศทั้ง 4 นับว่าสวยงดงามอย่างมากครับ ในซอยนี้ นอกจากวัดค้างงคาว ยังมีวัดดังอาทิ วัดสังฆทาน วัดเขียน จังหวัดนนทบุรี ใกล้แค่นี้ มารับบุญร่วมกันนะครับ0 Comments 0 Shares 170 Views 0 ReviewsPlease log in to like, share and comment! - #วัดที่สี่ร้อยเก้าสิบเอ็ด
#วัดราชคฤห์
#กรุงเทพ
วัดราชคฤห์ - เธอจ๋า ๆ ตลาดพลู ไม่ได้มีดีแค่ของอร่อยนะจ๊ะ เพราะย่านนี้ ในอดีตเป็นชุมชนมอญเก่า เลยมีศิลปะวัฒนธรรมของชนชาวมอญปะปนอยู่ โดยเฉพาะวัดวาอารามต่าง ๆ ก็สวยงาม และน่าสนใจไม่แพ้ ย่านเก่าๆ ในพระนครเลยนะครับ วันนี้ ขออาสาพามาชมของดี ของหายากหนึ่งเดียวในประเทศไทย พระพุทธรูปนอนหงาย แห่งวัดราชคฤห์ ตลาดพลูครับ
วัดแห่งนี้ เล่าขานกันว่า สร้างสมัยอยุธยาตอนต้น ชาวบ้านร้านตลาด นิยมเรียกขานว่า วัดวังน้ำวน ด้วยเหตุที่ ตั้งอยู่จุดที่คลองสามสาย มาบรรจบกัน ได้แก่ คลองท่าพระ คลองบางกอกใหญ่ และคลองบางน้ำชน แถวนั้นเกิดเป็นน้ำวน เกิดขึ้น แต่คนพื้นเพเดิม ก็นิยมเรืยก วัดมอญ ด้วยชาวบ้านแถบนี้เป็นชุมชนชาวมอญ
สิ่งที่พลาดไม่ได้ คือ หลวงพ่อนอนหงาย หรือพระพุทธรูปปางถวายเพลิง สันนิษฐานว่า สร้างสมัยพระเอกาทศรถ ว่ากันว่าสมัยนั้น เกิดโรคระบาด เพื่อแก้ดวงเมือง จึงมีการสร้างพระพุทธรูปปางนอนหงาย ด้วยความเชื่อว่า กลับคว่ำเป็นหงาย กลับร้ายเป็นดี เมื่อเดินเข้าไป เขาจะให้แยกชายหญิงไหว้คนละฝั่ง โดนมีป้ายบทสวดให้ ผู้มาสักการะ เมื่อสวดเรียบร้อย ให้ นำมือไปสัมผัสใต้พระบาท ของพระพุทธรูป อธิษฐานจิต จากนั้น นำมือมาสัมผัสศรีษะครับ เรื้องทุกข์ร้อนใจ เรื่องร้ายกลับกลายเป็นดีครับ
จากนั้น เดินเข้าไปที่อุโบสถด้านข้าง เพื่อกราบสักการะ หลวงพ่อโต พระประธานในอุโบสถ มียทสวดพาหุง ถ้ามีเวลาใจเย็น ๆ สงบ ๆ นั่งสวดไปจะดีมากเลยครับ
นอกจากนี้ ยังสามารถเดินไปกราบรอยพระบาทจำลอง ที่เขามอ ภูเขาจำลองด้านข้างครับ วิวสวย ผู้สูงวัย อาจต้องอาศัยแรงข้อเข่าเล็กน้อยนะครับ
นอกจากนี้ ยังไปกราบ พระบรมรูป สมเด็จพระเจ้าตากสิน และ ทหารเอกคือพระยาพิชัยดาบหักได้ด้วยครับ สำหรับใครมีแผนมาชิมอาหารอร่อย ๆ ที่ตลาดพลู ก็อยากให้แวะมาสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หาชมได้ยาก ณ วัดราชคฤห์ ตลาดพลู กันครับ
#ชีวิตนี้ต้องมี1000วัด #เที่ยวไทยไปกับส้มโจ #เที่ยววัด #วัด #ไหว้พระ #ทำบุญ #travel #thailand #amazingthailand #thaitour #temple #history #architecture #culture #ท่องเที่ยว #thaitemple #CultureTrip#วัดที่สี่ร้อยเก้าสิบเอ็ด #วัดราชคฤห์ #กรุงเทพ วัดราชคฤห์ - เธอจ๋า ๆ ตลาดพลู ไม่ได้มีดีแค่ของอร่อยนะจ๊ะ เพราะย่านนี้ ในอดีตเป็นชุมชนมอญเก่า เลยมีศิลปะวัฒนธรรมของชนชาวมอญปะปนอยู่ โดยเฉพาะวัดวาอารามต่าง ๆ ก็สวยงาม และน่าสนใจไม่แพ้ ย่านเก่าๆ ในพระนครเลยนะครับ วันนี้ ขออาสาพามาชมของดี ของหายากหนึ่งเดียวในประเทศไทย พระพุทธรูปนอนหงาย แห่งวัดราชคฤห์ ตลาดพลูครับ วัดแห่งนี้ เล่าขานกันว่า สร้างสมัยอยุธยาตอนต้น ชาวบ้านร้านตลาด นิยมเรียกขานว่า วัดวังน้ำวน ด้วยเหตุที่ ตั้งอยู่จุดที่คลองสามสาย มาบรรจบกัน ได้แก่ คลองท่าพระ คลองบางกอกใหญ่ และคลองบางน้ำชน แถวนั้นเกิดเป็นน้ำวน เกิดขึ้น แต่คนพื้นเพเดิม ก็นิยมเรืยก วัดมอญ ด้วยชาวบ้านแถบนี้เป็นชุมชนชาวมอญ สิ่งที่พลาดไม่ได้ คือ หลวงพ่อนอนหงาย หรือพระพุทธรูปปางถวายเพลิง สันนิษฐานว่า สร้างสมัยพระเอกาทศรถ ว่ากันว่าสมัยนั้น เกิดโรคระบาด เพื่อแก้ดวงเมือง จึงมีการสร้างพระพุทธรูปปางนอนหงาย ด้วยความเชื่อว่า กลับคว่ำเป็นหงาย กลับร้ายเป็นดี เมื่อเดินเข้าไป เขาจะให้แยกชายหญิงไหว้คนละฝั่ง โดนมีป้ายบทสวดให้ ผู้มาสักการะ เมื่อสวดเรียบร้อย ให้ นำมือไปสัมผัสใต้พระบาท ของพระพุทธรูป อธิษฐานจิต จากนั้น นำมือมาสัมผัสศรีษะครับ เรื้องทุกข์ร้อนใจ เรื่องร้ายกลับกลายเป็นดีครับ จากนั้น เดินเข้าไปที่อุโบสถด้านข้าง เพื่อกราบสักการะ หลวงพ่อโต พระประธานในอุโบสถ มียทสวดพาหุง ถ้ามีเวลาใจเย็น ๆ สงบ ๆ นั่งสวดไปจะดีมากเลยครับ นอกจากนี้ ยังสามารถเดินไปกราบรอยพระบาทจำลอง ที่เขามอ ภูเขาจำลองด้านข้างครับ วิวสวย ผู้สูงวัย อาจต้องอาศัยแรงข้อเข่าเล็กน้อยนะครับ นอกจากนี้ ยังไปกราบ พระบรมรูป สมเด็จพระเจ้าตากสิน และ ทหารเอกคือพระยาพิชัยดาบหักได้ด้วยครับ สำหรับใครมีแผนมาชิมอาหารอร่อย ๆ ที่ตลาดพลู ก็อยากให้แวะมาสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ หาชมได้ยาก ณ วัดราชคฤห์ ตลาดพลู กันครับ #ชีวิตนี้ต้องมี1000วัด #เที่ยวไทยไปกับส้มโจ #เที่ยววัด #วัด #ไหว้พระ #ทำบุญ #travel #thailand #amazingthailand #thaitour #temple #history #architecture #culture #ท่องเที่ยว #thaitemple #CultureTrip1 Comments 0 Shares 409 Views 0 Reviews - #นอกเรื่อง
#โครงการพัฒนาศักยภาพอาสาสมัครท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดสมุทรปราการ
#วิทยากร
เมื่อเร็วๆนี้ เราสองคนได้รับเชิญไปเป็นวิทยากร โดยการแนะนำจากเพื่อน มีอยู่วันหนึ่ง แอน เพื่อนสมัยประถมที่เราติดต่อกันอยู่เรื่อย ๆ โทรหาส้มว่าจะเชิญไปเป็นวิทยากร 2 หัวข้อ คือ การประชาสัมพันธ์และการใช้แอพพลิเคชั่นเพื่อการท่องเที่ยวและกีฬาในชุมชน และหัวข้อการเป็นเจ้าบ้านที่ดี บอกกับแอนตรง ๆ ว่า แอนคิดว่าได้หรอ แอนบอกว่า ได้ ส้มกับโจ ทำจริง ๆ แต่ เอาก็เอา เพื่อนมั่นใจ ก็อย่าทำให้ผิดหวัง
แล้ววันอบรมก็มาถึง เราสลับคิวพูดกัน โดยโจพูดเรื่อง การเป็นเจ้าบ้านที่ดีก่อน แล้วส้มค่อยพูดต่อเรื่อง แอพพลเคชั่นที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว ปิดจบด้วยการทำเวิร์คชอป ให้เพื่อน ๆ พี่ ๆ จับกลุ่มตามอำเภอ แล้วส่งตัวแทนมานำเสนอว่า ของดีอะไรที่ทำให้นักท่องเที่ยวต้องมาเยือนอำเภอของพี่ โดยเราให้หลักในการแบ่งความน่าสนใจไปในส่วนต่าง ๆ ตอนบรรยาย
บรรยากาศการจับกลุ่มทำงาน การออกมานำเสนอหน้าห้อง เริ่มด้วย บางเสาธง ที่มากลุ่มใหญ่ ต่อมา จนถึงบางบ่อ ทุกคนเริ่มเห็นภาพ วันนี้เลยขอนำภาพบางส่วนมาลง ขอบคุณคุณกฤษณ์ และน้องเมษ์ ที่ดูแลเราอย่างดีรวมถึงผู้บริหารหลาย ๆ ท่าน
ท้ายสุดขอบคุณเพื่อนแอน ที่ทำให้เราได้มีโอกาสตรงนี้ ส้มมีบอกบางท่านไปว่า ส้มคิดจะทำอะไรกับสมุทรปราการอยู่แล้วในปีนี้ ไม่ว่าจะประเพณีรับบัว หรือพาไปกราบสักการะที่วัดอโศกราม ไปพิพิธภัณฑ์ เป็นต้น หวังว่าพวกเราจะได้ไปพบพี่ ๆ ในปีนี้นะคะ
#ชีวิตนี้ต้องมี1000วัด #เที่ยวไทยไปกับส้มโจ #เที่ยววัด #วัด #ไหว้พระ #ทำบุญ #travel #thailand #amazingthailand #thaitour #history #architecture #culture #thaitemple #ท่องเที่ยว #CultureTrip#นอกเรื่อง #โครงการพัฒนาศักยภาพอาสาสมัครท่องเที่ยวและกีฬาจังหวัดสมุทรปราการ #วิทยากร เมื่อเร็วๆนี้ เราสองคนได้รับเชิญไปเป็นวิทยากร โดยการแนะนำจากเพื่อน มีอยู่วันหนึ่ง แอน เพื่อนสมัยประถมที่เราติดต่อกันอยู่เรื่อย ๆ โทรหาส้มว่าจะเชิญไปเป็นวิทยากร 2 หัวข้อ คือ การประชาสัมพันธ์และการใช้แอพพลิเคชั่นเพื่อการท่องเที่ยวและกีฬาในชุมชน และหัวข้อการเป็นเจ้าบ้านที่ดี บอกกับแอนตรง ๆ ว่า แอนคิดว่าได้หรอ แอนบอกว่า ได้ ส้มกับโจ ทำจริง ๆ แต่ เอาก็เอา เพื่อนมั่นใจ ก็อย่าทำให้ผิดหวัง แล้ววันอบรมก็มาถึง เราสลับคิวพูดกัน โดยโจพูดเรื่อง การเป็นเจ้าบ้านที่ดีก่อน แล้วส้มค่อยพูดต่อเรื่อง แอพพลเคชั่นที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว ปิดจบด้วยการทำเวิร์คชอป ให้เพื่อน ๆ พี่ ๆ จับกลุ่มตามอำเภอ แล้วส่งตัวแทนมานำเสนอว่า ของดีอะไรที่ทำให้นักท่องเที่ยวต้องมาเยือนอำเภอของพี่ โดยเราให้หลักในการแบ่งความน่าสนใจไปในส่วนต่าง ๆ ตอนบรรยาย บรรยากาศการจับกลุ่มทำงาน การออกมานำเสนอหน้าห้อง เริ่มด้วย บางเสาธง ที่มากลุ่มใหญ่ ต่อมา จนถึงบางบ่อ ทุกคนเริ่มเห็นภาพ วันนี้เลยขอนำภาพบางส่วนมาลง ขอบคุณคุณกฤษณ์ และน้องเมษ์ ที่ดูแลเราอย่างดีรวมถึงผู้บริหารหลาย ๆ ท่าน ท้ายสุดขอบคุณเพื่อนแอน ที่ทำให้เราได้มีโอกาสตรงนี้ ส้มมีบอกบางท่านไปว่า ส้มคิดจะทำอะไรกับสมุทรปราการอยู่แล้วในปีนี้ ไม่ว่าจะประเพณีรับบัว หรือพาไปกราบสักการะที่วัดอโศกราม ไปพิพิธภัณฑ์ เป็นต้น หวังว่าพวกเราจะได้ไปพบพี่ ๆ ในปีนี้นะคะ #ชีวิตนี้ต้องมี1000วัด #เที่ยวไทยไปกับส้มโจ #เที่ยววัด #วัด #ไหว้พระ #ทำบุญ #travel #thailand #amazingthailand #thaitour #history #architecture #culture #thaitemple #ท่องเที่ยว #CultureTrip0 Comments 0 Shares 508 Views 0 Reviews - #วัดธาตุทอง
#กรุงเทพมหานครฯ
วัดธาตุทอง - ผมว่าหลาย ๆ ท่านที่โดยสารรถไฟฟ้า BTS. เป็นประจำ เมื่อผ่านสถานีเอกมัย มองไปจะเห็นเจดีย์สีทองอร่าม ประดิษฐาน อยู่ไกลๆ สวยงามมาก ที่สำคัญดู contrast. กับตึกรามห้างสรรพสินค้าที่ตั้งตรงข้ามราวกับ โลกในอดีตกับปัจจุบันประจันหน้ากันแบบ ไม่เกรงใจ
ส่วนตัว จำได้ว่าเคยลงภาพและเรื่องราวของวัดธาตุทองไปแล้ว แต่ตอนนั้น พระมหาเจดีย์กำลังบูรณะ วันนี้ขอแก้ตัว นำภาพสวย ๆ และเรื่องราววัดในเมือง ของชาวสุขุมวิทแห่งนี้กลับมาอีกครั้ง มาฟังกันครับ วัดธาตุทอง
พื้นที่แห่งนี้ แต่เดิมเป็นที่ตั้งของวัดหน้าพระธาตุกับวัดทองล่าง ซึ่งวัดหน้าพระธาตุเป็นวัดเก่าแก่ที่สร้างขึ้นในสมัยอยุธยา ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา โดยที่มาของชื่อวัดก็มาจากหน้าวัดมีพระเจดีย์องค์ใหญ่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุอยู่ภายใน ส่วนวัดทองล่างนั้นเดิมทีเป็นสวนผลไม้ที่มีต้นโพธิ์ขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางสวน เจ้าของสวนเห็นว่าต้นโพธิ์ควรเป็นต้นไม้ในวัดมากกว่าที่จะปลูกไว้ในบ้าน ประกอบกับไม่ต้องการโค่นทิ้ง เพราะเกรงว่าจะก่อให้เกิดอันตรายต่อตนเองและครอบครัว จึงได้บริจาคที่ดินในบริเวณนั้นเพื่อสร้างเป็นวัดเล็ก ๆ ขึ้นมาและตั้งชื่อว่า วัดโพธิ์สุวรรณาราม หรือ วัดโพธิ์ทอง ต่อมาชาวบ้านในแถบนั้นเรียกชื่ออย่างสั้น ๆ ว่า วัดทอง แต่ทว่าตามริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาทั้งตอนบนและตอนล่างมีวัดทองอยู่หลายแห่ง ชาวบ้านจึงเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า วัดทองล่าง นั่นเอง
ต่อมาในปี พ.ศ. 2480 รัฐบาลในสมัยนั้นต้องการขอเวนคืนพื้นที่วัดหน้าพระธาตุและวัดทองล่าง เพื่อสร้างท่าเรือกรุงเทพฯ โดยชดเชยเงินให้ทั้ง 2 วัด เพื่อไปรวมกับวัดอื่นหรือสร้างวัดใหม่ขึ้นมา ทำให้คณะสงฆ์มีการจัดตั้งคณะกรรมการขึ้น และมีความเห็นพ้องต้องกันในการซื้อที่ดินปัจจุบัน พร้อมกับย้ายเสนาสนะถาวรวัตถุของทั้ง 2 วัดมาปลูกสร้างรวมกันที่ตำบล คลองบ้านกล้วย โดยมีสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ เจ้าคณะใหญ่ธรรมยุต เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร เป็นองค์อุปถัมภ์ และตั้งชื่อว่า วัดธาตุทอง โดยมีที่มาจากการนำชื่อของทั้ง 2 วัดรวมเข้าด้วยกัน เมื่อปี พ.ศ. 2481
ในปี พ.ศ. 2550 สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ รับวัดธาตุทองไว้ในพระอุปถัมภ์ และประทานตราสัญลักษณ์ใหม่ให้แก่วัด จากนั้นในเดือนตุลาคมปีเดียวกัน พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ยกให้ วัดธาตุทอง เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ มาจนถึงปัจจุบัน
สิ่งที่ห้ามพลาด ไปกราบพระในพระอุโบสถ ภายใน ประดิษฐาน พระสัพพัญญู พระประธานประจำพระอุโบสถ มีลักษณะเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง 70 นิ้ว สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2495 พระพุทธชินินทร ที่เป็นพระประจำอุโบสถ สมัยอู่ทอง และพระพุทธมนต์ปรีชา สุโขทัย ที่เป็นพระประธานหอประชุม
ถัดจากนั้นเดินไปด้านหลัง ไปสักการะ พระมหาเจดีย์ 84 พรรษา ราชนครินทร์ เป็นพระเจดีย์ที่สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2553 เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ โดยใช้เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุและพระพุทธรูปจากทั่วโลก รวมถึงพระบรมสารีริกธาตุจากหลวงพ่อไจทีเซา เจ้าอาวาสวัดไจทีเซา ในประเทศพม่าด้วยครับ
เป็นไงครับ แค่ลงรถไฟฟ้า สถานีเอกมัย มาไม่กี่ก้าว ก็จะพบกับ ความยิ่งใหญ่ ความงาม และความสงบ วัดธาตุทอง ใกล้แค่นี้เอง
#ชีวิตนี้ต้องมี1000วัด #เที่ยวไทยไปกับส้มโจ #เที่ยววัด #วัด #ไหว้พระ #ทำบุญ #travel #thailand #amazingthailand #thaitour #temple #history #architecture #culture #thaitemple #ท่องเที่ยว #CultureTrip#วัดธาตุทอง #กรุงเทพมหานครฯ วัดธาตุทอง - ผมว่าหลาย ๆ ท่านที่โดยสารรถไฟฟ้า BTS. เป็นประจำ เมื่อผ่านสถานีเอกมัย มองไปจะเห็นเจดีย์สีทองอร่าม ประดิษฐาน อยู่ไกลๆ สวยงามมาก ที่สำคัญดู contrast. กับตึกรามห้างสรรพสินค้าที่ตั้งตรงข้ามราวกับ โลกในอดีตกับปัจจุบันประจันหน้ากันแบบ ไม่เกรงใจ ส่วนตัว จำได้ว่าเคยลงภาพและเรื่องราวของวัดธาตุทองไปแล้ว แต่ตอนนั้น พระมหาเจดีย์กำลังบูรณะ วันนี้ขอแก้ตัว นำภาพสวย ๆ และเรื่องราววัดในเมือง ของชาวสุขุมวิทแห่งนี้กลับมาอีกครั้ง มาฟังกันครับ วัดธาตุทอง พื้นที่แห่งนี้ แต่เดิมเป็นที่ตั้งของวัดหน้าพระธาตุกับวัดทองล่าง ซึ่งวัดหน้าพระธาตุเป็นวัดเก่าแก่ที่สร้างขึ้นในสมัยอยุธยา ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา โดยที่มาของชื่อวัดก็มาจากหน้าวัดมีพระเจดีย์องค์ใหญ่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุอยู่ภายใน ส่วนวัดทองล่างนั้นเดิมทีเป็นสวนผลไม้ที่มีต้นโพธิ์ขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางสวน เจ้าของสวนเห็นว่าต้นโพธิ์ควรเป็นต้นไม้ในวัดมากกว่าที่จะปลูกไว้ในบ้าน ประกอบกับไม่ต้องการโค่นทิ้ง เพราะเกรงว่าจะก่อให้เกิดอันตรายต่อตนเองและครอบครัว จึงได้บริจาคที่ดินในบริเวณนั้นเพื่อสร้างเป็นวัดเล็ก ๆ ขึ้นมาและตั้งชื่อว่า วัดโพธิ์สุวรรณาราม หรือ วัดโพธิ์ทอง ต่อมาชาวบ้านในแถบนั้นเรียกชื่ออย่างสั้น ๆ ว่า วัดทอง แต่ทว่าตามริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาทั้งตอนบนและตอนล่างมีวัดทองอยู่หลายแห่ง ชาวบ้านจึงเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า วัดทองล่าง นั่นเอง ต่อมาในปี พ.ศ. 2480 รัฐบาลในสมัยนั้นต้องการขอเวนคืนพื้นที่วัดหน้าพระธาตุและวัดทองล่าง เพื่อสร้างท่าเรือกรุงเทพฯ โดยชดเชยเงินให้ทั้ง 2 วัด เพื่อไปรวมกับวัดอื่นหรือสร้างวัดใหม่ขึ้นมา ทำให้คณะสงฆ์มีการจัดตั้งคณะกรรมการขึ้น และมีความเห็นพ้องต้องกันในการซื้อที่ดินปัจจุบัน พร้อมกับย้ายเสนาสนะถาวรวัตถุของทั้ง 2 วัดมาปลูกสร้างรวมกันที่ตำบล คลองบ้านกล้วย โดยมีสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ เจ้าคณะใหญ่ธรรมยุต เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร เป็นองค์อุปถัมภ์ และตั้งชื่อว่า วัดธาตุทอง โดยมีที่มาจากการนำชื่อของทั้ง 2 วัดรวมเข้าด้วยกัน เมื่อปี พ.ศ. 2481 ในปี พ.ศ. 2550 สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ รับวัดธาตุทองไว้ในพระอุปถัมภ์ และประทานตราสัญลักษณ์ใหม่ให้แก่วัด จากนั้นในเดือนตุลาคมปีเดียวกัน พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ยกให้ วัดธาตุทอง เป็นพระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดสามัญ มาจนถึงปัจจุบัน สิ่งที่ห้ามพลาด ไปกราบพระในพระอุโบสถ ภายใน ประดิษฐาน พระสัพพัญญู พระประธานประจำพระอุโบสถ มีลักษณะเป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย หน้าตักกว้าง 70 นิ้ว สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2495 พระพุทธชินินทร ที่เป็นพระประจำอุโบสถ สมัยอู่ทอง และพระพุทธมนต์ปรีชา สุโขทัย ที่เป็นพระประธานหอประชุม ถัดจากนั้นเดินไปด้านหลัง ไปสักการะ พระมหาเจดีย์ 84 พรรษา ราชนครินทร์ เป็นพระเจดีย์ที่สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2553 เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ โดยใช้เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุและพระพุทธรูปจากทั่วโลก รวมถึงพระบรมสารีริกธาตุจากหลวงพ่อไจทีเซา เจ้าอาวาสวัดไจทีเซา ในประเทศพม่าด้วยครับ เป็นไงครับ แค่ลงรถไฟฟ้า สถานีเอกมัย มาไม่กี่ก้าว ก็จะพบกับ ความยิ่งใหญ่ ความงาม และความสงบ วัดธาตุทอง ใกล้แค่นี้เอง #ชีวิตนี้ต้องมี1000วัด #เที่ยวไทยไปกับส้มโจ #เที่ยววัด #วัด #ไหว้พระ #ทำบุญ #travel #thailand #amazingthailand #thaitour #temple #history #architecture #culture #thaitemple #ท่องเที่ยว #CultureTrip0 Comments 0 Shares 858 Views 0 Reviews - ขออนุญาตแนะนำตัวหน่อยครับ ผมกับแฟน เราทำเพจชีวิตนี้ต้องมี1000 วัด อยู่ใน Facebook มีความคิดอยาก ทะยอย ๆ นำภาพและเกร็ดเรื่องราววัดต่างๆ มาแบ่งปัน กับสมาชิก Thaitimes ถ้าอ่านแล้ว แนะนำติชมกันได้นะครับ ขอบคุณครับ
ขออนุญาตแนะนำตัวหน่อยครับ ผมกับแฟน เราทำเพจชีวิตนี้ต้องมี1000 วัด อยู่ใน Facebook มีความคิดอยาก ทะยอย ๆ นำภาพและเกร็ดเรื่องราววัดต่างๆ มาแบ่งปัน กับสมาชิก Thaitimes ถ้าอ่านแล้ว แนะนำติชมกันได้นะครับ ขอบคุณครับ0 Comments 0 Shares 190 Views 0 Reviews -
#วัดชมภูเวก
#นนทบุรี
#เที่ยววัด
วัดชมภูเวก - พาไปชมวัดมอญ กับ ภาพสีฝุ่นโบราณบนผนังโบสถ์ที่ได้รับการยกย่องว่าสวยงาม และสมบูรณ์ที่สุดในประเทศไทย
วัดชมภูเวก ตั้งอยู่แถวสนามบินน้ำ สันนิษฐานว่าก่อสร้างโดยชาวมอญที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ราว ๆ พศ 2300 เดิมชื่อว่า วัดชมภูวิเวก แปลว่า วัดที่ตั้งอยู่บนเนินอันเงียบสงบ ภายหลัง น่าจะเพี้ยนเป็น วัดชมภูเวก
ทันทีที่เดินเข้ามา ก็จะเห็น พระมุดตา (ชื่อเรียกเจดีย์ที่มีศิลปะผสมผสานของมอญอยู่) สีขาว โดดเด่นสวยงามมาก ด้านหลังเจดีย์จะมีโบสถ์มหาอุด ผนังภายในมีภาพวาดสีฝุ่นที่งดงาม โดยเฉพาะภาพ พระแม่ธรณีบีบมวยผม ที่อยู่เหนือประตูโบสถ์ ทางพุทธศิลป์แล้วได้รับการยกย่อง จัดว่าเป็นภาพที่สวยงามและสมบูรณ์ที่สุด ปัจจุบันโบสถ์มหาอุดดังกล่าวได้รับการขึ้นทะเบียน เป็นโบราณสถานของชาติ
นอกจากนี้ สายมู ห้ามพลาด ถัดไปด้านข้างโบสถ์มหาอุด เราสามารถลอดอุโบสถเพื่อสะเดาะเคราะห์ เสริมสร้างสิริมงคลให้กับชีวิตได้ โดยทางทางยังจัดให้มีการปิดทองลูกนิมิต และพระ ที่ใต้อุโบสถครับ
เป็นไงครับ จะชมพุทธศิลป์ ก็มีของดี ระดับประเทศ จะเอาสะเดาะเคราะห์ ก็มาได้ หรือ สายถ่ายภาพก็มีมุมสวยๆ ให้ได้กดชัตเตอร์กัน ใกล้ๆ แค่ นนทบุรี นี่เอง ไม่มา ถือว่าพลาดนะครับ
#ชีวิตนี้ต้องมี1000วัด #เที่ยวไทยไปกับส้มโจ #วัด #ไหว้พระ #ทำบุญ #teavel #temple #nonthaburi #thailand #amazingthailand #thaitour#วัดชมภูเวก #นนทบุรี #เที่ยววัด วัดชมภูเวก - พาไปชมวัดมอญ กับ ภาพสีฝุ่นโบราณบนผนังโบสถ์ที่ได้รับการยกย่องว่าสวยงาม และสมบูรณ์ที่สุดในประเทศไทย วัดชมภูเวก ตั้งอยู่แถวสนามบินน้ำ สันนิษฐานว่าก่อสร้างโดยชาวมอญที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ราว ๆ พศ 2300 เดิมชื่อว่า วัดชมภูวิเวก แปลว่า วัดที่ตั้งอยู่บนเนินอันเงียบสงบ ภายหลัง น่าจะเพี้ยนเป็น วัดชมภูเวก ทันทีที่เดินเข้ามา ก็จะเห็น พระมุดตา (ชื่อเรียกเจดีย์ที่มีศิลปะผสมผสานของมอญอยู่) สีขาว โดดเด่นสวยงามมาก ด้านหลังเจดีย์จะมีโบสถ์มหาอุด ผนังภายในมีภาพวาดสีฝุ่นที่งดงาม โดยเฉพาะภาพ พระแม่ธรณีบีบมวยผม ที่อยู่เหนือประตูโบสถ์ ทางพุทธศิลป์แล้วได้รับการยกย่อง จัดว่าเป็นภาพที่สวยงามและสมบูรณ์ที่สุด ปัจจุบันโบสถ์มหาอุดดังกล่าวได้รับการขึ้นทะเบียน เป็นโบราณสถานของชาติ นอกจากนี้ สายมู ห้ามพลาด ถัดไปด้านข้างโบสถ์มหาอุด เราสามารถลอดอุโบสถเพื่อสะเดาะเคราะห์ เสริมสร้างสิริมงคลให้กับชีวิตได้ โดยทางทางยังจัดให้มีการปิดทองลูกนิมิต และพระ ที่ใต้อุโบสถครับ เป็นไงครับ จะชมพุทธศิลป์ ก็มีของดี ระดับประเทศ จะเอาสะเดาะเคราะห์ ก็มาได้ หรือ สายถ่ายภาพก็มีมุมสวยๆ ให้ได้กดชัตเตอร์กัน ใกล้ๆ แค่ นนทบุรี นี่เอง ไม่มา ถือว่าพลาดนะครับ #ชีวิตนี้ต้องมี1000วัด #เที่ยวไทยไปกับส้มโจ #วัด #ไหว้พระ #ทำบุญ #teavel #temple #nonthaburi #thailand #amazingthailand #thaitour0 Comments 0 Shares 613 Views 0 Reviews -
#วัดหนองป่าพง
#อุบลราชธานี
วัดหนองป่าพง – ย้อนรำลึกความหลัง เมื่อเกือบยี่สิบปีก่อน ผมได้มีโอกาสสัมผัส วัดหนองป่าพง ด้วยความไม่รู้ และไม่ลึกซึ้งถึงแวดวงพระพุทธศาสนา เลยทำให้การไปวัดหนองป่าพง ครั้งแรก ผมไม่ได้อะไรติดมือติดใจกลับมาเป็นวิทยาทานเลย จนเมื่อครั้งล่าสุดที่ไป ชีวิตมีประสบการณ์ และพอมีพื้นฐานพุทธศาสนาเพิ่มขึ้นบ้าง ครั้งนี้ เป็นการใช้เวลาอยู่ที่วัดนานขึ้น พร้อมพกพาความรู้สึก ความประทับใจที่ต่างออกไป กลับออกมาด้วยอย่างปลื้มอกปลื้มใจ ล้อมวงมาฟังกันครับ วัดหนองป่าพง อุบลราชธานี (ยาวสักหน่อยนะครับ)
คงจะไม่ถูกต้อง ถ้าจะกล่าวถึงวัดหนองป่าพง โดยไม่กล่าวถึง หลวงปู่ชา
หลวงปู่ชา พระสำคัญผู้ก่อตั้งวัดแห่งนี้ ให้สามารถไปเผยแพร่พุทธศาสนาได้กว้างไกล ไม่เพียงแค่ในประเทศไทย หากแต่ไปไกลถึงสิบกว่าประเทศทั่วโลก หลวงปู่ชา พระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท) แห่งวัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี ต้นแบบของพระป่าทั่วโลก ด้วยวัตรปฎิบัติที่เคร่งครัดสายวิปัสสนากรรมฐานที่มีต้นแบบจาก"พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต"
หลวงปู่ชา หรือ พระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท) เกิดเมื่อ วันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2461 ตรงกับ วันศุกร์ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 7 ปีมะเมีย ณ บ้านจิกก่อ หมู่ที่ 9 ตำบลธาตุ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี บิดาชื่อนายมา ช่วงโชติ มารดาชื่อ นางพิมพ์ ช่วงโชติ มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันจำนวน 10 คน ในวัยเด็ก หลวงปู่ชาเรียนชั้นประถมศึกษา ที่โรงเรียนบ้านก่อ ตำบลธาตุ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี จนจบชั้นประถม 1 จึงขอลาออกเพื่อมาบวชเรียนตามความสนใจของตนเอง โดยช่วงอายุ 13 ปี หลังจากลาออกจากโรงเรียนประถมศึกษา โยมบิดาได้นำไปฝากกับเจ้าอาวาสเพื่อเรียนรู้บุพกิจเบื้องต้นเกี่ยวกับบรรพชาวิธี จึงได้รับอนุญาตให้บรรพชาเป็น “สามเณรชา โชติช่วง” จนอยู่ปฏิบัติครูอาจารย์ เป็นเวลา 3 ปี ได้แล้วจึงได้ลาสิกขาบทมาช่วยบิดามารดาทำไร่ทำนา แต่ด้วยจิตใจที่ใฝ่ในทางธรรม เมื่ออายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ จึงลาพ่อแม่มาบวชเป็นพระ โดยอุปสมบทเมื่อวันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2482 เวลา 13.55 น. ณ พัทธสีมา วัดก่อใน ตำบลธาตุ อำเภอวารินชำราบ อุบลราชธานี พระชา สุภทฺโท ได้จำพรรษาอยู่ ณ วัดก่อนอก 2 พรรษา ตั้งใจศึกษาปริยัติธรรม ทั้งจากตำรับตำราและจากครูอาจารย์ จนสอบนักธรรมชั้นตรีได้ในสำนักวัดแห่งนี้ แต่โชคร้าย ช่วงนั้น หลวงพ่อชา ได้ว่างเว้นจากการศึกษา เพื่อไปดูแลโยมบิดาที่ป่วย แม้หลวงพ่อชา ก็เกิดความลังเลใจ พะว้าพะวง ห่วงการศึกษาก็ห่วง ห่วงโยมบิดาก็ห่วง แต่ความห่วงผู้บังเกิดเกล้ามีน้ำหนักมากกว่า เพราะโยมบิดาเป็นผู้มีพระคุณอย่างเหลือล้น หลวงปู่จึงตัดสินใจกลับไปดูแลโยมพ่อทั้งที่วันสอบนักธรรมก็ใกล้เข้ามาทุกที แต่ก็เลือกที่จะเดินในเส้นทางสายกตัญญุตา โดยที่สุด มาอยู่เฝ้าดูแลอาการป่วยของโยมพ่อนับเป็นเวลา 13 วัน โยมพ่อจึงได้ถึงแก่กรรม (ปี 2483)
หลังจากนั้น หลวงปู่ชา ก็ได้เดินทางไปศึกษาเล่าเรียนยังที่ต่างๆ เช่น ที่สำนักของหลวงพ่อเภา วัดเขาวงกฏ จ.ลพบุรี และพระอาจารย์ชาวกัมพูชาที่เป็นพระธุดงค์ซึ่งได้พบกันที่วัดเขาวงกฏ หลวงปู่กินรี อาจารย์คำดี หลวงปู่ทองรัตน์ พระอาจารย์มั่น เป็นต้น พออินทรีย์แก่กล้าแล้วก็ออกธุดงค์ปฏิบัติธรรมต่อไปเรื่อยๆ โดยยังดำรงสมณเพศเป็นพระมหานิกายอยู่ตลอดเวลา
กิจที่หลวงปู่ฯ โปรดปราน คือการได้ธุดงค์ไปยังที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ เพื่อโปรดสานุศิษย์และเผยแพร่พุทธศาสนา จนที่สุดเมื่อคณะศิษย์ และหลวงพ่อได้เดินทางมาถึงชายดงป่าพง ตรงกับวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2497 พอเช้าวันที่ 9 มีนาคม 2497 จึงได้พากันเข้าสำรวจ สถานที่พักในดงป่านี้ และได้ช่วยกันดำเนินการสร้างวัดป่าขึ้น ซึ่งเรารู้จักในปัจจุบัน คือ “วัดหนองป่าพง”
จนภายหลังมีสานุศิษย์มากมายทั้งไทยและเทศ ขยายไปหลายสาขา ดังที่กล่าวไปข้างต้น และท่านดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดนี้มาโดยตลอด และถึงแก่มรณภาพเมื่อ 16 มกราคม พ.ศ. 2535 เวลา 05.20 น. ที่ วัดหนองป่าพง อย่างสงบท่ามกลางธรรมสังเวชของศิษยานุศิษย์จากทุกสารทิศทั่วโลก ด้วยความที่วัดหนองป่าพง มีพระสงฆ์ต่างชาติ เป็นจำนวนมาก เคยมีคนไปถามหลวงปู่ว่า พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แล้วจะสอนชาวต่างชาติได้อย่างไร หลวงปู่ท่านเมตตาตอบว่า น้ำร้อน ที่ฝรั่งว่ากันว่า ฮ๊อตวอเตอร์ เอามือลงไปสัมผัส ทุกชาติก็รู้ว่าร้อน ไม่เห็นต้องรู้ภาษาก่อนเลย นัยว่า ธรรมะ เรียนรู้ได้จากการสัมผัส การปฏิบัติ มิใช่การอ่านเขียนเท่านั้น
ปัจจุบัน แม้หลวงปู่ชาฯ จะละสังขารไปแล้วกว่าสามสิบปีกว่าปี คำสอนและวัตรปฏิบัติอันดีงาม ก็ยังอยู่ในความทรงจำสานุศิษย์ทั้งหลาย เห็นได้จากการที่กลับไปสัมผัส วัดหนองป่าพง อีกครั้ง เมื่อเร็ว ๆ นี้ ความสงบ และ ความเคร่งครัด แบบพระป่า ยังคงมีให้เห็นและสัมผัสได้ มีโอกาสได้แวะเข้าไปชม พิพิธภัณฑ์พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท) โดยจะจัดแสดงเครื่องอัฐบริขารและหุ่นขี้ผึ้งของหลวงปู่ชา สุภัทโท มีเครื่องทองเหลือง พระพุทธรูป และ เจดีย์ศรีโพธิญาณ เป็นสถานที่พระราชทานเพลิงศพของหลวงปู่ชาอีกด้วย จุดเด่นที่ประทับใจ คือ ป้าย คำสอนต่าง ๆ ที่ติดไว้ตามต้นไม้ อ่านแล้วทำให้เราได้นึกทบทวนชีวิตเราไปด้วยขณะเดินชมไปเงียบ ๆ นอกจากนี้ ได้มีโอกาสเข้าไปที่ อุโบสถด้านใน ทางเข้าเขตสังฆาวาส ที่พระสงฆ์ใช้ทำวัด ทำให้พอนึกเห็นภาพบรรยากาศเมื่อสมัยก่อน ที่หลวงปู่ ลงมาเทศนาธรรม
รวม ๆ แล้วประทับใจมาก ครับ ผมกราบเรียนเชิญ ท่านที่มีโอกาสไป อุบลราชธานี อยากให้ไปสัมผัส วัดหนองป่าพง สักครั้งครับ
#ชีวิตนี้ต้องมี1000วัด #เที่ยวไทยไปกับส้มโจ #เที่ยววัด #วัด #ไหว้พระ #ทำบุญ #travel #thailand #amazingthailand #thaitour #temple #history #architecture #culture #thaitemple #ท่องเที่ยว #CultureTrip#วัดหนองป่าพง #อุบลราชธานี วัดหนองป่าพง – ย้อนรำลึกความหลัง เมื่อเกือบยี่สิบปีก่อน ผมได้มีโอกาสสัมผัส วัดหนองป่าพง ด้วยความไม่รู้ และไม่ลึกซึ้งถึงแวดวงพระพุทธศาสนา เลยทำให้การไปวัดหนองป่าพง ครั้งแรก ผมไม่ได้อะไรติดมือติดใจกลับมาเป็นวิทยาทานเลย จนเมื่อครั้งล่าสุดที่ไป ชีวิตมีประสบการณ์ และพอมีพื้นฐานพุทธศาสนาเพิ่มขึ้นบ้าง ครั้งนี้ เป็นการใช้เวลาอยู่ที่วัดนานขึ้น พร้อมพกพาความรู้สึก ความประทับใจที่ต่างออกไป กลับออกมาด้วยอย่างปลื้มอกปลื้มใจ ล้อมวงมาฟังกันครับ วัดหนองป่าพง อุบลราชธานี (ยาวสักหน่อยนะครับ) คงจะไม่ถูกต้อง ถ้าจะกล่าวถึงวัดหนองป่าพง โดยไม่กล่าวถึง หลวงปู่ชา หลวงปู่ชา พระสำคัญผู้ก่อตั้งวัดแห่งนี้ ให้สามารถไปเผยแพร่พุทธศาสนาได้กว้างไกล ไม่เพียงแค่ในประเทศไทย หากแต่ไปไกลถึงสิบกว่าประเทศทั่วโลก หลวงปู่ชา พระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท) แห่งวัดหนองป่าพง จ.อุบลราชธานี ต้นแบบของพระป่าทั่วโลก ด้วยวัตรปฎิบัติที่เคร่งครัดสายวิปัสสนากรรมฐานที่มีต้นแบบจาก"พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต" หลวงปู่ชา หรือ พระโพธิญาณเถร (ชา สุภทฺโท) เกิดเมื่อ วันที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2461 ตรงกับ วันศุกร์ขึ้น 7 ค่ำ เดือน 7 ปีมะเมีย ณ บ้านจิกก่อ หมู่ที่ 9 ตำบลธาตุ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี บิดาชื่อนายมา ช่วงโชติ มารดาชื่อ นางพิมพ์ ช่วงโชติ มีพี่น้องร่วมบิดามารดาเดียวกันจำนวน 10 คน ในวัยเด็ก หลวงปู่ชาเรียนชั้นประถมศึกษา ที่โรงเรียนบ้านก่อ ตำบลธาตุ อำเภอวารินชำราบ จังหวัดอุบลราชธานี จนจบชั้นประถม 1 จึงขอลาออกเพื่อมาบวชเรียนตามความสนใจของตนเอง โดยช่วงอายุ 13 ปี หลังจากลาออกจากโรงเรียนประถมศึกษา โยมบิดาได้นำไปฝากกับเจ้าอาวาสเพื่อเรียนรู้บุพกิจเบื้องต้นเกี่ยวกับบรรพชาวิธี จึงได้รับอนุญาตให้บรรพชาเป็น “สามเณรชา โชติช่วง” จนอยู่ปฏิบัติครูอาจารย์ เป็นเวลา 3 ปี ได้แล้วจึงได้ลาสิกขาบทมาช่วยบิดามารดาทำไร่ทำนา แต่ด้วยจิตใจที่ใฝ่ในทางธรรม เมื่ออายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ จึงลาพ่อแม่มาบวชเป็นพระ โดยอุปสมบทเมื่อวันที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2482 เวลา 13.55 น. ณ พัทธสีมา วัดก่อใน ตำบลธาตุ อำเภอวารินชำราบ อุบลราชธานี พระชา สุภทฺโท ได้จำพรรษาอยู่ ณ วัดก่อนอก 2 พรรษา ตั้งใจศึกษาปริยัติธรรม ทั้งจากตำรับตำราและจากครูอาจารย์ จนสอบนักธรรมชั้นตรีได้ในสำนักวัดแห่งนี้ แต่โชคร้าย ช่วงนั้น หลวงพ่อชา ได้ว่างเว้นจากการศึกษา เพื่อไปดูแลโยมบิดาที่ป่วย แม้หลวงพ่อชา ก็เกิดความลังเลใจ พะว้าพะวง ห่วงการศึกษาก็ห่วง ห่วงโยมบิดาก็ห่วง แต่ความห่วงผู้บังเกิดเกล้ามีน้ำหนักมากกว่า เพราะโยมบิดาเป็นผู้มีพระคุณอย่างเหลือล้น หลวงปู่จึงตัดสินใจกลับไปดูแลโยมพ่อทั้งที่วันสอบนักธรรมก็ใกล้เข้ามาทุกที แต่ก็เลือกที่จะเดินในเส้นทางสายกตัญญุตา โดยที่สุด มาอยู่เฝ้าดูแลอาการป่วยของโยมพ่อนับเป็นเวลา 13 วัน โยมพ่อจึงได้ถึงแก่กรรม (ปี 2483) หลังจากนั้น หลวงปู่ชา ก็ได้เดินทางไปศึกษาเล่าเรียนยังที่ต่างๆ เช่น ที่สำนักของหลวงพ่อเภา วัดเขาวงกฏ จ.ลพบุรี และพระอาจารย์ชาวกัมพูชาที่เป็นพระธุดงค์ซึ่งได้พบกันที่วัดเขาวงกฏ หลวงปู่กินรี อาจารย์คำดี หลวงปู่ทองรัตน์ พระอาจารย์มั่น เป็นต้น พออินทรีย์แก่กล้าแล้วก็ออกธุดงค์ปฏิบัติธรรมต่อไปเรื่อยๆ โดยยังดำรงสมณเพศเป็นพระมหานิกายอยู่ตลอดเวลา กิจที่หลวงปู่ฯ โปรดปราน คือการได้ธุดงค์ไปยังที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศ เพื่อโปรดสานุศิษย์และเผยแพร่พุทธศาสนา จนที่สุดเมื่อคณะศิษย์ และหลวงพ่อได้เดินทางมาถึงชายดงป่าพง ตรงกับวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2497 พอเช้าวันที่ 9 มีนาคม 2497 จึงได้พากันเข้าสำรวจ สถานที่พักในดงป่านี้ และได้ช่วยกันดำเนินการสร้างวัดป่าขึ้น ซึ่งเรารู้จักในปัจจุบัน คือ “วัดหนองป่าพง” จนภายหลังมีสานุศิษย์มากมายทั้งไทยและเทศ ขยายไปหลายสาขา ดังที่กล่าวไปข้างต้น และท่านดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดนี้มาโดยตลอด และถึงแก่มรณภาพเมื่อ 16 มกราคม พ.ศ. 2535 เวลา 05.20 น. ที่ วัดหนองป่าพง อย่างสงบท่ามกลางธรรมสังเวชของศิษยานุศิษย์จากทุกสารทิศทั่วโลก ด้วยความที่วัดหนองป่าพง มีพระสงฆ์ต่างชาติ เป็นจำนวนมาก เคยมีคนไปถามหลวงปู่ว่า พูดภาษาอังกฤษไม่ได้ แล้วจะสอนชาวต่างชาติได้อย่างไร หลวงปู่ท่านเมตตาตอบว่า น้ำร้อน ที่ฝรั่งว่ากันว่า ฮ๊อตวอเตอร์ เอามือลงไปสัมผัส ทุกชาติก็รู้ว่าร้อน ไม่เห็นต้องรู้ภาษาก่อนเลย นัยว่า ธรรมะ เรียนรู้ได้จากการสัมผัส การปฏิบัติ มิใช่การอ่านเขียนเท่านั้น ปัจจุบัน แม้หลวงปู่ชาฯ จะละสังขารไปแล้วกว่าสามสิบปีกว่าปี คำสอนและวัตรปฏิบัติอันดีงาม ก็ยังอยู่ในความทรงจำสานุศิษย์ทั้งหลาย เห็นได้จากการที่กลับไปสัมผัส วัดหนองป่าพง อีกครั้ง เมื่อเร็ว ๆ นี้ ความสงบ และ ความเคร่งครัด แบบพระป่า ยังคงมีให้เห็นและสัมผัสได้ มีโอกาสได้แวะเข้าไปชม พิพิธภัณฑ์พระโพธิญาณเถร (ชา สุภัทโท) โดยจะจัดแสดงเครื่องอัฐบริขารและหุ่นขี้ผึ้งของหลวงปู่ชา สุภัทโท มีเครื่องทองเหลือง พระพุทธรูป และ เจดีย์ศรีโพธิญาณ เป็นสถานที่พระราชทานเพลิงศพของหลวงปู่ชาอีกด้วย จุดเด่นที่ประทับใจ คือ ป้าย คำสอนต่าง ๆ ที่ติดไว้ตามต้นไม้ อ่านแล้วทำให้เราได้นึกทบทวนชีวิตเราไปด้วยขณะเดินชมไปเงียบ ๆ นอกจากนี้ ได้มีโอกาสเข้าไปที่ อุโบสถด้านใน ทางเข้าเขตสังฆาวาส ที่พระสงฆ์ใช้ทำวัด ทำให้พอนึกเห็นภาพบรรยากาศเมื่อสมัยก่อน ที่หลวงปู่ ลงมาเทศนาธรรม รวม ๆ แล้วประทับใจมาก ครับ ผมกราบเรียนเชิญ ท่านที่มีโอกาสไป อุบลราชธานี อยากให้ไปสัมผัส วัดหนองป่าพง สักครั้งครับ #ชีวิตนี้ต้องมี1000วัด #เที่ยวไทยไปกับส้มโจ #เที่ยววัด #วัด #ไหว้พระ #ทำบุญ #travel #thailand #amazingthailand #thaitour #temple #history #architecture #culture #thaitemple #ท่องเที่ยว #CultureTrip0 Comments 0 Shares 1003 Views 0 Reviews - 0 Comments 0 Shares 130 Views 0 Reviews
More Stories