• 29 ปี สิ้น “หลวงพ่อเกษม เขมโก” เจ้าแห่งราชวงศ์ทิพย์จักร พระมหาเถราจารย์ สายวิปัสสนานครลำปาง

    ย้อนไปเมื่อ 29 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2539 ถือเป็นวันที่พุทธศาสนิกชนไทย ต้องประสบกับความสูญเสียครั้งใหญ่ เมื่อหลวงพ่อเกษม เขมโก พระมหาเถราจารย์ ผู้เป็นที่เคารพรัก ได้ละสังขารลงอย่างสงบ ณ ห้องไอซียู โรงพยาบาลลำปาง สิริอายุ 83 ปี หลังจากที่พักรักษาอาการอาพาธ มาเป็นเวลานาน การจากไปของท่าน ไม่เพียงแต่สร้างความเศร้าโศก ให้กับชาวจังหวัดลำปางเท่านั้น แต่ยังส่งผลสะเทือน ต่อผู้เคารพศรัทธา ทั่วประเทศไทย

    ต้นกำเนิดหลวงพ่อเกษม
    "หลวงพ่อเกษม เขมโก" หรือชื่อเดิม "เจ้าเกษม ณ ลำปาง" เกิดเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2455 ตรงกับวันพุธ เดือนยี่ (เหนือ) ปีชวด ร.ศ. 131 ท่านเป็นบุตรของ เจ้าน้อยหนู ณ ลำปาง (ซึ่งภายหลังเปลี่ยนนามสกุลเป็น "มณีอรุณ") ผู้รับราชการตำแหน่งปลัดอำเภอ และเจ้าแม่บัวจ้อน ณ ลำปาง ซึ่งมีเชื้อสายเจ้านาย ในราชวงศ์ทิพย์จักร โดยหลวงพ่อเกษม เขมโก ยังเป็นราชปนัดดา (หลานเหลน) ของ เจ้าบุญวาทย์วงษ์มานิต เจ้าหลวงผู้ครองนครลำปาง องค์สุดท้าย

    บรรพชาในวัยเยาว์
    ในวัยเด็ก หลวงพ่อเกษม เขมโก ถูกเล่าขานว่า เป็นเด็กที่ซุกซนแต่ฉลาดเฉลียว มีครั้งหนึ่ง ท่านเคยปีนต้นฝรั่ง แล้วพลัดตก จนเกิดแผลเป็นที่ศีรษะ ซึ่งกลายเป็น เครื่องหมายแห่งความทรงจำ ในวัยเยาว์ เมื่อท่านอายุได้ 13 ปี ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณรครั้งแรก ที่วัดป่าดั๊ว เพื่อบวชหน้าไฟเจ้าอาวาส ที่มรณภาพ หลังจากนั้น 7 วันจึงลาสิกขา ต่อมาเมื่ออายุ 15 ปี ท่านบรรพชาอีกครั้ง และจำวัด ที่วัดบุญยืน จังหวัดลำปาง ในช่วงเวลานี้ ท่านได้เริ่มศึกษาพระปริยัติธรรม อย่างจริงจัง และสามารถสอบนักธรรมชั้นโทได้ ในปี พ.ศ. 2474

    อุปสมบท
    ในปี พ.ศ. 2475 ขณะที่ท่านอายุ 20 ปี หลวงพ่อเกษม เขมโก ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดบุญวาทย์วิหาร โดยมี พระธรรมจินดานายก (ฝ่าย) เจ้าอาวาสวัดบุญวาทย์วิหาร และอดีตเจ้าคณะจังหวัดลำปาง เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านได้รับฉายาว่า “เขมโก” ซึ่งมีความหมายว่า “ผู้มีธรรมอันเกษม”

    หลังอุปสมบท ท่านเริ่มศึกษาภาษาบาลี ที่วัดศรีล้อม และต่อมาย้ายไปศึกษาในแผนกนักธรรม ที่วัดเชียงราย ท่านสามารถสอบได้ นักธรรมชั้นเอก ในปี พ.ศ. 2479 พร้อมความรู้เชี่ยวชาญ ด้านการเขียน และแปลภาษาบาลีอย่างลึกซึ้ง ถึงแม้ว่า ท่านจะไม่สอบ เอาวุฒิทางวิชาการสูง ๆ ก็ตาม เนื่องจากเป้าหมายของท่าน คือการศึกษาค้นคว้าธรรมะ เพื่อนำไปปฏิบัติ

    วิถีแห่งวิปัสสนา
    หลังจากสำเร็จการศึกษา ด้านปริยัติธรรม หลวงพ่อเกษม เขมโก ได้แสวงหาครูบาอาจารย์ ที่เชี่ยวชาญในสายวิปัสสนาธุระ จนกระทั่งท่านได้พบกับ "ครูบาแก่น สุมโน" พระอาจารย์ที่มีชื่อเสียง ด้านวิปัสสนากรรมฐาน ท่านได้ฝากตัวเป็นศิษย์ และเริ่มออกธุดงค์ไปยังป่าลึก เพื่อแสวงหาความวิเวก และปฏิบัติธรรม ในสถานที่สงบเงียบ

    ในระหว่างการปฏิบัติธรรม ท่านมีความเคร่งครัด ในธุดงควัตร (ข้อปฏิบัติสำหรับพระธุดงค์) โดยไม่ยึดติดกับสถานที่ หรือสิ่งของวัตถุใด ๆ การฝึกสมาธิ และการเจริญวิปัสสนาของท่าน เน้นการปฏิบัติจริง เพื่อหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง

    พระสายวิปัสสนาธุระแห่งลำปาง
    ในช่วงชีวิตที่เหลือ "หลวงพ่อเกษม เขมโก" ได้ตัดสินใจปลีกวิเวก และปฏิบัติธรรม ณ สุสานไตรลักษณ์ จังหวัดลำปาง ท่านใช้ชีวิตเรียบง่ายในสถานที่แห่งนี้ โดยไม่ยึดติดกับตำแหน่ง หรือยศศักดิ์ใด ๆ แม้กระทั่งตำแหน่ง เจ้าอาวาสที่วัดบุญยืน ซึ่งท่านได้รับแต่งตั้ง ท่านก็ได้ลาออก เพื่อมุ่งมั่นในการปฏิบัติธรรม ตามแนวทางของท่านเอง

    ศรัทธาประชาชน
    ด้วยความสมถะ และการปฏิบัติที่เคร่งครัด "หลวงพ่อเกษม เขมโก" ได้รับความเคารพนับถือ จากประชาชนทั่วประเทศ รวมถึงสมาชิกราชวงศ์ไทย เช่น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ซึ่งเคยเสด็จ ไปทรงนมัสการหลวงพ่อเกษม ด้วยพระองค์เอง

    ละสังขารปาฏิหาริย์สรีระ
    หลวงพ่อเกษม เขมโก ละสังขารอย่างสงบ เมื่อวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2539 เวลา 19:40 น. ณ โรงพยาบาลลำปาง สร้างความอาลัยอย่างยิ่ง ให้กับสานุศิษย์ทั่วประเทศ สิ่งที่น่าประหลาดใจคือ สรีระของหลวงพ่อเกษม ไม่เน่าเปื่อย และยังคงสภาพสมบูรณ์ ทำให้ผู้ที่เคารพศรัทธา ยังคงเดินทาง มากราบไหว้สรีระของท่าน ณ สุสานไตรลักษณ์ จนถึงปัจจุบัน

    ปณิธานแห่งความเรียบง่าย
    คำสอนของหลวงพ่อเกษม เขมโก เน้นความเรียบง่ายในชีวิต และการยึดมั่นในธรรมะ ท่านสอนให้พุทธศาสนิกชน ละความยึดติดกับวัตถุ และกิเลส รวมถึงการเจริญวิปัสสนา เพื่อความสงบสุข และหลุดพ้น

    มรดกธรรมที่ยังคงอยู่
    แม้จะผ่านมา 29 ปีแล้ว หลังการละสังขารของ หลวงพ่อเกษม เขมโก แต่ความศรัทธา และคำสอนของท่าน ยังคงสืบทอดมาถึงปัจจุบัน ท่านเป็นแบบอย่างของพระสงฆ์ ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ และเป็นสมบัติล้ำค่า ของพระพุทธศาสนาไทย

    ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 150927 ม.ค. 2568

    #หลวงพ่อเกษมเขมโก #พระเกจิอาจารย์ #สายวิปัสสนา #ศรัทธา #ปาฏิหาริย์ #ลำปาง #พระมหาเถราจารย์ #ธรรมะ #พุทธศาสนาไทย #ประวัติศาสตร์
    29 ปี สิ้น “หลวงพ่อเกษม เขมโก” เจ้าแห่งราชวงศ์ทิพย์จักร พระมหาเถราจารย์ สายวิปัสสนานครลำปาง ย้อนไปเมื่อ 29 ปี ที่ผ่านมา วันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2539 ถือเป็นวันที่พุทธศาสนิกชนไทย ต้องประสบกับความสูญเสียครั้งใหญ่ เมื่อหลวงพ่อเกษม เขมโก พระมหาเถราจารย์ ผู้เป็นที่เคารพรัก ได้ละสังขารลงอย่างสงบ ณ ห้องไอซียู โรงพยาบาลลำปาง สิริอายุ 83 ปี หลังจากที่พักรักษาอาการอาพาธ มาเป็นเวลานาน การจากไปของท่าน ไม่เพียงแต่สร้างความเศร้าโศก ให้กับชาวจังหวัดลำปางเท่านั้น แต่ยังส่งผลสะเทือน ต่อผู้เคารพศรัทธา ทั่วประเทศไทย ต้นกำเนิดหลวงพ่อเกษม "หลวงพ่อเกษม เขมโก" หรือชื่อเดิม "เจ้าเกษม ณ ลำปาง" เกิดเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2455 ตรงกับวันพุธ เดือนยี่ (เหนือ) ปีชวด ร.ศ. 131 ท่านเป็นบุตรของ เจ้าน้อยหนู ณ ลำปาง (ซึ่งภายหลังเปลี่ยนนามสกุลเป็น "มณีอรุณ") ผู้รับราชการตำแหน่งปลัดอำเภอ และเจ้าแม่บัวจ้อน ณ ลำปาง ซึ่งมีเชื้อสายเจ้านาย ในราชวงศ์ทิพย์จักร โดยหลวงพ่อเกษม เขมโก ยังเป็นราชปนัดดา (หลานเหลน) ของ เจ้าบุญวาทย์วงษ์มานิต เจ้าหลวงผู้ครองนครลำปาง องค์สุดท้าย บรรพชาในวัยเยาว์ ในวัยเด็ก หลวงพ่อเกษม เขมโก ถูกเล่าขานว่า เป็นเด็กที่ซุกซนแต่ฉลาดเฉลียว มีครั้งหนึ่ง ท่านเคยปีนต้นฝรั่ง แล้วพลัดตก จนเกิดแผลเป็นที่ศีรษะ ซึ่งกลายเป็น เครื่องหมายแห่งความทรงจำ ในวัยเยาว์ เมื่อท่านอายุได้ 13 ปี ท่านได้บรรพชาเป็นสามเณรครั้งแรก ที่วัดป่าดั๊ว เพื่อบวชหน้าไฟเจ้าอาวาส ที่มรณภาพ หลังจากนั้น 7 วันจึงลาสิกขา ต่อมาเมื่ออายุ 15 ปี ท่านบรรพชาอีกครั้ง และจำวัด ที่วัดบุญยืน จังหวัดลำปาง ในช่วงเวลานี้ ท่านได้เริ่มศึกษาพระปริยัติธรรม อย่างจริงจัง และสามารถสอบนักธรรมชั้นโทได้ ในปี พ.ศ. 2474 อุปสมบท ในปี พ.ศ. 2475 ขณะที่ท่านอายุ 20 ปี หลวงพ่อเกษม เขมโก ได้อุปสมบทเป็นพระภิกษุ ณ วัดบุญวาทย์วิหาร โดยมี พระธรรมจินดานายก (ฝ่าย) เจ้าอาวาสวัดบุญวาทย์วิหาร และอดีตเจ้าคณะจังหวัดลำปาง เป็นพระอุปัชฌาย์ ท่านได้รับฉายาว่า “เขมโก” ซึ่งมีความหมายว่า “ผู้มีธรรมอันเกษม” หลังอุปสมบท ท่านเริ่มศึกษาภาษาบาลี ที่วัดศรีล้อม และต่อมาย้ายไปศึกษาในแผนกนักธรรม ที่วัดเชียงราย ท่านสามารถสอบได้ นักธรรมชั้นเอก ในปี พ.ศ. 2479 พร้อมความรู้เชี่ยวชาญ ด้านการเขียน และแปลภาษาบาลีอย่างลึกซึ้ง ถึงแม้ว่า ท่านจะไม่สอบ เอาวุฒิทางวิชาการสูง ๆ ก็ตาม เนื่องจากเป้าหมายของท่าน คือการศึกษาค้นคว้าธรรมะ เพื่อนำไปปฏิบัติ วิถีแห่งวิปัสสนา หลังจากสำเร็จการศึกษา ด้านปริยัติธรรม หลวงพ่อเกษม เขมโก ได้แสวงหาครูบาอาจารย์ ที่เชี่ยวชาญในสายวิปัสสนาธุระ จนกระทั่งท่านได้พบกับ "ครูบาแก่น สุมโน" พระอาจารย์ที่มีชื่อเสียง ด้านวิปัสสนากรรมฐาน ท่านได้ฝากตัวเป็นศิษย์ และเริ่มออกธุดงค์ไปยังป่าลึก เพื่อแสวงหาความวิเวก และปฏิบัติธรรม ในสถานที่สงบเงียบ ในระหว่างการปฏิบัติธรรม ท่านมีความเคร่งครัด ในธุดงควัตร (ข้อปฏิบัติสำหรับพระธุดงค์) โดยไม่ยึดติดกับสถานที่ หรือสิ่งของวัตถุใด ๆ การฝึกสมาธิ และการเจริญวิปัสสนาของท่าน เน้นการปฏิบัติจริง เพื่อหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง พระสายวิปัสสนาธุระแห่งลำปาง ในช่วงชีวิตที่เหลือ "หลวงพ่อเกษม เขมโก" ได้ตัดสินใจปลีกวิเวก และปฏิบัติธรรม ณ สุสานไตรลักษณ์ จังหวัดลำปาง ท่านใช้ชีวิตเรียบง่ายในสถานที่แห่งนี้ โดยไม่ยึดติดกับตำแหน่ง หรือยศศักดิ์ใด ๆ แม้กระทั่งตำแหน่ง เจ้าอาวาสที่วัดบุญยืน ซึ่งท่านได้รับแต่งตั้ง ท่านก็ได้ลาออก เพื่อมุ่งมั่นในการปฏิบัติธรรม ตามแนวทางของท่านเอง ศรัทธาประชาชน ด้วยความสมถะ และการปฏิบัติที่เคร่งครัด "หลวงพ่อเกษม เขมโก" ได้รับความเคารพนับถือ จากประชาชนทั่วประเทศ รวมถึงสมาชิกราชวงศ์ไทย เช่น พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ซึ่งเคยเสด็จ ไปทรงนมัสการหลวงพ่อเกษม ด้วยพระองค์เอง ละสังขารปาฏิหาริย์สรีระ หลวงพ่อเกษม เขมโก ละสังขารอย่างสงบ เมื่อวันที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2539 เวลา 19:40 น. ณ โรงพยาบาลลำปาง สร้างความอาลัยอย่างยิ่ง ให้กับสานุศิษย์ทั่วประเทศ สิ่งที่น่าประหลาดใจคือ สรีระของหลวงพ่อเกษม ไม่เน่าเปื่อย และยังคงสภาพสมบูรณ์ ทำให้ผู้ที่เคารพศรัทธา ยังคงเดินทาง มากราบไหว้สรีระของท่าน ณ สุสานไตรลักษณ์ จนถึงปัจจุบัน ปณิธานแห่งความเรียบง่าย คำสอนของหลวงพ่อเกษม เขมโก เน้นความเรียบง่ายในชีวิต และการยึดมั่นในธรรมะ ท่านสอนให้พุทธศาสนิกชน ละความยึดติดกับวัตถุ และกิเลส รวมถึงการเจริญวิปัสสนา เพื่อความสงบสุข และหลุดพ้น มรดกธรรมที่ยังคงอยู่ แม้จะผ่านมา 29 ปีแล้ว หลังการละสังขารของ หลวงพ่อเกษม เขมโก แต่ความศรัทธา และคำสอนของท่าน ยังคงสืบทอดมาถึงปัจจุบัน ท่านเป็นแบบอย่างของพระสงฆ์ ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ และเป็นสมบัติล้ำค่า ของพระพุทธศาสนาไทย ป้อม-อัครวัฒน์ ธนันฐ์กิตติกุล 150927 ม.ค. 2568 #หลวงพ่อเกษมเขมโก #พระเกจิอาจารย์ #สายวิปัสสนา #ศรัทธา #ปาฏิหาริย์ #ลำปาง #พระมหาเถราจารย์ #ธรรมะ #พุทธศาสนาไทย #ประวัติศาสตร์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 176 มุมมอง 0 รีวิว
  • วันนี้พระธรรมเทศนาถวายพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระราชินี

    พระราชปณิธานขององค์สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงส่งเสริมพระพุทธศาสนา แต่มาสมัยนี้ ลูกหลานพระยามาร คิดเห็นผิดด้วยโลภะ โมหะ จะนำอบายมุขมานำเสนอแก่มวลมนุษย์ชาติ ไม่ว่าคนไทยและชาวต่างชาติ
    ข้าพระพุทธเจ้า ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ปกป้องรักษาบ้านเมือง ได้โปรดดลจิตดลใจให้ผู้มีหน้าที่ กรุณาโปรดทำหน้าที่ หาช่องทำหน้าที่ ให้พญามาร จอมมาร พ่ายแพ้ ต่อธรรม ต่อสัจจะ ต่อกรรม ให้ทำชั่วไม่สำเร็จ อย่าได้เดือดร้อนพลเมืองของชาติ ที่มีเหลือไม่มากด้วยเทริญ สาธุ สาธุ สาธุ
    วันนี้พระธรรมเทศนาถวายพระเจ้าอยู่หัวฯ และสมเด็จพระราชินี พระราชปณิธานขององค์สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงส่งเสริมพระพุทธศาสนา แต่มาสมัยนี้ ลูกหลานพระยามาร คิดเห็นผิดด้วยโลภะ โมหะ จะนำอบายมุขมานำเสนอแก่มวลมนุษย์ชาติ ไม่ว่าคนไทยและชาวต่างชาติ ข้าพระพุทธเจ้า ขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ปกป้องรักษาบ้านเมือง ได้โปรดดลจิตดลใจให้ผู้มีหน้าที่ กรุณาโปรดทำหน้าที่ หาช่องทำหน้าที่ ให้พญามาร จอมมาร พ่ายแพ้ ต่อธรรม ต่อสัจจะ ต่อกรรม ให้ทำชั่วไม่สำเร็จ อย่าได้เดือดร้อนพลเมืองของชาติ ที่มีเหลือไม่มากด้วยเทริญ สาธุ สาธุ สาธุ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 138 มุมมอง 0 รีวิว
  • วิตกทุกข์ร้อนหลายมันยิ่งทุกข์ ..เรามาพึ่งพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ากัน ปฏิบัติกันบ้าง
    วิตกทุกข์ร้อนหลายมันยิ่งทุกข์ ..เรามาพึ่งพระธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้ากัน ปฏิบัติกันบ้าง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 51 มุมมอง 0 รีวิว
  • ...ดาวพฤหัสบดี(๕) วิปริต พระไตรปิฎกถูกบิดเบือน มีลัทธิแปลกปลอมอาศัยวาทศิลป์อ้างพระธรรมคำสอนสร้างอาณาจักรของตน
    ...ดาวพุธ (๔) วิปริต สื่อมหาชนพาผู้คนคล้อยตามไปสู่อคติ สร้างอกุศลมากมาย
    ...ดาวอังคาร (๓) วิปริต ทหารถูกอำนาจอิทธิพลมืดครอบงำ ต้องฝ่าฝืนคำสั่งผู้บังคับบัญชาเพื่อรักษาหน้าที่ตน
    #พลัมเฮร่า
    #เรือนเทพพฤกษารื่นรมย์
    ...ดาวพฤหัสบดี(๕) วิปริต พระไตรปิฎกถูกบิดเบือน มีลัทธิแปลกปลอมอาศัยวาทศิลป์อ้างพระธรรมคำสอนสร้างอาณาจักรของตน ...ดาวพุธ (๔) วิปริต สื่อมหาชนพาผู้คนคล้อยตามไปสู่อคติ สร้างอกุศลมากมาย ...ดาวอังคาร (๓) วิปริต ทหารถูกอำนาจอิทธิพลมืดครอบงำ ต้องฝ่าฝืนคำสั่งผู้บังคับบัญชาเพื่อรักษาหน้าที่ตน #พลัมเฮร่า #เรือนเทพพฤกษารื่นรมย์
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 120 มุมมอง 0 รีวิว
  • 22/12/67

    ลองฝึกสมาธิของอกล้วยคิดว่าดี ถูกจริต เข้าถึงง่าย เลยเอามาฝากค่ะ

    ฝึกสมาธิ
    สรัางบุญอันยิ่งใหญ่ด้วยณาฌที่ฝึกได้ทันที เริ่ม20~50 นาที
    อานันตสมาธิ
    https://youtu.be/xqNyukxzcLQ?si=RexOouMk9lE7ARUv
    ขอขมากรรม

    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ
    3 จบ
    ข้าพูเจ้า ซื่อ ~นามสกุลตัวเอง
    (นางยุพเยาว์ไชยศรีมณีพรรณ)ขอตั้งจิตอธิฐานขอขมากรรมที่ได้กระทำความผิดอกุศล พูดผิด คิดผิด ด้วยกาย วาจา ใจ หากข้าพเจ้าเคยลบหลู่ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ พระอริยสงฆ์ พระโพธิสัตว์
    เคยลบหลู่ นิดามารดา ครูบาอาจารย์ หรือผู้มีพระคุณ ข้าพเจ้าขอขมาในความไม่ละอาย และไม่เกรงกลัวต่อบาป ซุบซิปนินทา ใส่ร้ายป้ายสี ชอบเพ็งโทษโยนความผิดให้ผู้อื่น ยุยงส่งเสริมให้แตกความสามัคคี ติดสินบน หักหลังเห็นแก่ตัว ผิดศีล
    บัดนี้ ข้าพเจ้าสำนักผิดแล้วในการกระทำทั้งปวง ด้วยกาย วาจา ใจ ขอให้ท่านทุกรูปทุกนาม ทุกจิต ทุกดวงวิญญาณ ทุกภูมิ โปรดงดโทษ อโหสิกรรมให้เป็นอภัยทาน ให้ขาดจาการกันในชาตินี้
    ข้าพเจ้สจะสำรวมระวังในการคิด การพูด ในการกระทำาต่อไป
    ข้าพเจ้าขอถอนคำอธิษฐานในสิ่งผิดและถอนคำสาบแช่งทุกชนิดที่กระทำด้วยจิตริษยาอาฆาตพยาบาท กระทำด้วยความโลภ ความโกรธ ความหลงจองล้างจองผลาญเบียดเบียนผู้อื่น ด้วยกาย วาจา ใจ
    โดยมีอวิชาตัณหา อุปาทาน มานะทิฐิโดยรู้เท่าไม่ถึงกาล
    ข้าพเจ้าขอถอนอธิษฐานสิ่งผิดๆเหล่านี้ณ.บัดนี้
    บัดนี้ข้าพเจ้าสำนึกผิดแล้วและจะคอยระวังการพูด การคิด การระวัง ในคราวต่อๆไป ไม่ให้ทำผิดซ้ำอีก
    พุธธัง ธัมมัง สังฆัง สะรังนังกะฉามิ
    ต้องรู้จักผิดบาปที่เรากระทำไปชีวิตเราจะได้ดีขึ้นมีอิริโอตะปะ ละอายเกรงกลัวต่อบาป
    กระทำกรรมชั่ว ต้ององได้รับผลชั่วมุ่งกระทำกรมรดี ที่อ.กล้วยสอนนี้ เป็นความดีอันยิ่งใหญ่ เมื่อมีจิตสูงสุดแล้วให้แผ่เมตตา

    แผ่เมตตา
    สัพเพ สัตตา อะเวรา อัพยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ
    ขออุทิศส่วนบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้กระทำแล้วนี้ และก่อนหน้านี้ให้กับเจ้ากรรมนายเวรของข้าพเจ้า ให้บิดามารดา ครูบาอาจารย์ของข้าพเจ้า และสรรพสัตว์ทั้งหลายในทั้ง 3 โลก ให้ญาติมิตรพี่น้อง ให้มิตรสหาย เจ้านายลูกน้อง ให้เทพเทวดาให้พรม ให้ผู้ที่อยู่ในอบายภูมิทั้งปวง และผู้ที่จองล้างจองผลาญ เป็นอริศัตรูของข้าพเจ้ว ขอให้มารับบุญทุกท่าน ขอให้อย่าได้มีความพยาบาทเบียดเบียนซึ่งกันและกัน ขอให้มีความสุขความเจริญ พ้นทุกข์พ้นภัยทุกท่าน ขออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลนี้ให้ตัวข้าพเจ้าเองให้พ้นทุกข์ พ้นกรรมทั้งปวง ให้มีชีวิตที่เจริญยื่งขึ้น ด้วยสุขะ พละและนิพพานเทอญ สาธุ
    ขอสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง จงถึงความสุข ปราศจากความทุกข์ ไม่มีเวร ไม่มีภัย ไม่มีความคับแค้นใจ จงมีความสุขกายสุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งปวงเถิด
    cr:อ.กล้วย
    22/12/67 ลองฝึกสมาธิของอกล้วยคิดว่าดี ถูกจริต เข้าถึงง่าย เลยเอามาฝากค่ะ ฝึกสมาธิ สรัางบุญอันยิ่งใหญ่ด้วยณาฌที่ฝึกได้ทันที เริ่ม20~50 นาที อานันตสมาธิ https://youtu.be/xqNyukxzcLQ?si=RexOouMk9lE7ARUv ขอขมากรรม นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมา สัมพุทธัสสะ 3 จบ ข้าพูเจ้า ซื่อ ~นามสกุลตัวเอง (นางยุพเยาว์ไชยศรีมณีพรรณ)ขอตั้งจิตอธิฐานขอขมากรรมที่ได้กระทำความผิดอกุศล พูดผิด คิดผิด ด้วยกาย วาจา ใจ หากข้าพเจ้าเคยลบหลู่ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ พระอริยสงฆ์ พระโพธิสัตว์ เคยลบหลู่ นิดามารดา ครูบาอาจารย์ หรือผู้มีพระคุณ ข้าพเจ้าขอขมาในความไม่ละอาย และไม่เกรงกลัวต่อบาป ซุบซิปนินทา ใส่ร้ายป้ายสี ชอบเพ็งโทษโยนความผิดให้ผู้อื่น ยุยงส่งเสริมให้แตกความสามัคคี ติดสินบน หักหลังเห็นแก่ตัว ผิดศีล บัดนี้ ข้าพเจ้าสำนักผิดแล้วในการกระทำทั้งปวง ด้วยกาย วาจา ใจ ขอให้ท่านทุกรูปทุกนาม ทุกจิต ทุกดวงวิญญาณ ทุกภูมิ โปรดงดโทษ อโหสิกรรมให้เป็นอภัยทาน ให้ขาดจาการกันในชาตินี้ ข้าพเจ้สจะสำรวมระวังในการคิด การพูด ในการกระทำาต่อไป ข้าพเจ้าขอถอนคำอธิษฐานในสิ่งผิดและถอนคำสาบแช่งทุกชนิดที่กระทำด้วยจิตริษยาอาฆาตพยาบาท กระทำด้วยความโลภ ความโกรธ ความหลงจองล้างจองผลาญเบียดเบียนผู้อื่น ด้วยกาย วาจา ใจ โดยมีอวิชาตัณหา อุปาทาน มานะทิฐิโดยรู้เท่าไม่ถึงกาล ข้าพเจ้าขอถอนอธิษฐานสิ่งผิดๆเหล่านี้ณ.บัดนี้ บัดนี้ข้าพเจ้าสำนึกผิดแล้วและจะคอยระวังการพูด การคิด การระวัง ในคราวต่อๆไป ไม่ให้ทำผิดซ้ำอีก พุธธัง ธัมมัง สังฆัง สะรังนังกะฉามิ ต้องรู้จักผิดบาปที่เรากระทำไปชีวิตเราจะได้ดีขึ้นมีอิริโอตะปะ ละอายเกรงกลัวต่อบาป กระทำกรรมชั่ว ต้ององได้รับผลชั่วมุ่งกระทำกรมรดี ที่อ.กล้วยสอนนี้ เป็นความดีอันยิ่งใหญ่ เมื่อมีจิตสูงสุดแล้วให้แผ่เมตตา แผ่เมตตา สัพเพ สัตตา อะเวรา อัพยาปัชฌา อะนีฆา สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ ขออุทิศส่วนบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้กระทำแล้วนี้ และก่อนหน้านี้ให้กับเจ้ากรรมนายเวรของข้าพเจ้า ให้บิดามารดา ครูบาอาจารย์ของข้าพเจ้า และสรรพสัตว์ทั้งหลายในทั้ง 3 โลก ให้ญาติมิตรพี่น้อง ให้มิตรสหาย เจ้านายลูกน้อง ให้เทพเทวดาให้พรม ให้ผู้ที่อยู่ในอบายภูมิทั้งปวง และผู้ที่จองล้างจองผลาญ เป็นอริศัตรูของข้าพเจ้ว ขอให้มารับบุญทุกท่าน ขอให้อย่าได้มีความพยาบาทเบียดเบียนซึ่งกันและกัน ขอให้มีความสุขความเจริญ พ้นทุกข์พ้นภัยทุกท่าน ขออุทิศส่วนบุญส่วนกุศลนี้ให้ตัวข้าพเจ้าเองให้พ้นทุกข์ พ้นกรรมทั้งปวง ให้มีชีวิตที่เจริญยื่งขึ้น ด้วยสุขะ พละและนิพพานเทอญ สาธุ ขอสัตว์ทั้งหลายทั้งปวง จงถึงความสุข ปราศจากความทุกข์ ไม่มีเวร ไม่มีภัย ไม่มีความคับแค้นใจ จงมีความสุขกายสุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งปวงเถิด cr:อ.กล้วย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 231 มุมมอง 0 รีวิว
  • อนุสติ (บาลี: อนุสฺสติ) หมายถึง กรรมฐานเป็นเครื่องระลึกถึง มี 10 อย่าง ได้แก่

    พุทธานุสติ การระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า
    ธัมมานุสติ การระลึกถึงพระคุณของพระธรรม
    สังฆานุสติ การระลึกถึงพระคุณของพระสงฆ์
    สีลานุสติ การระลึกถึงศีล ที่ตนเคยรักษาไว้ได้
    จาคานุสติ การระลึกถึงทาน ความดีที่ตนสร้างไว้
    เทวตานุสติ การระลึกถึงคุณที่ทำให้คนเป็นเทวดา เช่น หิริ โอตตัปปะ
    อุปสมานุสติ การระลึกถึงพระคุณของพระนิพพาน
    มรณานุสติ[1][2] การระลึกถึงความตาย
    อานาปานสติ การระลึกถึงลมหายใจเข้าออก (อานาปาน + อนุสสติ = อานาปานุสสติ)
    กายคตาสติ การระลึกถึงความไม่งามปฏิกูลของอาการ 32 มีผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นต้น
    เป็น 10 กรรมฐานในกรรมฐาน 40 กองได้แก่ กสิน 10, อนุสสติ 10, อสุภะ 10, พรหมวิหาร 4, อรูปฌาน 4, จตุธาตุววัตถาน 1, อาหาเรปฏิกูลสัญญา 1

    วิสุทธิมรรคระบุว่า พุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ สีลานุสติ จาคานุสติ เทวตานุสติ อุปสมานุสติ มรณสติ เป็นอารมณ์นิมิตทำสมาธิได้สูงสุดที่ระดับอุปจารสมาธิ กายคตาสติเป็นอารมณ์นิมิตรทำสมาธิได้สูงสุดที่ระดับปฐมฌาน (ฌานที่ 1) และอานาปานสติเป็นอารมณ์นิมิตรทำสมาธิได้สูงสุดที่ระดับจตุตถฌาน (ฌานที่ 4)
    อนุสติ (บาลี: อนุสฺสติ) หมายถึง กรรมฐานเป็นเครื่องระลึกถึง มี 10 อย่าง ได้แก่ พุทธานุสติ การระลึกถึงพระคุณของพระพุทธเจ้า ธัมมานุสติ การระลึกถึงพระคุณของพระธรรม สังฆานุสติ การระลึกถึงพระคุณของพระสงฆ์ สีลานุสติ การระลึกถึงศีล ที่ตนเคยรักษาไว้ได้ จาคานุสติ การระลึกถึงทาน ความดีที่ตนสร้างไว้ เทวตานุสติ การระลึกถึงคุณที่ทำให้คนเป็นเทวดา เช่น หิริ โอตตัปปะ อุปสมานุสติ การระลึกถึงพระคุณของพระนิพพาน มรณานุสติ[1][2] การระลึกถึงความตาย อานาปานสติ การระลึกถึงลมหายใจเข้าออก (อานาปาน + อนุสสติ = อานาปานุสสติ) กายคตาสติ การระลึกถึงความไม่งามปฏิกูลของอาการ 32 มีผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นต้น เป็น 10 กรรมฐานในกรรมฐาน 40 กองได้แก่ กสิน 10, อนุสสติ 10, อสุภะ 10, พรหมวิหาร 4, อรูปฌาน 4, จตุธาตุววัตถาน 1, อาหาเรปฏิกูลสัญญา 1 วิสุทธิมรรคระบุว่า พุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ สีลานุสติ จาคานุสติ เทวตานุสติ อุปสมานุสติ มรณสติ เป็นอารมณ์นิมิตทำสมาธิได้สูงสุดที่ระดับอุปจารสมาธิ กายคตาสติเป็นอารมณ์นิมิตรทำสมาธิได้สูงสุดที่ระดับปฐมฌาน (ฌานที่ 1) และอานาปานสติเป็นอารมณ์นิมิตรทำสมาธิได้สูงสุดที่ระดับจตุตถฌาน (ฌานที่ 4)
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 217 มุมมอง 0 รีวิว
  • สำเริง คำพะอุ อดีตบรรณาธิการข่าวหนังสือพิมพ์สยามรัฐ และอดีตนายกสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย เสียชีวิตที่บ้านพักด้วยโรคชรา รวมอายุได้ 80 ปี พิธีสวดพระอภิธรรมจัดขึ้นที่วัดเสมียนนารี ฌาปนกิจ 9 ธ.ค.

    วันนี้ (5 ธ.ค.) รายงานข่าวแจ้งว่า นายสำเริง คำพะอุ อดีตบรรณาธิการข่าวหนังสือพิมพ์สยามรัฐ และอดีตนายกสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย อายุ 80 ปี เสียชีวิตอย่างสงบด้วยโรคชรา ที่บ้านพักย่าน จ.นนทบุรี โดยมีกำหนดสวดพระอภิธรรมและฌาปนกิจ ณ วัดเสมียนนารี ศาลา 4 เขตจตุจักร กรุงเทพฯ ในวันนี้มีพิธีรดน้ำศพเวลา 16.00 น. สวดพระอภิธรรม เวลา 17.00 น. และจะมีพิธีสวดพระอภิธรรมวันที่ 6-8 ธ.ค. เวลา 18.00 น. (วันที่ 8 ธ.ค. แสดงพระธรรมเทศนา เวลา 17.30 น.) และฌาปนกิจวันที่ 9 ธ.ค. เวลา 17.00 น.

    คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >>
    https://mgronline.com/onlinesection/detail/9670000117160

    #MGROnline #สำเริงคำพะอุ #อดีตบรรณาธิการข่าวหนังสือพิมพ์สยามรัฐ #อดีตนายกสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย
    สำเริง คำพะอุ อดีตบรรณาธิการข่าวหนังสือพิมพ์สยามรัฐ และอดีตนายกสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย เสียชีวิตที่บ้านพักด้วยโรคชรา รวมอายุได้ 80 ปี พิธีสวดพระอภิธรรมจัดขึ้นที่วัดเสมียนนารี ฌาปนกิจ 9 ธ.ค. • วันนี้ (5 ธ.ค.) รายงานข่าวแจ้งว่า นายสำเริง คำพะอุ อดีตบรรณาธิการข่าวหนังสือพิมพ์สยามรัฐ และอดีตนายกสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย อายุ 80 ปี เสียชีวิตอย่างสงบด้วยโรคชรา ที่บ้านพักย่าน จ.นนทบุรี โดยมีกำหนดสวดพระอภิธรรมและฌาปนกิจ ณ วัดเสมียนนารี ศาลา 4 เขตจตุจักร กรุงเทพฯ ในวันนี้มีพิธีรดน้ำศพเวลา 16.00 น. สวดพระอภิธรรม เวลา 17.00 น. และจะมีพิธีสวดพระอภิธรรมวันที่ 6-8 ธ.ค. เวลา 18.00 น. (วันที่ 8 ธ.ค. แสดงพระธรรมเทศนา เวลา 17.30 น.) และฌาปนกิจวันที่ 9 ธ.ค. เวลา 17.00 น. • คลิกอ่านรายละเอียดเพิ่มเติม >> https://mgronline.com/onlinesection/detail/9670000117160 • #MGROnline #สำเริงคำพะอุ #อดีตบรรณาธิการข่าวหนังสือพิมพ์สยามรัฐ #อดีตนายกสมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 178 มุมมอง 0 รีวิว
  • Credit : ดร.ณัฐนันท์ สุดประเสริฐ วันนี้ชมโหนกระแสกันนะคะ ทราบข่าวมาว่า พอจ.สมบูรณ์ ฉนฺทโก วัดเขาสนามชัย ไปออกรายการวันนี้ค่ะทราบมาว่าไม่ใช่การดีเบตนะคะแต่เป็นการชี้แจงพระธรรมวินัยร่วมกับพระมหาวัฒนาซึ่งพระมหาวัฒนานิมนต์ท่านค่ะ
    Credit : ดร.ณัฐนันท์ สุดประเสริฐ วันนี้ชมโหนกระแสกันนะคะ ทราบข่าวมาว่า พอจ.สมบูรณ์ ฉนฺทโก วัดเขาสนามชัย ไปออกรายการวันนี้ค่ะทราบมาว่าไม่ใช่การดีเบตนะคะแต่เป็นการชี้แจงพระธรรมวินัยร่วมกับพระมหาวัฒนาซึ่งพระมหาวัฒนานิมนต์ท่านค่ะ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 131 มุมมอง 0 รีวิว
  • Credit : ดร.ณัฐนันท์ สุดประเสริฐ กราบ กราบ กราบ เจ้าประคุณสมเด็จพระสังฆราช ท่านดำรัสถึงคนที่สอนธรรมทุกวันนี้ ขาดองค์ความรู้ ใช้วาทะ คารม ใช้อัตโนมติของตนเองกล่าวตู่พระพุทธพจน์ นับเป็นพฤติกรรมที่บ่อนทำลายพระพุทธศาสนาท่านยังฝากถึงผู้ศึกษารอบในพระปริยัติธรรม ช่วยกันกล่าวโต้แย้งบรรดานักพูดที่บิดเบือนพระธรรมวินัยด้วย ให้สมหน้าที่พุทธสาวกของพระบรมศาสดาสืบไป เกล้าดิฉัน น้อมกราบรับภาระหน้าที่ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระบรมศาสดา จะปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถต่อไปhttps://youtu.be/W_o5TMPysx0?si=lv2ZksvhkhsefYp4
    Credit : ดร.ณัฐนันท์ สุดประเสริฐ กราบ กราบ กราบ เจ้าประคุณสมเด็จพระสังฆราช ท่านดำรัสถึงคนที่สอนธรรมทุกวันนี้ ขาดองค์ความรู้ ใช้วาทะ คารม ใช้อัตโนมติของตนเองกล่าวตู่พระพุทธพจน์ นับเป็นพฤติกรรมที่บ่อนทำลายพระพุทธศาสนาท่านยังฝากถึงผู้ศึกษารอบในพระปริยัติธรรม ช่วยกันกล่าวโต้แย้งบรรดานักพูดที่บิดเบือนพระธรรมวินัยด้วย ให้สมหน้าที่พุทธสาวกของพระบรมศาสดาสืบไป เกล้าดิฉัน น้อมกราบรับภาระหน้าที่ด้วยสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระบรมศาสดา จะปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มกำลังความสามารถต่อไปhttps://youtu.be/W_o5TMPysx0?si=lv2ZksvhkhsefYp4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 231 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดังนั้น พระอรหันต์ตามพระธรรมวินัยนี้หรือตามหลักการทางพระพุทธศาสนา ก็คือ ผู้ที่เข้าถึงสัจธรรมความจริงอันประเสริฐสูงสุด จิตหลุดพ้นจากอาสวะกิเลสทั้งปวงอย่างเด็ดขาด พ้นอำนาจจากความเกิด ความแก่ ความเจ็บ และความตาย ไม่มีความเศร้าหมองขุ่นมัวในดวงใจ ปราศจากความเดือดร้อนใจและความวิตกกังวลกระวนกระวายใดๆ หลุดพ้นจากความทุกข์อย่างสิ้นเชิง มี ๔ ประเภท ได้แก่ ๑.พระอรหันต์สุกขวิปัสสโก พระอรหันต์ประเภทแรกนี้คือผู้ที่จิตหลุดพ้นจากกิเลสสิ้นเชิง แต่ไม่ประกอบด้วยฤทธิ์หรือมีอภิญญามีคุณวิเศษอย่างอื่น คือแม้จิตหลุดพ้นแล้ว แต่อาจไม่มีทิพจักขุ คือไม่มีตาทิพย์ ไม่เห็นนรกสวรรค์ ไม่เห็นภพภูมิอันลี้ลับที่ท่านพรรณนาไว้ แต่คุณธรรมภายในคือความบริสุทธิ์สะอาดภายในดวงจิตของท่านก็ไม่ด้อยกว่าพระอรหันต์ประเภทอื่นแต่อย่างใด
    ดังนั้น พระอรหันต์ตามพระธรรมวินัยนี้หรือตามหลักการทางพระพุทธศาสนา ก็คือ ผู้ที่เข้าถึงสัจธรรมความจริงอันประเสริฐสูงสุด จิตหลุดพ้นจากอาสวะกิเลสทั้งปวงอย่างเด็ดขาด พ้นอำนาจจากความเกิด ความแก่ ความเจ็บ และความตาย ไม่มีความเศร้าหมองขุ่นมัวในดวงใจ ปราศจากความเดือดร้อนใจและความวิตกกังวลกระวนกระวายใดๆ หลุดพ้นจากความทุกข์อย่างสิ้นเชิง มี ๔ ประเภท ได้แก่ ๑.พระอรหันต์สุกขวิปัสสโก พระอรหันต์ประเภทแรกนี้คือผู้ที่จิตหลุดพ้นจากกิเลสสิ้นเชิง แต่ไม่ประกอบด้วยฤทธิ์หรือมีอภิญญามีคุณวิเศษอย่างอื่น คือแม้จิตหลุดพ้นแล้ว แต่อาจไม่มีทิพจักขุ คือไม่มีตาทิพย์ ไม่เห็นนรกสวรรค์ ไม่เห็นภพภูมิอันลี้ลับที่ท่านพรรณนาไว้ แต่คุณธรรมภายในคือความบริสุทธิ์สะอาดภายในดวงจิตของท่านก็ไม่ด้อยกว่าพระอรหันต์ประเภทอื่นแต่อย่างใด
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 359 มุมมอง 0 รีวิว
  • ... ก็ที่ต้องออกมานั่งเคลียร์เพราะคนไม่เรียนแต่ออกมาทำคอนเทนต์สอนคนไงคะ หารายได้จากพระธรรมคำสอนแถมยังพูดผิดๆถูกๆ เค้าเลยต้องออกมาช่วยเกลาค่ะ....
    ... ก็ที่ต้องออกมานั่งเคลียร์เพราะคนไม่เรียนแต่ออกมาทำคอนเทนต์สอนคนไงคะ หารายได้จากพระธรรมคำสอนแถมยังพูดผิดๆถูกๆ เค้าเลยต้องออกมาช่วยเกลาค่ะ....
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 157 มุมมอง 0 รีวิว
  • ขอแสดงมุทิตาจิตกับสามเณรสกาย ในการสำเร็จการศึกษา “นักธรรมชั้นตรี” ขออนุโมทนาและเป็นกำลังใจให้สามเณรสกายได้สำเร็จบรรลุเป้าหมายเปรียญธรรม ๙ ประโยคสมปรารถนา เป็นศาสนทายาทสืบทอดพระธรรมสืบต่อไปผลสอบธรรมสนามหลวง จากสำนักงานแม่กองธรรมสนามหลวงโดยความเห็นของมหาเถรสมาคม#สามเณรปลูกปัญญาธรรมรม #บวชเณร #เณรน้อย #น่ารัก #กิจกรรม #ปิดเทอม #อนุโมทนาบุญ #สาธุ #ทรูปลูกปัญญา #truelittlemonk #dhamma
    ขอแสดงมุทิตาจิตกับสามเณรสกาย ในการสำเร็จการศึกษา “นักธรรมชั้นตรี” ขออนุโมทนาและเป็นกำลังใจให้สามเณรสกายได้สำเร็จบรรลุเป้าหมายเปรียญธรรม ๙ ประโยคสมปรารถนา เป็นศาสนทายาทสืบทอดพระธรรมสืบต่อไปผลสอบธรรมสนามหลวง จากสำนักงานแม่กองธรรมสนามหลวงโดยความเห็นของมหาเถรสมาคม#สามเณรปลูกปัญญาธรรมรม #บวชเณร #เณรน้อย #น่ารัก #กิจกรรม #ปิดเทอม #อนุโมทนาบุญ #สาธุ #ทรูปลูกปัญญา #truelittlemonk #dhamma
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 496 มุมมอง 0 รีวิว
  • พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าไม่เคยเสื่อมถอย ไม่เคยล้าสมัย 2,600 ปีร่วงมา ..ฟังจากพระสาวกท่านสมัยปัจจุบันเทศน์ก็น่าฟังตลอด
    พระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าไม่เคยเสื่อมถอย ไม่เคยล้าสมัย 2,600 ปีร่วงมา ..ฟังจากพระสาวกท่านสมัยปัจจุบันเทศน์ก็น่าฟังตลอด
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 220 มุมมอง 0 รีวิว
  • บึ้มขวางกวนอิมเทพา ทำลายพหุวัฒนธรรม

    6 โมงเช้า วันที่ 20 พ.ย. คนร้ายลอบวางระเบิดใส่แคมป์คนงานก่อสร้างเจ้าแม่กวนอิม บ้านปากบางสะกอม หมู่ 1 ต.สะกอม อ.เทพา จ.สงขลา ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 3 ราย ต่อมาเวลา 10.30 น และ 10.40 น. เกิดระเบิดลูกที่ 3 และลูกที่4 บริเวณเส้นทางเข้าที่เกิดเหตุห่างจากที่เกิดเหตุจุดแรกประมาณ 400 เมตร แต่ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ ระหว่างเจ้าหน้าที่ตรวจสอบจุดเกิดเหตุ พบจดหมายพิมพ์ด้วยคอมพิวเตอร์เป็นภาษาไทยและเมียนมา ระบุว่า "ถ้าใครที่ทำงานในโครงการนี้ที่นี่และในสามจังหวัดชายแดนใต้ เราขอเตือนจงหยุด ไม่งั้นเราจะไม่รับรองชีวิตของท่าน"

    พ.อ.ปองพล สุทธิเบญจกุล รองโฆษก กอ.รมน.ภาค 4 สน. แถลงว่า กลุ่มผู้ก่อเหตุพยายามทำลายรูปเคารพทางศาสนา ซึ่งเป็นการทำลายสัญลักษณ์ของความเป็นพหุวัฒนธรรม พยายามสร้างสังคมเชิงเดี่ยวที่ขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชนและหลักของศาสนาอันดีงาม เชื่อว่าพยายามหยิบความขัดแย้งทางศาสนามาเป็นปัญหาขัดแย้งในพื้นที่ แต่ นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ผอ.โรงพยาบาลสะบ้าย้อย แกนนำคัดค้านนิคมอุตสาหกรรมจะนะ กล่าวกับสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส อ้างว่าไม่ใช่การวางระเบิดแบบปกติ ที่ผ่านมาชาวบ้านในพื้นที่พยายามคัดค้านการก่อสร้างเจ้าแม่กวนอิม เพราะมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของนิคมฯ แต่ก็แผ่วลง และเห็นว่าเป็นสิทธิ์ของนายทุน กระทั่งเริ่มลงเสาขนาดใหญ่ในพื้นที่

    เป็นที่น่าสังเกตว่า เหตุดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ และครอบครัว ได้จัดพิธีพุทธาภิเษกเจดีย์สัมฤทธิ์ผลคุ้มลูกกันภัย ณ สถานที่ก่อสร้างเจ้าแม่กวนอิม เมื่อวันที่ 14 พ.ย. หรือ 6 วันก่อนเกิดเหตุ โดยมี พล.อ.มณี จันทร์ทิพย์ ผู้แทนพิเศษของรัฐบาล ที่ปรึกษา กอ.รมน.ภาค 4 และนายนิพนธ์ บุญญามณี อดีต รมช.มหาดไทย และได้เชิญพระธรรมกิตติเมธี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดราชาธิวาส แสดงธรรมเทศนา โดยยืนยันว่าจะเป็นแลนด์มาร์คใหม่ในจังหวัดพื้นที่ภาคใต้ เพราะบรรยากาศโดยรอบสวยงามตามธรรมชาติ หาดสวย ทะเลน้ำใส มีเสน่ห์เฉพาะตัวดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ

    สำหรับโครงการก่อสร้างเจ้าแม่กวนอิม เกิดขึ้นเมื่อปี 2565 โดยบริษัท ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) ได้ซื้อที่ดิน 65 ไร่ เพื่อก่อสร้าง เช่นเดียวกับเจ้าแม่กวนอิมในต่างประเทศ แต่ต่อมาคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดสงขลานำชาวมุสลิมกว่า 4,000 คน ละหมาดฮายัตเพื่อคัดค้านการก่อสร้าง อ้างว่ามีโครงการนิคมอุตสาหกรรมจะนะอยู่เบื้องหลัง และอ้างว่าล้อมรอบด้วยชุมชนชาวมุสลิม ทั้งที่ความจริงที่ดินอยู่ห่างไกลจากชุมชนมาก ส่วนใหญ่เป็นรีสอร์ต สวนยางพารา และสวนมะพร้าวเท่านั้น

    #Newskit #เจ้าแม่กวนอิม #เทพา
    บึ้มขวางกวนอิมเทพา ทำลายพหุวัฒนธรรม 6 โมงเช้า วันที่ 20 พ.ย. คนร้ายลอบวางระเบิดใส่แคมป์คนงานก่อสร้างเจ้าแม่กวนอิม บ้านปากบางสะกอม หมู่ 1 ต.สะกอม อ.เทพา จ.สงขลา ทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บ 3 ราย ต่อมาเวลา 10.30 น และ 10.40 น. เกิดระเบิดลูกที่ 3 และลูกที่4 บริเวณเส้นทางเข้าที่เกิดเหตุห่างจากที่เกิดเหตุจุดแรกประมาณ 400 เมตร แต่ไม่มีผู้ได้รับบาดเจ็บ ระหว่างเจ้าหน้าที่ตรวจสอบจุดเกิดเหตุ พบจดหมายพิมพ์ด้วยคอมพิวเตอร์เป็นภาษาไทยและเมียนมา ระบุว่า "ถ้าใครที่ทำงานในโครงการนี้ที่นี่และในสามจังหวัดชายแดนใต้ เราขอเตือนจงหยุด ไม่งั้นเราจะไม่รับรองชีวิตของท่าน" พ.อ.ปองพล สุทธิเบญจกุล รองโฆษก กอ.รมน.ภาค 4 สน. แถลงว่า กลุ่มผู้ก่อเหตุพยายามทำลายรูปเคารพทางศาสนา ซึ่งเป็นการทำลายสัญลักษณ์ของความเป็นพหุวัฒนธรรม พยายามสร้างสังคมเชิงเดี่ยวที่ขัดต่อหลักสิทธิมนุษยชนและหลักของศาสนาอันดีงาม เชื่อว่าพยายามหยิบความขัดแย้งทางศาสนามาเป็นปัญหาขัดแย้งในพื้นที่ แต่ นพ.สุภัทร ฮาสุวรรณกิจ ผอ.โรงพยาบาลสะบ้าย้อย แกนนำคัดค้านนิคมอุตสาหกรรมจะนะ กล่าวกับสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส อ้างว่าไม่ใช่การวางระเบิดแบบปกติ ที่ผ่านมาชาวบ้านในพื้นที่พยายามคัดค้านการก่อสร้างเจ้าแม่กวนอิม เพราะมองว่าเป็นส่วนหนึ่งของนิคมฯ แต่ก็แผ่วลง และเห็นว่าเป็นสิทธิ์ของนายทุน กระทั่งเริ่มลงเสาขนาดใหญ่ในพื้นที่ เป็นที่น่าสังเกตว่า เหตุดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากที่นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ และครอบครัว ได้จัดพิธีพุทธาภิเษกเจดีย์สัมฤทธิ์ผลคุ้มลูกกันภัย ณ สถานที่ก่อสร้างเจ้าแม่กวนอิม เมื่อวันที่ 14 พ.ย. หรือ 6 วันก่อนเกิดเหตุ โดยมี พล.อ.มณี จันทร์ทิพย์ ผู้แทนพิเศษของรัฐบาล ที่ปรึกษา กอ.รมน.ภาค 4 และนายนิพนธ์ บุญญามณี อดีต รมช.มหาดไทย และได้เชิญพระธรรมกิตติเมธี ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดราชาธิวาส แสดงธรรมเทศนา โดยยืนยันว่าจะเป็นแลนด์มาร์คใหม่ในจังหวัดพื้นที่ภาคใต้ เพราะบรรยากาศโดยรอบสวยงามตามธรรมชาติ หาดสวย ทะเลน้ำใส มีเสน่ห์เฉพาะตัวดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ สำหรับโครงการก่อสร้างเจ้าแม่กวนอิม เกิดขึ้นเมื่อปี 2565 โดยบริษัท ทีพีไอ โพลีน เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) ได้ซื้อที่ดิน 65 ไร่ เพื่อก่อสร้าง เช่นเดียวกับเจ้าแม่กวนอิมในต่างประเทศ แต่ต่อมาคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดสงขลานำชาวมุสลิมกว่า 4,000 คน ละหมาดฮายัตเพื่อคัดค้านการก่อสร้าง อ้างว่ามีโครงการนิคมอุตสาหกรรมจะนะอยู่เบื้องหลัง และอ้างว่าล้อมรอบด้วยชุมชนชาวมุสลิม ทั้งที่ความจริงที่ดินอยู่ห่างไกลจากชุมชนมาก ส่วนใหญ่เป็นรีสอร์ต สวนยางพารา และสวนมะพร้าวเท่านั้น #Newskit #เจ้าแม่กวนอิม #เทพา
    Like
    Sad
    4
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1040 มุมมอง 0 รีวิว
  • #จงอย่าคิดว่าคนอย่างเราไม่มีบุญ

    #แต่ว่าถ้าสมัยนี้บรรดาท่านพุทธบริษัทคนใดมีจิตใจมุ่งหวังพระนิพพานเป็นอารมณ์ #หากว่าท่านเป็นพระโสดาบันก็ดีหรือยังไม่เป็นพระโสดาบันก็ตาม #พยายามมีความเคารพพระพุทธเจ้า #พระธรรม #พระอริยสงฆ์ #ให้มั่นคงนึกถึงความตายไว้เป็นปกติ #ว่าชีวิตมันต้องตายแต่ว่าถ้าตายเมื่อไรขอไปนิพพานเมื่อนั้น #จิตใจรักพระนิพพานเป็นอารมณ์ ถึงแม้ศีลหรือกรรมบถ ๑๐ จะบกพร่องบ้างก็ตาม ถ้าจิตคิดอย่างนี้อยู่ ตายแล้วไม่ลงอบายภูมิแน่ ก็ไปสวรรค์ ถ้าไปสวรรค์แล้วภายในไม่ช้าถ้าไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เทวดาหรือนางฟ้าชั้นดาวดึงส์นี่มีอายุ ๑๐๐๐ ปีทิพย์ จะมีอายุในดาวดึงส์ไม่ถึง ๓๐๐ปีทิพย์ #พระศรีอาริย์ฯก็จะตรัสเป็นพระพุทธเจ้า ตอนนั้นขณะที่ท่านเป็นเทวดาเป็นนางฟ้า ได้ฟังเทศน์เพียงครั้งเดียวในชีวิตก็สามารถเป็นพระอรหันต์ได้

    นี่ขอบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย จงอย่าคิดว่าคนอย่างเราไม่มีบุญ ถ้าไม่มีบุญจริงๆ ญาติโยมทั้งหลายมานั่งอยู่ตรงนี้ไม่ได้ ทนไม่ได้เพราะมันเมื่อย เหยียดแข้งเหยียดขาก็ไม่ออก นังก็แสนจะลำบาก อาศัยบุญบารมีเก่าของท่านดีมากจึงสามารถมาทนนั่งอย่างนี้ได้ และตั้งใจโดยเฉพาะว่าเราต้องการบุญกุศล โดยเฉพาะอย่างยิ่งวันนี้พูดเรื่องพระโสดาบันและนิพพาน และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง #สำหรับบุคคลใดยังต้องเกิดพระศรีอาริย์ฯท่านเคยบอกฝากไว้ #บอกว่าคนของผมอยู่ในระหว่างของท่านหลายแสนคน #คนที่เกิดทันสมัยท่านบำเพ็ญบารมีมาด้วยกันนะประมาณ๓แสนคน #ผมฝากด้วยขอให้ทุกคนรักษากรรมบถ ๑๐ให้ครบถ้วนทุกวัน

    ถ้าเป็นการบังเอิญครบถ้วนทุกวันไม่ได้ วันปกติบกพร่องบ้างก็ตาม แต่ว่าวันพระอย่าให้บกพร่อง วันพระต้องเต็ม อย่างนี้คนพวกนั้นจะเกิดทันสมัยผม และฟังเทศน์เพียงครั้งเดียว ถ้าอย่างอ่อนฟังเทศน์ครั้งแรกก็เป็นพระโสดาบัน ถ้ารักษากรรมบถ ๑๐ ได้ครบถ้วนตลอดวันทุกวัน ทั้งวันดีวันพระอย่างนี้ฟังเทศน์จบจะเป็นพระอรหันต์ทันที ก็รวมความว่าบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายโดยทั่วหน้า ที่มานั่งวันนี้ตรงนี้ทุกคนก็เป็นคนมีบุญ บุญเก่าทำมาแล้วมากจึงสามารถมานั่งได้ ต่อไปก็ตั้งใจหวังโดยเฉพาะว่าเราต้องการพระนิพพาน

    เอาล่ะบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย เสียงก็ไปไม่ไหว ขอทุกท่านตั้งใจสมาทานศีล สมาทานพระกรรมฐาน

    จากหนังสือธรรมปฏิบัติ ๓๘ หน้าที่๘๒~๘๓
    #จงอย่าคิดว่าคนอย่างเราไม่มีบุญ #แต่ว่าถ้าสมัยนี้บรรดาท่านพุทธบริษัทคนใดมีจิตใจมุ่งหวังพระนิพพานเป็นอารมณ์ #หากว่าท่านเป็นพระโสดาบันก็ดีหรือยังไม่เป็นพระโสดาบันก็ตาม #พยายามมีความเคารพพระพุทธเจ้า #พระธรรม #พระอริยสงฆ์ #ให้มั่นคงนึกถึงความตายไว้เป็นปกติ #ว่าชีวิตมันต้องตายแต่ว่าถ้าตายเมื่อไรขอไปนิพพานเมื่อนั้น #จิตใจรักพระนิพพานเป็นอารมณ์ ถึงแม้ศีลหรือกรรมบถ ๑๐ จะบกพร่องบ้างก็ตาม ถ้าจิตคิดอย่างนี้อยู่ ตายแล้วไม่ลงอบายภูมิแน่ ก็ไปสวรรค์ ถ้าไปสวรรค์แล้วภายในไม่ช้าถ้าไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ เทวดาหรือนางฟ้าชั้นดาวดึงส์นี่มีอายุ ๑๐๐๐ ปีทิพย์ จะมีอายุในดาวดึงส์ไม่ถึง ๓๐๐ปีทิพย์ #พระศรีอาริย์ฯก็จะตรัสเป็นพระพุทธเจ้า ตอนนั้นขณะที่ท่านเป็นเทวดาเป็นนางฟ้า ได้ฟังเทศน์เพียงครั้งเดียวในชีวิตก็สามารถเป็นพระอรหันต์ได้ นี่ขอบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย จงอย่าคิดว่าคนอย่างเราไม่มีบุญ ถ้าไม่มีบุญจริงๆ ญาติโยมทั้งหลายมานั่งอยู่ตรงนี้ไม่ได้ ทนไม่ได้เพราะมันเมื่อย เหยียดแข้งเหยียดขาก็ไม่ออก นังก็แสนจะลำบาก อาศัยบุญบารมีเก่าของท่านดีมากจึงสามารถมาทนนั่งอย่างนี้ได้ และตั้งใจโดยเฉพาะว่าเราต้องการบุญกุศล โดยเฉพาะอย่างยิ่งวันนี้พูดเรื่องพระโสดาบันและนิพพาน และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง #สำหรับบุคคลใดยังต้องเกิดพระศรีอาริย์ฯท่านเคยบอกฝากไว้ #บอกว่าคนของผมอยู่ในระหว่างของท่านหลายแสนคน #คนที่เกิดทันสมัยท่านบำเพ็ญบารมีมาด้วยกันนะประมาณ๓แสนคน #ผมฝากด้วยขอให้ทุกคนรักษากรรมบถ ๑๐ให้ครบถ้วนทุกวัน ถ้าเป็นการบังเอิญครบถ้วนทุกวันไม่ได้ วันปกติบกพร่องบ้างก็ตาม แต่ว่าวันพระอย่าให้บกพร่อง วันพระต้องเต็ม อย่างนี้คนพวกนั้นจะเกิดทันสมัยผม และฟังเทศน์เพียงครั้งเดียว ถ้าอย่างอ่อนฟังเทศน์ครั้งแรกก็เป็นพระโสดาบัน ถ้ารักษากรรมบถ ๑๐ ได้ครบถ้วนตลอดวันทุกวัน ทั้งวันดีวันพระอย่างนี้ฟังเทศน์จบจะเป็นพระอรหันต์ทันที ก็รวมความว่าบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายโดยทั่วหน้า ที่มานั่งวันนี้ตรงนี้ทุกคนก็เป็นคนมีบุญ บุญเก่าทำมาแล้วมากจึงสามารถมานั่งได้ ต่อไปก็ตั้งใจหวังโดยเฉพาะว่าเราต้องการพระนิพพาน เอาล่ะบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย เสียงก็ไปไม่ไหว ขอทุกท่านตั้งใจสมาทานศีล สมาทานพระกรรมฐาน จากหนังสือธรรมปฏิบัติ ๓๘ หน้าที่๘๒~๘๓
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 758 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทำบุญออนไลน์ >>> วันที่ 1,576
    วันอังคาร: ขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือน ๑๒ ปีมะโรง
    วันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๗ (12 November 2024)

    Photo Album 1/2
    ทอดกฐินสามัคคี 20 วัด เป็นเงิน 400 บาท
    01. วัดป่าดอยแสงธรรม อ.เวียงเก่า จ.ขอนแก่น
    (ทอดกฐินสามัคคี 12 พ.ย.67)
    02. วัดนาหลวง อ.คูเมือง จ.บุรีรัมย์
    (ทอดกฐินสามัคคี 13 พ.ย.67)
    03. วัดต๊ำม่อน อ.เมือง จ.พะเยา
    (ทอดกฐินสามัคคี 14 พ.ย.67)
    04. วัดทิพยรัฐนิมิตร อ.เมือง จ.อุดรธานี
    (ทอดกฐินสามัคคี 14 พ.ย.67)
    05. วัดป่าตึง อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่
    (ทอดกฐินสามัคคี 14 พ.ย.67)
    06. วัดป่าโสมภาส อ.เมือง จ.มหาสารคาม
    (ทอดกฐินสามัคคี 14 พ.ย.67)
    07. วัดพระธรรมจาริกนากอก อ.บ่อเกลือ จ.น่าน
    (ทอดกฐินสามัคคี 14 พ.ย.67)
    08. วัดล่องกอขาม อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่
    (ทอดกฐินสามัคคี 14 พ.ย.67)
    09. วัดลำกระโดน อ.วังทอง จ.พิษณุโลก
    (ทอดกฐินสามัคคี 14 พ.ย.67)
    10. วัดวังฆ้อง อ.จุฬาภรณ์ จ.นครศรีธรรมราช
    (ทอดกฐินสามัคคี 14 พ.ย.67)
    #โอนเงินทำบุญโดยคุณณรงค์
    คำนวณเวลาที่ยังเหลืออยู่ในชาตินี้ = 26 ปี 92 วัน
    I am willing to depart this life at the age of 75.
    ทำบุญออนไลน์ >>> วันที่ 1,576 วันอังคาร: ขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือน ๑๒ ปีมะโรง วันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๗ (12 November 2024) Photo Album 1/2 ทอดกฐินสามัคคี 20 วัด เป็นเงิน 400 บาท 01. วัดป่าดอยแสงธรรม อ.เวียงเก่า จ.ขอนแก่น (ทอดกฐินสามัคคี 12 พ.ย.67) 02. วัดนาหลวง อ.คูเมือง จ.บุรีรัมย์ (ทอดกฐินสามัคคี 13 พ.ย.67) 03. วัดต๊ำม่อน อ.เมือง จ.พะเยา (ทอดกฐินสามัคคี 14 พ.ย.67) 04. วัดทิพยรัฐนิมิตร อ.เมือง จ.อุดรธานี (ทอดกฐินสามัคคี 14 พ.ย.67) 05. วัดป่าตึง อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ (ทอดกฐินสามัคคี 14 พ.ย.67) 06. วัดป่าโสมภาส อ.เมือง จ.มหาสารคาม (ทอดกฐินสามัคคี 14 พ.ย.67) 07. วัดพระธรรมจาริกนากอก อ.บ่อเกลือ จ.น่าน (ทอดกฐินสามัคคี 14 พ.ย.67) 08. วัดล่องกอขาม อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ (ทอดกฐินสามัคคี 14 พ.ย.67) 09. วัดลำกระโดน อ.วังทอง จ.พิษณุโลก (ทอดกฐินสามัคคี 14 พ.ย.67) 10. วัดวังฆ้อง อ.จุฬาภรณ์ จ.นครศรีธรรมราช (ทอดกฐินสามัคคี 14 พ.ย.67) #โอนเงินทำบุญโดยคุณณรงค์ คำนวณเวลาที่ยังเหลืออยู่ในชาตินี้ = 26 ปี 92 วัน I am willing to depart this life at the age of 75.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 474 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทำบุญออนไลน์ >>> วันที่ 1,576
    วันอังคาร: ขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือน ๑๒ ปีมะโรง
    วันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๗ (12 November 2024)

    Photo Album 1/2
    ทอดกฐินสามัคคี 20 วัด เป็นเงิน 400 บาท
    01. วัดป่าดอยแสงธรรม อ.เวียงเก่า จ.ขอนแก่น
    (ทอดกฐินสามัคคี 12 พ.ย.67)
    02. วัดนาหลวง อ.คูเมือง จ.บุรีรัมย์
    (ทอดกฐินสามัคคี 13 พ.ย.67)
    03. วัดต๊ำม่อน อ.เมือง จ.พะเยา
    (ทอดกฐินสามัคคี 14 พ.ย.67)
    04. วัดทิพยรัฐนิมิตร อ.เมือง จ.อุดรธานี
    (ทอดกฐินสามัคคี 14 พ.ย.67)
    05. วัดป่าตึง อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่
    (ทอดกฐินสามัคคี 14 พ.ย.67)
    06. วัดป่าโสมภาส อ.เมือง จ.มหาสารคาม
    (ทอดกฐินสามัคคี 14 พ.ย.67)
    07. วัดพระธรรมจาริกนากอก อ.บ่อเกลือ จ.น่าน
    (ทอดกฐินสามัคคี 14 พ.ย.67)
    08. วัดล่องกอขาม อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่
    (ทอดกฐินสามัคคี 14 พ.ย.67)
    09. วัดลำกระโดน อ.วังทอง จ.พิษณุโลก
    (ทอดกฐินสามัคคี 14 พ.ย.67)
    10. วัดวังฆ้อง อ.จุฬาภรณ์ จ.นครศรีธรรมราช
    (ทอดกฐินสามัคคี 14 พ.ย.67)
    #โอนเงินทำบุญโดยคุณณรงค์
    คำนวณเวลาที่ยังเหลืออยู่ในชาตินี้ = 26 ปี 92 วัน
    I am willing to depart this life at the age of 75.
    ทำบุญออนไลน์ >>> วันที่ 1,576 วันอังคาร: ขึ้น ๑๒ ค่ำ เดือน ๑๒ ปีมะโรง วันที่ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๗ (12 November 2024) Photo Album 1/2 ทอดกฐินสามัคคี 20 วัด เป็นเงิน 400 บาท 01. วัดป่าดอยแสงธรรม อ.เวียงเก่า จ.ขอนแก่น (ทอดกฐินสามัคคี 12 พ.ย.67) 02. วัดนาหลวง อ.คูเมือง จ.บุรีรัมย์ (ทอดกฐินสามัคคี 13 พ.ย.67) 03. วัดต๊ำม่อน อ.เมือง จ.พะเยา (ทอดกฐินสามัคคี 14 พ.ย.67) 04. วัดทิพยรัฐนิมิตร อ.เมือง จ.อุดรธานี (ทอดกฐินสามัคคี 14 พ.ย.67) 05. วัดป่าตึง อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ (ทอดกฐินสามัคคี 14 พ.ย.67) 06. วัดป่าโสมภาส อ.เมือง จ.มหาสารคาม (ทอดกฐินสามัคคี 14 พ.ย.67) 07. วัดพระธรรมจาริกนากอก อ.บ่อเกลือ จ.น่าน (ทอดกฐินสามัคคี 14 พ.ย.67) 08. วัดล่องกอขาม อ.สันกำแพง จ.เชียงใหม่ (ทอดกฐินสามัคคี 14 พ.ย.67) 09. วัดลำกระโดน อ.วังทอง จ.พิษณุโลก (ทอดกฐินสามัคคี 14 พ.ย.67) 10. วัดวังฆ้อง อ.จุฬาภรณ์ จ.นครศรีธรรมราช (ทอดกฐินสามัคคี 14 พ.ย.67) #โอนเงินทำบุญโดยคุณณรงค์ คำนวณเวลาที่ยังเหลืออยู่ในชาตินี้ = 26 ปี 92 วัน I am willing to depart this life at the age of 75.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 530 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทอดกฐินวัดคีรีวัน นครนายก โดยคณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกาย บูชาธรรม80ปี หลวงพ่อธัมมชโย #กฐิน30000วัดทั่วไทย

    น้อมถวายบุญกิริยาทั้งปวงนี้เป็นพุทธบูชาแด่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ถวายบุญนี้แด่มหาปูชนียจารย์ฯ

    เอาบุญมาฝากคุณพ่อคุณแม่หมู่ญาติ ผู้มีคุณทุกท่าน และกัลยาณมิตรทุกท่านนะครับ 😍

    #ตัวแทนพลังบุญ
    #ที่ปรึกษาประกันชีวิตและประกันวินาศภัย
    #ประกันชีวิตควบการลงทุน
    #ที่ปรึกษาการลงทุน
    #ประสบการณ์ด้านการประกันกว่า20ปี
    #ThaiTimes
    ทอดกฐินวัดคีรีวัน นครนายก โดยคณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกาย บูชาธรรม80ปี หลวงพ่อธัมมชโย #กฐิน30000วัดทั่วไทย น้อมถวายบุญกิริยาทั้งปวงนี้เป็นพุทธบูชาแด่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ถวายบุญนี้แด่มหาปูชนียจารย์ฯ เอาบุญมาฝากคุณพ่อคุณแม่หมู่ญาติ ผู้มีคุณทุกท่าน และกัลยาณมิตรทุกท่านนะครับ 😍 #ตัวแทนพลังบุญ #ที่ปรึกษาประกันชีวิตและประกันวินาศภัย #ประกันชีวิตควบการลงทุน #ที่ปรึกษาการลงทุน #ประสบการณ์ด้านการประกันกว่า20ปี #ThaiTimes
    Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 721 มุมมอง 0 รีวิว
  • #การบูชาพระ

    การบูชาพระนี่จะสวดมนต์น้อย สวดมนต์มาก อันนี้ไม่สำคัญ
    🌸จะว่าเพียง นะโมตัสสะ
    🌸หรือ พุทธัง ธัมมัง สังฆัง จบเท่านี้ก็ใช้ได้
    หรืออย่างดีที่สุดจะต่อ
    🌸อิติปิ โส สักจบก็ดีมาก

    #แต่ว่าเวลาบูชาพระจริงๆ #ให้ตั้งใจเคารพพระพุทธเจ้าจริงๆ

    🌟นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ อย่างนี้แปลว่า
    🎯ข้าพเจ้าขอนมัสการองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพระอรหันต์พระองค์นั้น คือไหว้พระพุทธเจ้า

    🌟พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ที่แปลว่า
    🎯ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง

    🌟ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ
    🎯ข้าพเจ้าขอถึงพระธรรมเป็นที่พึ่ง

    🌟สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ
    🎯ขอถึงพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง เท่านี้ก็ได้นะ

    ถ้าจะมากกว่านี้ก็ได้ ตั้งใจเคารพด้วยความจริงใจ

    🏵#หากว่าท่านทำอย่างนี้ทุกวัน🏵#ถ้าวันไหนถึงเวลาแล้วไม่ได้บูชาพระ ⛔️#เกิดความห่วงว่าวันนี้ไม่ได้บูชาพระ

    ❣️#ถ้าจิตถึงระดับนี้❣️
    ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทโปรดทราบว่า #เวลานี้จิตของท่านเป็นฌานในพุทธานุสสติ #ธัมมานุสสติ #สังฆานุสสติ แล้ว

    🌟#ถ้าจิตเป็นฌานอย่างนี้ท่านตกนรกไม่ได้‼️ ต้องใช้วิธีง่ายๆ

    📖 จากหนังสือ ธรรมปฏิบัติ เล่มที่ ๕ หน้าที่ ๘๐
    #การบูชาพระ การบูชาพระนี่จะสวดมนต์น้อย สวดมนต์มาก อันนี้ไม่สำคัญ 🌸จะว่าเพียง นะโมตัสสะ 🌸หรือ พุทธัง ธัมมัง สังฆัง จบเท่านี้ก็ใช้ได้ หรืออย่างดีที่สุดจะต่อ 🌸อิติปิ โส สักจบก็ดีมาก #แต่ว่าเวลาบูชาพระจริงๆ #ให้ตั้งใจเคารพพระพุทธเจ้าจริงๆ 🌟นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ อย่างนี้แปลว่า 🎯ข้าพเจ้าขอนมัสการองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นพระอรหันต์พระองค์นั้น คือไหว้พระพุทธเจ้า 🌟พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ ที่แปลว่า 🎯ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง 🌟ธัมมัง สะระณัง คัจฉามิ 🎯ข้าพเจ้าขอถึงพระธรรมเป็นที่พึ่ง 🌟สังฆัง สะระณัง คัจฉามิ 🎯ขอถึงพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง เท่านี้ก็ได้นะ ถ้าจะมากกว่านี้ก็ได้ ตั้งใจเคารพด้วยความจริงใจ 🏵#หากว่าท่านทำอย่างนี้ทุกวัน🏵#ถ้าวันไหนถึงเวลาแล้วไม่ได้บูชาพระ ⛔️#เกิดความห่วงว่าวันนี้ไม่ได้บูชาพระ ❣️#ถ้าจิตถึงระดับนี้❣️ ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทโปรดทราบว่า #เวลานี้จิตของท่านเป็นฌานในพุทธานุสสติ #ธัมมานุสสติ #สังฆานุสสติ แล้ว 🌟#ถ้าจิตเป็นฌานอย่างนี้ท่านตกนรกไม่ได้‼️ ต้องใช้วิธีง่ายๆ 📖 จากหนังสือ ธรรมปฏิบัติ เล่มที่ ๕ หน้าที่ ๘๐
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 435 มุมมอง 0 รีวิว
  • กำหนดการพิธีฌาปนกิจ
    คุณโสภณ องค์การณ์
    ณ วัดโสมนัสราชวรวิหาร ศาลา ๑๐
    วันอังคารที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๖๗
    ๑๐.๐๐ น. พระสงฆ์แสดงพระธรรมเทศนา
    ๑๐.๓๐ น. พระสงฆ์สวดพระพุทธมนต์
    ๑๑.๐๐ น. ถวายภัตตาหารเพล
    ๑๓.๐๐ น.
    เวียนเมรุ
    ๑๓.๓๐ น. อ่านประวัติผู้วายชนม์
    ทอดผ้าบังสกุล
    ยืนไว้อาลัย
    ๑๔.๐๐ น. ประชุมเพลิง
    เรียนเชิญด้วยความเคารพนับถือ
    (เจ้าภาพขออภัยที่มิได้มาเรียนเชิญด้วยตนเอง)

    #Thaitimes
    กำหนดการพิธีฌาปนกิจ คุณโสภณ องค์การณ์ ณ วัดโสมนัสราชวรวิหาร ศาลา ๑๐ วันอังคารที่ ๒๙ ตุลาคม ๒๕๖๗ ๑๐.๐๐ น. พระสงฆ์แสดงพระธรรมเทศนา ๑๐.๓๐ น. พระสงฆ์สวดพระพุทธมนต์ ๑๑.๐๐ น. ถวายภัตตาหารเพล ๑๓.๐๐ น. เวียนเมรุ ๑๓.๓๐ น. อ่านประวัติผู้วายชนม์ ทอดผ้าบังสกุล ยืนไว้อาลัย ๑๔.๐๐ น. ประชุมเพลิง เรียนเชิญด้วยความเคารพนับถือ (เจ้าภาพขออภัยที่มิได้มาเรียนเชิญด้วยตนเอง) #Thaitimes
    Sad
    Like
    Love
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 673 มุมมอง 0 รีวิว
  • อุทัยธานี จัดงานตักบาตรเทโว ตามประเพณีชุมชน และชาวบ้าน พิธี บวงสรวงยกช่อฟ้าอุโบสถ และพิธียกดอกบัว ทองเหลือง5ดอก
    เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2567 เวลา 09:00น. วัดถ้ำเขาวง อ.บ้านไร่ จ.อุทัยธานี จัดงานตักบาตรเทโว ตามประเพณีชุมชน และชาวบ้าน พิธี บวงสรวงยกช่อฟ้าอุโบสถ และพิธียกดอกบัว ทองเหลือง5ดอก ปิดทองพระบาทและแห่ผ้าห่มพระองค์นอนองค์ใหญ่ 21เมตร โดยพระธรรมวชิรเมธี เจ้าคณะ1 เจ้าอาวาสวัดหงส์รัตนารามราชวิหาร กรุงเทพมหานคร มีคณะเจ้าภาพ ท่านนพพดล พลเสน รมต.จองชัย เที่ยงธรรม พล.ต.อ.สถาพร หลาวทอง พล.ต.อ.ชัลวาล สุขสมจิตร์ พลเรือเอก ปรีชาญ จามเจริญ และประชาชนทั่วไป ร่วมงานเป็นจำนวนมาก
    สมพงษ์ ณรงค์มี ผู้สื่อข่าว นสพ.ประชาไทนิวส์ออนไลน์อุทัยธานี รายงาน
    อุทัยธานี จัดงานตักบาตรเทโว ตามประเพณีชุมชน และชาวบ้าน พิธี บวงสรวงยกช่อฟ้าอุโบสถ และพิธียกดอกบัว ทองเหลือง5ดอก เมื่อวันที่ 26 ตุลาคม 2567 เวลา 09:00น. วัดถ้ำเขาวง อ.บ้านไร่ จ.อุทัยธานี จัดงานตักบาตรเทโว ตามประเพณีชุมชน และชาวบ้าน พิธี บวงสรวงยกช่อฟ้าอุโบสถ และพิธียกดอกบัว ทองเหลือง5ดอก ปิดทองพระบาทและแห่ผ้าห่มพระองค์นอนองค์ใหญ่ 21เมตร โดยพระธรรมวชิรเมธี เจ้าคณะ1 เจ้าอาวาสวัดหงส์รัตนารามราชวิหาร กรุงเทพมหานคร มีคณะเจ้าภาพ ท่านนพพดล พลเสน รมต.จองชัย เที่ยงธรรม พล.ต.อ.สถาพร หลาวทอง พล.ต.อ.ชัลวาล สุขสมจิตร์ พลเรือเอก ปรีชาญ จามเจริญ และประชาชนทั่วไป ร่วมงานเป็นจำนวนมาก สมพงษ์ ณรงค์มี ผู้สื่อข่าว นสพ.ประชาไทนิวส์ออนไลน์อุทัยธานี รายงาน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 232 มุมมอง 0 รีวิว
  • ส่วนของงานกฐินนั้น ที่สำคัญอีกอย่างก็คือผู้ครองผ้ากฐิน ถ้าว่ากันโดยพระธรรมวินัยแล้ว ท่านให้บุคคลที่มีจีวรเก่าที่สุดในวัดได้ผ้านั้นไป แต่ว่าระยะหลัง ส่วนใหญ่เจ้าอาวาสมักจะเป็นผู้ครองผ้ากฐิน

    เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะ บางท่านถือว่าผู้ครองกฐินจึงมีสิทธิ์ที่จะรับบริวารกฐินทั้งหมด ผู้อื่นไม่มีสิทธิ์รับ เจ้าอาวาสก็เลยมักจะครองกฐินเสียเอง แต่ความจริงแล้วเป็นการเข้าใจผิด เพราะว่าบางวัดมีพระไม่ครบ ๕ รูป ไม่สามารถที่จะรับกฐินได้ ต้องไปยืมพระวัดอื่นมา

    การไปยืมพระวัดอื่นมานั้น พระวัดอื่นที่มานั้น ไม่มีสิทธิ์ไม่มีส่วนในกฐินนั้นทั้งสิ้น ให้เฉพาะบุคคลที่จำพรรษาในวัดนั้นเท่านั้น ดังนั้น...จึงมีการเข้าใจผิดกันว่า ถ้าไม่ครองกฐินแล้วจะไม่มีโอกาสได้รับบริวารกฐิน ซึ่งก็คือไม่มีสิทธิ์รับเงิน ก็ขอให้เข้าใจให้ถูกเสียใหม่

    สำหรับวัดท่าขนุนของเรานั้น ครองกฐินกันไปตามอายุพรรษา ก็คือถ้าปีนี้ไปถึงใคร ปีหน้าท่านถัดไปก็จะรู้เองว่าถึงคิวของตนเองครองกฐินแล้ว สำหรับผู้ครองกฐินนั้นต้องรับภาระหนัก เพราะว่าต้องเป็นผู้รักษาผ้าครองแทนพระทั้งวัด ในเมื่อเป็นผู้รักษาผ้าครองแทนพระทั้งวัด บุคคลที่ได้อานิสงส์กฐินสามารถผ่อนคลายสิกขาบทได้หลายข้อ พูดง่าย ๆ ก็คือ ละเว้นให้ไม่ต้องรักษาศีลหลายข้อ อย่างเช่นว่าการเที่ยวไปโดยไม่ต้องบอกลา ซึ่งปกติแล้ววัดท่าขนุนของเราไม่ยอมให้ไปโดยไม่ต้องบอกลา ออกจากวัดไปไหนจะต้องลาทุกคน อานิสงส์กฐินข้อนี้จึงไม่มีประโยชน์สำหรับพระวัดท่าขนุน

    สามารถฉันคณะโภชนาได้ ก็คือโดยปกติแล้ว ถ้าญาติโยมบอกว่านำอาหารอะไรมาถวายพระ พระไม่สามารถที่จะฉันรวมกันตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไปได้ เพราะว่าเป็นการผิดพระวินัย สาเหตุมาจากสมัยพุทธกาล เมื่อมหาเศรษฐีท่านบอกว่าจะถวายภัตตาหารอะไร พอเป็นอาหารที่ประณีต มีรสดี บรรดาพระก็แห่กันไปจนเขาเลี้ยงไม่ไหว พระพุทธเจ้าจึงต้องตรัสห้ามไว้ว่า ถ้าเป็นอาหารที่เจ้าภาพออกชื่อ ให้ฉันได้ไม่เกิน ๓ รูปเท่านั้น ถ้าถึงรูปที่ ๔ ขึ้นไปเรียกว่าคณะ ถ้าฉันคณะโภชนาแบบนั้น โดนปรับอาบัติทุกคำที่กลืนลงไป ก็แปลว่าศีลขาดทุกคำที่กลืน แต่หากว่ารับกฐินแล้วสามารถฉันคณะโภชนาได้

    ลำดับต่อไป คือ ฉันปรัมปรโภชนาได้ คำว่า ปรัมประ ก็คือฉันจากที่หนึ่งแล้วไปฉันอีกที่หนึ่ง ซึ่งโดยปกติแล้วที่พระพุทธเจ้าทรงห้ามไว้ เพราะเกรงว่าจะฉันได้น้อย บางทีเจ้าภาพเขาก็เสียใจ แต่เรื่องนี้ไม่ต้องมาใช้กับอาตมา เพราะว่าฉันน้อยเป็นปกติอยู่แล้ว

    ข้อต่อไปท่านบอกว่า ไปไหนไม่ต้องเอาจีวรไปครบสำรับ เพราะว่ามีผู้ครองกฐินรักษาผ้าแทนเราแล้ว

    ข้อสุดท้าย ก็คือ จีวรที่เกิดขึ้นไม่ต้องทำวิกัปเป็น ๒ เจ้าของ สามารถที่จะใช้เป็นของตนเองได้เลย

    ในเมื่ออานิสงส์กฐินสามารถผ่อนคลายสิกขาบทได้หลายข้อ แต่ผู้ที่ครองกฐินจะไม่ได้อานิสงส์นี้ เพราะว่าต้องรักษาผ้ากฐินแทนผู้อื่นทั้งวัด ถ้าทำผ้าขาดครองก็ทำให้ขาดอานิสงส์กฐินทั้งวัดเหมือนกัน

    ดังนั้น...ในส่วนของผู้ครองกฐินจึงสำคัญมาก เพราะว่าห้ามเผลออย่างเด็ดขาด และอานิสงส์กฐินนี้จะมีแค่กลางเดือน ๔ เท่านั้น ถ้าท่านจำพรรษาแล้วไม่ได้รับกฐิน ได้รับอานิสงส์ ๑ เดือน ก็คือตั้งแต่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ถึงกลางเดือน ๑๒ ถ้าจำพรรษาแล้วได้รับกฐิน ท่านขยายเวลาให้ถึงกลางเดือน ๔ ก็คือเพิ่มขึ้นมาอีก ๔ เดือน แต่อาตมาไม่เคยใช้อานิสงส์กฐิน เพราะว่าอานิสงส์กฐินนั้น ถ้าเผลอเราจะมักง่าย ไปไหนเอาจีวรไปครบไตรก็ไม่ได้หนักหนาสาหัสจนเกินไป จีวรชุดหนึ่งก็ใช้ได้หลายปี

    ขณะเดียวกันเรื่องของคณะโภชนา ปรัมปรโภชนานั้น ถ้าเราเผลอตัวเมื่อไร เกินกลางเดือน ๔ ไปก็จะโดนอาบัติ การไปไหนปกติก็ต้องบอกอยู่แล้วว่าไปไหน เพื่อที่เจ้าอาวาสหรือเพื่อนฝูงจะได้รู้ มีอะไรเร่งด่วนจะได้ตามตัวกันได้

    เมื่อเป็นเช่นนั้น อาตมาบวชมา ๓๐ กว่าปีไม่เคยใช้อานิสงส์กฐินเลย พูดง่าย ๆ ว่าไม่ต้องรอให้กฐินเดาะ แต่เป็นคนเดาะกฐินเสียเอง แต่ว่าในส่วนอื่น บุคคลอื่น โดยเฉพาะพระอื่น ๆ ในวัดท่าขนุน อาตมาไม่ได้บังคับ ใครจะใช้อานิสงส์กฐินก็อย่าเผลอ ถ้าใครไม่ใช้อานิสงส์กฐินก็ขออนุโมทนาด้วย เนื่องเพราะว่าในเรื่องของศีลพระนั้น ไม่มีอะไรน่าหนักใจ ๒๒๗ ข้อก็สามารถรักษาได้ ทำไมต้องไปผ่อนใน ๔ - ๕ ข้อเหล่านั้น

    ในเรื่องของการขอกฐิน วัดท่าขนุนจะไม่มีเรื่องนี้ เนื่องเพราะว่าอาตมาจะตั้งกองกฐินขึ้นมาเอง หลังจากนั้นญาติโยมก็มาสมทบ ร่วมเป็นเจ้าภาพกฐินสามัคคีเท่านั้น เมื่อทราบเช่นนี้แล้ว ถ้ามีวัดใดมาขอกฐิน ญาติโยมจะเป็นเจ้าภาพจะเป็นอะไรก็ตาม ให้รู้ว่าบุญกฐินนั้นโยมได้ไปเต็ม ๆ แต่อานิสงส์กฐินสำหรับพระไม่มีใครได้เลย เพราะว่าในพระวินัยท่านห้ามขอกฐิน

    ญาติโยมที่อยากจะเป็นเจ้าภาพกฐิน ให้ไปปวารณาตนแจ้งต่อเจ้าอาวาสวัดใดวัดหนึ่งที่เราจะเอากฐินไปทอด ว่าเราขอเป็นเจ้าภาพทอดกฐิน ถ้าอย่างนั้นพระในวัดท่านถึงจะได้อานิสงส์กฐินไปเต็ม ๆ

    ในส่วนของการที่พระไปขอจากญาติโยม ก็คาดว่าเกิดจาก ๒ สาเหตุด้วยกัน
    สาเหตุแรก ก็คือ ไม่รู้ว่าในพระบาลีท่านห้ามขอกฐิน
    อย่างที่ ๒ ก็คือ แกล้งไม่รู้ เพราะว่าอยากได้กฐิน เนื่องจากว่าเจ้าภาพหลายรายมาปวารณากฐินกับอาตมาแล้วถามว่า ต้องการยอดปัจจัยเท่าไร ซึ่งถ้าเป็นวัดอื่น ๆ ก็อาจจะมีการบอกว่าเท่านั้นแสน เท่านี้ล้าน แต่สำหรับวัดท่าขนุน มีโยมถามอยู่ ๒ ปี ปีแรกที่ถาม อาตมาบอกว่าเอามา ๑๖ บาท เป็นเลขมงคลโสฬสสวยดี ปีถัดมาถามอีก บอกว่าเอามา ๙ บาทก็แล้วกัน ก็เป็นอันว่าจบกันแค่นั้น เนื่องจากว่ากฐินอยู่ที่ศรัทธาของโยม ไม่ใช่ว่าพระไปตั้งยอด แล้วให้โยมตะเกียกตะกายหามาด้วยความยากลำบาก

    เรื่องของพระธรรมวินัยแล้ว ส่วนใหญ่พระเณรสมัยนี้ไม่ค่อยที่จะเข้มงวดกัน อาจจะเป็นเพราะว่าพระอุปัชฌาย์อาจารย์ของท่านไม่ได้สั่งสอนไว้ ไม่ได้อบรมไว้ หรือไม่ก็ความที่อยากได้ยอดปัจจัยกฐินมาก ๆ ก็เลยต้องไปเที่ยวขอกฐินจากญาติโยมหลาย ๆ คน เพื่อให้มารวมกันทอด

    ในส่วนของกฐิน ขอย้ำอีกครั้งว่า อานิสงส์กฐิน สำคัญที่สุดตรงผ้าไตร จะเป็นผืนเดียว หรือครบไตรก็ตาม ถ้าไม่มีผ้าไตรก็ไม่เป็นกฐิน ถ้ามีผ้าไตรแล้วบริวารกฐินอื่นไม่จำเป็นต้องมีก็ได้

    เมื่อญาติโยมทราบแล้วจะได้รู้ว่า ในเรื่องของกฐินแต่โบราณมานั้น เขาเน้นกันเรื่องผ้าไตรครองสำหรับพระ แต่ปัจจุบันนี้ผิดเพี้ยนไป กลายเป็นว่าวัดไหนทำยอดเงินได้มาก ก็ถือว่าได้บุญมาก อย่าลืมว่าเงินเป็นแค่บริวารกฐินเท่านั้น ตัวบุญกฐินเต็ม ๆ อยู่ที่ผ้าไตรต่างหาก

    เมื่อญาติโยมได้ทราบในเรื่องของกฐิน ตลอดกระทั่งแบบธรรมเนียมในการปวารณาเป็นเจ้าภาพกฐิน หรือว่าในการถวายกฐินแล้ว ต่อไปก็จะได้ปฏิบัติกันได้ถูกต้อง
    ...................................
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน
    www.watthakhanun.com
    ส่วนของงานกฐินนั้น ที่สำคัญอีกอย่างก็คือผู้ครองผ้ากฐิน ถ้าว่ากันโดยพระธรรมวินัยแล้ว ท่านให้บุคคลที่มีจีวรเก่าที่สุดในวัดได้ผ้านั้นไป แต่ว่าระยะหลัง ส่วนใหญ่เจ้าอาวาสมักจะเป็นผู้ครองผ้ากฐิน เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะ บางท่านถือว่าผู้ครองกฐินจึงมีสิทธิ์ที่จะรับบริวารกฐินทั้งหมด ผู้อื่นไม่มีสิทธิ์รับ เจ้าอาวาสก็เลยมักจะครองกฐินเสียเอง แต่ความจริงแล้วเป็นการเข้าใจผิด เพราะว่าบางวัดมีพระไม่ครบ ๕ รูป ไม่สามารถที่จะรับกฐินได้ ต้องไปยืมพระวัดอื่นมา การไปยืมพระวัดอื่นมานั้น พระวัดอื่นที่มานั้น ไม่มีสิทธิ์ไม่มีส่วนในกฐินนั้นทั้งสิ้น ให้เฉพาะบุคคลที่จำพรรษาในวัดนั้นเท่านั้น ดังนั้น...จึงมีการเข้าใจผิดกันว่า ถ้าไม่ครองกฐินแล้วจะไม่มีโอกาสได้รับบริวารกฐิน ซึ่งก็คือไม่มีสิทธิ์รับเงิน ก็ขอให้เข้าใจให้ถูกเสียใหม่ สำหรับวัดท่าขนุนของเรานั้น ครองกฐินกันไปตามอายุพรรษา ก็คือถ้าปีนี้ไปถึงใคร ปีหน้าท่านถัดไปก็จะรู้เองว่าถึงคิวของตนเองครองกฐินแล้ว สำหรับผู้ครองกฐินนั้นต้องรับภาระหนัก เพราะว่าต้องเป็นผู้รักษาผ้าครองแทนพระทั้งวัด ในเมื่อเป็นผู้รักษาผ้าครองแทนพระทั้งวัด บุคคลที่ได้อานิสงส์กฐินสามารถผ่อนคลายสิกขาบทได้หลายข้อ พูดง่าย ๆ ก็คือ ละเว้นให้ไม่ต้องรักษาศีลหลายข้อ อย่างเช่นว่าการเที่ยวไปโดยไม่ต้องบอกลา ซึ่งปกติแล้ววัดท่าขนุนของเราไม่ยอมให้ไปโดยไม่ต้องบอกลา ออกจากวัดไปไหนจะต้องลาทุกคน อานิสงส์กฐินข้อนี้จึงไม่มีประโยชน์สำหรับพระวัดท่าขนุน สามารถฉันคณะโภชนาได้ ก็คือโดยปกติแล้ว ถ้าญาติโยมบอกว่านำอาหารอะไรมาถวายพระ พระไม่สามารถที่จะฉันรวมกันตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไปได้ เพราะว่าเป็นการผิดพระวินัย สาเหตุมาจากสมัยพุทธกาล เมื่อมหาเศรษฐีท่านบอกว่าจะถวายภัตตาหารอะไร พอเป็นอาหารที่ประณีต มีรสดี บรรดาพระก็แห่กันไปจนเขาเลี้ยงไม่ไหว พระพุทธเจ้าจึงต้องตรัสห้ามไว้ว่า ถ้าเป็นอาหารที่เจ้าภาพออกชื่อ ให้ฉันได้ไม่เกิน ๓ รูปเท่านั้น ถ้าถึงรูปที่ ๔ ขึ้นไปเรียกว่าคณะ ถ้าฉันคณะโภชนาแบบนั้น โดนปรับอาบัติทุกคำที่กลืนลงไป ก็แปลว่าศีลขาดทุกคำที่กลืน แต่หากว่ารับกฐินแล้วสามารถฉันคณะโภชนาได้ ลำดับต่อไป คือ ฉันปรัมปรโภชนาได้ คำว่า ปรัมประ ก็คือฉันจากที่หนึ่งแล้วไปฉันอีกที่หนึ่ง ซึ่งโดยปกติแล้วที่พระพุทธเจ้าทรงห้ามไว้ เพราะเกรงว่าจะฉันได้น้อย บางทีเจ้าภาพเขาก็เสียใจ แต่เรื่องนี้ไม่ต้องมาใช้กับอาตมา เพราะว่าฉันน้อยเป็นปกติอยู่แล้ว ข้อต่อไปท่านบอกว่า ไปไหนไม่ต้องเอาจีวรไปครบสำรับ เพราะว่ามีผู้ครองกฐินรักษาผ้าแทนเราแล้ว ข้อสุดท้าย ก็คือ จีวรที่เกิดขึ้นไม่ต้องทำวิกัปเป็น ๒ เจ้าของ สามารถที่จะใช้เป็นของตนเองได้เลย ในเมื่ออานิสงส์กฐินสามารถผ่อนคลายสิกขาบทได้หลายข้อ แต่ผู้ที่ครองกฐินจะไม่ได้อานิสงส์นี้ เพราะว่าต้องรักษาผ้ากฐินแทนผู้อื่นทั้งวัด ถ้าทำผ้าขาดครองก็ทำให้ขาดอานิสงส์กฐินทั้งวัดเหมือนกัน ดังนั้น...ในส่วนของผู้ครองกฐินจึงสำคัญมาก เพราะว่าห้ามเผลออย่างเด็ดขาด และอานิสงส์กฐินนี้จะมีแค่กลางเดือน ๔ เท่านั้น ถ้าท่านจำพรรษาแล้วไม่ได้รับกฐิน ได้รับอานิสงส์ ๑ เดือน ก็คือตั้งแต่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ถึงกลางเดือน ๑๒ ถ้าจำพรรษาแล้วได้รับกฐิน ท่านขยายเวลาให้ถึงกลางเดือน ๔ ก็คือเพิ่มขึ้นมาอีก ๔ เดือน แต่อาตมาไม่เคยใช้อานิสงส์กฐิน เพราะว่าอานิสงส์กฐินนั้น ถ้าเผลอเราจะมักง่าย ไปไหนเอาจีวรไปครบไตรก็ไม่ได้หนักหนาสาหัสจนเกินไป จีวรชุดหนึ่งก็ใช้ได้หลายปี ขณะเดียวกันเรื่องของคณะโภชนา ปรัมปรโภชนานั้น ถ้าเราเผลอตัวเมื่อไร เกินกลางเดือน ๔ ไปก็จะโดนอาบัติ การไปไหนปกติก็ต้องบอกอยู่แล้วว่าไปไหน เพื่อที่เจ้าอาวาสหรือเพื่อนฝูงจะได้รู้ มีอะไรเร่งด่วนจะได้ตามตัวกันได้ เมื่อเป็นเช่นนั้น อาตมาบวชมา ๓๐ กว่าปีไม่เคยใช้อานิสงส์กฐินเลย พูดง่าย ๆ ว่าไม่ต้องรอให้กฐินเดาะ แต่เป็นคนเดาะกฐินเสียเอง แต่ว่าในส่วนอื่น บุคคลอื่น โดยเฉพาะพระอื่น ๆ ในวัดท่าขนุน อาตมาไม่ได้บังคับ ใครจะใช้อานิสงส์กฐินก็อย่าเผลอ ถ้าใครไม่ใช้อานิสงส์กฐินก็ขออนุโมทนาด้วย เนื่องเพราะว่าในเรื่องของศีลพระนั้น ไม่มีอะไรน่าหนักใจ ๒๒๗ ข้อก็สามารถรักษาได้ ทำไมต้องไปผ่อนใน ๔ - ๕ ข้อเหล่านั้น ในเรื่องของการขอกฐิน วัดท่าขนุนจะไม่มีเรื่องนี้ เนื่องเพราะว่าอาตมาจะตั้งกองกฐินขึ้นมาเอง หลังจากนั้นญาติโยมก็มาสมทบ ร่วมเป็นเจ้าภาพกฐินสามัคคีเท่านั้น เมื่อทราบเช่นนี้แล้ว ถ้ามีวัดใดมาขอกฐิน ญาติโยมจะเป็นเจ้าภาพจะเป็นอะไรก็ตาม ให้รู้ว่าบุญกฐินนั้นโยมได้ไปเต็ม ๆ แต่อานิสงส์กฐินสำหรับพระไม่มีใครได้เลย เพราะว่าในพระวินัยท่านห้ามขอกฐิน ญาติโยมที่อยากจะเป็นเจ้าภาพกฐิน ให้ไปปวารณาตนแจ้งต่อเจ้าอาวาสวัดใดวัดหนึ่งที่เราจะเอากฐินไปทอด ว่าเราขอเป็นเจ้าภาพทอดกฐิน ถ้าอย่างนั้นพระในวัดท่านถึงจะได้อานิสงส์กฐินไปเต็ม ๆ ในส่วนของการที่พระไปขอจากญาติโยม ก็คาดว่าเกิดจาก ๒ สาเหตุด้วยกัน สาเหตุแรก ก็คือ ไม่รู้ว่าในพระบาลีท่านห้ามขอกฐิน อย่างที่ ๒ ก็คือ แกล้งไม่รู้ เพราะว่าอยากได้กฐิน เนื่องจากว่าเจ้าภาพหลายรายมาปวารณากฐินกับอาตมาแล้วถามว่า ต้องการยอดปัจจัยเท่าไร ซึ่งถ้าเป็นวัดอื่น ๆ ก็อาจจะมีการบอกว่าเท่านั้นแสน เท่านี้ล้าน แต่สำหรับวัดท่าขนุน มีโยมถามอยู่ ๒ ปี ปีแรกที่ถาม อาตมาบอกว่าเอามา ๑๖ บาท เป็นเลขมงคลโสฬสสวยดี ปีถัดมาถามอีก บอกว่าเอามา ๙ บาทก็แล้วกัน ก็เป็นอันว่าจบกันแค่นั้น เนื่องจากว่ากฐินอยู่ที่ศรัทธาของโยม ไม่ใช่ว่าพระไปตั้งยอด แล้วให้โยมตะเกียกตะกายหามาด้วยความยากลำบาก เรื่องของพระธรรมวินัยแล้ว ส่วนใหญ่พระเณรสมัยนี้ไม่ค่อยที่จะเข้มงวดกัน อาจจะเป็นเพราะว่าพระอุปัชฌาย์อาจารย์ของท่านไม่ได้สั่งสอนไว้ ไม่ได้อบรมไว้ หรือไม่ก็ความที่อยากได้ยอดปัจจัยกฐินมาก ๆ ก็เลยต้องไปเที่ยวขอกฐินจากญาติโยมหลาย ๆ คน เพื่อให้มารวมกันทอด ในส่วนของกฐิน ขอย้ำอีกครั้งว่า อานิสงส์กฐิน สำคัญที่สุดตรงผ้าไตร จะเป็นผืนเดียว หรือครบไตรก็ตาม ถ้าไม่มีผ้าไตรก็ไม่เป็นกฐิน ถ้ามีผ้าไตรแล้วบริวารกฐินอื่นไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ เมื่อญาติโยมทราบแล้วจะได้รู้ว่า ในเรื่องของกฐินแต่โบราณมานั้น เขาเน้นกันเรื่องผ้าไตรครองสำหรับพระ แต่ปัจจุบันนี้ผิดเพี้ยนไป กลายเป็นว่าวัดไหนทำยอดเงินได้มาก ก็ถือว่าได้บุญมาก อย่าลืมว่าเงินเป็นแค่บริวารกฐินเท่านั้น ตัวบุญกฐินเต็ม ๆ อยู่ที่ผ้าไตรต่างหาก เมื่อญาติโยมได้ทราบในเรื่องของกฐิน ตลอดกระทั่งแบบธรรมเนียมในการปวารณาเป็นเจ้าภาพกฐิน หรือว่าในการถวายกฐินแล้ว ต่อไปก็จะได้ปฏิบัติกันได้ถูกต้อง ................................... พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน www.watthakhanun.com
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 435 มุมมอง 0 รีวิว
  • ส่วนของงานกฐินนั้น ที่สำคัญอีกอย่างก็คือผู้ครองผ้ากฐิน ถ้าว่ากันโดยพระธรรมวินัยแล้ว ท่านให้บุคคลที่มีจีวรเก่าที่สุดในวัดได้ผ้านั้นไป แต่ว่าระยะหลัง ส่วนใหญ่เจ้าอาวาสมักจะเป็นผู้ครองผ้ากฐิน

    เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะ บางท่านถือว่าผู้ครองกฐินจึงมีสิทธิ์ที่จะรับบริวารกฐินทั้งหมด ผู้อื่นไม่มีสิทธิ์รับ เจ้าอาวาสก็เลยมักจะครองกฐินเสียเอง แต่ความจริงแล้วเป็นการเข้าใจผิด เพราะว่าบางวัดมีพระไม่ครบ ๕ รูป ไม่สามารถที่จะรับกฐินได้ ต้องไปยืมพระวัดอื่นมา

    การไปยืมพระวัดอื่นมานั้น พระวัดอื่นที่มานั้น ไม่มีสิทธิ์ไม่มีส่วนในกฐินนั้นทั้งสิ้น ให้เฉพาะบุคคลที่จำพรรษาในวัดนั้นเท่านั้น ดังนั้น...จึงมีการเข้าใจผิดกันว่า ถ้าไม่ครองกฐินแล้วจะไม่มีโอกาสได้รับบริวารกฐิน ซึ่งก็คือไม่มีสิทธิ์รับเงิน ก็ขอให้เข้าใจให้ถูกเสียใหม่

    สำหรับวัดท่าขนุนของเรานั้น ครองกฐินกันไปตามอายุพรรษา ก็คือถ้าปีนี้ไปถึงใคร ปีหน้าท่านถัดไปก็จะรู้เองว่าถึงคิวของตนเองครองกฐินแล้ว สำหรับผู้ครองกฐินนั้นต้องรับภาระหนัก เพราะว่าต้องเป็นผู้รักษาผ้าครองแทนพระทั้งวัด ในเมื่อเป็นผู้รักษาผ้าครองแทนพระทั้งวัด บุคคลที่ได้อานิสงส์กฐินสามารถผ่อนคลายสิกขาบทได้หลายข้อ พูดง่าย ๆ ก็คือ ละเว้นให้ไม่ต้องรักษาศีลหลายข้อ อย่างเช่นว่าการเที่ยวไปโดยไม่ต้องบอกลา ซึ่งปกติแล้ววัดท่าขนุนของเราไม่ยอมให้ไปโดยไม่ต้องบอกลา ออกจากวัดไปไหนจะต้องลาทุกคน อานิสงส์กฐินข้อนี้จึงไม่มีประโยชน์สำหรับพระวัดท่าขนุน

    สามารถฉันคณะโภชนาได้ ก็คือโดยปกติแล้ว ถ้าญาติโยมบอกว่านำอาหารอะไรมาถวายพระ พระไม่สามารถที่จะฉันรวมกันตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไปได้ เพราะว่าเป็นการผิดพระวินัย สาเหตุมาจากสมัยพุทธกาล เมื่อมหาเศรษฐีท่านบอกว่าจะถวายภัตตาหารอะไร พอเป็นอาหารที่ประณีต มีรสดี บรรดาพระก็แห่กันไปจนเขาเลี้ยงไม่ไหว พระพุทธเจ้าจึงต้องตรัสห้ามไว้ว่า ถ้าเป็นอาหารที่เจ้าภาพออกชื่อ ให้ฉันได้ไม่เกิน ๓ รูปเท่านั้น ถ้าถึงรูปที่ ๔ ขึ้นไปเรียกว่าคณะ ถ้าฉันคณะโภชนาแบบนั้น โดนปรับอาบัติทุกคำที่กลืนลงไป ก็แปลว่าศีลขาดทุกคำที่กลืน แต่หากว่ารับกฐินแล้วสามารถฉันคณะโภชนาได้

    ลำดับต่อไป คือ ฉันปรัมปรโภชนาได้ คำว่า ปรัมประ ก็คือฉันจากที่หนึ่งแล้วไปฉันอีกที่หนึ่ง ซึ่งโดยปกติแล้วที่พระพุทธเจ้าทรงห้ามไว้ เพราะเกรงว่าจะฉันได้น้อย บางทีเจ้าภาพเขาก็เสียใจ แต่เรื่องนี้ไม่ต้องมาใช้กับอาตมา เพราะว่าฉันน้อยเป็นปกติอยู่แล้ว

    ข้อต่อไปท่านบอกว่า ไปไหนไม่ต้องเอาจีวรไปครบสำรับ เพราะว่ามีผู้ครองกฐินรักษาผ้าแทนเราแล้ว

    ข้อสุดท้าย ก็คือ จีวรที่เกิดขึ้นไม่ต้องทำวิกัปเป็น ๒ เจ้าของ สามารถที่จะใช้เป็นของตนเองได้เลย

    ในเมื่ออานิสงส์กฐินสามารถผ่อนคลายสิกขาบทได้หลายข้อ แต่ผู้ที่ครองกฐินจะไม่ได้อานิสงส์นี้ เพราะว่าต้องรักษาผ้ากฐินแทนผู้อื่นทั้งวัด ถ้าทำผ้าขาดครองก็ทำให้ขาดอานิสงส์กฐินทั้งวัดเหมือนกัน

    ดังนั้น...ในส่วนของผู้ครองกฐินจึงสำคัญมาก เพราะว่าห้ามเผลออย่างเด็ดขาด และอานิสงส์กฐินนี้จะมีแค่กลางเดือน ๔ เท่านั้น ถ้าท่านจำพรรษาแล้วไม่ได้รับกฐิน ได้รับอานิสงส์ ๑ เดือน ก็คือตั้งแต่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ถึงกลางเดือน ๑๒ ถ้าจำพรรษาแล้วได้รับกฐิน ท่านขยายเวลาให้ถึงกลางเดือน ๔ ก็คือเพิ่มขึ้นมาอีก ๔ เดือน แต่อาตมาไม่เคยใช้อานิสงส์กฐิน เพราะว่าอานิสงส์กฐินนั้น ถ้าเผลอเราจะมักง่าย ไปไหนเอาจีวรไปครบไตรก็ไม่ได้หนักหนาสาหัสจนเกินไป จีวรชุดหนึ่งก็ใช้ได้หลายปี

    ขณะเดียวกันเรื่องของคณะโภชนา ปรัมปรโภชนานั้น ถ้าเราเผลอตัวเมื่อไร เกินกลางเดือน ๔ ไปก็จะโดนอาบัติ การไปไหนปกติก็ต้องบอกอยู่แล้วว่าไปไหน เพื่อที่เจ้าอาวาสหรือเพื่อนฝูงจะได้รู้ มีอะไรเร่งด่วนจะได้ตามตัวกันได้

    เมื่อเป็นเช่นนั้น อาตมาบวชมา ๓๐ กว่าปีไม่เคยใช้อานิสงส์กฐินเลย พูดง่าย ๆ ว่าไม่ต้องรอให้กฐินเดาะ แต่เป็นคนเดาะกฐินเสียเอง แต่ว่าในส่วนอื่น บุคคลอื่น โดยเฉพาะพระอื่น ๆ ในวัดท่าขนุน อาตมาไม่ได้บังคับ ใครจะใช้อานิสงส์กฐินก็อย่าเผลอ ถ้าใครไม่ใช้อานิสงส์กฐินก็ขออนุโมทนาด้วย เนื่องเพราะว่าในเรื่องของศีลพระนั้น ไม่มีอะไรน่าหนักใจ ๒๒๗ ข้อก็สามารถรักษาได้ ทำไมต้องไปผ่อนใน ๔ - ๕ ข้อเหล่านั้น

    ในเรื่องของการขอกฐิน วัดท่าขนุนจะไม่มีเรื่องนี้ เนื่องเพราะว่าอาตมาจะตั้งกองกฐินขึ้นมาเอง หลังจากนั้นญาติโยมก็มาสมทบ ร่วมเป็นเจ้าภาพกฐินสามัคคีเท่านั้น เมื่อทราบเช่นนี้แล้ว ถ้ามีวัดใดมาขอกฐิน ญาติโยมจะเป็นเจ้าภาพจะเป็นอะไรก็ตาม ให้รู้ว่าบุญกฐินนั้นโยมได้ไปเต็ม ๆ แต่อานิสงส์กฐินสำหรับพระไม่มีใครได้เลย เพราะว่าในพระวินัยท่านห้ามขอกฐิน

    ญาติโยมที่อยากจะเป็นเจ้าภาพกฐิน ให้ไปปวารณาตนแจ้งต่อเจ้าอาวาสวัดใดวัดหนึ่งที่เราจะเอากฐินไปทอด ว่าเราขอเป็นเจ้าภาพทอดกฐิน ถ้าอย่างนั้นพระในวัดท่านถึงจะได้อานิสงส์กฐินไปเต็ม ๆ

    ในส่วนของการที่พระไปขอจากญาติโยม ก็คาดว่าเกิดจาก ๒ สาเหตุด้วยกัน
    สาเหตุแรก ก็คือ ไม่รู้ว่าในพระบาลีท่านห้ามขอกฐิน
    อย่างที่ ๒ ก็คือ แกล้งไม่รู้ เพราะว่าอยากได้กฐิน เนื่องจากว่าเจ้าภาพหลายรายมาปวารณากฐินกับอาตมาแล้วถามว่า ต้องการยอดปัจจัยเท่าไร ซึ่งถ้าเป็นวัดอื่น ๆ ก็อาจจะมีการบอกว่าเท่านั้นแสน เท่านี้ล้าน แต่สำหรับวัดท่าขนุน มีโยมถามอยู่ ๒ ปี ปีแรกที่ถาม อาตมาบอกว่าเอามา ๑๖ บาท เป็นเลขมงคลโสฬสสวยดี ปีถัดมาถามอีก บอกว่าเอามา ๙ บาทก็แล้วกัน ก็เป็นอันว่าจบกันแค่นั้น เนื่องจากว่ากฐินอยู่ที่ศรัทธาของโยม ไม่ใช่ว่าพระไปตั้งยอด แล้วให้โยมตะเกียกตะกายหามาด้วยความยากลำบาก

    เรื่องของพระธรรมวินัยแล้ว ส่วนใหญ่พระเณรสมัยนี้ไม่ค่อยที่จะเข้มงวดกัน อาจจะเป็นเพราะว่าพระอุปัชฌาย์อาจารย์ของท่านไม่ได้สั่งสอนไว้ ไม่ได้อบรมไว้ หรือไม่ก็ความที่อยากได้ยอดปัจจัยกฐินมาก ๆ ก็เลยต้องไปเที่ยวขอกฐินจากญาติโยมหลาย ๆ คน เพื่อให้มารวมกันทอด

    ในส่วนของกฐิน ขอย้ำอีกครั้งว่า อานิสงส์กฐิน สำคัญที่สุดตรงผ้าไตร จะเป็นผืนเดียว หรือครบไตรก็ตาม ถ้าไม่มีผ้าไตรก็ไม่เป็นกฐิน ถ้ามีผ้าไตรแล้วบริวารกฐินอื่นไม่จำเป็นต้องมีก็ได้

    เมื่อญาติโยมทราบแล้วจะได้รู้ว่า ในเรื่องของกฐินแต่โบราณมานั้น เขาเน้นกันเรื่องผ้าไตรครองสำหรับพระ แต่ปัจจุบันนี้ผิดเพี้ยนไป กลายเป็นว่าวัดไหนทำยอดเงินได้มาก ก็ถือว่าได้บุญมาก อย่าลืมว่าเงินเป็นแค่บริวารกฐินเท่านั้น ตัวบุญกฐินเต็ม ๆ อยู่ที่ผ้าไตรต่างหาก

    เมื่อญาติโยมได้ทราบในเรื่องของกฐิน ตลอดกระทั่งแบบธรรมเนียมในการปวารณาเป็นเจ้าภาพกฐิน หรือว่าในการถวายกฐินแล้ว ต่อไปก็จะได้ปฏิบัติกันได้ถูกต้อง
    ...................................
    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน
    www.watthakhanun.com
    ส่วนของงานกฐินนั้น ที่สำคัญอีกอย่างก็คือผู้ครองผ้ากฐิน ถ้าว่ากันโดยพระธรรมวินัยแล้ว ท่านให้บุคคลที่มีจีวรเก่าที่สุดในวัดได้ผ้านั้นไป แต่ว่าระยะหลัง ส่วนใหญ่เจ้าอาวาสมักจะเป็นผู้ครองผ้ากฐิน เหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะ บางท่านถือว่าผู้ครองกฐินจึงมีสิทธิ์ที่จะรับบริวารกฐินทั้งหมด ผู้อื่นไม่มีสิทธิ์รับ เจ้าอาวาสก็เลยมักจะครองกฐินเสียเอง แต่ความจริงแล้วเป็นการเข้าใจผิด เพราะว่าบางวัดมีพระไม่ครบ ๕ รูป ไม่สามารถที่จะรับกฐินได้ ต้องไปยืมพระวัดอื่นมา การไปยืมพระวัดอื่นมานั้น พระวัดอื่นที่มานั้น ไม่มีสิทธิ์ไม่มีส่วนในกฐินนั้นทั้งสิ้น ให้เฉพาะบุคคลที่จำพรรษาในวัดนั้นเท่านั้น ดังนั้น...จึงมีการเข้าใจผิดกันว่า ถ้าไม่ครองกฐินแล้วจะไม่มีโอกาสได้รับบริวารกฐิน ซึ่งก็คือไม่มีสิทธิ์รับเงิน ก็ขอให้เข้าใจให้ถูกเสียใหม่ สำหรับวัดท่าขนุนของเรานั้น ครองกฐินกันไปตามอายุพรรษา ก็คือถ้าปีนี้ไปถึงใคร ปีหน้าท่านถัดไปก็จะรู้เองว่าถึงคิวของตนเองครองกฐินแล้ว สำหรับผู้ครองกฐินนั้นต้องรับภาระหนัก เพราะว่าต้องเป็นผู้รักษาผ้าครองแทนพระทั้งวัด ในเมื่อเป็นผู้รักษาผ้าครองแทนพระทั้งวัด บุคคลที่ได้อานิสงส์กฐินสามารถผ่อนคลายสิกขาบทได้หลายข้อ พูดง่าย ๆ ก็คือ ละเว้นให้ไม่ต้องรักษาศีลหลายข้อ อย่างเช่นว่าการเที่ยวไปโดยไม่ต้องบอกลา ซึ่งปกติแล้ววัดท่าขนุนของเราไม่ยอมให้ไปโดยไม่ต้องบอกลา ออกจากวัดไปไหนจะต้องลาทุกคน อานิสงส์กฐินข้อนี้จึงไม่มีประโยชน์สำหรับพระวัดท่าขนุน สามารถฉันคณะโภชนาได้ ก็คือโดยปกติแล้ว ถ้าญาติโยมบอกว่านำอาหารอะไรมาถวายพระ พระไม่สามารถที่จะฉันรวมกันตั้งแต่ ๔ รูปขึ้นไปได้ เพราะว่าเป็นการผิดพระวินัย สาเหตุมาจากสมัยพุทธกาล เมื่อมหาเศรษฐีท่านบอกว่าจะถวายภัตตาหารอะไร พอเป็นอาหารที่ประณีต มีรสดี บรรดาพระก็แห่กันไปจนเขาเลี้ยงไม่ไหว พระพุทธเจ้าจึงต้องตรัสห้ามไว้ว่า ถ้าเป็นอาหารที่เจ้าภาพออกชื่อ ให้ฉันได้ไม่เกิน ๓ รูปเท่านั้น ถ้าถึงรูปที่ ๔ ขึ้นไปเรียกว่าคณะ ถ้าฉันคณะโภชนาแบบนั้น โดนปรับอาบัติทุกคำที่กลืนลงไป ก็แปลว่าศีลขาดทุกคำที่กลืน แต่หากว่ารับกฐินแล้วสามารถฉันคณะโภชนาได้ ลำดับต่อไป คือ ฉันปรัมปรโภชนาได้ คำว่า ปรัมประ ก็คือฉันจากที่หนึ่งแล้วไปฉันอีกที่หนึ่ง ซึ่งโดยปกติแล้วที่พระพุทธเจ้าทรงห้ามไว้ เพราะเกรงว่าจะฉันได้น้อย บางทีเจ้าภาพเขาก็เสียใจ แต่เรื่องนี้ไม่ต้องมาใช้กับอาตมา เพราะว่าฉันน้อยเป็นปกติอยู่แล้ว ข้อต่อไปท่านบอกว่า ไปไหนไม่ต้องเอาจีวรไปครบสำรับ เพราะว่ามีผู้ครองกฐินรักษาผ้าแทนเราแล้ว ข้อสุดท้าย ก็คือ จีวรที่เกิดขึ้นไม่ต้องทำวิกัปเป็น ๒ เจ้าของ สามารถที่จะใช้เป็นของตนเองได้เลย ในเมื่ออานิสงส์กฐินสามารถผ่อนคลายสิกขาบทได้หลายข้อ แต่ผู้ที่ครองกฐินจะไม่ได้อานิสงส์นี้ เพราะว่าต้องรักษาผ้ากฐินแทนผู้อื่นทั้งวัด ถ้าทำผ้าขาดครองก็ทำให้ขาดอานิสงส์กฐินทั้งวัดเหมือนกัน ดังนั้น...ในส่วนของผู้ครองกฐินจึงสำคัญมาก เพราะว่าห้ามเผลออย่างเด็ดขาด และอานิสงส์กฐินนี้จะมีแค่กลางเดือน ๔ เท่านั้น ถ้าท่านจำพรรษาแล้วไม่ได้รับกฐิน ได้รับอานิสงส์ ๑ เดือน ก็คือตั้งแต่แรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ถึงกลางเดือน ๑๒ ถ้าจำพรรษาแล้วได้รับกฐิน ท่านขยายเวลาให้ถึงกลางเดือน ๔ ก็คือเพิ่มขึ้นมาอีก ๔ เดือน แต่อาตมาไม่เคยใช้อานิสงส์กฐิน เพราะว่าอานิสงส์กฐินนั้น ถ้าเผลอเราจะมักง่าย ไปไหนเอาจีวรไปครบไตรก็ไม่ได้หนักหนาสาหัสจนเกินไป จีวรชุดหนึ่งก็ใช้ได้หลายปี ขณะเดียวกันเรื่องของคณะโภชนา ปรัมปรโภชนานั้น ถ้าเราเผลอตัวเมื่อไร เกินกลางเดือน ๔ ไปก็จะโดนอาบัติ การไปไหนปกติก็ต้องบอกอยู่แล้วว่าไปไหน เพื่อที่เจ้าอาวาสหรือเพื่อนฝูงจะได้รู้ มีอะไรเร่งด่วนจะได้ตามตัวกันได้ เมื่อเป็นเช่นนั้น อาตมาบวชมา ๓๐ กว่าปีไม่เคยใช้อานิสงส์กฐินเลย พูดง่าย ๆ ว่าไม่ต้องรอให้กฐินเดาะ แต่เป็นคนเดาะกฐินเสียเอง แต่ว่าในส่วนอื่น บุคคลอื่น โดยเฉพาะพระอื่น ๆ ในวัดท่าขนุน อาตมาไม่ได้บังคับ ใครจะใช้อานิสงส์กฐินก็อย่าเผลอ ถ้าใครไม่ใช้อานิสงส์กฐินก็ขออนุโมทนาด้วย เนื่องเพราะว่าในเรื่องของศีลพระนั้น ไม่มีอะไรน่าหนักใจ ๒๒๗ ข้อก็สามารถรักษาได้ ทำไมต้องไปผ่อนใน ๔ - ๕ ข้อเหล่านั้น ในเรื่องของการขอกฐิน วัดท่าขนุนจะไม่มีเรื่องนี้ เนื่องเพราะว่าอาตมาจะตั้งกองกฐินขึ้นมาเอง หลังจากนั้นญาติโยมก็มาสมทบ ร่วมเป็นเจ้าภาพกฐินสามัคคีเท่านั้น เมื่อทราบเช่นนี้แล้ว ถ้ามีวัดใดมาขอกฐิน ญาติโยมจะเป็นเจ้าภาพจะเป็นอะไรก็ตาม ให้รู้ว่าบุญกฐินนั้นโยมได้ไปเต็ม ๆ แต่อานิสงส์กฐินสำหรับพระไม่มีใครได้เลย เพราะว่าในพระวินัยท่านห้ามขอกฐิน ญาติโยมที่อยากจะเป็นเจ้าภาพกฐิน ให้ไปปวารณาตนแจ้งต่อเจ้าอาวาสวัดใดวัดหนึ่งที่เราจะเอากฐินไปทอด ว่าเราขอเป็นเจ้าภาพทอดกฐิน ถ้าอย่างนั้นพระในวัดท่านถึงจะได้อานิสงส์กฐินไปเต็ม ๆ ในส่วนของการที่พระไปขอจากญาติโยม ก็คาดว่าเกิดจาก ๒ สาเหตุด้วยกัน สาเหตุแรก ก็คือ ไม่รู้ว่าในพระบาลีท่านห้ามขอกฐิน อย่างที่ ๒ ก็คือ แกล้งไม่รู้ เพราะว่าอยากได้กฐิน เนื่องจากว่าเจ้าภาพหลายรายมาปวารณากฐินกับอาตมาแล้วถามว่า ต้องการยอดปัจจัยเท่าไร ซึ่งถ้าเป็นวัดอื่น ๆ ก็อาจจะมีการบอกว่าเท่านั้นแสน เท่านี้ล้าน แต่สำหรับวัดท่าขนุน มีโยมถามอยู่ ๒ ปี ปีแรกที่ถาม อาตมาบอกว่าเอามา ๑๖ บาท เป็นเลขมงคลโสฬสสวยดี ปีถัดมาถามอีก บอกว่าเอามา ๙ บาทก็แล้วกัน ก็เป็นอันว่าจบกันแค่นั้น เนื่องจากว่ากฐินอยู่ที่ศรัทธาของโยม ไม่ใช่ว่าพระไปตั้งยอด แล้วให้โยมตะเกียกตะกายหามาด้วยความยากลำบาก เรื่องของพระธรรมวินัยแล้ว ส่วนใหญ่พระเณรสมัยนี้ไม่ค่อยที่จะเข้มงวดกัน อาจจะเป็นเพราะว่าพระอุปัชฌาย์อาจารย์ของท่านไม่ได้สั่งสอนไว้ ไม่ได้อบรมไว้ หรือไม่ก็ความที่อยากได้ยอดปัจจัยกฐินมาก ๆ ก็เลยต้องไปเที่ยวขอกฐินจากญาติโยมหลาย ๆ คน เพื่อให้มารวมกันทอด ในส่วนของกฐิน ขอย้ำอีกครั้งว่า อานิสงส์กฐิน สำคัญที่สุดตรงผ้าไตร จะเป็นผืนเดียว หรือครบไตรก็ตาม ถ้าไม่มีผ้าไตรก็ไม่เป็นกฐิน ถ้ามีผ้าไตรแล้วบริวารกฐินอื่นไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ เมื่อญาติโยมทราบแล้วจะได้รู้ว่า ในเรื่องของกฐินแต่โบราณมานั้น เขาเน้นกันเรื่องผ้าไตรครองสำหรับพระ แต่ปัจจุบันนี้ผิดเพี้ยนไป กลายเป็นว่าวัดไหนทำยอดเงินได้มาก ก็ถือว่าได้บุญมาก อย่าลืมว่าเงินเป็นแค่บริวารกฐินเท่านั้น ตัวบุญกฐินเต็ม ๆ อยู่ที่ผ้าไตรต่างหาก เมื่อญาติโยมได้ทราบในเรื่องของกฐิน ตลอดกระทั่งแบบธรรมเนียมในการปวารณาเป็นเจ้าภาพกฐิน หรือว่าในการถวายกฐินแล้ว ต่อไปก็จะได้ปฏิบัติกันได้ถูกต้อง ................................... พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน www.watthakhanun.com
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 319 มุมมอง 0 รีวิว
  • ..ฟังๆไปเถอะ ถูกใจบ้าง ไม่ถูกใจบ้าง ผิดบ้าง ถูกบ้าง เข้าใจในแบบเราชัด ไม่เข้าใจในแบบเราชัด แบบบางที่เจอกับตัวใครมันที่พระเครื่องมีพุทธคุณใส่คอคนถูกผีสิงผีเข้าคน คนนั้นตื่นคืนสติจริงก็ชัดเจนในตัวเราท่านเธอที่ประสบเจอจริง อ.เบียร์อาจหมายไปทางดีอื่น ไม่เคยเจอกับตัวด้านนี้จึงว่าพระเครื่องนั้นนี้ไม่มีพุทธคุณ แต่หมายทางคำสอนถึงคุณพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ก็ว่าไป,ข้ามๆส่วนผิดน้อยๆไปเถอะ,คนเราเก่งรู้ต่างกัน ใช่เข้าใจจริงถึงธรรมหมด,อย่างน้อยก็มาร่วมปกป้องพระพุทธศาสนาให้ทรงทางสายปกติก็ดีแล้วร่วมกัน,หายากที่จะอยู่กลางแสง ถูกอีแร้งรอบทิศสะกัดดาวรุ้ง ,ทางนี้ยังงๆในการท้าทายอ.เบียร์เลย กระทบวาทะวลีคำกันหลายความเลย,สรุปอ.มาดีหรือมาร้ายในช่วงเปิดตัวใหม่ๆเลย จนอาจารย์สายดีงามรับรองว่า อย่างถือสาท่าน ถูกผิดกรรมใดๆตกแก่ผู้กระทำเองล่ะ,เราผู้ไปฟังก็ไตร่ตรองอย่างมีสติปัญญาเอง แยกแยะวิเคราะห์ธรรมฝ่ายดีฝ่ายชั่วเองก่อนกินดื่มเข้าไปได้,อย่าพึ่งเชื่อแม้ท่านคืออาจารย์ของเราก็ว่า,ยุคนี้สมัยนี้คนเราหยาบหนานักด้วยฝ่ายปกครองดึงตำราเรียนของทางพระพุทธศาสนาออกไปจากกระทรวงศึกษาในการสอนเด็กๆก็ย้อนกลับมาอีลิทสายซาตานท่านลอร์ดยิวอีกล่ะจะล้างสมองเยาวชนไทยมิให้รู้ดีรู้ชั่วทั้งตำราศีลธรรมจริยธรรมออกจากหลักสูตรการเรียนการสอนของโรงเรียนไทยเรา,หน้าที่พลเรือนพลเมืองไทยก็ด้วย,ต้องไปคุยสายต่อต้านลัทธิทะเลทรายยิวแรปทีเลี่ยนเขา คนไทยจึงขาดการศึกษาศีลธรรมจริยธรรม&หน้าที่พลเมืองของชาติการรักชาติบ้านเมืองตนออกไป,สส.สว.นักการเมืองจึงสะดวกในการคตโกงเพราะคนไทยไม่ว่าเรื่องจริยธรรมแล้วด้วยไม่ได้เรียนได้รู้ว่าถ้านักการเมืองทำแบบนี้ผิดจริยธรรมตามตำราที่เล่าเรียนมาร่วมกันนะ ต้องสำเนียงพึ่งระวังละอายใจตนเองในฐานะสส.สว.ด้วย ต้องละอาย&เกรงกลัวในบาปในชั่วด้วยเป็นแบบอย่างเยี่ยงอย่างเยาวชนที่ดีด้วย,มันเห็นตรงนี้จึงถอดออกจากการเรียนการสอนในอดีตเลย เพื่อจะได้พูดให้นักการเมืองนักปกครองแบบพวกมันไม่ได้ จนกระอักเลือดตายแบบหนังจีนได้เพราะรับคำด่าตำหนิไม่ได้ด้วยคนไทยเหล่าเรียนจนมีวิชาแกร่งกล้าเต็มภูมิกันทุกๆคน ซวยต่อการโกง&ลำบากต่อการทำชั่ว,
    ..อ.เบียร์ในช่วงนี้จึงเหมาะแก่ยุคสมัยคนหยาบๆหนาๆออกหูซ้ายทะลุหัวขวาจึงโดนกระโถนแก่ตีเข้าก็ว่า,
    ..เยาวชนไทยเราหลายคนมาหันฟังสิ่งดีๆสู่ประตูทางธรรม เดินขึ้นสู่ทางที่ถูกที่ควรร่วมกันดำรงชาติไทยพัฒนาชาติเรามิให้หลงทางตามฝรั่งซาตานมารปีศาจได้นะดีแล้ว.
    ..ฟังๆไปเถอะ ถูกใจบ้าง ไม่ถูกใจบ้าง ผิดบ้าง ถูกบ้าง เข้าใจในแบบเราชัด ไม่เข้าใจในแบบเราชัด แบบบางที่เจอกับตัวใครมันที่พระเครื่องมีพุทธคุณใส่คอคนถูกผีสิงผีเข้าคน คนนั้นตื่นคืนสติจริงก็ชัดเจนในตัวเราท่านเธอที่ประสบเจอจริง อ.เบียร์อาจหมายไปทางดีอื่น ไม่เคยเจอกับตัวด้านนี้จึงว่าพระเครื่องนั้นนี้ไม่มีพุทธคุณ แต่หมายทางคำสอนถึงคุณพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ก็ว่าไป,ข้ามๆส่วนผิดน้อยๆไปเถอะ,คนเราเก่งรู้ต่างกัน ใช่เข้าใจจริงถึงธรรมหมด,อย่างน้อยก็มาร่วมปกป้องพระพุทธศาสนาให้ทรงทางสายปกติก็ดีแล้วร่วมกัน,หายากที่จะอยู่กลางแสง ถูกอีแร้งรอบทิศสะกัดดาวรุ้ง ,ทางนี้ยังงๆในการท้าทายอ.เบียร์เลย กระทบวาทะวลีคำกันหลายความเลย,สรุปอ.มาดีหรือมาร้ายในช่วงเปิดตัวใหม่ๆเลย จนอาจารย์สายดีงามรับรองว่า อย่างถือสาท่าน ถูกผิดกรรมใดๆตกแก่ผู้กระทำเองล่ะ,เราผู้ไปฟังก็ไตร่ตรองอย่างมีสติปัญญาเอง แยกแยะวิเคราะห์ธรรมฝ่ายดีฝ่ายชั่วเองก่อนกินดื่มเข้าไปได้,อย่าพึ่งเชื่อแม้ท่านคืออาจารย์ของเราก็ว่า,ยุคนี้สมัยนี้คนเราหยาบหนานักด้วยฝ่ายปกครองดึงตำราเรียนของทางพระพุทธศาสนาออกไปจากกระทรวงศึกษาในการสอนเด็กๆก็ย้อนกลับมาอีลิทสายซาตานท่านลอร์ดยิวอีกล่ะจะล้างสมองเยาวชนไทยมิให้รู้ดีรู้ชั่วทั้งตำราศีลธรรมจริยธรรมออกจากหลักสูตรการเรียนการสอนของโรงเรียนไทยเรา,หน้าที่พลเรือนพลเมืองไทยก็ด้วย,ต้องไปคุยสายต่อต้านลัทธิทะเลทรายยิวแรปทีเลี่ยนเขา คนไทยจึงขาดการศึกษาศีลธรรมจริยธรรม&หน้าที่พลเมืองของชาติการรักชาติบ้านเมืองตนออกไป,สส.สว.นักการเมืองจึงสะดวกในการคตโกงเพราะคนไทยไม่ว่าเรื่องจริยธรรมแล้วด้วยไม่ได้เรียนได้รู้ว่าถ้านักการเมืองทำแบบนี้ผิดจริยธรรมตามตำราที่เล่าเรียนมาร่วมกันนะ ต้องสำเนียงพึ่งระวังละอายใจตนเองในฐานะสส.สว.ด้วย ต้องละอาย&เกรงกลัวในบาปในชั่วด้วยเป็นแบบอย่างเยี่ยงอย่างเยาวชนที่ดีด้วย,มันเห็นตรงนี้จึงถอดออกจากการเรียนการสอนในอดีตเลย เพื่อจะได้พูดให้นักการเมืองนักปกครองแบบพวกมันไม่ได้ จนกระอักเลือดตายแบบหนังจีนได้เพราะรับคำด่าตำหนิไม่ได้ด้วยคนไทยเหล่าเรียนจนมีวิชาแกร่งกล้าเต็มภูมิกันทุกๆคน ซวยต่อการโกง&ลำบากต่อการทำชั่ว, ..อ.เบียร์ในช่วงนี้จึงเหมาะแก่ยุคสมัยคนหยาบๆหนาๆออกหูซ้ายทะลุหัวขวาจึงโดนกระโถนแก่ตีเข้าก็ว่า, ..เยาวชนไทยเราหลายคนมาหันฟังสิ่งดีๆสู่ประตูทางธรรม เดินขึ้นสู่ทางที่ถูกที่ควรร่วมกันดำรงชาติไทยพัฒนาชาติเรามิให้หลงทางตามฝรั่งซาตานมารปีศาจได้นะดีแล้ว.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 448 มุมมอง 28 0 รีวิว
  • กระทู้ที่ 1 วันที่ 21 ตุลาคม 2567
    แรม 4 ค่ำ เดือน 11 ปีมะโรง
    เรื่อง ความเป็นมาของ คาถาอาคม ในประเทศไทย
    ในอดีตทียังไม่เป็นประเทศไทยเหมือนในปัจจุบันอิทธิพลศาสนาฮินดูได้มีอิทธิพลต่อผู้นำในอดีต ผู้นำในอดีตได้รับเอาพิธีกรรมทางศาสนาฮินดูมาเป็นที่ยึดเหนี่ยว วัฒนธรรมฮินดูในประเทศอินเดียมีมาช้านานก่อนศสนาพุทธ จะเห็นได้ในยุคขอมเรืองอำนาจ จะเห็นได้จากปราสาทขอมที่ทิ้งไว้ให้ปรากฎในปัจจุบัน เมื่อพระพุทธศาสนาได้เข้าในยุคที่พระเจ้าอโศกส่งพระธรรมทูตเข้าเผยแพร่ในแผ่นดินที่เรียกว่าประเทศไทยในปัจจุบันผู้ปกครองในยุคต่อมาค่อยเปลี่ยนแปลงและนำเอาพระพุทธศาสนามาผสมประสานเข้ากับศาสนาฮินดู ในศาสนาฮินดูมีพิธีกรรมต่างๆมีบทสวดมากมายเป็นการร้องขอความช่วยเหลือต่างๆกับเทพเจ้าที่เชื่อว่าจะดลบันดาลให้สมความปรารถนา ต่อมาพระสงฆ์ทางพระพุทธศาสนาผู้ทรงภูมปัญญาได้คิดวิธีการโดยอาศัยแบบอย่างของศาสนาฮินดูแต่แตกต่างโดยการแต่งมนต์โดยใช้บทสวดในทางพระพุทธศาสนามาเป็นมนต์คาถา ซึ่งเรียกว่าพระพุทธมนต์ การจะแต่งพระพุทธมนต์นั้นไม่ใช่จับแพะชนแกะ บูรพาจารผู้แต่งต้องแตกฉานในปริยัติ และต้องเข้าถึงการปฏิบัติจนได้ฌาณสมาบัติ ซึ่งเป็นความรู้ขั้นสูงจึงสามารถร้อยเรียงพุทธมนต์ขึ้นมาได้ แม้แต่การลงอักขระเลขยันต์ล้วนแล้วแต่ผ่านการคิดค้นออกมาจากบูรพาจารย์ผู้ทรงฌาณทั้งสิ้น พระพุทธมนต์เลขยันต์ต่างๆที่มีการจดบันทึกมานั้นนับเป็นพันตำหรับ การจะเขียนยันต์ในแต่ละตัวเขามีสูตรการลงไว้ไม่ใช่เขียนส่งเดชแล้วก็ใช้ได้ วันนี้ทดลองเขียนกระทู้ใน thaitimes ครั้งแรก เอาไว้ตอนต่อไปค่อยว่ากันใหม่ สวัสดี
    กระทู้ที่ 1 วันที่ 21 ตุลาคม 2567 แรม 4 ค่ำ เดือน 11 ปีมะโรง เรื่อง ความเป็นมาของ คาถาอาคม ในประเทศไทย ในอดีตทียังไม่เป็นประเทศไทยเหมือนในปัจจุบันอิทธิพลศาสนาฮินดูได้มีอิทธิพลต่อผู้นำในอดีต ผู้นำในอดีตได้รับเอาพิธีกรรมทางศาสนาฮินดูมาเป็นที่ยึดเหนี่ยว วัฒนธรรมฮินดูในประเทศอินเดียมีมาช้านานก่อนศสนาพุทธ จะเห็นได้ในยุคขอมเรืองอำนาจ จะเห็นได้จากปราสาทขอมที่ทิ้งไว้ให้ปรากฎในปัจจุบัน เมื่อพระพุทธศาสนาได้เข้าในยุคที่พระเจ้าอโศกส่งพระธรรมทูตเข้าเผยแพร่ในแผ่นดินที่เรียกว่าประเทศไทยในปัจจุบันผู้ปกครองในยุคต่อมาค่อยเปลี่ยนแปลงและนำเอาพระพุทธศาสนามาผสมประสานเข้ากับศาสนาฮินดู ในศาสนาฮินดูมีพิธีกรรมต่างๆมีบทสวดมากมายเป็นการร้องขอความช่วยเหลือต่างๆกับเทพเจ้าที่เชื่อว่าจะดลบันดาลให้สมความปรารถนา ต่อมาพระสงฆ์ทางพระพุทธศาสนาผู้ทรงภูมปัญญาได้คิดวิธีการโดยอาศัยแบบอย่างของศาสนาฮินดูแต่แตกต่างโดยการแต่งมนต์โดยใช้บทสวดในทางพระพุทธศาสนามาเป็นมนต์คาถา ซึ่งเรียกว่าพระพุทธมนต์ การจะแต่งพระพุทธมนต์นั้นไม่ใช่จับแพะชนแกะ บูรพาจารผู้แต่งต้องแตกฉานในปริยัติ และต้องเข้าถึงการปฏิบัติจนได้ฌาณสมาบัติ ซึ่งเป็นความรู้ขั้นสูงจึงสามารถร้อยเรียงพุทธมนต์ขึ้นมาได้ แม้แต่การลงอักขระเลขยันต์ล้วนแล้วแต่ผ่านการคิดค้นออกมาจากบูรพาจารย์ผู้ทรงฌาณทั้งสิ้น พระพุทธมนต์เลขยันต์ต่างๆที่มีการจดบันทึกมานั้นนับเป็นพันตำหรับ การจะเขียนยันต์ในแต่ละตัวเขามีสูตรการลงไว้ไม่ใช่เขียนส่งเดชแล้วก็ใช้ได้ วันนี้ทดลองเขียนกระทู้ใน thaitimes ครั้งแรก เอาไว้ตอนต่อไปค่อยว่ากันใหม่ สวัสดี
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 307 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts