• ถ้า iPhone Air ใช้แบตเตอรี่ซิลิคอน-คาร์บอน อาจไม่ล้มเหลว – เทคโนโลยีที่จีนใช้แล้ว แต่ Apple ยังลังเล

    Apple เปิดตัว iPhone Air ด้วยดีไซน์บางเฉียบเพียง 5.6 มม. แต่กลับมาพร้อมแบตเตอรี่ที่เล็กที่สุดในซีรีส์ iPhone 17 คือ 3,149mAh ซึ่งกลายเป็นจุดอ่อนสำคัญที่ทำให้ยอดขายตกต่ำจนบริษัทต้องลดการผลิตลงถึง 80% ตามรายงานของ Ming-Chi Kuo แม้จะมีความบางที่โดดเด่น แต่ผู้ใช้กลับไม่พอใจเรื่องแบตเตอรี่ที่หมดเร็ว

    บทความชี้ว่า Apple สามารถหลีกเลี่ยงปัญหานี้ได้ หากเลือกใช้แบตเตอรี่แบบซิลิคอน-คาร์บอน (Si-C) ซึ่งมีความจุสูงกว่าลิเธียมไอออนทั่วไปถึง 10 เท่า โดยใช้แอโนดที่ทำจากวัสดุผสมซิลิคอนและคาร์บอนแบบนาโน แม้จะมีข้อเสียเรื่องการขยายตัวเมื่อชาร์จเต็ม แต่เทคโนโลยีใหม่สามารถลดผลกระทบนี้ได้มาก

    หลายแบรนด์จีน เช่น HONOR, Xiaomi, Tecno ได้เริ่มใช้แบตเตอรี่ Si-C แล้วในสมาร์ทโฟนรุ่นบางเฉียบ เช่น HONOR Magic V5 ที่บางเพียง 4.1 มม. แต่ยังใส่แบตเตอรี่ขนาด 5,160mAh ได้ เทียบกับ iPhone Air ที่บางกว่า Tecno Pova Slim 5G เพียง 6% แต่แบตเตอรี่เล็กกว่าถึง 39%

    แม้ Apple จะกังวลเรื่องอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ Si-C ที่อาจเสื่อมภายใน 2–3 ปี แต่การเลือกใช้แบตเตอรี่ขนาดเล็กเพื่อรักษาความบาง กลับทำให้ iPhone Air ถูกมองว่า “สวยแต่ไร้สาระ” และยอดขายที่ตกต่ำก็สะท้อนถึงการตัดสินใจที่ผิดพลาด

    จุดอ่อนของ iPhone Air
    ดีไซน์บางเฉียบเพียง 5.6 มม.
    ใช้แบตเตอรี่ขนาดเล็กที่สุดในซีรีส์ iPhone 17 (3,149mAh)
    ยอดขายตกต่ำจน Apple ต้องลดการผลิตลง 80%

    ข้อเสนอทางเลือก: แบตเตอรี่ซิลิคอน-คาร์บอน (Si-C)
    มีความจุสูงกว่าลิเธียมไอออนถึง 10 เท่า
    ใช้แอโนดแบบนาโนซิลิคอน-คาร์บอน
    ลดปัญหาการขยายตัวด้วยโครงสร้างคาร์บอนที่ทนต่อการแตกร้าว
    แบรนด์จีนหลายรายเริ่มใช้แล้ว เช่น HONOR, Xiaomi, Tecno

    การเปรียบเทียบกับสมาร์ทโฟนจีน
    HONOR Magic V5 บางเพียง 4.1 มม. แต่ใส่แบต 5,160mAh ได้
    Tecno Pova Slim 5G หนา 5.95 มม. ใส่แบต 5,160mAh
    iPhone Air บางกว่า Tecno 6% แต่แบตเล็กกว่าถึง 39%

    https://wccftech.com/a-silicon-carbon-battery-could-have-rescued-the-iphone-air/
    🔋 ถ้า iPhone Air ใช้แบตเตอรี่ซิลิคอน-คาร์บอน อาจไม่ล้มเหลว – เทคโนโลยีที่จีนใช้แล้ว แต่ Apple ยังลังเล Apple เปิดตัว iPhone Air ด้วยดีไซน์บางเฉียบเพียง 5.6 มม. แต่กลับมาพร้อมแบตเตอรี่ที่เล็กที่สุดในซีรีส์ iPhone 17 คือ 3,149mAh ซึ่งกลายเป็นจุดอ่อนสำคัญที่ทำให้ยอดขายตกต่ำจนบริษัทต้องลดการผลิตลงถึง 80% ตามรายงานของ Ming-Chi Kuo แม้จะมีความบางที่โดดเด่น แต่ผู้ใช้กลับไม่พอใจเรื่องแบตเตอรี่ที่หมดเร็ว บทความชี้ว่า Apple สามารถหลีกเลี่ยงปัญหานี้ได้ หากเลือกใช้แบตเตอรี่แบบซิลิคอน-คาร์บอน (Si-C) ซึ่งมีความจุสูงกว่าลิเธียมไอออนทั่วไปถึง 10 เท่า โดยใช้แอโนดที่ทำจากวัสดุผสมซิลิคอนและคาร์บอนแบบนาโน แม้จะมีข้อเสียเรื่องการขยายตัวเมื่อชาร์จเต็ม แต่เทคโนโลยีใหม่สามารถลดผลกระทบนี้ได้มาก หลายแบรนด์จีน เช่น HONOR, Xiaomi, Tecno ได้เริ่มใช้แบตเตอรี่ Si-C แล้วในสมาร์ทโฟนรุ่นบางเฉียบ เช่น HONOR Magic V5 ที่บางเพียง 4.1 มม. แต่ยังใส่แบตเตอรี่ขนาด 5,160mAh ได้ เทียบกับ iPhone Air ที่บางกว่า Tecno Pova Slim 5G เพียง 6% แต่แบตเตอรี่เล็กกว่าถึง 39% แม้ Apple จะกังวลเรื่องอายุการใช้งานของแบตเตอรี่ Si-C ที่อาจเสื่อมภายใน 2–3 ปี แต่การเลือกใช้แบตเตอรี่ขนาดเล็กเพื่อรักษาความบาง กลับทำให้ iPhone Air ถูกมองว่า “สวยแต่ไร้สาระ” และยอดขายที่ตกต่ำก็สะท้อนถึงการตัดสินใจที่ผิดพลาด ✅ จุดอ่อนของ iPhone Air ➡️ ดีไซน์บางเฉียบเพียง 5.6 มม. ➡️ ใช้แบตเตอรี่ขนาดเล็กที่สุดในซีรีส์ iPhone 17 (3,149mAh) ➡️ ยอดขายตกต่ำจน Apple ต้องลดการผลิตลง 80% ✅ ข้อเสนอทางเลือก: แบตเตอรี่ซิลิคอน-คาร์บอน (Si-C) ➡️ มีความจุสูงกว่าลิเธียมไอออนถึง 10 เท่า ➡️ ใช้แอโนดแบบนาโนซิลิคอน-คาร์บอน ➡️ ลดปัญหาการขยายตัวด้วยโครงสร้างคาร์บอนที่ทนต่อการแตกร้าว ➡️ แบรนด์จีนหลายรายเริ่มใช้แล้ว เช่น HONOR, Xiaomi, Tecno ✅ การเปรียบเทียบกับสมาร์ทโฟนจีน ➡️ HONOR Magic V5 บางเพียง 4.1 มม. แต่ใส่แบต 5,160mAh ได้ ➡️ Tecno Pova Slim 5G หนา 5.95 มม. ใส่แบต 5,160mAh ➡️ iPhone Air บางกว่า Tecno 6% แต่แบตเล็กกว่าถึง 39% https://wccftech.com/a-silicon-carbon-battery-could-have-rescued-the-iphone-air/
    WCCFTECH.COM
    A Silicon-Carbon Battery Could Have Rescued The iPhone Air
    No one ever said, "Geez, my iPhone is too fat; Apple better give me a razor-thin phone next time." Yes, I'm talking about the iPhone Air.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 13 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดูหนังฟังเพลง
    เรื่องย่อ: "Light Beyond the Reed"เย่ซือเป่ยอดทนกับ พ่อแม่ที่รักลูกชายมากกว่าลูกสาว ทำให้ฉินหนาน สามี ของเธอโกรธที่เธอยอมทนจึงขอหย่า เย่ซือเป่ยถูกทำร้าย และสิ้นหวัง ฉินหนานเคียงข้างเธอเมื่อรู้ความจริง ช่วย เธอทวงความยุติธรรม ในที่สุดคนร้ายก็เข้าคุก ความจริง เปิดเผย เย่ซือเป่ยและฉินหนานสนับสนุนกันและกัน คลาย ปมครอบครัว และเริ่มต้นชีวิตใหม่ #ชวนดูซีรีส์ #ซีรีส์จีน #wetv #เพลงไทย #เพลงเพราะ #ว่างว่างก็แวะมา
    ดูหนังฟังเพลง เรื่องย่อ: "Light Beyond the Reed"เย่ซือเป่ยอดทนกับ พ่อแม่ที่รักลูกชายมากกว่าลูกสาว ทำให้ฉินหนาน สามี ของเธอโกรธที่เธอยอมทนจึงขอหย่า เย่ซือเป่ยถูกทำร้าย และสิ้นหวัง ฉินหนานเคียงข้างเธอเมื่อรู้ความจริง ช่วย เธอทวงความยุติธรรม ในที่สุดคนร้ายก็เข้าคุก ความจริง เปิดเผย เย่ซือเป่ยและฉินหนานสนับสนุนกันและกัน คลาย ปมครอบครัว และเริ่มต้นชีวิตใหม่ #ชวนดูซีรีส์ #ซีรีส์จีน #wetv #เพลงไทย #เพลงเพราะ #ว่างว่างก็แวะมา
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 31 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • “VirtualBox 7.2.4 มาแล้ว! รองรับ Linux Kernel 6.18 พร้อมอัปเดตเสถียรภาพหลายจุด”

    Oracle ได้ปล่อยอัปเดตใหม่สำหรับ VirtualBox เวอร์ชัน 7.2.4 ซึ่งเป็น maintenance release ตัวที่สองในซีรีส์ 7.2 โดยมีจุดเด่นคือการรองรับ Linux Kernel 6.18 ทั้งในฝั่ง host และ guest ทำให้สามารถใช้งาน VirtualBox บนระบบที่ใช้ kernel ใหม่ล่าสุดได้ทันที

    นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงหลายจุดเพื่อเพิ่มความเสถียร เช่น แก้ปัญหา crash ของ VirtualBox VM Manager เมื่อ resume เครื่องจาก sleep, ปรับปรุงการทำงานของ NAT เมื่อมีการตั้งค่า port forwarding หลายรายการ และแก้บั๊กใน Guest Additions สำหรับ Red Hat Enterprise Linux 9.6 และ 9.7

    ฝั่ง Windows ก็มีการอัปเดต Guest Additions เช่นกัน โดยแก้ปัญหาการติดตั้งบน Windows XP SP2 ที่เคยล้มเหลว และเพิ่มการรองรับภาษาท้องถิ่น เช่น จีนดั้งเดิม, กรีก, สวีเดน, ฮังการี และอินโดนีเซีย

    VirtualBox 7.2.4 เปิดให้ดาวน์โหลดทั้งแบบ universal binary สำหรับ GNU/Linux และแบบเฉพาะสำหรับ Ubuntu, Debian, Fedora, openSUSE และ Oracle Linux

    การรองรับ Linux Kernel 6.18
    ใช้งานได้ทั้งใน host และ guest
    รองรับการติดตั้ง VirtualBox บนระบบที่ใช้ kernel ใหม่ล่าสุด
    รองรับการจำลองระบบที่ใช้ kernel 6.18

    การปรับปรุงด้านเสถียรภาพ
    แก้ crash เมื่อ resume เครื่องจาก sleep
    ปรับปรุง NAT เมื่อมีหลาย port forwarding rules
    แก้บั๊กใน Guest Additions สำหรับ RHEL 9.6 และ 9.7

    การอัปเดตฝั่ง Windows
    แก้ปัญหาการติดตั้งบน Windows XP SP2
    เพิ่มการรองรับภาษาท้องถิ่นหลายภาษา
    ปรับปรุงการทำงานของ Guest Additions

    การดาวน์โหลดและใช้งาน
    มีทั้ง universal binary และ binary เฉพาะ distro
    รองรับ Ubuntu, Debian, Fedora, openSUSE และ Oracle Linux
    ดาวน์โหลดได้จากเว็บไซต์ทางการของ VirtualBox

    https://9to5linux.com/virtualbox-7-2-4-released-with-initial-support-for-linux-kernel-6-18
    🖥️ “VirtualBox 7.2.4 มาแล้ว! รองรับ Linux Kernel 6.18 พร้อมอัปเดตเสถียรภาพหลายจุด” Oracle ได้ปล่อยอัปเดตใหม่สำหรับ VirtualBox เวอร์ชัน 7.2.4 ซึ่งเป็น maintenance release ตัวที่สองในซีรีส์ 7.2 โดยมีจุดเด่นคือการรองรับ Linux Kernel 6.18 ทั้งในฝั่ง host และ guest ทำให้สามารถใช้งาน VirtualBox บนระบบที่ใช้ kernel ใหม่ล่าสุดได้ทันที นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงหลายจุดเพื่อเพิ่มความเสถียร เช่น แก้ปัญหา crash ของ VirtualBox VM Manager เมื่อ resume เครื่องจาก sleep, ปรับปรุงการทำงานของ NAT เมื่อมีการตั้งค่า port forwarding หลายรายการ และแก้บั๊กใน Guest Additions สำหรับ Red Hat Enterprise Linux 9.6 และ 9.7 ฝั่ง Windows ก็มีการอัปเดต Guest Additions เช่นกัน โดยแก้ปัญหาการติดตั้งบน Windows XP SP2 ที่เคยล้มเหลว และเพิ่มการรองรับภาษาท้องถิ่น เช่น จีนดั้งเดิม, กรีก, สวีเดน, ฮังการี และอินโดนีเซีย VirtualBox 7.2.4 เปิดให้ดาวน์โหลดทั้งแบบ universal binary สำหรับ GNU/Linux และแบบเฉพาะสำหรับ Ubuntu, Debian, Fedora, openSUSE และ Oracle Linux ✅ การรองรับ Linux Kernel 6.18 ➡️ ใช้งานได้ทั้งใน host และ guest ➡️ รองรับการติดตั้ง VirtualBox บนระบบที่ใช้ kernel ใหม่ล่าสุด ➡️ รองรับการจำลองระบบที่ใช้ kernel 6.18 ✅ การปรับปรุงด้านเสถียรภาพ ➡️ แก้ crash เมื่อ resume เครื่องจาก sleep ➡️ ปรับปรุง NAT เมื่อมีหลาย port forwarding rules ➡️ แก้บั๊กใน Guest Additions สำหรับ RHEL 9.6 และ 9.7 ✅ การอัปเดตฝั่ง Windows ➡️ แก้ปัญหาการติดตั้งบน Windows XP SP2 ➡️ เพิ่มการรองรับภาษาท้องถิ่นหลายภาษา ➡️ ปรับปรุงการทำงานของ Guest Additions ✅ การดาวน์โหลดและใช้งาน ➡️ มีทั้ง universal binary และ binary เฉพาะ distro ➡️ รองรับ Ubuntu, Debian, Fedora, openSUSE และ Oracle Linux ➡️ ดาวน์โหลดได้จากเว็บไซต์ทางการของ VirtualBox https://9to5linux.com/virtualbox-7-2-4-released-with-initial-support-for-linux-kernel-6-18
    9TO5LINUX.COM
    VirtualBox 7.2.4 Released with Initial Support for Linux Kernel 6.18 - 9to5Linux
    VirtualBox 7.2.4 open-source virtualization software is now available for download with initial support for Linux kernel 6.18.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 75 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Intel Core Ultra 200S Plus หลุดสเปก! Arrow Lake Refresh แรงทะลุชาร์ต – พร้อมชน Ryzen Zen 5”

    Intel เตรียมเปิดตัวซีพียูรุ่นใหม่ในตระกูล Core Ultra 200S Plus ที่ใช้ชื่อว่า “Arrow Lake Refresh” ซึ่งจะเปิดตัวต้นปี 2026 โดยมีสองรุ่นที่หลุดข้อมูลออกมาแล้ว คือ Core Ultra 9 290K Plus และ Core Ultra 7 270K Plus

    จุดเด่นของซีรีส์นี้คือการเพิ่มจำนวนคอร์ในบางรุ่น และเพิ่มความเร็วสัญญาณนาฬิกาในรุ่นอื่น ๆ โดยยังใช้ซ็อกเก็ต LGA 1851 เหมือนเดิม พร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่เรียกว่า “200S Plus Boost” เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้สูสีกับ Ryzen Zen 5 จาก AMD

    Core Ultra 7 270K Plus มี 24 คอร์ (8 Performance + 16 Efficient) มากกว่ารุ่นก่อนหน้า 265K ที่มีแค่ 20 คอร์ พร้อมแคช L3 ขนาด 36MB และความเร็วบูสต์ที่ 5.50GHz เท่ากับรุ่นเดิม แต่ประสิทธิภาพโดยรวมดีขึ้น โดยทำคะแนน Geekbench 6 ได้ 3205 คะแนนแบบ single-core และ 22,206 คะแนนแบบ multi-core ซึ่งใกล้เคียงกับรุ่นท็อปอย่าง Core Ultra 9 285K

    ส่วน Core Ultra 9 290K Plus ยังไม่มีข้อมูลเต็ม แต่คาดว่าจะใช้คอนฟิก 24 คอร์เหมือนเดิม เพิ่มความเร็วและ TDP เพื่อดันประสิทธิภาพให้สูงขึ้นอีก

    ทั้งสองรุ่นถูกทดสอบในระบบ OEM ของ Lenovo ที่ใช้แรม DDR5 48GB ความเร็ว 7200MT/s และการ์ดจอ RTX 5090D ซึ่งเป็นสเปกระดับสูงที่ช่วยให้ซีพียูแสดงศักยภาพได้เต็มที่

    Intel ยังมีแผนเปิดตัว Nova Lake-S ในปีหน้า ซึ่งจะใช้ซ็อกเก็ตใหม่ LGA 1954 และเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสายเดสก์ท็อป

    สเปกและประสิทธิภาพของ Arrow Lake Refresh
    Core Ultra 7 270K Plus มี 24 คอร์ (8P + 16E)
    เพิ่มจากรุ่นก่อนหน้า 265K ที่มี 20 คอร์
    แคช L3 ขนาด 36MB มากกว่ารุ่นเดิม
    ความเร็วบูสต์ 5.50GHz เท่ากับรุ่นก่อน
    คะแนน Geekbench 6: 3205 (ST) และ 22,206 (MT)
    ทดสอบในระบบ Lenovo OEM พร้อมแรม DDR5 7200MT/s
    ใช้ซ็อกเก็ต LGA 1851 เหมือนรุ่นก่อน
    มีฟีเจอร์ใหม่ “200S Plus Boost” เพิ่มประสิทธิภาพ
    Core Ultra 9 290K Plus คาดว่าจะเพิ่มความเร็วและ TDP
    เตรียมเปิดตัวต้นปี 2026

    แผนอนาคตของ Intel
    เตรียมเปิดตัว Nova Lake-S ในปีหน้า
    ใช้ซ็อกเก็ตใหม่ LGA 1954
    เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสายเดสก์ท็อป
    Arrow Lake Refresh อาจเป็นรุ่นสุดท้ายของ LGA 1851

    https://wccftech.com/intel-core-ultra-200s-plus-arrow-lake-refresh-cpus-leak-9-290k-plus-7-270k-plus-benchmark/
    🚀 “Intel Core Ultra 200S Plus หลุดสเปก! Arrow Lake Refresh แรงทะลุชาร์ต – พร้อมชน Ryzen Zen 5” Intel เตรียมเปิดตัวซีพียูรุ่นใหม่ในตระกูล Core Ultra 200S Plus ที่ใช้ชื่อว่า “Arrow Lake Refresh” ซึ่งจะเปิดตัวต้นปี 2026 โดยมีสองรุ่นที่หลุดข้อมูลออกมาแล้ว คือ Core Ultra 9 290K Plus และ Core Ultra 7 270K Plus จุดเด่นของซีรีส์นี้คือการเพิ่มจำนวนคอร์ในบางรุ่น และเพิ่มความเร็วสัญญาณนาฬิกาในรุ่นอื่น ๆ โดยยังใช้ซ็อกเก็ต LGA 1851 เหมือนเดิม พร้อมฟีเจอร์ใหม่ที่เรียกว่า “200S Plus Boost” เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้สูสีกับ Ryzen Zen 5 จาก AMD Core Ultra 7 270K Plus มี 24 คอร์ (8 Performance + 16 Efficient) มากกว่ารุ่นก่อนหน้า 265K ที่มีแค่ 20 คอร์ พร้อมแคช L3 ขนาด 36MB และความเร็วบูสต์ที่ 5.50GHz เท่ากับรุ่นเดิม แต่ประสิทธิภาพโดยรวมดีขึ้น โดยทำคะแนน Geekbench 6 ได้ 3205 คะแนนแบบ single-core และ 22,206 คะแนนแบบ multi-core ซึ่งใกล้เคียงกับรุ่นท็อปอย่าง Core Ultra 9 285K ส่วน Core Ultra 9 290K Plus ยังไม่มีข้อมูลเต็ม แต่คาดว่าจะใช้คอนฟิก 24 คอร์เหมือนเดิม เพิ่มความเร็วและ TDP เพื่อดันประสิทธิภาพให้สูงขึ้นอีก ทั้งสองรุ่นถูกทดสอบในระบบ OEM ของ Lenovo ที่ใช้แรม DDR5 48GB ความเร็ว 7200MT/s และการ์ดจอ RTX 5090D ซึ่งเป็นสเปกระดับสูงที่ช่วยให้ซีพียูแสดงศักยภาพได้เต็มที่ Intel ยังมีแผนเปิดตัว Nova Lake-S ในปีหน้า ซึ่งจะใช้ซ็อกเก็ตใหม่ LGA 1954 และเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสายเดสก์ท็อป ✅ สเปกและประสิทธิภาพของ Arrow Lake Refresh ➡️ Core Ultra 7 270K Plus มี 24 คอร์ (8P + 16E) ➡️ เพิ่มจากรุ่นก่อนหน้า 265K ที่มี 20 คอร์ ➡️ แคช L3 ขนาด 36MB มากกว่ารุ่นเดิม ➡️ ความเร็วบูสต์ 5.50GHz เท่ากับรุ่นก่อน ➡️ คะแนน Geekbench 6: 3205 (ST) และ 22,206 (MT) ➡️ ทดสอบในระบบ Lenovo OEM พร้อมแรม DDR5 7200MT/s ➡️ ใช้ซ็อกเก็ต LGA 1851 เหมือนรุ่นก่อน ➡️ มีฟีเจอร์ใหม่ “200S Plus Boost” เพิ่มประสิทธิภาพ ➡️ Core Ultra 9 290K Plus คาดว่าจะเพิ่มความเร็วและ TDP ➡️ เตรียมเปิดตัวต้นปี 2026 ✅ แผนอนาคตของ Intel ➡️ เตรียมเปิดตัว Nova Lake-S ในปีหน้า ➡️ ใช้ซ็อกเก็ตใหม่ LGA 1954 ➡️ เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสายเดสก์ท็อป ➡️ Arrow Lake Refresh อาจเป็นรุ่นสุดท้ายของ LGA 1851 https://wccftech.com/intel-core-ultra-200s-plus-arrow-lake-refresh-cpus-leak-9-290k-plus-7-270k-plus-benchmark/
    WCCFTECH.COM
    Intel Core Ultra 200S Plus "Arrow Lake Refresh" CPUs Leak: Flagship Is Ultra 9 290K Plus, Ultra 7 270K Plus Benchmarked
    Intel's upcoming Core Ultra 200S Plus "Arrow Lake Refresh" CPUs, such as the Ultra 9 290K Plus & Ultra 7 270K Plus, have leaked.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 42 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดูหนังฟังเพลง #ชีวิตคือสมมุติ #เหนื่อยนักก็พักหน่อย #ซีรีส์จีน #werv #เพลงเพราะ #ว่างว่างก็แวะมา
    ดูหนังฟังเพลง #ชีวิตคือสมมุติ #เหนื่อยนักก็พักหน่อย #ซีรีส์จีน #werv #เพลงเพราะ #ว่างว่างก็แวะมา
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 32 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • “AMD เตรียมนำ Krackan Point APU ลงแพลตฟอร์ม AM5 — BIOS ใหม่ AGESA 1.2.7.0 เพิ่มการรองรับ Zen 5” — เมื่อ APU ที่เคยอยู่แค่ในโน้ตบุ๊กอาจกลายเป็นขุมพลังใหม่ของเดสก์ท็อป

