• “ฤดูใบไม้ร่วงนี้มีอะไรให้เล่น? 12 เกมใหม่ที่เตรียมเขย่าวงการ รวม Pokémon, Metroid และ Kirby!”

    ลองนึกภาพว่าคุณเพิ่งซื้อ Nintendo Switch 2 มาใหม่ สดๆ ร้อนๆ แล้วกำลังมองหาเกมที่จะเติมเต็มคลังของคุณในช่วงปลายปีนี้…ข่าวดีคือ ฤดูใบไม้ร่วงนี้มีเกมใหม่มากมายที่น่าสนใจ ทั้งจากซีรีส์ระดับตำนานและเกมภาคต่อที่แฟนๆ รอคอยกันมานาน

    หนึ่งในเกมที่ถูกจับตามองมากที่สุดคือ Pokémon Legends: Z-A ซึ่งจะเปิดให้เล่นวันที่ 16 ตุลาคม โดยผู้เล่นสามารถเลือกโปเกมอนเริ่มต้นได้จาก Chikorita, Tepig หรือ Totodile แล้วออกผจญภัยในโลกใหม่ที่เต็มไปด้วยเทรนเนอร์คู่แข่งและความลับของเมือง Lumiose ที่ถูกปรับโฉมใหม่ให้เข้ากับยุค Switch 2

    ถัดมาในวันที่ 20 พฤศจิกายนคือ Kirby Air Riders เกมแข่งรถภาคต่อจากเวอร์ชัน GameCube ปี 2003 ที่กลับมาอีกครั้งพร้อมกราฟิกใหม่และโหมดผู้เล่นหลายคนที่ออกแบบมาเพื่อการเล่นบน Switch 2 โดยเฉพาะ

    และแม้ว่า Grand Theft Auto VI จะถูกเลื่อนออกไปเป็นปีหน้า แต่ก็เปิดทางให้เกมอื่นๆ ได้เฉิดฉาย โดยเฉพาะ Metroid Prime 4: Beyond ที่มีข่าวลือว่าจะเปิดตัวในเดือนกันยายนนี้ หากไม่ถูกเลื่อนอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นการกลับมาของซีรีส์ที่แฟนๆ รอคอยมาตั้งแต่ปี 2017

    Pokémon Legends: Z-A
    เปิดตัววันที่ 16 ตุลาคม 2025
    มีโปเกมอนเริ่มต้นให้เลือก 3 ตัว: Chikorita, Tepig, Totodile
    ฉากหลังคือเมือง Lumiose ที่ถูกปรับโฉมใหม่
    รองรับ Nintendo Switch 2 Edition พร้อมกราฟิกและระบบใหม่

    Kirby Air Riders
    เปิดตัววันที่ 20 พฤศจิกายน 2025
    เป็นภาคต่อจากเกมแข่งรถบน GameCube ปี 2003
    รองรับโหมดผู้เล่นหลายคนและการเล่นออนไลน์
    พัฒนาเพื่อใช้ประสิทธิภาพของ Switch 2 อย่างเต็มที่

    Metroid Prime 4: Beyond
    ยังไม่มีวันเปิดตัวอย่างเป็นทางการ แต่คาดว่าอาจเปิดตัวในเดือนกันยายนหรือธันวาคม
    มีข่าวลือว่าทีมทดสอบเกมของ Retro Studios เพิ่งเสร็จสิ้นงานแล้ว
    รองรับโหมดกราฟิก 4K/60fps และโหมดประสิทธิภาพ 120fps บน Switch 26
    เป็นภาคต่อที่เริ่มพัฒนาใหม่ตั้งแต่ปี 2019 หลังจากเปลี่ยนทีมผู้สร้าง

    เกมอื่นๆ ที่น่าสนใจในฤดูใบไม้ร่วง
    Hyrule Warriors: Age of Imprisonment (ฤดูหนาว 2025)
    Super Mario Party Jamboree + Jamboree TV (เปิดตัวแล้วในเดือนกรกฎาคม)
    Donkey Kong Bananza (เปิดตัวแล้วในเดือนกรกฎาคม)

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/08/pokemon-and-11-more-video-games-coming-this-fall
    🎮 “ฤดูใบไม้ร่วงนี้มีอะไรให้เล่น? 12 เกมใหม่ที่เตรียมเขย่าวงการ รวม Pokémon, Metroid และ Kirby!” ลองนึกภาพว่าคุณเพิ่งซื้อ Nintendo Switch 2 มาใหม่ สดๆ ร้อนๆ แล้วกำลังมองหาเกมที่จะเติมเต็มคลังของคุณในช่วงปลายปีนี้…ข่าวดีคือ ฤดูใบไม้ร่วงนี้มีเกมใหม่มากมายที่น่าสนใจ ทั้งจากซีรีส์ระดับตำนานและเกมภาคต่อที่แฟนๆ รอคอยกันมานาน หนึ่งในเกมที่ถูกจับตามองมากที่สุดคือ Pokémon Legends: Z-A ซึ่งจะเปิดให้เล่นวันที่ 16 ตุลาคม โดยผู้เล่นสามารถเลือกโปเกมอนเริ่มต้นได้จาก Chikorita, Tepig หรือ Totodile แล้วออกผจญภัยในโลกใหม่ที่เต็มไปด้วยเทรนเนอร์คู่แข่งและความลับของเมือง Lumiose ที่ถูกปรับโฉมใหม่ให้เข้ากับยุค Switch 2 ถัดมาในวันที่ 20 พฤศจิกายนคือ Kirby Air Riders เกมแข่งรถภาคต่อจากเวอร์ชัน GameCube ปี 2003 ที่กลับมาอีกครั้งพร้อมกราฟิกใหม่และโหมดผู้เล่นหลายคนที่ออกแบบมาเพื่อการเล่นบน Switch 2 โดยเฉพาะ และแม้ว่า Grand Theft Auto VI จะถูกเลื่อนออกไปเป็นปีหน้า แต่ก็เปิดทางให้เกมอื่นๆ ได้เฉิดฉาย โดยเฉพาะ Metroid Prime 4: Beyond ที่มีข่าวลือว่าจะเปิดตัวในเดือนกันยายนนี้ หากไม่ถูกเลื่อนอีกครั้ง ซึ่งถือเป็นการกลับมาของซีรีส์ที่แฟนๆ รอคอยมาตั้งแต่ปี 2017 ✅ Pokémon Legends: Z-A ➡️ เปิดตัววันที่ 16 ตุลาคม 2025 ➡️ มีโปเกมอนเริ่มต้นให้เลือก 3 ตัว: Chikorita, Tepig, Totodile ➡️ ฉากหลังคือเมือง Lumiose ที่ถูกปรับโฉมใหม่ ➡️ รองรับ Nintendo Switch 2 Edition พร้อมกราฟิกและระบบใหม่ ✅ Kirby Air Riders ➡️ เปิดตัววันที่ 20 พฤศจิกายน 2025 ➡️ เป็นภาคต่อจากเกมแข่งรถบน GameCube ปี 2003 ➡️ รองรับโหมดผู้เล่นหลายคนและการเล่นออนไลน์ ➡️ พัฒนาเพื่อใช้ประสิทธิภาพของ Switch 2 อย่างเต็มที่ ✅ Metroid Prime 4: Beyond ➡️ ยังไม่มีวันเปิดตัวอย่างเป็นทางการ แต่คาดว่าอาจเปิดตัวในเดือนกันยายนหรือธันวาคม ➡️ มีข่าวลือว่าทีมทดสอบเกมของ Retro Studios เพิ่งเสร็จสิ้นงานแล้ว ➡️ รองรับโหมดกราฟิก 4K/60fps และโหมดประสิทธิภาพ 120fps บน Switch 26 ➡️ เป็นภาคต่อที่เริ่มพัฒนาใหม่ตั้งแต่ปี 2019 หลังจากเปลี่ยนทีมผู้สร้าง ✅ เกมอื่นๆ ที่น่าสนใจในฤดูใบไม้ร่วง ➡️ Hyrule Warriors: Age of Imprisonment (ฤดูหนาว 2025) ➡️ Super Mario Party Jamboree + Jamboree TV (เปิดตัวแล้วในเดือนกรกฎาคม) ➡️ Donkey Kong Bananza (เปิดตัวแล้วในเดือนกรกฎาคม) https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/08/pokemon-and-11-more-video-games-coming-this-fall
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Pokemon and 11 more video games coming this fall
    There are sequels aplenty, including new Ninja Gaiden and Battlefield games, but also a fresh look at mountain climbing.
    0 Comments 0 Shares 77 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก H100 ถึง GAIN AI Act: เมื่อชิปกลายเป็นทรัพยากรยุทธศาสตร์ที่ต้องจัดลำดับความสำคัญ

    ในปี 2025 สหรัฐฯ ได้เสนอร่างกฎหมายใหม่ชื่อว่า GAIN AI Act (Guaranteeing Access and Innovation for National Artificial Intelligence) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแพ็กเกจด้านความมั่นคงแห่งชาติ โดยมีเป้าหมายเพื่อควบคุมการส่งออกชิป AI ระดับสูง เช่น Nvidia H100, H200, B300 และ AMD Instinct MI308 โดยเฉพาะไปยังประเทศที่ถูกจัดว่าเป็น “D:5” หรือกลุ่มที่มีความเสี่ยงด้านความมั่นคง เช่นจีน

    ร่างกฎหมายนี้กำหนดให้ผู้ผลิตชิป เช่น Nvidia และ AMD ต้องให้ “สิทธิ์ซื้อก่อน” กับลูกค้าในสหรัฐฯ ก่อนส่งออกไปยังต่างประเทศ แม้แต่ประเทศพันธมิตรอย่างยุโรปหรือสหราชอาณาจักร โดยต้องพิสูจน์ว่าไม่มีคำสั่งซื้อค้างในประเทศ, ไม่มีการเสนอราคาที่ดีกว่าให้กับลูกค้าต่างชาติ และไม่มีผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของบริษัทอเมริกัน

    Nvidia ออกแถลงการณ์ตอบโต้ว่า “เราไม่เคยละเลยลูกค้าในสหรัฐฯ เพื่อไปบริการลูกค้าต่างประเทศ” และมองว่าร่างกฎหมายนี้พยายามแก้ปัญหาที่ไม่มีอยู่จริง พร้อมเตือนว่าการจำกัดการส่งออกจะกระทบต่อการแข่งขันระดับโลกในอุตสาหกรรมที่ใช้ชิปทั่วไป ไม่ใช่แค่ AI

    ข้อมูลจาก Nvidia ระบุว่าในปีงบประมาณ 2024 ยอดขายในสหรัฐฯ คิดเป็น 49.9% ของทั้งหมด ขณะที่จีนอยู่ที่ 28% และสิงคโปร์ 18% ซึ่งสะท้อนว่าสหรัฐฯ ยังคงเป็นตลาดหลักของบริษัท

    ร่างกฎหมายยังระบุเกณฑ์ทางเทคนิคที่ชัดเจน เช่น GPU ที่มี TPP (Total Processing Performance) เกิน 2,400 หรือ bandwidth เกิน 1.4 TB/s จะถูกควบคุมการส่งออก และหาก TPP เกิน 4,800 จะถูกห้ามส่งออกโดยเด็ดขาด ซึ่งครอบคลุมถึง H100 (TPP 16,000), B300 (TPP 60,000) และ MI308

    รายละเอียดของ GAIN AI Act
    เป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติปี 2026
    กำหนดให้ผู้ผลิตชิปต้องให้สิทธิ์ซื้อก่อนกับลูกค้าในสหรัฐฯ
    ครอบคลุมทั้งประเทศคู่แข่งและพันธมิตร เช่นจีนและยุโรป

    ข้อกำหนดสำหรับการส่งออก
    ต้องไม่มีคำสั่งซื้อค้างในประเทศ
    ห้ามเสนอราคาดีกว่าให้ลูกค้าต่างชาติ
    ห้ามส่งออกหากกระทบต่อการแข่งขันของบริษัทในสหรัฐฯ

    ชิปที่อยู่ภายใต้การควบคุม
    Nvidia H100, H200, B300 และ HGX H20
    AMD Instinct MI308
    ชิปที่มี TPP เกิน 4,800 จะถูกห้ามส่งออกโดยเด็ดขาด

    จุดยืนของ Nvidia
    ยืนยันว่าสหรัฐฯ เป็นตลาดหลักของบริษัท
    มองว่าร่างกฎหมายนี้แก้ปัญหาที่ไม่มีอยู่จริง
    เตือนว่าการควบคุมจะกระทบต่อการแข่งขันระดับโลก

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/nvidia-says-we-never-deprive-american-customers-in-order-to-serve-the-rest-of-the-world-company-says-gain-ai-act-addresses-a-problem-that-doesnt-exist
    🎙️ เรื่องเล่าจาก H100 ถึง GAIN AI Act: เมื่อชิปกลายเป็นทรัพยากรยุทธศาสตร์ที่ต้องจัดลำดับความสำคัญ ในปี 2025 สหรัฐฯ ได้เสนอร่างกฎหมายใหม่ชื่อว่า GAIN AI Act (Guaranteeing Access and Innovation for National Artificial Intelligence) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแพ็กเกจด้านความมั่นคงแห่งชาติ โดยมีเป้าหมายเพื่อควบคุมการส่งออกชิป AI ระดับสูง เช่น Nvidia H100, H200, B300 และ AMD Instinct MI308 โดยเฉพาะไปยังประเทศที่ถูกจัดว่าเป็น “D:5” หรือกลุ่มที่มีความเสี่ยงด้านความมั่นคง เช่นจีน ร่างกฎหมายนี้กำหนดให้ผู้ผลิตชิป เช่น Nvidia และ AMD ต้องให้ “สิทธิ์ซื้อก่อน” กับลูกค้าในสหรัฐฯ ก่อนส่งออกไปยังต่างประเทศ แม้แต่ประเทศพันธมิตรอย่างยุโรปหรือสหราชอาณาจักร โดยต้องพิสูจน์ว่าไม่มีคำสั่งซื้อค้างในประเทศ, ไม่มีการเสนอราคาที่ดีกว่าให้กับลูกค้าต่างชาติ และไม่มีผลกระทบต่อความสามารถในการแข่งขันของบริษัทอเมริกัน Nvidia ออกแถลงการณ์ตอบโต้ว่า “เราไม่เคยละเลยลูกค้าในสหรัฐฯ เพื่อไปบริการลูกค้าต่างประเทศ” และมองว่าร่างกฎหมายนี้พยายามแก้ปัญหาที่ไม่มีอยู่จริง พร้อมเตือนว่าการจำกัดการส่งออกจะกระทบต่อการแข่งขันระดับโลกในอุตสาหกรรมที่ใช้ชิปทั่วไป ไม่ใช่แค่ AI ข้อมูลจาก Nvidia ระบุว่าในปีงบประมาณ 2024 ยอดขายในสหรัฐฯ คิดเป็น 49.9% ของทั้งหมด ขณะที่จีนอยู่ที่ 28% และสิงคโปร์ 18% ซึ่งสะท้อนว่าสหรัฐฯ ยังคงเป็นตลาดหลักของบริษัท ร่างกฎหมายยังระบุเกณฑ์ทางเทคนิคที่ชัดเจน เช่น GPU ที่มี TPP (Total Processing Performance) เกิน 2,400 หรือ bandwidth เกิน 1.4 TB/s จะถูกควบคุมการส่งออก และหาก TPP เกิน 4,800 จะถูกห้ามส่งออกโดยเด็ดขาด ซึ่งครอบคลุมถึง H100 (TPP 16,000), B300 (TPP 60,000) และ MI308 ✅ รายละเอียดของ GAIN AI Act ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติปี 2026 ➡️ กำหนดให้ผู้ผลิตชิปต้องให้สิทธิ์ซื้อก่อนกับลูกค้าในสหรัฐฯ ➡️ ครอบคลุมทั้งประเทศคู่แข่งและพันธมิตร เช่นจีนและยุโรป ✅ ข้อกำหนดสำหรับการส่งออก ➡️ ต้องไม่มีคำสั่งซื้อค้างในประเทศ ➡️ ห้ามเสนอราคาดีกว่าให้ลูกค้าต่างชาติ ➡️ ห้ามส่งออกหากกระทบต่อการแข่งขันของบริษัทในสหรัฐฯ ✅ ชิปที่อยู่ภายใต้การควบคุม ➡️ Nvidia H100, H200, B300 และ HGX H20 ➡️ AMD Instinct MI308 ➡️ ชิปที่มี TPP เกิน 4,800 จะถูกห้ามส่งออกโดยเด็ดขาด ✅ จุดยืนของ Nvidia ➡️ ยืนยันว่าสหรัฐฯ เป็นตลาดหลักของบริษัท ➡️ มองว่าร่างกฎหมายนี้แก้ปัญหาที่ไม่มีอยู่จริง ➡️ เตือนว่าการควบคุมจะกระทบต่อการแข่งขันระดับโลก https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/nvidia-says-we-never-deprive-american-customers-in-order-to-serve-the-rest-of-the-world-company-says-gain-ai-act-addresses-a-problem-that-doesnt-exist
    0 Comments 0 Shares 85 Views 0 Reviews
  • แกะรอยเก่า ตอนที่ 1

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยเก่า”
    ตอนที่ 1
    เมื่อตัดสินใจเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อ ค.ศ. 1942 อเมริกาไม่ได้มีเป้าหมายเพียงแค่จะไปทำสงคราม แต่เป้าหมายของอเมริกาไกลกว่านั้น เขามองถึงการเป็นพี่เบิ้มใหญ่ของโลกหลังสงคราม และอเมริกาก็ทำได้ตามเป้าหมายมาตลอด ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหน กลยุทธใด แสดงให้เห็นว่าแม้จะเป็นนักล่าหน้าใหม่ แต่ฝีไม้ลายมือในการล่าไม่เบา หลังจากเป็นผู้ชนะสงครามโลกครั้งที่ 2 อเมริกามองตัวเองว่าเป็นจักรวรรดิอเมริกา เพราะจักรวรรดิต่างๆ ได้ล่มสลายไปหมดเหลือไว้แต่ซากกับประวัติ อเมริกาหมดคู่แข่งชั่วคราว ผงาดตัวมาเป็นนักล่าหมายเลขหนึ่ง แม้ตอนนี้ แท่นยืนของนักล่าหมายเลขหนึ่ง จะออกอาการง่อนแง่น แท่นเอียง ขาเก เพราะโดนทั้งปลวกทั้งด้วงแมงแทะในบ้านอยู่ แถมหลายประเทศที่อเมริกาเคยใช้กลยุทธ โกหก ตอแหล สร้างเรื่องสาระพัด หลอกโลกและใช้หน่วยงานที่ตนเองชักใย รุมกันจนประเทศเหล่านั้นแตกเป็นเสี่ยง หรือโดนกองทัพอันเกรียงไกรของพี่เบิ้มบุกเข้าประเทศ ประหนึ่งขี่ช้างจับตั๊กแตน จนบ้างเมืองเขาพินาศ เหลือเป็นซากเศษอิฐ หรือที่เคยมองประเทศเหล่านั้นอย่างหยามเหยียดด้วยหางตา ประเทศเหล่านั้นเริ่มขยับมาตีเสมอ เผลอๆ จะจับมือกันร่วมหัว ร่วมท้าย ท้าทายอเมริกา กระแซะพี่เบิ้มให้ตกจากแท่นยืนในฐานะหมายเลขหนึ่งเอาเสียด้วย ซ้ำ แต่เกมการล่า การแข่งขันชิงแชมป์โลก ต้องมองกันนานๆ ดูกันไปยาวๆ อย่าเพิ่งตัดสินแค่ยกสองยก มวยใหญ่มันอึด มีท่วงทีลีลาน่าศึกษา แต่ที่สำคัญอยู่ที่ชั้นเชิง ไม่รู้ปล่อยกันออกมาหมดหรือยัง
    หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เข้าสู่ยุคสงครามเย็น ระบอบคอมมิวนิสต์ออกดอกแพร่พันธ์ ไปหลายแห่งในโลก สายหนึ่งไปทางสหภาพโซเวียต สายหนึ่งมาทางเอเซีย สู่จีนและเวียตนาม ใครเป็นคนเอาพันธ์มาแพร่ ก็รู้ๆ กันอยู่ อเมริกาทำเป็นทนดูไม่ได้ แบบนี้เสียหน้าผู้พิทักษ์โลกสวยใบนี้หมด (แหม! ใช้ศัพท์สมัยใหม่เป็นเหมือนกันเหรอลุง ฮา!) ดังนั้น อเมริกาจึงทำทุกอย่างเพื่อหลอกให้ชาวโลกเชื่อว่า สงครามเท่านั้นแหละ ที่จะเป็นยาขจัดการแพร่พันธ์คอมมิวนิสต์อย่างชงัด
    เมื่ออเมริกาตัดสินใจทำมาหากินกับสงครามเวียตนาม ก็จำเป็นต้องมีเหยื่อเข้ามาร่วมกิจกรรม จะไปรบคนเดียวได้ยังไงเหงาตาย ไทยแลนด์สมันน้อยถูกผู้กำกับคัดตัวให้ไปเล่นบทตัวเอก แต่สมันน้อย อ่านบทไม่แตก ไม่ตัดสินใจเสียที อเมริกาจึงลงทุนประคองคุณป๋าสฤษดิ์บินไปอเมริกาเพื่อไปรักษาตัวตอนคุณป๋าป่วย พอไปถึงคุณป๋านอกจากจะถูกบรรดาหมอรุมกันรักษาแล้วคูณป๋ายังถูกอุ้มลงเปลเห่กล่อม ติวเข้มเกี่ยวกับภัยคอมมี่ กลับมาคุณป๋าร้องเฮ้ยเว้ย เอาไง เอากัน จะปล่อยให้คอมมี่มันบุกบ้านเรา บ้านพี่เมืองน้องเราได้ยังไง (ท่านที่ยังไม่เคยอ่านนิทานจิกโก๋ปากซอย ตอนนี้เป็นโอกาสดี เชิญแวะไปอ่านหน่อยนะครับ ทำลิงค์ไว้ให้แล้ว หาไม่เจอบอกมาจะลงให้ใหม่ จะได้อ่านนิทานเรื่องนี้แบบไม่ขาดลอย เพราะมันเกี่ยวเนื่องกันครับ แหม ! เอาใจคนอ่านจังนะลุง กลัวแฟนเพจไม่ถึงหมื่นหรือไง ฮา !)
    ขบวนการล่อเหยื่อ จับลงเปลเห่กล่อมเขาน่าสนใจ อเมริกาจะทำอะไร ไม่ใช่ทำวันนี้คิดพรุ่งนี้ จะทำวันนี้เขาคิดมา 20-30 ปีก่อนหน้าแล้ว วางแผนซับซ้อน วิธีการวางแผน หาข้อมูล ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอยู่บ่อยๆ เหมือนพวกไอ้ป้อดอีแป้ดมันออกรุ่นใหม่ มีลูกเล่นมาหลอกให้เราซื้ออยู่เรื่อย แต่ลูกหลักมันก็ไม่ต่างกันหรอก เพราะฉะนั้นถึงแม้นักล่าจะเปลี่ยนลูกเล่นอยู่เรื่อย แต่ลูกหลักมันก็พอมองออก ถ้าหมั่นติดตาม
    แกะสะเก็ด แกะรอยเก่า รอยใหม่ เอาแว่นมาส่องดู ก็คงพอจะตามรอยมันได้บ้าง ตอนนี้นักล่าประกาศไปทั่วโลก ว่าจะกลับมาวิ่งเล่นลิงชิงหลักอยู่แถวเอเซีย ตามนโยบาย Rebalancing ไทยแลนด์แดนสมันน้อยก็ไม่แคล้วจะถูกคัดตัวมาเข้าฉากอีก แต่คราวนี้จะได้รับบทตัวเอก ตัวประกอบ หรือบทไหน เรายังไม่รู้แน่ แต่จะไปรอรู้เอาตอนจบ นอนนับศพนับซากในบ้านเรา มันจะไหวหรือ สมันน้อยตื่นตัว ตามศึกษาแกะรอยนักล่ากันหน่อย อย่าดูแค่ที่เห็นข้างหน้า หัดเหลียวหลังแลข้างบ้างน่าจะดีกว่านะ
    มารู้จักสามีภรรยาคู่หนึ่งกันหน่อย นาย Kenneth และนาง Margaret Landon เขา 2 คนนี้ น่าสนใจมาก เขาเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ของไทยกับอเมริกา ช่วงก่อนและหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และเป็นส่วนสำคัญในการช่วยสร้าง เครื่องมือการล่าเหยื่อของอเมริกาในภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะในเมืองไทย เครื่องมือการล่าเหยื่อชนิดนี้ยังใช้อยู่จนทุกวันนี้ อุปกรณ์หลักเหมือนเดิม แค่เปลี่ยนอุปกรณ์เสริมให้ทันตามสมัยนิยมเท่านั้นเอง
    นาง Margaret มีชื่อเสียงเพราะเป็นคนเขียนหนังสือ เรื่อง Anna and the King ซึ่งตอนหลังHollywood เอาไปสร้างหนังเรื่อง The King and I นำแสดงโดย Rex Harrison ตอนรุ่นแรก แต่มาดังตอนสร้างครั้งที่สองโดยเอานาย Yul Brynner มารับบทเป็น The King หนังเรื่องนี้ถูกห้ามฉายในประเทศไทย นอกจากนั้นหนังสือเรื่องนี้ยังถูกนำไปสร้างเป็นละคร Broadway ดังระเบิด เพลงเพราะ ฉากสวย แต่เนื้อเรื่องแต่งตามความคิดของฝรั่งมองไทย ที่รู้จักไทยอย่างครึ่งๆ กลางๆ แต่คิดเอาเองว่ารู้จักหมด แต่นิทานเรื้องนี้จะไม่เล่าเกี่ยวกับนาง Margaret แต่จะเล่าเกี่ยวกับสามีนาง Margaret ที่ชื่อนาย Kenneth ผู้สร้างรอยเก่าน่าสนใจตามแกะดู


    คนเล่านิทาน
    แกะรอยเก่า ตอนที่ 1 นิทานเรื่องจริง เรื่อง “แกะรอยเก่า” ตอนที่ 1 เมื่อตัดสินใจเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 เมื่อ ค.ศ. 1942 อเมริกาไม่ได้มีเป้าหมายเพียงแค่จะไปทำสงคราม แต่เป้าหมายของอเมริกาไกลกว่านั้น เขามองถึงการเป็นพี่เบิ้มใหญ่ของโลกหลังสงคราม และอเมริกาก็ทำได้ตามเป้าหมายมาตลอด ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหน กลยุทธใด แสดงให้เห็นว่าแม้จะเป็นนักล่าหน้าใหม่ แต่ฝีไม้ลายมือในการล่าไม่เบา หลังจากเป็นผู้ชนะสงครามโลกครั้งที่ 2 อเมริกามองตัวเองว่าเป็นจักรวรรดิอเมริกา เพราะจักรวรรดิต่างๆ ได้ล่มสลายไปหมดเหลือไว้แต่ซากกับประวัติ อเมริกาหมดคู่แข่งชั่วคราว ผงาดตัวมาเป็นนักล่าหมายเลขหนึ่ง แม้ตอนนี้ แท่นยืนของนักล่าหมายเลขหนึ่ง จะออกอาการง่อนแง่น แท่นเอียง ขาเก เพราะโดนทั้งปลวกทั้งด้วงแมงแทะในบ้านอยู่ แถมหลายประเทศที่อเมริกาเคยใช้กลยุทธ โกหก ตอแหล สร้างเรื่องสาระพัด หลอกโลกและใช้หน่วยงานที่ตนเองชักใย รุมกันจนประเทศเหล่านั้นแตกเป็นเสี่ยง หรือโดนกองทัพอันเกรียงไกรของพี่เบิ้มบุกเข้าประเทศ ประหนึ่งขี่ช้างจับตั๊กแตน จนบ้างเมืองเขาพินาศ เหลือเป็นซากเศษอิฐ หรือที่เคยมองประเทศเหล่านั้นอย่างหยามเหยียดด้วยหางตา ประเทศเหล่านั้นเริ่มขยับมาตีเสมอ เผลอๆ จะจับมือกันร่วมหัว ร่วมท้าย ท้าทายอเมริกา กระแซะพี่เบิ้มให้ตกจากแท่นยืนในฐานะหมายเลขหนึ่งเอาเสียด้วย ซ้ำ แต่เกมการล่า การแข่งขันชิงแชมป์โลก ต้องมองกันนานๆ ดูกันไปยาวๆ อย่าเพิ่งตัดสินแค่ยกสองยก มวยใหญ่มันอึด มีท่วงทีลีลาน่าศึกษา แต่ที่สำคัญอยู่ที่ชั้นเชิง ไม่รู้ปล่อยกันออกมาหมดหรือยัง หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 เข้าสู่ยุคสงครามเย็น ระบอบคอมมิวนิสต์ออกดอกแพร่พันธ์ ไปหลายแห่งในโลก สายหนึ่งไปทางสหภาพโซเวียต สายหนึ่งมาทางเอเซีย สู่จีนและเวียตนาม ใครเป็นคนเอาพันธ์มาแพร่ ก็รู้ๆ กันอยู่ อเมริกาทำเป็นทนดูไม่ได้ แบบนี้เสียหน้าผู้พิทักษ์โลกสวยใบนี้หมด (แหม! ใช้ศัพท์สมัยใหม่เป็นเหมือนกันเหรอลุง ฮา!) ดังนั้น อเมริกาจึงทำทุกอย่างเพื่อหลอกให้ชาวโลกเชื่อว่า สงครามเท่านั้นแหละ ที่จะเป็นยาขจัดการแพร่พันธ์คอมมิวนิสต์อย่างชงัด เมื่ออเมริกาตัดสินใจทำมาหากินกับสงครามเวียตนาม ก็จำเป็นต้องมีเหยื่อเข้ามาร่วมกิจกรรม จะไปรบคนเดียวได้ยังไงเหงาตาย ไทยแลนด์สมันน้อยถูกผู้กำกับคัดตัวให้ไปเล่นบทตัวเอก แต่สมันน้อย อ่านบทไม่แตก ไม่ตัดสินใจเสียที อเมริกาจึงลงทุนประคองคุณป๋าสฤษดิ์บินไปอเมริกาเพื่อไปรักษาตัวตอนคุณป๋าป่วย พอไปถึงคุณป๋านอกจากจะถูกบรรดาหมอรุมกันรักษาแล้วคูณป๋ายังถูกอุ้มลงเปลเห่กล่อม ติวเข้มเกี่ยวกับภัยคอมมี่ กลับมาคุณป๋าร้องเฮ้ยเว้ย เอาไง เอากัน จะปล่อยให้คอมมี่มันบุกบ้านเรา บ้านพี่เมืองน้องเราได้ยังไง (ท่านที่ยังไม่เคยอ่านนิทานจิกโก๋ปากซอย ตอนนี้เป็นโอกาสดี เชิญแวะไปอ่านหน่อยนะครับ ทำลิงค์ไว้ให้แล้ว หาไม่เจอบอกมาจะลงให้ใหม่ จะได้อ่านนิทานเรื่องนี้แบบไม่ขาดลอย เพราะมันเกี่ยวเนื่องกันครับ แหม ! เอาใจคนอ่านจังนะลุง กลัวแฟนเพจไม่ถึงหมื่นหรือไง ฮา !) ขบวนการล่อเหยื่อ จับลงเปลเห่กล่อมเขาน่าสนใจ อเมริกาจะทำอะไร ไม่ใช่ทำวันนี้คิดพรุ่งนี้ จะทำวันนี้เขาคิดมา 20-30 ปีก่อนหน้าแล้ว วางแผนซับซ้อน วิธีการวางแผน หาข้อมูล ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอยู่บ่อยๆ เหมือนพวกไอ้ป้อดอีแป้ดมันออกรุ่นใหม่ มีลูกเล่นมาหลอกให้เราซื้ออยู่เรื่อย แต่ลูกหลักมันก็ไม่ต่างกันหรอก เพราะฉะนั้นถึงแม้นักล่าจะเปลี่ยนลูกเล่นอยู่เรื่อย แต่ลูกหลักมันก็พอมองออก ถ้าหมั่นติดตาม แกะสะเก็ด แกะรอยเก่า รอยใหม่ เอาแว่นมาส่องดู ก็คงพอจะตามรอยมันได้บ้าง ตอนนี้นักล่าประกาศไปทั่วโลก ว่าจะกลับมาวิ่งเล่นลิงชิงหลักอยู่แถวเอเซีย ตามนโยบาย Rebalancing ไทยแลนด์แดนสมันน้อยก็ไม่แคล้วจะถูกคัดตัวมาเข้าฉากอีก แต่คราวนี้จะได้รับบทตัวเอก ตัวประกอบ หรือบทไหน เรายังไม่รู้แน่ แต่จะไปรอรู้เอาตอนจบ นอนนับศพนับซากในบ้านเรา มันจะไหวหรือ สมันน้อยตื่นตัว ตามศึกษาแกะรอยนักล่ากันหน่อย อย่าดูแค่ที่เห็นข้างหน้า หัดเหลียวหลังแลข้างบ้างน่าจะดีกว่านะ มารู้จักสามีภรรยาคู่หนึ่งกันหน่อย นาย Kenneth และนาง Margaret Landon เขา 2 คนนี้ น่าสนใจมาก เขาเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ของไทยกับอเมริกา ช่วงก่อนและหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 และเป็นส่วนสำคัญในการช่วยสร้าง เครื่องมือการล่าเหยื่อของอเมริกาในภูมิภาคนี้ โดยเฉพาะในเมืองไทย เครื่องมือการล่าเหยื่อชนิดนี้ยังใช้อยู่จนทุกวันนี้ อุปกรณ์หลักเหมือนเดิม แค่เปลี่ยนอุปกรณ์เสริมให้ทันตามสมัยนิยมเท่านั้นเอง นาง Margaret มีชื่อเสียงเพราะเป็นคนเขียนหนังสือ เรื่อง Anna and the King ซึ่งตอนหลังHollywood เอาไปสร้างหนังเรื่อง The King and I นำแสดงโดย Rex Harrison ตอนรุ่นแรก แต่มาดังตอนสร้างครั้งที่สองโดยเอานาย Yul Brynner มารับบทเป็น The King หนังเรื่องนี้ถูกห้ามฉายในประเทศไทย นอกจากนั้นหนังสือเรื่องนี้ยังถูกนำไปสร้างเป็นละคร Broadway ดังระเบิด เพลงเพราะ ฉากสวย แต่เนื้อเรื่องแต่งตามความคิดของฝรั่งมองไทย ที่รู้จักไทยอย่างครึ่งๆ กลางๆ แต่คิดเอาเองว่ารู้จักหมด แต่นิทานเรื้องนี้จะไม่เล่าเกี่ยวกับนาง Margaret แต่จะเล่าเกี่ยวกับสามีนาง Margaret ที่ชื่อนาย Kenneth ผู้สร้างรอยเก่าน่าสนใจตามแกะดู คนเล่านิทาน
    0 Comments 0 Shares 167 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก Le Chat: เมื่อ AI ไม่ใช่แค่ตอบคำถาม แต่กลายเป็นผู้ช่วยที่รู้จักงานของคุณจริง ๆ

    ในเดือนกันยายน 2025 Mistral AI เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่สองอย่างใน Le Chat ที่เปลี่ยนมันจากผู้ช่วยทั่วไปให้กลายเป็น “AI workspace” ที่เข้าใจบริบทของงานและองค์กรอย่างลึกซึ้ง ได้แก่:

    MCP Connectors: ระบบเชื่อมต่อกับเครื่องมือกว่า 20 ตัว เช่น GitHub, Jira, Stripe, Snowflake, Asana, Box, Zapier และอื่น ๆ โดยสามารถค้นหา สรุป และดำเนินการได้จากในแชตเดียว

    Memories: ระบบความจำที่ช่วยให้ Le Chat เข้าใจบริบทของผู้ใช้ เช่น การตัดสินใจในอดีต, ข้อมูลที่เคยพูดถึง, และความชอบเฉพาะตัว—โดยผู้ใช้สามารถควบคุมได้เต็มที่ว่าจะให้จำอะไร ลืมอะไร หรือแก้ไขอะไร

    สิ่งที่ทำให้ Mistral แตกต่างจากคู่แข่งอย่าง ChatGPT หรือ Gemini คือการออกแบบระบบความจำแบบ opt-in ที่เน้นความโปร่งใสและการควบคุมของผู้ใช้ ไม่ใช่ “always-on” ที่เก็บทุกอย่างโดยอัตโนมัติ

    Le Chat ยังรองรับการนำเข้าความจำจาก ChatGPT เพื่อให้ผู้ใช้ที่เคยใช้ระบบอื่นสามารถย้ายมาได้ง่าย และสามารถ deploy ได้ทั้งแบบ cloud, on-prem หรือ hybrid ตามความต้องการขององค์กร

    MCP Connectors: เชื่อมต่อกับเครื่องมือองค์กร
    รองรับกว่า 20 แพลตฟอร์ม เช่น GitHub, Snowflake, Stripe, Jira, Box, Asana
    สามารถค้นหา สรุป และดำเนินการในระบบต่าง ๆ ได้จาก Le Chat
    รองรับการเพิ่ม connector แบบ custom สำหรับระบบเฉพาะขององค์กร

    Memories: ระบบความจำแบบควบคุมได้
    จำข้อมูลสำคัญ เช่น ความชอบ, การตัดสินใจ, และบริบทของงาน
    ผู้ใช้สามารถเพิ่ม แก้ไข หรือลบความจำได้เอง
    รองรับการนำเข้าความจำจาก ChatGPT เพื่อย้ายระบบได้ง่าย

    การออกแบบเพื่อองค์กร
    รองรับการ deploy แบบ cloud, on-prem หรือ hybrid
    ผู้ดูแลระบบสามารถกำหนดสิทธิ์การเข้าถึง connector ได้
    เหมาะกับองค์กรที่ต้องการ AI ที่เข้าใจบริบทและปลอดภัย

    ความแตกต่างจากคู่แข่ง
    Mistral ใช้ระบบ opt-in memory ต่างจาก ChatGPT และ Gemini ที่ใช้ always-on
    เน้นความโปร่งใสและการควบคุมของผู้ใช้
    รองรับการใช้งานฟรี โดยไม่จำกัดฟีเจอร์ความจำหรือ connector

    https://mistral.ai/news/le-chat-mcp-connectors-memories
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Le Chat: เมื่อ AI ไม่ใช่แค่ตอบคำถาม แต่กลายเป็นผู้ช่วยที่รู้จักงานของคุณจริง ๆ ในเดือนกันยายน 2025 Mistral AI เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่สองอย่างใน Le Chat ที่เปลี่ยนมันจากผู้ช่วยทั่วไปให้กลายเป็น “AI workspace” ที่เข้าใจบริบทของงานและองค์กรอย่างลึกซึ้ง ได้แก่: MCP Connectors: ระบบเชื่อมต่อกับเครื่องมือกว่า 20 ตัว เช่น GitHub, Jira, Stripe, Snowflake, Asana, Box, Zapier และอื่น ๆ โดยสามารถค้นหา สรุป และดำเนินการได้จากในแชตเดียว Memories: ระบบความจำที่ช่วยให้ Le Chat เข้าใจบริบทของผู้ใช้ เช่น การตัดสินใจในอดีต, ข้อมูลที่เคยพูดถึง, และความชอบเฉพาะตัว—โดยผู้ใช้สามารถควบคุมได้เต็มที่ว่าจะให้จำอะไร ลืมอะไร หรือแก้ไขอะไร สิ่งที่ทำให้ Mistral แตกต่างจากคู่แข่งอย่าง ChatGPT หรือ Gemini คือการออกแบบระบบความจำแบบ opt-in ที่เน้นความโปร่งใสและการควบคุมของผู้ใช้ ไม่ใช่ “always-on” ที่เก็บทุกอย่างโดยอัตโนมัติ Le Chat ยังรองรับการนำเข้าความจำจาก ChatGPT เพื่อให้ผู้ใช้ที่เคยใช้ระบบอื่นสามารถย้ายมาได้ง่าย และสามารถ deploy ได้ทั้งแบบ cloud, on-prem หรือ hybrid ตามความต้องการขององค์กร ✅ MCP Connectors: เชื่อมต่อกับเครื่องมือองค์กร ➡️ รองรับกว่า 20 แพลตฟอร์ม เช่น GitHub, Snowflake, Stripe, Jira, Box, Asana ➡️ สามารถค้นหา สรุป และดำเนินการในระบบต่าง ๆ ได้จาก Le Chat ➡️ รองรับการเพิ่ม connector แบบ custom สำหรับระบบเฉพาะขององค์กร ✅ Memories: ระบบความจำแบบควบคุมได้ ➡️ จำข้อมูลสำคัญ เช่น ความชอบ, การตัดสินใจ, และบริบทของงาน ➡️ ผู้ใช้สามารถเพิ่ม แก้ไข หรือลบความจำได้เอง ➡️ รองรับการนำเข้าความจำจาก ChatGPT เพื่อย้ายระบบได้ง่าย ✅ การออกแบบเพื่อองค์กร ➡️ รองรับการ deploy แบบ cloud, on-prem หรือ hybrid ➡️ ผู้ดูแลระบบสามารถกำหนดสิทธิ์การเข้าถึง connector ได้ ➡️ เหมาะกับองค์กรที่ต้องการ AI ที่เข้าใจบริบทและปลอดภัย ✅ ความแตกต่างจากคู่แข่ง ➡️ Mistral ใช้ระบบ opt-in memory ต่างจาก ChatGPT และ Gemini ที่ใช้ always-on ➡️ เน้นความโปร่งใสและการควบคุมของผู้ใช้ ➡️ รองรับการใช้งานฟรี โดยไม่จำกัดฟีเจอร์ความจำหรือ connector https://mistral.ai/news/le-chat-mcp-connectors-memories
    MISTRAL.AI
    Le Chat. Custom MCP connectors. Memories. | Mistral AI
    Le Chat now integrates with 20+ enterprise platforms—powered by MCP—and remembers what matters with Memories.
    0 Comments 0 Shares 129 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากบัตรเครดิตที่พูดได้: เมื่อ Alibaba เปลี่ยนเครื่องบันทึกเสียงให้กลายเป็นผู้ช่วยอัจฉริยะ

    ในงานครบรอบ 10 ปีของ DingTalk เมื่อปลายเดือนสิงหาคม 2025 Alibaba เปิดตัว DingTalk A1 ซึ่งเป็นเครื่องบันทึกเสียงขนาดเท่าบัตรเครดิตที่อัดแน่นด้วยความสามารถด้าน AI โดยใช้โมเดลจาก Tongyi AI Lab ที่เทรนด้วยเสียงกว่า 100 ล้านชั่วโมง ทำให้สามารถเข้าใจได้มากกว่า 100 ภาษาและ 30 สำเนียงจีน รวมถึงศัพท์เฉพาะจากกว่า 200 อุตสาหกรรม

    A1 ไม่ได้แค่บันทึกเสียง แต่สามารถสรุปประชุม, แปลภาษาแบบเรียลไทม์, วิเคราะห์เนื้อหา และสร้างเอกสารในรูปแบบต่าง ๆ เช่น minutes, to-do list หรือแม้แต่ mindmap โดยไม่ต้องพึ่งมนุษย์เลยแม้แต่นิดเดียว

    เมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งอย่าง Plaud Note Pro (US$179) และ Mobvoi TicNote (US$159.99) แล้ว DingTalk A1 มีราคาถูกกว่าอย่างเห็นได้ชัดที่ 499–799 หยวน (US$69.98–111.8) และยังมีฟีเจอร์ที่โดดเด่น เช่น OLED สี, USB-C, การเชื่อมต่อกับแอป DingTalk โดยตรง และการรองรับโมเดล AI ชั้นนำจากจีน เช่น Qwen3-235B, DeepSeek-V3

    ตลาด AI hardware ในจีนกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยคาดว่าจะมีมูลค่าถึง 1.1 ล้านล้านหยวนในปีนี้ และเพิ่มเป็น 2.5 ล้านล้านภายในปี 2030 ซึ่งเป็นผลจากนโยบายสนับสนุนของรัฐบาล, การพึ่งพาเทคโนโลยีภายในประเทศ และการนำ AI ไปใช้ในอุตสาหกรรมแบบกว้างขวาง

    การเปิดตัว DingTalk A1
    เปิดตัวในงานครบรอบ 10 ปีของ DingTalk
    ขนาดเท่าบัตรเครดิต หนาเพียง 3.8 มม. น้ำหนัก ~40 กรัม
    มี OLED สี, USB-C, รองรับการสรุป, แปล, วิเคราะห์, สร้าง mindmap

    ความสามารถด้าน AI
    เทรนด้วยเสียงกว่า 100 ล้านชั่วโมงจาก Tongyi AI Lab
    รองรับมากกว่า 100 ภาษา, 30 สำเนียงจีน, และศัพท์เฉพาะจาก 200 อุตสาหกรรม
    ใช้โมเดล AI ชั้นนำ เช่น Qwen, DeepSeek, QwQ-plus

    การเปรียบเทียบกับคู่แข่ง
    Plaud Note Pro ราคา US$179, ใช้ GPT-4.1, Claude 4, Gemini 2.5
    TicNote ราคา US$159.99, ใช้ DeepSeek-V3, Kimi-k2, รองรับ mindmap และ insight
    DingTalk A1 ถูกกว่า, เชื่อมกับแอป DingTalk โดยตรง, ไม่ต้องติดตั้งแยก

    แนวโน้มตลาด AI hardware ในจีน
    มูลค่าตลาดปี 2025 อยู่ที่ 1.1 ล้านล้านหยวน
    คาดว่าจะเพิ่มเป็น 2.5 ล้านล้านหยวนภายในปี 2030
    การเติบโตมาจากนโยบายรัฐ, การพึ่งพาเทคโนโลยีในประเทศ, และการนำ AI ไปใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/04/chinas-latest-ai-gadget-is-a-credit-card-sized-recorder-from-alibabas-dingtalk
    🎙️ เรื่องเล่าจากบัตรเครดิตที่พูดได้: เมื่อ Alibaba เปลี่ยนเครื่องบันทึกเสียงให้กลายเป็นผู้ช่วยอัจฉริยะ ในงานครบรอบ 10 ปีของ DingTalk เมื่อปลายเดือนสิงหาคม 2025 Alibaba เปิดตัว DingTalk A1 ซึ่งเป็นเครื่องบันทึกเสียงขนาดเท่าบัตรเครดิตที่อัดแน่นด้วยความสามารถด้าน AI โดยใช้โมเดลจาก Tongyi AI Lab ที่เทรนด้วยเสียงกว่า 100 ล้านชั่วโมง ทำให้สามารถเข้าใจได้มากกว่า 100 ภาษาและ 30 สำเนียงจีน รวมถึงศัพท์เฉพาะจากกว่า 200 อุตสาหกรรม A1 ไม่ได้แค่บันทึกเสียง แต่สามารถสรุปประชุม, แปลภาษาแบบเรียลไทม์, วิเคราะห์เนื้อหา และสร้างเอกสารในรูปแบบต่าง ๆ เช่น minutes, to-do list หรือแม้แต่ mindmap โดยไม่ต้องพึ่งมนุษย์เลยแม้แต่นิดเดียว เมื่อเปรียบเทียบกับคู่แข่งอย่าง Plaud Note Pro (US$179) และ Mobvoi TicNote (US$159.99) แล้ว DingTalk A1 มีราคาถูกกว่าอย่างเห็นได้ชัดที่ 499–799 หยวน (US$69.98–111.8) และยังมีฟีเจอร์ที่โดดเด่น เช่น OLED สี, USB-C, การเชื่อมต่อกับแอป DingTalk โดยตรง และการรองรับโมเดล AI ชั้นนำจากจีน เช่น Qwen3-235B, DeepSeek-V3 ตลาด AI hardware ในจีนกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยคาดว่าจะมีมูลค่าถึง 1.1 ล้านล้านหยวนในปีนี้ และเพิ่มเป็น 2.5 ล้านล้านภายในปี 2030 ซึ่งเป็นผลจากนโยบายสนับสนุนของรัฐบาล, การพึ่งพาเทคโนโลยีภายในประเทศ และการนำ AI ไปใช้ในอุตสาหกรรมแบบกว้างขวาง ✅ การเปิดตัว DingTalk A1 ➡️ เปิดตัวในงานครบรอบ 10 ปีของ DingTalk ➡️ ขนาดเท่าบัตรเครดิต หนาเพียง 3.8 มม. น้ำหนัก ~40 กรัม ➡️ มี OLED สี, USB-C, รองรับการสรุป, แปล, วิเคราะห์, สร้าง mindmap ✅ ความสามารถด้าน AI ➡️ เทรนด้วยเสียงกว่า 100 ล้านชั่วโมงจาก Tongyi AI Lab ➡️ รองรับมากกว่า 100 ภาษา, 30 สำเนียงจีน, และศัพท์เฉพาะจาก 200 อุตสาหกรรม ➡️ ใช้โมเดล AI ชั้นนำ เช่น Qwen, DeepSeek, QwQ-plus ✅ การเปรียบเทียบกับคู่แข่ง ➡️ Plaud Note Pro ราคา US$179, ใช้ GPT-4.1, Claude 4, Gemini 2.5 ➡️ TicNote ราคา US$159.99, ใช้ DeepSeek-V3, Kimi-k2, รองรับ mindmap และ insight ➡️ DingTalk A1 ถูกกว่า, เชื่อมกับแอป DingTalk โดยตรง, ไม่ต้องติดตั้งแยก ✅ แนวโน้มตลาด AI hardware ในจีน ➡️ มูลค่าตลาดปี 2025 อยู่ที่ 1.1 ล้านล้านหยวน ➡️ คาดว่าจะเพิ่มเป็น 2.5 ล้านล้านหยวนภายในปี 2030 ➡️ การเติบโตมาจากนโยบายรัฐ, การพึ่งพาเทคโนโลยีในประเทศ, และการนำ AI ไปใช้ในอุตสาหกรรมต่าง ๆ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/09/04/chinas-latest-ai-gadget-is-a-credit-card-sized-recorder-from-alibabas-dingtalk
    WWW.THESTAR.COM.MY
    China’s latest AI gadget is a credit card-sized recorder from Alibaba’s DingTalk
    Transcription capability developed with Alibaba's Tongyi AI lab, using over 100 million hours of audio content for training.
    0 Comments 0 Shares 119 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจาก Icheon: เมื่อการพิมพ์วงจรระดับนาโนกลายเป็นการแข่งขันระดับโลก

    ในเดือนกันยายน 2025 SK hynix และ ASML ประกาศว่าได้ติดตั้งเครื่อง High-NA EUV รุ่น Twinscan EXE:5200B ที่โรงงาน M16 ในเมืองอีชอน ประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งถือเป็นการติดตั้งเชิงพาณิชย์ครั้งแรกของเครื่องรุ่นนี้ในอุตสาหกรรมหน่วยความจำ

    เครื่องนี้ใช้เลนส์ที่มีค่า NA (Numerical Aperture) สูงถึง 0.55 ซึ่งมากกว่าเครื่อง EUV รุ่นเดิมที่มี NA 0.33 ทำให้สามารถพิมพ์วงจรที่เล็กลงได้ถึง 1.7 เท่า และเพิ่มความหนาแน่นของทรานซิสเตอร์ได้ถึง 2.9 เท่าในครั้งเดียว โดยไม่ต้องใช้เทคนิค multi-patterning ที่ซับซ้อนและมีต้นทุนสูง

    SK hynix วางแผนใช้เครื่องนี้ในระยะแรกเพื่อเร่งการพัฒนา DRAM รุ่นใหม่ เช่นการสร้างโครงสร้าง capacitor trench, bitline และ wordline ที่ซับซ้อนขึ้น ก่อนจะนำไปใช้จริงในสายการผลิตช่วงปลายทศวรรษนี้ ซึ่งจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการผลิต DRAM ที่มีขนาดต่ำกว่า 10 นาโนเมตร

    การติดตั้งครั้งนี้ทำให้ SK hynix กลายเป็นผู้ผลิตหน่วยความจำรายแรกที่นำ High-NA EUV มาใช้ในระดับ mass production ล้ำหน้าคู่แข่งอย่าง Samsung และ Micron ที่ยังอยู่ในขั้นตอน R&D กับเครื่องรุ่นก่อนหน้าอย่าง EXE:5000

    ASML ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องจากเนเธอร์แลนด์ ระบุว่าเครื่องรุ่นนี้มีขนาดเท่ารถบัสสองชั้น น้ำหนักกว่า 150 ตัน และมีราคาสูงถึง 600 พันล้านวอน (~431 ล้านดอลลาร์) โดยผลิตได้เพียง 5–6 เครื่องต่อปีเท่านั้น

    การติดตั้ง High-NA EUV รุ่น Twinscan EXE:5200B
    ติดตั้งที่โรงงาน M16 ของ SK hynix ในเกาหลีใต้
    เป็นการใช้งานเชิงพาณิชย์ครั้งแรกในอุตสาหกรรมหน่วยความจำ
    ใช้เลนส์ NA 0.55 ซึ่งให้ความละเอียดสูงกว่ารุ่นเดิม

    ความสามารถของเครื่อง High-NA EUV
    พิมพ์วงจรเล็กลง 1.7 เท่า และเพิ่มความหนาแน่น 2.9 เท่า
    ลดความจำเป็นในการใช้ multi-patterning ที่มีต้นทุนสูง
    เหมาะกับการพัฒนา DRAM ที่มีโครงสร้างซับซ้อนระดับ sub-10nm

    กลยุทธ์ของ SK hynix
    ใช้เครื่องนี้เพื่อเร่งการพัฒนา DRAM รุ่นใหม่ก่อนเข้าสู่สายการผลิตจริง
    ตั้งเป้าเป็นผู้นำในตลาด AI memory และ next-gen computing
    ล้ำหน้าคู่แข่งที่ยังใช้เครื่องรุ่นก่อนหน้าในขั้นตอน R&D

    ข้อมูลจาก ASML
    เครื่องมีขนาดเท่ารถบัสสองชั้น น้ำหนักกว่า 150 ตัน
    ราคาต่อเครื่องประมาณ 600 พันล้านวอน (~431 ล้านดอลลาร์)
    ผลิตได้เพียง 5–6 เครื่องต่อปีเท่านั้น

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/asml-and-sk-hynix-assemble-industry-first-commercial-high-na-euv-system-at-fab-in-south-korea
    🎙️ เรื่องเล่าจาก Icheon: เมื่อการพิมพ์วงจรระดับนาโนกลายเป็นการแข่งขันระดับโลก ในเดือนกันยายน 2025 SK hynix และ ASML ประกาศว่าได้ติดตั้งเครื่อง High-NA EUV รุ่น Twinscan EXE:5200B ที่โรงงาน M16 ในเมืองอีชอน ประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งถือเป็นการติดตั้งเชิงพาณิชย์ครั้งแรกของเครื่องรุ่นนี้ในอุตสาหกรรมหน่วยความจำ เครื่องนี้ใช้เลนส์ที่มีค่า NA (Numerical Aperture) สูงถึง 0.55 ซึ่งมากกว่าเครื่อง EUV รุ่นเดิมที่มี NA 0.33 ทำให้สามารถพิมพ์วงจรที่เล็กลงได้ถึง 1.7 เท่า และเพิ่มความหนาแน่นของทรานซิสเตอร์ได้ถึง 2.9 เท่าในครั้งเดียว โดยไม่ต้องใช้เทคนิค multi-patterning ที่ซับซ้อนและมีต้นทุนสูง SK hynix วางแผนใช้เครื่องนี้ในระยะแรกเพื่อเร่งการพัฒนา DRAM รุ่นใหม่ เช่นการสร้างโครงสร้าง capacitor trench, bitline และ wordline ที่ซับซ้อนขึ้น ก่อนจะนำไปใช้จริงในสายการผลิตช่วงปลายทศวรรษนี้ ซึ่งจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของการผลิต DRAM ที่มีขนาดต่ำกว่า 10 นาโนเมตร การติดตั้งครั้งนี้ทำให้ SK hynix กลายเป็นผู้ผลิตหน่วยความจำรายแรกที่นำ High-NA EUV มาใช้ในระดับ mass production ล้ำหน้าคู่แข่งอย่าง Samsung และ Micron ที่ยังอยู่ในขั้นตอน R&D กับเครื่องรุ่นก่อนหน้าอย่าง EXE:5000 ASML ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องจากเนเธอร์แลนด์ ระบุว่าเครื่องรุ่นนี้มีขนาดเท่ารถบัสสองชั้น น้ำหนักกว่า 150 ตัน และมีราคาสูงถึง 600 พันล้านวอน (~431 ล้านดอลลาร์) โดยผลิตได้เพียง 5–6 เครื่องต่อปีเท่านั้น ✅ การติดตั้ง High-NA EUV รุ่น Twinscan EXE:5200B ➡️ ติดตั้งที่โรงงาน M16 ของ SK hynix ในเกาหลีใต้ ➡️ เป็นการใช้งานเชิงพาณิชย์ครั้งแรกในอุตสาหกรรมหน่วยความจำ ➡️ ใช้เลนส์ NA 0.55 ซึ่งให้ความละเอียดสูงกว่ารุ่นเดิม ✅ ความสามารถของเครื่อง High-NA EUV ➡️ พิมพ์วงจรเล็กลง 1.7 เท่า และเพิ่มความหนาแน่น 2.9 เท่า ➡️ ลดความจำเป็นในการใช้ multi-patterning ที่มีต้นทุนสูง ➡️ เหมาะกับการพัฒนา DRAM ที่มีโครงสร้างซับซ้อนระดับ sub-10nm ✅ กลยุทธ์ของ SK hynix ➡️ ใช้เครื่องนี้เพื่อเร่งการพัฒนา DRAM รุ่นใหม่ก่อนเข้าสู่สายการผลิตจริง ➡️ ตั้งเป้าเป็นผู้นำในตลาด AI memory และ next-gen computing ➡️ ล้ำหน้าคู่แข่งที่ยังใช้เครื่องรุ่นก่อนหน้าในขั้นตอน R&D ✅ ข้อมูลจาก ASML ➡️ เครื่องมีขนาดเท่ารถบัสสองชั้น น้ำหนักกว่า 150 ตัน ➡️ ราคาต่อเครื่องประมาณ 600 พันล้านวอน (~431 ล้านดอลลาร์) ➡️ ผลิตได้เพียง 5–6 เครื่องต่อปีเท่านั้น https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/asml-and-sk-hynix-assemble-industry-first-commercial-high-na-euv-system-at-fab-in-south-korea
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    ASML and SK hynix assemble industry-first 'commercial' High-NA EUV system at fab in South Korea
    Initially for R&D use, until later this decade where it will transition to production
    0 Comments 0 Shares 97 Views 0 Reviews
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ยุทธการกบกระโดด”
    ตอนที่ 5
    อเมริกาสมเป็นนักล่าหมายเลขหนึ่ง สิงห์โตซุ่มจริง ๆ ขณะที่หน้าฉากยังไม่ชัดเจน ว่าจะ
เล่นเรื่องอะไร มีข่าวหลุดออกมาจาก Pentagon เมื่อ ค.ศ. 2012 ว่าอเมริกามีแผนจะปรับโฉมหน้าของฐานทัพ ที่มีอยู่ต่างประเทศเสียใหม่ เรียกว่าทำ face lift อัพหน้ากันใหม่ ตามยุทธการ “กบกระโดด” เพราะการมีฐานทัพกระจายทั่วโลก เป็นปัญหาทั้งด้านกระเป๋าที่ยังรั่วอยู่ และเป็นเป้าสายตาของชาวโลก ขยับตัวทีเขารู้แผนกันหมดทั้งคู่หู คู่แข่ง
สมัยนายบุชตัวลูก ก็ปวดขมอง คิดจะปิดฐานทัพไปสัก 1 ใน 3 แต่ตัดสินใจไม่ขาด จะเปิดอันไหน ปิดอันไหน คิดยังไม่ทันตก ดันหมดเทอมซะก่อน
มาถึงนายโอบามา ปัญหานี้จะทู่ซี้ต่อไป อาจจะไม่ได้ไปนั่งเท่ในทำเนียบขาว หรือถ้าได้นั่ง ก็อยู่ไม่ยาว ตอนหาเสียงเลยเล่นมุก ท่องมันไปทุกเวที Change Change Change
    เอาเข้าจริง เป็นพี่เบิ้มนักล่าถ้าเก็บเครื่องมือล่าทิ้งลงถังขยะ แล้วจะไปล่าเหยื่อได้ยังไง แบบนี้ เพื่อนซี้ เพื่อนกิน ลูกหาบก็หลบหน้า ลี้กายหายไปหมด เลยต้องเรียกเด็ก ๆ
เฮ้ย ! มาทำการบ้านใหม่โว้ย !
ตกลงนักล่ามันเปลี่ยนสันดานไหม มัน Change ไหม ?
    กบกระโดดครับนาย กบกระโดดคือคำตอบ กบจะกระโดดในสระกว้างต้องมีใบบัวรองรับ
สระกว้างใหญ่ มีใบบัวเต็มไปหมด คนมองก็ไม่รู้สึกแปลก
แต่ถ้าดันสร้างเป็น swimming pool ขนาดโอลิมปิก กบจะกระโดดไหวหรือ กลายเป็นกบพุ่งหลาวจมไม่โผล่ละซิ ส่วนที่คิดจะเอาใบบัวไปลอย ใน swimming pool น่ะ แบบนั้น มันฉากละครทีวีช่องคุณหญิงคุณชายนะ Hollywood เขาไม่ทำกัน
มันต้องทำให้เนียน ๆ
    เพราะฉะนั้นเอาฐานทัพเก่า ๆ มาดัดแปลงเสียใหม่ ไม่ให้คนสังเกต หรือแถบไหน (ของ
ประเทศคนอื่น) ที่มันเล็ก ๆ ไม่เด่นก็ไปแอบสร้าง เอาให้มันกลมกลืนกับธรรมชาติ แต่แฝงด้วยอาวุธทันสมัยติดไว้ให้เพียบ แบบนี้ก็เรียบร้อย นักล่าบอกน่าสนใจ (มาก)
    เอะ ! แล้วนี่ ที่นักล่าเขาหลอกให้เราเฝ้าแต่อู่ตะเภา แล้วถ้าเขาไปสร้างใบบัวให้กบมัน
กระโดดแถวชุมพร นี่สมันน้อยจะรู้ไหมนะ ! ?
    ด้วยยุทธศาสตร์กบกระโดดบนใบบัว อเมริกาสามารถสร้างฐานทัพให้ กระจายแบบโรยไว้ทั่ว (peppering) บริเวณ Asia Pacific ถ้าอเมริกาทำได้จริง มันก็ไม่ต่างกับการควบคุมจีนทางอ้อม (containment) และก็เหมือนเป็นการเอาฉากสงครามเย็น สมัยที่อเมริกาจัดการกับสหภาพโซเวียตมาเล่นใหม่ !
    ลองคิดดูช่วง 2-3 ปีนี้ อเมริกาเดินแผนอย่างไร กับทุกประเทศในภูมิภาคนี้ ไม่มีหลุด
สักเม็ด เค้าของสงครามโลกครั้งที่ 3 พอมองได้เห็นลาง ๆ
    – ออสเตรเลีย : อเมริกา เจรจาที่จะร่วมใช้ฐานทัพที่ Darwin และกำลังเริ่มแผนใช้
drone (เครื่องบินประเภทไร้คนขับ บังคับด้วยเรดาร์) โดยใช้ฐานทัพของออสเตรเลียที่เกาะ Cocos เป็นฐานพัก รวมทั้งการจัดกองกำลังเตรียมพร้อมไว้ แถว Brisbane และ Perth ด้วย
    – ราชอาณาจักรไทย : แน่นอนจะใช้อู่ตะเภา หรือสร้างใบบัวให้กบกระโดดที่ชุมพร หรือ
ที่ไหนอีก ตามสัญญาผูกคอทาส ทำได้สารพัด
    – ฟิลิปปินส์ : ตกลงไปแล้วให้อเมริกาฟื้นสนามบิน Clark และฐานทัพเรือ Subic Bay ที่ปิดไปชั่วคราวตั้งแต่ปี ค.ศ. 1990 กว่า ๆ (แต่หลังจากปี ค.ศ. 2002 ก็ยอมให้หน่วยปฏิบัติการพิเศษของอเมริกาเข้ามาใช้ใหม่บางกรณี !)
    – เวียตนาม : ทำสัญญาตกลงให้อเมริกาเพิ่มกองเรือ เข้าไปใช้ท่าเรือของเวียตนาม และ
จะขยายท่าเรือ เพื่อให้เฉพาะกองทัพเรืออเมริกาจอด
    – เกาะกวม : อเมริกาเตรียมสร้าง runway เพิ่มที่เกาะ Tinian ใกล้กับเกาะกวม และเตรียมสร้างฐานทัพ และ runwayสำหรับเครื่องบินลง ที่เกาะไซปัน (Saipan) ที่ห่างจากเกาะกวมไปประมาณ190 กม. เพื่อเป็นฐานทัพรองรับ หากกวมโดนโจมตี
    – มาเลเซีย อินโดนีเซีย และบรูไน : อเมริกาเจรจาที่จะสร้างฐานทัพเพิ่ม
    – เกาหลีใต้ : ตกลงกับอเมริกาที่จะสร้างฐานทัพเพิ่ม ให้อเมริกาใช้ที่เกาะ Jeju
    – อินเดีย : อเมริกาทำข้อตกลงเพิ่มความร่วมมือทางการทหารไปแล้ว
    นี่ยังไม่ได้นับฐานทัพอีกประมาณ 200 แห่ง ที่อเมริกามีกระจายอยู่ แล้วที่ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เกาะกวม Diego Garcia และฮาวาย ถ้าใบบัวงอกทั้งหมดนี้ อาเฮียแทบไม่มีทางออกทะเล ต้องใช้บินอย่างเดียว (ฮา !)
    ยุทธศาสตร์กบกระโดด บนใบบัวนี้ แสดงให้เห็นว่าลึก ๆ อเมริกาคิดอะไรอยู่ เป็นแผนล่า
เหยื่อของนักล่าตัวจริง ในเมื่อการสร้างฐานทัพใหญ่ ๆ ในต่างประเทศ นอกจากราคาแพงแล้ว ยังเป็นทั้งเป้าสายตาและเป้าอาวุธ แต่ถ้าแอบสร้างฐานเล็ก ๆ แบบใบบัว ให้กบกระโดด หลาย ๆแห่ง ทำได้เร็ว และไม่สร้างความอึกทึกให้โลกและเจ้าของบ้าน (ที่นักล่าหลอกไว้) ให้รู้ตัว นักยุทธศาสตร์การรบบอกว่า ฐานทัพรุ่นใบบัวนี้ ถ้าติดเครื่องมือทันสมัยให้เพียบ ใช้ควบคู่กับหน่วยรบพิเศษ (special operation forces) กบรุ่นใหม่เคลื่อนที่เร็ว แบบกบมหัศจรรย์ กับการใช้ droneสอดแนมและข่าวกรองที่มีประสิทธิภาพ (อย่าลืมว่าหน่วยปฎิบัติการในภาวะภัยพิบัตินั้น เป็นงาน
พรางตัวที่ดีที่สุด ของกองทัพในการทำงานข่าวกรอง) ร่วมกับการปฎิบัติทางโลก Cyber และมีการร่วมมือระหว่างกองทัพ กับหน่วยงานพลเรือนอย่างดี คุณสามารถทำการปฎิวัติ หรือบุกยึดเมืองใด หรือทำการรบในยุทธภูมิใดก็ได้ผลเกินคาด รวดเร็วกว่าการใช้กองทัพใหญ่ ๆ ที่เคลื่อนตัวอย่างอุ้ยอ้าย มันหมดสมัยแล้ว !
    อเมริกาปรับปรุงฐานทัพจากการขยายหรือสร้างฐานทัพใหญ่ เป็นเตรียมการสร้างฐานทัพรูปแบบใบบัว (Lily Pad) เพื่อให้กบกระโดไทั่ว แค่นั้นยังไม่พอ เพื่อให้การล่าเหยื่อเบ็ดเสร็จสมใจ อเมริกา จึงปรับปรุงการกระโดดของกบด้วย โดยแบ่งซอยกองกำลังออกมาเรียกว่า หน่วยปฎิบัติการพิเศษ
(เหมือนชายชุดดำนะครับ เอ๊ะ ! หน่วยเดียวกันหรือเปล่า ?!) Special Operation Forces (SOF)
(หรือมันเอาอย่างกัน หวังว่าไม่ถึงขนาดฝึกให้กันเลยนะ !)
    SOF นี้ เกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1980 เมื่อเจ้าหน้าที่สถานฑูตอเมริกาถูกจับเป็นตัวประกันที่อิหร่าน (ก็ผลงานของนักล่าเอง !) ทำให้ตัวประกันตายไป 8 คน
อเมริกาแค้นจัด ตั้งหน่วย Special Operation Command (SOCOM) ขึ้นมา
โดยคัดหัวกะทิมาจากหน่วย Seals, Rangers, Special Operation Aviators และ Green Beret มาฝึกหนัก จริง ๆ ก็คือฝึกเป็น Rambo เหมือนในหนังน่ะ
พวก SOF นี้ ถูกใช้ให้ไปปฎิบัติการลับ ในที่ต่าง ๆ ที่เป็นความลับ
มีรายงานว่าน่าจะมี SOF ประมาณกว่า 70,000 คนในปี ค.ศ. 2014 กระจายอยู่ทั่วโลก ปฎิบัติการอยู่ในต่างประเทศ ประมาณ 70-80 ประเทศ เช่น ลิเบีย โซมาเลีย อาฟกานิสถาน ปากีสถาน หลายประเทศในอาหรับ
และลาตินอเมริกา และเอเซีย และยุโรป ฯลฯ
    สรุปแล้ว การจัดการให้มีฐานทัพแบบใบบัว (Lily Pad) และ กองกำลังแบบ SOF ตามยุทธการกบกระโดด อยู่ในบ้านเมืองใคร อเมริกาบอกว่า มันก็เหมือนเราไปอยู่ในบ้านนั้น (ยึด!) เรียบร้อยแล้วล่ะ (de facto presence) ดังนั้นเราจะต้องให้มี ฐานทัพใบบัวนี้ให้มากที่สุดให้ได้ (lots and lots of Lily pad bases!)

    คนเล่านิทาน
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ยุทธการกบกระโดด” ตอนที่ 5 อเมริกาสมเป็นนักล่าหมายเลขหนึ่ง สิงห์โตซุ่มจริง ๆ ขณะที่หน้าฉากยังไม่ชัดเจน ว่าจะ
เล่นเรื่องอะไร มีข่าวหลุดออกมาจาก Pentagon เมื่อ ค.ศ. 2012 ว่าอเมริกามีแผนจะปรับโฉมหน้าของฐานทัพ ที่มีอยู่ต่างประเทศเสียใหม่ เรียกว่าทำ face lift อัพหน้ากันใหม่ ตามยุทธการ “กบกระโดด” เพราะการมีฐานทัพกระจายทั่วโลก เป็นปัญหาทั้งด้านกระเป๋าที่ยังรั่วอยู่ และเป็นเป้าสายตาของชาวโลก ขยับตัวทีเขารู้แผนกันหมดทั้งคู่หู คู่แข่ง
สมัยนายบุชตัวลูก ก็ปวดขมอง คิดจะปิดฐานทัพไปสัก 1 ใน 3 แต่ตัดสินใจไม่ขาด จะเปิดอันไหน ปิดอันไหน คิดยังไม่ทันตก ดันหมดเทอมซะก่อน
มาถึงนายโอบามา ปัญหานี้จะทู่ซี้ต่อไป อาจจะไม่ได้ไปนั่งเท่ในทำเนียบขาว หรือถ้าได้นั่ง ก็อยู่ไม่ยาว ตอนหาเสียงเลยเล่นมุก ท่องมันไปทุกเวที Change Change Change เอาเข้าจริง เป็นพี่เบิ้มนักล่าถ้าเก็บเครื่องมือล่าทิ้งลงถังขยะ แล้วจะไปล่าเหยื่อได้ยังไง แบบนี้ เพื่อนซี้ เพื่อนกิน ลูกหาบก็หลบหน้า ลี้กายหายไปหมด เลยต้องเรียกเด็ก ๆ
เฮ้ย ! มาทำการบ้านใหม่โว้ย !
ตกลงนักล่ามันเปลี่ยนสันดานไหม มัน Change ไหม ? กบกระโดดครับนาย กบกระโดดคือคำตอบ กบจะกระโดดในสระกว้างต้องมีใบบัวรองรับ
สระกว้างใหญ่ มีใบบัวเต็มไปหมด คนมองก็ไม่รู้สึกแปลก
แต่ถ้าดันสร้างเป็น swimming pool ขนาดโอลิมปิก กบจะกระโดดไหวหรือ กลายเป็นกบพุ่งหลาวจมไม่โผล่ละซิ ส่วนที่คิดจะเอาใบบัวไปลอย ใน swimming pool น่ะ แบบนั้น มันฉากละครทีวีช่องคุณหญิงคุณชายนะ Hollywood เขาไม่ทำกัน
มันต้องทำให้เนียน ๆ เพราะฉะนั้นเอาฐานทัพเก่า ๆ มาดัดแปลงเสียใหม่ ไม่ให้คนสังเกต หรือแถบไหน (ของ
ประเทศคนอื่น) ที่มันเล็ก ๆ ไม่เด่นก็ไปแอบสร้าง เอาให้มันกลมกลืนกับธรรมชาติ แต่แฝงด้วยอาวุธทันสมัยติดไว้ให้เพียบ แบบนี้ก็เรียบร้อย นักล่าบอกน่าสนใจ (มาก) เอะ ! แล้วนี่ ที่นักล่าเขาหลอกให้เราเฝ้าแต่อู่ตะเภา แล้วถ้าเขาไปสร้างใบบัวให้กบมัน
กระโดดแถวชุมพร นี่สมันน้อยจะรู้ไหมนะ ! ? ด้วยยุทธศาสตร์กบกระโดดบนใบบัว อเมริกาสามารถสร้างฐานทัพให้ กระจายแบบโรยไว้ทั่ว (peppering) บริเวณ Asia Pacific ถ้าอเมริกาทำได้จริง มันก็ไม่ต่างกับการควบคุมจีนทางอ้อม (containment) และก็เหมือนเป็นการเอาฉากสงครามเย็น สมัยที่อเมริกาจัดการกับสหภาพโซเวียตมาเล่นใหม่ ! ลองคิดดูช่วง 2-3 ปีนี้ อเมริกาเดินแผนอย่างไร กับทุกประเทศในภูมิภาคนี้ ไม่มีหลุด
สักเม็ด เค้าของสงครามโลกครั้งที่ 3 พอมองได้เห็นลาง ๆ – ออสเตรเลีย : อเมริกา เจรจาที่จะร่วมใช้ฐานทัพที่ Darwin และกำลังเริ่มแผนใช้
drone (เครื่องบินประเภทไร้คนขับ บังคับด้วยเรดาร์) โดยใช้ฐานทัพของออสเตรเลียที่เกาะ Cocos เป็นฐานพัก รวมทั้งการจัดกองกำลังเตรียมพร้อมไว้ แถว Brisbane และ Perth ด้วย – ราชอาณาจักรไทย : แน่นอนจะใช้อู่ตะเภา หรือสร้างใบบัวให้กบกระโดดที่ชุมพร หรือ
ที่ไหนอีก ตามสัญญาผูกคอทาส ทำได้สารพัด – ฟิลิปปินส์ : ตกลงไปแล้วให้อเมริกาฟื้นสนามบิน Clark และฐานทัพเรือ Subic Bay ที่ปิดไปชั่วคราวตั้งแต่ปี ค.ศ. 1990 กว่า ๆ (แต่หลังจากปี ค.ศ. 2002 ก็ยอมให้หน่วยปฏิบัติการพิเศษของอเมริกาเข้ามาใช้ใหม่บางกรณี !) – เวียตนาม : ทำสัญญาตกลงให้อเมริกาเพิ่มกองเรือ เข้าไปใช้ท่าเรือของเวียตนาม และ
จะขยายท่าเรือ เพื่อให้เฉพาะกองทัพเรืออเมริกาจอด – เกาะกวม : อเมริกาเตรียมสร้าง runway เพิ่มที่เกาะ Tinian ใกล้กับเกาะกวม และเตรียมสร้างฐานทัพ และ runwayสำหรับเครื่องบินลง ที่เกาะไซปัน (Saipan) ที่ห่างจากเกาะกวมไปประมาณ190 กม. เพื่อเป็นฐานทัพรองรับ หากกวมโดนโจมตี – มาเลเซีย อินโดนีเซีย และบรูไน : อเมริกาเจรจาที่จะสร้างฐานทัพเพิ่ม – เกาหลีใต้ : ตกลงกับอเมริกาที่จะสร้างฐานทัพเพิ่ม ให้อเมริกาใช้ที่เกาะ Jeju – อินเดีย : อเมริกาทำข้อตกลงเพิ่มความร่วมมือทางการทหารไปแล้ว นี่ยังไม่ได้นับฐานทัพอีกประมาณ 200 แห่ง ที่อเมริกามีกระจายอยู่ แล้วที่ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เกาะกวม Diego Garcia และฮาวาย ถ้าใบบัวงอกทั้งหมดนี้ อาเฮียแทบไม่มีทางออกทะเล ต้องใช้บินอย่างเดียว (ฮา !) ยุทธศาสตร์กบกระโดด บนใบบัวนี้ แสดงให้เห็นว่าลึก ๆ อเมริกาคิดอะไรอยู่ เป็นแผนล่า
เหยื่อของนักล่าตัวจริง ในเมื่อการสร้างฐานทัพใหญ่ ๆ ในต่างประเทศ นอกจากราคาแพงแล้ว ยังเป็นทั้งเป้าสายตาและเป้าอาวุธ แต่ถ้าแอบสร้างฐานเล็ก ๆ แบบใบบัว ให้กบกระโดด หลาย ๆแห่ง ทำได้เร็ว และไม่สร้างความอึกทึกให้โลกและเจ้าของบ้าน (ที่นักล่าหลอกไว้) ให้รู้ตัว นักยุทธศาสตร์การรบบอกว่า ฐานทัพรุ่นใบบัวนี้ ถ้าติดเครื่องมือทันสมัยให้เพียบ ใช้ควบคู่กับหน่วยรบพิเศษ (special operation forces) กบรุ่นใหม่เคลื่อนที่เร็ว แบบกบมหัศจรรย์ กับการใช้ droneสอดแนมและข่าวกรองที่มีประสิทธิภาพ (อย่าลืมว่าหน่วยปฎิบัติการในภาวะภัยพิบัตินั้น เป็นงาน
พรางตัวที่ดีที่สุด ของกองทัพในการทำงานข่าวกรอง) ร่วมกับการปฎิบัติทางโลก Cyber และมีการร่วมมือระหว่างกองทัพ กับหน่วยงานพลเรือนอย่างดี คุณสามารถทำการปฎิวัติ หรือบุกยึดเมืองใด หรือทำการรบในยุทธภูมิใดก็ได้ผลเกินคาด รวดเร็วกว่าการใช้กองทัพใหญ่ ๆ ที่เคลื่อนตัวอย่างอุ้ยอ้าย มันหมดสมัยแล้ว ! อเมริกาปรับปรุงฐานทัพจากการขยายหรือสร้างฐานทัพใหญ่ เป็นเตรียมการสร้างฐานทัพรูปแบบใบบัว (Lily Pad) เพื่อให้กบกระโดไทั่ว แค่นั้นยังไม่พอ เพื่อให้การล่าเหยื่อเบ็ดเสร็จสมใจ อเมริกา จึงปรับปรุงการกระโดดของกบด้วย โดยแบ่งซอยกองกำลังออกมาเรียกว่า หน่วยปฎิบัติการพิเศษ
(เหมือนชายชุดดำนะครับ เอ๊ะ ! หน่วยเดียวกันหรือเปล่า ?!) Special Operation Forces (SOF)
(หรือมันเอาอย่างกัน หวังว่าไม่ถึงขนาดฝึกให้กันเลยนะ !) SOF นี้ เกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1980 เมื่อเจ้าหน้าที่สถานฑูตอเมริกาถูกจับเป็นตัวประกันที่อิหร่าน (ก็ผลงานของนักล่าเอง !) ทำให้ตัวประกันตายไป 8 คน
อเมริกาแค้นจัด ตั้งหน่วย Special Operation Command (SOCOM) ขึ้นมา
โดยคัดหัวกะทิมาจากหน่วย Seals, Rangers, Special Operation Aviators และ Green Beret มาฝึกหนัก จริง ๆ ก็คือฝึกเป็น Rambo เหมือนในหนังน่ะ
พวก SOF นี้ ถูกใช้ให้ไปปฎิบัติการลับ ในที่ต่าง ๆ ที่เป็นความลับ
มีรายงานว่าน่าจะมี SOF ประมาณกว่า 70,000 คนในปี ค.ศ. 2014 กระจายอยู่ทั่วโลก ปฎิบัติการอยู่ในต่างประเทศ ประมาณ 70-80 ประเทศ เช่น ลิเบีย โซมาเลีย อาฟกานิสถาน ปากีสถาน หลายประเทศในอาหรับ
และลาตินอเมริกา และเอเซีย และยุโรป ฯลฯ สรุปแล้ว การจัดการให้มีฐานทัพแบบใบบัว (Lily Pad) และ กองกำลังแบบ SOF ตามยุทธการกบกระโดด อยู่ในบ้านเมืองใคร อเมริกาบอกว่า มันก็เหมือนเราไปอยู่ในบ้านนั้น (ยึด!) เรียบร้อยแล้วล่ะ (de facto presence) ดังนั้นเราจะต้องให้มี ฐานทัพใบบัวนี้ให้มากที่สุดให้ได้ (lots and lots of Lily pad bases!) คนเล่านิทาน
    0 Comments 0 Shares 218 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากคดีผูกขาด: เมื่อ Google รอดจากการถูกแยกบริษัท แต่ต้องยอมปล่อยข้อมูลให้คู่แข่ง

    ย้อนกลับไปในปี 2024 ศาลแขวงสหรัฐฯ ตัดสินว่า Google มีพฤติกรรมผูกขาดในตลาดการค้นหาออนไลน์ โดยใช้สัญญาแบบผูกขาดกับ Apple, Samsung และผู้ให้บริการมือถือ เพื่อให้ Google Search เป็นค่าเริ่มต้นบนอุปกรณ์ต่าง ๆ ซึ่งทำให้คู่แข่งไม่มีโอกาสเข้าถึงผู้ใช้

    ล่าสุดในเดือนกันยายน 2025 ผู้พิพากษา Amit Mehta ได้ออกคำตัดสินเกี่ยวกับ “บทลงโทษ” ที่ Google ต้องรับผิดชอบ โดยปฏิเสธข้อเสนอของกระทรวงยุติธรรมที่ต้องการให้ Google ขาย Chrome และ Android ออกไป โดยระบุว่า “เป็นการลงโทษเกินขอบเขต” และอาจทำให้ผู้บริโภคเสียประโยชน์

    แต่ Google ก็ไม่ได้รอดทั้งหมด—ศาลสั่งให้บริษัทต้องเปิดเผยข้อมูลบางส่วนจากระบบค้นหา เช่น index และข้อมูลการคลิกของผู้ใช้ ให้กับคู่แข่งภายใต้เงื่อนไขทางการค้าแบบปกติ เพื่อเปิดตลาดให้มีการแข่งขันมากขึ้น และห้ามทำสัญญาแบบ exclusive ที่ผูกการจ่ายเงินกับการติดตั้ง Search, Chrome หรือ Gemini บนอุปกรณ์

    ที่น่าสนใจคือ ศาลยังระบุว่า “Generative AI” เช่น Gemini ก็อยู่ภายใต้ข้อจำกัดเดียวกัน เพราะถือว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่อาจใช้กลยุทธ์ผูกขาดแบบเดียวกับ Search ได้ในอนาคต

    ผลการตัดสินของศาลกลางสหรัฐฯ
    Google ไม่ต้องขาย Chrome หรือ Android ออกไป
    ศาลเห็นว่าการบังคับขายจะส่งผลเสียต่อผู้บริโภคและคู่ค้า
    แต่ Google ต้องเปิดเผยข้อมูล index และ user interaction ให้คู่แข่ง

    ข้อจำกัดใหม่ที่ Google ต้องปฏิบัติตาม
    ห้ามทำสัญญาแบบ exclusive ที่ผูกการจ่ายเงินกับการติดตั้ง Search หรือ Chrome
    ห้ามผูกการติดตั้ง Gemini หรือ GenAI กับการเข้าถึง Play Store หรือแอปอื่น
    ข้อจำกัดเหล่านี้มีผลบังคับใช้เป็นเวลา 6 ปี

    ผลกระทบต่อตลาดและหุ้น
    หุ้น Alphabet พุ่งขึ้น 7–8% หลังข่าวออก
    หุ้น Apple ก็ขึ้น 3–4% เพราะดีลกับ Google ยังอยู่
    นักลงทุนมองว่าคำตัดสินนี้เป็น “ชัยชนะเชิงกลยุทธ์” สำหรับทั้งสองบริษัท

    การขยายผลไปยัง GenAI
    ศาลระบุว่า GenAI เช่น Gemini ต้องอยู่ภายใต้ข้อจำกัดเดียวกับ Search
    ป้องกันไม่ให้ Google ใช้กลยุทธ์ผูกขาดแบบเดิมในตลาด AI
    เป็นครั้งแรกที่ GenAI ถูกพิจารณาในบริบทของกฎหมายผูกขาด

    https://www.cnbc.com/2025/09/02/google-antitrust-search-ruling.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากคดีผูกขาด: เมื่อ Google รอดจากการถูกแยกบริษัท แต่ต้องยอมปล่อยข้อมูลให้คู่แข่ง ย้อนกลับไปในปี 2024 ศาลแขวงสหรัฐฯ ตัดสินว่า Google มีพฤติกรรมผูกขาดในตลาดการค้นหาออนไลน์ โดยใช้สัญญาแบบผูกขาดกับ Apple, Samsung และผู้ให้บริการมือถือ เพื่อให้ Google Search เป็นค่าเริ่มต้นบนอุปกรณ์ต่าง ๆ ซึ่งทำให้คู่แข่งไม่มีโอกาสเข้าถึงผู้ใช้ ล่าสุดในเดือนกันยายน 2025 ผู้พิพากษา Amit Mehta ได้ออกคำตัดสินเกี่ยวกับ “บทลงโทษ” ที่ Google ต้องรับผิดชอบ โดยปฏิเสธข้อเสนอของกระทรวงยุติธรรมที่ต้องการให้ Google ขาย Chrome และ Android ออกไป โดยระบุว่า “เป็นการลงโทษเกินขอบเขต” และอาจทำให้ผู้บริโภคเสียประโยชน์ แต่ Google ก็ไม่ได้รอดทั้งหมด—ศาลสั่งให้บริษัทต้องเปิดเผยข้อมูลบางส่วนจากระบบค้นหา เช่น index และข้อมูลการคลิกของผู้ใช้ ให้กับคู่แข่งภายใต้เงื่อนไขทางการค้าแบบปกติ เพื่อเปิดตลาดให้มีการแข่งขันมากขึ้น และห้ามทำสัญญาแบบ exclusive ที่ผูกการจ่ายเงินกับการติดตั้ง Search, Chrome หรือ Gemini บนอุปกรณ์ ที่น่าสนใจคือ ศาลยังระบุว่า “Generative AI” เช่น Gemini ก็อยู่ภายใต้ข้อจำกัดเดียวกัน เพราะถือว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่อาจใช้กลยุทธ์ผูกขาดแบบเดียวกับ Search ได้ในอนาคต ✅ ผลการตัดสินของศาลกลางสหรัฐฯ ➡️ Google ไม่ต้องขาย Chrome หรือ Android ออกไป ➡️ ศาลเห็นว่าการบังคับขายจะส่งผลเสียต่อผู้บริโภคและคู่ค้า ➡️ แต่ Google ต้องเปิดเผยข้อมูล index และ user interaction ให้คู่แข่ง ✅ ข้อจำกัดใหม่ที่ Google ต้องปฏิบัติตาม ➡️ ห้ามทำสัญญาแบบ exclusive ที่ผูกการจ่ายเงินกับการติดตั้ง Search หรือ Chrome ➡️ ห้ามผูกการติดตั้ง Gemini หรือ GenAI กับการเข้าถึง Play Store หรือแอปอื่น ➡️ ข้อจำกัดเหล่านี้มีผลบังคับใช้เป็นเวลา 6 ปี ✅ ผลกระทบต่อตลาดและหุ้น ➡️ หุ้น Alphabet พุ่งขึ้น 7–8% หลังข่าวออก ➡️ หุ้น Apple ก็ขึ้น 3–4% เพราะดีลกับ Google ยังอยู่ ➡️ นักลงทุนมองว่าคำตัดสินนี้เป็น “ชัยชนะเชิงกลยุทธ์” สำหรับทั้งสองบริษัท ✅ การขยายผลไปยัง GenAI ➡️ ศาลระบุว่า GenAI เช่น Gemini ต้องอยู่ภายใต้ข้อจำกัดเดียวกับ Search ➡️ ป้องกันไม่ให้ Google ใช้กลยุทธ์ผูกขาดแบบเดิมในตลาด AI ➡️ เป็นครั้งแรกที่ GenAI ถูกพิจารณาในบริบทของกฎหมายผูกขาด https://www.cnbc.com/2025/09/02/google-antitrust-search-ruling.html
    WWW.CNBC.COM
    Google stock jumps 8% after search giant avoids worst-case penalties in antitrust case
    The ruling comes nearly a year after a U.S. judge ruled that Google holds an illegal monopoly in its core market of internet search.
    0 Comments 0 Shares 161 Views 0 Reviews
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ยุทธการกบกระโดด”
    ตอนที่ 3
    จะแสดงอภิมหาแสนยานุภาพทั้งที ต้องดูตาถี่ตาห่าง ทบทวนกันหน่อยว่าตอนนี้
    ใครเป็นมิตร ใครเป็นศัตรู ใครเป็นพวกใคร น้ำหนักเท่าไหร่ ความไวเป็นอย่างไร จุดเป็น จุดตาย จุดอ่อนจุดแข็ง อยู่ตรงไหน โลกมันเปลี่ยนไปเร็ว เห็นตัวอย่างจากการโตเร็วของอาเฮียแดนมังกรแล้ว ไม่ทำการบ้านให้ดี ถลาเข้ามาเดินเชิดหน้าพองขน ดันโดนรุมสกรัม พุ่งถลาหน้าแหก คงไม่สง่างามสมกับเป็นนักล่าหมายเลขหนึ่งของโลก
    เอ้า วัดสัดส่วนเทียบทุกจุดแล้ว โผออกมาดังนี้
    1. กลุ่มที่จะกระทบกับผลประโยชน์ของอเมริกาและพวก คือ
    – จีน และ เกาหลีเหนือ สำหรับ กลุ่มพวกเอเซีย
    – อิหร่านและซีเรีย (และกลุ่มหัวรุนแรง ที่ไม่ประกาศสัญชาติ) สำหรับ กลุ่ม
    ตะวันออกกลาง
    – รัสเซีย สำหรับ กลุ่มเอเซีย และยุโรป
    2. คู่แข่งในการแสดงอำนาจและบารมีของอเมริกาในภูมิภาคต่าง ๆ
    – จีน ในเอเซียตะวันออก เอเซียกลาง และอาฟริกา (โปรดสังเกต ไม่มีเอเซีย
    ตะวันออกเฉียงใต้ แสดงว่าประเทศแถวนี้ มันหมูในอวย หรือลูกหาบตลอดการของนักล่า หือไม่ขึ้นแล้ว อาเฮียลื้ออย่ามาเกี้ยวให้เสียเวลาเลย ฮา !)
    – อิหร่าน ในตะวันออกกลาง
    – รัสเซีย ในเอเซียกลาง และบริเวณใกล้เคียง
    3. คู่แข่งในเรื่องกองทัพและอาวุธ
    – จีน และเกาหลีเหนือ
    – อิหร่าน
    (เอะ ! ทำไมตัวละครมันซ้ำ ๆ กันแบบนี้ คนทำการบ้านวิเคราะห์ถูกหรือเปล่านะ คนเล่า
    นิทานชักเบื่อ ไม่เห็นมีอะไรใหม่เลย)
    รู้มิตร รู้ศัตรู รู้หน้าตาคู่แข่ง พวกก้างขวางคอ แล้วอเมริกาจะจัดการอย่างไรกับฐานทัพและกองทัพ ที่กระจายกันอยู่ทั่วโลก เพื่อรุกไปขย่มขวัญอาเฮียใน Asia Pacific และรับมือกับบรรดาก้างขวางคอ
    ผู้ทำแผนการล่าเหยื่อบอกไม่มีปัญหา เรามีแผนจัดเป็นโปรแกรม โปรดเลือกเอาตาม
    สะดวก ชอบโปรแกรมไหน กดไป ใช้ได้เลย เสียดายไม่ยักกะมีเพลงประจำ แต่ละโปรแกรมมาด้วย
    – โปรแกรมขย่มขวัญ
    จัดให้เพื่อแสดงบทขย่มขวัญจีนและเกาหลีเหนือโดยเฉพาะ และให้พรรคพวกอุ่นใจ
    ว่านักล่ายังฟันคมกริบ กรงเล็บแข็ง ตะปบแม่น ถ้าอเมริกาต้องการแสดงแสนยานุภาพ
    ไปทางเอเซียอย่างเต็มที่ ! มันต้องยังงั้น ! ไปท้าทายเขาถึงหน้าบ้านเลย ดูซิว่าจีนกับเกาหลีเหนือ จะยืนเกาหัวมึนไป หรือนักล่าจะถูกดักตีหัวแบะเอง ให้มันรู้กันไป เป็นจิกโก๋ต้องใจสู้ เข้าไปท้าชิงในถิ่นเขาเลย !
    การจะใช้โปรแกรมขย่มขวัญ อเมริกาต้องขยายฐานทัพ และสร้างภาพให้โลก โดยเฉพาะ
    ผู้ที่อเมริกาอยากขย่มขวัญ เห็นว่าอเมริกามาแล้ว มาอยู่ตรงนี้จริง ๆ (permanent presence) ดังนั้นควรมีการขยายฐานทัพ/สร้างฐานทัพ ของพวกลูกหาบ เช่น ในฟิลิปปินส์ ไทยแลนด์ (ของสมันน้อยไงจ๊ะ ! ) สิงคโปร์และออสเตรเลียเพิ่มขึ้น
    และหาทางเจรจาสร้างฐานทัพกับมาเลเซียเวียตนาม และอินโดนีเซีย (พวกผักชีโรยหน้า) เพื่อเป็นการรองรับปัญหาที่อาจจะมาจากกรณีทะเลจีนใต้ (ที่ตนเองไปเสี้ยมไว้) ขณะเดียวกัน ก็ต้องเพิ่มการฝึกซ้อมรบร่วมกันทั้งทางอากาศและทางทะเล กับพวกลูกหาบให้บ่อยมากขึ้น
    ส่วนฐานทัพที่อยู่ในอเมริกาไม่ต้องทำอะไร แค่ดูให้มั่นใจว่ารับศึกที่จะมาคุกคาม พรรคพวกแถวยุโรปกับอาหรับได้เป็นพอ
    (เรียกว่าเป็นโปรแกรมใหญ่ ค่าตั๋วน่าจะแพง กินงบประมาณแผ่นดินกันถ้วนหน้า ถ้าชิงรางวัลใหญ่ไม่ได้ อาจกลายเป็นเสียเมืองแทน
    พวกลูกหาบระวังตัวให้ดีแล้วกัน)
    – โปรแกรมรับมือ
    เป็นการเตรียมรับมือในกรณี เกิดความไม่มั่นคงในตะวันออกกลาง เพราะทะเลาะกันเอง
    หรือการเมือง เศรษฐกิจของหลายประเทศไม่มั่นคง (ก็เกิดจากการเสี้ยมของอเมริกานั่นแหละ ไม่ต้องวิเคราะห์มากให้ปวดหัว)
    รายการนี้ต้องใช้ฐานทัพและกองกำลังของอเมริกาเป็นตัวหลัก
    ยุทธศาสตร์นี้จะใช้ต่อเมื่อจีนไม่มีปฎิกริยาโต้ตอบกับอเมริกา เหมือนเป็นกองกำลังกงเต๊ก ส่วนในยุโรปก็ไม่มีผู้ท้าชิง ในทางตรงกันข้าม อิหร่านเกิดบ้าเลือดมาแรง เผลอ ๆ จะได้เห็นนิวเคลียร์ยี่ห้ออิหร่านลงแอลเอ ! ดังนั้น กองกำลังที่อยู่ในยุโรปและในอเมริกาเองจะต้องปรับ เพื่อให้คล่องตัวในการเล่นศึกกับอิหร่าน สำหรับเอเซีย การปรับเปลี่ยนกองกำลังและฐานทัพ จะเป็นเช่นเดียวกับโปรแกรมขย่มขวัญ
    (โปรแกรมนี้ดูมันไม่ค่อยมีเหตุผลนะ แต่ก็อยากเห็น ระเบิดลงหัวนักล่า
    เหมือนกันแหละ !)
    – โปรแกรมนักล่าตัวจริง
    กรณีนี้ใช้สำหรับนักล่าตัวจริง หมายเลข 1 ของโลก ที่จะล่ามันไปทั่วทั้งบริเวณ
    East Asia, ยุโรป และตะวันออกกลาง และขยายฐานที่มีอยู่ใน Southeast Asia ไปจนถึงตะวันออกกลาง ทั้งในด้านการเมืองและการเงิน
    ถ้าเลือกโปรแกรมนี้ นักล่าต้องฟิตหนัก เพราะต้องเตรียมตัวรับ กับ การขยายตัวทางการทหารจากจีน และเกาหลีเหนือ (ก็ยื่นหน้าไปเบ่งกล้ามใส่เขา คิดว่าเขา
    จะอยู่เฉยหรือไง !) และยังต้องมีกองกำลังในตะวันออกกลาง เพื่อเตรียมรับมือกับอิหร่านอีกด้วย
    และต้องพร้อมที่จะชนะการปะทะแถวยุโรป เพื่อแสดงให้เด็ก ๆ แถว Nato เห็นว่าลูกพี่ยังแน่อยู่
    กองทัพแถวยุโรป จึงต้องยังมีและพร้อมอยู่เสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างอยู่ในการควบคุม นักล่าต้องทำให้น่าเชื่อว่าตัวเอง ดูแลอย่างใกล้ชิดประเทศในแถบ GCC (Gulf Cooperation Council) สร้างภาพให้เป็นที่เชื่อถือ มีภาพตัวเองติดอยู่ในแถบ GCC (ติดรูปไว้ทุกเสาไฟฟ้าเลยนะ)
    และควรมีการทำข้อตกลงกับ Saudi Arabia และ India ที่จะใช้ฐานทัพในแถบนั้นได้ ในกรณีวิกฤติ (อันนี้ไม่ใช่ผักชีโรย แต่เป็นอาหารจานหลักนี่หว่า หลอกแขกชัด ๆ) ส่วนกองกำลังปะทะ (combat) และกองกำลังเคลื่อนที่ จะต้องมีอยู่ในฐานทัพต่าง ๆ ของอเมริกา
    (นี่มันโปรแกรมฝันกลางวัน เอ ! หรือนักล่าเอาจริง ! )
    แล้วตกลงอเมริกาจะเลือกใช้โปรแกรมไหน น่าสังเกตว่าทุกโปรแกรม ยุโรปเหมือนเป็นตัว
    ประกอบราคาถูก หรือไม่กล้าใช้นายเหนืออีกทีกันแน่
    แต่ที่น่าสนใจฝ่ายวางแผนล่าเหยื่อบอกว่า อเมริกาต้องตัดสินใจ ว่าจะจัดการกับกองกำลังและฐานทัพที่เกลื่อนอยู่ทั่วโลกอย่างไร มันใช้เงินโขอยู่ ตอนนี้ก็ไม่ได้รวยอย่างที่โม้ไว้ เพราะฉะนั้นเลือกเลยว่า จะแค่ขย่มขวัญ รับมือ หรือเป็นนักล่าตัวจริง ใหญ่ค้ำโลก
    การเลือกของอเมริกาในเรื่องนี้ มันจะแสดงให้เห็นอนาคตของโลกนี้ว่า
    กระบวนยุทธครั้งนี้ของอเมริกา เป็นชนวนให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ได้ไหม ขณะนี้อเมริกายังไม่พูดให้ชัดว่าจะเล่นแค่ Asia Pacific เป็นฉากหน้า แต่ของจริงล่าทั้งโลก ส่วนไอ้เรื่องโปรแกรมรับมือน่ะ ไม่มีทาง เขียนมาให้โวยเล่น นักล่าหรือจะคิดแค่รับมือ!

    คนเล่านิทาน
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “ยุทธการกบกระโดด” ตอนที่ 3 จะแสดงอภิมหาแสนยานุภาพทั้งที ต้องดูตาถี่ตาห่าง ทบทวนกันหน่อยว่าตอนนี้ ใครเป็นมิตร ใครเป็นศัตรู ใครเป็นพวกใคร น้ำหนักเท่าไหร่ ความไวเป็นอย่างไร จุดเป็น จุดตาย จุดอ่อนจุดแข็ง อยู่ตรงไหน โลกมันเปลี่ยนไปเร็ว เห็นตัวอย่างจากการโตเร็วของอาเฮียแดนมังกรแล้ว ไม่ทำการบ้านให้ดี ถลาเข้ามาเดินเชิดหน้าพองขน ดันโดนรุมสกรัม พุ่งถลาหน้าแหก คงไม่สง่างามสมกับเป็นนักล่าหมายเลขหนึ่งของโลก เอ้า วัดสัดส่วนเทียบทุกจุดแล้ว โผออกมาดังนี้ 1. กลุ่มที่จะกระทบกับผลประโยชน์ของอเมริกาและพวก คือ – จีน และ เกาหลีเหนือ สำหรับ กลุ่มพวกเอเซีย – อิหร่านและซีเรีย (และกลุ่มหัวรุนแรง ที่ไม่ประกาศสัญชาติ) สำหรับ กลุ่ม ตะวันออกกลาง – รัสเซีย สำหรับ กลุ่มเอเซีย และยุโรป 2. คู่แข่งในการแสดงอำนาจและบารมีของอเมริกาในภูมิภาคต่าง ๆ – จีน ในเอเซียตะวันออก เอเซียกลาง และอาฟริกา (โปรดสังเกต ไม่มีเอเซีย ตะวันออกเฉียงใต้ แสดงว่าประเทศแถวนี้ มันหมูในอวย หรือลูกหาบตลอดการของนักล่า หือไม่ขึ้นแล้ว อาเฮียลื้ออย่ามาเกี้ยวให้เสียเวลาเลย ฮา !) – อิหร่าน ในตะวันออกกลาง – รัสเซีย ในเอเซียกลาง และบริเวณใกล้เคียง 3. คู่แข่งในเรื่องกองทัพและอาวุธ – จีน และเกาหลีเหนือ – อิหร่าน (เอะ ! ทำไมตัวละครมันซ้ำ ๆ กันแบบนี้ คนทำการบ้านวิเคราะห์ถูกหรือเปล่านะ คนเล่า นิทานชักเบื่อ ไม่เห็นมีอะไรใหม่เลย) รู้มิตร รู้ศัตรู รู้หน้าตาคู่แข่ง พวกก้างขวางคอ แล้วอเมริกาจะจัดการอย่างไรกับฐานทัพและกองทัพ ที่กระจายกันอยู่ทั่วโลก เพื่อรุกไปขย่มขวัญอาเฮียใน Asia Pacific และรับมือกับบรรดาก้างขวางคอ ผู้ทำแผนการล่าเหยื่อบอกไม่มีปัญหา เรามีแผนจัดเป็นโปรแกรม โปรดเลือกเอาตาม สะดวก ชอบโปรแกรมไหน กดไป ใช้ได้เลย เสียดายไม่ยักกะมีเพลงประจำ แต่ละโปรแกรมมาด้วย – โปรแกรมขย่มขวัญ จัดให้เพื่อแสดงบทขย่มขวัญจีนและเกาหลีเหนือโดยเฉพาะ และให้พรรคพวกอุ่นใจ ว่านักล่ายังฟันคมกริบ กรงเล็บแข็ง ตะปบแม่น ถ้าอเมริกาต้องการแสดงแสนยานุภาพ ไปทางเอเซียอย่างเต็มที่ ! มันต้องยังงั้น ! ไปท้าทายเขาถึงหน้าบ้านเลย ดูซิว่าจีนกับเกาหลีเหนือ จะยืนเกาหัวมึนไป หรือนักล่าจะถูกดักตีหัวแบะเอง ให้มันรู้กันไป เป็นจิกโก๋ต้องใจสู้ เข้าไปท้าชิงในถิ่นเขาเลย ! การจะใช้โปรแกรมขย่มขวัญ อเมริกาต้องขยายฐานทัพ และสร้างภาพให้โลก โดยเฉพาะ ผู้ที่อเมริกาอยากขย่มขวัญ เห็นว่าอเมริกามาแล้ว มาอยู่ตรงนี้จริง ๆ (permanent presence) ดังนั้นควรมีการขยายฐานทัพ/สร้างฐานทัพ ของพวกลูกหาบ เช่น ในฟิลิปปินส์ ไทยแลนด์ (ของสมันน้อยไงจ๊ะ ! ) สิงคโปร์และออสเตรเลียเพิ่มขึ้น และหาทางเจรจาสร้างฐานทัพกับมาเลเซียเวียตนาม และอินโดนีเซีย (พวกผักชีโรยหน้า) เพื่อเป็นการรองรับปัญหาที่อาจจะมาจากกรณีทะเลจีนใต้ (ที่ตนเองไปเสี้ยมไว้) ขณะเดียวกัน ก็ต้องเพิ่มการฝึกซ้อมรบร่วมกันทั้งทางอากาศและทางทะเล กับพวกลูกหาบให้บ่อยมากขึ้น ส่วนฐานทัพที่อยู่ในอเมริกาไม่ต้องทำอะไร แค่ดูให้มั่นใจว่ารับศึกที่จะมาคุกคาม พรรคพวกแถวยุโรปกับอาหรับได้เป็นพอ (เรียกว่าเป็นโปรแกรมใหญ่ ค่าตั๋วน่าจะแพง กินงบประมาณแผ่นดินกันถ้วนหน้า ถ้าชิงรางวัลใหญ่ไม่ได้ อาจกลายเป็นเสียเมืองแทน พวกลูกหาบระวังตัวให้ดีแล้วกัน) – โปรแกรมรับมือ เป็นการเตรียมรับมือในกรณี เกิดความไม่มั่นคงในตะวันออกกลาง เพราะทะเลาะกันเอง หรือการเมือง เศรษฐกิจของหลายประเทศไม่มั่นคง (ก็เกิดจากการเสี้ยมของอเมริกานั่นแหละ ไม่ต้องวิเคราะห์มากให้ปวดหัว) รายการนี้ต้องใช้ฐานทัพและกองกำลังของอเมริกาเป็นตัวหลัก ยุทธศาสตร์นี้จะใช้ต่อเมื่อจีนไม่มีปฎิกริยาโต้ตอบกับอเมริกา เหมือนเป็นกองกำลังกงเต๊ก ส่วนในยุโรปก็ไม่มีผู้ท้าชิง ในทางตรงกันข้าม อิหร่านเกิดบ้าเลือดมาแรง เผลอ ๆ จะได้เห็นนิวเคลียร์ยี่ห้ออิหร่านลงแอลเอ ! ดังนั้น กองกำลังที่อยู่ในยุโรปและในอเมริกาเองจะต้องปรับ เพื่อให้คล่องตัวในการเล่นศึกกับอิหร่าน สำหรับเอเซีย การปรับเปลี่ยนกองกำลังและฐานทัพ จะเป็นเช่นเดียวกับโปรแกรมขย่มขวัญ (โปรแกรมนี้ดูมันไม่ค่อยมีเหตุผลนะ แต่ก็อยากเห็น ระเบิดลงหัวนักล่า เหมือนกันแหละ !) – โปรแกรมนักล่าตัวจริง กรณีนี้ใช้สำหรับนักล่าตัวจริง หมายเลข 1 ของโลก ที่จะล่ามันไปทั่วทั้งบริเวณ East Asia, ยุโรป และตะวันออกกลาง และขยายฐานที่มีอยู่ใน Southeast Asia ไปจนถึงตะวันออกกลาง ทั้งในด้านการเมืองและการเงิน ถ้าเลือกโปรแกรมนี้ นักล่าต้องฟิตหนัก เพราะต้องเตรียมตัวรับ กับ การขยายตัวทางการทหารจากจีน และเกาหลีเหนือ (ก็ยื่นหน้าไปเบ่งกล้ามใส่เขา คิดว่าเขา จะอยู่เฉยหรือไง !) และยังต้องมีกองกำลังในตะวันออกกลาง เพื่อเตรียมรับมือกับอิหร่านอีกด้วย และต้องพร้อมที่จะชนะการปะทะแถวยุโรป เพื่อแสดงให้เด็ก ๆ แถว Nato เห็นว่าลูกพี่ยังแน่อยู่ กองทัพแถวยุโรป จึงต้องยังมีและพร้อมอยู่เสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าทุกอย่างอยู่ในการควบคุม นักล่าต้องทำให้น่าเชื่อว่าตัวเอง ดูแลอย่างใกล้ชิดประเทศในแถบ GCC (Gulf Cooperation Council) สร้างภาพให้เป็นที่เชื่อถือ มีภาพตัวเองติดอยู่ในแถบ GCC (ติดรูปไว้ทุกเสาไฟฟ้าเลยนะ) และควรมีการทำข้อตกลงกับ Saudi Arabia และ India ที่จะใช้ฐานทัพในแถบนั้นได้ ในกรณีวิกฤติ (อันนี้ไม่ใช่ผักชีโรย แต่เป็นอาหารจานหลักนี่หว่า หลอกแขกชัด ๆ) ส่วนกองกำลังปะทะ (combat) และกองกำลังเคลื่อนที่ จะต้องมีอยู่ในฐานทัพต่าง ๆ ของอเมริกา (นี่มันโปรแกรมฝันกลางวัน เอ ! หรือนักล่าเอาจริง ! ) แล้วตกลงอเมริกาจะเลือกใช้โปรแกรมไหน น่าสังเกตว่าทุกโปรแกรม ยุโรปเหมือนเป็นตัว ประกอบราคาถูก หรือไม่กล้าใช้นายเหนืออีกทีกันแน่ แต่ที่น่าสนใจฝ่ายวางแผนล่าเหยื่อบอกว่า อเมริกาต้องตัดสินใจ ว่าจะจัดการกับกองกำลังและฐานทัพที่เกลื่อนอยู่ทั่วโลกอย่างไร มันใช้เงินโขอยู่ ตอนนี้ก็ไม่ได้รวยอย่างที่โม้ไว้ เพราะฉะนั้นเลือกเลยว่า จะแค่ขย่มขวัญ รับมือ หรือเป็นนักล่าตัวจริง ใหญ่ค้ำโลก การเลือกของอเมริกาในเรื่องนี้ มันจะแสดงให้เห็นอนาคตของโลกนี้ว่า กระบวนยุทธครั้งนี้ของอเมริกา เป็นชนวนให้เกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 ได้ไหม ขณะนี้อเมริกายังไม่พูดให้ชัดว่าจะเล่นแค่ Asia Pacific เป็นฉากหน้า แต่ของจริงล่าทั้งโลก ส่วนไอ้เรื่องโปรแกรมรับมือน่ะ ไม่มีทาง เขียนมาให้โวยเล่น นักล่าหรือจะคิดแค่รับมือ! คนเล่านิทาน
    0 Comments 0 Shares 211 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากเบื้องหลัง AI: ต้นทุนจริงของการรันโมเดลใหญ่

    ช่วงนี้มีเสียงลือกันหนาหูว่า AI โดยเฉพาะการ “รัน inference” คือเครื่องเผาเงินชั้นดี หลายคนเชื่อว่าบริษัทอย่าง OpenAI และ Anthropic กำลังขาดทุนยับเยินจากการให้บริการโมเดลขนาดใหญ่ แต่บทความนี้พาเราไปเจาะลึกแบบ “napkin math” หรือคำนวณคร่าว ๆ จากหลักการพื้นฐาน เพื่อหาคำตอบว่าเรื่องนี้จริงแค่ไหน

    ผู้เขียนใช้ DeepSeek R1 เป็นโมเดลตัวอย่าง ซึ่งมี 671 พารามิเตอร์ทั้งหมด แต่ใช้แค่ 37B ผ่านเทคนิค mixture of experts (MoE) ที่ช่วยลดต้นทุนได้มาก โดยใช้ GPU H100 จำนวน 72 ตัว คิดราคาที่ $2 ต่อชั่วโมงต่อ GPU ซึ่งสูงกว่าราคาจริงในตลาดเสียอีก

    สิ่งที่น่าสนใจคือ “ต้นทุนของ input tokens” กับ “output tokens” ต่างกันมหาศาล! การประมวลผล input tokens สามารถทำได้แบบขนานและเร็วมาก ในขณะที่การสร้าง output tokens ต้องทำแบบลำดับทีละตัว ทำให้ต้นทุนสูงกว่าเป็นพันเท่า

    ยิ่งไปกว่านั้น การใช้งานจริงของผู้ใช้ เช่น นักพัฒนา หรือ power users กลับอยู่ในรูปแบบที่ใช้ input เยอะมาก แต่ output น้อย เช่น การส่งโค้ดทั้งไฟล์เพื่อให้ AI วิเคราะห์ แล้วให้มันตอบกลับแค่ไม่กี่บรรทัด ซึ่งเป็นรูปแบบที่ “คุ้มค่ามาก” สำหรับผู้ให้บริการ

    ต้นทุนการรัน inference ของโมเดล AI
    ใช้ GPU H100 จำนวน 72 ตัว คิดต้นทุน $144/ชั่วโมง
    input tokens ประมวลผลได้เร็วมากถึง ~46.8 พันล้าน tokens/ชั่วโมง
    output tokens สร้างได้เพียง ~46.7 ล้าน tokens/ชั่วโมง
    ต้นทุนต่อ input token อยู่ที่ ~$0.003 ต่อ 1 ล้าน tokens
    ต้นทุนต่อ output token สูงถึง ~$3 ต่อ 1 ล้าน tokens

    ความแตกต่างระหว่าง input และ output
    input สามารถประมวลผลแบบขนานได้
    output ต้องสร้างทีละ token ทำให้ช้ากว่าและแพงกว่า
    ความไม่สมมาตรนี้ทำให้บาง use case คุ้มค่ามาก เช่น coding assistant

    ตัวอย่างการใช้งานจริง
    ผู้ใช้ระดับนักพัฒนาใช้ input เยอะมาก เช่น โค้ดหลายไฟล์
    แต่ต้องการ output น้อย เช่น คำอธิบายหรือโค้ดสั้น ๆ
    ทำให้ต้นทุนจริงต่ำมากเมื่อเทียบกับราคาที่เรียกเก็บ

    โมเดลธุรกิจของ API
    ราคาขายต่อ 1 ล้าน tokens อยู่ที่ ~$3 สำหรับ output
    แต่ต้นทุนจริงอยู่ที่ ~$0.01 สำหรับ input และ ~$3 สำหรับ output
    ทำให้มี margin สูงถึง 80–95%

    ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับต้นทุน AI
    หลายคนเชื่อว่า inference ขาดทุนเสมอ ซึ่งไม่จริงในหลายกรณี
    การพูดถึงต้นทุนสูงอาจเป็นกลยุทธ์ของผู้เล่นรายใหญ่เพื่อกันคู่แข่ง

    ความเสี่ยงจาก context ยาว
    เมื่อ context ยาวเกิน 128k tokens จะเปลี่ยนจาก memory-bound เป็น compute-bound
    ทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น 2–10 เท่า
    บางโมเดลจึงจำกัด context window เพื่อควบคุมต้นทุน

    การตั้งราคาที่ไม่สอดคล้องกับมูลค่าจริง
    การคิดราคาตาม input อาจทำให้ผู้ใช้ลดรายละเอียดใน prompt
    การคิดราคาตาม output อาจทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่าไม่คุ้มถ้าได้คำตอบสั้น

    https://martinalderson.com/posts/are-openai-and-anthropic-really-losing-money-on-inference/
    🎙️ เรื่องเล่าจากเบื้องหลัง AI: ต้นทุนจริงของการรันโมเดลใหญ่ ช่วงนี้มีเสียงลือกันหนาหูว่า AI โดยเฉพาะการ “รัน inference” คือเครื่องเผาเงินชั้นดี หลายคนเชื่อว่าบริษัทอย่าง OpenAI และ Anthropic กำลังขาดทุนยับเยินจากการให้บริการโมเดลขนาดใหญ่ แต่บทความนี้พาเราไปเจาะลึกแบบ “napkin math” หรือคำนวณคร่าว ๆ จากหลักการพื้นฐาน เพื่อหาคำตอบว่าเรื่องนี้จริงแค่ไหน ผู้เขียนใช้ DeepSeek R1 เป็นโมเดลตัวอย่าง ซึ่งมี 671 พารามิเตอร์ทั้งหมด แต่ใช้แค่ 37B ผ่านเทคนิค mixture of experts (MoE) ที่ช่วยลดต้นทุนได้มาก โดยใช้ GPU H100 จำนวน 72 ตัว คิดราคาที่ $2 ต่อชั่วโมงต่อ GPU ซึ่งสูงกว่าราคาจริงในตลาดเสียอีก สิ่งที่น่าสนใจคือ “ต้นทุนของ input tokens” กับ “output tokens” ต่างกันมหาศาล! การประมวลผล input tokens สามารถทำได้แบบขนานและเร็วมาก ในขณะที่การสร้าง output tokens ต้องทำแบบลำดับทีละตัว ทำให้ต้นทุนสูงกว่าเป็นพันเท่า ยิ่งไปกว่านั้น การใช้งานจริงของผู้ใช้ เช่น นักพัฒนา หรือ power users กลับอยู่ในรูปแบบที่ใช้ input เยอะมาก แต่ output น้อย เช่น การส่งโค้ดทั้งไฟล์เพื่อให้ AI วิเคราะห์ แล้วให้มันตอบกลับแค่ไม่กี่บรรทัด ซึ่งเป็นรูปแบบที่ “คุ้มค่ามาก” สำหรับผู้ให้บริการ ✅ ต้นทุนการรัน inference ของโมเดล AI ➡️ ใช้ GPU H100 จำนวน 72 ตัว คิดต้นทุน $144/ชั่วโมง ➡️ input tokens ประมวลผลได้เร็วมากถึง ~46.8 พันล้าน tokens/ชั่วโมง ➡️ output tokens สร้างได้เพียง ~46.7 ล้าน tokens/ชั่วโมง ➡️ ต้นทุนต่อ input token อยู่ที่ ~$0.003 ต่อ 1 ล้าน tokens ➡️ ต้นทุนต่อ output token สูงถึง ~$3 ต่อ 1 ล้าน tokens ✅ ความแตกต่างระหว่าง input และ output ➡️ input สามารถประมวลผลแบบขนานได้ ➡️ output ต้องสร้างทีละ token ทำให้ช้ากว่าและแพงกว่า ➡️ ความไม่สมมาตรนี้ทำให้บาง use case คุ้มค่ามาก เช่น coding assistant ✅ ตัวอย่างการใช้งานจริง ➡️ ผู้ใช้ระดับนักพัฒนาใช้ input เยอะมาก เช่น โค้ดหลายไฟล์ ➡️ แต่ต้องการ output น้อย เช่น คำอธิบายหรือโค้ดสั้น ๆ ➡️ ทำให้ต้นทุนจริงต่ำมากเมื่อเทียบกับราคาที่เรียกเก็บ ✅ โมเดลธุรกิจของ API ➡️ ราคาขายต่อ 1 ล้าน tokens อยู่ที่ ~$3 สำหรับ output ➡️ แต่ต้นทุนจริงอยู่ที่ ~$0.01 สำหรับ input และ ~$3 สำหรับ output ➡️ ทำให้มี margin สูงถึง 80–95% ‼️ ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับต้นทุน AI ⛔ หลายคนเชื่อว่า inference ขาดทุนเสมอ ซึ่งไม่จริงในหลายกรณี ⛔ การพูดถึงต้นทุนสูงอาจเป็นกลยุทธ์ของผู้เล่นรายใหญ่เพื่อกันคู่แข่ง ‼️ ความเสี่ยงจาก context ยาว ⛔ เมื่อ context ยาวเกิน 128k tokens จะเปลี่ยนจาก memory-bound เป็น compute-bound ⛔ ทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้น 2–10 เท่า ⛔ บางโมเดลจึงจำกัด context window เพื่อควบคุมต้นทุน ‼️ การตั้งราคาที่ไม่สอดคล้องกับมูลค่าจริง ⛔ การคิดราคาตาม input อาจทำให้ผู้ใช้ลดรายละเอียดใน prompt ⛔ การคิดราคาตาม output อาจทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่าไม่คุ้มถ้าได้คำตอบสั้น https://martinalderson.com/posts/are-openai-and-anthropic-really-losing-money-on-inference/
    MARTINALDERSON.COM
    Are OpenAI and Anthropic Really Losing Money on Inference?
    Deconstructing the real costs of running AI inference at scale. My napkin math suggests the economics might be far more profitable than commonly claimed.
    0 Comments 0 Shares 102 Views 0 Reviews
  • มายากลยุทธ ภาค 2 ตอน บทส่งท้าย

    นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ”
    บทส่งท้าย
    ไม่นานหลังจาก George Bush ได้ประกาศว่าเราจะจัดระเบียบโลกใหม่ ในปี ค.ศ. 1991 ยุทธศาสตร์ของอเมริกาที่ทยอยออกมา ก็แสดงให้เห็นถึงทิศทางเดินของอเมริกาชัดเจนขึ้น ใบประกาศหมายเลข 1 ออกมาเมื่อ ค.ศ. 1992 Defense Planning Guidance เกี่ยวกับการวางแผนด้านกองกำลังของอเมริกา เพื่อให้แน่ใจ (กับใครบ้าง?) ว่า จะไม่มีใครกล้าถลามาเป็นคู่แข่งกับอเมริกาในยุโรปตะวันตก เอเซีย หรือ บริเวณที่เคยเป็นสหภาพโซเวียตเดิม เอกสารนี้ระบุชัดเจนว่า โลกใบนี้ไม่มีใครจะมามีอำนาจเหนืออเมริกาอีกแล้ว
    ผู้ที่เป็นมันสมองในการจัดทำเอกสารนี้คือ นาย Paul Wolfowitz ซึ่งขณะนั้นรับตำแหน่งเลขาธิการด้านความมั่นคงอยู่ที่ Pentagon และต่อมาเขาได้เลื่อนเป็นผู้ช่วยรมว.กลาโหม ในสมัยรัฐบาล Bush ตัวพ่อนั่นแหละ หลังจากนั้นก็มารับตำแหน่งประธานธนาคารโลก World Bank นาย Wolf นี้เป็นสมาชิกของ Bilderberg Group, Trilateral Commission และ Council on Foreign Relations (ครบชุด 3 สถาบันผู้ทรงอิทธิพล) ปัจจุบันประจำการอยู่ที่ American Enterprise Institute ซึ่งเป็น think tank สำคัญสำหรับผู้ไม่ประสงค์จะเปิดเผยตัว
    ส่วนสำคัญของเอกสารดังกล่าว เน้นว่าการจัดระเบียบโลกใหม่ ในด้านของกองกำลังของอเมริกา จะต้องปฏิบัติการได้ เมื่อจำเป็น โดยไม่ต้องพึ่งพาหรือเล่นเป็นวงกับใคร พูดง่าย ๆ เป็นพระเอกแสดงเดี่ยว ก็ต้องเอาโลกนี้อยู่ในมือได้
    ในประดานักเลงคนละค่าย ที่จะทำให้อเมริกาคันไม้คันมือ นอกเหนือจากอิรัคและเกาหลีเหนือเจ้าประจำแล้ว ผู้ที่อเมริกาจะต้องจับตาแบบมองแบบไม่กระพริบ คือ จีนและรัสเซีย
    เมื่อ Bill Clinton เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี ต่อจาก Bush ตัวพ่อในปี ค.ศ. 1993 สายเหยี่ยวของอเมริกาไม่ได้หุบปีก แต่กลับสยายมากขึ้น ถึงกับคิด Project for New American Century หรือ PNAC อันโด่งดัง ในปี ค.ศ. 2000 เขาได้เสนอรายงาน ชื่อ Rebuilding America’s Defenses : Strategy For Us and Resources for a New Century เป็นการวางแผนสำหรับการขยับขยาย เปลี่ยนรูปแบบของกองกำลังของอเมริกา เพื่อเตรียมตัวสำหรับการเข้าสู่ทรัพยากร และการสงครามในทุกสมรภูมิ ไม่ว่าใหญ่ระดับโลก หรือเล็กระดับประเทศ
    แต่ที่น่าสนใจคือนาย Zbigniew Brzezinski (หวังว่าคงจำชื่อนี้กันได้) ผู้ซึ่งเป็นสารตั้งต้นของ Trilatleral Commission ให้กับนายโคตรรวย David Rockefeller รวมทั้งเป็นสมาชิก Bilderberg Group และอยู่ในคณะกรรมการของ Amnesty International และ National Endowment for Democracy (ถ้าไม่รู้จักสถาบันหลังนี้ ลองไปถามอาจารย์แถวท่าพระจันทร์ดูได้นะครับ) รวมทั้งเป็น trustee และที่ปรึกษาของ Center for Strategic and International Studies (CSIS) ที่โด่งดังในการเป็นมันสมอง ในการวางนโยบายด้านความมั่นคงระดับสูงให้แก่อเมริกา นาย Brzenzinski นี้ ถือว่าเป็น 1 ให้ผู้กุมชะตาโลก เพราะเขามีอิทธิพลต่อความคิดของพวกนักเล่นกล ผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตยของอเมริกาอย่างยิ่ง ในหนังสือของเขาชื่อ The Grand Chessboard ที่ออกมาเมื่อ ปี ค.ศ. 1997 บอกว่าสำหรับอเมริกาในอนาคต จงมองไปที่ Eurasia สำหรับอีก 50 ปีข้างหน้า ความเป็นไปของโลก มันจะเริ่มหรือเกี่ยวกับพื้นที่บริเวณ Eurasia นี้แหละ ใครที่ควบคุม Eurasia ได้ ก็เหมือนกับจะควบคุมชะตาโลกได้ปริยาย และนับตั้งแต่นั้นมา นโยบายของอเมริกาก็ดูเหมือนจะไปในทิศทาง ตามที่เข็มทิศยี่ห้อนาย Bzenzinski ชี้ทางเอาไว้ทั้งสิ้น เช่นเดียวกัน กับคำพูดของนาย Kissinger เมื่อเกือบ 50 ปีก่อน


    คนเล่านิทาน
    มายากลยุทธ ภาค 2 ตอน บทส่งท้าย นิทานเรื่องจริง เรื่อง ” มายากลยุทธ ” บทส่งท้าย ไม่นานหลังจาก George Bush ได้ประกาศว่าเราจะจัดระเบียบโลกใหม่ ในปี ค.ศ. 1991 ยุทธศาสตร์ของอเมริกาที่ทยอยออกมา ก็แสดงให้เห็นถึงทิศทางเดินของอเมริกาชัดเจนขึ้น ใบประกาศหมายเลข 1 ออกมาเมื่อ ค.ศ. 1992 Defense Planning Guidance เกี่ยวกับการวางแผนด้านกองกำลังของอเมริกา เพื่อให้แน่ใจ (กับใครบ้าง?) ว่า จะไม่มีใครกล้าถลามาเป็นคู่แข่งกับอเมริกาในยุโรปตะวันตก เอเซีย หรือ บริเวณที่เคยเป็นสหภาพโซเวียตเดิม เอกสารนี้ระบุชัดเจนว่า โลกใบนี้ไม่มีใครจะมามีอำนาจเหนืออเมริกาอีกแล้ว ผู้ที่เป็นมันสมองในการจัดทำเอกสารนี้คือ นาย Paul Wolfowitz ซึ่งขณะนั้นรับตำแหน่งเลขาธิการด้านความมั่นคงอยู่ที่ Pentagon และต่อมาเขาได้เลื่อนเป็นผู้ช่วยรมว.กลาโหม ในสมัยรัฐบาล Bush ตัวพ่อนั่นแหละ หลังจากนั้นก็มารับตำแหน่งประธานธนาคารโลก World Bank นาย Wolf นี้เป็นสมาชิกของ Bilderberg Group, Trilateral Commission และ Council on Foreign Relations (ครบชุด 3 สถาบันผู้ทรงอิทธิพล) ปัจจุบันประจำการอยู่ที่ American Enterprise Institute ซึ่งเป็น think tank สำคัญสำหรับผู้ไม่ประสงค์จะเปิดเผยตัว ส่วนสำคัญของเอกสารดังกล่าว เน้นว่าการจัดระเบียบโลกใหม่ ในด้านของกองกำลังของอเมริกา จะต้องปฏิบัติการได้ เมื่อจำเป็น โดยไม่ต้องพึ่งพาหรือเล่นเป็นวงกับใคร พูดง่าย ๆ เป็นพระเอกแสดงเดี่ยว ก็ต้องเอาโลกนี้อยู่ในมือได้ ในประดานักเลงคนละค่าย ที่จะทำให้อเมริกาคันไม้คันมือ นอกเหนือจากอิรัคและเกาหลีเหนือเจ้าประจำแล้ว ผู้ที่อเมริกาจะต้องจับตาแบบมองแบบไม่กระพริบ คือ จีนและรัสเซีย เมื่อ Bill Clinton เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดี ต่อจาก Bush ตัวพ่อในปี ค.ศ. 1993 สายเหยี่ยวของอเมริกาไม่ได้หุบปีก แต่กลับสยายมากขึ้น ถึงกับคิด Project for New American Century หรือ PNAC อันโด่งดัง ในปี ค.ศ. 2000 เขาได้เสนอรายงาน ชื่อ Rebuilding America’s Defenses : Strategy For Us and Resources for a New Century เป็นการวางแผนสำหรับการขยับขยาย เปลี่ยนรูปแบบของกองกำลังของอเมริกา เพื่อเตรียมตัวสำหรับการเข้าสู่ทรัพยากร และการสงครามในทุกสมรภูมิ ไม่ว่าใหญ่ระดับโลก หรือเล็กระดับประเทศ แต่ที่น่าสนใจคือนาย Zbigniew Brzezinski (หวังว่าคงจำชื่อนี้กันได้) ผู้ซึ่งเป็นสารตั้งต้นของ Trilatleral Commission ให้กับนายโคตรรวย David Rockefeller รวมทั้งเป็นสมาชิก Bilderberg Group และอยู่ในคณะกรรมการของ Amnesty International และ National Endowment for Democracy (ถ้าไม่รู้จักสถาบันหลังนี้ ลองไปถามอาจารย์แถวท่าพระจันทร์ดูได้นะครับ) รวมทั้งเป็น trustee และที่ปรึกษาของ Center for Strategic and International Studies (CSIS) ที่โด่งดังในการเป็นมันสมอง ในการวางนโยบายด้านความมั่นคงระดับสูงให้แก่อเมริกา นาย Brzenzinski นี้ ถือว่าเป็น 1 ให้ผู้กุมชะตาโลก เพราะเขามีอิทธิพลต่อความคิดของพวกนักเล่นกล ผู้มีบารมีเหนือประชาธิปไตยของอเมริกาอย่างยิ่ง ในหนังสือของเขาชื่อ The Grand Chessboard ที่ออกมาเมื่อ ปี ค.ศ. 1997 บอกว่าสำหรับอเมริกาในอนาคต จงมองไปที่ Eurasia สำหรับอีก 50 ปีข้างหน้า ความเป็นไปของโลก มันจะเริ่มหรือเกี่ยวกับพื้นที่บริเวณ Eurasia นี้แหละ ใครที่ควบคุม Eurasia ได้ ก็เหมือนกับจะควบคุมชะตาโลกได้ปริยาย และนับตั้งแต่นั้นมา นโยบายของอเมริกาก็ดูเหมือนจะไปในทิศทาง ตามที่เข็มทิศยี่ห้อนาย Bzenzinski ชี้ทางเอาไว้ทั้งสิ้น เช่นเดียวกัน กับคำพูดของนาย Kissinger เมื่อเกือบ 50 ปีก่อน คนเล่านิทาน
    0 Comments 0 Shares 223 Views 0 Reviews
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ”
    ภาคสอง ตอน เสกกระดาษเป็นน้ำมัน
    ตอนที่ 25 : เหยื่อ (2)
    ปี ค.ศ. 1991 อเมริกาโดยประธานาธิบดี GHW Bush ประกาศ “New World Order” การจัดระเบียบโลกใหม่ ประกาศให้โลกรู้ว่า อเมริกากำลังเล่นบทนักล่าจักรวรรดินิยม ยุคใหม่อย่างจริงจัง ไม่ปิดบังเหนียมอายกันแล้ว อเมริกาจะครองโลก และจะทำทุกอย่างที่จะไปสู่เป้าหมายนั้น และเพื่อให้ชัดเจน อำนาจของอเมริกาต้องแผ่ขยายควบคุม โดยเฉพาะกับญี่ปุ่น สภาพยุโรป (EU) และที่สำคัญคือ มังกรที่กำลังโตขึ้นเป็นคู่แข่ง คือจีน
    อเมริกาวางยุทธศาสตร์เบื้องต้นว่าจะต้อง “สร้าง” แผนปฎิบัติการอะไรบ้าง
    – ตั้งเป้าหมายให้รัสเซีย ยุโรปตะวันออก และส่วนอื่น ๆ ของโลกยอมรับกฎกติกาของ IMFและรับว่าดอลล่าร์เป็นเงินสกุลหลัก
    – ควบคุมทุกประเทศที่มีแหล่งพลังงาน หรือแหล่งวัตถุดิบที่สำคัญ
    – สร้างและประกาศให้รู้ถึงความยิ่งใหญ่ของกองทัพของอเมริกา เอาไว้ใช้กับมันผู้ใดที่คัดค้านหรือท้าทาย กฎ กติกา ของอเมริกา
    กุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จตามเป้าหมาย คือ คำที่เรียกว่ากันว่าโลกาภิวัฒน์ (globalization) ในช่วงนั้น ใครไม่รู้จักคำนี้ สมควรไปปลูกกระท่อมอยู่หลังเขา ใครอยากทันสมัยต้องพูดคำว่า โลกาภิวัฒน์ วันละ 3 ครั้ง ก่อนอาหาร รู้จักจริง ๆ ไหมว่าโลกภิวัฒน์คืออะไร และผลของมันเป็นอย่างไร แต่เราก็ท่องมนต์บ่นหา โลกาภิวัฒน์กันมาตั้งแต่ เขาเอามาหยอดใส่หูเรา เมื่อ 10 กว่าปี มานี้
    โลกาภิวัฒน์จะมีคนเขียนอธิบายว่าอะไรก็แล้วแต่ แต่สำหรับอเมริกา มันหมายถึง การดำเนินการที่จะไม่มีอะไรมาปิดกั้น อำนาจของอเมริกาได้อีกแล้ว การเมือง เศรษฐกิจ การทหาร ทุกอย่างรวมเป็นพลังอำนาจของอเมริกา ที่จะนำไปใช้กับทุกเป้าหมายและทุกจุดประสงค์ แต่หลังจาก ค.ศ. 1990 เป็นต้นมา เศรษฐกิจของญี่ปุ่นแข็งแรงอย่างยิ่ง และทำท่าจะเป็นผู้นำโลกทางด้านเศรษฐกิจและการธนาคาร แล้วอเมริกาจะดูไปเฉย ๆ ได้อย่างไร ตั้งแต่เป็นประเทศอุตสาหกรรมเต็มรูปแบบในช่วงปี 1960 กว่า เป็นต้นมา ไม่มีใครไม่รู้จัก Sony ไม่มีใครไม่รู้จักรถ Toyota เมื่อตอนที่พวกโคตรรวย Rockefeller ส่งเทียบไปเชิญญี่ปุ่นมาเข้าสมาคม Trilateral Commission น่ะ มันปรารถนาดีเต็มร้อยหรือไร สุภาษิตที่ว่ามีมิตรอยู่ใกล้ แต่ต้องให้ศัตรูอยู่ใกล้กว่าน่ะ ใช้ได้ทุกชาติ ทุกสมัย อเมริกาเอาญี่ปุ่นมาหนีบไว้ ญี่ปุ่นจะได้แหกคอกยากจะก้าวย่างไปทางไหน เจ้าของคอกก็ตามรอยได้ง่ายกว่า แล้วพวกสมันน้อยที่เขาเชิญ ๆ ไป เป็นสมาชิกน่ะ คิดกันในแง่นี้บ้างไหม หรือมัวแต่ภูมิใจว่าเขาให้เกียรติเราอย่างสูง ที่ให้ไปอยู่ในสมาคมชั้นสูงของพวกโคตรรวย !
    อเมริกาได้พยายามให้ญี่ปุ่นลดอัตราดอกเบี้ยมาตลอด มาสำเร็จเอาในปี ค.ศ. 1987 ญี่ปุ่นตกลงลดดอกเบี้ยเงินกู้เหลือเพียง 2.5% จนถึงปี ค.ศ. 1989 แค่ 2 ปี แต่ก็เพียงพอให้เงินราคาถูกไหลเข้าญี่ปุ่น อสังหาริมทรัพย์ญี่ปุ่นเริ่มมีการเปลี่ยนมือหลายรอบ ยิ่งเปลี่ยนมือ ราคายิ่งแพงขึ้น ฟองสบู่ค่อย ๆ ลอยขึ้นมา แล้วเงินเย็นก็เริ่มร้อนสูงขึ้นไป 40% เมื่อเทียบกับดอลล่าร์ ธนาคารชั้นนำของโลก ก็พากันเดินแถวเข้าไปเปิดกิจการในญี่ปุ่น ขบวนการปั่นหุ้น ปั่นทรัพย์สินในญี่ปุ่น เกิดขึ้นอย่างเร่งรีบ แล้วทุกอย่างขึ้นถึงยอดเขาในปลายปี ค.ศ. 1989 แล้ว ก็หมุนย้อนลงไปสู่จุดตกต่ำ เมื่อต้นปี ค.ศ. 2003 มันเกิดขึ้นได้อย่างไร นักวิเคราะห์ชาวญี่ปุ่นพากันเป็นโรคมึน

    คนเล่านิทาน
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ” ภาคสอง ตอน เสกกระดาษเป็นน้ำมัน ตอนที่ 25 : เหยื่อ (2) ปี ค.ศ. 1991 อเมริกาโดยประธานาธิบดี GHW Bush ประกาศ “New World Order” การจัดระเบียบโลกใหม่ ประกาศให้โลกรู้ว่า อเมริกากำลังเล่นบทนักล่าจักรวรรดินิยม ยุคใหม่อย่างจริงจัง ไม่ปิดบังเหนียมอายกันแล้ว อเมริกาจะครองโลก และจะทำทุกอย่างที่จะไปสู่เป้าหมายนั้น และเพื่อให้ชัดเจน อำนาจของอเมริกาต้องแผ่ขยายควบคุม โดยเฉพาะกับญี่ปุ่น สภาพยุโรป (EU) และที่สำคัญคือ มังกรที่กำลังโตขึ้นเป็นคู่แข่ง คือจีน อเมริกาวางยุทธศาสตร์เบื้องต้นว่าจะต้อง “สร้าง” แผนปฎิบัติการอะไรบ้าง – ตั้งเป้าหมายให้รัสเซีย ยุโรปตะวันออก และส่วนอื่น ๆ ของโลกยอมรับกฎกติกาของ IMFและรับว่าดอลล่าร์เป็นเงินสกุลหลัก – ควบคุมทุกประเทศที่มีแหล่งพลังงาน หรือแหล่งวัตถุดิบที่สำคัญ – สร้างและประกาศให้รู้ถึงความยิ่งใหญ่ของกองทัพของอเมริกา เอาไว้ใช้กับมันผู้ใดที่คัดค้านหรือท้าทาย กฎ กติกา ของอเมริกา กุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จตามเป้าหมาย คือ คำที่เรียกว่ากันว่าโลกาภิวัฒน์ (globalization) ในช่วงนั้น ใครไม่รู้จักคำนี้ สมควรไปปลูกกระท่อมอยู่หลังเขา ใครอยากทันสมัยต้องพูดคำว่า โลกาภิวัฒน์ วันละ 3 ครั้ง ก่อนอาหาร รู้จักจริง ๆ ไหมว่าโลกภิวัฒน์คืออะไร และผลของมันเป็นอย่างไร แต่เราก็ท่องมนต์บ่นหา โลกาภิวัฒน์กันมาตั้งแต่ เขาเอามาหยอดใส่หูเรา เมื่อ 10 กว่าปี มานี้ โลกาภิวัฒน์จะมีคนเขียนอธิบายว่าอะไรก็แล้วแต่ แต่สำหรับอเมริกา มันหมายถึง การดำเนินการที่จะไม่มีอะไรมาปิดกั้น อำนาจของอเมริกาได้อีกแล้ว การเมือง เศรษฐกิจ การทหาร ทุกอย่างรวมเป็นพลังอำนาจของอเมริกา ที่จะนำไปใช้กับทุกเป้าหมายและทุกจุดประสงค์ แต่หลังจาก ค.ศ. 1990 เป็นต้นมา เศรษฐกิจของญี่ปุ่นแข็งแรงอย่างยิ่ง และทำท่าจะเป็นผู้นำโลกทางด้านเศรษฐกิจและการธนาคาร แล้วอเมริกาจะดูไปเฉย ๆ ได้อย่างไร ตั้งแต่เป็นประเทศอุตสาหกรรมเต็มรูปแบบในช่วงปี 1960 กว่า เป็นต้นมา ไม่มีใครไม่รู้จัก Sony ไม่มีใครไม่รู้จักรถ Toyota เมื่อตอนที่พวกโคตรรวย Rockefeller ส่งเทียบไปเชิญญี่ปุ่นมาเข้าสมาคม Trilateral Commission น่ะ มันปรารถนาดีเต็มร้อยหรือไร สุภาษิตที่ว่ามีมิตรอยู่ใกล้ แต่ต้องให้ศัตรูอยู่ใกล้กว่าน่ะ ใช้ได้ทุกชาติ ทุกสมัย อเมริกาเอาญี่ปุ่นมาหนีบไว้ ญี่ปุ่นจะได้แหกคอกยากจะก้าวย่างไปทางไหน เจ้าของคอกก็ตามรอยได้ง่ายกว่า แล้วพวกสมันน้อยที่เขาเชิญ ๆ ไป เป็นสมาชิกน่ะ คิดกันในแง่นี้บ้างไหม หรือมัวแต่ภูมิใจว่าเขาให้เกียรติเราอย่างสูง ที่ให้ไปอยู่ในสมาคมชั้นสูงของพวกโคตรรวย ! อเมริกาได้พยายามให้ญี่ปุ่นลดอัตราดอกเบี้ยมาตลอด มาสำเร็จเอาในปี ค.ศ. 1987 ญี่ปุ่นตกลงลดดอกเบี้ยเงินกู้เหลือเพียง 2.5% จนถึงปี ค.ศ. 1989 แค่ 2 ปี แต่ก็เพียงพอให้เงินราคาถูกไหลเข้าญี่ปุ่น อสังหาริมทรัพย์ญี่ปุ่นเริ่มมีการเปลี่ยนมือหลายรอบ ยิ่งเปลี่ยนมือ ราคายิ่งแพงขึ้น ฟองสบู่ค่อย ๆ ลอยขึ้นมา แล้วเงินเย็นก็เริ่มร้อนสูงขึ้นไป 40% เมื่อเทียบกับดอลล่าร์ ธนาคารชั้นนำของโลก ก็พากันเดินแถวเข้าไปเปิดกิจการในญี่ปุ่น ขบวนการปั่นหุ้น ปั่นทรัพย์สินในญี่ปุ่น เกิดขึ้นอย่างเร่งรีบ แล้วทุกอย่างขึ้นถึงยอดเขาในปลายปี ค.ศ. 1989 แล้ว ก็หมุนย้อนลงไปสู่จุดตกต่ำ เมื่อต้นปี ค.ศ. 2003 มันเกิดขึ้นได้อย่างไร นักวิเคราะห์ชาวญี่ปุ่นพากันเป็นโรคมึน คนเล่านิทาน
    0 Comments 0 Shares 252 Views 0 Reviews
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ”
    ภาคสอง ตอน เสกกระดาษเป็นน้ำมัน
    ตอนที่ 25 : เหยื่อ (1)
    เมื่อหมดยุคประธานาธิบดี Reagan ในปี ค.ศ. 1988 นาย George H W Bush (ตัวพ่อ) ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีคนต่อไป เป็นช่วงที่หมดยุคสงครามเย็น เยอรมันตัดสินใจทุบกำแพง Berlin ออก เยอรมันตะวันออกกับตะวันตก จับมือรวมชาติพัฒนาประเทศด้วยกัน การตัดสินในเช่นนี้ ลึก ๆ แน่นอน ย่อมมีคนคัดจมูก หายใจไม่คล่องอยู่บ้าง ถ้าเศรษฐกิจของเยอรมันแข็งแรงและขยายตัวเต็มยุโรป อำนาจของอเมริกาในยุโรปก็เหมือนถูกท้าทาย นี่คือปฏิกิริยาของอเมริกาที่มีต่อทุกประเทศ ไม่ว่ามิตรหรือศัตรู อเมริกาจะมีปรอทวัดอาการของทุกชาติไว้อย่างถี่ถ้วน ถ้าชาติไหน เริ่มเจริญ ก้าวหน้าหรือมีความสำคัญ หรือเอนตัวผิดองศา ที่อเมริกาเห็นว่าน่าจะกลายเป็นคู่แข่ง หรืออุปสรรคต่ออเมริกาไม่ว่าทางใด ปรอทจะส่งสัญญาณเตือนทันที และกิจกรรมการเล่นกลก็จะเริ่มเกิดขึ้น
    อเมริกามองอาการของเยอรมันเหมือนสมัย ค.ศ. 1970 ช่วงที่อุตสาหกรรมกำลังบูม และความต้องการน้ำมันของประเทศผู้ประกอบกิจการอุตสาหกรรมก็จะสูงตามไปด้วย ค.ศ.นี้ก็ไม่ต่างกัน เยอรมันและชาติที่กำลังทำอุตสาหกรรมก็ต้องหิวน้ำมัน เพราะฉะนั้นอเมริกาต้องรีบหาทาง “กัก” น้ำมันไม่ให้ไปถึงประเทศพวกนั้น คราวนี้ใครจะเป็นเป้าหมายในการเล่นกล เพื่อให้ได้ผลตามที่อเมริกาต้องการ แล้ว Saddam ก็เป็นเหยื่อ หลังจากเปลี้ยมาจากการรบกับอิหร่านเกือบสิบปี ช่วงปี ค.ศ. 1980 – 1988 แผนการก็แบบเดิม ๆ ยุให้เขาตีกันก่อน เพื่อตัวเองจะได้เข้าไปในประเทศเขา (สมันน้อยอ่านตรงนี้ซ้ำ ๆ หน่อยนะ)
    อเมริกาเล่นกล โดยใช้ Kuwait เป็นเหยื่อล่อ Iraq ให้มากินเบ็ด Iraq งับทันที บุกเข้า Kuwait เพราะมีกรณีค้างคาใจกันอยู่หลายเรื่อง ตั้งแต่ร่วมมือกันรบอิหร่านแล้วเบี้ยวหนี้กัน ทะเลาะกันไปมาหลายเรื่อง แต่เรื่องที่ Saddam แค้นคือ Saddam กล่าวหาว่า Kuwait ขะโมยขุดน้ำมันแถวชายแดนของ Iraq แถม Kuwait ยังเกเรผลิตน้ำมันเกินข้อตกลงกันระหว่างประเทศ OPEC ซึ่งทำให้การควบคุมราคาน้ำมันในกลุ่ม OPEC มีปัญหา
    Iraq ตัดสินใจบุกคูเวตวันที่ 2 สิงหาคม ค.ศ. 1990 กองทัพของ Kuwait ต้านไม่ไหวหนีไปพึ่งใบบุญ Saudi Arabia กับ Bahrain Saddam จึงประกาศเอา Kuwait ผนวกกลับมาเป็นของ Iraq
    อะไรทำให้ Saddam ตัดสินใจทะเลาะกับเพื่อนบ้าน ข่าววงในแจ้งว่า เรื่อง Saddam อยากจะเคี้ยว Kuwait ไม่ได้เป็นความลับอะไร ถึงขนาดฑูตอเมริกา ชื่อคุณนาย April Glaspie ไปเดินถามนายทหารระดับสูงของ Iraq ว่าอะไรกันค้า เตรียมรบอะไรกันค้า เห็นคุณทหาร Iraq ไปอยู่ตามชายแดนติดกับ Kuwait เต็มเลยค่า (นี่ข่าวของคุณนาย April เกี่ยวกับ Iraq นะ ไม่ใช่ของคุณนาย คริสตี้ เรื่องไทยแลนด์ แหม ! แต่มันเจ๋อเหมือนกันจัง) เสร็จแล้วคุณนาย April ก็ออกข่าวว่า เราไม่มีความเห็นเกี่ยวกับความไม่ลงรอยกัน ระหว่าง Iraq กับ Kuwait เราไม่มีความเห็นเกี่ยวกับความขัดแย้ง ระหว่างประเทศอาหรับด้วยกัน (“We have no opinion on the Arab-Arab conflicts”) ที่ยังงี้ละไม่ออกความเห็นนะ คุณนาย ความเห็นพวกฑูตนี้ มันแล้วแต่นายเขาสั่งมา แล้วเราจะต้องไปคอยถามคอยตอบทำไมนะ มันละครชัด ๆ ข่าวว่าการให้สัมภาษณ์ของคุณนาย ทำให้ Saddam เข้าใจว่าอเมริกา ไม่มีปัญหา (หรืออาจจะสนับสนุนด้วยซ้ำ) ที่ Iraq จะบุก Kuwait
    แต่เรื่องมันกลับตาลปัตร หลังจาก Saddam ถล่ม Kuwait ไปได้ 6 เดือน UN ก็ประกาศประฌาม Saddam พร้อมทั้งมีมติเอกฉันท์สั่งให้ Saddam ถอนกองทัพออกมา Saddam เฉย กลางเดือนมกราคม ค.ศ. 1991 Operation Desert Storm ของอเมริกาก็ปฎิบัติการ ชาวเราก็นั่งดูข่าวถ่ายทอดสดทาง CNN เหมือนดูหนังโรง แต่ของจริงเขาถล่มจริง ตายจริง มันเป็นเพียงการเริ่มต้นของการทำลายล้างประเทศ และประชาชนอย่างไม่มีความปราณี อยู่ 12 ปี แม้จะ (หลอกว่า) มี Operation Iraqi Freedom ตามมาให้เมื่อมีนาคม ค.ศ. 2003 จนหลาย ปีให้หลัง ยังไม่เห็นเสรีภาพของชนชาวอิรัค ทุกวันนี้พวกเขายังเรียกร้องหาประชาธิปไตยกันอยู่ เขาถูกย่ำยีจนไม่เหลือ ทั้งทรัพยากร ชีวิตผู้คนและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ไอ้พวกนักสิทธิมนุษย์ของสหประชาชาติ มันหายไปไหนหมด หรือมัวแต่ไปช่วยเขาหาบุคคลที่สมควรได้รับรางวัล Nobel สันติภาพกัน

    คนเล่านิทาน
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ” ภาคสอง ตอน เสกกระดาษเป็นน้ำมัน ตอนที่ 25 : เหยื่อ (1) เมื่อหมดยุคประธานาธิบดี Reagan ในปี ค.ศ. 1988 นาย George H W Bush (ตัวพ่อ) ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีคนต่อไป เป็นช่วงที่หมดยุคสงครามเย็น เยอรมันตัดสินใจทุบกำแพง Berlin ออก เยอรมันตะวันออกกับตะวันตก จับมือรวมชาติพัฒนาประเทศด้วยกัน การตัดสินในเช่นนี้ ลึก ๆ แน่นอน ย่อมมีคนคัดจมูก หายใจไม่คล่องอยู่บ้าง ถ้าเศรษฐกิจของเยอรมันแข็งแรงและขยายตัวเต็มยุโรป อำนาจของอเมริกาในยุโรปก็เหมือนถูกท้าทาย นี่คือปฏิกิริยาของอเมริกาที่มีต่อทุกประเทศ ไม่ว่ามิตรหรือศัตรู อเมริกาจะมีปรอทวัดอาการของทุกชาติไว้อย่างถี่ถ้วน ถ้าชาติไหน เริ่มเจริญ ก้าวหน้าหรือมีความสำคัญ หรือเอนตัวผิดองศา ที่อเมริกาเห็นว่าน่าจะกลายเป็นคู่แข่ง หรืออุปสรรคต่ออเมริกาไม่ว่าทางใด ปรอทจะส่งสัญญาณเตือนทันที และกิจกรรมการเล่นกลก็จะเริ่มเกิดขึ้น อเมริกามองอาการของเยอรมันเหมือนสมัย ค.ศ. 1970 ช่วงที่อุตสาหกรรมกำลังบูม และความต้องการน้ำมันของประเทศผู้ประกอบกิจการอุตสาหกรรมก็จะสูงตามไปด้วย ค.ศ.นี้ก็ไม่ต่างกัน เยอรมันและชาติที่กำลังทำอุตสาหกรรมก็ต้องหิวน้ำมัน เพราะฉะนั้นอเมริกาต้องรีบหาทาง “กัก” น้ำมันไม่ให้ไปถึงประเทศพวกนั้น คราวนี้ใครจะเป็นเป้าหมายในการเล่นกล เพื่อให้ได้ผลตามที่อเมริกาต้องการ แล้ว Saddam ก็เป็นเหยื่อ หลังจากเปลี้ยมาจากการรบกับอิหร่านเกือบสิบปี ช่วงปี ค.ศ. 1980 – 1988 แผนการก็แบบเดิม ๆ ยุให้เขาตีกันก่อน เพื่อตัวเองจะได้เข้าไปในประเทศเขา (สมันน้อยอ่านตรงนี้ซ้ำ ๆ หน่อยนะ) อเมริกาเล่นกล โดยใช้ Kuwait เป็นเหยื่อล่อ Iraq ให้มากินเบ็ด Iraq งับทันที บุกเข้า Kuwait เพราะมีกรณีค้างคาใจกันอยู่หลายเรื่อง ตั้งแต่ร่วมมือกันรบอิหร่านแล้วเบี้ยวหนี้กัน ทะเลาะกันไปมาหลายเรื่อง แต่เรื่องที่ Saddam แค้นคือ Saddam กล่าวหาว่า Kuwait ขะโมยขุดน้ำมันแถวชายแดนของ Iraq แถม Kuwait ยังเกเรผลิตน้ำมันเกินข้อตกลงกันระหว่างประเทศ OPEC ซึ่งทำให้การควบคุมราคาน้ำมันในกลุ่ม OPEC มีปัญหา Iraq ตัดสินใจบุกคูเวตวันที่ 2 สิงหาคม ค.ศ. 1990 กองทัพของ Kuwait ต้านไม่ไหวหนีไปพึ่งใบบุญ Saudi Arabia กับ Bahrain Saddam จึงประกาศเอา Kuwait ผนวกกลับมาเป็นของ Iraq อะไรทำให้ Saddam ตัดสินใจทะเลาะกับเพื่อนบ้าน ข่าววงในแจ้งว่า เรื่อง Saddam อยากจะเคี้ยว Kuwait ไม่ได้เป็นความลับอะไร ถึงขนาดฑูตอเมริกา ชื่อคุณนาย April Glaspie ไปเดินถามนายทหารระดับสูงของ Iraq ว่าอะไรกันค้า เตรียมรบอะไรกันค้า เห็นคุณทหาร Iraq ไปอยู่ตามชายแดนติดกับ Kuwait เต็มเลยค่า (นี่ข่าวของคุณนาย April เกี่ยวกับ Iraq นะ ไม่ใช่ของคุณนาย คริสตี้ เรื่องไทยแลนด์ แหม ! แต่มันเจ๋อเหมือนกันจัง) เสร็จแล้วคุณนาย April ก็ออกข่าวว่า เราไม่มีความเห็นเกี่ยวกับความไม่ลงรอยกัน ระหว่าง Iraq กับ Kuwait เราไม่มีความเห็นเกี่ยวกับความขัดแย้ง ระหว่างประเทศอาหรับด้วยกัน (“We have no opinion on the Arab-Arab conflicts”) ที่ยังงี้ละไม่ออกความเห็นนะ คุณนาย ความเห็นพวกฑูตนี้ มันแล้วแต่นายเขาสั่งมา แล้วเราจะต้องไปคอยถามคอยตอบทำไมนะ มันละครชัด ๆ ข่าวว่าการให้สัมภาษณ์ของคุณนาย ทำให้ Saddam เข้าใจว่าอเมริกา ไม่มีปัญหา (หรืออาจจะสนับสนุนด้วยซ้ำ) ที่ Iraq จะบุก Kuwait แต่เรื่องมันกลับตาลปัตร หลังจาก Saddam ถล่ม Kuwait ไปได้ 6 เดือน UN ก็ประกาศประฌาม Saddam พร้อมทั้งมีมติเอกฉันท์สั่งให้ Saddam ถอนกองทัพออกมา Saddam เฉย กลางเดือนมกราคม ค.ศ. 1991 Operation Desert Storm ของอเมริกาก็ปฎิบัติการ ชาวเราก็นั่งดูข่าวถ่ายทอดสดทาง CNN เหมือนดูหนังโรง แต่ของจริงเขาถล่มจริง ตายจริง มันเป็นเพียงการเริ่มต้นของการทำลายล้างประเทศ และประชาชนอย่างไม่มีความปราณี อยู่ 12 ปี แม้จะ (หลอกว่า) มี Operation Iraqi Freedom ตามมาให้เมื่อมีนาคม ค.ศ. 2003 จนหลาย ปีให้หลัง ยังไม่เห็นเสรีภาพของชนชาวอิรัค ทุกวันนี้พวกเขายังเรียกร้องหาประชาธิปไตยกันอยู่ เขาถูกย่ำยีจนไม่เหลือ ทั้งทรัพยากร ชีวิตผู้คนและศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ ไอ้พวกนักสิทธิมนุษย์ของสหประชาชาติ มันหายไปไหนหมด หรือมัวแต่ไปช่วยเขาหาบุคคลที่สมควรได้รับรางวัล Nobel สันติภาพกัน คนเล่านิทาน
    0 Comments 0 Shares 260 Views 0 Reviews
  • AWS กับ Xeon 6 — เมื่อคลาวด์ต้อง “ฉลาดและจำเยอะ” กว่าที่เคย

    ในยุคที่ข้อมูลไหลเข้ามาไม่หยุด และแอปพลิเคชันต้องตอบสนองแบบเรียลไทม์ AWS ได้เปิดตัวเซิร์ฟเวอร์ EC2 รุ่นใหม่ชื่อ R8i และ R8i-flex ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับงานที่ใช้หน่วยความจำหนัก เช่น ฐานข้อมูล SQL/NoSQL, แคชแบบ in-memory อย่าง Redis และ Memcached, รวมถึงระบบวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่อย่าง Apache Spark และ Hadoop

    หัวใจของเซิร์ฟเวอร์รุ่นใหม่นี้คือชิป Intel Xeon 6 แบบปรับแต่งพิเศษ ซึ่งสามารถทำงานได้ที่ความเร็วสูงสุด 3.9 GHz แบบ all-core turbo และรองรับหน่วยความจำ DDR5 ที่ความเร็วสูงถึง 7200 MT/s ซึ่งถือว่าเร็วที่สุดในกลุ่มเซิร์ฟเวอร์ Intel บนคลาวด์ในตอนนี้

    AWS ยังเปิดให้ผู้ใช้ปรับแต่งการจัดสรรแบนด์วิดท์ระหว่างระบบเครือข่ายและการเชื่อมต่อกับ Elastic Block Store (EBS) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของฐานข้อมูลได้ตามต้องการ

    แม้ AWS จะไม่เปิดเผยรายละเอียดทั้งหมดของชิป Xeon 6 ที่ใช้ แต่จุดเด่นคือการเพิ่มแบนด์วิดท์หน่วยความจำแบบจัดเต็ม ซึ่งช่วยให้ระบบสามารถรองรับงานที่ต้องใช้ข้อมูลจำนวนมากได้อย่างลื่นไหล

    การเปิดตัวครั้งนี้ถือเป็น “ชัยชนะเล็ก ๆ” ของ Intel ในช่วงที่ตลาดเซิร์ฟเวอร์ถูกแย่งชิงโดย AMD และ ARM อย่างหนัก โดยเฉพาะในงานที่เกี่ยวข้องกับ AI และการประมวลผลแบบกระจาย

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    AWS เปิดตัวเซิร์ฟเวอร์ EC2 รุ่นใหม่ R8i และ R8i-flex สำหรับงานที่ใช้หน่วยความจำหนัก
    ใช้ชิป Intel Xeon 6 แบบปรับแต่งพิเศษ รองรับความเร็วสูงสุด 3.9 GHz แบบ all-core turbo
    รองรับหน่วยความจำ DDR5 ที่ความเร็ว 7200 MT/s ซึ่งเร็วที่สุดในกลุ่ม Intel บนคลาวด์
    R8i รองรับตั้งแต่ 2 ถึง 384 vCPUs เทียบเท่าระบบ dual-socket ที่ใช้ Xeon 96-core
    รองรับงานฐานข้อมูล SQL, NoSQL, แคชแบบ in-memory, SAP HANA, Hadoop และ Spark
    ผู้ใช้สามารถปรับแต่งแบนด์วิดท์ระหว่างเครือข่ายและการเชื่อมต่อกับ EBS ได้
    R8i-flex เป็นรุ่นที่ออกแบบมาเพื่อประหยัดต้นทุนสำหรับงานที่ไม่ใช้ CPU เต็มประสิทธิภาพ
    Intel ได้รับคำสั่งซื้อจาก AWS ซึ่งถือเป็นความสำเร็จในช่วงที่คู่แข่งอย่าง AMD และ ARM เติบโต
    เซิร์ฟเวอร์รุ่นใหม่ช่วยให้ AWS ขยายตัวเลือกสำหรับลูกค้าที่ต้องการประสิทธิภาพสูงในงานหน่วยความจำ
    การเพิ่มแบนด์วิดท์หน่วยความจำช่วยให้ระบบรองรับงานวิเคราะห์และ ERP ได้ดีขึ้น

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    R8i-flex มีขนาดตั้งแต่ large ถึง 16xlarge และเป็น Flex instance รุ่นแรกที่เน้นหน่วยความจำ
    R8i มีขนาดถึง 96xlarge และมีรุ่น bare metal สำหรับงานที่ต้องการประสิทธิภาพสูงสุด
    SAP HANA เป็นระบบฐานข้อมูลแบบ in-memory ที่ต้องการแบนด์วิดท์สูงมาก
    Apache Spark และ Hadoop เป็นระบบวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ที่ใช้หน่วยความจำอย่างหนัก
    Xeon 6 รุ่นใหม่ใช้สถาปัตยกรรม P-core และมีการปรับแต่ง firmware และ hypervisor ร่วมกับ AWS

    https://www.techradar.com/pro/its-not-all-bad-news-for-intel-aws-just-snapped-up-a-load-of-custom-xeon-chips-for-extra-cloud-power
    🧠 AWS กับ Xeon 6 — เมื่อคลาวด์ต้อง “ฉลาดและจำเยอะ” กว่าที่เคย ในยุคที่ข้อมูลไหลเข้ามาไม่หยุด และแอปพลิเคชันต้องตอบสนองแบบเรียลไทม์ AWS ได้เปิดตัวเซิร์ฟเวอร์ EC2 รุ่นใหม่ชื่อ R8i และ R8i-flex ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับงานที่ใช้หน่วยความจำหนัก เช่น ฐานข้อมูล SQL/NoSQL, แคชแบบ in-memory อย่าง Redis และ Memcached, รวมถึงระบบวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่อย่าง Apache Spark และ Hadoop หัวใจของเซิร์ฟเวอร์รุ่นใหม่นี้คือชิป Intel Xeon 6 แบบปรับแต่งพิเศษ ซึ่งสามารถทำงานได้ที่ความเร็วสูงสุด 3.9 GHz แบบ all-core turbo และรองรับหน่วยความจำ DDR5 ที่ความเร็วสูงถึง 7200 MT/s ซึ่งถือว่าเร็วที่สุดในกลุ่มเซิร์ฟเวอร์ Intel บนคลาวด์ในตอนนี้ AWS ยังเปิดให้ผู้ใช้ปรับแต่งการจัดสรรแบนด์วิดท์ระหว่างระบบเครือข่ายและการเชื่อมต่อกับ Elastic Block Store (EBS) เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของฐานข้อมูลได้ตามต้องการ แม้ AWS จะไม่เปิดเผยรายละเอียดทั้งหมดของชิป Xeon 6 ที่ใช้ แต่จุดเด่นคือการเพิ่มแบนด์วิดท์หน่วยความจำแบบจัดเต็ม ซึ่งช่วยให้ระบบสามารถรองรับงานที่ต้องใช้ข้อมูลจำนวนมากได้อย่างลื่นไหล การเปิดตัวครั้งนี้ถือเป็น “ชัยชนะเล็ก ๆ” ของ Intel ในช่วงที่ตลาดเซิร์ฟเวอร์ถูกแย่งชิงโดย AMD และ ARM อย่างหนัก โดยเฉพาะในงานที่เกี่ยวข้องกับ AI และการประมวลผลแบบกระจาย 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ AWS เปิดตัวเซิร์ฟเวอร์ EC2 รุ่นใหม่ R8i และ R8i-flex สำหรับงานที่ใช้หน่วยความจำหนัก ➡️ ใช้ชิป Intel Xeon 6 แบบปรับแต่งพิเศษ รองรับความเร็วสูงสุด 3.9 GHz แบบ all-core turbo ➡️ รองรับหน่วยความจำ DDR5 ที่ความเร็ว 7200 MT/s ซึ่งเร็วที่สุดในกลุ่ม Intel บนคลาวด์ ➡️ R8i รองรับตั้งแต่ 2 ถึง 384 vCPUs เทียบเท่าระบบ dual-socket ที่ใช้ Xeon 96-core ➡️ รองรับงานฐานข้อมูล SQL, NoSQL, แคชแบบ in-memory, SAP HANA, Hadoop และ Spark ➡️ ผู้ใช้สามารถปรับแต่งแบนด์วิดท์ระหว่างเครือข่ายและการเชื่อมต่อกับ EBS ได้ ➡️ R8i-flex เป็นรุ่นที่ออกแบบมาเพื่อประหยัดต้นทุนสำหรับงานที่ไม่ใช้ CPU เต็มประสิทธิภาพ ➡️ Intel ได้รับคำสั่งซื้อจาก AWS ซึ่งถือเป็นความสำเร็จในช่วงที่คู่แข่งอย่าง AMD และ ARM เติบโต ➡️ เซิร์ฟเวอร์รุ่นใหม่ช่วยให้ AWS ขยายตัวเลือกสำหรับลูกค้าที่ต้องการประสิทธิภาพสูงในงานหน่วยความจำ ➡️ การเพิ่มแบนด์วิดท์หน่วยความจำช่วยให้ระบบรองรับงานวิเคราะห์และ ERP ได้ดีขึ้น ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ R8i-flex มีขนาดตั้งแต่ large ถึง 16xlarge และเป็น Flex instance รุ่นแรกที่เน้นหน่วยความจำ ➡️ R8i มีขนาดถึง 96xlarge และมีรุ่น bare metal สำหรับงานที่ต้องการประสิทธิภาพสูงสุด ➡️ SAP HANA เป็นระบบฐานข้อมูลแบบ in-memory ที่ต้องการแบนด์วิดท์สูงมาก ➡️ Apache Spark และ Hadoop เป็นระบบวิเคราะห์ข้อมูลขนาดใหญ่ที่ใช้หน่วยความจำอย่างหนัก ➡️ Xeon 6 รุ่นใหม่ใช้สถาปัตยกรรม P-core และมีการปรับแต่ง firmware และ hypervisor ร่วมกับ AWS https://www.techradar.com/pro/its-not-all-bad-news-for-intel-aws-just-snapped-up-a-load-of-custom-xeon-chips-for-extra-cloud-power
    0 Comments 0 Shares 199 Views 0 Reviews
  • Elon Musk กับภารกิจสร้างจักรวาล AI ด้วย GPU หลายพันล้านตัว

    ในยุคที่ AI กลายเป็นหัวใจของนวัตกรรมระดับโลก Elon Musk ก็ไม่ยอมตกขบวน เขาออกมาประกาศเป้าหมายที่ฟังดูเกินจริงแต่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน: xAI บริษัทของเขาจะใช้ GPU ที่มีพลังเทียบเท่า H100 จำนวน 50 ล้านตัวภายใน 5 ปี และในอนาคตอาจขยายไปถึง “พันล้านตัว”

    GPU เหล่านี้จะถูกใช้ในศูนย์ข้อมูลขนาดมหึมา เช่น Colossus ที่ตั้งอยู่ในเมมฟิส ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 200,000 ตัว และกำลังสร้าง Colossus II เพื่อรองรับการขยายตัว

    ในขณะเดียวกัน Musk ก็เปิดโมเดล Grok 2.5 ให้เป็นโอเพ่นซอร์สผ่านแพลตฟอร์ม Hugging Face เพื่อให้ชุมชนนักพัฒนาเข้าถึงโค้ดและ weights ได้อย่างอิสระ โดยมีแผนจะเปิด Grok 3 ภายใน 6 เดือนข้างหน้า

    เป้าหมายของ Musk คือการสร้างระบบ AI ที่ “แสวงหาความจริงสูงสุด” และสามารถแข่งขันกับบริษัทใหญ่อย่าง OpenAI, Meta และ Google ซึ่งต่างก็เร่งสะสม GPU และพัฒนาโมเดลของตัวเองเช่นกัน

    แต่เบื้องหลังความทะเยอทะยานนี้ ก็มีคำถามตามมา: การใช้พลังงานมหาศาลในศูนย์ข้อมูลจะส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมอย่างไร? และการเปิดโมเดลให้สาธารณะจะนำไปสู่การใช้งานในทางที่ไม่พึงประสงค์หรือไม่?

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Elon Musk ตั้งเป้าให้ xAI ใช้ GPU เทียบเท่า H100 จำนวน 50 ล้านตัวภายใน 5 ปี
    ปัจจุบัน xAI มี GPU ประมาณ 200,000 ตัวในศูนย์ข้อมูล Colossus ที่เมมฟิส
    กำลังสร้าง Colossus II เพื่อขยายขีดความสามารถด้าน AI
    Musk กล่าวว่าต้องการขยายไปถึง “พันล้าน GPU” ในอนาคต
    Grok 2.5 ถูกเปิดให้เป็นโอเพ่นซอร์สผ่าน Hugging Face
    Grok 3 จะเปิดโอเพ่นซอร์สภายใน 6 เดือน
    Grok 4 ยังไม่เปิดให้สาธารณะใช้งาน และมีข้อถกเถียงเกี่ยวกับเนื้อหาภายใน
    xAI ต้องการสร้าง AI ที่ “แสวงหาความจริงสูงสุด”
    คู่แข่งอย่าง Meta และ OpenAI ก็มีแผนสะสม GPU หลายล้านตัวเช่นกัน
    Meta กำลังสร้างศูนย์ข้อมูล Hyperion ที่ใช้พลังงานถึง 5GW เทียบเท่าฐานโหลดของ NYC

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Nvidia H100 เป็น GPU ที่ออกแบบมาเพื่องาน AI โดยเฉพาะ มีความสามารถในการประมวลผลสูงมาก
    ราคาต่อหน่วยของ H100 อยู่ที่ประมาณ $30,000 ทำให้การสะสม GPU จำนวนมากเป็นการลงทุนมหาศาล
    Hugging Face เป็นแพลตฟอร์มโอเพ่นซอร์สที่นิยมใช้ในวงการ AI สำหรับการแชร์โมเดลและ weights
    การเปิดโมเดลให้สาธารณะสามารถช่วยให้เกิดการพัฒนาอย่างรวดเร็ว แต่ก็มีความเสี่ยงด้านความปลอดภัย
    การแข่งขันด้าน AI ระหว่างบริษัทใหญ่กำลังผลักดันให้เกิดการพัฒนา hardware เฉพาะทาง เช่น ASIC และ custom chips

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/elon-musk-doubles-down-on-goal-of-50-million-h100-equivalent-gpus-in-the-next-5-years-envisions-billions-of-gpus-in-the-future-as-grok-2-5-goes-open-source
    🎙️ Elon Musk กับภารกิจสร้างจักรวาล AI ด้วย GPU หลายพันล้านตัว ในยุคที่ AI กลายเป็นหัวใจของนวัตกรรมระดับโลก Elon Musk ก็ไม่ยอมตกขบวน เขาออกมาประกาศเป้าหมายที่ฟังดูเกินจริงแต่เต็มไปด้วยความทะเยอทะยาน: xAI บริษัทของเขาจะใช้ GPU ที่มีพลังเทียบเท่า H100 จำนวน 50 ล้านตัวภายใน 5 ปี และในอนาคตอาจขยายไปถึง “พันล้านตัว” GPU เหล่านี้จะถูกใช้ในศูนย์ข้อมูลขนาดมหึมา เช่น Colossus ที่ตั้งอยู่ในเมมฟิส ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ประมาณ 200,000 ตัว และกำลังสร้าง Colossus II เพื่อรองรับการขยายตัว ในขณะเดียวกัน Musk ก็เปิดโมเดล Grok 2.5 ให้เป็นโอเพ่นซอร์สผ่านแพลตฟอร์ม Hugging Face เพื่อให้ชุมชนนักพัฒนาเข้าถึงโค้ดและ weights ได้อย่างอิสระ โดยมีแผนจะเปิด Grok 3 ภายใน 6 เดือนข้างหน้า เป้าหมายของ Musk คือการสร้างระบบ AI ที่ “แสวงหาความจริงสูงสุด” และสามารถแข่งขันกับบริษัทใหญ่อย่าง OpenAI, Meta และ Google ซึ่งต่างก็เร่งสะสม GPU และพัฒนาโมเดลของตัวเองเช่นกัน แต่เบื้องหลังความทะเยอทะยานนี้ ก็มีคำถามตามมา: การใช้พลังงานมหาศาลในศูนย์ข้อมูลจะส่งผลต่อสิ่งแวดล้อมอย่างไร? และการเปิดโมเดลให้สาธารณะจะนำไปสู่การใช้งานในทางที่ไม่พึงประสงค์หรือไม่? 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Elon Musk ตั้งเป้าให้ xAI ใช้ GPU เทียบเท่า H100 จำนวน 50 ล้านตัวภายใน 5 ปี ➡️ ปัจจุบัน xAI มี GPU ประมาณ 200,000 ตัวในศูนย์ข้อมูล Colossus ที่เมมฟิส ➡️ กำลังสร้าง Colossus II เพื่อขยายขีดความสามารถด้าน AI ➡️ Musk กล่าวว่าต้องการขยายไปถึง “พันล้าน GPU” ในอนาคต ➡️ Grok 2.5 ถูกเปิดให้เป็นโอเพ่นซอร์สผ่าน Hugging Face ➡️ Grok 3 จะเปิดโอเพ่นซอร์สภายใน 6 เดือน ➡️ Grok 4 ยังไม่เปิดให้สาธารณะใช้งาน และมีข้อถกเถียงเกี่ยวกับเนื้อหาภายใน ➡️ xAI ต้องการสร้าง AI ที่ “แสวงหาความจริงสูงสุด” ➡️ คู่แข่งอย่าง Meta และ OpenAI ก็มีแผนสะสม GPU หลายล้านตัวเช่นกัน ➡️ Meta กำลังสร้างศูนย์ข้อมูล Hyperion ที่ใช้พลังงานถึง 5GW เทียบเท่าฐานโหลดของ NYC ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Nvidia H100 เป็น GPU ที่ออกแบบมาเพื่องาน AI โดยเฉพาะ มีความสามารถในการประมวลผลสูงมาก ➡️ ราคาต่อหน่วยของ H100 อยู่ที่ประมาณ $30,000 ทำให้การสะสม GPU จำนวนมากเป็นการลงทุนมหาศาล ➡️ Hugging Face เป็นแพลตฟอร์มโอเพ่นซอร์สที่นิยมใช้ในวงการ AI สำหรับการแชร์โมเดลและ weights ➡️ การเปิดโมเดลให้สาธารณะสามารถช่วยให้เกิดการพัฒนาอย่างรวดเร็ว แต่ก็มีความเสี่ยงด้านความปลอดภัย ➡️ การแข่งขันด้าน AI ระหว่างบริษัทใหญ่กำลังผลักดันให้เกิดการพัฒนา hardware เฉพาะทาง เช่น ASIC และ custom chips https://www.tomshardware.com/tech-industry/elon-musk-doubles-down-on-goal-of-50-million-h100-equivalent-gpus-in-the-next-5-years-envisions-billions-of-gpus-in-the-future-as-grok-2-5-goes-open-source
    0 Comments 0 Shares 187 Views 0 Reviews
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ”
    ภาคสอง ตอน เสกกระดาษเป็นน้ำมัน
    ตอนที่ 15 : เซียนกระเป๋าฉีก
    อังกฤษมีแผนที่จะเข้าไปครอบครองแหล่งน้ำมัน ที่อ่าวเปอร์เซีย (Arabian Gulf) แต่ปิดเงียบไม่บอกใคร ปี ค.ศ. 1917 อังกฤษประกาศสนับสนุนให้ชาวยิวได้กลับบ้านเกิดเมืองนอน คือ Palestine รัฐบาลอังกฤษไม่ได้คิดเอง แต่มีกลุ่มผู้มีอิทธิพลในชนชั้นสูงของอังกฤษ คือ The Royal Institute for International Affairs หรือ Chatham House เป็นมันสมองให้กับรัฐบาลอังกฤษ สนับสนุนให้ชาวยิวกลับไปครอบครอง Palestine แผ่นดินที่ล้อมรอบไปด้วย ประเทศแถบ Balkan และกลุ่มประเทศอาหรับ
    แผนมายากลนี้ เพื่อเชื่อมโยงเส้นทางระหว่าง ประเทศอาณานิคมของอังกฤษในอาฟริกาใต้ ซึ่งเต็มไปด้วยเหมืองทองและเพชร ข้ามมายังอียิปต์และคลองสุเอช ผ่านอิรัคและคูเวต มาเปอร์เซีย (อิหร่าน) มาถึงตะวันออกทางอินเดีย ซึ่งรวมถึงปากีสถานและบังคลาเทศ มันเป็นแผนที่ลึกซึ้งมาก ถ้าทำสำเร็จหมายถึง การเข้าไปครอบครองแหล่งน้ำมันที่มีค่ามหาศาล ก่อนที่เจ้าของแหล่งน้ำมันเองจะรู้ตัว
    ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ยังไม่เห็นชัดว่าใครจะเป็นแชมป์ครองโลก ระหว่างอังกฤษกับอเมริกา เกมกลยุทธที่ต่างฝ่ายวางกันไว้ ยังไม่ถึงผลสำเร็จ จะครองโลกให้หมดจดต้องใจเย็น ๆ อังกฤษก็มีแก้ว 3 ประการเหมือนกัน ตั้งเข็มทิศไว้ ตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 19 ก่อนอเมริกาจะนึกเอาอย่าง
    – ควบคุมเส้นทางเดินเรือทะเล
– ควบคุมการเงินและการธนาคาร
– ต้องมีทรัพยากร ที่เป็นผลต่อยุทธศาสตร์
    (ไอ้พวกคิดจะครองโลก มันไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่หรอก ท่านผู้อ่านนิทานลองสังเกตดู มันมีกลเล่นไม่กี่แบบหรอก ดูไปแล้วกัน)
    อังกฤษลำพองคิดว่า กำจัดเยอรมันออกไปนอกเส้นทางแล้ว จากเกมที่วางไว้โดยสงครามโลกครั้งที่ 1 แต่อเมริกายังยืนอยู่ในเส้นทางของน้ำมัน Standard Oil ยังอยู่ดี อังกฤษต้องทำงานหนักขึ้น วางหมากให้ลึกซึ้งขึ้น ในปี ค.ศ. 1921 นาย Winston Churchill เป็นรมต.ว่าการกิจการอาณานิคมของอังกฤษ เขาตั้งหน่วยงานขึ้นใหม่ เพื่อมาดูแลตะวันออกกลางโดยเฉพาะ และเข้าไปควบคุมกิจการของ Anglo Persian Oil ผลคือบริษัทน้ำมันของอเมริกา หมดโอกาสได้สัมปทานน้ำมันในตะวันออกกลาง นี่ขนาดเป็นลูกรักกันนะ แต่เรื่องน้ำมันนี่ ลูกก็ลูกเถอะ อย่าแหยม !
    แต่อเมริกาไม่ใช่มือใหม่ในเรื่องน้ำมัน เพียงแต่ยังไม่อยากทะเลาะกับลูกพี่อย่างอังกฤษ โดยไม่จำเป็น ว่าแล้วจิกโก๋ก็เปลี่ยนทิศไปทาง Mexico, Latin America (ก็ได้วะ !)
    เพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนได้ยินเสียงคำราม ค.ศ. 1920 อังกฤษประกาศอย่างภาคภูมิว่า รัฐบาลของอังกฤษจะควบคุมและครอบครอง แหล่งน้ำมันทั้งหมดโดยสิ้นเชิง ! มันกร่างจริง ! ทั้งหมดนี้ใช้มือปฏิบัติการคือ
    – Royal Dutch Shell ซึ่งเป็นคู่แข่งของ Standard Oil ของพวกโคตรรวย Rockefeller
– Anglo Persian Oil Company ซึ่งตกเป็นของอังกฤษและใช้ชื่อใหม่ว่า British Petroleum (ตัด Persia ทิ้งลงถังขยะไป)
– D’ Arcy Exploitation Company ซึ่งดูแลโดยหน่วยสืบราชการลับต่างประเทศของอังกฤษ
– British Controlled Oilfields (BCO) ซึ่งรัฐบาลอังกฤษถือหุ้นอย่างไม่เปิดเผย
    อเมริกาชักเริ่มมองหน้าอังกฤษไม่ติด แต่ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร ไม่ใช่แต่ในเรื่องการเมือง ในเรื่องธุรกิจยิ่งหนักกว่า จำไว้
    รัสเซียมีแหล่งน้ำมันใหญ่ที่ Baku ทั้งอังกฤษและอเมริกาต่างพยายามเข้าไปจีบรัสเซีย แต่อังกฤษได้เปรียบกว่า เพราะสภาพภูมิศาสตร์ แต่อเมริกาก็พยายามใช้เล่ห์เหลี่ยมทุกทาง ที่จะตัดหน้าอังกฤษ แต่แล้วฝันของทั้งอังกฤษและอเมริกาก็สลาย
    หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ก๊วนอังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย จับมือกัน บี้เยอรมันในฐานะผู้แพ้สงคราม ตามสนธิสัญญา Versailles เยอรมันต้องสูญเสียแคว้น Alsace – Lorraine ที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุต่าง ๆ กองทัพเรือแตก ทางรถไฟถูกยึด ฯลฯ ทั้งหมดเป็นการบดขยี้ให้เยอรมันเหลือแต่ซาก ฝ่ายอังกฤษ ยื่นข้อเสนอให้เยอรมันตอบภายใน 6 วัน แลกเอานะเยอรมันจะจ่ายเงิน จำนวน 132 พันล้านมาร์คทองคำ หรือจะให้พวกเราเข้าไปยึดแคว้น Ruhr ของยู แน่นอนเยอรมันยอมจ่ายเงิน (แล้วทองของเยอรมันก็ย้ายที่ไปอยู่ที่อังกฤษแทน) ผลที่ตามมาคือ หายนะของเศรษฐกิจและระบบการเงินของเยอรมัน
    แต่พอถึงปี ค.ศ. 1922 เยอรมันกับรัสเซียทำเอาเซียนกระเป๋าฉีก วางแผนขยี้เสียอย่างดี รัสเซียเกิดใจดี ยกหนี้ให้เยอรมัน แลกกับเทคโนโลยีด้านอุตสาหกรรมของเยอรมัน เยอรมันรอดตาย นอกจากไม่ตายแล้ว ยังฟื้นขึ้นมาได้อย่างแข็งแกร่ง อย่าประเมินเยอรมันผิด แค้นนี้ต้องชำระ ทำไมรัสเซียถึงเกิดใจดี !?!

    คนเล่านิทาน
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ” ภาคสอง ตอน เสกกระดาษเป็นน้ำมัน ตอนที่ 15 : เซียนกระเป๋าฉีก อังกฤษมีแผนที่จะเข้าไปครอบครองแหล่งน้ำมัน ที่อ่าวเปอร์เซีย (Arabian Gulf) แต่ปิดเงียบไม่บอกใคร ปี ค.ศ. 1917 อังกฤษประกาศสนับสนุนให้ชาวยิวได้กลับบ้านเกิดเมืองนอน คือ Palestine รัฐบาลอังกฤษไม่ได้คิดเอง แต่มีกลุ่มผู้มีอิทธิพลในชนชั้นสูงของอังกฤษ คือ The Royal Institute for International Affairs หรือ Chatham House เป็นมันสมองให้กับรัฐบาลอังกฤษ สนับสนุนให้ชาวยิวกลับไปครอบครอง Palestine แผ่นดินที่ล้อมรอบไปด้วย ประเทศแถบ Balkan และกลุ่มประเทศอาหรับ แผนมายากลนี้ เพื่อเชื่อมโยงเส้นทางระหว่าง ประเทศอาณานิคมของอังกฤษในอาฟริกาใต้ ซึ่งเต็มไปด้วยเหมืองทองและเพชร ข้ามมายังอียิปต์และคลองสุเอช ผ่านอิรัคและคูเวต มาเปอร์เซีย (อิหร่าน) มาถึงตะวันออกทางอินเดีย ซึ่งรวมถึงปากีสถานและบังคลาเทศ มันเป็นแผนที่ลึกซึ้งมาก ถ้าทำสำเร็จหมายถึง การเข้าไปครอบครองแหล่งน้ำมันที่มีค่ามหาศาล ก่อนที่เจ้าของแหล่งน้ำมันเองจะรู้ตัว ช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ยังไม่เห็นชัดว่าใครจะเป็นแชมป์ครองโลก ระหว่างอังกฤษกับอเมริกา เกมกลยุทธที่ต่างฝ่ายวางกันไว้ ยังไม่ถึงผลสำเร็จ จะครองโลกให้หมดจดต้องใจเย็น ๆ อังกฤษก็มีแก้ว 3 ประการเหมือนกัน ตั้งเข็มทิศไว้ ตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 19 ก่อนอเมริกาจะนึกเอาอย่าง – ควบคุมเส้นทางเดินเรือทะเล
– ควบคุมการเงินและการธนาคาร
– ต้องมีทรัพยากร ที่เป็นผลต่อยุทธศาสตร์ (ไอ้พวกคิดจะครองโลก มันไม่ได้ต่างกันเท่าไหร่หรอก ท่านผู้อ่านนิทานลองสังเกตดู มันมีกลเล่นไม่กี่แบบหรอก ดูไปแล้วกัน) อังกฤษลำพองคิดว่า กำจัดเยอรมันออกไปนอกเส้นทางแล้ว จากเกมที่วางไว้โดยสงครามโลกครั้งที่ 1 แต่อเมริกายังยืนอยู่ในเส้นทางของน้ำมัน Standard Oil ยังอยู่ดี อังกฤษต้องทำงานหนักขึ้น วางหมากให้ลึกซึ้งขึ้น ในปี ค.ศ. 1921 นาย Winston Churchill เป็นรมต.ว่าการกิจการอาณานิคมของอังกฤษ เขาตั้งหน่วยงานขึ้นใหม่ เพื่อมาดูแลตะวันออกกลางโดยเฉพาะ และเข้าไปควบคุมกิจการของ Anglo Persian Oil ผลคือบริษัทน้ำมันของอเมริกา หมดโอกาสได้สัมปทานน้ำมันในตะวันออกกลาง นี่ขนาดเป็นลูกรักกันนะ แต่เรื่องน้ำมันนี่ ลูกก็ลูกเถอะ อย่าแหยม ! แต่อเมริกาไม่ใช่มือใหม่ในเรื่องน้ำมัน เพียงแต่ยังไม่อยากทะเลาะกับลูกพี่อย่างอังกฤษ โดยไม่จำเป็น ว่าแล้วจิกโก๋ก็เปลี่ยนทิศไปทาง Mexico, Latin America (ก็ได้วะ !) เพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนได้ยินเสียงคำราม ค.ศ. 1920 อังกฤษประกาศอย่างภาคภูมิว่า รัฐบาลของอังกฤษจะควบคุมและครอบครอง แหล่งน้ำมันทั้งหมดโดยสิ้นเชิง ! มันกร่างจริง ! ทั้งหมดนี้ใช้มือปฏิบัติการคือ – Royal Dutch Shell ซึ่งเป็นคู่แข่งของ Standard Oil ของพวกโคตรรวย Rockefeller
– Anglo Persian Oil Company ซึ่งตกเป็นของอังกฤษและใช้ชื่อใหม่ว่า British Petroleum (ตัด Persia ทิ้งลงถังขยะไป)
– D’ Arcy Exploitation Company ซึ่งดูแลโดยหน่วยสืบราชการลับต่างประเทศของอังกฤษ
– British Controlled Oilfields (BCO) ซึ่งรัฐบาลอังกฤษถือหุ้นอย่างไม่เปิดเผย อเมริกาชักเริ่มมองหน้าอังกฤษไม่ติด แต่ไม่มีมิตรแท้และศัตรูถาวร ไม่ใช่แต่ในเรื่องการเมือง ในเรื่องธุรกิจยิ่งหนักกว่า จำไว้ รัสเซียมีแหล่งน้ำมันใหญ่ที่ Baku ทั้งอังกฤษและอเมริกาต่างพยายามเข้าไปจีบรัสเซีย แต่อังกฤษได้เปรียบกว่า เพราะสภาพภูมิศาสตร์ แต่อเมริกาก็พยายามใช้เล่ห์เหลี่ยมทุกทาง ที่จะตัดหน้าอังกฤษ แต่แล้วฝันของทั้งอังกฤษและอเมริกาก็สลาย หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ก๊วนอังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย จับมือกัน บี้เยอรมันในฐานะผู้แพ้สงคราม ตามสนธิสัญญา Versailles เยอรมันต้องสูญเสียแคว้น Alsace – Lorraine ที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุต่าง ๆ กองทัพเรือแตก ทางรถไฟถูกยึด ฯลฯ ทั้งหมดเป็นการบดขยี้ให้เยอรมันเหลือแต่ซาก ฝ่ายอังกฤษ ยื่นข้อเสนอให้เยอรมันตอบภายใน 6 วัน แลกเอานะเยอรมันจะจ่ายเงิน จำนวน 132 พันล้านมาร์คทองคำ หรือจะให้พวกเราเข้าไปยึดแคว้น Ruhr ของยู แน่นอนเยอรมันยอมจ่ายเงิน (แล้วทองของเยอรมันก็ย้ายที่ไปอยู่ที่อังกฤษแทน) ผลที่ตามมาคือ หายนะของเศรษฐกิจและระบบการเงินของเยอรมัน แต่พอถึงปี ค.ศ. 1922 เยอรมันกับรัสเซียทำเอาเซียนกระเป๋าฉีก วางแผนขยี้เสียอย่างดี รัสเซียเกิดใจดี ยกหนี้ให้เยอรมัน แลกกับเทคโนโลยีด้านอุตสาหกรรมของเยอรมัน เยอรมันรอดตาย นอกจากไม่ตายแล้ว ยังฟื้นขึ้นมาได้อย่างแข็งแกร่ง อย่าประเมินเยอรมันผิด แค้นนี้ต้องชำระ ทำไมรัสเซียถึงเกิดใจดี !?! คนเล่านิทาน
    0 Comments 0 Shares 296 Views 0 Reviews
  • Rubin – GPU ที่แรงที่สุดของ Nvidia เกิดจากการร่วมมือที่ไม่คาดคิด

    ในโลกของการออกแบบชิปที่ซับซ้อนระดับพันล้านเกต การจำลองพลังงานและประสิทธิภาพไม่ใช่เรื่องง่าย และนั่นคือเหตุผลที่ Nvidia หันไปใช้เครื่องมือจาก Cadence เพื่อช่วยออกแบบ GPU รุ่นใหม่ที่ชื่อว่า “Rubin” ซึ่งคาดว่าจะเป็น GPU ที่แรงที่สุดเท่าที่เคยมีมา

    Rubin ถูกออกแบบให้รองรับงาน AI ที่มีความซับซ้อนสูง โดยมีจำนวนเกตมากกว่า 40 พันล้าน และอาจใช้พลังงานถึง 700W ต่อ die หรือสูงถึง 3.6kW ในระบบแบบหลายชิป ซึ่งถือว่าเป็นระดับ “megawatt-class” สำหรับ data center

    Cadence ใช้ระบบจำลอง Palladium Z3 และ Protium X3 เพื่อช่วยวิเคราะห์พลังงานแบบละเอียดในระดับ cycle ต่อ cycle โดย Palladium Z3 ใช้ DPU จาก Nvidia และระบบเครือข่าย Quantum Infiniband ในขณะที่ Protium X3 ใช้ FPGA จาก AMD Ultrascale เพื่อจำลอง RTL และทดสอบซอฟต์แวร์ก่อนผลิตจริง

    การใช้เครื่องมือเหล่านี้ช่วยให้ทีมออกแบบสามารถตรวจสอบ bottleneck และปรับขนาดเครือข่ายให้เหมาะสมก่อน tape-out ซึ่ง Rubin ได้ tape-out กับ TSMC แล้วในกระบวนการผลิต 3nm N3P แต่มีรายงานว่าอาจต้อง respin เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพก่อนเปิดตัวจริงในปี 2026

    ที่น่าสนใจคือ แม้ AMD จะเป็นคู่แข่งโดยตรงในตลาด GPU แต่ฮาร์ดแวร์ของ AMD ก็มีบทบาทสำคัญในการช่วย Nvidia สร้าง GPU ที่จะมาแข่งกับ MI450 ของ AMD เอง — เป็นความร่วมมือที่สะท้อนถึงความซับซ้อนของอุตสาหกรรมชิปในยุค AI

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Nvidia พัฒนา GPU รุ่นใหม่ชื่อ “Rubin” โดยใช้เครื่องมือจาก Cadence
    Rubin มีจำนวนเกตมากกว่า 40 พันล้าน และใช้พลังงานสูงถึง 700W ต่อ die
    ระบบแบบหลายชิปอาจใช้พลังงานรวมถึง 3.6kW
    ใช้ Palladium Z3 emulator และ Protium X3 FPGA prototyping จาก Cadence
    Palladium Z3 ใช้ DPU จาก Nvidia และเครือข่าย Quantum Infiniband
    Protium X3 ใช้ AMD Ultrascale FPGA เพื่อจำลอง RTL และทดสอบซอฟต์แวร์
    การจำลองช่วยตรวจสอบ bottleneck และปรับขนาดเครือข่ายก่อนผลิตจริง
    Rubin tape-out กับ TSMC แล้วในกระบวนการผลิต 3nm N3P
    มีรายงานว่า Rubin อาจต้อง respin เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ
    คาดว่า Rubin จะเริ่มส่งมอบช่วงปลายปี 2026

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Cadence เปิดตัว Palladium Z3 และ Protium X3 ในปี 2024 ด้วยความสามารถสูงกว่าเดิม 2 เท่า
    ระบบสามารถจำลองได้ถึง 48 พันล้านเกต และวิเคราะห์พลังงานได้ในระดับ cycle
    DPA (Dynamic Power Analysis) ของ Cadence เริ่มใช้ตั้งแต่ปี 2016 และกลายเป็นเครื่องมือหลักในยุค AI
    Rubin ถูกออกแบบมาเพื่อแข่งกับ AMD MI450 ซึ่งเป็น GPU ระดับสูงในกลุ่ม AI
    การใช้ฮาร์ดแวร์จากคู่แข่งอย่าง AMD สะท้อนถึงความร่วมมือข้ามแบรนด์ในอุตสาหกรรม
    บทเรียนจาก Rubin จะถูกนำไปใช้กับผลิตภัณฑ์ consumer ในอนาคต

    https://www.techradar.com/pro/heres-how-nvidia-and-amd-hardware-are-being-used-in-surprising-ways-to-build-nvidias-fastest-gpu-ever
    🎙️ Rubin – GPU ที่แรงที่สุดของ Nvidia เกิดจากการร่วมมือที่ไม่คาดคิด ในโลกของการออกแบบชิปที่ซับซ้อนระดับพันล้านเกต การจำลองพลังงานและประสิทธิภาพไม่ใช่เรื่องง่าย และนั่นคือเหตุผลที่ Nvidia หันไปใช้เครื่องมือจาก Cadence เพื่อช่วยออกแบบ GPU รุ่นใหม่ที่ชื่อว่า “Rubin” ซึ่งคาดว่าจะเป็น GPU ที่แรงที่สุดเท่าที่เคยมีมา Rubin ถูกออกแบบให้รองรับงาน AI ที่มีความซับซ้อนสูง โดยมีจำนวนเกตมากกว่า 40 พันล้าน และอาจใช้พลังงานถึง 700W ต่อ die หรือสูงถึง 3.6kW ในระบบแบบหลายชิป ซึ่งถือว่าเป็นระดับ “megawatt-class” สำหรับ data center Cadence ใช้ระบบจำลอง Palladium Z3 และ Protium X3 เพื่อช่วยวิเคราะห์พลังงานแบบละเอียดในระดับ cycle ต่อ cycle โดย Palladium Z3 ใช้ DPU จาก Nvidia และระบบเครือข่าย Quantum Infiniband ในขณะที่ Protium X3 ใช้ FPGA จาก AMD Ultrascale เพื่อจำลอง RTL และทดสอบซอฟต์แวร์ก่อนผลิตจริง การใช้เครื่องมือเหล่านี้ช่วยให้ทีมออกแบบสามารถตรวจสอบ bottleneck และปรับขนาดเครือข่ายให้เหมาะสมก่อน tape-out ซึ่ง Rubin ได้ tape-out กับ TSMC แล้วในกระบวนการผลิต 3nm N3P แต่มีรายงานว่าอาจต้อง respin เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพก่อนเปิดตัวจริงในปี 2026 ที่น่าสนใจคือ แม้ AMD จะเป็นคู่แข่งโดยตรงในตลาด GPU แต่ฮาร์ดแวร์ของ AMD ก็มีบทบาทสำคัญในการช่วย Nvidia สร้าง GPU ที่จะมาแข่งกับ MI450 ของ AMD เอง — เป็นความร่วมมือที่สะท้อนถึงความซับซ้อนของอุตสาหกรรมชิปในยุค AI 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Nvidia พัฒนา GPU รุ่นใหม่ชื่อ “Rubin” โดยใช้เครื่องมือจาก Cadence ➡️ Rubin มีจำนวนเกตมากกว่า 40 พันล้าน และใช้พลังงานสูงถึง 700W ต่อ die ➡️ ระบบแบบหลายชิปอาจใช้พลังงานรวมถึง 3.6kW ➡️ ใช้ Palladium Z3 emulator และ Protium X3 FPGA prototyping จาก Cadence ➡️ Palladium Z3 ใช้ DPU จาก Nvidia และเครือข่าย Quantum Infiniband ➡️ Protium X3 ใช้ AMD Ultrascale FPGA เพื่อจำลอง RTL และทดสอบซอฟต์แวร์ ➡️ การจำลองช่วยตรวจสอบ bottleneck และปรับขนาดเครือข่ายก่อนผลิตจริง ➡️ Rubin tape-out กับ TSMC แล้วในกระบวนการผลิต 3nm N3P ➡️ มีรายงานว่า Rubin อาจต้อง respin เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ➡️ คาดว่า Rubin จะเริ่มส่งมอบช่วงปลายปี 2026 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Cadence เปิดตัว Palladium Z3 และ Protium X3 ในปี 2024 ด้วยความสามารถสูงกว่าเดิม 2 เท่า ➡️ ระบบสามารถจำลองได้ถึง 48 พันล้านเกต และวิเคราะห์พลังงานได้ในระดับ cycle ➡️ DPA (Dynamic Power Analysis) ของ Cadence เริ่มใช้ตั้งแต่ปี 2016 และกลายเป็นเครื่องมือหลักในยุค AI ➡️ Rubin ถูกออกแบบมาเพื่อแข่งกับ AMD MI450 ซึ่งเป็น GPU ระดับสูงในกลุ่ม AI ➡️ การใช้ฮาร์ดแวร์จากคู่แข่งอย่าง AMD สะท้อนถึงความร่วมมือข้ามแบรนด์ในอุตสาหกรรม ➡️ บทเรียนจาก Rubin จะถูกนำไปใช้กับผลิตภัณฑ์ consumer ในอนาคต https://www.techradar.com/pro/heres-how-nvidia-and-amd-hardware-are-being-used-in-surprising-ways-to-build-nvidias-fastest-gpu-ever
    WWW.TECHRADAR.COM
    How Cadence, along with Nvidia and AMD hardware, is shaping the creation of Nvidia's fastest GPU ever
    Cadence's power modelling tool can address bottlenecks early in a chip's design
    0 Comments 0 Shares 209 Views 0 Reviews
  • นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ”
    ภาคสอง ตอนเสกกระดาษเป็นน้ำมัน
    ตอนที่ 14 : คู่แค้น
    ช่วงประมาณ ค.ศ. 1908 เปอร์เซีย (หรืออิหร่านในปัจจุบัน) ค้นพบแหล่งน้ำมันในประเทศตนเอง อังกฤษจมูกไวได้กลิ่นก่อนใคร รีบวิ่งเป็นเจ้าแรก เข้าไปตีซี้เข้าทำสัญญาขอสิทธิพิเศษ สำหรับน้ำมันที่จะขุดได้ โดยตั้งบริษัทร่วมกับเปอร์เซีย ชื่อ Anglo Persian Oil Company (APOC) ซึ่งต่อมาภายหลังในปี ค.ศ. 1954 ได้กลายเป็น British Petroleum Company (BP) ผู้ซึ่งเวลานี้มีชื่อเป็นเจ้าของแปลงสัมปทานขุดเจาะน้ำมัน เกือบจะทุกแห่งในโลก รวมทั้งดินแดนของสมันน้อย
    แล้วฝนก็ตกทั่วฟ้า อังกฤษน้ำมันขอดบ่อ เยอรมันก็ใช่ว่าจะไปได้ไกลกว่า ในการศึกชิงน้ำมัน โครงการรถไฟของเยอรมันชักไปไม่ถึงฝั่ง เพราะต้องลงทุนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จำเป็นต้องหาเงินพวกมาช่วย เยอรมันกัดฟันหันไปหาอังกฤษ ลูกเข้าเท้าอังกฤษอย่างเหลือเชื่อ อังกฤษรับปากจะช่วย แต่ทำทุกทางที่จะถ่วง แค่นั้นยังไม่ชั่วพอ กลับตัดหน้าเยอรมัน ไปแย่งทำสัญญาเช่าบ่อน้ำมันกับอิรัคและคูเวต การวิ่งแข่งชิงแหล่งน้ำมันเข้มข้นขึ้น เยอรมันไม่รู้ไปทำอีกท่าไหน นอกจากจะได้ทำทางรถไฟสาย Berlin Bagdad แล้ว จักรพรรดิแห่ง Ottoman ยังแถมให้สิทธิในการขุดหาแหล่งน้ำมันและแร่ กว้าง 20 กิโลเมตร 2 ข้างทางขนานกับทางรถไฟ นี่มันทำให้อังกฤษถึงกระอักโลหิต ศึกชิงน้ำมันของจริงเริ่มขึ้นแล้ว ระหว่างมวยคู่อังกฤษกับเยอรมัน
    สงครามโลกครั้งที่ 1 ทำให้ความตั้งใจ ของบริษัทน้ำมันสัญชาติเยอรมันที่จะไม่ขึ้นกับ กลุ่มผลประโยชน์ของตระกูล Rockefeller ชะงักงัน ขณะนั้นอเมริกาผลิตน้ำมันมากกว่า 63% ของน้ำมันโลก รัสเซีย 19% เม็กซิโก 5% และอังกฤษ โดย APOC ยังเป็นละอ่อนหน้าใหม่ในตลาด ตั้งตัวยังไม่
    ติด ผลิตไม่ได้เท่าไหร่ ท่าน Lord Winston Churchill ฮึดสู้ เกลี้ยกล่อมให้รัฐบาลอังกฤษ ซื้อหุ้นข้างมากของ APOC และทำให้กลายมาเป็นต้นกำเนิดของ BP ลูกพี่ใหญ่ในวงการน้ำมันต่อมา
    ถึงตอนนั้นอังกฤษก็ประกาศ กำหนดเป็นยุทธศาสตร์ของประเทศที่จะต้องครอบครองน้ำมัน และทำทุกอย่างที่จะกันเยอรมัน คู่แข่งออกไปจากเส้นทาง แม้จะต้องทำสงครามถ้าจำเป็น เมื่อมียุทธศาสตร์เช่นนี้ อังกฤษก็เริ่มตั้งก๊วนกับฝรั่งเศสกับรัสเซีย เพื่อต่อต้านเยอรมัน ซึ่งจับมืออยู่กับออสเตรียและฮังการี อย่านึกว่าผมทองเหมือนกันจะรักกันตลอดไปนะ เรื่องผลประโยชน์มันไม่เข้าใครออกใคร ยิ่งอย่างพวกผมดำ นึกว่าเขารักเขาอุ้มชู โน่นไปท้ายแถวเลย และเมื่อไหร่เขาใช้จนหมดประโยชน์ เขาก็จัดการห่อใส่ผ้า เอาลงหีบเก็บถาวร เข้าใจไหม ใครที่คิดว่าเขากำลังอุ้ม ยังยืนลอยหน้าลอยตาอยู่นะ พี่เลี้ยงอ่านตอนนี้ให้ฟังหน่อยนะ แต่สงสัยหนูแกก็คงฟังไม่รู้เรื่องอยู่ดี ฮา
    แผนของอังกฤษเริ่มจะเห็นผล ถึงปี ค.ศ. 1914 สงครามโลกครั้งที่ 1 ก็เกิดขึ้น
    ผลของสงครามโลกครั้งที่ 1 ไม่ต่างกับสงครามอื่น ๆ ฉ.ห กันทั่วหน้า ทำสงครามกัน ทั้ง ๆ ที่รู้ผลสุดท้ายจะเป็นอย่างไร ! ผลของสงครามโลกครั้งที่ 1 ทำให้อังกฤษล้มละลาย แต่เขาว่าคนล้มอย่าเพิ่งข้าม อังกฤษล้มจริง แต่มันล้มบนฟูก เพราะหลังจากนั้นก็เกิดการสุมหัวรวมตัว กับนักธุรกิจใหญ่ของอเมริกา House of Morgan สร้างกลยุทธกันใหม่ นักเล่นกลไม่ได้มีเจ้าเดียว
    ผลของสงครามโลก ทำให้อาณาจักรใหญ่ 4 แห่ง ย่อยยับ อาณาจักร Ottoman – Turkey, Austria – Hungary, Germany – Russia และรวมทั้งอังกฤษเองด้วย แต่แท้จริง สงครามโลก ครั้งที่ 1 เป็นแผนมายากลของพวกผมทอง สุดกร่าง เพื่อวางแผนจัดสรร การครอบครองแหล่งน้ำมันเสียใหม่ เจ้าของแหล่งน้ำมัน รวมทั้งก๊วนที่เล่นเกมสงครามด้วยกันมา ไม่ว่าจะชนะหรือแพ้ ดูเกมนี้ไม่ทัน


    คนเล่านิทาน
    นิทานเรื่องจริง เรื่อง “มายากลยุทธ” ภาคสอง ตอนเสกกระดาษเป็นน้ำมัน ตอนที่ 14 : คู่แค้น ช่วงประมาณ ค.ศ. 1908 เปอร์เซีย (หรืออิหร่านในปัจจุบัน) ค้นพบแหล่งน้ำมันในประเทศตนเอง อังกฤษจมูกไวได้กลิ่นก่อนใคร รีบวิ่งเป็นเจ้าแรก เข้าไปตีซี้เข้าทำสัญญาขอสิทธิพิเศษ สำหรับน้ำมันที่จะขุดได้ โดยตั้งบริษัทร่วมกับเปอร์เซีย ชื่อ Anglo Persian Oil Company (APOC) ซึ่งต่อมาภายหลังในปี ค.ศ. 1954 ได้กลายเป็น British Petroleum Company (BP) ผู้ซึ่งเวลานี้มีชื่อเป็นเจ้าของแปลงสัมปทานขุดเจาะน้ำมัน เกือบจะทุกแห่งในโลก รวมทั้งดินแดนของสมันน้อย แล้วฝนก็ตกทั่วฟ้า อังกฤษน้ำมันขอดบ่อ เยอรมันก็ใช่ว่าจะไปได้ไกลกว่า ในการศึกชิงน้ำมัน โครงการรถไฟของเยอรมันชักไปไม่ถึงฝั่ง เพราะต้องลงทุนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จำเป็นต้องหาเงินพวกมาช่วย เยอรมันกัดฟันหันไปหาอังกฤษ ลูกเข้าเท้าอังกฤษอย่างเหลือเชื่อ อังกฤษรับปากจะช่วย แต่ทำทุกทางที่จะถ่วง แค่นั้นยังไม่ชั่วพอ กลับตัดหน้าเยอรมัน ไปแย่งทำสัญญาเช่าบ่อน้ำมันกับอิรัคและคูเวต การวิ่งแข่งชิงแหล่งน้ำมันเข้มข้นขึ้น เยอรมันไม่รู้ไปทำอีกท่าไหน นอกจากจะได้ทำทางรถไฟสาย Berlin Bagdad แล้ว จักรพรรดิแห่ง Ottoman ยังแถมให้สิทธิในการขุดหาแหล่งน้ำมันและแร่ กว้าง 20 กิโลเมตร 2 ข้างทางขนานกับทางรถไฟ นี่มันทำให้อังกฤษถึงกระอักโลหิต ศึกชิงน้ำมันของจริงเริ่มขึ้นแล้ว ระหว่างมวยคู่อังกฤษกับเยอรมัน สงครามโลกครั้งที่ 1 ทำให้ความตั้งใจ ของบริษัทน้ำมันสัญชาติเยอรมันที่จะไม่ขึ้นกับ กลุ่มผลประโยชน์ของตระกูล Rockefeller ชะงักงัน ขณะนั้นอเมริกาผลิตน้ำมันมากกว่า 63% ของน้ำมันโลก รัสเซีย 19% เม็กซิโก 5% และอังกฤษ โดย APOC ยังเป็นละอ่อนหน้าใหม่ในตลาด ตั้งตัวยังไม่ ติด ผลิตไม่ได้เท่าไหร่ ท่าน Lord Winston Churchill ฮึดสู้ เกลี้ยกล่อมให้รัฐบาลอังกฤษ ซื้อหุ้นข้างมากของ APOC และทำให้กลายมาเป็นต้นกำเนิดของ BP ลูกพี่ใหญ่ในวงการน้ำมันต่อมา ถึงตอนนั้นอังกฤษก็ประกาศ กำหนดเป็นยุทธศาสตร์ของประเทศที่จะต้องครอบครองน้ำมัน และทำทุกอย่างที่จะกันเยอรมัน คู่แข่งออกไปจากเส้นทาง แม้จะต้องทำสงครามถ้าจำเป็น เมื่อมียุทธศาสตร์เช่นนี้ อังกฤษก็เริ่มตั้งก๊วนกับฝรั่งเศสกับรัสเซีย เพื่อต่อต้านเยอรมัน ซึ่งจับมืออยู่กับออสเตรียและฮังการี อย่านึกว่าผมทองเหมือนกันจะรักกันตลอดไปนะ เรื่องผลประโยชน์มันไม่เข้าใครออกใคร ยิ่งอย่างพวกผมดำ นึกว่าเขารักเขาอุ้มชู โน่นไปท้ายแถวเลย และเมื่อไหร่เขาใช้จนหมดประโยชน์ เขาก็จัดการห่อใส่ผ้า เอาลงหีบเก็บถาวร เข้าใจไหม ใครที่คิดว่าเขากำลังอุ้ม ยังยืนลอยหน้าลอยตาอยู่นะ พี่เลี้ยงอ่านตอนนี้ให้ฟังหน่อยนะ แต่สงสัยหนูแกก็คงฟังไม่รู้เรื่องอยู่ดี ฮา แผนของอังกฤษเริ่มจะเห็นผล ถึงปี ค.ศ. 1914 สงครามโลกครั้งที่ 1 ก็เกิดขึ้น ผลของสงครามโลกครั้งที่ 1 ไม่ต่างกับสงครามอื่น ๆ ฉ.ห กันทั่วหน้า ทำสงครามกัน ทั้ง ๆ ที่รู้ผลสุดท้ายจะเป็นอย่างไร ! ผลของสงครามโลกครั้งที่ 1 ทำให้อังกฤษล้มละลาย แต่เขาว่าคนล้มอย่าเพิ่งข้าม อังกฤษล้มจริง แต่มันล้มบนฟูก เพราะหลังจากนั้นก็เกิดการสุมหัวรวมตัว กับนักธุรกิจใหญ่ของอเมริกา House of Morgan สร้างกลยุทธกันใหม่ นักเล่นกลไม่ได้มีเจ้าเดียว ผลของสงครามโลก ทำให้อาณาจักรใหญ่ 4 แห่ง ย่อยยับ อาณาจักร Ottoman – Turkey, Austria – Hungary, Germany – Russia และรวมทั้งอังกฤษเองด้วย แต่แท้จริง สงครามโลก ครั้งที่ 1 เป็นแผนมายากลของพวกผมทอง สุดกร่าง เพื่อวางแผนจัดสรร การครอบครองแหล่งน้ำมันเสียใหม่ เจ้าของแหล่งน้ำมัน รวมทั้งก๊วนที่เล่นเกมสงครามด้วยกันมา ไม่ว่าจะชนะหรือแพ้ ดูเกมนี้ไม่ทัน คนเล่านิทาน
    0 Comments 0 Shares 267 Views 0 Reviews
  • Claude กับภารกิจหยุดยั้ง “สูตรระเบิดนิวเคลียร์”

    ในยุคที่ AI สามารถตอบคำถามแทบทุกอย่างได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ความกังวลก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย โดยเฉพาะคำถามที่อาจนำไปสู่การสร้างอาวุธทำลายล้างสูง เช่น ระเบิดนิวเคลียร์

    Anthropic บริษัทผู้พัฒนา Claude ซึ่งเป็นคู่แข่งของ ChatGPT ได้ร่วมมือกับหน่วยงานด้านความมั่นคงของสหรัฐฯ อย่าง NNSA (National Nuclear Security Administration) เพื่อพัฒนา “classifier” หรือระบบตรวจจับคำถามที่เกี่ยวข้องกับการสร้างอาวุธนิวเคลียร์

    ระบบนี้สามารถแยกแยะได้ว่า ผู้ใช้กำลังถามเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ทั่วไป เช่น “ฟิชชันคืออะไร” หรือกำลังพยายามขอ “แผนสร้างระเบิดยูเรเนียมในโรงรถ” ซึ่งถือเป็นการใช้งานที่อันตราย

    ผลการทดสอบพบว่า classifier นี้สามารถตรวจจับคำถามที่เป็นภัยได้ถึง 96% โดยใช้ชุดข้อมูลจำลองกว่า 300 แบบ และยังสามารถจับการใช้งานจริงที่มีความเสี่ยงได้ในบางกรณี เช่น การทดลองของทีม red team ภายในบริษัทเอง

    Anthropic ยังประกาศว่าจะนำแนวทางนี้ไปแบ่งปันกับกลุ่ม Frontier Model Forum ซึ่งรวมถึงบริษัทใหญ่อย่าง Google, Meta, Microsoft และ OpenAI เพื่อสร้างมาตรฐานความปลอดภัยร่วมกันในวงการ AI

    แม้ Claude จะไม่เคยช่วยใครสร้างระเบิดจริง ๆ แต่การป้องกันไว้ก่อนก็ถือเป็นก้าวสำคัญของการพัฒนา AI อย่างมีความรับผิดชอบ

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Anthropic พัฒนา classifier เพื่อป้องกันการใช้ Claude ในการออกแบบอาวุธนิวเคลียร์
    ร่วมมือกับ NNSA ซึ่งเป็นหน่วยงานด้านความมั่นคงของสหรัฐฯ
    classifier สามารถแยกแยะคำถามทั่วไปกับคำถามที่มีเจตนาอันตราย
    ตรวจจับคำถามเกี่ยวกับอาวุธนิวเคลียร์ได้แม่นยำถึง 96% จากชุดข้อมูลจำลอง
    ระบบถูกนำไปใช้จริงกับการสนทนาใน Claude บางส่วนแล้ว
    Claude สามารถจับคำถามของทีม red team ภายในบริษัทได้อย่างแม่นยำ
    Anthropic จะนำแนวทางนี้ไปแบ่งปันกับ Frontier Model Forum เพื่อสร้างมาตรฐานร่วม
    ผู้ใช้ยังสามารถถามเรื่องวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ทั่วไป เช่น พลังงานนิวเคลียร์หรือการแพทย์นิวเคลียร์ได้ตามปกติ
    ระบบนี้ทำงานคล้าย spam filter โดยตรวจจับภัยคุกคามแบบเรียลไทม์

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Anthropic ได้รับการสนับสนุนจาก Amazon และ Google
    Claude ถูกเสนอให้หน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ ใช้งานในราคาเพียง $1 เพื่อส่งเสริมความปลอดภัย
    NNSA มีบทบาทในการดูแลคลังอาวุธนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ และพัฒนาเทคโนโลยีด้านความมั่นคง
    ระบบ classifier ใช้การสรุปแบบลำดับชั้น (hierarchical summarization) เพื่อหลีกเลี่ยงการตีความผิด
    การพัฒนา classifier นี้เป็นส่วนหนึ่งของแนวทาง “red-teaming” ที่เน้นการทดสอบความปลอดภัยเชิงรุก

    https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/claude/anthropic-will-nuke-your-attempt-to-use-ai-to-build-a-nuke
    🎙️ Claude กับภารกิจหยุดยั้ง “สูตรระเบิดนิวเคลียร์” ในยุคที่ AI สามารถตอบคำถามแทบทุกอย่างได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ความกังวลก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย โดยเฉพาะคำถามที่อาจนำไปสู่การสร้างอาวุธทำลายล้างสูง เช่น ระเบิดนิวเคลียร์ Anthropic บริษัทผู้พัฒนา Claude ซึ่งเป็นคู่แข่งของ ChatGPT ได้ร่วมมือกับหน่วยงานด้านความมั่นคงของสหรัฐฯ อย่าง NNSA (National Nuclear Security Administration) เพื่อพัฒนา “classifier” หรือระบบตรวจจับคำถามที่เกี่ยวข้องกับการสร้างอาวุธนิวเคลียร์ ระบบนี้สามารถแยกแยะได้ว่า ผู้ใช้กำลังถามเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ทั่วไป เช่น “ฟิชชันคืออะไร” หรือกำลังพยายามขอ “แผนสร้างระเบิดยูเรเนียมในโรงรถ” ซึ่งถือเป็นการใช้งานที่อันตราย ผลการทดสอบพบว่า classifier นี้สามารถตรวจจับคำถามที่เป็นภัยได้ถึง 96% โดยใช้ชุดข้อมูลจำลองกว่า 300 แบบ และยังสามารถจับการใช้งานจริงที่มีความเสี่ยงได้ในบางกรณี เช่น การทดลองของทีม red team ภายในบริษัทเอง Anthropic ยังประกาศว่าจะนำแนวทางนี้ไปแบ่งปันกับกลุ่ม Frontier Model Forum ซึ่งรวมถึงบริษัทใหญ่อย่าง Google, Meta, Microsoft และ OpenAI เพื่อสร้างมาตรฐานความปลอดภัยร่วมกันในวงการ AI แม้ Claude จะไม่เคยช่วยใครสร้างระเบิดจริง ๆ แต่การป้องกันไว้ก่อนก็ถือเป็นก้าวสำคัญของการพัฒนา AI อย่างมีความรับผิดชอบ 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Anthropic พัฒนา classifier เพื่อป้องกันการใช้ Claude ในการออกแบบอาวุธนิวเคลียร์ ➡️ ร่วมมือกับ NNSA ซึ่งเป็นหน่วยงานด้านความมั่นคงของสหรัฐฯ ➡️ classifier สามารถแยกแยะคำถามทั่วไปกับคำถามที่มีเจตนาอันตราย ➡️ ตรวจจับคำถามเกี่ยวกับอาวุธนิวเคลียร์ได้แม่นยำถึง 96% จากชุดข้อมูลจำลอง ➡️ ระบบถูกนำไปใช้จริงกับการสนทนาใน Claude บางส่วนแล้ว ➡️ Claude สามารถจับคำถามของทีม red team ภายในบริษัทได้อย่างแม่นยำ ➡️ Anthropic จะนำแนวทางนี้ไปแบ่งปันกับ Frontier Model Forum เพื่อสร้างมาตรฐานร่วม ➡️ ผู้ใช้ยังสามารถถามเรื่องวิทยาศาสตร์นิวเคลียร์ทั่วไป เช่น พลังงานนิวเคลียร์หรือการแพทย์นิวเคลียร์ได้ตามปกติ ➡️ ระบบนี้ทำงานคล้าย spam filter โดยตรวจจับภัยคุกคามแบบเรียลไทม์ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Anthropic ได้รับการสนับสนุนจาก Amazon และ Google ➡️ Claude ถูกเสนอให้หน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ ใช้งานในราคาเพียง $1 เพื่อส่งเสริมความปลอดภัย ➡️ NNSA มีบทบาทในการดูแลคลังอาวุธนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ และพัฒนาเทคโนโลยีด้านความมั่นคง ➡️ ระบบ classifier ใช้การสรุปแบบลำดับชั้น (hierarchical summarization) เพื่อหลีกเลี่ยงการตีความผิด ➡️ การพัฒนา classifier นี้เป็นส่วนหนึ่งของแนวทาง “red-teaming” ที่เน้นการทดสอบความปลอดภัยเชิงรุก https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/claude/anthropic-will-nuke-your-attempt-to-use-ai-to-build-a-nuke
    0 Comments 0 Shares 221 Views 0 Reviews
  • Siri จะฉลาดขึ้นด้วย Gemini จาก Google?

    Apple กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของยุค AI หลังจากที่ Siri ซึ่งเคยเป็นผู้บุกเบิกด้านผู้ช่วยเสียง กลับกลายเป็นผู้ตามในยุคที่ Google Assistant และ Alexa พัฒนาไปไกลกว่าเดิมมาก

    ล่าสุดมีรายงานว่า Apple กำลังเจรจากับ Google เพื่อใช้ Gemini ซึ่งเป็นโมเดล AI แบบมัลติโหมดที่ล้ำสมัยที่สุดของ Google มาเป็น “สมองใหม่” ให้กับ Siri โดยอาจเปิดตัวในปี 2026 พร้อมกับ iOS 26

    เดิมที Apple ตั้งใจจะใช้โมเดลของตัวเองภายใต้ชื่อ Apple Intelligence แต่หลังจากพบข้อจำกัดด้านคุณภาพและความล่าช้าในการพัฒนา จึงเริ่มเปิดรับแนวคิดจากภายนอก โดยก่อนหน้านี้ก็เคยเจรจากับ OpenAI และ Anthropic แต่ไม่สามารถตกลงเรื่องค่าใช้จ่ายได้

    หาก Apple ตัดสินใจใช้ Gemini จริง จะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในยุทธศาสตร์ AI ของบริษัท และอาจเป็นครั้งแรกที่ Siri ได้รับการยกระดับให้เข้าใจภาษาธรรมชาติได้ลึกซึ้งขึ้น ตอบคำถามซับซ้อนได้ดีขึ้น และรองรับการใช้งานแบบมัลติโหมด เช่น ข้อความ รูปภาพ เสียง และวิดีโอ

    แม้จะยังไม่มีการตัดสินใจอย่างเป็นทางการ แต่การที่ Apple เปิดใจรับเทคโนโลยีจากคู่แข่งอย่าง Google ก็สะท้อนถึงความจริงที่ว่า “การตามให้ทัน” ในยุค AI ต้องอาศัยความร่วมมือมากกว่าการแข่งขันเพียงอย่างเดียว

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Apple กำลังเจรจากับ Google เพื่อใช้ Gemini AI ในการยกระดับ Siri
    การเจรจาอยู่ในขั้นต้น และยังไม่มีการตัดสินใจอย่างเป็นทางการ
    เดิม Apple ตั้งใจใช้โมเดลของตัวเองใน Apple Intelligence แต่พบข้อจำกัดด้านคุณภาพ
    เคยเจรจากับ Anthropic และ OpenAI แต่ไม่สามารถตกลงเรื่องค่าใช้จ่ายได้
    หากใช้ Gemini จริง จะเป็นการเปลี่ยนแปลงยุทธศาสตร์ AI ของ Apple
    Siri รุ่นใหม่อาจเปิดตัวในฤดูใบไม้ผลิปี 2026 พร้อม iOS 26
    Gemini เป็นโมเดลมัลติโหมดที่รองรับข้อความ รูปภาพ เสียง และวิดีโอ
    Apple จะใช้ Gemini บนเซิร์ฟเวอร์ของตัวเองเพื่อรักษาความเป็นส่วนตัว
    หุ้นของ Alphabet และ Apple เพิ่มขึ้นหลังมีข่าวการเจรจา

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Gemini เป็นโมเดลที่ใช้ใน Android และ Samsung แล้วในหลายฟีเจอร์
    Apple กำลังทดสอบโมเดลภายในที่มีพารามิเตอร์ระดับ “ล้านล้าน” เพื่อแข่งกับคู่แข่ง
    Siri รุ่นใหม่จะมีสองเวอร์ชัน: แบบใช้โมเดลของ Apple และแบบใช้โมเดลภายนอก
    Apple มีประวัติความร่วมมือกับ Google เช่น การใช้ Google เป็น search engine ใน Safari
    หากใช้ Gemini จริง Siri อาจเข้าใจบริบทซับซ้อนและตอบโต้ได้ใกล้เคียงมนุษย์มากขึ้น

    https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/report-apple-considers-squeezing-gemini-into-the-siri-brain
    🎙️ Siri จะฉลาดขึ้นด้วย Gemini จาก Google? Apple กำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของยุค AI หลังจากที่ Siri ซึ่งเคยเป็นผู้บุกเบิกด้านผู้ช่วยเสียง กลับกลายเป็นผู้ตามในยุคที่ Google Assistant และ Alexa พัฒนาไปไกลกว่าเดิมมาก ล่าสุดมีรายงานว่า Apple กำลังเจรจากับ Google เพื่อใช้ Gemini ซึ่งเป็นโมเดล AI แบบมัลติโหมดที่ล้ำสมัยที่สุดของ Google มาเป็น “สมองใหม่” ให้กับ Siri โดยอาจเปิดตัวในปี 2026 พร้อมกับ iOS 26 เดิมที Apple ตั้งใจจะใช้โมเดลของตัวเองภายใต้ชื่อ Apple Intelligence แต่หลังจากพบข้อจำกัดด้านคุณภาพและความล่าช้าในการพัฒนา จึงเริ่มเปิดรับแนวคิดจากภายนอก โดยก่อนหน้านี้ก็เคยเจรจากับ OpenAI และ Anthropic แต่ไม่สามารถตกลงเรื่องค่าใช้จ่ายได้ หาก Apple ตัดสินใจใช้ Gemini จริง จะเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในยุทธศาสตร์ AI ของบริษัท และอาจเป็นครั้งแรกที่ Siri ได้รับการยกระดับให้เข้าใจภาษาธรรมชาติได้ลึกซึ้งขึ้น ตอบคำถามซับซ้อนได้ดีขึ้น และรองรับการใช้งานแบบมัลติโหมด เช่น ข้อความ รูปภาพ เสียง และวิดีโอ แม้จะยังไม่มีการตัดสินใจอย่างเป็นทางการ แต่การที่ Apple เปิดใจรับเทคโนโลยีจากคู่แข่งอย่าง Google ก็สะท้อนถึงความจริงที่ว่า “การตามให้ทัน” ในยุค AI ต้องอาศัยความร่วมมือมากกว่าการแข่งขันเพียงอย่างเดียว 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Apple กำลังเจรจากับ Google เพื่อใช้ Gemini AI ในการยกระดับ Siri ➡️ การเจรจาอยู่ในขั้นต้น และยังไม่มีการตัดสินใจอย่างเป็นทางการ ➡️ เดิม Apple ตั้งใจใช้โมเดลของตัวเองใน Apple Intelligence แต่พบข้อจำกัดด้านคุณภาพ ➡️ เคยเจรจากับ Anthropic และ OpenAI แต่ไม่สามารถตกลงเรื่องค่าใช้จ่ายได้ ➡️ หากใช้ Gemini จริง จะเป็นการเปลี่ยนแปลงยุทธศาสตร์ AI ของ Apple ➡️ Siri รุ่นใหม่อาจเปิดตัวในฤดูใบไม้ผลิปี 2026 พร้อม iOS 26 ➡️ Gemini เป็นโมเดลมัลติโหมดที่รองรับข้อความ รูปภาพ เสียง และวิดีโอ ➡️ Apple จะใช้ Gemini บนเซิร์ฟเวอร์ของตัวเองเพื่อรักษาความเป็นส่วนตัว ➡️ หุ้นของ Alphabet และ Apple เพิ่มขึ้นหลังมีข่าวการเจรจา ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Gemini เป็นโมเดลที่ใช้ใน Android และ Samsung แล้วในหลายฟีเจอร์ ➡️ Apple กำลังทดสอบโมเดลภายในที่มีพารามิเตอร์ระดับ “ล้านล้าน” เพื่อแข่งกับคู่แข่ง ➡️ Siri รุ่นใหม่จะมีสองเวอร์ชัน: แบบใช้โมเดลของ Apple และแบบใช้โมเดลภายนอก ➡️ Apple มีประวัติความร่วมมือกับ Google เช่น การใช้ Google เป็น search engine ใน Safari ➡️ หากใช้ Gemini จริง Siri อาจเข้าใจบริบทซับซ้อนและตอบโต้ได้ใกล้เคียงมนุษย์มากขึ้น https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/report-apple-considers-squeezing-gemini-into-the-siri-brain
    0 Comments 0 Shares 238 Views 0 Reviews
  • เมื่อ AMD เผลอเปิดประตู – FSR 4 อาจรองรับการ์ดรุ่นเก่ามากกว่าที่คิด

    ในวันที่ 20 สิงหาคม 2025 AMD เผลอปล่อยซอร์สโค้ดของ FSR 4 (FidelityFX Super Resolution 4) บน GitHub ผ่านโปรเจกต์ GPUOpen โดยไม่ตั้งใจ ก่อนจะรีบลบออกภายในไม่กี่ชั่วโมง แต่ไม่ทันสายตานักพัฒนาและนักข่าวที่จับภาพหน้าจอไว้ทัน

    สิ่งที่น่าสนใจคือในโค้ดนั้นมีไฟล์ที่ใช้รูปแบบตัวเลข INT8 (8-bit integer) ซึ่งต่างจาก FP8 (floating point 8-bit) ที่ใช้ใน GPU รุ่นใหม่อย่าง Radeon RX 9000 ที่มี AI accelerator รองรับ FP8 โดยตรง การมีเวอร์ชัน INT8 บ่งชี้ว่า AMD อาจกำลังพัฒนา FSR 4 ให้รองรับ GPU รุ่นเก่าอย่าง RDNA 3 ที่ไม่มี FP8 accelerator

    แม้ AMD จะยังไม่ประกาศอย่างเป็นทางการ แต่การมีไฟล์ INT8 ใน SDK ทำให้เกิดความหวังว่า FSR 4 อาจใช้งานได้บน Radeon RX 7000 หรือแม้แต่ GPU รุ่นก่อนหน้า ซึ่งจะเป็นข่าวดีสำหรับผู้ใช้ที่ยังไม่อัปเกรดฮาร์ดแวร์

    อย่างไรก็ตาม AMD ได้เปลี่ยนรูปแบบการแจกจ่าย SDK ใหม่ โดยล็อกฟีเจอร์ไว้ใน DLL ที่เซ็นชื่อแล้ว ทำให้นักพัฒนาไม่สามารถแก้ไขหรือโมดิฟายโค้ดได้เหมือนใน FSR 3 ซึ่งเคยเปิดซอร์สเต็มรูปแบบ

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    AMD เผลอปล่อยซอร์สโค้ดของ FSR 4 บน GitHub ก่อนลบออกอย่างรวดเร็ว
    โค้ดเผยให้เห็นไฟล์ที่ใช้รูปแบบ INT8 ซึ่งอาจรองรับ GPU รุ่นเก่า
    FSR 4 เดิมถูกออกแบบให้ใช้กับ Radeon RX 9000 ที่มี FP8 AI accelerator
    การมีเวอร์ชัน INT8 บ่งชี้ว่า AMD อาจพัฒนาให้รองรับ RDNA 3 หรือ RX 7000
    SDK ใหม่มาพร้อม FSR 4 และ FSR 3.1.5 สำหรับการสร้างเฟรม
    AMD เปลี่ยนรูปแบบการแจก SDK โดยใช้ DLL ที่เซ็นชื่อแล้วแทนการเปิดซอร์ส
    การเปลี่ยนแปลงนี้คล้ายกับแนวทางของ Nvidia DLSS ที่ใช้การอัปเดตผ่านไดรเวอร์
    มีการพัฒนา plugin สำหรับ Unreal Engine 5.1–5.6 เพื่อรองรับ FSR 4
    AMD เตรียมเปิดตัว FSR Redstone ซึ่งเป็นชุดเทคโนโลยี AI rendering ใหม่ใน SDK
    นักพัฒนาบางคนสามารถ hack FSR 4 ให้ทำงานบน RX 7000 ได้ แม้ไม่มีการรองรับอย่างเป็นทางการ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    INT8 ใช้ทรัพยากรน้อยกว่า FP8 แต่มีความแม่นยำต่ำกว่า
    Intel XeSS ก็มีเวอร์ชัน DP4a ที่ใช้กับ GPU ทั่วไป แต่คุณภาพต่ำกว่าเวอร์ชัน XMX
    มีการคาดการณ์ว่า INT8 อาจถูกใช้ใน PlayStation 5 Pro แต่ไฟล์ที่หลุดเป็น .HLSL ซึ่งใช้ใน PC
    การเปลี่ยนไปใช้ DLL ทำให้การอัปเดตง่ายขึ้น แต่ลดความยืดหยุ่นของนักพัฒนา
    การเปิดซอร์สโดยไม่ตั้งใจอาจเปิดช่องให้คู่แข่งเห็นโครงสร้างภายในของเทคโนโลยี

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/amd-accidentally-marks-fsr-4-open-source-source-code-reveals-potential-support-for-older-radeon-gpus
    🎙️ เมื่อ AMD เผลอเปิดประตู – FSR 4 อาจรองรับการ์ดรุ่นเก่ามากกว่าที่คิด ในวันที่ 20 สิงหาคม 2025 AMD เผลอปล่อยซอร์สโค้ดของ FSR 4 (FidelityFX Super Resolution 4) บน GitHub ผ่านโปรเจกต์ GPUOpen โดยไม่ตั้งใจ ก่อนจะรีบลบออกภายในไม่กี่ชั่วโมง แต่ไม่ทันสายตานักพัฒนาและนักข่าวที่จับภาพหน้าจอไว้ทัน สิ่งที่น่าสนใจคือในโค้ดนั้นมีไฟล์ที่ใช้รูปแบบตัวเลข INT8 (8-bit integer) ซึ่งต่างจาก FP8 (floating point 8-bit) ที่ใช้ใน GPU รุ่นใหม่อย่าง Radeon RX 9000 ที่มี AI accelerator รองรับ FP8 โดยตรง การมีเวอร์ชัน INT8 บ่งชี้ว่า AMD อาจกำลังพัฒนา FSR 4 ให้รองรับ GPU รุ่นเก่าอย่าง RDNA 3 ที่ไม่มี FP8 accelerator แม้ AMD จะยังไม่ประกาศอย่างเป็นทางการ แต่การมีไฟล์ INT8 ใน SDK ทำให้เกิดความหวังว่า FSR 4 อาจใช้งานได้บน Radeon RX 7000 หรือแม้แต่ GPU รุ่นก่อนหน้า ซึ่งจะเป็นข่าวดีสำหรับผู้ใช้ที่ยังไม่อัปเกรดฮาร์ดแวร์ อย่างไรก็ตาม AMD ได้เปลี่ยนรูปแบบการแจกจ่าย SDK ใหม่ โดยล็อกฟีเจอร์ไว้ใน DLL ที่เซ็นชื่อแล้ว ทำให้นักพัฒนาไม่สามารถแก้ไขหรือโมดิฟายโค้ดได้เหมือนใน FSR 3 ซึ่งเคยเปิดซอร์สเต็มรูปแบบ 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ AMD เผลอปล่อยซอร์สโค้ดของ FSR 4 บน GitHub ก่อนลบออกอย่างรวดเร็ว ➡️ โค้ดเผยให้เห็นไฟล์ที่ใช้รูปแบบ INT8 ซึ่งอาจรองรับ GPU รุ่นเก่า ➡️ FSR 4 เดิมถูกออกแบบให้ใช้กับ Radeon RX 9000 ที่มี FP8 AI accelerator ➡️ การมีเวอร์ชัน INT8 บ่งชี้ว่า AMD อาจพัฒนาให้รองรับ RDNA 3 หรือ RX 7000 ➡️ SDK ใหม่มาพร้อม FSR 4 และ FSR 3.1.5 สำหรับการสร้างเฟรม ➡️ AMD เปลี่ยนรูปแบบการแจก SDK โดยใช้ DLL ที่เซ็นชื่อแล้วแทนการเปิดซอร์ส ➡️ การเปลี่ยนแปลงนี้คล้ายกับแนวทางของ Nvidia DLSS ที่ใช้การอัปเดตผ่านไดรเวอร์ ➡️ มีการพัฒนา plugin สำหรับ Unreal Engine 5.1–5.6 เพื่อรองรับ FSR 4 ➡️ AMD เตรียมเปิดตัว FSR Redstone ซึ่งเป็นชุดเทคโนโลยี AI rendering ใหม่ใน SDK ➡️ นักพัฒนาบางคนสามารถ hack FSR 4 ให้ทำงานบน RX 7000 ได้ แม้ไม่มีการรองรับอย่างเป็นทางการ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ INT8 ใช้ทรัพยากรน้อยกว่า FP8 แต่มีความแม่นยำต่ำกว่า ➡️ Intel XeSS ก็มีเวอร์ชัน DP4a ที่ใช้กับ GPU ทั่วไป แต่คุณภาพต่ำกว่าเวอร์ชัน XMX ➡️ มีการคาดการณ์ว่า INT8 อาจถูกใช้ใน PlayStation 5 Pro แต่ไฟล์ที่หลุดเป็น .HLSL ซึ่งใช้ใน PC ➡️ การเปลี่ยนไปใช้ DLL ทำให้การอัปเดตง่ายขึ้น แต่ลดความยืดหยุ่นของนักพัฒนา ➡️ การเปิดซอร์สโดยไม่ตั้งใจอาจเปิดช่องให้คู่แข่งเห็นโครงสร้างภายในของเทคโนโลยี https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/amd-accidentally-marks-fsr-4-open-source-source-code-reveals-potential-support-for-older-radeon-gpus
    0 Comments 0 Shares 214 Views 0 Reviews
  • เมื่อดีไซน์ลับของ Nissan ถูกขโมย – และภัยไซเบอร์ก็ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป

    เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2025 กลุ่มแฮกเกอร์ Qilin ได้ออกมาอ้างว่า พวกเขาได้เจาะระบบของ Nissan Creative Box Inc. (CBI) ซึ่งเป็นสตูดิโอออกแบบในโตเกียวที่อยู่ภายใต้บริษัท Nissan Motor Co. และขโมยข้อมูลไปกว่า 4 เทราไบต์ รวมกว่า 405,882 ไฟล์

    ข้อมูลที่ถูกขโมยนั้นไม่ใช่แค่เอกสารทั่วไป แต่รวมถึงไฟล์ออกแบบ 3D, ภาพเรนเดอร์ภายในรถ, สเปรดชีตการเงิน, และภาพการใช้งาน VR ในการออกแบบรถยนต์ ซึ่งเป็นข้อมูลลับที่ใช้ในการพัฒนารถต้นแบบและการวางแผนผลิตภัณฑ์ในอนาคต

    Qilin ขู่ว่าหาก Nissan ไม่ตอบสนองหรือเพิกเฉย พวกเขาจะปล่อยข้อมูลทั้งหมดให้สาธารณะ รวมถึงคู่แข่ง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความได้เปรียบทางธุรกิจและชื่อเสียงของ Nissan ในระยะยาว

    นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Qilin โจมตีองค์กรใหญ่ ก่อนหน้านี้พวกเขาเคยโจมตี Synnovis ผู้ให้บริการด้านสุขภาพในอังกฤษ จนทำให้มีผู้เสียชีวิตจากการเลื่อนการรักษา และล่าสุดยังโจมตีบริษัทอุตสาหกรรมในเยอรมนีอีกด้วย

    เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงแนวโน้มใหม่ของการโจมตีแบบเจาะจงเป้าหมาย โดยมุ่งเน้นองค์กรที่มีข้อมูลสำคัญและมีผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานระดับโลก

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    กลุ่ม Qilin ransomware อ้างว่าได้ขโมยข้อมูล 4TB จาก Nissan CBI
    ข้อมูลรวมกว่า 405,882 ไฟล์ เช่น ไฟล์ออกแบบ 3D, ภาพเรนเดอร์, สเปรดชีตการเงิน และภาพ VR
    ข้อมูลที่ถูกขโมยเป็นทรัพย์สินทางปัญญาเกี่ยวกับการออกแบบรถยนต์
    Qilin ขู่ว่าจะปล่อยข้อมูลทั้งหมดหาก Nissan ไม่ตอบสนอง
    Nissan CBI เป็นสตูดิโอออกแบบที่ตั้งอยู่ในย่าน Harajuku โตเกียว
    Creative Box เป็นแหล่งพัฒนาแนวคิดรถยนต์ใหม่ เช่น Nissan Nuvu
    Qilin เคยโจมตี Synnovis ในอังกฤษ ส่งผลกระทบต่อการรักษาพยาบาล
    กลุ่มนี้ใช้โมเดล ransomware-as-a-service และมีเป้าหมายระดับองค์กร
    การโจมตีครั้งนี้อาจส่งผลต่อชื่อเสียงและความสามารถในการแข่งขันของ Nissan
    ยังไม่มีคำแถลงอย่างเป็นทางการจาก Nissan ณ เวลาที่รายงาน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Qilin ยังโจมตีบริษัท Spohn + Burkhardt ในเยอรมนีในวันเดียวกัน
    นักวิจัยจาก Cybernews ระบุว่า Qilin เลือกเป้าหมายที่มีข้อมูลสำคัญและมีผลกระทบสูง
    การโจมตีแบบนี้มักใช้การเผยแพร่ข้อมูลบางส่วนเพื่อกดดันให้เหยื่อจ่ายค่าไถ่
    Creative Box เป็นหนึ่งในบริษัทในเครือที่สำคัญของ Nissan ในญี่ปุ่น
    การออกแบบรถยนต์เป็นข้อมูลที่มีมูลค่าสูงและมักถูกปกป้องอย่างเข้มงวด

    https://hackread.com/qilin-ransomware-gang-4tb-data-breach-nissan-cbi/
    🎙️ เมื่อดีไซน์ลับของ Nissan ถูกขโมย – และภัยไซเบอร์ก็ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป เมื่อวันที่ 21 สิงหาคม 2025 กลุ่มแฮกเกอร์ Qilin ได้ออกมาอ้างว่า พวกเขาได้เจาะระบบของ Nissan Creative Box Inc. (CBI) ซึ่งเป็นสตูดิโอออกแบบในโตเกียวที่อยู่ภายใต้บริษัท Nissan Motor Co. และขโมยข้อมูลไปกว่า 4 เทราไบต์ รวมกว่า 405,882 ไฟล์ ข้อมูลที่ถูกขโมยนั้นไม่ใช่แค่เอกสารทั่วไป แต่รวมถึงไฟล์ออกแบบ 3D, ภาพเรนเดอร์ภายในรถ, สเปรดชีตการเงิน, และภาพการใช้งาน VR ในการออกแบบรถยนต์ ซึ่งเป็นข้อมูลลับที่ใช้ในการพัฒนารถต้นแบบและการวางแผนผลิตภัณฑ์ในอนาคต Qilin ขู่ว่าหาก Nissan ไม่ตอบสนองหรือเพิกเฉย พวกเขาจะปล่อยข้อมูลทั้งหมดให้สาธารณะ รวมถึงคู่แข่ง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อความได้เปรียบทางธุรกิจและชื่อเสียงของ Nissan ในระยะยาว นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ Qilin โจมตีองค์กรใหญ่ ก่อนหน้านี้พวกเขาเคยโจมตี Synnovis ผู้ให้บริการด้านสุขภาพในอังกฤษ จนทำให้มีผู้เสียชีวิตจากการเลื่อนการรักษา และล่าสุดยังโจมตีบริษัทอุตสาหกรรมในเยอรมนีอีกด้วย เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงแนวโน้มใหม่ของการโจมตีแบบเจาะจงเป้าหมาย โดยมุ่งเน้นองค์กรที่มีข้อมูลสำคัญและมีผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานระดับโลก 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ กลุ่ม Qilin ransomware อ้างว่าได้ขโมยข้อมูล 4TB จาก Nissan CBI ➡️ ข้อมูลรวมกว่า 405,882 ไฟล์ เช่น ไฟล์ออกแบบ 3D, ภาพเรนเดอร์, สเปรดชีตการเงิน และภาพ VR ➡️ ข้อมูลที่ถูกขโมยเป็นทรัพย์สินทางปัญญาเกี่ยวกับการออกแบบรถยนต์ ➡️ Qilin ขู่ว่าจะปล่อยข้อมูลทั้งหมดหาก Nissan ไม่ตอบสนอง ➡️ Nissan CBI เป็นสตูดิโอออกแบบที่ตั้งอยู่ในย่าน Harajuku โตเกียว ➡️ Creative Box เป็นแหล่งพัฒนาแนวคิดรถยนต์ใหม่ เช่น Nissan Nuvu ➡️ Qilin เคยโจมตี Synnovis ในอังกฤษ ส่งผลกระทบต่อการรักษาพยาบาล ➡️ กลุ่มนี้ใช้โมเดล ransomware-as-a-service และมีเป้าหมายระดับองค์กร ➡️ การโจมตีครั้งนี้อาจส่งผลต่อชื่อเสียงและความสามารถในการแข่งขันของ Nissan ➡️ ยังไม่มีคำแถลงอย่างเป็นทางการจาก Nissan ณ เวลาที่รายงาน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Qilin ยังโจมตีบริษัท Spohn + Burkhardt ในเยอรมนีในวันเดียวกัน ➡️ นักวิจัยจาก Cybernews ระบุว่า Qilin เลือกเป้าหมายที่มีข้อมูลสำคัญและมีผลกระทบสูง ➡️ การโจมตีแบบนี้มักใช้การเผยแพร่ข้อมูลบางส่วนเพื่อกดดันให้เหยื่อจ่ายค่าไถ่ ➡️ Creative Box เป็นหนึ่งในบริษัทในเครือที่สำคัญของ Nissan ในญี่ปุ่น ➡️ การออกแบบรถยนต์เป็นข้อมูลที่มีมูลค่าสูงและมักถูกปกป้องอย่างเข้มงวด https://hackread.com/qilin-ransomware-gang-4tb-data-breach-nissan-cbi/
    HACKREAD.COM
    Qilin Ransomware Gang Claims 4TB Data Breach at Nissan CBI
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 220 Views 0 Reviews
  • เมื่อ Zuckerberg เบรกการจ้างงาน AI – สัญญาณฟองสบู่ที่ Silicon Valley เริ่มสั่นคลอน

    ในช่วงปีที่ผ่านมา Meta ทุ่มเงินมหาศาลเพื่อดึงตัวนักวิจัย AI ระดับหัวกะทิจากบริษัทคู่แข่งอย่าง OpenAI และ Google โดยเสนอค่าตอบแทนสูงถึง $1 พันล้านดอลลาร์ต่อคน เพื่อเร่งพัฒนา “Superintelligence Labs” ที่มีเป้าหมายสร้างผู้ช่วยอัจฉริยะถาวรในรูปแบบแว่นตาอัจฉริยะ

    แต่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา Mark Zuckerberg กลับสั่ง “เบรก” การจ้างงานทั้งหมดในแผนก AI ของ Meta ท่ามกลางความกังวลว่าอุตสาหกรรม AI กำลังเข้าสู่ภาวะฟองสบู่ หลังจากรายงานของ MIT ระบุว่า 95% ของบริษัทที่ลงทุนใน AI ไม่ได้รับผลตอบแทนใด ๆ

    การหยุดจ้างงานนี้เกิดขึ้นก่อนที่ตลาดหุ้นจะร่วงหนัก โดยหุ้นของบริษัทเทคโนโลยีอย่าง Nvidia, Arm และ Palantir ตกลงอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนเริ่มตั้งคำถามว่าเงินที่ทุ่มไปกับ AI นั้นคุ้มค่าจริงหรือไม่

    แม้ Meta จะออกมาบอกว่าเป็น “การวางแผนองค์กรตามปกติ” แต่เบื้องหลังคือการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ โดยแบ่ง Superintelligence Labs ออกเป็น 4 หน่วยงานใหม่ และยุบทีม AGI Foundations ที่เคยพัฒนาโมเดล Llama และ Behemoth ซึ่งถูกวิจารณ์ว่าบิดเบือน benchmark เพื่อให้ดูดีเกินจริง

    นักวิเคราะห์เตือนว่า การจ่ายค่าตอบแทนสูงเกินไปโดยไม่มีนวัตกรรมที่ชัดเจนอาจทำให้มูลค่าหุ้นลดลง และความคาดหวังต่อ GPT-5 ที่ไม่เป็นไปตาม hype ยิ่งตอกย้ำว่าฟองสบู่ AI อาจแตกในไม่ช้า

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Meta สั่งหยุดการจ้างงานในแผนก AI ทั้งหมด ยกเว้นกรณีพิเศษที่ต้องได้รับอนุมัติจาก Alexandr Wang
    การหยุดจ้างงานเกิดขึ้นก่อนตลาดหุ้นร่วงจากความกังวลเรื่องฟองสบู่ AI
    Zuckerberg เคยเสนอค่าตอบแทนสูงถึง $1 พันล้านเพื่อดึงนักวิจัยจาก OpenAI และ Google
    Superintelligence Labs ถูกแบ่งออกเป็น 4 หน่วยงานใหม่ และทีม AGI Foundations ถูกยุบ
    โมเดล Behemoth ถูกวิจารณ์ว่าบิดเบือน benchmark และมีการลาออกของทีมงาน
    Meta อ้างว่าเป็น “การวางแผนองค์กรตามปกติ” เช่น การจัดงบประมาณประจำปี
    หุ้นของบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่ง เช่น Nvidia และ Palantir ร่วงจากความกังวลเรื่องผลตอบแทน AI
    Zuckerberg ยืนยันว่าเป้าหมายคือสร้าง “ผู้ช่วยอัจฉริยะถาวร” ที่อยู่ในแว่นตาอัจฉริยะ
    เขาเน้นทีมขนาดเล็กที่มีความสามารถสูง แทนการจ้างงานจำนวนมาก
    ค่าใช้จ่ายในการจ้างงาน AI จะเพิ่มขึ้นอย่างมากในอนาคต

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Meta ดึงตัวนักวิจัย AI มากกว่า 50 คนจากบริษัทคู่แข่งภายในไม่กี่เดือน
    นักวิเคราะห์จาก Morgan Stanley เตือนว่าการจ่ายค่าตอบแทนสูงอาจลดมูลค่าหุ้น
    GPT-5 ได้รับการตอบรับแบบ “กลาง ๆ” ไม่เป็นไปตามความคาดหวัง
    Sam Altman เปรียบ hype ของ AI กับฟองสบู่ dotcom ในปี 2000
    บริษัทเทคโนโลยียังคงลงทุนหลายหมื่นล้านดอลลาร์ในโครงสร้างพื้นฐาน AI แม้รายได้ยังไม่ชัดเจน

    https://www.telegraph.co.uk/business/2025/08/21/zuckerberg-freezes-ai-hiring-amid-bubble-fears/
    🎙️ เมื่อ Zuckerberg เบรกการจ้างงาน AI – สัญญาณฟองสบู่ที่ Silicon Valley เริ่มสั่นคลอน ในช่วงปีที่ผ่านมา Meta ทุ่มเงินมหาศาลเพื่อดึงตัวนักวิจัย AI ระดับหัวกะทิจากบริษัทคู่แข่งอย่าง OpenAI และ Google โดยเสนอค่าตอบแทนสูงถึง $1 พันล้านดอลลาร์ต่อคน เพื่อเร่งพัฒนา “Superintelligence Labs” ที่มีเป้าหมายสร้างผู้ช่วยอัจฉริยะถาวรในรูปแบบแว่นตาอัจฉริยะ แต่เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา Mark Zuckerberg กลับสั่ง “เบรก” การจ้างงานทั้งหมดในแผนก AI ของ Meta ท่ามกลางความกังวลว่าอุตสาหกรรม AI กำลังเข้าสู่ภาวะฟองสบู่ หลังจากรายงานของ MIT ระบุว่า 95% ของบริษัทที่ลงทุนใน AI ไม่ได้รับผลตอบแทนใด ๆ การหยุดจ้างงานนี้เกิดขึ้นก่อนที่ตลาดหุ้นจะร่วงหนัก โดยหุ้นของบริษัทเทคโนโลยีอย่าง Nvidia, Arm และ Palantir ตกลงอย่างต่อเนื่อง นักลงทุนเริ่มตั้งคำถามว่าเงินที่ทุ่มไปกับ AI นั้นคุ้มค่าจริงหรือไม่ แม้ Meta จะออกมาบอกว่าเป็น “การวางแผนองค์กรตามปกติ” แต่เบื้องหลังคือการปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ โดยแบ่ง Superintelligence Labs ออกเป็น 4 หน่วยงานใหม่ และยุบทีม AGI Foundations ที่เคยพัฒนาโมเดล Llama และ Behemoth ซึ่งถูกวิจารณ์ว่าบิดเบือน benchmark เพื่อให้ดูดีเกินจริง นักวิเคราะห์เตือนว่า การจ่ายค่าตอบแทนสูงเกินไปโดยไม่มีนวัตกรรมที่ชัดเจนอาจทำให้มูลค่าหุ้นลดลง และความคาดหวังต่อ GPT-5 ที่ไม่เป็นไปตาม hype ยิ่งตอกย้ำว่าฟองสบู่ AI อาจแตกในไม่ช้า 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Meta สั่งหยุดการจ้างงานในแผนก AI ทั้งหมด ยกเว้นกรณีพิเศษที่ต้องได้รับอนุมัติจาก Alexandr Wang ➡️ การหยุดจ้างงานเกิดขึ้นก่อนตลาดหุ้นร่วงจากความกังวลเรื่องฟองสบู่ AI ➡️ Zuckerberg เคยเสนอค่าตอบแทนสูงถึง $1 พันล้านเพื่อดึงนักวิจัยจาก OpenAI และ Google ➡️ Superintelligence Labs ถูกแบ่งออกเป็น 4 หน่วยงานใหม่ และทีม AGI Foundations ถูกยุบ ➡️ โมเดล Behemoth ถูกวิจารณ์ว่าบิดเบือน benchmark และมีการลาออกของทีมงาน ➡️ Meta อ้างว่าเป็น “การวางแผนองค์กรตามปกติ” เช่น การจัดงบประมาณประจำปี ➡️ หุ้นของบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่ง เช่น Nvidia และ Palantir ร่วงจากความกังวลเรื่องผลตอบแทน AI ➡️ Zuckerberg ยืนยันว่าเป้าหมายคือสร้าง “ผู้ช่วยอัจฉริยะถาวร” ที่อยู่ในแว่นตาอัจฉริยะ ➡️ เขาเน้นทีมขนาดเล็กที่มีความสามารถสูง แทนการจ้างงานจำนวนมาก ➡️ ค่าใช้จ่ายในการจ้างงาน AI จะเพิ่มขึ้นอย่างมากในอนาคต ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Meta ดึงตัวนักวิจัย AI มากกว่า 50 คนจากบริษัทคู่แข่งภายในไม่กี่เดือน ➡️ นักวิเคราะห์จาก Morgan Stanley เตือนว่าการจ่ายค่าตอบแทนสูงอาจลดมูลค่าหุ้น ➡️ GPT-5 ได้รับการตอบรับแบบ “กลาง ๆ” ไม่เป็นไปตามความคาดหวัง ➡️ Sam Altman เปรียบ hype ของ AI กับฟองสบู่ dotcom ในปี 2000 ➡️ บริษัทเทคโนโลยียังคงลงทุนหลายหมื่นล้านดอลลาร์ในโครงสร้างพื้นฐาน AI แม้รายได้ยังไม่ชัดเจน https://www.telegraph.co.uk/business/2025/08/21/zuckerberg-freezes-ai-hiring-amid-bubble-fears/
    0 Comments 0 Shares 252 Views 0 Reviews
  • Jaguar Shores – ชิป AI ตัวใหม่ของ Intel ที่อาจเป็นเดิมพันสุดท้าย

    ในโลกที่ NVIDIA และ AMD ครองตลาด AI อย่างมั่นคง Intel กลับต้องดิ้นรนเพื่อหาที่ยืน และตอนนี้พวกเขากำลังวางเดิมพันครั้งใหญ่กับ “Jaguar Shores” – ชิป AI รุ่นใหม่ที่ไม่ใช่แค่ชิป แต่เป็นแพลตฟอร์มระดับ rack-scale ที่อาจเปลี่ยนเกมได้

    หลังจากยกเลิกโครงการ Falcon Shores ที่เคยถูกคาดหวังไว้สูง Intel หันมาโฟกัสกับ Jaguar Shores อย่างเต็มตัว โดยชิปนี้ถูกออกแบบให้รองรับงาน AI ในระดับ data center โดยเฉพาะ มีขนาดแพ็กเกจใหญ่ถึง 92.5mm x 92.5mm และใช้หน่วยความจำ HBM4 จาก SK Hynix ซึ่งถือเป็นเทคโนโลยีล่าสุดในวงการ

    Jaguar Shores จะรวม CPU Xeon รุ่นใหม่ Diamond Rapids, GPU, IPU, DPU และ interconnect แบบ silicon photonics เข้าไว้ในระบบเดียว เพื่อให้สามารถประมวลผลงาน AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว โดยใช้กระบวนการผลิต 18A ที่มีเทคโนโลยี RibbonFET และ PowerVia ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพต่อวัตต์อย่างมาก

    แต่แม้จะดูน่าตื่นเต้น Intel ก็ยังเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน ทั้งการขาดแคลนบุคลากร ความล่าช้าในการพัฒนา และแรงกดดันจากคู่แข่งที่นำหน้าไปไกลแล้ว หาก Jaguar Shores ล้มเหลว ก็อาจเป็นจุดจบของความหวังในตลาด AI ของ Intel

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Jaguar Shores เป็นแพลตฟอร์ม AI รุ่นใหม่ของ Intel ที่ทำงานในระดับ rack-scale
    ใช้กระบวนการผลิต 18A พร้อมเทคโนโลยี RibbonFET และ PowerVia
    ขนาดแพ็กเกจชิปใหญ่ถึง 92.5mm x 92.5mm พร้อม 4 tiles และ 8 HBM sites
    ใช้หน่วยความจำ HBM4 จาก SK Hynix สำหรับงาน HPC และ AI inference
    รวม CPU Xeon Diamond Rapids, GPU, IPU, DPU และ silicon photonics
    ถูกใช้เป็น test vehicle โดยทีมวิศวกรรมความร้อนของ Intel
    เป็นการเปลี่ยนแผนจาก Falcon Shores ที่ถูกยกเลิกไป
    คาดว่าจะเปิดตัวในปี 2026 เพื่อแข่งขันกับ NVIDIA และ AMD

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Falcon Shores ถูกลดบทบาทเป็นแพลตฟอร์มต้นแบบเพื่อทดสอบเทคโนโลยี
    Jaguar Shores ถูกออกแบบให้รองรับงาน AI inference และ model deployment
    Modular design รองรับการปรับแต่งสำหรับองค์กรที่มี workload เฉพาะ
    Silicon photonics ช่วยให้การเชื่อมต่อระหว่างชิ้นส่วนใน rack มี latency ต่ำมาก
    Intel หวังใช้ Jaguar Shores เป็นจุดเปลี่ยนเพื่อกลับมานำในตลาด AI

    https://wccftech.com/intel-next-gen-ai-chip-jaguar-shores-test-vehicle-surfaces-online/
    🎙️ Jaguar Shores – ชิป AI ตัวใหม่ของ Intel ที่อาจเป็นเดิมพันสุดท้าย ในโลกที่ NVIDIA และ AMD ครองตลาด AI อย่างมั่นคง Intel กลับต้องดิ้นรนเพื่อหาที่ยืน และตอนนี้พวกเขากำลังวางเดิมพันครั้งใหญ่กับ “Jaguar Shores” – ชิป AI รุ่นใหม่ที่ไม่ใช่แค่ชิป แต่เป็นแพลตฟอร์มระดับ rack-scale ที่อาจเปลี่ยนเกมได้ หลังจากยกเลิกโครงการ Falcon Shores ที่เคยถูกคาดหวังไว้สูง Intel หันมาโฟกัสกับ Jaguar Shores อย่างเต็มตัว โดยชิปนี้ถูกออกแบบให้รองรับงาน AI ในระดับ data center โดยเฉพาะ มีขนาดแพ็กเกจใหญ่ถึง 92.5mm x 92.5mm และใช้หน่วยความจำ HBM4 จาก SK Hynix ซึ่งถือเป็นเทคโนโลยีล่าสุดในวงการ Jaguar Shores จะรวม CPU Xeon รุ่นใหม่ Diamond Rapids, GPU, IPU, DPU และ interconnect แบบ silicon photonics เข้าไว้ในระบบเดียว เพื่อให้สามารถประมวลผลงาน AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพและรวดเร็ว โดยใช้กระบวนการผลิต 18A ที่มีเทคโนโลยี RibbonFET และ PowerVia ซึ่งช่วยเพิ่มประสิทธิภาพต่อวัตต์อย่างมาก แต่แม้จะดูน่าตื่นเต้น Intel ก็ยังเผชิญกับความท้าทายหลายด้าน ทั้งการขาดแคลนบุคลากร ความล่าช้าในการพัฒนา และแรงกดดันจากคู่แข่งที่นำหน้าไปไกลแล้ว หาก Jaguar Shores ล้มเหลว ก็อาจเป็นจุดจบของความหวังในตลาด AI ของ Intel 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Jaguar Shores เป็นแพลตฟอร์ม AI รุ่นใหม่ของ Intel ที่ทำงานในระดับ rack-scale ➡️ ใช้กระบวนการผลิต 18A พร้อมเทคโนโลยี RibbonFET และ PowerVia ➡️ ขนาดแพ็กเกจชิปใหญ่ถึง 92.5mm x 92.5mm พร้อม 4 tiles และ 8 HBM sites ➡️ ใช้หน่วยความจำ HBM4 จาก SK Hynix สำหรับงาน HPC และ AI inference ➡️ รวม CPU Xeon Diamond Rapids, GPU, IPU, DPU และ silicon photonics ➡️ ถูกใช้เป็น test vehicle โดยทีมวิศวกรรมความร้อนของ Intel ➡️ เป็นการเปลี่ยนแผนจาก Falcon Shores ที่ถูกยกเลิกไป ➡️ คาดว่าจะเปิดตัวในปี 2026 เพื่อแข่งขันกับ NVIDIA และ AMD ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Falcon Shores ถูกลดบทบาทเป็นแพลตฟอร์มต้นแบบเพื่อทดสอบเทคโนโลยี ➡️ Jaguar Shores ถูกออกแบบให้รองรับงาน AI inference และ model deployment ➡️ Modular design รองรับการปรับแต่งสำหรับองค์กรที่มี workload เฉพาะ ➡️ Silicon photonics ช่วยให้การเชื่อมต่อระหว่างชิ้นส่วนใน rack มี latency ต่ำมาก ➡️ Intel หวังใช้ Jaguar Shores เป็นจุดเปลี่ยนเพื่อกลับมานำในตลาด AI https://wccftech.com/intel-next-gen-ai-chip-jaguar-shores-test-vehicle-surfaces-online/
    WCCFTECH.COM
    Intel’s Next-Gen AI Chip Jaguar Shores ‘Test Vehicle’ Surfaces Online, Showcasing A Gigantic Chip Package That Could Mark A 'Make-Or-Break' Moment For Its AI Business
    Intel's next-gen AI architecture is reportedly under preparation by the company, as the respective 'testing vehicle' surfaces online.
    0 Comments 0 Shares 210 Views 0 Reviews
  • Tensor G5 – ชิป 3nm ตัวแรกจาก Google ที่ไม่ใช่แค่เร็ว แต่ฉลาดขึ้นอย่างมีนัย

    Google เปิดตัวชิป Tensor G5 พร้อมกับ Pixel 10 Series ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญของบริษัทในด้านฮาร์ดแวร์ เพราะนี่คือชิปแรกที่ผลิตด้วยเทคโนโลยี 3nm โดย TSMC แทนที่จะใช้โรงงานของ Samsung เหมือนรุ่นก่อนหน้า

    Tensor G5 ไม่ได้เน้นแค่ความเร็ว แต่ถูกออกแบบเพื่อรองรับงาน AI โดยเฉพาะ โดยมีการปรับโครงสร้าง CPU เป็นแบบ 1+5+2 (1 core แรง, 5 core กลาง, 2 core ประหยัดพลังงาน) และมีความเร็วสูงสุดถึง 3.78GHz จากผลทดสอบ Geekbench

    Google เคลมว่า Tensor G5 เร็วขึ้น 34% โดยเฉลี่ยเมื่อเทียบกับ Tensor G4 และ TPU (หน่วยประมวลผล AI) ก็แรงขึ้นถึง 60% ซึ่งช่วยให้ Gemini Nano รุ่นใหม่ทำงานเร็วขึ้น 2.6 เท่า และประหยัดพลังงานมากขึ้น

    ชิปนี้ยังรองรับ context window ขนาด 32,000 token ซึ่งเทียบเท่ากับการประมวลผลข้อมูลจากอีเมลทั้งเดือนหรือภาพหน้าจอ 100 ภาพ ทำให้ฟีเจอร์ AI อย่าง Magic Cue, Call Notes, Scam Detection และ Camera Coach ทำงานได้แบบเรียลไทม์โดยไม่ต้องพึ่งคลาวด์

    ด้านกราฟิก แม้จะมีการอัปเกรด GPU แต่ Tensor G5 ยังไม่รองรับ ray tracing ซึ่งทำให้ยังตามหลังคู่แข่งในด้านเกมมือถือ ส่วน ISP (Image Signal Processor) ก็ได้รับการปรับปรุงให้รองรับ 10-bit HDR และลดการเบลอในวิดีโอแสงน้อย

    Pixel 10 Series ที่ใช้ Tensor G5 มีให้เลือกหลายรุ่น ตั้งแต่ Pixel 10 ธรรมดาไปจนถึง Pixel 10 Pro Fold โดยมีราคาเริ่มต้นที่ $799 และมีโปรโมชั่นแจกบัตรของขวัญสูงสุดถึง $300

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Tensor G5 เป็นชิป 3nm ตัวแรกจาก Google ผลิตโดย TSMC
    ใช้โครงสร้าง CPU แบบ 1+5+2 และความเร็วสูงสุด 3.78GHz
    เร็วขึ้น 34% โดยเฉลี่ยจาก Tensor G4 และ TPU แรงขึ้น 60%
    Gemini Nano ทำงานเร็วขึ้น 2.6 เท่าและประหยัดพลังงานมากขึ้น
    รองรับ context window ขนาด 32,000 token สำหรับงาน AI
    ฟีเจอร์ AI ใหม่ เช่น Magic Cue, Scam Detection, Journal, Call Notes
    GPU อัปเกรดแต่ไม่รองรับ ray tracing
    ISP รองรับ 10-bit HDR และลดเบลอในวิดีโอแสงน้อย
    Pixel 10 Series มีรุ่นธรรมดา, Pro, Pro XL และ Pro Fold
    ราคาเริ่มต้น $799 พร้อมบัตรของขวัญสูงสุด $300

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Tensor G5 ใช้ LPDDR5X และ UFS 4.0 เพื่อเพิ่มแบนด์วิดท์และความเร็ว
    ใช้สถาปัตยกรรม Matryoshka Transformer และ Per Layer Embedding
    Pixel 10 รองรับ Android 16 และอัปเดตนาน 7 ปี
    Pixel 10 Pro มี vapor chamber cooling แต่รุ่นธรรมดาใช้ graphene
    Pixel 10 รองรับ Qi2 wireless charging และมีจอ Actua 120Hz

    https://wccftech.com/tensor-g5-goes-official-first-3nm-chipset-from-google/
    🎙️ Tensor G5 – ชิป 3nm ตัวแรกจาก Google ที่ไม่ใช่แค่เร็ว แต่ฉลาดขึ้นอย่างมีนัย Google เปิดตัวชิป Tensor G5 พร้อมกับ Pixel 10 Series ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญของบริษัทในด้านฮาร์ดแวร์ เพราะนี่คือชิปแรกที่ผลิตด้วยเทคโนโลยี 3nm โดย TSMC แทนที่จะใช้โรงงานของ Samsung เหมือนรุ่นก่อนหน้า Tensor G5 ไม่ได้เน้นแค่ความเร็ว แต่ถูกออกแบบเพื่อรองรับงาน AI โดยเฉพาะ โดยมีการปรับโครงสร้าง CPU เป็นแบบ 1+5+2 (1 core แรง, 5 core กลาง, 2 core ประหยัดพลังงาน) และมีความเร็วสูงสุดถึง 3.78GHz จากผลทดสอบ Geekbench Google เคลมว่า Tensor G5 เร็วขึ้น 34% โดยเฉลี่ยเมื่อเทียบกับ Tensor G4 และ TPU (หน่วยประมวลผล AI) ก็แรงขึ้นถึง 60% ซึ่งช่วยให้ Gemini Nano รุ่นใหม่ทำงานเร็วขึ้น 2.6 เท่า และประหยัดพลังงานมากขึ้น ชิปนี้ยังรองรับ context window ขนาด 32,000 token ซึ่งเทียบเท่ากับการประมวลผลข้อมูลจากอีเมลทั้งเดือนหรือภาพหน้าจอ 100 ภาพ ทำให้ฟีเจอร์ AI อย่าง Magic Cue, Call Notes, Scam Detection และ Camera Coach ทำงานได้แบบเรียลไทม์โดยไม่ต้องพึ่งคลาวด์ ด้านกราฟิก แม้จะมีการอัปเกรด GPU แต่ Tensor G5 ยังไม่รองรับ ray tracing ซึ่งทำให้ยังตามหลังคู่แข่งในด้านเกมมือถือ ส่วน ISP (Image Signal Processor) ก็ได้รับการปรับปรุงให้รองรับ 10-bit HDR และลดการเบลอในวิดีโอแสงน้อย Pixel 10 Series ที่ใช้ Tensor G5 มีให้เลือกหลายรุ่น ตั้งแต่ Pixel 10 ธรรมดาไปจนถึง Pixel 10 Pro Fold โดยมีราคาเริ่มต้นที่ $799 และมีโปรโมชั่นแจกบัตรของขวัญสูงสุดถึง $300 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Tensor G5 เป็นชิป 3nm ตัวแรกจาก Google ผลิตโดย TSMC ➡️ ใช้โครงสร้าง CPU แบบ 1+5+2 และความเร็วสูงสุด 3.78GHz ➡️ เร็วขึ้น 34% โดยเฉลี่ยจาก Tensor G4 และ TPU แรงขึ้น 60% ➡️ Gemini Nano ทำงานเร็วขึ้น 2.6 เท่าและประหยัดพลังงานมากขึ้น ➡️ รองรับ context window ขนาด 32,000 token สำหรับงาน AI ➡️ ฟีเจอร์ AI ใหม่ เช่น Magic Cue, Scam Detection, Journal, Call Notes ➡️ GPU อัปเกรดแต่ไม่รองรับ ray tracing ➡️ ISP รองรับ 10-bit HDR และลดเบลอในวิดีโอแสงน้อย ➡️ Pixel 10 Series มีรุ่นธรรมดา, Pro, Pro XL และ Pro Fold ➡️ ราคาเริ่มต้น $799 พร้อมบัตรของขวัญสูงสุด $300 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Tensor G5 ใช้ LPDDR5X และ UFS 4.0 เพื่อเพิ่มแบนด์วิดท์และความเร็ว ➡️ ใช้สถาปัตยกรรม Matryoshka Transformer และ Per Layer Embedding ➡️ Pixel 10 รองรับ Android 16 และอัปเดตนาน 7 ปี ➡️ Pixel 10 Pro มี vapor chamber cooling แต่รุ่นธรรมดาใช้ graphene ➡️ Pixel 10 รองรับ Qi2 wireless charging และมีจอ Actua 120Hz https://wccftech.com/tensor-g5-goes-official-first-3nm-chipset-from-google/
    WCCFTECH.COM
    Google Has Announced Its First 3nm Chipset, The Tensor G5, Alongside The Pixel 10 Series; Company Claims A 34 Percent Average Performance Increase Over The Tensor G4, No RT Support & More
    Google has officially announced its first 3nm SoC, the Tensor G5, and here is everything you need to know about the flagship silicon
    0 Comments 0 Shares 201 Views 0 Reviews
More Results