    รายงานจาก Wccftech เผยว่า AMD อาจนำ APU ตระกูล Krackan Point ซึ่งใช้สถาปัตยกรรม Zen 5 มาสู่แพลตฟอร์มเดสก์ท็อป AM5 ในเร็ว ๆ นี้ โดยมีเบาะแสจากไฟล์สเปรดชีตที่แสดงว่า BIOS เวอร์ชันใหม่ AGESA 1.2.7.0 ได้เพิ่มการรองรับไมโครโค้ด “00B60Fxx” ซึ่งตรงกับ Krackan Point ทั้งรุ่น 1 และ 2

    Krackan Point เป็น APU ที่เปิดตัวในไตรมาสแรกของปี 2025 สำหรับโน้ตบุ๊กระดับกลาง โดยอยู่ในซีรีส์ Ryzen AI 300 และใช้กราฟิก RDNA 3.5 พร้อม NPU XDNA 2 สำหรับงาน AI inference

    หากนำมาลง AM5 จริง จะเป็นครั้งแรกที่ Zen 5 APU ปรากฏบนเดสก์ท็อป เพราะปัจจุบัน Ryzen 8000G ยังใช้ Zen 4 และไม่สามารถเทียบกับ APU มือถือรุ่นใหม่อย่าง Strix Point หรือ Strix Halo ได้เลย

    มีข่าวลือว่า AMD จะเปิดตัว Ryzen 9000G หรือ 10000G ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2025 โดยใช้ Zen 5 แบบ 8 คอร์ 16 เธรด และกราฟิก RDNA 3.5 ซึ่งจะให้ประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ Krackan Point มือถือ แต่มีพลังงานสูงกว่า ทำให้ประสิทธิภาพโดยรวมดีกว่า

    AGESA BIOS 1.2.7.0 เพิ่มการรองรับไมโครโค้ด “00B60Fxx”
    ซึ่งตรงกับ Krackan Point APU ทั้งรุ่น 1 และ 2

    Krackan Point เป็น APU Zen 5 ที่เปิดตัวใน Q1 2025 สำหรับโน้ตบุ๊ก
    อยู่ในซีรีส์ Ryzen AI 300 พร้อมกราฟิก RDNA 3.5 และ NPU XDNA 2

    ปัจจุบัน Ryzen 8000G บนเดสก์ท็อปยังใช้ Zen 4
    ไม่สามารถเทียบกับ APU มือถือรุ่นใหม่ได้

    มีข่าวลือว่า Ryzen 9000G หรือ 10000G จะเปิดตัวใน Q4 2025
    ใช้ Zen 5 แบบ 8 คอร์ 16 เธรด และกราฟิก RDNA 3.5

    หาก Krackan Point มาลง AM5 จะเป็น Zen 5 APU รุ่นแรกบนเดสก์ท็อป
    เพิ่มทางเลือกให้ผู้ใช้ที่ต้องการประสิทธิภาพแบบ APU

    https://wccftech.com/amd-krackan-point-is-reportedly-coming-to-am5-new-agesa-bios-adds-support-for-zen-5-apus/
    🧠 “AMD เตรียมนำ Krackan Point APU ลงแพลตฟอร์ม AM5 — BIOS ใหม่ AGESA 1.2.7.0 เพิ่มการรองรับ Zen 5” — เมื่อ APU ที่เคยอยู่แค่ในโน้ตบุ๊กอาจกลายเป็นขุมพลังใหม่ของเดสก์ท็อป รายงานจาก Wccftech เผยว่า AMD อาจนำ APU ตระกูล Krackan Point ซึ่งใช้สถาปัตยกรรม Zen 5 มาสู่แพลตฟอร์มเดสก์ท็อป AM5 ในเร็ว ๆ นี้ โดยมีเบาะแสจากไฟล์สเปรดชีตที่แสดงว่า BIOS เวอร์ชันใหม่ AGESA 1.2.7.0 ได้เพิ่มการรองรับไมโครโค้ด “00B60Fxx” ซึ่งตรงกับ Krackan Point ทั้งรุ่น 1 และ 2 Krackan Point เป็น APU ที่เปิดตัวในไตรมาสแรกของปี 2025 สำหรับโน้ตบุ๊กระดับกลาง โดยอยู่ในซีรีส์ Ryzen AI 300 และใช้กราฟิก RDNA 3.5 พร้อม NPU XDNA 2 สำหรับงาน AI inference หากนำมาลง AM5 จริง จะเป็นครั้งแรกที่ Zen 5 APU ปรากฏบนเดสก์ท็อป เพราะปัจจุบัน Ryzen 8000G ยังใช้ Zen 4 และไม่สามารถเทียบกับ APU มือถือรุ่นใหม่อย่าง Strix Point หรือ Strix Halo ได้เลย มีข่าวลือว่า AMD จะเปิดตัว Ryzen 9000G หรือ 10000G ในไตรมาสสุดท้ายของปี 2025 โดยใช้ Zen 5 แบบ 8 คอร์ 16 เธรด และกราฟิก RDNA 3.5 ซึ่งจะให้ประสิทธิภาพใกล้เคียงกับ Krackan Point มือถือ แต่มีพลังงานสูงกว่า ทำให้ประสิทธิภาพโดยรวมดีกว่า ✅ AGESA BIOS 1.2.7.0 เพิ่มการรองรับไมโครโค้ด “00B60Fxx” ➡️ ซึ่งตรงกับ Krackan Point APU ทั้งรุ่น 1 และ 2 ✅ Krackan Point เป็น APU Zen 5 ที่เปิดตัวใน Q1 2025 สำหรับโน้ตบุ๊ก ➡️ อยู่ในซีรีส์ Ryzen AI 300 พร้อมกราฟิก RDNA 3.5 และ NPU XDNA 2 ✅ ปัจจุบัน Ryzen 8000G บนเดสก์ท็อปยังใช้ Zen 4 ➡️ ไม่สามารถเทียบกับ APU มือถือรุ่นใหม่ได้ ✅ มีข่าวลือว่า Ryzen 9000G หรือ 10000G จะเปิดตัวใน Q4 2025 ➡️ ใช้ Zen 5 แบบ 8 คอร์ 16 เธรด และกราฟิก RDNA 3.5 ✅ หาก Krackan Point มาลง AM5 จะเป็น Zen 5 APU รุ่นแรกบนเดสก์ท็อป ➡️ เพิ่มทางเลือกให้ผู้ใช้ที่ต้องการประสิทธิภาพแบบ APU https://wccftech.com/amd-krackan-point-is-reportedly-coming-to-am5-new-agesa-bios-adds-support-for-zen-5-apus/
    WCCFTECH.COM
    AMD Krackan Point Is Reportedly Coming To AM5; New AGESA BIOS Adds Support For Zen 5 APUs
    A new document leak has shown that AMD's Krackan Point APUs might come to the desktop AM5 platform as well.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 62 มุมมอง 0 รีวิว
  • “GNOME 49.1 มาแล้ว!” — อัปเดตครั้งใหญ่เพื่อความเสถียร ความเข้าถึง และประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดีขึ้น

    GNOME Project ได้ปล่อย GNOME 49.1 ซึ่งเป็นอัปเดตแรกของซีรีส์ GNOME 49 “Brescia” โดยเน้นการแก้ไขบั๊กและปรับปรุงประสบการณ์ใช้งานในหลายส่วนของเดสก์ท็อป รวมถึง Nautilus, Epiphany, GNOME Shell, Mutter, Orca และ GNOME Software

    การเปลี่ยนแปลงสำคัญ ได้แก่:
    ปรับปรุง UI การจับภาพหน้าจอให้เข้าถึงง่ายขึ้น
    รองรับการพิมพ์ภาษาฮินดีแบบ Bolnagri บนคีย์บอร์ดจอสัมผัส
    ปรับปรุงไอคอนการเข้าถึงบนหน้าจอล็อกอิน
    แก้ไขปัญหาการแจ้งเตือนอัปเดตใน GNOME Software
    แก้ไขบั๊กที่ทำให้เกิด zombie process จาก gnome-session
    แก้ไขปัญหาโฟกัสคีย์บอร์ดใน Activities Overview
    แก้ไขปัญหา GTK popover submenu ที่ทำให้แอปค้าง
    แก้ไขปัญหาหน้าต่าง maximized ล้นใต้ panel
    แก้ไขการสลับ layout คีย์บอร์ดผ่าน xkb-options

    ใน Nautilus (Files):
    แก้ไขการ crash จาก callback ภายใน
    แก้ไขการ paste รูปภาพขนาดใหญ่
    ปรับปรุง contrast ของรายการที่ถูก cut
    แก้ไขการโฟกัสในหน้าต่างเลือกแอปเริ่มต้น
    แก้ไข sidebar drag-and-drop และการทดสอบ archive ที่ใช้เวลานาน

    ใน Epiphany (GNOME Web):
    ปรับปรุง address bar และ dropdown behavior
    แก้ไขการแสดงผลตัวอักษร non-Latin
    เพิ่ม OpenSearch ให้ DuckDuckGo, Bing และ Google
    แก้ไข caret position หลัง Ctrl+K
    แก้ไข favicon ที่มีพื้นหลังดำให้โปร่งใส

    ใน Orca (screen reader):
    เพิ่มการควบคุม caret สำหรับทุก text object
    เพิ่มคำสั่งใหม่ผ่าน D-Bus Remote Controller
    ปรับปรุงการอ่าน voice name และการจัดเรียงใน Preferences
    เพิ่ม OnlyShowIn=GNOME ให้ Orca autostart ได้ในเวอร์ชันเก่า

    GNOME Control Center ก็ได้รับการปรับปรุงหลาย panels เช่น Appearance, Date & Time, Mouse, Network, Users และ Wacom ส่วน GNOME Display Manager (GDM) ได้รับ hotfix สำหรับบั๊กที่ทำให้ GNOME Shell ค้าง และการตรวจสอบ Wayland ที่ผิดพลาด

    ข้อมูลในข่าว
    GNOME 49.1 เป็นอัปเดตแรกของซีรีส์ GNOME 49 “Brescia”
    ปรับปรุง accessibility, multi-touch, และการจัดการคีย์บอร์ด
    แก้ไข zombie process จาก gnome-session
    Nautilus ได้รับการแก้ไขหลายจุด เช่น paste รูปภาพ, contrast, drag-and-drop
    Epiphany ปรับปรุง address bar, dropdown, และรองรับ OpenSearch
    Orca เพิ่ม caret navigation และปรับปรุง voice name presentation
    GNOME Software แก้ไขการแจ้งเตือนอัปเดต
    GNOME Control Center ปรับปรุงหลาย panels
    GDM ได้รับ hotfix สำหรับบั๊กที่ทำให้ GNOME Shell ค้าง

    https://9to5linux.com/gnome-49-1-desktop-released-with-various-improvements-and-bug-fixes
    🖥️ “GNOME 49.1 มาแล้ว!” — อัปเดตครั้งใหญ่เพื่อความเสถียร ความเข้าถึง และประสบการณ์ผู้ใช้ที่ดีขึ้น GNOME Project ได้ปล่อย GNOME 49.1 ซึ่งเป็นอัปเดตแรกของซีรีส์ GNOME 49 “Brescia” โดยเน้นการแก้ไขบั๊กและปรับปรุงประสบการณ์ใช้งานในหลายส่วนของเดสก์ท็อป รวมถึง Nautilus, Epiphany, GNOME Shell, Mutter, Orca และ GNOME Software การเปลี่ยนแปลงสำคัญ ได้แก่: ⭐ ปรับปรุง UI การจับภาพหน้าจอให้เข้าถึงง่ายขึ้น ⭐ รองรับการพิมพ์ภาษาฮินดีแบบ Bolnagri บนคีย์บอร์ดจอสัมผัส ⭐ ปรับปรุงไอคอนการเข้าถึงบนหน้าจอล็อกอิน ⭐ แก้ไขปัญหาการแจ้งเตือนอัปเดตใน GNOME Software ⭐ แก้ไขบั๊กที่ทำให้เกิด zombie process จาก gnome-session ⭐ แก้ไขปัญหาโฟกัสคีย์บอร์ดใน Activities Overview ⭐ แก้ไขปัญหา GTK popover submenu ที่ทำให้แอปค้าง ⭐ แก้ไขปัญหาหน้าต่าง maximized ล้นใต้ panel ⭐ แก้ไขการสลับ layout คีย์บอร์ดผ่าน xkb-options ใน Nautilus (Files): 🗃️ แก้ไขการ crash จาก callback ภายใน 🗃️ แก้ไขการ paste รูปภาพขนาดใหญ่ 🗃️ ปรับปรุง contrast ของรายการที่ถูก cut 🗃️ แก้ไขการโฟกัสในหน้าต่างเลือกแอปเริ่มต้น 🗃️ แก้ไข sidebar drag-and-drop และการทดสอบ archive ที่ใช้เวลานาน ใน Epiphany (GNOME Web): 🌐 ปรับปรุง address bar และ dropdown behavior 🌐 แก้ไขการแสดงผลตัวอักษร non-Latin 🌐 เพิ่ม OpenSearch ให้ DuckDuckGo, Bing และ Google 🌐 แก้ไข caret position หลัง Ctrl+K 🌐 แก้ไข favicon ที่มีพื้นหลังดำให้โปร่งใส ใน Orca (screen reader): 🔊 เพิ่มการควบคุม caret สำหรับทุก text object 🔊 เพิ่มคำสั่งใหม่ผ่าน D-Bus Remote Controller 🔊 ปรับปรุงการอ่าน voice name และการจัดเรียงใน Preferences 🔊 เพิ่ม OnlyShowIn=GNOME ให้ Orca autostart ได้ในเวอร์ชันเก่า GNOME Control Center ก็ได้รับการปรับปรุงหลาย panels เช่น Appearance, Date & Time, Mouse, Network, Users และ Wacom ส่วน GNOME Display Manager (GDM) ได้รับ hotfix สำหรับบั๊กที่ทำให้ GNOME Shell ค้าง และการตรวจสอบ Wayland ที่ผิดพลาด ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ GNOME 49.1 เป็นอัปเดตแรกของซีรีส์ GNOME 49 “Brescia” ➡️ ปรับปรุง accessibility, multi-touch, และการจัดการคีย์บอร์ด ➡️ แก้ไข zombie process จาก gnome-session ➡️ Nautilus ได้รับการแก้ไขหลายจุด เช่น paste รูปภาพ, contrast, drag-and-drop ➡️ Epiphany ปรับปรุง address bar, dropdown, และรองรับ OpenSearch ➡️ Orca เพิ่ม caret navigation และปรับปรุง voice name presentation ➡️ GNOME Software แก้ไขการแจ้งเตือนอัปเดต ➡️ GNOME Control Center ปรับปรุงหลาย panels ➡️ GDM ได้รับ hotfix สำหรับบั๊กที่ทำให้ GNOME Shell ค้าง https://9to5linux.com/gnome-49-1-desktop-released-with-various-improvements-and-bug-fixes
    9TO5LINUX.COM
    GNOME 49.1 Desktop Released with Various Improvements and Bug Fixes - 9to5Linux
    GNOME 49.1 is now available as the first point release to the latest GNOME 49 desktop environment series with various bug fixes.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 150 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ONLYOFFICE Docs 9.1 มาแล้ว!” — ปรับปรุงการทำงานร่วมกัน เพิ่มฟีเจอร์ Redact PDF และประสิทธิภาพสูตรคำนวณ

    หลังจากเปิดตัวเวอร์ชัน 9.0 ที่มาพร้อมอินเทอร์เฟซใหม่และฟีเจอร์ AI ล่าสุด ทีมพัฒนา ONLYOFFICE ได้ปล่อยเวอร์ชัน 9.1 ซึ่งเป็นการอัปเดตจุดแรกในซีรีส์ 9.x โดยเน้นการปรับปรุงประสิทธิภาพ ความสามารถในการทำงานร่วมกัน และเครื่องมือใหม่ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้สายเอกสารและองค์กร

    ฟีเจอร์เด่นในเวอร์ชันนี้คือเครื่องมือ “Redact” สำหรับ PDF ที่ช่วยลบข้อมูลสำคัญอย่างถาวร พร้อมตัวเลือก “Find & Redact” สำหรับเอกสารขนาดใหญ่ และการ Redact แบบทั้งหน้า/ช่วงหน้า นอกจากนี้ยังมีเครื่องมือ annotation ใหม่ เช่น วาดรูปทรงต่าง ๆ ลงบนเอกสาร

    ในด้านการแก้ไขเอกสารทั่วไป:

    การจัดการคอมเมนต์สามารถกรองระหว่าง “Open” และ “Resolved” ได้
    การแก้ไขกราฟรองรับการระเบิด (Explosion) สำหรับกราฟวงกลม
    การจัดการตารางมีแท็บ “Table Design” ใหม่
    Pivot Table รองรับการกรองตามวันที่
    สูตร LOOKUP, VLOOKUP, HLOOKUP และ XLOOKUP ทำงานเร็วขึ้นและใช้หน่วยความจำดีขึ้น
    การตั้งชื่อชีตและการใส่สูตรมีการเน้น argument เพื่อความเข้าใจง่าย

    ใน Presentation Editor มีแท็บ Slide Master ใหม่ ส่วน Document Editor รองรับ section break ใน block content control ทุกระดับ

    ด้านการรองรับไฟล์:
    เปิดดูภาพ HEIF และเอกสาร HWPML ได้
    แปลง PDF เป็น TXT และ PPTX เป็น TXT ได้โดยตรง
    รองรับสูตรคณิตศาสตร์ในรูปแบบ MathML

    เวอร์ชันเซิร์ฟเวอร์ยังมี Admin Panel ใหม่สำหรับดูสถานะและการตั้งค่าระบบ พร้อมการปรับปรุง localization สำหรับภาษาจีนดั้งเดิมและเซอร์เบีย

    ข้อมูลในข่าว
    ONLYOFFICE Docs 9.1 เป็นอัปเดตจุดแรกในซีรีส์ 9.x
    เพิ่มเครื่องมือ Redact สำหรับ PDF พร้อม Find & Redact และ Redact แบบช่วงหน้า
    เพิ่ม annotation tools เช่น Rectangle, Circle, Arrow, Connected Lines
    กรองคอมเมนต์ระหว่าง “Open” และ “Resolved” ได้
    รองรับ Explosion ในกราฟวงกลม 2D
    LOOKUP, VLOOKUP, HLOOKUP, XLOOKUP ทำงานเร็วขึ้น
    มีแท็บ “Table Design” สำหรับจัดการตาราง
    Pivot Table รองรับการกรองตามวันที่
    ตั้งชื่อชีตได้ทันที และสูตรมีการเน้น argument
    Presentation Editor มีแท็บ Slide Master ใหม่
    Document Editor รองรับ section break ใน block content control
    รองรับ HEIF, HWPML, PDF→TXT, PPTX→TXT, MathML
    เวอร์ชันเซิร์ฟเวอร์มี Admin Panel ใหม่
    ปรับปรุง localization สำหรับภาษาจีนดั้งเดิมและเซอร์เบีย

    https://news.itsfoss.com/onlyoffice-docs-9-1-release/
    📝 “ONLYOFFICE Docs 9.1 มาแล้ว!” — ปรับปรุงการทำงานร่วมกัน เพิ่มฟีเจอร์ Redact PDF และประสิทธิภาพสูตรคำนวณ หลังจากเปิดตัวเวอร์ชัน 9.0 ที่มาพร้อมอินเทอร์เฟซใหม่และฟีเจอร์ AI ล่าสุด ทีมพัฒนา ONLYOFFICE ได้ปล่อยเวอร์ชัน 9.1 ซึ่งเป็นการอัปเดตจุดแรกในซีรีส์ 9.x โดยเน้นการปรับปรุงประสิทธิภาพ ความสามารถในการทำงานร่วมกัน และเครื่องมือใหม่ที่ตอบโจทย์ผู้ใช้สายเอกสารและองค์กร ฟีเจอร์เด่นในเวอร์ชันนี้คือเครื่องมือ “Redact” สำหรับ PDF ที่ช่วยลบข้อมูลสำคัญอย่างถาวร พร้อมตัวเลือก “Find & Redact” สำหรับเอกสารขนาดใหญ่ และการ Redact แบบทั้งหน้า/ช่วงหน้า นอกจากนี้ยังมีเครื่องมือ annotation ใหม่ เช่น วาดรูปทรงต่าง ๆ ลงบนเอกสาร ในด้านการแก้ไขเอกสารทั่วไป: 📝 การจัดการคอมเมนต์สามารถกรองระหว่าง “Open” และ “Resolved” ได้ 📝 การแก้ไขกราฟรองรับการระเบิด (Explosion) สำหรับกราฟวงกลม 📝 การจัดการตารางมีแท็บ “Table Design” ใหม่ 📝 Pivot Table รองรับการกรองตามวันที่ 📝 สูตร LOOKUP, VLOOKUP, HLOOKUP และ XLOOKUP ทำงานเร็วขึ้นและใช้หน่วยความจำดีขึ้น 📝 การตั้งชื่อชีตและการใส่สูตรมีการเน้น argument เพื่อความเข้าใจง่าย ใน Presentation Editor มีแท็บ Slide Master ใหม่ ส่วน Document Editor รองรับ section break ใน block content control ทุกระดับ ด้านการรองรับไฟล์: 📝 เปิดดูภาพ HEIF และเอกสาร HWPML ได้ 📝 แปลง PDF เป็น TXT และ PPTX เป็น TXT ได้โดยตรง 📝 รองรับสูตรคณิตศาสตร์ในรูปแบบ MathML เวอร์ชันเซิร์ฟเวอร์ยังมี Admin Panel ใหม่สำหรับดูสถานะและการตั้งค่าระบบ พร้อมการปรับปรุง localization สำหรับภาษาจีนดั้งเดิมและเซอร์เบีย ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ ONLYOFFICE Docs 9.1 เป็นอัปเดตจุดแรกในซีรีส์ 9.x ➡️ เพิ่มเครื่องมือ Redact สำหรับ PDF พร้อม Find & Redact และ Redact แบบช่วงหน้า ➡️ เพิ่ม annotation tools เช่น Rectangle, Circle, Arrow, Connected Lines ➡️ กรองคอมเมนต์ระหว่าง “Open” และ “Resolved” ได้ ➡️ รองรับ Explosion ในกราฟวงกลม 2D ➡️ LOOKUP, VLOOKUP, HLOOKUP, XLOOKUP ทำงานเร็วขึ้น ➡️ มีแท็บ “Table Design” สำหรับจัดการตาราง ➡️ Pivot Table รองรับการกรองตามวันที่ ➡️ ตั้งชื่อชีตได้ทันที และสูตรมีการเน้น argument ➡️ Presentation Editor มีแท็บ Slide Master ใหม่ ➡️ Document Editor รองรับ section break ใน block content control ➡️ รองรับ HEIF, HWPML, PDF→TXT, PPTX→TXT, MathML ➡️ เวอร์ชันเซิร์ฟเวอร์มี Admin Panel ใหม่ ➡️ ปรับปรุง localization สำหรับภาษาจีนดั้งเดิมและเซอร์เบีย https://news.itsfoss.com/onlyoffice-docs-9-1-release/
    NEWS.ITSFOSS.COM
    ONLYOFFICE Docs 9.1 Arrives with PDF Redaction and Many Editor Upgrades
    New redaction tools, performance boosts, and enhanced collaboration features.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 110 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Synaptics เปิดตัว Astra SL2600” — โปรเซสเซอร์ Edge AI ยุคใหม่ที่รวมพลังมัลติโหมดและ RISC-V เพื่อโลก IoT อัจฉริยะ

    Synaptics ประกาศเปิดตัว Astra SL2600 Series โปรเซสเซอร์ Edge AI รุ่นใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับอุปกรณ์อัจฉริยะในยุค Internet of Things (IoT) โดยเน้นการประมวลผลแบบมัลติโหมด (multimodal) ที่รวมภาพ เสียง เซ็นเซอร์ และข้อมูลเครือข่ายไว้ในชิปเดียว

    ชิป SL2610 ซึ่งเป็นรุ่นแรกในซีรีส์นี้ ใช้แพลตฟอร์ม Torq Edge AI ที่รวมสถาปัตยกรรม NPU แบบ RISC-V จาก Coral ของ Google พร้อมคอมไพเลอร์แบบ open-source (IREE/MLIR) เพื่อให้นักพัฒนาสามารถสร้างแอปพลิเคชัน AI ได้อย่างยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพ

    SL2610 ยังรวม Arm Cortex-A55, Cortex-M52 พร้อม Helium และ Mali GPU เพื่อรองรับงานประมวลผลทั่วไปและกราฟิก พร้อมระบบความปลอดภัยในตัว เช่น root of trust, threat detection และ crypto coprocessor สำหรับงาน AI ที่ต้องการความปลอดภัยสูง

    ซีรีส์นี้มีทั้งหมด 5 รุ่นย่อย: SL2611, SL2613, SL2615, SL2617 และ SL2619 ซึ่งออกแบบให้ pin-to-pin compatible เพื่อให้ง่ายต่อการเปลี่ยนรุ่นตามความต้องการของอุปกรณ์ ตั้งแต่แบบใช้แบตเตอรี่ไปจนถึงระบบวิชั่นอุตสาหกรรม

    ชิปยังรองรับการเชื่อมต่อผ่าน Synaptics Veros Connectivity เช่น Wi-Fi 6/6E/7, Bluetooth/BLE, Thread และ UWB เพื่อให้การพัฒนาอุปกรณ์ IoT เป็นไปอย่างรวดเร็วและครบวงจร

    Synaptics ได้รับความร่วมมือจากพันธมิตรระดับโลก เช่น Google, Cisco, Sonos, Garmin, Deutsche Telekom และ Arm ซึ่งต่างยืนยันถึงความสามารถของ Astra SL2600 ในการผลักดันนวัตกรรม Edge AI

    ข้อมูลในข่าว
    Synaptics เปิดตัว Astra SL2600 Series โปรเซสเซอร์ Edge AI รุ่นใหม่
    SL2610 ใช้แพลตฟอร์ม Torq Edge AI ที่รวม Coral NPU จาก Google
    ใช้คอมไพเลอร์ open-source IREE/MLIR เพื่อความยืดหยุ่นในการพัฒนา
    รวม Arm Cortex-A55, Cortex-M52 พร้อม Helium และ Mali GPU
    มีระบบความปลอดภัยในตัว เช่น root of trust และ crypto coprocessor
    มี 5 รุ่นย่อย: SL2611, SL2613, SL2615, SL2617, SL2619 ที่ pin-to-pin compatible
    รองรับการเชื่อมต่อผ่าน Veros Connectivity: Wi-Fi 6/6E/7, BT/BLE, Thread, UWB
    เหมาะสำหรับอุปกรณ์ IoT เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า, ระบบอัตโนมัติ, UAV, เกม, POS, หุ่นยนต์
    ได้รับความร่วมมือจาก Google, Cisco, Sonos, Garmin, Deutsche Telekom และ Arm
    ชิปเริ่มส่งตัวอย่างให้ลูกค้าแล้ว และจะวางจำหน่ายทั่วไปในไตรมาส 2 ปี 2026

    https://www.techpowerup.com/341933/synaptics-launches-the-next-generation-of-astra-multimodal-genai-edge-processors
    🧠 “Synaptics เปิดตัว Astra SL2600” — โปรเซสเซอร์ Edge AI ยุคใหม่ที่รวมพลังมัลติโหมดและ RISC-V เพื่อโลก IoT อัจฉริยะ Synaptics ประกาศเปิดตัว Astra SL2600 Series โปรเซสเซอร์ Edge AI รุ่นใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับอุปกรณ์อัจฉริยะในยุค Internet of Things (IoT) โดยเน้นการประมวลผลแบบมัลติโหมด (multimodal) ที่รวมภาพ เสียง เซ็นเซอร์ และข้อมูลเครือข่ายไว้ในชิปเดียว ชิป SL2610 ซึ่งเป็นรุ่นแรกในซีรีส์นี้ ใช้แพลตฟอร์ม Torq Edge AI ที่รวมสถาปัตยกรรม NPU แบบ RISC-V จาก Coral ของ Google พร้อมคอมไพเลอร์แบบ open-source (IREE/MLIR) เพื่อให้นักพัฒนาสามารถสร้างแอปพลิเคชัน AI ได้อย่างยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพ SL2610 ยังรวม Arm Cortex-A55, Cortex-M52 พร้อม Helium และ Mali GPU เพื่อรองรับงานประมวลผลทั่วไปและกราฟิก พร้อมระบบความปลอดภัยในตัว เช่น root of trust, threat detection และ crypto coprocessor สำหรับงาน AI ที่ต้องการความปลอดภัยสูง ซีรีส์นี้มีทั้งหมด 5 รุ่นย่อย: SL2611, SL2613, SL2615, SL2617 และ SL2619 ซึ่งออกแบบให้ pin-to-pin compatible เพื่อให้ง่ายต่อการเปลี่ยนรุ่นตามความต้องการของอุปกรณ์ ตั้งแต่แบบใช้แบตเตอรี่ไปจนถึงระบบวิชั่นอุตสาหกรรม ชิปยังรองรับการเชื่อมต่อผ่าน Synaptics Veros Connectivity เช่น Wi-Fi 6/6E/7, Bluetooth/BLE, Thread และ UWB เพื่อให้การพัฒนาอุปกรณ์ IoT เป็นไปอย่างรวดเร็วและครบวงจร Synaptics ได้รับความร่วมมือจากพันธมิตรระดับโลก เช่น Google, Cisco, Sonos, Garmin, Deutsche Telekom และ Arm ซึ่งต่างยืนยันถึงความสามารถของ Astra SL2600 ในการผลักดันนวัตกรรม Edge AI ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ Synaptics เปิดตัว Astra SL2600 Series โปรเซสเซอร์ Edge AI รุ่นใหม่ ➡️ SL2610 ใช้แพลตฟอร์ม Torq Edge AI ที่รวม Coral NPU จาก Google ➡️ ใช้คอมไพเลอร์ open-source IREE/MLIR เพื่อความยืดหยุ่นในการพัฒนา ➡️ รวม Arm Cortex-A55, Cortex-M52 พร้อม Helium และ Mali GPU ➡️ มีระบบความปลอดภัยในตัว เช่น root of trust และ crypto coprocessor ➡️ มี 5 รุ่นย่อย: SL2611, SL2613, SL2615, SL2617, SL2619 ที่ pin-to-pin compatible ➡️ รองรับการเชื่อมต่อผ่าน Veros Connectivity: Wi-Fi 6/6E/7, BT/BLE, Thread, UWB ➡️ เหมาะสำหรับอุปกรณ์ IoT เช่น เครื่องใช้ไฟฟ้า, ระบบอัตโนมัติ, UAV, เกม, POS, หุ่นยนต์ ➡️ ได้รับความร่วมมือจาก Google, Cisco, Sonos, Garmin, Deutsche Telekom และ Arm ➡️ ชิปเริ่มส่งตัวอย่างให้ลูกค้าแล้ว และจะวางจำหน่ายทั่วไปในไตรมาส 2 ปี 2026 https://www.techpowerup.com/341933/synaptics-launches-the-next-generation-of-astra-multimodal-genai-edge-processors
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Synaptics Launches the Next Generation of Astra Multimodal GenAI Edge Processors
    Synaptics Incorporated (Nasdaq: SYNA), announces the new Astra SL2600 Series of multimodal Edge AI processors designed to deliver exceptional power and performance. The Astra SL2600 series enables a new generation of cost-effective intelligent devices that make the cognitive Internet of Things (IoT)...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 144 มุมมอง 0 รีวิว
  • “D-Link เปิดตัวชุดอุปกรณ์ 5G/4G Mobile Access ใหม่” — เชื่อมต่อโลกเคลื่อนที่ด้วย Wi-Fi 6 และดีไซน์เพื่อชีวิตดิจิทัล

    D-Link ประกาศขยายไลน์ผลิตภัณฑ์ 5G/4G Mobile Access Series เพื่อตอบโจทย์การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่ยืดหยุ่นและปลอดภัยสำหรับผู้ใช้งานยุคใหม่ ไม่ว่าจะเป็นนักเดินทาง, คนทำงานระยะไกล หรือครอบครัวที่ต้องการอินเทอร์เน็ตแบบพกพา

    ซีรีส์ใหม่นี้ประกอบด้วยอุปกรณ์หลากหลายประเภท เช่น mobile hotspot, mobile router และ USB adapter โดยทุกตัวรองรับ Wi-Fi 6 เพื่อความเร็วและความปลอดภัยที่เหนือกว่า

    ไฮไลต์ของผลิตภัณฑ์:

    F530 5G NR AX3000 Mobile Hotspot: หน้าจอสัมผัสควบคุมง่าย พร้อมฟีเจอร์แชร์ไฟล์ในตัว เหมาะสำหรับมืออาชีพที่ต้องการความเร็วและความคล่องตัว

    F518 5G NR AX1800 Mobile Hotspot: แบตเตอรี่ความจุสูง ใช้งานได้ทั้งวัน และสามารถใช้เป็น power bank ได้

    DBR-330-G 5G NR AX3000 Mobile Router: เหมาะสำหรับบ้านหรือออฟฟิศขนาดเล็ก รองรับ VPN และการแชร์ไฟล์

    DWR-932W 4G LTE AX300 Mobile Hotspot: ขนาดกะทัดรัด ใช้งานง่าย เหมาะสำหรับผู้ใช้ทั่วไป

    D501 5G NR USB Adapter: เสาอากาศพับได้ เชื่อมต่อผ่าน USB สำหรับโน้ตบุ๊กและพีซี

    DWM-222W 4G LTE USB Adapter: ตัวเลือกแบบ plug-and-play ที่รองรับหลายแพลตฟอร์ม

    ผลิตภัณฑ์ทั้งหมดออกแบบภายใต้แนวคิด “One Connection – Infinite Possibilities” โดยเน้นความยั่งยืน ความคิดสร้างสรรค์ และการบริการแบบครบวงจร

    ข้อมูลในข่าว
    D-Link เปิดตัวชุดอุปกรณ์ 5G/4G Mobile Access Series ใหม่
    รองรับ Wi-Fi 6 เพื่อความเร็วและความปลอดภัยที่เหนือกว่า
    F530 มีหน้าจอสัมผัสและฟีเจอร์แชร์ไฟล์ในตัว
    F518 มีแบตเตอรี่ความจุสูงและใช้เป็น power bank ได้
    DBR-330-G รองรับ VPN และเหมาะสำหรับบ้านหรือออฟฟิศ
    DWR-932W เป็น 4G hotspot ขนาดเล็ก ใช้งานง่าย
    D501 เป็น USB adapter 5G พร้อมเสาอากาศพับได้
    DWM-222W เป็น USB adapter 4G แบบ plug-and-play
    อุปกรณ์ทั้งหมดออกแบบเพื่อชีวิตเคลื่อนที่และการใช้งานที่หลากหลาย
    แนวคิด “One Connection – Infinite Possibilities” สะท้อนความยืดหยุ่นของผลิตภัณฑ์

    https://www.techpowerup.com/341925/d-link-expands-its-5g-4g-mobile-access-series
    📶 “D-Link เปิดตัวชุดอุปกรณ์ 5G/4G Mobile Access ใหม่” — เชื่อมต่อโลกเคลื่อนที่ด้วย Wi-Fi 6 และดีไซน์เพื่อชีวิตดิจิทัล D-Link ประกาศขยายไลน์ผลิตภัณฑ์ 5G/4G Mobile Access Series เพื่อตอบโจทย์การเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตที่ยืดหยุ่นและปลอดภัยสำหรับผู้ใช้งานยุคใหม่ ไม่ว่าจะเป็นนักเดินทาง, คนทำงานระยะไกล หรือครอบครัวที่ต้องการอินเทอร์เน็ตแบบพกพา ซีรีส์ใหม่นี้ประกอบด้วยอุปกรณ์หลากหลายประเภท เช่น mobile hotspot, mobile router และ USB adapter โดยทุกตัวรองรับ Wi-Fi 6 เพื่อความเร็วและความปลอดภัยที่เหนือกว่า ไฮไลต์ของผลิตภัณฑ์: 🔋 F530 5G NR AX3000 Mobile Hotspot: หน้าจอสัมผัสควบคุมง่าย พร้อมฟีเจอร์แชร์ไฟล์ในตัว เหมาะสำหรับมืออาชีพที่ต้องการความเร็วและความคล่องตัว 🔋 F518 5G NR AX1800 Mobile Hotspot: แบตเตอรี่ความจุสูง ใช้งานได้ทั้งวัน และสามารถใช้เป็น power bank ได้ 🏠 DBR-330-G 5G NR AX3000 Mobile Router: เหมาะสำหรับบ้านหรือออฟฟิศขนาดเล็ก รองรับ VPN และการแชร์ไฟล์ 📱 DWR-932W 4G LTE AX300 Mobile Hotspot: ขนาดกะทัดรัด ใช้งานง่าย เหมาะสำหรับผู้ใช้ทั่วไป 💻 D501 5G NR USB Adapter: เสาอากาศพับได้ เชื่อมต่อผ่าน USB สำหรับโน้ตบุ๊กและพีซี 💻 DWM-222W 4G LTE USB Adapter: ตัวเลือกแบบ plug-and-play ที่รองรับหลายแพลตฟอร์ม ผลิตภัณฑ์ทั้งหมดออกแบบภายใต้แนวคิด “One Connection – Infinite Possibilities” โดยเน้นความยั่งยืน ความคิดสร้างสรรค์ และการบริการแบบครบวงจร ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ D-Link เปิดตัวชุดอุปกรณ์ 5G/4G Mobile Access Series ใหม่ ➡️ รองรับ Wi-Fi 6 เพื่อความเร็วและความปลอดภัยที่เหนือกว่า ➡️ F530 มีหน้าจอสัมผัสและฟีเจอร์แชร์ไฟล์ในตัว ➡️ F518 มีแบตเตอรี่ความจุสูงและใช้เป็น power bank ได้ ➡️ DBR-330-G รองรับ VPN และเหมาะสำหรับบ้านหรือออฟฟิศ ➡️ DWR-932W เป็น 4G hotspot ขนาดเล็ก ใช้งานง่าย ➡️ D501 เป็น USB adapter 5G พร้อมเสาอากาศพับได้ ➡️ DWM-222W เป็น USB adapter 4G แบบ plug-and-play ➡️ อุปกรณ์ทั้งหมดออกแบบเพื่อชีวิตเคลื่อนที่และการใช้งานที่หลากหลาย ➡️ แนวคิด “One Connection – Infinite Possibilities” สะท้อนความยืดหยุ่นของผลิตภัณฑ์ https://www.techpowerup.com/341925/d-link-expands-its-5g-4g-mobile-access-series
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    D-Link Expands Its 5G/4G Mobile Access Series
    D-Link Corporation (TWSE: 2332), one of the global leaders in networking solutions, today announced its expanded 5G/4G Mobile Access Series, a comprehensive lineup designed to meet the growing demand for flexible, high-speed connectivity. The new portfolio empowers users to overcome the limitations ...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 151 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Intel เปิดตัว Crescent Island” — GPU สำหรับงาน AI โดยเฉพาะ พร้อมหน่วยความจำ 160GB และสถาปัตยกรรม Xe3P

    Intel ประกาศเปิดตัว GPU รุ่นใหม่สำหรับศูนย์ข้อมูลในชื่อ “Crescent Island” ซึ่งออกแบบมาเพื่อรองรับงาน AI inference โดยเฉพาะ โดยใช้สถาปัตยกรรมกราฟิก Xe3P ที่พัฒนาต่อจาก Xe3 ซึ่งจะถูกนำไปใช้ในซีรีส์ Arc C สำหรับลูกค้าทั่วไป และ Arc Pro B สำหรับงานมืออาชีพ

    Crescent Island ถูกออกแบบให้เหมาะกับเซิร์ฟเวอร์แบบระบายความร้อนด้วยอากาศ โดยเน้นประสิทธิภาพต่อวัตต์และต้นทุนที่เหมาะสม พร้อมหน่วยความจำ LPDDR5X ขนาดมหาศาลถึง 160GB ซึ่งช่วยเพิ่มแบนด์วิดธ์และรองรับข้อมูลหลากหลายประเภทที่ใช้ในงาน inference ได้ดีขึ้น โดยเฉพาะสำหรับผู้ให้บริการ “tokens-as-a-service” ที่ต้องการประมวลผลโมเดลขนาดใหญ่

    Intel ยังพัฒนา software stack แบบ unified สำหรับระบบ AI heterogeneous ซึ่งกำลังทดสอบอยู่บน Arc Pro B-Series เพื่อให้สามารถนำไปใช้กับ Crescent Island ได้ทันทีเมื่อเปิดตัว

    การส่งมอบตัวอย่าง GPU รุ่นนี้ให้ลูกค้าเริ่มต้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2026 ซึ่งถือเป็นการกลับมาแข่งขันในตลาดศูนย์ข้อมูล AI ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเน้นความคุ้มค่าและการใช้งานที่ยืดหยุ่นมากกว่าการใช้หน่วยความจำ HBM ที่มีต้นทุนสูงและหายาก

    ข้อมูลในข่าว
    Intel เปิดตัว GPU “Crescent Island” สำหรับงาน AI inference โดยเฉพาะ
    ใช้สถาปัตยกรรม Xe3P ที่พัฒนาต่อจาก Xe3 และจะใช้ใน Arc C-Series และ Arc Pro B-Series
    มาพร้อมหน่วยความจำ LPDDR5X ขนาด 160GB
    ออกแบบให้เหมาะกับเซิร์ฟเวอร์แบบระบายความร้อนด้วยอากาศ
    รองรับข้อมูลหลากหลายประเภท เหมาะกับผู้ให้บริการ tokens-as-a-service
    พัฒนา software stack แบบ unified สำหรับระบบ AI heterogeneous
    เริ่มส่งตัวอย่างให้ลูกค้าในครึ่งหลังของปี 2026

    คำเตือนจากข้อมูลข่าว
    การใช้ LPDDR5X แทน HBM อาจมีข้อจำกัดด้าน latency และ bandwidth ในบางกรณี
    หาก software stack ไม่พร้อมใช้งานเมื่อเปิดตัว อาจกระทบต่อการนำไปใช้งานจริง
    การแข่งขันในตลาด inference GPU ยังมีผู้เล่นรายใหญ่อย่าง NVIDIA และ AMD
    การออกแบบสำหรับเซิร์ฟเวอร์แบบ air-cooled อาจไม่เหมาะกับงานที่ใช้พลังงานสูงมาก

    https://wccftech.com/intel-crescent-island-gpu-next-gen-xe3p-graphics-160-gb-lpddr5x-ai-inference/
    🧠 “Intel เปิดตัว Crescent Island” — GPU สำหรับงาน AI โดยเฉพาะ พร้อมหน่วยความจำ 160GB และสถาปัตยกรรม Xe3P Intel ประกาศเปิดตัว GPU รุ่นใหม่สำหรับศูนย์ข้อมูลในชื่อ “Crescent Island” ซึ่งออกแบบมาเพื่อรองรับงาน AI inference โดยเฉพาะ โดยใช้สถาปัตยกรรมกราฟิก Xe3P ที่พัฒนาต่อจาก Xe3 ซึ่งจะถูกนำไปใช้ในซีรีส์ Arc C สำหรับลูกค้าทั่วไป และ Arc Pro B สำหรับงานมืออาชีพ Crescent Island ถูกออกแบบให้เหมาะกับเซิร์ฟเวอร์แบบระบายความร้อนด้วยอากาศ โดยเน้นประสิทธิภาพต่อวัตต์และต้นทุนที่เหมาะสม พร้อมหน่วยความจำ LPDDR5X ขนาดมหาศาลถึง 160GB ซึ่งช่วยเพิ่มแบนด์วิดธ์และรองรับข้อมูลหลากหลายประเภทที่ใช้ในงาน inference ได้ดีขึ้น โดยเฉพาะสำหรับผู้ให้บริการ “tokens-as-a-service” ที่ต้องการประมวลผลโมเดลขนาดใหญ่ Intel ยังพัฒนา software stack แบบ unified สำหรับระบบ AI heterogeneous ซึ่งกำลังทดสอบอยู่บน Arc Pro B-Series เพื่อให้สามารถนำไปใช้กับ Crescent Island ได้ทันทีเมื่อเปิดตัว การส่งมอบตัวอย่าง GPU รุ่นนี้ให้ลูกค้าเริ่มต้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2026 ซึ่งถือเป็นการกลับมาแข่งขันในตลาดศูนย์ข้อมูล AI ที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยเน้นความคุ้มค่าและการใช้งานที่ยืดหยุ่นมากกว่าการใช้หน่วยความจำ HBM ที่มีต้นทุนสูงและหายาก ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ Intel เปิดตัว GPU “Crescent Island” สำหรับงาน AI inference โดยเฉพาะ ➡️ ใช้สถาปัตยกรรม Xe3P ที่พัฒนาต่อจาก Xe3 และจะใช้ใน Arc C-Series และ Arc Pro B-Series ➡️ มาพร้อมหน่วยความจำ LPDDR5X ขนาด 160GB ➡️ ออกแบบให้เหมาะกับเซิร์ฟเวอร์แบบระบายความร้อนด้วยอากาศ ➡️ รองรับข้อมูลหลากหลายประเภท เหมาะกับผู้ให้บริการ tokens-as-a-service ➡️ พัฒนา software stack แบบ unified สำหรับระบบ AI heterogeneous ➡️ เริ่มส่งตัวอย่างให้ลูกค้าในครึ่งหลังของปี 2026 ‼️ คำเตือนจากข้อมูลข่าว ⛔ การใช้ LPDDR5X แทน HBM อาจมีข้อจำกัดด้าน latency และ bandwidth ในบางกรณี ⛔ หาก software stack ไม่พร้อมใช้งานเมื่อเปิดตัว อาจกระทบต่อการนำไปใช้งานจริง ⛔ การแข่งขันในตลาด inference GPU ยังมีผู้เล่นรายใหญ่อย่าง NVIDIA และ AMD ⛔ การออกแบบสำหรับเซิร์ฟเวอร์แบบ air-cooled อาจไม่เหมาะกับงานที่ใช้พลังงานสูงมาก https://wccftech.com/intel-crescent-island-gpu-next-gen-xe3p-graphics-160-gb-lpddr5x-ai-inference/
    WCCFTECH.COM
    Intel Crescent Island GPU Unveiled: Features Next-Gen Xe3P Graphics Architecture, 160 GB LPDDR5X For AI Inference
    Intel has unveiled its brand new AI inference GPU solution for data centers, codenamed Crescent Island, which features the Xe3P architecture.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 143 มุมมอง 0 รีวิว
  • “GStreamer 1.26.7 — อัปเดตใหม่เพื่อ Jetson AV1 พร้อมฟีเจอร์เสียงและวิดีโอที่แม่นยำยิ่งขึ้น”

    GStreamer 1.26.7 ได้รับการปล่อยออกมาแล้วในฐานะอัปเดตบำรุงรักษาชุดที่ 7 ของซีรีส์ 1.26 โดยมีการปรับปรุงสำคัญเพื่อรองรับการเข้ารหัส AV1 บน NVIDIA Jetson ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มยอดนิยมสำหรับงาน AI และวิดีโอแบบ embedded

    การอัปเดตนี้ปรับปรุง rtpbasepay2 ให้สามารถใช้ PTS เดิมซ้ำได้เมื่อจำเป็น และเพิ่มความสามารถให้ rtspsrc ส่ง keepalive ผ่าน TCP/interleaved ซึ่งช่วยให้การสตรีม RTSP มีความเสถียรมากขึ้น

    นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มตัวจัดการ payload สำหรับเสียงแบบ linear (L8, L16, L24), ปรับปรุงการจัดการเสียงรอบทิศทางใน qtdemux, และเพิ่มประสิทธิภาพในการเล่นวิดีโอจาก GoPro

    ยังมีการแก้ไขปัญหา CUDA 13.0 ในการคอมไพล์เคอร์เนล, ปรับปรุงการจัดการหน่วยความจำใน cea608overlay, และเพิ่มการรองรับ buffer ขนาดใหญ่ใน unixfd ซึ่งช่วยให้ระบบสามารถจัดการข้อมูลวิดีโอที่ซับซ้อนได้ดีขึ้น

    GStreamer 1.26.7 เป็นอัปเดตบำรุงรักษาชุดที่ 7 ของซีรีส์ 1.26
    เน้นปรับปรุงประสิทธิภาพและความเสถียร

    ปรับปรุงการรองรับ NVIDIA Jetson AV1 encoder
    โดยปรับ rtpbasepay2 ให้ใช้ PTS เดิมซ้ำได้

    rtspsrc รองรับการส่ง keepalive ผ่าน TCP/interleaved
    เพิ่มความเสถียรในการสตรีม RTSP

    เพิ่ม RTP payloaders/depayloaders สำหรับเสียงแบบ linear (L8, L16, L24)
    รองรับการใช้งานเสียงที่แม่นยำมากขึ้น

    ปรับปรุง qtdemux ให้จัดการเสียงรอบทิศทางได้ดีขึ้น
    เหมาะสำหรับงานมัลติมีเดียที่ซับซ้อน

    เพิ่มประสิทธิภาพในการเล่นวิดีโอจาก GoPro
    ลด latency และเพิ่มความลื่นไหล

    แก้ไขการคอมไพล์ CUDA 13.0 และปรับปรุง cea608overlay
    รองรับหน่วยความจำที่ไม่ใช่ระบบได้ดีขึ้น

    unixfd รองรับ buffer ขนาดใหญ่
    เหมาะสำหรับการจัดการข้อมูลวิดีโอความละเอียดสูง

    อัปเดต Meson เป็นเวอร์ชัน 1.9.0 เพื่อรองรับ Xcode 26
    เพิ่มความเข้ากันได้กับ macOS รุ่นใหม่

    ปรับปรุง GESTimeline ให้เคารพการ discard จาก signal
    เพิ่มความแม่นยำในการจัดการ timeline

    https://9to5linux.com/gstreamer-1-26-7-improves-support-for-the-nvidia-jetson-av1-encoder
    🎥 “GStreamer 1.26.7 — อัปเดตใหม่เพื่อ Jetson AV1 พร้อมฟีเจอร์เสียงและวิดีโอที่แม่นยำยิ่งขึ้น” GStreamer 1.26.7 ได้รับการปล่อยออกมาแล้วในฐานะอัปเดตบำรุงรักษาชุดที่ 7 ของซีรีส์ 1.26 โดยมีการปรับปรุงสำคัญเพื่อรองรับการเข้ารหัส AV1 บน NVIDIA Jetson ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มยอดนิยมสำหรับงาน AI และวิดีโอแบบ embedded การอัปเดตนี้ปรับปรุง rtpbasepay2 ให้สามารถใช้ PTS เดิมซ้ำได้เมื่อจำเป็น และเพิ่มความสามารถให้ rtspsrc ส่ง keepalive ผ่าน TCP/interleaved ซึ่งช่วยให้การสตรีม RTSP มีความเสถียรมากขึ้น นอกจากนี้ยังมีการเพิ่มตัวจัดการ payload สำหรับเสียงแบบ linear (L8, L16, L24), ปรับปรุงการจัดการเสียงรอบทิศทางใน qtdemux, และเพิ่มประสิทธิภาพในการเล่นวิดีโอจาก GoPro ยังมีการแก้ไขปัญหา CUDA 13.0 ในการคอมไพล์เคอร์เนล, ปรับปรุงการจัดการหน่วยความจำใน cea608overlay, และเพิ่มการรองรับ buffer ขนาดใหญ่ใน unixfd ซึ่งช่วยให้ระบบสามารถจัดการข้อมูลวิดีโอที่ซับซ้อนได้ดีขึ้น ✅ GStreamer 1.26.7 เป็นอัปเดตบำรุงรักษาชุดที่ 7 ของซีรีส์ 1.26 ➡️ เน้นปรับปรุงประสิทธิภาพและความเสถียร ✅ ปรับปรุงการรองรับ NVIDIA Jetson AV1 encoder ➡️ โดยปรับ rtpbasepay2 ให้ใช้ PTS เดิมซ้ำได้ ✅ rtspsrc รองรับการส่ง keepalive ผ่าน TCP/interleaved ➡️ เพิ่มความเสถียรในการสตรีม RTSP ✅ เพิ่ม RTP payloaders/depayloaders สำหรับเสียงแบบ linear (L8, L16, L24) ➡️ รองรับการใช้งานเสียงที่แม่นยำมากขึ้น ✅ ปรับปรุง qtdemux ให้จัดการเสียงรอบทิศทางได้ดีขึ้น ➡️ เหมาะสำหรับงานมัลติมีเดียที่ซับซ้อน ✅ เพิ่มประสิทธิภาพในการเล่นวิดีโอจาก GoPro ➡️ ลด latency และเพิ่มความลื่นไหล ✅ แก้ไขการคอมไพล์ CUDA 13.0 และปรับปรุง cea608overlay ➡️ รองรับหน่วยความจำที่ไม่ใช่ระบบได้ดีขึ้น ✅ unixfd รองรับ buffer ขนาดใหญ่ ➡️ เหมาะสำหรับการจัดการข้อมูลวิดีโอความละเอียดสูง ✅ อัปเดต Meson เป็นเวอร์ชัน 1.9.0 เพื่อรองรับ Xcode 26 ➡️ เพิ่มความเข้ากันได้กับ macOS รุ่นใหม่ ✅ ปรับปรุง GESTimeline ให้เคารพการ discard จาก signal ➡️ เพิ่มความแม่นยำในการจัดการ timeline https://9to5linux.com/gstreamer-1-26-7-improves-support-for-the-nvidia-jetson-av1-encoder
    9TO5LINUX.COM
    GStreamer 1.26.7 Improves Support for the NVIDIA Jetson AV1 Encoder - 9to5Linux
    GStreamer 1.26.7 open-source multimedia framework is now available for download with various improvements and bug fixes.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 114 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Tails 7.1 — อัปเดตใหม่ของระบบปฏิบัติการล่องหน พร้อม Tor Browser รุ่นล่าสุด และความปลอดภัยที่เหนือชั้น”

    Tails 7.1 ได้รับการปล่อยออกมาแล้วในฐานะอัปเดตแรกของซีรีส์ 7.x โดยยังคงยืนหยัดในภารกิจเดิม: ปกป้องผู้ใช้จากการถูกติดตามและเซ็นเซอร์ผ่านระบบปฏิบัติการแบบพกพาที่เน้นความเป็นส่วนตัวสูงสุด

    การเปลี่ยนแปลงสำคัญในเวอร์ชันนี้คือการปรับหน้าแรกของ Tor Browser ให้เป็นหน้าออฟไลน์แทนที่จะเชื่อมต่อกับเว็บไซต์ของ Tails โดยตรง ซึ่งช่วยลดการเปิดเผยข้อมูลและเพิ่มความปลอดภัยเมื่อเริ่มใช้งาน

    นอกจากนี้ยังมีการอัปเดตซอฟต์แวร์สำคัญหลายรายการ เช่น Tor Browser 14.5.8, Tor client 0.4.8.19 และ Mozilla Thunderbird 140.3.0 พร้อมปรับปรุงการจัดการสิทธิ์ root และลบแพ็กเกจ ifupdown ที่ล้าสมัย

    Tails 7.1 ยังปรับข้อกำหนดด้านฮาร์ดแวร์ โดยต้องการ RAM ขั้นต่ำ 3 GB แทน 2 GB เพื่อให้ระบบทำงานได้อย่างราบรื่น และมีระบบแจ้งเตือนหากเครื่องไม่ผ่านเกณฑ์

    Tails 7.1 เป็นอัปเดตแรกของซีรีส์ 7.x
    เน้นความปลอดภัยและการไม่เปิดเผยตัวตน

    หน้าแรกของ Tor Browser ถูกเปลี่ยนเป็นหน้าออฟไลน์
    ลดการเปิดเผยข้อมูลเมื่อเริ่มใช้งาน

    อัปเดตซอฟต์แวร์สำคัญหลายรายการ
    Tor Browser 14.5.8, Tor client 0.4.8.19, Thunderbird 140.3.0

    ปรับปรุงการจัดการสิทธิ์ root เมื่อไม่มีรหัสผ่าน
    เพิ่มความสะดวกและปลอดภัยในการใช้งาน

    ลบแพ็กเกจ ifupdown ที่ล้าสมัย
    ลดความซับซ้อนของระบบเครือข่าย

    ต้องการ RAM ขั้นต่ำ 3 GB
    มีระบบแจ้งเตือนหากเครื่องไม่ผ่านเกณฑ์

    รองรับการอัปเกรดอัตโนมัติจาก Tails 7.0
    หรืออัปเกรดแบบ manual ก็ได้

    https://9to5linux.com/tails-7-1-anonymous-linux-os-released-with-tor-browser-14-5-8-and-tor-0-4-8-19
    🕶️ “Tails 7.1 — อัปเดตใหม่ของระบบปฏิบัติการล่องหน พร้อม Tor Browser รุ่นล่าสุด และความปลอดภัยที่เหนือชั้น” Tails 7.1 ได้รับการปล่อยออกมาแล้วในฐานะอัปเดตแรกของซีรีส์ 7.x โดยยังคงยืนหยัดในภารกิจเดิม: ปกป้องผู้ใช้จากการถูกติดตามและเซ็นเซอร์ผ่านระบบปฏิบัติการแบบพกพาที่เน้นความเป็นส่วนตัวสูงสุด การเปลี่ยนแปลงสำคัญในเวอร์ชันนี้คือการปรับหน้าแรกของ Tor Browser ให้เป็นหน้าออฟไลน์แทนที่จะเชื่อมต่อกับเว็บไซต์ของ Tails โดยตรง ซึ่งช่วยลดการเปิดเผยข้อมูลและเพิ่มความปลอดภัยเมื่อเริ่มใช้งาน นอกจากนี้ยังมีการอัปเดตซอฟต์แวร์สำคัญหลายรายการ เช่น Tor Browser 14.5.8, Tor client 0.4.8.19 และ Mozilla Thunderbird 140.3.0 พร้อมปรับปรุงการจัดการสิทธิ์ root และลบแพ็กเกจ ifupdown ที่ล้าสมัย Tails 7.1 ยังปรับข้อกำหนดด้านฮาร์ดแวร์ โดยต้องการ RAM ขั้นต่ำ 3 GB แทน 2 GB เพื่อให้ระบบทำงานได้อย่างราบรื่น และมีระบบแจ้งเตือนหากเครื่องไม่ผ่านเกณฑ์ ✅ Tails 7.1 เป็นอัปเดตแรกของซีรีส์ 7.x ➡️ เน้นความปลอดภัยและการไม่เปิดเผยตัวตน ✅ หน้าแรกของ Tor Browser ถูกเปลี่ยนเป็นหน้าออฟไลน์ ➡️ ลดการเปิดเผยข้อมูลเมื่อเริ่มใช้งาน ✅ อัปเดตซอฟต์แวร์สำคัญหลายรายการ ➡️ Tor Browser 14.5.8, Tor client 0.4.8.19, Thunderbird 140.3.0 ✅ ปรับปรุงการจัดการสิทธิ์ root เมื่อไม่มีรหัสผ่าน ➡️ เพิ่มความสะดวกและปลอดภัยในการใช้งาน ✅ ลบแพ็กเกจ ifupdown ที่ล้าสมัย ➡️ ลดความซับซ้อนของระบบเครือข่าย ✅ ต้องการ RAM ขั้นต่ำ 3 GB ➡️ มีระบบแจ้งเตือนหากเครื่องไม่ผ่านเกณฑ์ ✅ รองรับการอัปเกรดอัตโนมัติจาก Tails 7.0 ➡️ หรืออัปเกรดแบบ manual ก็ได้ https://9to5linux.com/tails-7-1-anonymous-linux-os-released-with-tor-browser-14-5-8-and-tor-0-4-8-19
    9TO5LINUX.COM
    Tails 7.1 Anonymous Linux OS Released with Tor Browser 14.5.8 and Tor 0.4.8.19 - 9to5Linux
    Tails 7.1 anonymous Linux OS is now available for download with Tor Browser 14.5.8, Tor 0.4.8.19, and Mozilla Thunderbird 140.3.0.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 129 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Sora พุ่งแรง! แอปสร้างวิดีโอด้วย AI จาก OpenAI ทะลุ 1 ล้านดาวน์โหลดใน 5 วัน แม้ยังจำกัดการเข้าถึง”

    OpenAI เปิดตัวแอป Sora ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลที่ให้ผู้ใช้สร้างวิดีโอจากข้อความหรือภาพนิ่งด้วยโมเดล AI Sora 2 โดยสามารถเพิ่มเสียง ดนตรี และบทสนทนาอัตโนมัติตามบริบทของคำสั่งที่ผู้ใช้ป้อนเข้าไป พร้อมฟีเจอร์ Cameo ที่ให้ผู้ใช้ใส่อวาตาร์เสมือนจริงของตนเองลงในวิดีโอได้อย่างสมจริง

    แม้จะเปิดให้ใช้งานเฉพาะในอเมริกาเหนือ และต้องได้รับคำเชิญเท่านั้น แต่ Sora ก็สามารถทำยอดดาวน์โหลดทะลุ 1 ล้านครั้งภายในเวลาไม่ถึง 5 วัน หรือเฉลี่ย 200,000 ครั้งต่อวัน ซึ่งถือว่าเร็วกว่า ChatGPT ในช่วงเปิดตัวเสียอีก

    แอปมีหน้าฟีดแบบ TikTok ที่แสดงวิดีโอที่สร้างด้วย AI ตามความสนใจของผู้ใช้ และได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วในหมู่ผู้ใช้งานที่ชื่นชอบการสร้างคอนเทนต์แบบใหม่ อย่างไรก็ตาม Sora ก็เผชิญกับข้อถกเถียงเรื่องลิขสิทธิ์ เมื่อมีผู้ใช้สร้างตัวละครจากซีรีส์ดัง เช่น SpongeBob, Rick and Morty และ South Park โดยเปลี่ยนเนื้อเรื่องเดิม ซึ่งทำให้สมาคมภาพยนตร์สหรัฐฯ (MPA) ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ OpenAI “ดำเนินการอย่างเด็ดขาด” เพื่อควบคุมการละเมิดนี้

    OpenAI เตรียมเพิ่มระบบควบคุมให้เจ้าของลิขสิทธิ์สามารถจัดการการสร้างตัวละครและเนื้อหาได้ละเอียดขึ้น เพื่อป้องกันการละเมิดในอนาคต

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    แอป Sora จาก OpenAI ใช้โมเดล Sora 2 สำหรับสร้างวิดีโอจากข้อความหรือภาพนิ่ง
    ฟีเจอร์ Cameo ให้ผู้ใช้ใส่อวาตาร์เสมือนจริงลงในวิดีโอ
    แอปเพิ่มเสียง ดนตรี และบทสนทนาอัตโนมัติตามคำสั่ง
    มีหน้าฟีดแบบ TikTok ที่แสดงวิดีโอ AI ตามความสนใจของผู้ใช้
    Sora ทำยอดดาวน์โหลดทะลุ 1 ล้านครั้งใน 5 วัน เฉลี่ย 200,000 ครั้งต่อวัน
    เปิดใช้งานเฉพาะในอเมริกาเหนือ และต้องได้รับคำเชิญเท่านั้น
    เร็วกว่า ChatGPT ในช่วงเปิดตัว แม้จำกัดการเข้าถึง
    ผู้ใช้สามารถสร้างตัวละครใหม่ในซีรีส์ดังได้ผ่านแอป
    MPA เรียกร้องให้ OpenAI ควบคุมการละเมิดลิขสิทธิ์
    OpenAI เตรียมเพิ่มระบบควบคุมให้เจ้าของลิขสิทธิ์จัดการเนื้อหาได้ละเอียดขึ้น

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Sora 2 เป็นโมเดล text-to-video ที่ใช้ deep learning ในการสร้างภาพเคลื่อนไหว
    การสร้างวิดีโอจากภาพนิ่งช่วยให้ผู้ใช้มีวิธีเล่าเรื่องแบบใหม่
    Cameo avatars ใช้เทคโนโลยี generative face synthesis เพื่อความสมจริง
    การเพิ่มเสียงและบทสนทนาอัตโนมัติช่วยลดเวลาในการตัดต่อวิดีโอ
    การจำกัดการเข้าถึงแบบ invite-only เป็นกลยุทธ์ควบคุมคุณภาพและความปลอดภัย

    https://wccftech.com/openais-sora-video-app-now-averaging-200k-downloads-per-day-despite-invite-only-access/
    📱 “Sora พุ่งแรง! แอปสร้างวิดีโอด้วย AI จาก OpenAI ทะลุ 1 ล้านดาวน์โหลดใน 5 วัน แม้ยังจำกัดการเข้าถึง” OpenAI เปิดตัวแอป Sora ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มโซเชียลที่ให้ผู้ใช้สร้างวิดีโอจากข้อความหรือภาพนิ่งด้วยโมเดล AI Sora 2 โดยสามารถเพิ่มเสียง ดนตรี และบทสนทนาอัตโนมัติตามบริบทของคำสั่งที่ผู้ใช้ป้อนเข้าไป พร้อมฟีเจอร์ Cameo ที่ให้ผู้ใช้ใส่อวาตาร์เสมือนจริงของตนเองลงในวิดีโอได้อย่างสมจริง แม้จะเปิดให้ใช้งานเฉพาะในอเมริกาเหนือ และต้องได้รับคำเชิญเท่านั้น แต่ Sora ก็สามารถทำยอดดาวน์โหลดทะลุ 1 ล้านครั้งภายในเวลาไม่ถึง 5 วัน หรือเฉลี่ย 200,000 ครั้งต่อวัน ซึ่งถือว่าเร็วกว่า ChatGPT ในช่วงเปิดตัวเสียอีก แอปมีหน้าฟีดแบบ TikTok ที่แสดงวิดีโอที่สร้างด้วย AI ตามความสนใจของผู้ใช้ และได้รับความนิยมอย่างรวดเร็วในหมู่ผู้ใช้งานที่ชื่นชอบการสร้างคอนเทนต์แบบใหม่ อย่างไรก็ตาม Sora ก็เผชิญกับข้อถกเถียงเรื่องลิขสิทธิ์ เมื่อมีผู้ใช้สร้างตัวละครจากซีรีส์ดัง เช่น SpongeBob, Rick and Morty และ South Park โดยเปลี่ยนเนื้อเรื่องเดิม ซึ่งทำให้สมาคมภาพยนตร์สหรัฐฯ (MPA) ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ OpenAI “ดำเนินการอย่างเด็ดขาด” เพื่อควบคุมการละเมิดนี้ OpenAI เตรียมเพิ่มระบบควบคุมให้เจ้าของลิขสิทธิ์สามารถจัดการการสร้างตัวละครและเนื้อหาได้ละเอียดขึ้น เพื่อป้องกันการละเมิดในอนาคต ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ แอป Sora จาก OpenAI ใช้โมเดล Sora 2 สำหรับสร้างวิดีโอจากข้อความหรือภาพนิ่ง ➡️ ฟีเจอร์ Cameo ให้ผู้ใช้ใส่อวาตาร์เสมือนจริงลงในวิดีโอ ➡️ แอปเพิ่มเสียง ดนตรี และบทสนทนาอัตโนมัติตามคำสั่ง ➡️ มีหน้าฟีดแบบ TikTok ที่แสดงวิดีโอ AI ตามความสนใจของผู้ใช้ ➡️ Sora ทำยอดดาวน์โหลดทะลุ 1 ล้านครั้งใน 5 วัน เฉลี่ย 200,000 ครั้งต่อวัน ➡️ เปิดใช้งานเฉพาะในอเมริกาเหนือ และต้องได้รับคำเชิญเท่านั้น ➡️ เร็วกว่า ChatGPT ในช่วงเปิดตัว แม้จำกัดการเข้าถึง ➡️ ผู้ใช้สามารถสร้างตัวละครใหม่ในซีรีส์ดังได้ผ่านแอป ➡️ MPA เรียกร้องให้ OpenAI ควบคุมการละเมิดลิขสิทธิ์ ➡️ OpenAI เตรียมเพิ่มระบบควบคุมให้เจ้าของลิขสิทธิ์จัดการเนื้อหาได้ละเอียดขึ้น ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Sora 2 เป็นโมเดล text-to-video ที่ใช้ deep learning ในการสร้างภาพเคลื่อนไหว ➡️ การสร้างวิดีโอจากภาพนิ่งช่วยให้ผู้ใช้มีวิธีเล่าเรื่องแบบใหม่ ➡️ Cameo avatars ใช้เทคโนโลยี generative face synthesis เพื่อความสมจริง ➡️ การเพิ่มเสียงและบทสนทนาอัตโนมัติช่วยลดเวลาในการตัดต่อวิดีโอ ➡️ การจำกัดการเข้าถึงแบบ invite-only เป็นกลยุทธ์ควบคุมคุณภาพและความปลอดภัย https://wccftech.com/openais-sora-video-app-now-averaging-200k-downloads-per-day-despite-invite-only-access/
    WCCFTECH.COM
    OpenAI's Sora Video App Now Averaging 200K Downloads Per Day, Despite Invite-Only Access
    OpenAI seems to have hit a home run with Sora, its new app for AI-generated videos, judging by the app's accelerating download trend.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 210 มุมมอง 0 รีวิว
  • “PipeWire 1.4.9 มาแล้ว! เสถียรขึ้น รองรับ libcamera sandbox และแก้ปัญหาเสียง ALSA อย่างชาญฉลาด”

    PipeWire 1.4.9 ได้เปิดตัวเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2025 โดยเป็นการอัปเดตบำรุงรักษาในซีรีส์ 1.4 ของระบบจัดการสตรีมเสียงและวิดีโอแบบโอเพ่นซอร์สบน Linux ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในปัจจุบัน เวอร์ชันนี้เน้นการแก้ไขบั๊กและปรับปรุงความเข้ากันได้กับฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์รุ่นใหม่ โดยเฉพาะการทำงานร่วมกับ libcamera และ ALSA

    หนึ่งในจุดเด่นคือการปรับปรุงการกู้คืนเสียงเมื่อ ALSA ไม่รองรับ “3 periods” ซึ่งเคยทำให้ระบบเสียงล่มหรือไม่ตอบสนอง นอกจากนี้ยังแก้ regression ที่ทำให้ node ไม่เข้าสู่สถานะพร้อมใช้งาน และแก้ปัญหาการเริ่มต้น adapter ที่ล้มเหลว

    PipeWire 1.4.9 ยังลบการตั้งค่า RestrictNamespaces ออกจากไฟล์ systemd เพื่อให้ libcamera สามารถโหลด IPA modules แบบ sandbox ได้ ซึ่งเป็นการเปิดทางให้ระบบกล้องใน Linux ทำงานได้ปลอดภัยและยืดหยุ่นมากขึ้น โดยเฉพาะในเบราว์เซอร์อย่าง Firefox ที่ใช้ PipeWire เป็น backend สำหรับกล้อง

    การอัปเดตนี้ยังรวมถึงการแก้ไข SDP session hash, session-id, NULL dereference ใน profiler, และการเปรียบเทียบ event ใน UMP ที่ผิดพลาด รวมถึงการ backport patch จาก libcamera เพื่อรองรับ calorimetry และปรับปรุง thread-safety

    PipeWire ยังเพิ่มการจัดการข้อผิดพลาดในการจัดสรร file descriptor ใน Avahi และปรับค่า headroom สำหรับ SOF cards ให้ใช้ minimal period size โดยค่าเริ่มต้น เพื่อเพิ่มเสถียรภาพในการใช้งานกับอุปกรณ์เสียงรุ่นใหม่

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    PipeWire 1.4.9 เปิดตัวเมื่อ 9 ตุลาคม 2025 เป็นการอัปเดตบำรุงรักษา
    แก้ regression ที่ทำให้ node ไม่เข้าสู่สถานะพร้อมใช้งาน
    ปรับปรุงการกู้คืนเสียงเมื่อ ALSA ไม่รองรับ “3 periods”
    ลบ RestrictNamespaces จาก systemd เพื่อให้ libcamera โหลด IPA modules แบบ sandbox ได้
    แก้ SDP session hash และ session-id ให้ถูกต้อง
    แก้ NULL dereference ใน profiler และ UMP event compare function
    แก้ปัญหา adapter ที่เริ่มต้นและ resume ไม่ได้
    ปรับค่า headroom สำหรับ SOF cards ให้ใช้ minimal period size
    Backport patch จาก libcamera เช่น calorimetry และ thread-safety
    เพิ่มการจัดการข้อผิดพลาด fd allocation ใน Avahi

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    PipeWire เป็น backend หลักสำหรับเสียงและวิดีโอบน Linux แทน PulseAudio และ JACK
    libcamera เป็นระบบจัดการกล้องแบบใหม่ที่ใช้ใน Linux และ Android
    IPA modules คือ Image Processing Algorithm ที่ช่วยปรับภาพจากกล้องให้เหมาะสม
    systemd RestrictNamespaces เป็นการจำกัดการเข้าถึง namespace เพื่อความปลอดภัย
    SOF (Sound Open Firmware) เป็นเฟรมเวิร์กเสียงของ Intel ที่ใช้ในอุปกรณ์รุ่นใหม่

    https://9to5linux.com/pipewire-1-4-9-improves-alsa-recovery-and-adapts-to-newer-libcamera-changes
    🎧 “PipeWire 1.4.9 มาแล้ว! เสถียรขึ้น รองรับ libcamera sandbox และแก้ปัญหาเสียง ALSA อย่างชาญฉลาด” PipeWire 1.4.9 ได้เปิดตัวเมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2025 โดยเป็นการอัปเดตบำรุงรักษาในซีรีส์ 1.4 ของระบบจัดการสตรีมเสียงและวิดีโอแบบโอเพ่นซอร์สบน Linux ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในปัจจุบัน เวอร์ชันนี้เน้นการแก้ไขบั๊กและปรับปรุงความเข้ากันได้กับฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์รุ่นใหม่ โดยเฉพาะการทำงานร่วมกับ libcamera และ ALSA หนึ่งในจุดเด่นคือการปรับปรุงการกู้คืนเสียงเมื่อ ALSA ไม่รองรับ “3 periods” ซึ่งเคยทำให้ระบบเสียงล่มหรือไม่ตอบสนอง นอกจากนี้ยังแก้ regression ที่ทำให้ node ไม่เข้าสู่สถานะพร้อมใช้งาน และแก้ปัญหาการเริ่มต้น adapter ที่ล้มเหลว PipeWire 1.4.9 ยังลบการตั้งค่า RestrictNamespaces ออกจากไฟล์ systemd เพื่อให้ libcamera สามารถโหลด IPA modules แบบ sandbox ได้ ซึ่งเป็นการเปิดทางให้ระบบกล้องใน Linux ทำงานได้ปลอดภัยและยืดหยุ่นมากขึ้น โดยเฉพาะในเบราว์เซอร์อย่าง Firefox ที่ใช้ PipeWire เป็น backend สำหรับกล้อง การอัปเดตนี้ยังรวมถึงการแก้ไข SDP session hash, session-id, NULL dereference ใน profiler, และการเปรียบเทียบ event ใน UMP ที่ผิดพลาด รวมถึงการ backport patch จาก libcamera เพื่อรองรับ calorimetry และปรับปรุง thread-safety PipeWire ยังเพิ่มการจัดการข้อผิดพลาดในการจัดสรร file descriptor ใน Avahi และปรับค่า headroom สำหรับ SOF cards ให้ใช้ minimal period size โดยค่าเริ่มต้น เพื่อเพิ่มเสถียรภาพในการใช้งานกับอุปกรณ์เสียงรุ่นใหม่ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ PipeWire 1.4.9 เปิดตัวเมื่อ 9 ตุลาคม 2025 เป็นการอัปเดตบำรุงรักษา ➡️ แก้ regression ที่ทำให้ node ไม่เข้าสู่สถานะพร้อมใช้งาน ➡️ ปรับปรุงการกู้คืนเสียงเมื่อ ALSA ไม่รองรับ “3 periods” ➡️ ลบ RestrictNamespaces จาก systemd เพื่อให้ libcamera โหลด IPA modules แบบ sandbox ได้ ➡️ แก้ SDP session hash และ session-id ให้ถูกต้อง ➡️ แก้ NULL dereference ใน profiler และ UMP event compare function ➡️ แก้ปัญหา adapter ที่เริ่มต้นและ resume ไม่ได้ ➡️ ปรับค่า headroom สำหรับ SOF cards ให้ใช้ minimal period size ➡️ Backport patch จาก libcamera เช่น calorimetry และ thread-safety ➡️ เพิ่มการจัดการข้อผิดพลาด fd allocation ใน Avahi ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ PipeWire เป็น backend หลักสำหรับเสียงและวิดีโอบน Linux แทน PulseAudio และ JACK ➡️ libcamera เป็นระบบจัดการกล้องแบบใหม่ที่ใช้ใน Linux และ Android ➡️ IPA modules คือ Image Processing Algorithm ที่ช่วยปรับภาพจากกล้องให้เหมาะสม ➡️ systemd RestrictNamespaces เป็นการจำกัดการเข้าถึง namespace เพื่อความปลอดภัย ➡️ SOF (Sound Open Firmware) เป็นเฟรมเวิร์กเสียงของ Intel ที่ใช้ในอุปกรณ์รุ่นใหม่ https://9to5linux.com/pipewire-1-4-9-improves-alsa-recovery-and-adapts-to-newer-libcamera-changes
    9TO5LINUX.COM
    PipeWire 1.4.9 Improves ALSA Recovery and Adapts to Newer libcamera Changes - 9to5Linux
    PipeWire 1.4.9 open-source server for handling audio/video streams and hardware on Linux is now available for download with various changes.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 230 มุมมอง 0 รีวิว
  • “AOC เปิดตัวจอเกมสองรุ่นใหม่ U32G4U และ Q27G4SRU — จอเร็ว 320Hz ในราคาประหยัด พร้อมโหมดคู่ UHD/FHD สำหรับทุกสไตล์เกมเมอร์”

    AOC ผู้ผลิตจอภาพชื่อดังในกลุ่มเกมเมอร์ เปิดตัวจอเกมสองรุ่นใหม่ในซีรีส์ AGON ได้แก่ U32G4U และ Q27G4SRU โดยเน้นความเร็ว ความคมชัด และความคุ้มค่าในราคาที่เข้าถึงได้ ทั้งสองรุ่นใช้พาเนล Fast IPS ที่ตอบสนองเร็วระดับ 1ms GtG และรองรับเทคโนโลยี Adaptive Sync รวมถึง G-SYNC Compatible เพื่อภาพลื่นไหลไร้การฉีกขาด

    Q27G4SRU มาพร้อมหน้าจอขนาด 27 นิ้ว ความละเอียด QHD (2560x1440) และรีเฟรชเรตสูงถึง 320Hz เหมาะสำหรับเกมเมอร์สายแข่งขันที่ต้องการความเร็วและความคมชัดในขนาดที่พอดี โดยมีความสว่างสูงสุด 450 nits, รองรับ DisplayHDR 400 และครอบคลุมสี 136.9% sRGB และ 93.7% DCI-P3

    U32G4U คือรุ่นที่โดดเด่นด้วย “Dual Mode” ให้ผู้ใช้เลือกได้ระหว่าง UHD (3840x2160) ที่ 160Hz สำหรับภาพสวยคมในเกมเนื้อเรื่อง หรือ FHD (1920x1080) ที่ 320Hz สำหรับเกมที่ต้องการความเร็วสูง โดยหน้าจอขนาด 31.5 นิ้วให้พื้นที่การมองเห็นกว้างขึ้น เหมาะกับเกมแข่งรถ เกมยิง และงานสร้างคอนเทนต์

    ทั้งสองรุ่นมีพอร์ต HDMI 2.1 สองช่อง, DisplayPort 1.4 หนึ่งช่อง และ USB Hub 4 พอร์ต พร้อมลำโพงในตัว 2x2W และขาตั้งปรับระดับได้ รองรับการใช้งานทั้งกับ PC และคอนโซลยุคใหม่

    ราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ £249 สำหรับ Q27G4SRU และ £339 สำหรับ U32G4U โดยจะวางขายกลางเดือนตุลาคม 2025 พร้อมรับประกัน 3 ปี

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    AOC เปิดตัวจอเกมรุ่น Q27G4SRU และ U32G4U ในซีรีส์ AGON
    ทั้งสองรุ่นใช้พาเนล Fast IPS ตอบสนองเร็ว 1ms GtG
    Q27G4SRU: ขนาด 27 นิ้ว, QHD 2560x1440, รีเฟรชเรต 320Hz
    U32G4U: ขนาด 31.5 นิ้ว, Dual Mode UHD@160Hz / FHD@320Hz
    รองรับ DisplayHDR 400, ความสว่างสูงสุด 450 nits
    ครอบคลุมสี 136.9% sRGB และ 93.7% DCI-P3
    มีพอร์ต HDMI 2.1 x2, DP 1.4 x1, USB Hub x4, ลำโพง 2x2W
    รองรับ G-SYNC Compatible และ Adaptive Sync
    ราคาจำหน่าย: Q27G4SRU £249 / U32G4U £339 พร้อมรับประกัน 3 ปี

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    จอ 320Hz ให้ความลื่นไหลเหนือกว่า 240Hz อย่างชัดเจนในเกม FPS
    Dual Mode ช่วยให้ผู้ใช้เลือกโหมดตามประเภทเกมหรือฮาร์ดแวร์ที่ใช้งาน
    Fast IPS ให้สีสวยและมุมมองกว้างกว่า TN หรือ VA
    DisplayHDR 400 เหมาะกับการเล่นเกมและดูคอนเทนต์ทั่วไป
    USB Hub ช่วยลดความยุ่งยากในการเชื่อมต่ออุปกรณ์เสริม

    https://wccftech.com/aoc-launches-dual-mode-u32g4u-and-qhd-q27g4sru-gaming-monitors-in-the-budget-segment/
    🖥️ “AOC เปิดตัวจอเกมสองรุ่นใหม่ U32G4U และ Q27G4SRU — จอเร็ว 320Hz ในราคาประหยัด พร้อมโหมดคู่ UHD/FHD สำหรับทุกสไตล์เกมเมอร์” AOC ผู้ผลิตจอภาพชื่อดังในกลุ่มเกมเมอร์ เปิดตัวจอเกมสองรุ่นใหม่ในซีรีส์ AGON ได้แก่ U32G4U และ Q27G4SRU โดยเน้นความเร็ว ความคมชัด และความคุ้มค่าในราคาที่เข้าถึงได้ ทั้งสองรุ่นใช้พาเนล Fast IPS ที่ตอบสนองเร็วระดับ 1ms GtG และรองรับเทคโนโลยี Adaptive Sync รวมถึง G-SYNC Compatible เพื่อภาพลื่นไหลไร้การฉีกขาด Q27G4SRU มาพร้อมหน้าจอขนาด 27 นิ้ว ความละเอียด QHD (2560x1440) และรีเฟรชเรตสูงถึง 320Hz เหมาะสำหรับเกมเมอร์สายแข่งขันที่ต้องการความเร็วและความคมชัดในขนาดที่พอดี โดยมีความสว่างสูงสุด 450 nits, รองรับ DisplayHDR 400 และครอบคลุมสี 136.9% sRGB และ 93.7% DCI-P3 U32G4U คือรุ่นที่โดดเด่นด้วย “Dual Mode” ให้ผู้ใช้เลือกได้ระหว่าง UHD (3840x2160) ที่ 160Hz สำหรับภาพสวยคมในเกมเนื้อเรื่อง หรือ FHD (1920x1080) ที่ 320Hz สำหรับเกมที่ต้องการความเร็วสูง โดยหน้าจอขนาด 31.5 นิ้วให้พื้นที่การมองเห็นกว้างขึ้น เหมาะกับเกมแข่งรถ เกมยิง และงานสร้างคอนเทนต์ ทั้งสองรุ่นมีพอร์ต HDMI 2.1 สองช่อง, DisplayPort 1.4 หนึ่งช่อง และ USB Hub 4 พอร์ต พร้อมลำโพงในตัว 2x2W และขาตั้งปรับระดับได้ รองรับการใช้งานทั้งกับ PC และคอนโซลยุคใหม่ ราคาจำหน่ายเริ่มต้นที่ £249 สำหรับ Q27G4SRU และ £339 สำหรับ U32G4U โดยจะวางขายกลางเดือนตุลาคม 2025 พร้อมรับประกัน 3 ปี ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ AOC เปิดตัวจอเกมรุ่น Q27G4SRU และ U32G4U ในซีรีส์ AGON ➡️ ทั้งสองรุ่นใช้พาเนล Fast IPS ตอบสนองเร็ว 1ms GtG ➡️ Q27G4SRU: ขนาด 27 นิ้ว, QHD 2560x1440, รีเฟรชเรต 320Hz ➡️ U32G4U: ขนาด 31.5 นิ้ว, Dual Mode UHD@160Hz / FHD@320Hz ➡️ รองรับ DisplayHDR 400, ความสว่างสูงสุด 450 nits ➡️ ครอบคลุมสี 136.9% sRGB และ 93.7% DCI-P3 ➡️ มีพอร์ต HDMI 2.1 x2, DP 1.4 x1, USB Hub x4, ลำโพง 2x2W ➡️ รองรับ G-SYNC Compatible และ Adaptive Sync ➡️ ราคาจำหน่าย: Q27G4SRU £249 / U32G4U £339 พร้อมรับประกัน 3 ปี ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ จอ 320Hz ให้ความลื่นไหลเหนือกว่า 240Hz อย่างชัดเจนในเกม FPS ➡️ Dual Mode ช่วยให้ผู้ใช้เลือกโหมดตามประเภทเกมหรือฮาร์ดแวร์ที่ใช้งาน ➡️ Fast IPS ให้สีสวยและมุมมองกว้างกว่า TN หรือ VA ➡️ DisplayHDR 400 เหมาะกับการเล่นเกมและดูคอนเทนต์ทั่วไป ➡️ USB Hub ช่วยลดความยุ่งยากในการเชื่อมต่ออุปกรณ์เสริม https://wccftech.com/aoc-launches-dual-mode-u32g4u-and-qhd-q27g4sru-gaming-monitors-in-the-budget-segment/
    WCCFTECH.COM
    AOC Launches Dual Mode U32G4U And QHD Q27G4SRU Gaming Monitors In The Budget Segment
    AOC has launched two new budget gaming monitors, featuring a QHD model called Q27G4SRU and a dual mode model called U32G4U.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 191 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Huawei เดินเกมเดี่ยวผลักดัน 5G-Advanced พร้อม AI — คาดมือถือรองรับแตะ 100 ล้านเครื่องภายในสิ้นปี 2025”

    Huawei ประกาศวิสัยทัศน์ใหม่ในงาน Huawei Connect 2025 โดยมุ่งผลักดันเทคโนโลยี 5G-Advanced (5G-A) ที่ผสานการเชื่อมต่อไร้สายเข้ากับปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อสร้างเครือข่ายที่ “เข้าใจผู้ใช้” และ “ตอบสนองแบบเรียลไทม์” โดยคาดว่าภายในสิ้นปี 2025 จะมีสมาร์ตโฟนที่รองรับ 5G-A มากกว่า 100 ล้านเครื่อง และมีเครือข่ายขนาดใหญ่กว่า 50 แห่งเปิดใช้งานทั่วโลก

    หัวใจของแนวทางนี้คือ AgenticRAN — เฟรมเวิร์กที่ฝัง AI เข้าไปในทุกชั้นของเครือข่าย ตั้งแต่การจัดการคลื่นความถี่ พลังงาน ไปจนถึงการดำเนินงาน โดย Huawei ระบุว่าเป็นก้าวสู่ระบบอัตโนมัติระดับ AN L4 แม้จะยังไม่ใช่มาตรฐานสากร แต่ถือเป็นหมุดหมายภายในของบริษัท

    ฮาร์ดแวร์ใหม่อย่าง AAU ซีรีส์ล่าสุดมาพร้อมดีไซน์ dual-band fused array ที่ช่วยเพิ่มความครอบคลุมและลด latency สำหรับงาน AI แบบเรียลไทม์ เช่น การสื่อสารด้วย intent-driven, การทำงานร่วมกันข้ามอุปกรณ์ และแม้แต่การโต้ตอบแบบ holographic

    Huawei ยังเน้นการเชื่อมต่อในทุกพื้นที่ ตั้งแต่เมืองหนาแน่นไปจนถึงชนบทห่างไกล โดยมีโซลูชันอย่าง RuralCow และ LampSite X ที่สามารถติดตั้งในทะเลทรายหรือกลางมหาสมุทรได้ พร้อมระบบเสาอากาศและพลังงานแบบดิจิทัลที่เปลี่ยนส่วนประกอบแบบ passive ให้กลายเป็นโครงสร้างที่รับรู้ข้อมูลและควบคุมได้

    นอกจากนี้ Huawei ยังคาดการณ์ว่าในปี 2030 จำนวน AI agents จะมากกว่าแอปพลิเคชันแบบเดิม และจะเปลี่ยนวิธีที่ผู้ใช้โต้ตอบกับอุปกรณ์อย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะเมื่อ AI ถูกฝังเข้าไปในเครือข่ายและอุปกรณ์โดยตรง

    แม้ Huawei จะวางแผนอย่างทะเยอทะยาน แต่การยอมรับในระดับโลกยังเป็นคำถามใหญ่ โดยเฉพาะในตลาดนอกจีนที่ยังมีข้อจำกัดด้านการทำงานร่วมกันและต้นทุนการปรับโครงสร้างเครือข่าย

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Huawei ผลักดัน 5G-Advanced (5G-A) ผสาน AI เพื่อสร้างเครือข่ายอัจฉริยะ
    คาดว่าจะมีสมาร์ตโฟนรองรับ 5G-A มากกว่า 100 ล้านเครื่องภายในสิ้นปี 2025
    เครือข่ายขนาดใหญ่กว่า 50 แห่งจะเปิดใช้งานทั่วโลก
    ใช้เฟรมเวิร์ก AgenticRAN เพื่อฝัง AI ในคลื่น พลังงาน และการดำเนินงาน
    ฮาร์ดแวร์ใหม่ AAU ซีรีส์ ใช้ dual-band fused array เพิ่มความเร็วและลด latency
    โซลูชัน RuralCow และ LampSite X รองรับการติดตั้งในพื้นที่ห่างไกล
    ระบบเสาอากาศและพลังงานแบบดิจิทัลช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุม
    คาดว่า AI agents จะมากกว่าแอปทั่วไปภายในปี 2030
    Huawei มองว่า 5G-A จะเป็นทั้งเทคโนโลยีและตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    5G-Advanced คือการพัฒนาเพิ่มเติมจาก 5G ที่เน้นความเร็ว ultra-low latency และ AI integration
    AI agents คือระบบที่สามารถเข้าใจเจตนาและโต้ตอบกับผู้ใช้แบบอัตโนมัติ
    การสื่อสารแบบ intent-driven ช่วยให้ผู้ใช้สั่งงานด้วยความหมาย ไม่ใช่คำสั่งแบบเดิม
    การเชื่อมต่อแบบ ubiquitous IoT จะเป็นรากฐานของเมืองอัจฉริยะและระบบอัตโนมัติ
    Huawei เป็นผู้นำด้านเครือข่ายในจีน โดยมีข้อได้เปรียบด้านการผลิตและนโยบาย

    https://www.techradar.com/pro/chinas-huawei-powers-ahead-solo-with-5g-advanced-predicts-100-million-smartphones-will-be-5g-a-compatible-by-the-end-of-2025-and-it-is-just-getting-started
    📶 “Huawei เดินเกมเดี่ยวผลักดัน 5G-Advanced พร้อม AI — คาดมือถือรองรับแตะ 100 ล้านเครื่องภายในสิ้นปี 2025” Huawei ประกาศวิสัยทัศน์ใหม่ในงาน Huawei Connect 2025 โดยมุ่งผลักดันเทคโนโลยี 5G-Advanced (5G-A) ที่ผสานการเชื่อมต่อไร้สายเข้ากับปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อสร้างเครือข่ายที่ “เข้าใจผู้ใช้” และ “ตอบสนองแบบเรียลไทม์” โดยคาดว่าภายในสิ้นปี 2025 จะมีสมาร์ตโฟนที่รองรับ 5G-A มากกว่า 100 ล้านเครื่อง และมีเครือข่ายขนาดใหญ่กว่า 50 แห่งเปิดใช้งานทั่วโลก หัวใจของแนวทางนี้คือ AgenticRAN — เฟรมเวิร์กที่ฝัง AI เข้าไปในทุกชั้นของเครือข่าย ตั้งแต่การจัดการคลื่นความถี่ พลังงาน ไปจนถึงการดำเนินงาน โดย Huawei ระบุว่าเป็นก้าวสู่ระบบอัตโนมัติระดับ AN L4 แม้จะยังไม่ใช่มาตรฐานสากร แต่ถือเป็นหมุดหมายภายในของบริษัท ฮาร์ดแวร์ใหม่อย่าง AAU ซีรีส์ล่าสุดมาพร้อมดีไซน์ dual-band fused array ที่ช่วยเพิ่มความครอบคลุมและลด latency สำหรับงาน AI แบบเรียลไทม์ เช่น การสื่อสารด้วย intent-driven, การทำงานร่วมกันข้ามอุปกรณ์ และแม้แต่การโต้ตอบแบบ holographic Huawei ยังเน้นการเชื่อมต่อในทุกพื้นที่ ตั้งแต่เมืองหนาแน่นไปจนถึงชนบทห่างไกล โดยมีโซลูชันอย่าง RuralCow และ LampSite X ที่สามารถติดตั้งในทะเลทรายหรือกลางมหาสมุทรได้ พร้อมระบบเสาอากาศและพลังงานแบบดิจิทัลที่เปลี่ยนส่วนประกอบแบบ passive ให้กลายเป็นโครงสร้างที่รับรู้ข้อมูลและควบคุมได้ นอกจากนี้ Huawei ยังคาดการณ์ว่าในปี 2030 จำนวน AI agents จะมากกว่าแอปพลิเคชันแบบเดิม และจะเปลี่ยนวิธีที่ผู้ใช้โต้ตอบกับอุปกรณ์อย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะเมื่อ AI ถูกฝังเข้าไปในเครือข่ายและอุปกรณ์โดยตรง แม้ Huawei จะวางแผนอย่างทะเยอทะยาน แต่การยอมรับในระดับโลกยังเป็นคำถามใหญ่ โดยเฉพาะในตลาดนอกจีนที่ยังมีข้อจำกัดด้านการทำงานร่วมกันและต้นทุนการปรับโครงสร้างเครือข่าย ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Huawei ผลักดัน 5G-Advanced (5G-A) ผสาน AI เพื่อสร้างเครือข่ายอัจฉริยะ ➡️ คาดว่าจะมีสมาร์ตโฟนรองรับ 5G-A มากกว่า 100 ล้านเครื่องภายในสิ้นปี 2025 ➡️ เครือข่ายขนาดใหญ่กว่า 50 แห่งจะเปิดใช้งานทั่วโลก ➡️ ใช้เฟรมเวิร์ก AgenticRAN เพื่อฝัง AI ในคลื่น พลังงาน และการดำเนินงาน ➡️ ฮาร์ดแวร์ใหม่ AAU ซีรีส์ ใช้ dual-band fused array เพิ่มความเร็วและลด latency ➡️ โซลูชัน RuralCow และ LampSite X รองรับการติดตั้งในพื้นที่ห่างไกล ➡️ ระบบเสาอากาศและพลังงานแบบดิจิทัลช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุม ➡️ คาดว่า AI agents จะมากกว่าแอปทั่วไปภายในปี 2030 ➡️ Huawei มองว่า 5G-A จะเป็นทั้งเทคโนโลยีและตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ 5G-Advanced คือการพัฒนาเพิ่มเติมจาก 5G ที่เน้นความเร็ว ultra-low latency และ AI integration ➡️ AI agents คือระบบที่สามารถเข้าใจเจตนาและโต้ตอบกับผู้ใช้แบบอัตโนมัติ ➡️ การสื่อสารแบบ intent-driven ช่วยให้ผู้ใช้สั่งงานด้วยความหมาย ไม่ใช่คำสั่งแบบเดิม ➡️ การเชื่อมต่อแบบ ubiquitous IoT จะเป็นรากฐานของเมืองอัจฉริยะและระบบอัตโนมัติ ➡️ Huawei เป็นผู้นำด้านเครือข่ายในจีน โดยมีข้อได้เปรียบด้านการผลิตและนโยบาย https://www.techradar.com/pro/chinas-huawei-powers-ahead-solo-with-5g-advanced-predicts-100-million-smartphones-will-be-5g-a-compatible-by-the-end-of-2025-and-it-is-just-getting-started
    WWW.TECHRADAR.COM
    Huawei 5G-Advanced promises futuristic connectivity and AI agents
    Huawei's market is likely to be mostly, if not entirely, in China
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 225 มุมมอง 0 รีวิว
  • “10 ยานพาหนะไซไฟในตำนานจากหนังและซีรีส์ — จาก Millennium Falcon ถึง Optimus Prime”

    โลกภาพยนตร์ไซไฟไม่เพียงแต่พาเราท่องไปในอวกาศหรืออนาคตอันไกลโพ้น แต่ยังสร้างสรรค์ “ยานพาหนะ” ที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของยุคและจินตนาการของผู้ชมทั่วโลก บทความจาก SlashGear ได้รวบรวม 10 ยานพาหนะไซไฟที่โดดเด่นที่สุดในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์และโทรทัศน์ ซึ่งแต่ละคันไม่เพียงมีดีไซน์ล้ำยุค แต่ยังมีเรื่องราวและเทคโนโลยีที่ทำให้แฟน ๆ จดจำไม่ลืม

    ยานพาหนะไซไฟในตำนาน
    Millennium Falcon — ยาน Corellian freighter ที่เร็วเกินกว่าความเร็วแสง
    KITT — รถ AI จาก Knight Rider ที่พูดได้ ขับเองได้ และวิเคราะห์อาชญากรรม
    Batmobile — เวอร์ชัน 1989 มี afterburner, bomb dispenser และระบบป้องกัน
    DeLorean — รถย้อนเวลาใน Back to the Future ที่บินได้และใช้ขยะเป็นพลังงาน
    Light Cycles — มอเตอร์ไซค์ดิจิทัลจาก Tron ที่ทิ้งแสงไว้เบื้องหลัง
    USS Enterprise — ยานสำรวจอวกาศจาก Star Trek ที่มี warp drive และ Holodeck
    TARDIS — กล่องโทรศัพท์ที่ใหญ่กว่าภายในจาก Doctor Who
    Spinners — รถบินจาก Blade Runner ที่หมุนตัวได้และบินแนวดิ่ง
    Optimus Prime — หุ่นยนต์ที่แปลงร่างเป็นรถบรรทุกจาก Transformers
    V8 Interceptor — รถกล้ามจาก Mad Max ที่เป็นสัญลักษณ์ของโลกหลังหายนะ

    https://www.slashgear.com/1679666/most-iconic-sci-fi-vehicles-movies-tv/
    🚀 “10 ยานพาหนะไซไฟในตำนานจากหนังและซีรีส์ — จาก Millennium Falcon ถึง Optimus Prime” โลกภาพยนตร์ไซไฟไม่เพียงแต่พาเราท่องไปในอวกาศหรืออนาคตอันไกลโพ้น แต่ยังสร้างสรรค์ “ยานพาหนะ” ที่กลายเป็นสัญลักษณ์ของยุคและจินตนาการของผู้ชมทั่วโลก บทความจาก SlashGear ได้รวบรวม 10 ยานพาหนะไซไฟที่โดดเด่นที่สุดในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์และโทรทัศน์ ซึ่งแต่ละคันไม่เพียงมีดีไซน์ล้ำยุค แต่ยังมีเรื่องราวและเทคโนโลยีที่ทำให้แฟน ๆ จดจำไม่ลืม ✅ ยานพาหนะไซไฟในตำนาน ➡️ Millennium Falcon — ยาน Corellian freighter ที่เร็วเกินกว่าความเร็วแสง ➡️ KITT — รถ AI จาก Knight Rider ที่พูดได้ ขับเองได้ และวิเคราะห์อาชญากรรม ➡️ Batmobile — เวอร์ชัน 1989 มี afterburner, bomb dispenser และระบบป้องกัน ➡️ DeLorean — รถย้อนเวลาใน Back to the Future ที่บินได้และใช้ขยะเป็นพลังงาน ➡️ Light Cycles — มอเตอร์ไซค์ดิจิทัลจาก Tron ที่ทิ้งแสงไว้เบื้องหลัง ➡️ USS Enterprise — ยานสำรวจอวกาศจาก Star Trek ที่มี warp drive และ Holodeck ➡️ TARDIS — กล่องโทรศัพท์ที่ใหญ่กว่าภายในจาก Doctor Who ➡️ Spinners — รถบินจาก Blade Runner ที่หมุนตัวได้และบินแนวดิ่ง ➡️ Optimus Prime — หุ่นยนต์ที่แปลงร่างเป็นรถบรรทุกจาก Transformers ➡️ V8 Interceptor — รถกล้ามจาก Mad Max ที่เป็นสัญลักษณ์ของโลกหลังหายนะ https://www.slashgear.com/1679666/most-iconic-sci-fi-vehicles-movies-tv/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    10 Of The Most Iconic Sci-Fi Vehicles In Movies And TV - SlashGear
    Sci-Fi movies and TV have born so many examples of future-like technology, some of which that's led to real inventions. These are the most iconic examples.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 232 มุมมอง 0 รีวิว
  • “AMD vs Intel ปี 2025 — เมื่อ Ryzen 9000X3D ทิ้งห่าง Arrow Lake ทั้งด้านเกมและประสิทธิภาพต่อราคา”

    ในปี 2025 การแข่งขันระหว่าง AMD และ Intel ยังคงดุเดือด โดยเฉพาะในตลาดซีพียูสำหรับเดสก์ท็อป ล่าสุดเว็บไซต์ Tom’s Hardware ได้สรุปผลการเปรียบเทียบระหว่าง AMD Ryzen 9000 ซีรีส์ (โดยเฉพาะรุ่น X3D) กับ Intel Core Ultra 200S ซีรีส์ (Arrow Lake) ซึ่งชี้ชัดว่า AMD ยังคงครองตำแหน่งผู้นำในหลายด้าน โดยเฉพาะเกมมิ่งและความคุ้มค่าต่อราคา

    AMD Ryzen 9000X3D ใช้เทคโนโลยี 3D V-Cache รุ่นที่สอง ซึ่งช่วยเพิ่มแคช L3 ได้มหาศาล ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการเล่นเกมสูงขึ้นถึง 30% เมื่อเทียบกับ Intel Core Ultra 9 285K แม้ Intel จะพยายามตอบโต้ด้วย “200S Boost” ซึ่งเป็นชุดปรับแต่งประสิทธิภาพ แต่ก็ยังไม่สามารถแซง AMD ได้ในด้านเกมมิ่ง

    ในด้านการทำงานและการสร้างคอนเทนต์ Intel ยังคงมีจุดแข็งในงานแบบ single-thread ด้วย P-core ที่มี latency ต่ำ แต่ AMD ก็มีความได้เปรียบในงาน multi-thread ด้วยจำนวน core ที่มากกว่าและการรองรับ AVX-512 ซึ่งเหมาะกับงานประมวลผลหนัก

    ด้านการใช้พลังงาน AMD ได้เปรียบจากการใช้เทคโนโลยี 4nm ของ TSMC ทำให้ประสิทธิภาพต่อวัตต์สูงกว่า Intel อย่างชัดเจน ขณะที่ Intel ยังต้องใช้พลังงานสูงและมีความร้อนสะสมมากกว่า

    ในเรื่องการโอเวอร์คล็อก Intel ยังคงเป็นผู้นำ โดยเปิดให้ปรับแต่งได้มากกว่า AMD แต่ต้องใช้เมนบอร์ด Z-series และระบบระบายความร้อนที่ดี ส่วน AMD มีระบบ Precision Boost Overdrive ที่ใช้งานง่ายแต่ปรับแต่งได้น้อยกว่า

    สุดท้าย ในด้านความปลอดภัย AMD ได้เปรียบจากการมีช่องโหว่น้อยกว่า Intel โดยเฉพาะในรุ่นก่อนหน้าที่ได้รับผลกระทบจาก Spectre และ Meltdown ซึ่งยังคงส่งผลต่อประสิทธิภาพหลังการแก้ไข

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    AMD Ryzen 9000X3D ใช้เทคโนโลยี 3D V-Cache รุ่นใหม่ เพิ่มแคช L3 ได้สูงถึง 144MB
    Intel Core Ultra 200S มีจุดเด่นด้าน single-thread ด้วย P-core ที่มี latency ต่ำ
    AMD ได้เปรียบในงาน multi-thread และรองรับ AVX-512 สำหรับงานประมวลผลหนัก
    AMD ใช้เทคโนโลยี 4nm จาก TSMC ทำให้ประสิทธิภาพต่อวัตต์สูงกว่า Intel
    Intel ยังเป็นผู้นำด้านโอเวอร์คล็อก แต่ต้องใช้เมนบอร์ด Z-series และระบบระบายความร้อนดี
    AMD มีระบบ Precision Boost Overdrive ที่ใช้งานง่ายแต่ปรับแต่งได้น้อย
    AMD มีช่องโหว่ด้านความปลอดภัยน้อยกว่า Intel โดยเฉพาะในรุ่นก่อนหน้า
    AMD รองรับซ็อกเก็ต AM5 ไปจนถึงปี 2025+ ขณะที่ Intel ยังไม่ยืนยันการรองรับรุ่นถัดไป

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Ryzen 9 9950X3D มี 16 คอร์ 32 เธรด ความเร็วสูงสุด 5.7GHz และแคชรวม 144MB
    Intel Core Ultra 9 285K มี 24 คอร์ (8P + 16E) และแคชรวม 76MB
    AMD Ryzen 7 9800X3D เป็นซีพียูเกมมิ่งที่เร็วที่สุดในตลาด ณ ปี 2025
    Intel ใช้สถาปัตยกรรมแบบ tile-based ซึ่งส่งผลลบต่อประสิทธิภาพเกม
    AMD มีซีพียูรุ่นกลางที่ใช้เทคโนโลยี X3D เช่น Ryzen 5 5600X3D ซึ่งคุ้มค่ามาก

    https://www.tomshardware.com/features/amd-vs-intel-cpus
    ⚔️ “AMD vs Intel ปี 2025 — เมื่อ Ryzen 9000X3D ทิ้งห่าง Arrow Lake ทั้งด้านเกมและประสิทธิภาพต่อราคา” ในปี 2025 การแข่งขันระหว่าง AMD และ Intel ยังคงดุเดือด โดยเฉพาะในตลาดซีพียูสำหรับเดสก์ท็อป ล่าสุดเว็บไซต์ Tom’s Hardware ได้สรุปผลการเปรียบเทียบระหว่าง AMD Ryzen 9000 ซีรีส์ (โดยเฉพาะรุ่น X3D) กับ Intel Core Ultra 200S ซีรีส์ (Arrow Lake) ซึ่งชี้ชัดว่า AMD ยังคงครองตำแหน่งผู้นำในหลายด้าน โดยเฉพาะเกมมิ่งและความคุ้มค่าต่อราคา AMD Ryzen 9000X3D ใช้เทคโนโลยี 3D V-Cache รุ่นที่สอง ซึ่งช่วยเพิ่มแคช L3 ได้มหาศาล ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการเล่นเกมสูงขึ้นถึง 30% เมื่อเทียบกับ Intel Core Ultra 9 285K แม้ Intel จะพยายามตอบโต้ด้วย “200S Boost” ซึ่งเป็นชุดปรับแต่งประสิทธิภาพ แต่ก็ยังไม่สามารถแซง AMD ได้ในด้านเกมมิ่ง ในด้านการทำงานและการสร้างคอนเทนต์ Intel ยังคงมีจุดแข็งในงานแบบ single-thread ด้วย P-core ที่มี latency ต่ำ แต่ AMD ก็มีความได้เปรียบในงาน multi-thread ด้วยจำนวน core ที่มากกว่าและการรองรับ AVX-512 ซึ่งเหมาะกับงานประมวลผลหนัก ด้านการใช้พลังงาน AMD ได้เปรียบจากการใช้เทคโนโลยี 4nm ของ TSMC ทำให้ประสิทธิภาพต่อวัตต์สูงกว่า Intel อย่างชัดเจน ขณะที่ Intel ยังต้องใช้พลังงานสูงและมีความร้อนสะสมมากกว่า ในเรื่องการโอเวอร์คล็อก Intel ยังคงเป็นผู้นำ โดยเปิดให้ปรับแต่งได้มากกว่า AMD แต่ต้องใช้เมนบอร์ด Z-series และระบบระบายความร้อนที่ดี ส่วน AMD มีระบบ Precision Boost Overdrive ที่ใช้งานง่ายแต่ปรับแต่งได้น้อยกว่า สุดท้าย ในด้านความปลอดภัย AMD ได้เปรียบจากการมีช่องโหว่น้อยกว่า Intel โดยเฉพาะในรุ่นก่อนหน้าที่ได้รับผลกระทบจาก Spectre และ Meltdown ซึ่งยังคงส่งผลต่อประสิทธิภาพหลังการแก้ไข ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ AMD Ryzen 9000X3D ใช้เทคโนโลยี 3D V-Cache รุ่นใหม่ เพิ่มแคช L3 ได้สูงถึง 144MB ➡️ Intel Core Ultra 200S มีจุดเด่นด้าน single-thread ด้วย P-core ที่มี latency ต่ำ ➡️ AMD ได้เปรียบในงาน multi-thread และรองรับ AVX-512 สำหรับงานประมวลผลหนัก ➡️ AMD ใช้เทคโนโลยี 4nm จาก TSMC ทำให้ประสิทธิภาพต่อวัตต์สูงกว่า Intel ➡️ Intel ยังเป็นผู้นำด้านโอเวอร์คล็อก แต่ต้องใช้เมนบอร์ด Z-series และระบบระบายความร้อนดี ➡️ AMD มีระบบ Precision Boost Overdrive ที่ใช้งานง่ายแต่ปรับแต่งได้น้อย ➡️ AMD มีช่องโหว่ด้านความปลอดภัยน้อยกว่า Intel โดยเฉพาะในรุ่นก่อนหน้า ➡️ AMD รองรับซ็อกเก็ต AM5 ไปจนถึงปี 2025+ ขณะที่ Intel ยังไม่ยืนยันการรองรับรุ่นถัดไป ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Ryzen 9 9950X3D มี 16 คอร์ 32 เธรด ความเร็วสูงสุด 5.7GHz และแคชรวม 144MB ➡️ Intel Core Ultra 9 285K มี 24 คอร์ (8P + 16E) และแคชรวม 76MB ➡️ AMD Ryzen 7 9800X3D เป็นซีพียูเกมมิ่งที่เร็วที่สุดในตลาด ณ ปี 2025 ➡️ Intel ใช้สถาปัตยกรรมแบบ tile-based ซึ่งส่งผลลบต่อประสิทธิภาพเกม ➡️ AMD มีซีพียูรุ่นกลางที่ใช้เทคโนโลยี X3D เช่น Ryzen 5 5600X3D ซึ่งคุ้มค่ามาก https://www.tomshardware.com/features/amd-vs-intel-cpus
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Intel vs AMD: Which CPUs Are Better in 2025?
    We put Intel vs AMD in a battle of processor prowess.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 260 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Gboard Dial Edition — คีย์บอร์ดหมุนสุดแหวกจาก Google Japan ที่เปิดให้ทุกคนสร้างเองได้”

    ทุกวันที่ 1 ตุลาคม Google Japan จะเปิดตัวคีย์บอร์ดต้นแบบสุดแหวกแนวเพื่อโชว์ความคิดสร้างสรรค์ของทีม Gboard ที่ปกติเน้นพัฒนาแอปคีย์บอร์ดบนมือถือ ปีนี้พวกเขาเปิดตัว “Gboard Dial Edition” — คีย์บอร์ดที่ไม่มีปุ่ม แต่ใช้การหมุนแบบโทรศัพท์บ้านยุคโบราณแทน

    Gboard Dial Edition ใช้หลักการหมุนวงแหวนเพื่อเลือกตัวอักษร โดยมีวงแหวนหลักสำหรับ QWERTY และวงแหวนย่อยสำหรับปุ่มฟังก์ชัน เช่น Enter, ตัวเลข และปุ่มลูกศร การหมุนแต่ละครั้งจะมีเสียง “วืด” แบบกลไกที่ให้ความรู้สึกย้อนยุคและผ่อนคลาย ซึ่งทีมงานเชื่อว่าจะช่วยลดความเครียดจากการพิมพ์และลดโอกาสพิมพ์ผิด

    ดีไซน์นี้ยังมีการแบ่งวงแหวนเป็น 3 ชั้นซ้อนกัน เพื่อประหยัดพื้นที่และเพิ่มความเร็วในการพิมพ์แบบขนาน โดยผู้ใช้สามารถหมุนหลายวงแหวนพร้อมกันได้ นอกจากนี้ยังมีเวอร์ชันตกแต่งด้วยผ้าหุ้มและสีสันหลากหลาย เพื่อให้เข้ากับการตกแต่งบ้าน

    แม้จะไม่วางขายจริง แต่ Google Japan ได้เปิดซอร์สทั้งหมดบน GitHub ทั้งไฟล์ 3D สำหรับพิมพ์, แผงวงจร PCB, เฟิร์มแวร์ และคู่มือประกอบ โดยใช้ Raspberry Pi Pico เป็นสมองหลักของระบบ พร้อมเซนเซอร์และมอเตอร์ควบคุมการหมุน

    Gboard Dial Edition เป็นหนึ่งในซีรีส์คีย์บอร์ดต้นแบบที่ Google Japan เคยทำ เช่น คีย์บอร์ดช้อนงอ, คีย์บอร์ดรหัสมอร์ส, และคีย์บอร์ดแถบวัดแนวแกน X ซึ่งทั้งหมดเน้นการทดลองแนวคิดใหม่ ๆ มากกว่าการผลิตเพื่อขายจริง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Gboard Dial Edition เป็นคีย์บอร์ดต้นแบบจาก Google Japan ที่ใช้การหมุนแทนการกดปุ่ม
    วงแหวนหลักใช้สำหรับ QWERTY และมีวงแหวนย่อยสำหรับปุ่มฟังก์ชัน
    เสียงกลไกขณะหมุนช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายและลดโอกาสพิมพ์ผิด
    วงแหวนแบ่งเป็น 3 ชั้นเพื่อเพิ่มความเร็วและลดขนาด
    มีเวอร์ชันตกแต่งด้วยผ้าหุ้มและสีสันให้เข้ากับบ้าน
    เปิดซอร์สทั้งหมดบน GitHub ภายใต้ Apache License 2.0
    ใช้ Raspberry Pi Pico เป็นหน่วยประมวลผล พร้อมเซนเซอร์และมอเตอร์
    เป็นส่วนหนึ่งของธรรมเนียมประจำปีของทีม Gboard ในการโชว์ไอเดียใหม่

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Rotary dial เคยใช้ในโทรศัพท์บ้านยุค 1950–1980 ก่อนถูกแทนที่ด้วยปุ่มกด
    Raspberry Pi Pico เป็นไมโครคอนโทรลเลอร์ราคาประหยัดที่นิยมใช้ในงาน DIY
    การใช้ photo sensor และ stepper motor ช่วยให้การหมุนแม่นยำและตอบสนองเร็ว
    คีย์บอร์ดต้นแบบของ Google Japan ไม่เคยวางขายจริง แต่เปิดให้ผู้ใช้สร้างเอง
    การออกแบบแบบ modular ช่วยให้ผู้ใช้ปรับแต่งได้ตามความต้องการ

    https://www.tomshardware.com/peripherals/keyboards/crazy-google-japan-keyboard-design-switches-keys-for-dials-the-gboard-dial-edition-shows-why-the-software-team-isnt-allowed-to-design-hardware
    🎛️ “Gboard Dial Edition — คีย์บอร์ดหมุนสุดแหวกจาก Google Japan ที่เปิดให้ทุกคนสร้างเองได้” ทุกวันที่ 1 ตุลาคม Google Japan จะเปิดตัวคีย์บอร์ดต้นแบบสุดแหวกแนวเพื่อโชว์ความคิดสร้างสรรค์ของทีม Gboard ที่ปกติเน้นพัฒนาแอปคีย์บอร์ดบนมือถือ ปีนี้พวกเขาเปิดตัว “Gboard Dial Edition” — คีย์บอร์ดที่ไม่มีปุ่ม แต่ใช้การหมุนแบบโทรศัพท์บ้านยุคโบราณแทน Gboard Dial Edition ใช้หลักการหมุนวงแหวนเพื่อเลือกตัวอักษร โดยมีวงแหวนหลักสำหรับ QWERTY และวงแหวนย่อยสำหรับปุ่มฟังก์ชัน เช่น Enter, ตัวเลข และปุ่มลูกศร การหมุนแต่ละครั้งจะมีเสียง “วืด” แบบกลไกที่ให้ความรู้สึกย้อนยุคและผ่อนคลาย ซึ่งทีมงานเชื่อว่าจะช่วยลดความเครียดจากการพิมพ์และลดโอกาสพิมพ์ผิด ดีไซน์นี้ยังมีการแบ่งวงแหวนเป็น 3 ชั้นซ้อนกัน เพื่อประหยัดพื้นที่และเพิ่มความเร็วในการพิมพ์แบบขนาน โดยผู้ใช้สามารถหมุนหลายวงแหวนพร้อมกันได้ นอกจากนี้ยังมีเวอร์ชันตกแต่งด้วยผ้าหุ้มและสีสันหลากหลาย เพื่อให้เข้ากับการตกแต่งบ้าน แม้จะไม่วางขายจริง แต่ Google Japan ได้เปิดซอร์สทั้งหมดบน GitHub ทั้งไฟล์ 3D สำหรับพิมพ์, แผงวงจร PCB, เฟิร์มแวร์ และคู่มือประกอบ โดยใช้ Raspberry Pi Pico เป็นสมองหลักของระบบ พร้อมเซนเซอร์และมอเตอร์ควบคุมการหมุน Gboard Dial Edition เป็นหนึ่งในซีรีส์คีย์บอร์ดต้นแบบที่ Google Japan เคยทำ เช่น คีย์บอร์ดช้อนงอ, คีย์บอร์ดรหัสมอร์ส, และคีย์บอร์ดแถบวัดแนวแกน X ซึ่งทั้งหมดเน้นการทดลองแนวคิดใหม่ ๆ มากกว่าการผลิตเพื่อขายจริง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Gboard Dial Edition เป็นคีย์บอร์ดต้นแบบจาก Google Japan ที่ใช้การหมุนแทนการกดปุ่ม ➡️ วงแหวนหลักใช้สำหรับ QWERTY และมีวงแหวนย่อยสำหรับปุ่มฟังก์ชัน ➡️ เสียงกลไกขณะหมุนช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายและลดโอกาสพิมพ์ผิด ➡️ วงแหวนแบ่งเป็น 3 ชั้นเพื่อเพิ่มความเร็วและลดขนาด ➡️ มีเวอร์ชันตกแต่งด้วยผ้าหุ้มและสีสันให้เข้ากับบ้าน ➡️ เปิดซอร์สทั้งหมดบน GitHub ภายใต้ Apache License 2.0 ➡️ ใช้ Raspberry Pi Pico เป็นหน่วยประมวลผล พร้อมเซนเซอร์และมอเตอร์ ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของธรรมเนียมประจำปีของทีม Gboard ในการโชว์ไอเดียใหม่ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Rotary dial เคยใช้ในโทรศัพท์บ้านยุค 1950–1980 ก่อนถูกแทนที่ด้วยปุ่มกด ➡️ Raspberry Pi Pico เป็นไมโครคอนโทรลเลอร์ราคาประหยัดที่นิยมใช้ในงาน DIY ➡️ การใช้ photo sensor และ stepper motor ช่วยให้การหมุนแม่นยำและตอบสนองเร็ว ➡️ คีย์บอร์ดต้นแบบของ Google Japan ไม่เคยวางขายจริง แต่เปิดให้ผู้ใช้สร้างเอง ➡️ การออกแบบแบบ modular ช่วยให้ผู้ใช้ปรับแต่งได้ตามความต้องการ https://www.tomshardware.com/peripherals/keyboards/crazy-google-japan-keyboard-design-switches-keys-for-dials-the-gboard-dial-edition-shows-why-the-software-team-isnt-allowed-to-design-hardware
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 300 มุมมอง 0 รีวิว
  • ดูหนังฟังเพลง #เหนื่อยนักก็พักหน่อย #ชีวิตคือสมมุติ #ชวนดูซีรีส์ #wetvthailand #wetv #ซีรีส์จีน #เพลงไทย #เพลงเพราะ #ว่างว่างก็แวะมา
    ดูหนังฟังเพลง #เหนื่อยนักก็พักหน่อย #ชีวิตคือสมมุติ #ชวนดูซีรีส์ #wetvthailand #wetv #ซีรีส์จีน #เพลงไทย #เพลงเพราะ #ว่างว่างก็แวะมา
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 178 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • “ศึก GPU สำหรับสายครีเอทีฟ: Nvidia นำโด่งทุกสนาม ขณะที่ Intel แอบแจ้งเกิดในงาน AI และ AMD ยืนหยัดในตลาดกลาง”

    ในยุคที่งานสร้างสรรค์ไม่ใช่แค่เรื่องของศิลปะ แต่เป็นการประมวลผลระดับสูง ทั้งการตัดต่อวิดีโอแบบเรียลไทม์ การเรนเดอร์ 3D และการใช้ AI ช่วยสร้างเนื้อหา GPU จึงกลายเป็นหัวใจของเวิร์กโฟลว์สายครีเอทีฟ ล่าสุด TechRadar ได้เผยผลการทดสอบจาก PugetSystem ที่เปรียบเทียบ GPU รุ่นใหม่จาก Nvidia, AMD และ Intel ในงาน content creation และ AI

    ผลลัพธ์ชี้ชัดว่า Nvidia ยังคงครองบัลลังก์ โดยเฉพาะ RTX 5090 ที่ทำคะแนนสูงกว่ารุ่นก่อนหน้าอย่าง RTX 4090 ถึง 20–30% ในหลายการทดสอบ เช่น Blender, V-Ray และ Octane แม้รุ่นอื่นในซีรีส์ 50 จะยังไม่ทิ้งห่างจากซีรีส์ 40 มากนัก แต่ RTX 5090 กลายเป็นตัวเลือกหลักสำหรับสายงานที่ต้องการประสิทธิภาพสูงสุด

    AMD เข้ามาในตลาดด้วย RX 7900 XTX และ RX 9070 XT ซึ่งมีผลลัพธ์ผสมผสาน บางงานเช่น LongGOP codec กลับทำได้ดีกว่า Nvidia แต่ในงาน 3D และ ray tracing ยังตามหลังอยู่ โดย RX 9070 XT มีจุดเด่นด้านการใช้พลังงานต่ำและราคาที่เข้าถึงได้

    Intel กลายเป็นม้ามืดที่น่าสนใจ โดย Arc GPU แม้ยังไม่เหมาะกับงานตัดต่อระดับมืออาชีพ แต่กลับทำผลงานได้ดีในงาน AI inference เช่น MLPerf Client โดยเฉพาะการสร้าง token แรกที่เร็วที่สุดในกลุ่ม และมีราคาต่อประสิทธิภาพที่คุ้มค่า เหมาะกับงานทดลองหรือระบบรอง

    ในภาพรวม Nvidia ยังคงเป็นตัวเลือกหลักสำหรับมืออาชีพที่ต้องการความเสถียรและประสิทธิภาพสูงสุด ขณะที่ AMD และ Intel เสนอทางเลือกที่น่าสนใจในบางเวิร์กโหลดหรือระดับราคาที่ต่างกัน

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Nvidia RTX 5090 ทำคะแนนสูงสุดในงานเรนเดอร์ เช่น Blender, V-Ray, Octane
    RTX 5090 แรงกว่ารุ่น RTX 4090 ถึง 20–30% ในหลายการทดสอบ
    GPU ซีรีส์ 50 รุ่นอื่นยังมีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับซีรีส์ 40
    AMD RX 7900 XTX และ RX 9070 XT ทำผลงานดีในบาง codec แต่ยังตามหลังในงาน 3D
    RX 9070 XT มีจุดเด่นด้านพลังงานต่ำและราคาคุ้มค่า
    Intel Arc GPU ทำผลงานดีในงาน AI inference โดยเฉพาะ MLPerf Client
    Intel มีราคาต่อประสิทธิภาพที่ดี เหมาะกับงานทดลองหรือระบบรอง
    Nvidia ยังคงเป็นตัวเลือกหลักสำหรับงานสร้างสรรค์ที่ต้องการความเสถียร

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    RTX 5090 ใช้สถาปัตยกรรม Blackwell พร้อม Tensor Core รุ่นที่ 5 และ GDDR7
    RX 9070 XT ใช้ RDNA4 พร้อม Ray Accelerator รุ่นที่ 3 และ AI Engine รุ่นที่ 2
    Intel Arc Battlemage A980 รองรับ OpenVINO และ oneAPI สำหรับงาน AI
    MLPerf เป็นมาตรฐานการทดสอบ AI ที่วัดความเร็วในการประมวลผลโมเดล
    CUDA และ RTX ยังคงเป็นพื้นฐานของซอฟต์แวร์เรนเดอร์ส่วนใหญ่ ทำให้ Nvidia ได้เปรียบ

    https://www.techradar.com/pro/which-gpu-is-best-for-content-creation-well-nvidia-seems-to-have-all-the-answers-to-that-question-but-intel-is-the-dark-horse
    🎨 “ศึก GPU สำหรับสายครีเอทีฟ: Nvidia นำโด่งทุกสนาม ขณะที่ Intel แอบแจ้งเกิดในงาน AI และ AMD ยืนหยัดในตลาดกลาง” ในยุคที่งานสร้างสรรค์ไม่ใช่แค่เรื่องของศิลปะ แต่เป็นการประมวลผลระดับสูง ทั้งการตัดต่อวิดีโอแบบเรียลไทม์ การเรนเดอร์ 3D และการใช้ AI ช่วยสร้างเนื้อหา GPU จึงกลายเป็นหัวใจของเวิร์กโฟลว์สายครีเอทีฟ ล่าสุด TechRadar ได้เผยผลการทดสอบจาก PugetSystem ที่เปรียบเทียบ GPU รุ่นใหม่จาก Nvidia, AMD และ Intel ในงาน content creation และ AI ผลลัพธ์ชี้ชัดว่า Nvidia ยังคงครองบัลลังก์ โดยเฉพาะ RTX 5090 ที่ทำคะแนนสูงกว่ารุ่นก่อนหน้าอย่าง RTX 4090 ถึง 20–30% ในหลายการทดสอบ เช่น Blender, V-Ray และ Octane แม้รุ่นอื่นในซีรีส์ 50 จะยังไม่ทิ้งห่างจากซีรีส์ 40 มากนัก แต่ RTX 5090 กลายเป็นตัวเลือกหลักสำหรับสายงานที่ต้องการประสิทธิภาพสูงสุด AMD เข้ามาในตลาดด้วย RX 7900 XTX และ RX 9070 XT ซึ่งมีผลลัพธ์ผสมผสาน บางงานเช่น LongGOP codec กลับทำได้ดีกว่า Nvidia แต่ในงาน 3D และ ray tracing ยังตามหลังอยู่ โดย RX 9070 XT มีจุดเด่นด้านการใช้พลังงานต่ำและราคาที่เข้าถึงได้ Intel กลายเป็นม้ามืดที่น่าสนใจ โดย Arc GPU แม้ยังไม่เหมาะกับงานตัดต่อระดับมืออาชีพ แต่กลับทำผลงานได้ดีในงาน AI inference เช่น MLPerf Client โดยเฉพาะการสร้าง token แรกที่เร็วที่สุดในกลุ่ม และมีราคาต่อประสิทธิภาพที่คุ้มค่า เหมาะกับงานทดลองหรือระบบรอง ในภาพรวม Nvidia ยังคงเป็นตัวเลือกหลักสำหรับมืออาชีพที่ต้องการความเสถียรและประสิทธิภาพสูงสุด ขณะที่ AMD และ Intel เสนอทางเลือกที่น่าสนใจในบางเวิร์กโหลดหรือระดับราคาที่ต่างกัน ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Nvidia RTX 5090 ทำคะแนนสูงสุดในงานเรนเดอร์ เช่น Blender, V-Ray, Octane ➡️ RTX 5090 แรงกว่ารุ่น RTX 4090 ถึง 20–30% ในหลายการทดสอบ ➡️ GPU ซีรีส์ 50 รุ่นอื่นยังมีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับซีรีส์ 40 ➡️ AMD RX 7900 XTX และ RX 9070 XT ทำผลงานดีในบาง codec แต่ยังตามหลังในงาน 3D ➡️ RX 9070 XT มีจุดเด่นด้านพลังงานต่ำและราคาคุ้มค่า ➡️ Intel Arc GPU ทำผลงานดีในงาน AI inference โดยเฉพาะ MLPerf Client ➡️ Intel มีราคาต่อประสิทธิภาพที่ดี เหมาะกับงานทดลองหรือระบบรอง ➡️ Nvidia ยังคงเป็นตัวเลือกหลักสำหรับงานสร้างสรรค์ที่ต้องการความเสถียร ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ RTX 5090 ใช้สถาปัตยกรรม Blackwell พร้อม Tensor Core รุ่นที่ 5 และ GDDR7 ➡️ RX 9070 XT ใช้ RDNA4 พร้อม Ray Accelerator รุ่นที่ 3 และ AI Engine รุ่นที่ 2 ➡️ Intel Arc Battlemage A980 รองรับ OpenVINO และ oneAPI สำหรับงาน AI ➡️ MLPerf เป็นมาตรฐานการทดสอบ AI ที่วัดความเร็วในการประมวลผลโมเดล ➡️ CUDA และ RTX ยังคงเป็นพื้นฐานของซอฟต์แวร์เรนเดอร์ส่วนใหญ่ ทำให้ Nvidia ได้เปรียบ https://www.techradar.com/pro/which-gpu-is-best-for-content-creation-well-nvidia-seems-to-have-all-the-answers-to-that-question-but-intel-is-the-dark-horse
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 285 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Ampinel: อุปกรณ์ $95 ที่อาจช่วยชีวิตการ์ดจอ RTX ของคุณ — แก้ปัญหา 16-pin ละลายด้วยระบบบาลานซ์ไฟที่ Nvidia ลืมใส่”

    ตั้งแต่การ์ดจอซีรีส์ RTX 40 ของ Nvidia เปิดตัวพร้อมหัวต่อไฟแบบ 16-pin (12VHPWR) ก็มีรายงานปัญหาหัวละลายและสายไหม้ตามมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในรุ่น RTX 4090 และ 5090 ซึ่งดึงไฟสูงถึง 600W แต่ไม่มีระบบกระจายโหลดไฟฟ้าในตัว ต่างจาก RTX 3090 Ti ที่ยังมีวงจรบาลานซ์ไฟอยู่

    ล่าสุด Aqua Computer จากเยอรมนีเปิดตัวอุปกรณ์ชื่อว่า Ampinel ที่ออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหานี้โดยเฉพาะ ด้วยการใส่ระบบ active load balancing ที่สามารถตรวจสอบและกระจายกระแสไฟฟ้าแบบเรียลไทม์ผ่านสาย 12V ทั้ง 6 เส้นในหัวต่อ 16-pin หากพบว่ามีสายใดเกิน 7.5A ซึ่งเป็นค่าที่ปลอดภัยต่อคอนแทค Ampinel จะปรับโหลดทันทีเพื่อป้องกันความร้อนสะสม

    Ampinel ยังมาพร้อมหน้าจอ OLED ขนาดเล็กที่แสดงค่ากระแสไฟแต่ละเส้น, ระบบแจ้งเตือนด้วยเสียง 85 dB และไฟ RGB ที่เปลี่ยนสีตามสถานะการใช้งาน นอกจากนี้ยังสามารถตั้งค่าผ่านซอฟต์แวร์ Aquasuite เพื่อกำหนดพฤติกรรมเมื่อเกิดเหตุ เช่น ปิดแอปที่ใช้ GPU หนัก, สั่ง shutdown เครื่อง หรือแม้แต่ตัดสัญญาณ sense บนการ์ดจอเพื่อหยุดจ่ายไฟทันที

    อุปกรณ์นี้ใช้แผงวงจร 6 ชั้นที่ทำจากทองแดงหนา 70 ไมครอน พร้อมบอดี้อะลูมิเนียมที่ช่วยระบายความร้อน และระบบ MCU ที่ควบคุม MOSFET แบบ low-resistance เพื่อให้การกระจายโหลดมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยไม่ต้องพึ่งพาการเชื่อมต่อ USB หรือซอฟต์แวร์ตลอดเวลา

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Ampinel เป็นอุปกรณ์เสริมสำหรับหัวต่อ 16-pin ที่มีระบบ active load balancing
    ตรวจสอบสายไฟ 6 เส้นแบบเรียลไทม์ และปรับโหลดทันทีเมื่อเกิน 7.5A
    มีหน้าจอ OLED แสดงค่ากระแสไฟ, ไฟ RGB แจ้งเตือน และเสียงเตือน 85 dB
    ใช้แผงวงจร 6 ชั้นทองแดงหนา พร้อมบอดี้อะลูมิเนียมช่วยระบายความร้อน
    สามารถตั้งค่าผ่าน Aquasuite ให้สั่งปิดแอป, shutdown หรือหยุดจ่ายไฟ
    ระบบแจ้งเตือนแบ่งเป็น 8 ระดับ ตั้งค่าได้ทั้งภาพ เสียง และการตอบสนอง
    ไม่ต้องพึ่งพา USB หรือซอฟต์แวร์ในการทำงานหลัก
    ราคาประมาณ $95 หรือ €79.90 เริ่มส่งกลางเดือนพฤศจิกายน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    หัวต่อ 16-pin มี safety margin ต่ำกว่าหัว 8-pin PCIe เดิมถึง 40%
    ปัญหาหัวละลายเกิดจากการกระจายโหลดไม่เท่ากันในสายไฟ
    RTX 3090 Ti ไม่มีปัญหาเพราะยังมีวงจรบาลานซ์ไฟในตัว
    MOSFET แบบ low-RDS(on) ช่วยลดความร้อนและเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุม
    การตัดสัญญาณ sense บนการ์ดจอคือวิธีหยุดจ่ายไฟแบบฉุกเฉินที่ปลอดภัย

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidias-16-pin-time-bomb-could-be-defused-by-this-usd95-gadget-ampinel-offers-load-balancing-that-nvidia-forgot-to-include
    🔥 “Ampinel: อุปกรณ์ $95 ที่อาจช่วยชีวิตการ์ดจอ RTX ของคุณ — แก้ปัญหา 16-pin ละลายด้วยระบบบาลานซ์ไฟที่ Nvidia ลืมใส่” ตั้งแต่การ์ดจอซีรีส์ RTX 40 ของ Nvidia เปิดตัวพร้อมหัวต่อไฟแบบ 16-pin (12VHPWR) ก็มีรายงานปัญหาหัวละลายและสายไหม้ตามมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในรุ่น RTX 4090 และ 5090 ซึ่งดึงไฟสูงถึง 600W แต่ไม่มีระบบกระจายโหลดไฟฟ้าในตัว ต่างจาก RTX 3090 Ti ที่ยังมีวงจรบาลานซ์ไฟอยู่ ล่าสุด Aqua Computer จากเยอรมนีเปิดตัวอุปกรณ์ชื่อว่า Ampinel ที่ออกแบบมาเพื่อแก้ปัญหานี้โดยเฉพาะ ด้วยการใส่ระบบ active load balancing ที่สามารถตรวจสอบและกระจายกระแสไฟฟ้าแบบเรียลไทม์ผ่านสาย 12V ทั้ง 6 เส้นในหัวต่อ 16-pin หากพบว่ามีสายใดเกิน 7.5A ซึ่งเป็นค่าที่ปลอดภัยต่อคอนแทค Ampinel จะปรับโหลดทันทีเพื่อป้องกันความร้อนสะสม Ampinel ยังมาพร้อมหน้าจอ OLED ขนาดเล็กที่แสดงค่ากระแสไฟแต่ละเส้น, ระบบแจ้งเตือนด้วยเสียง 85 dB และไฟ RGB ที่เปลี่ยนสีตามสถานะการใช้งาน นอกจากนี้ยังสามารถตั้งค่าผ่านซอฟต์แวร์ Aquasuite เพื่อกำหนดพฤติกรรมเมื่อเกิดเหตุ เช่น ปิดแอปที่ใช้ GPU หนัก, สั่ง shutdown เครื่อง หรือแม้แต่ตัดสัญญาณ sense บนการ์ดจอเพื่อหยุดจ่ายไฟทันที อุปกรณ์นี้ใช้แผงวงจร 6 ชั้นที่ทำจากทองแดงหนา 70 ไมครอน พร้อมบอดี้อะลูมิเนียมที่ช่วยระบายความร้อน และระบบ MCU ที่ควบคุม MOSFET แบบ low-resistance เพื่อให้การกระจายโหลดมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยไม่ต้องพึ่งพาการเชื่อมต่อ USB หรือซอฟต์แวร์ตลอดเวลา ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Ampinel เป็นอุปกรณ์เสริมสำหรับหัวต่อ 16-pin ที่มีระบบ active load balancing ➡️ ตรวจสอบสายไฟ 6 เส้นแบบเรียลไทม์ และปรับโหลดทันทีเมื่อเกิน 7.5A ➡️ มีหน้าจอ OLED แสดงค่ากระแสไฟ, ไฟ RGB แจ้งเตือน และเสียงเตือน 85 dB ➡️ ใช้แผงวงจร 6 ชั้นทองแดงหนา พร้อมบอดี้อะลูมิเนียมช่วยระบายความร้อน ➡️ สามารถตั้งค่าผ่าน Aquasuite ให้สั่งปิดแอป, shutdown หรือหยุดจ่ายไฟ ➡️ ระบบแจ้งเตือนแบ่งเป็น 8 ระดับ ตั้งค่าได้ทั้งภาพ เสียง และการตอบสนอง ➡️ ไม่ต้องพึ่งพา USB หรือซอฟต์แวร์ในการทำงานหลัก ➡️ ราคาประมาณ $95 หรือ €79.90 เริ่มส่งกลางเดือนพฤศจิกายน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ หัวต่อ 16-pin มี safety margin ต่ำกว่าหัว 8-pin PCIe เดิมถึง 40% ➡️ ปัญหาหัวละลายเกิดจากการกระจายโหลดไม่เท่ากันในสายไฟ ➡️ RTX 3090 Ti ไม่มีปัญหาเพราะยังมีวงจรบาลานซ์ไฟในตัว ➡️ MOSFET แบบ low-RDS(on) ช่วยลดความร้อนและเพิ่มประสิทธิภาพการควบคุม ➡️ การตัดสัญญาณ sense บนการ์ดจอคือวิธีหยุดจ่ายไฟแบบฉุกเฉินที่ปลอดภัย https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/nvidias-16-pin-time-bomb-could-be-defused-by-this-usd95-gadget-ampinel-offers-load-balancing-that-nvidia-forgot-to-include
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 255 มุมมอง 0 รีวิว
  • “MSI ยืนยันเมนบอร์ด AM5 ซีรีส์ 800 รองรับ Ryzen Zen 6 — อัปเกรดได้ยาวถึงปี 2027 โดยไม่ต้องเปลี่ยนบอร์ด”

    MSI ประกาศอย่างเป็นทางการว่าเมนบอร์ด AM5 ซีรีส์ 800 ที่วางจำหน่ายในปัจจุบันจะรองรับซีพียู AMD Ryzen รุ่นถัดไปที่ใช้สถาปัตยกรรม Zen 6 ซึ่งคาดว่าจะเปิดตัวในช่วงครึ่งหลังของปี 2026 นี่ถือเป็นข่าวดีสำหรับผู้ใช้สาย DIY ที่ลงทุนกับแพลตฟอร์ม AM5 เพราะหมายความว่าเมนบอร์ดที่มีอยู่จะยังใช้งานได้กับซีพียูรุ่นใหม่โดยไม่ต้องเปลี่ยนใหม่

    AM5 เปิดตัวครั้งแรกพร้อม Ryzen 7000 (Zen 4) และปัจจุบันรองรับ Ryzen 9000 (Zen 5) รวมถึง Ryzen 8000G APU ซึ่งหมายความว่าแพลตฟอร์มนี้รองรับซีพียูถึง 3 เจเนอเรชันแล้ว และจะขยายไปถึง Zen 6 ในอนาคต

    MSI ยังเตรียมเปิดตัวเมนบอร์ดรุ่น “MAX” ที่มาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ เช่น external BCLK generator และ BIOS ขนาด 64MB เพื่อรองรับเฟิร์มแวร์รุ่นใหม่ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น โดยเฉพาะเมื่อมีการเพิ่มการรองรับ Zen 6 และไมโครโค้ดใหม่ ๆ

    นอกจากนี้ยังมีการพบดีไซน์ใหม่ในเมนบอร์ดรุ่น B850I EDGE TI EVO WIFI ที่แสดงให้เห็นว่า MSI กำลังเตรียมความพร้อมสำหรับ Zen 6 อย่างจริงจัง และมีรายงานว่า AMD ได้ส่งตัวอย่างซีพียู Zen 6 ให้กับผู้ผลิตเมนบอร์ดเพื่อทดสอบความเข้ากันได้แล้ว

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    MSI ยืนยันว่าเมนบอร์ด AM5 ซีรีส์ 800 รองรับซีพียู Ryzen Zen 6
    Zen 6 คาดว่าจะเปิดตัวช่วงครึ่งหลังของปี 2026
    AM5 รองรับ Ryzen 7000 (Zen 4), Ryzen 9000 (Zen 5) และ Ryzen 8000G
    เมนบอร์ดรุ่น “MAX” จะมี BCLK generator และ BIOS ขนาด 64MB
    MSI เตรียมเปิดตัวเมนบอร์ด B850I EDGE TI EVO WIFI ที่รองรับ Zen 6
    AMD ได้ส่งตัวอย่าง Zen 6 ให้ผู้ผลิตเมนบอร์ดเพื่อทดสอบแล้ว
    การรองรับ Zen 6 สะท้อนความมุ่งมั่นของ AMD ต่อแพลตฟอร์ม AM5
    ผู้ใช้สามารถอัปเกรดซีพียูในอนาคตโดยไม่ต้องเปลี่ยนเมนบอร์ด

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Zen 6 ใช้โค้ดเนม “Morpheus” และผลิตบนเทคโนโลยี 2nm ของ TSMC
    Zen 6 เพิ่มจำนวนคอร์ต่อ CCD จาก 8 เป็น 12 คอร์ และมี L3 cache สูงสุด 48MB
    AMD ยืนยันว่าจะสนับสนุน AM5 ไปจนถึงปี 2027 และอาจต่อเนื่องกว่านั้น
    การมี BIOS ขนาดใหญ่ช่วยให้รองรับเฟิร์มแวร์ใหม่ได้โดยไม่ต้องลดฟีเจอร์
    การใช้ BCLK generator ช่วยให้โอเวอร์คล็อกได้แม่นยำและเสถียรมากขึ้น

    https://wccftech.com/msi-confirms-future-amd-ryzen-zen-6-cpu-support-on-am5-800-motherboards/
    🧩 “MSI ยืนยันเมนบอร์ด AM5 ซีรีส์ 800 รองรับ Ryzen Zen 6 — อัปเกรดได้ยาวถึงปี 2027 โดยไม่ต้องเปลี่ยนบอร์ด” MSI ประกาศอย่างเป็นทางการว่าเมนบอร์ด AM5 ซีรีส์ 800 ที่วางจำหน่ายในปัจจุบันจะรองรับซีพียู AMD Ryzen รุ่นถัดไปที่ใช้สถาปัตยกรรม Zen 6 ซึ่งคาดว่าจะเปิดตัวในช่วงครึ่งหลังของปี 2026 นี่ถือเป็นข่าวดีสำหรับผู้ใช้สาย DIY ที่ลงทุนกับแพลตฟอร์ม AM5 เพราะหมายความว่าเมนบอร์ดที่มีอยู่จะยังใช้งานได้กับซีพียูรุ่นใหม่โดยไม่ต้องเปลี่ยนใหม่ AM5 เปิดตัวครั้งแรกพร้อม Ryzen 7000 (Zen 4) และปัจจุบันรองรับ Ryzen 9000 (Zen 5) รวมถึง Ryzen 8000G APU ซึ่งหมายความว่าแพลตฟอร์มนี้รองรับซีพียูถึง 3 เจเนอเรชันแล้ว และจะขยายไปถึง Zen 6 ในอนาคต MSI ยังเตรียมเปิดตัวเมนบอร์ดรุ่น “MAX” ที่มาพร้อมฟีเจอร์ใหม่ เช่น external BCLK generator และ BIOS ขนาด 64MB เพื่อรองรับเฟิร์มแวร์รุ่นใหม่ที่มีขนาดใหญ่ขึ้น โดยเฉพาะเมื่อมีการเพิ่มการรองรับ Zen 6 และไมโครโค้ดใหม่ ๆ นอกจากนี้ยังมีการพบดีไซน์ใหม่ในเมนบอร์ดรุ่น B850I EDGE TI EVO WIFI ที่แสดงให้เห็นว่า MSI กำลังเตรียมความพร้อมสำหรับ Zen 6 อย่างจริงจัง และมีรายงานว่า AMD ได้ส่งตัวอย่างซีพียู Zen 6 ให้กับผู้ผลิตเมนบอร์ดเพื่อทดสอบความเข้ากันได้แล้ว ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ MSI ยืนยันว่าเมนบอร์ด AM5 ซีรีส์ 800 รองรับซีพียู Ryzen Zen 6 ➡️ Zen 6 คาดว่าจะเปิดตัวช่วงครึ่งหลังของปี 2026 ➡️ AM5 รองรับ Ryzen 7000 (Zen 4), Ryzen 9000 (Zen 5) และ Ryzen 8000G ➡️ เมนบอร์ดรุ่น “MAX” จะมี BCLK generator และ BIOS ขนาด 64MB ➡️ MSI เตรียมเปิดตัวเมนบอร์ด B850I EDGE TI EVO WIFI ที่รองรับ Zen 6 ➡️ AMD ได้ส่งตัวอย่าง Zen 6 ให้ผู้ผลิตเมนบอร์ดเพื่อทดสอบแล้ว ➡️ การรองรับ Zen 6 สะท้อนความมุ่งมั่นของ AMD ต่อแพลตฟอร์ม AM5 ➡️ ผู้ใช้สามารถอัปเกรดซีพียูในอนาคตโดยไม่ต้องเปลี่ยนเมนบอร์ด ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Zen 6 ใช้โค้ดเนม “Morpheus” และผลิตบนเทคโนโลยี 2nm ของ TSMC ➡️ Zen 6 เพิ่มจำนวนคอร์ต่อ CCD จาก 8 เป็น 12 คอร์ และมี L3 cache สูงสุด 48MB ➡️ AMD ยืนยันว่าจะสนับสนุน AM5 ไปจนถึงปี 2027 และอาจต่อเนื่องกว่านั้น ➡️ การมี BIOS ขนาดใหญ่ช่วยให้รองรับเฟิร์มแวร์ใหม่ได้โดยไม่ต้องลดฟีเจอร์ ➡️ การใช้ BCLK generator ช่วยให้โอเวอร์คล็อกได้แม่นยำและเสถียรมากขึ้น https://wccftech.com/msi-confirms-future-amd-ryzen-zen-6-cpu-support-on-am5-800-motherboards/
    WCCFTECH.COM
    MSI Confirms "Future CPU" Support On Its AM5 800-Series Motherboards, Pointing Towards Zen 6 Ryzen
    MSI has confirmed that its current AM5 800-series motherboards will support AMD's next-gen Ryzen CPUs based on Zen 6 architecture.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 208 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Intel Granite Rapids-WS เปิดตัว — ยักษ์ 86 คอร์ที่พร้อมท้าชน AMD Threadripper 9995WX ในสนามเวิร์กสเตชันระดับสูง”

    Intel กำลังเตรียมเปิดตัวซีพียูรุ่นใหม่ในสาย Granite Rapids-WS ซึ่งออกแบบมาเพื่อแข่งขันโดยตรงกับ AMD Threadripper 9995WX ที่ครองตลาดเวิร์กสเตชันระดับสูงมาหลายปี โดยรุ่นที่ถูกเปิดเผยล่าสุดมีจำนวนคอร์ถึง 86 คอร์ 172 เธรด และสามารถเร่งความเร็วได้สูงสุดถึง 4.8GHz ซึ่งถือว่าใกล้เคียงกับ Threadripper 9995WX ที่มี 96 คอร์ และเร่งได้ถึง 5.4GHz

    Granite Rapids-WS ใช้สถาปัตยกรรมแบบ tile-based โดยแบ่งเป็นสอง compute tiles ซึ่งช่วยลดต้นทุนการผลิตเมื่อเทียบกับการใช้สาม die เพื่อไปถึง 128 คอร์ ซึ่งเป็นขีดจำกัดสูงสุดของสถาปัตยกรรมนี้ แม้จะยังไม่ใช่รุ่นเรือธงเต็มรูปแบบ แต่ก็ถือเป็นก้าวสำคัญของ Intel ในการกลับเข้าสู่การแข่งขันในตลาด HEDT และเวิร์กสเตชัน หลังจากที่ซีรีส์ W-3500 รุ่นก่อนหน้ามีเพียง 60 คอร์เท่านั้น

    นอกจากนี้ยังมีข่าวลือว่า Granite Rapids-WS จะรองรับ PCIe 5.0 สูงสุดถึง 128 เลน, หน่วยความจำ DDR5 แบบ 8-channel และใช้ชิปเซ็ต W890 ซึ่งจะทำให้มันกลายเป็นตัวเลือกที่ทรงพลังสำหรับงานระดับมืออาชีพ เช่น การเรนเดอร์ 3D, การจำลองทางวิศวกรรม และการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่

    ในฝั่ง AMD นั้น Threadripper 9995WX ยังคงเป็นคู่แข่งที่แข็งแกร่ง ด้วยเทคโนโลยี Zen 5, L3 cache ขนาด 384MB, รองรับ ECC, PCIe Gen 5 และ TDP สูงถึง 350W ซึ่งหมายความว่าผู้ใช้ต้องมีระบบระบายความร้อนระดับสูงเพื่อใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Intel เตรียมเปิดตัว Granite Rapids-WS รุ่นใหม่ที่มี 86 คอร์ 172 เธรด
    ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 4.8GHz ซึ่งสูงกว่ารุ่น Xeon 6787P ที่ใช้สถาปัตยกรรมเดียวกัน
    ใช้สถาปัตยกรรมแบบ tile-based โดยใช้สอง compute tiles เพื่อลดต้นทุน
    Granite Rapids รองรับการขยายถึง 128 คอร์ หากใช้สาม die
    รุ่น WS อาจรองรับ PCIe 5.0 สูงสุด 128 เลน และ DDR5 แบบ 8-channel
    ใช้ชิปเซ็ต W890 ซึ่งออกแบบมาสำหรับเวิร์กสเตชันระดับสูง
    เป็นการกลับเข้าสู่ตลาด HEDT ของ Intel หลังจากห่างหายไปหลายปี
    AMD Threadripper 9995WX มี 96 คอร์ Zen 5, เร่งได้ถึง 5.4GHz และ L3 cache 384MB
    รองรับ ECC, PCIe Gen 5 และมี TDP สูงถึง 350W เหมาะกับงานหนักระดับมืออาชีพ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Granite Rapids เป็นสถาปัตยกรรมที่ Intel ใช้ในเซิร์ฟเวอร์ Xeon รุ่นใหม่ เช่น Xeon 6900P
    Threadripper 9995WX ผลิตบนเทคโนโลยี 4nm โดย TSMC และรองรับการโอเวอร์คล็อก
    AMD มีความได้เปรียบในตลาด HEDT มาตั้งแต่ซีรีส์ Threadripper 3000
    Intel เคยเสียส่วนแบ่งตลาดให้ AMD เนื่องจากข้อจำกัดด้านจำนวนคอร์และประสิทธิภาพ
    การแข่งขันครั้งนี้อาจส่งผลให้ราคาซีพียูระดับสูงลดลง และผู้ใช้มีตัวเลือกมากขึ้น

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-aims-at-amds-threadripper-with-its-new-granite-rapids-ws-cpu-chip-armed-with-core-count-approaching-the-flagship-amd-threadripper-9995wx-boasts-a-4-8ghz-boost-clock
    ⚙️ “Intel Granite Rapids-WS เปิดตัว — ยักษ์ 86 คอร์ที่พร้อมท้าชน AMD Threadripper 9995WX ในสนามเวิร์กสเตชันระดับสูง” Intel กำลังเตรียมเปิดตัวซีพียูรุ่นใหม่ในสาย Granite Rapids-WS ซึ่งออกแบบมาเพื่อแข่งขันโดยตรงกับ AMD Threadripper 9995WX ที่ครองตลาดเวิร์กสเตชันระดับสูงมาหลายปี โดยรุ่นที่ถูกเปิดเผยล่าสุดมีจำนวนคอร์ถึง 86 คอร์ 172 เธรด และสามารถเร่งความเร็วได้สูงสุดถึง 4.8GHz ซึ่งถือว่าใกล้เคียงกับ Threadripper 9995WX ที่มี 96 คอร์ และเร่งได้ถึง 5.4GHz Granite Rapids-WS ใช้สถาปัตยกรรมแบบ tile-based โดยแบ่งเป็นสอง compute tiles ซึ่งช่วยลดต้นทุนการผลิตเมื่อเทียบกับการใช้สาม die เพื่อไปถึง 128 คอร์ ซึ่งเป็นขีดจำกัดสูงสุดของสถาปัตยกรรมนี้ แม้จะยังไม่ใช่รุ่นเรือธงเต็มรูปแบบ แต่ก็ถือเป็นก้าวสำคัญของ Intel ในการกลับเข้าสู่การแข่งขันในตลาด HEDT และเวิร์กสเตชัน หลังจากที่ซีรีส์ W-3500 รุ่นก่อนหน้ามีเพียง 60 คอร์เท่านั้น นอกจากนี้ยังมีข่าวลือว่า Granite Rapids-WS จะรองรับ PCIe 5.0 สูงสุดถึง 128 เลน, หน่วยความจำ DDR5 แบบ 8-channel และใช้ชิปเซ็ต W890 ซึ่งจะทำให้มันกลายเป็นตัวเลือกที่ทรงพลังสำหรับงานระดับมืออาชีพ เช่น การเรนเดอร์ 3D, การจำลองทางวิศวกรรม และการประมวลผลข้อมูลขนาดใหญ่ ในฝั่ง AMD นั้น Threadripper 9995WX ยังคงเป็นคู่แข่งที่แข็งแกร่ง ด้วยเทคโนโลยี Zen 5, L3 cache ขนาด 384MB, รองรับ ECC, PCIe Gen 5 และ TDP สูงถึง 350W ซึ่งหมายความว่าผู้ใช้ต้องมีระบบระบายความร้อนระดับสูงเพื่อใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Intel เตรียมเปิดตัว Granite Rapids-WS รุ่นใหม่ที่มี 86 คอร์ 172 เธรด ➡️ ความเร็วสูงสุดอยู่ที่ 4.8GHz ซึ่งสูงกว่ารุ่น Xeon 6787P ที่ใช้สถาปัตยกรรมเดียวกัน ➡️ ใช้สถาปัตยกรรมแบบ tile-based โดยใช้สอง compute tiles เพื่อลดต้นทุน ➡️ Granite Rapids รองรับการขยายถึง 128 คอร์ หากใช้สาม die ➡️ รุ่น WS อาจรองรับ PCIe 5.0 สูงสุด 128 เลน และ DDR5 แบบ 8-channel ➡️ ใช้ชิปเซ็ต W890 ซึ่งออกแบบมาสำหรับเวิร์กสเตชันระดับสูง ➡️ เป็นการกลับเข้าสู่ตลาด HEDT ของ Intel หลังจากห่างหายไปหลายปี ➡️ AMD Threadripper 9995WX มี 96 คอร์ Zen 5, เร่งได้ถึง 5.4GHz และ L3 cache 384MB ➡️ รองรับ ECC, PCIe Gen 5 และมี TDP สูงถึง 350W เหมาะกับงานหนักระดับมืออาชีพ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Granite Rapids เป็นสถาปัตยกรรมที่ Intel ใช้ในเซิร์ฟเวอร์ Xeon รุ่นใหม่ เช่น Xeon 6900P ➡️ Threadripper 9995WX ผลิตบนเทคโนโลยี 4nm โดย TSMC และรองรับการโอเวอร์คล็อก ➡️ AMD มีความได้เปรียบในตลาด HEDT มาตั้งแต่ซีรีส์ Threadripper 3000 ➡️ Intel เคยเสียส่วนแบ่งตลาดให้ AMD เนื่องจากข้อจำกัดด้านจำนวนคอร์และประสิทธิภาพ ➡️ การแข่งขันครั้งนี้อาจส่งผลให้ราคาซีพียูระดับสูงลดลง และผู้ใช้มีตัวเลือกมากขึ้น https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intel-aims-at-amds-threadripper-with-its-new-granite-rapids-ws-cpu-chip-armed-with-core-count-approaching-the-flagship-amd-threadripper-9995wx-boasts-a-4-8ghz-boost-clock
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Intel aims at AMD's Threadripper with its new Granite Rapids-WS CPU — chip armed with core count approaching the flagship AMD Threadripper 9995WX, boasts a 4.8GHz boost clock
    Granite Rapids-WS has the chance to outdo Threadripper 9000WX in core count, similar to what the architecture has done for Intel on the server side.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 258 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts