• ก่อนหน้านี้ใครที่ใช้โน้ตบุ๊กแล้วอยากเพิ่มพลังการ์ดจอ ต้องพึ่ง eGPU ที่ใช้ Thunderbolt 3 หรือ 4 ซึ่งมีข้อจำกัดเรื่องแบนด์วิดธ์ — พอมาเจอ Thunderbolt 5 ที่วิ่งได้ถึง 80 Gbps (จากเดิม 40–64 Gbps) การส่งข้อมูลกราฟิกจะเร็วกว่าเดิมชัดเจน → ทำให้ภาพลื่นขึ้น การตอบสนองเร็วขึ้น โดยเฉพาะในเกม AAA หรือการเรนเดอร์ภาพ/โมเดล AI

    ONE-NETBOOK เคยเปิดตัว ONEXGPU รุ่นแรกที่ใช้ OCulink (64 Gbps) มาก่อน
    → ตอนนี้รุ่นใหม่จะเปลี่ยนมาใช้ Thunderbolt 5, เพิ่มแบนด์วิดธ์อีก 16 Gbps
    → ดีไซน์ใหม่, ระบบระบายความร้อนดีขึ้น, มีไฟ LED ด้านหน้าเพื่อความสวยงาม
    → แม้ยังไม่เปิดสเปกทั้งหมด แต่คาดว่าจะมี ช่อง M.2 SSD แบบ PCIe 4.0 หรือ 5.0, USB-A/USB-C, และพอร์ตชาร์จ (PD) เหมือนรุ่นก่อน

    eGPU รุ่นใหม่นี้ถือเป็นคู่แข่งที่น่าสนใจของ ROG XG Mobile และ Minisforum MGA 1 ที่ใช้ RX 7600M XT เช่นกัน
    → จุดเด่นของ ONE-NETBOOK คือ “ขนาดเล็กแบบพกพาใส่กระเป๋าได้” แถมราคาน่าจะไม่แรงเท่าคู่แข่งจากแบรนด์ใหญ่

    https://wccftech.com/one-netbook-prepares-worlds-first-thunderbolt-5-based-rx-7600m-xt-egpu/
    ก่อนหน้านี้ใครที่ใช้โน้ตบุ๊กแล้วอยากเพิ่มพลังการ์ดจอ ต้องพึ่ง eGPU ที่ใช้ Thunderbolt 3 หรือ 4 ซึ่งมีข้อจำกัดเรื่องแบนด์วิดธ์ — พอมาเจอ Thunderbolt 5 ที่วิ่งได้ถึง 80 Gbps (จากเดิม 40–64 Gbps) การส่งข้อมูลกราฟิกจะเร็วกว่าเดิมชัดเจน → ทำให้ภาพลื่นขึ้น การตอบสนองเร็วขึ้น โดยเฉพาะในเกม AAA หรือการเรนเดอร์ภาพ/โมเดล AI ONE-NETBOOK เคยเปิดตัว ONEXGPU รุ่นแรกที่ใช้ OCulink (64 Gbps) มาก่อน → ตอนนี้รุ่นใหม่จะเปลี่ยนมาใช้ Thunderbolt 5, เพิ่มแบนด์วิดธ์อีก 16 Gbps → ดีไซน์ใหม่, ระบบระบายความร้อนดีขึ้น, มีไฟ LED ด้านหน้าเพื่อความสวยงาม → แม้ยังไม่เปิดสเปกทั้งหมด แต่คาดว่าจะมี ช่อง M.2 SSD แบบ PCIe 4.0 หรือ 5.0, USB-A/USB-C, และพอร์ตชาร์จ (PD) เหมือนรุ่นก่อน eGPU รุ่นใหม่นี้ถือเป็นคู่แข่งที่น่าสนใจของ ROG XG Mobile และ Minisforum MGA 1 ที่ใช้ RX 7600M XT เช่นกัน → จุดเด่นของ ONE-NETBOOK คือ “ขนาดเล็กแบบพกพาใส่กระเป๋าได้” แถมราคาน่าจะไม่แรงเท่าคู่แข่งจากแบรนด์ใหญ่ https://wccftech.com/one-netbook-prepares-worlds-first-thunderbolt-5-based-rx-7600m-xt-egpu/
    WCCFTECH.COM
    ONE-NETBOOK Prepares World's First ThunderBolt 5-Based RX 7600M XT eGPU
    OneXPlayer has introduced the first-ever RX 7600M XT eGPU with Thunderbolt 5 interface, delivering greater bandwidth than before.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 59 มุมมอง 0 รีวิว
  • ยุโรปเป็นภูมิภาคแรกของโลกที่ออกกฎหมาย AI แบบครอบคลุมทั้งระบบ โดยเรียกว่า AI Act ซึ่งเน้นความปลอดภัย–ความโปร่งใส–และสิทธิมนุษยชนเป็นหลัก

    ฟังดูดีใช่ไหมครับ?

    แต่บริษัทยักษ์ใหญ่ในยุโรปหลายแห่งกลับบอกว่า... “มันดีเกินไปจนทำให้นวัตกรรมไปไม่ถึงไหน” → เพราะกฎที่ซับซ้อน อาจทำให้สตาร์ทอัพ–องค์กรขนาดกลาง ไปจนถึง “European Champion” อย่าง Airbus หรือ ASML ไม่สามารถพัฒนา–ใช้งาน–ทดสอบ AI ได้ทันคู่แข่งในจีนและสหรัฐฯ → พวกเขาเลยเสนอให้ “หยุดพัก 2 ปี” สำหรับข้อบังคับที่เกี่ยวกับ AI แบบ “General-purpose” (เช่น ChatGPT, Gemini, Le Chat) และ AI แบบ “High-risk” (เช่น AI ในระบบสุขภาพ, กฎหมาย, ความมั่นคง)

    โดยเฉพาะกฎของ EU ที่ให้ AI ที่เสี่ยงต่อสุขภาพหรือสิทธิผู้ใช้ ต้องผ่านมาตรฐานหลายขั้นมาก (risk-based approach) → ยังไม่มีกำหนดแน่ชัดของ “code of practice” สำหรับ General-purpose AI ด้วยซ้ำ → แถมประธานาธิบดี Donald Trump และรองประธาน JD Vance ของสหรัฐฯ ยังเคยวิจารณ์ AI Act ว่า “เข้มจนเป็นภัยต่อการแข่งขัน”

    46 บริษัทใหญ่ของยุโรปยื่นจดหมายขอให้ EU ชะลอกฎหมาย AI Act ออกไป 2 ปี  
    • รวมถึง Airbus (ฝรั่งเศส), ASML (เนเธอร์แลนด์), Lufthansa และ Mercedes-Benz (เยอรมนี), Mistral (AI จากฝรั่งเศส)

    เสนอให้เลื่อนข้อกำหนด 2 กลุ่มหลักออกไปก่อน:  
    • General-purpose AI models (เช่น GPT, Gemini, Le Chat): เดิมจะเริ่มเดือนสิงหาคม 2025  
    • High-risk AI systems: เดิมจะเริ่มเดือนสิงหาคม 2026

    ให้เหตุผลว่ากฎเหล่านี้ “ทำลายความสามารถในการแข่งขันเชิงอุตสาหกรรม”  
    • ทั้งในด้านความเร็ว, งบวิจัย, การทดสอบ, และการสเกลโมเดลไปใช้จริง

    AI Act ใช้หลัก “ความเสี่ยงสูง–ความรับผิดสูง” (risk-based approach)  
    • ถ้าใช้ AI ในระบบสุขภาพ, กฎหมาย, ระบบคะแนนสังคม → ต้องผ่านเกณฑ์เข้มมาก  
    • General-purpose AI ยังไม่มี code of practice อย่างเป็นทางการ

    คณะกรรมาธิการยุโรปจะเผยแพร่แนวปฏิบัติ (code of practice) สำหรับ GPAI ภายในกรกฎาคม 2025 นี้

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/04/european-companies-urge-eu-to-delay-ai-rules
    ยุโรปเป็นภูมิภาคแรกของโลกที่ออกกฎหมาย AI แบบครอบคลุมทั้งระบบ โดยเรียกว่า AI Act ซึ่งเน้นความปลอดภัย–ความโปร่งใส–และสิทธิมนุษยชนเป็นหลัก ฟังดูดีใช่ไหมครับ? แต่บริษัทยักษ์ใหญ่ในยุโรปหลายแห่งกลับบอกว่า... “มันดีเกินไปจนทำให้นวัตกรรมไปไม่ถึงไหน” → เพราะกฎที่ซับซ้อน อาจทำให้สตาร์ทอัพ–องค์กรขนาดกลาง ไปจนถึง “European Champion” อย่าง Airbus หรือ ASML ไม่สามารถพัฒนา–ใช้งาน–ทดสอบ AI ได้ทันคู่แข่งในจีนและสหรัฐฯ → พวกเขาเลยเสนอให้ “หยุดพัก 2 ปี” สำหรับข้อบังคับที่เกี่ยวกับ AI แบบ “General-purpose” (เช่น ChatGPT, Gemini, Le Chat) และ AI แบบ “High-risk” (เช่น AI ในระบบสุขภาพ, กฎหมาย, ความมั่นคง) โดยเฉพาะกฎของ EU ที่ให้ AI ที่เสี่ยงต่อสุขภาพหรือสิทธิผู้ใช้ ต้องผ่านมาตรฐานหลายขั้นมาก (risk-based approach) → ยังไม่มีกำหนดแน่ชัดของ “code of practice” สำหรับ General-purpose AI ด้วยซ้ำ → แถมประธานาธิบดี Donald Trump และรองประธาน JD Vance ของสหรัฐฯ ยังเคยวิจารณ์ AI Act ว่า “เข้มจนเป็นภัยต่อการแข่งขัน” ✅ 46 บริษัทใหญ่ของยุโรปยื่นจดหมายขอให้ EU ชะลอกฎหมาย AI Act ออกไป 2 ปี   • รวมถึง Airbus (ฝรั่งเศส), ASML (เนเธอร์แลนด์), Lufthansa และ Mercedes-Benz (เยอรมนี), Mistral (AI จากฝรั่งเศส) ✅ เสนอให้เลื่อนข้อกำหนด 2 กลุ่มหลักออกไปก่อน:   • General-purpose AI models (เช่น GPT, Gemini, Le Chat): เดิมจะเริ่มเดือนสิงหาคม 2025   • High-risk AI systems: เดิมจะเริ่มเดือนสิงหาคม 2026 ✅ ให้เหตุผลว่ากฎเหล่านี้ “ทำลายความสามารถในการแข่งขันเชิงอุตสาหกรรม”   • ทั้งในด้านความเร็ว, งบวิจัย, การทดสอบ, และการสเกลโมเดลไปใช้จริง ✅ AI Act ใช้หลัก “ความเสี่ยงสูง–ความรับผิดสูง” (risk-based approach)   • ถ้าใช้ AI ในระบบสุขภาพ, กฎหมาย, ระบบคะแนนสังคม → ต้องผ่านเกณฑ์เข้มมาก   • General-purpose AI ยังไม่มี code of practice อย่างเป็นทางการ ✅ คณะกรรมาธิการยุโรปจะเผยแพร่แนวปฏิบัติ (code of practice) สำหรับ GPAI ภายในกรกฎาคม 2025 นี้ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/04/european-companies-urge-eu-to-delay-ai-rules
    WWW.THESTAR.COM.MY
    European companies urge EU to delay AI rules
    Dozens of Europe's biggest companies urged the EU to hit the pause button on its landmark AI rules on July 3, warning that going too fast could harm the bloc's ability to lead in the global AI race.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 60 มุมมอง 0 รีวิว
  • ‘ภาษีทรัมป์’ ชี้ชะตาขีดแข่งขันไทย : [Biz Talk]

    นอกจากจะลุ้นให้ผลเจรจาภาษีไทย-สหรัฐ ได้ข้อสรุปก่อนครบกำหนด 9 ก.ค.68 แล้ว /ยังต้องลุ้นด้วยว่า ผลที่ออกมา จะทำให้ไทย เสียเปรียบประเทศคู่แข่งในภูมิภาค หรือไม่ หวั่นส่งผลกระทบอย่างหนักต่อภาคการผลิต และห่วงโซ่อุปทานของไทย

    https://www.youtube.com/watch?v=JQ9CwY7-S1w
    ‘ภาษีทรัมป์’ ชี้ชะตาขีดแข่งขันไทย : [Biz Talk] นอกจากจะลุ้นให้ผลเจรจาภาษีไทย-สหรัฐ ได้ข้อสรุปก่อนครบกำหนด 9 ก.ค.68 แล้ว /ยังต้องลุ้นด้วยว่า ผลที่ออกมา จะทำให้ไทย เสียเปรียบประเทศคู่แข่งในภูมิภาค หรือไม่ หวั่นส่งผลกระทบอย่างหนักต่อภาคการผลิต และห่วงโซ่อุปทานของไทย https://www.youtube.com/watch?v=JQ9CwY7-S1w
    Haha
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 403 มุมมอง 0 รีวิว
  • แต่เดิม 18A ถูกวางตัวให้เป็นหมัดเด็ดของ Intel ในการกลับเข้าสู่ตลาดโรงหล่อแข่งกับ TSMC — เพราะมันคือเทคโนโลยีแรกที่ใช้ทรานซิสเตอร์แบบ RibbonFET กับโครงสร้างส่งพลังงานด้านหลัง PowerVia อย่างเต็มรูปแบบ

    แต่ล่าสุดมีรายงานว่า CEO คนใหม่ของ Intel, Lip-Bu Tan กำลังพิจารณา “ถอยออกจาก 18A สำหรับลูกค้าภายนอก” แล้วหันไปโฟกัสกับ 14A แทน โดยเขามองว่า:
    - 18A ดึงลูกค้าขนาดใหญ่ได้ยาก
    - ทุนที่ลงไปอาจไม่คุ้ม ถ้ายังไม่มีดีลใหญ่
    - 14A เตรียมไว้สำหรับการผลิตจริงในปี 2028 — ถ้าจะโปรโมต ก็ควรเริ่มแล้วตอนนี้

    ผลที่ตามมาคือ Intel อาจต้อง “หายไปจากสนามแข่งของ TSMC รุ่น N2 / A16” ไปอีก 2-3 ปี → เปิดช่องว่างให้ TSMC ครองตลาดแบบไร้คู่แข่งเลยก็ได้

    แม้ Intel จะยังผลิตชิปภายในของตัวเองด้วย 18A เช่น Panther Lake, Diamond Rapids ฯลฯ แต่การถอนตัวจาก 18A ฝั่งโรงหล่อ ก็เหมือนกับยอมรับว่า…

    “เรายังไม่พร้อมให้คนอื่นใช้ของเราเป็นเวทีหลักได้ในตอนนี้”

    Intel อาจไม่เปิดใช้เทคโนโลยี 18A ให้กับลูกค้าโรงหล่อภายนอกอีกต่อไป  
    • เพราะดึงลูกค้าใหญ่ได้ไม่มาก  
    • มีค่าใช้จ่ายสูงในการสนับสนุน + รักษาโรงงาน

    จะโฟกัสไปที่เทคโนโลยี 14A แทน → เตรียมพร้อมสำหรับการผลิตในปี 2028  
    • เริ่มโปรโมตให้ลูกค้าภายนอกแล้ว  
    • ใช้ PowerDirect และ Turbo Cells — เทคโนโลยีขั้นกว่าของ PowerVia

    18A ยังใช้กับผลิตภัณฑ์ภายในของ Intel เช่น Panther Lake, Jaguar Shores, Diamond Rapids  
    • แต่ไม่ดันออกตลาดให้ผู้อื่นใช้อีกต่อไป  
    • ลูกค้าภายนอกที่ยืนยันใช้ 18A มีแค่ Amazon, Microsoft, กระทรวงกลาโหมสหรัฐ

    หากถอนตัวจากตลาด foundry รุ่น 18A → Intel จะไม่สามารถแข่งกับ TSMC รุ่น N2 / A16 ได้อีก 2–3 ปี

    TSMC ยังเหนือกว่าเรื่องความหนาแน่นของทรานซิสเตอร์ แม้ 18A จะได้เปรียบเรื่อง Power Delivery

    Intel เตรียมหารือกับบอร์ดบริหารปลายปีนี้ เพื่อเคาะทิศทางสุดท้าย

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/intel-might-axe-the-18a-process-node-for-foundry-customers-essentially-leaving-tsmc-with-no-rival-intel-reportedly-to-focus-on-14a
    แต่เดิม 18A ถูกวางตัวให้เป็นหมัดเด็ดของ Intel ในการกลับเข้าสู่ตลาดโรงหล่อแข่งกับ TSMC — เพราะมันคือเทคโนโลยีแรกที่ใช้ทรานซิสเตอร์แบบ RibbonFET กับโครงสร้างส่งพลังงานด้านหลัง PowerVia อย่างเต็มรูปแบบ แต่ล่าสุดมีรายงานว่า CEO คนใหม่ของ Intel, Lip-Bu Tan กำลังพิจารณา “ถอยออกจาก 18A สำหรับลูกค้าภายนอก” แล้วหันไปโฟกัสกับ 14A แทน โดยเขามองว่า: - 18A ดึงลูกค้าขนาดใหญ่ได้ยาก - ทุนที่ลงไปอาจไม่คุ้ม ถ้ายังไม่มีดีลใหญ่ - 14A เตรียมไว้สำหรับการผลิตจริงในปี 2028 — ถ้าจะโปรโมต ก็ควรเริ่มแล้วตอนนี้ ผลที่ตามมาคือ Intel อาจต้อง “หายไปจากสนามแข่งของ TSMC รุ่น N2 / A16” ไปอีก 2-3 ปี → เปิดช่องว่างให้ TSMC ครองตลาดแบบไร้คู่แข่งเลยก็ได้ แม้ Intel จะยังผลิตชิปภายในของตัวเองด้วย 18A เช่น Panther Lake, Diamond Rapids ฯลฯ แต่การถอนตัวจาก 18A ฝั่งโรงหล่อ ก็เหมือนกับยอมรับว่า… “เรายังไม่พร้อมให้คนอื่นใช้ของเราเป็นเวทีหลักได้ในตอนนี้” ✅ Intel อาจไม่เปิดใช้เทคโนโลยี 18A ให้กับลูกค้าโรงหล่อภายนอกอีกต่อไป   • เพราะดึงลูกค้าใหญ่ได้ไม่มาก   • มีค่าใช้จ่ายสูงในการสนับสนุน + รักษาโรงงาน ✅ จะโฟกัสไปที่เทคโนโลยี 14A แทน → เตรียมพร้อมสำหรับการผลิตในปี 2028   • เริ่มโปรโมตให้ลูกค้าภายนอกแล้ว   • ใช้ PowerDirect และ Turbo Cells — เทคโนโลยีขั้นกว่าของ PowerVia ✅ 18A ยังใช้กับผลิตภัณฑ์ภายในของ Intel เช่น Panther Lake, Jaguar Shores, Diamond Rapids   • แต่ไม่ดันออกตลาดให้ผู้อื่นใช้อีกต่อไป   • ลูกค้าภายนอกที่ยืนยันใช้ 18A มีแค่ Amazon, Microsoft, กระทรวงกลาโหมสหรัฐ ✅ หากถอนตัวจากตลาด foundry รุ่น 18A → Intel จะไม่สามารถแข่งกับ TSMC รุ่น N2 / A16 ได้อีก 2–3 ปี ✅ TSMC ยังเหนือกว่าเรื่องความหนาแน่นของทรานซิสเตอร์ แม้ 18A จะได้เปรียบเรื่อง Power Delivery ✅ Intel เตรียมหารือกับบอร์ดบริหารปลายปีนี้ เพื่อเคาะทิศทางสุดท้าย https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/intel-might-axe-the-18a-process-node-for-foundry-customers-essentially-leaving-tsmc-with-no-rival-intel-reportedly-to-focus-on-14a
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 123 มุมมอง 0 รีวิว
  • ประตูเปิดทางทิศเหนือ

    เดือนนี้ มีเกณฑ์จะได้รับบาดเจ็บจนเสียเลือดเสียเนื้อจนต้องเข้ารับการรักษาผ่าตัดพยาบาล ควรระมัดระวังภัย อันเกิดเนื่องจากเหตุเพลิงไหม้ อุบัติภัยธรรมชาติ หรือภัยอุบัติเหตุจากของมีคม จะเกิดเหตุให้ปะทะอารมณ์ จนบานปลาย หากขาดความไว้เนื้อเชื่อใจจนเป็นเรื่องชู้สาววุ่นวายเกิดขึ้นได้ง่าย จะเกิดการแข่งขันแย่งชิง ผลประโยชน์กันอย่างรุนแรง จากศัตรูคู่แข่งทางธุรกิจทั้งในและนอกที่ทำงาน รวมทั้งการประชุมตกลงเจรจา ทำสัญญาต่างๆ แม้ว่าจะไม่สำเร็จลงตัว แต่ก็ควรถนอมน้ำใจกันไว้เพื่อภายภาคหน้า เพราะจะมีลูกค้า กลุ่มเป้าหมายเข้ามาอย่างมากมาย เหมาะสำหรับการเริ่มต้นทำธุรกิจการใหม่ๆ โดยเฉพาะธุรกิจประดับยนต์ หรือรถยนต์ จะโชคดีเจริญรุ่งเรืองมีชื่อเสียงก้าวสู่ความสำเร็จระดับโลกได้

    ___________________________________
    FengshuiBizDesigner
    ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้
    ประตูเปิดทางทิศเหนือ เดือนนี้ มีเกณฑ์จะได้รับบาดเจ็บจนเสียเลือดเสียเนื้อจนต้องเข้ารับการรักษาผ่าตัดพยาบาล ควรระมัดระวังภัย อันเกิดเนื่องจากเหตุเพลิงไหม้ อุบัติภัยธรรมชาติ หรือภัยอุบัติเหตุจากของมีคม จะเกิดเหตุให้ปะทะอารมณ์ จนบานปลาย หากขาดความไว้เนื้อเชื่อใจจนเป็นเรื่องชู้สาววุ่นวายเกิดขึ้นได้ง่าย จะเกิดการแข่งขันแย่งชิง ผลประโยชน์กันอย่างรุนแรง จากศัตรูคู่แข่งทางธุรกิจทั้งในและนอกที่ทำงาน รวมทั้งการประชุมตกลงเจรจา ทำสัญญาต่างๆ แม้ว่าจะไม่สำเร็จลงตัว แต่ก็ควรถนอมน้ำใจกันไว้เพื่อภายภาคหน้า เพราะจะมีลูกค้า กลุ่มเป้าหมายเข้ามาอย่างมากมาย เหมาะสำหรับการเริ่มต้นทำธุรกิจการใหม่ๆ โดยเฉพาะธุรกิจประดับยนต์ หรือรถยนต์ จะโชคดีเจริญรุ่งเรืองมีชื่อเสียงก้าวสู่ความสำเร็จระดับโลกได้ ___________________________________ FengshuiBizDesigner ฮวงจุ้ย...ออกแบบได้
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 77 มุมมอง 0 รีวิว
  • ผ่าดวง AI อุ๊งอิ๊งค์ไม่น่ารอด?

    1 ก.ค. ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ให้รับคำร้องกรณีที่สมาชิกวุฒิสภาขอให้วินิจฉัยความเป็นรัฐมนตรีของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ จากกรณีคลิปเสียงสนทนากับ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา พร้อมกับมีมติ 7 ต่อ 2 ให้หยุดปฎิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีจนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัย ขณะที่เจ้าตัวกล่าวขอโทษคนไทยที่ไม่สบายใจหรือรู้สึกโกรธเคือง ยืนยันตั้งใจทำเพื่อประเทศชาติจริงๆ

    เมื่อใช้ ChatGPT ทำนายดวงผู้หญิงที่เกิดวันที่ 21 ส.ค. 2529 ที่กรุงเทพมหานคร โดยไม่เจาะจงว่าเป็นใคร ใช้สถานการณ์สมมติว่าถูกฝ่ายตรวจสอบภายในบริษัทสั่งพักงานเพราะทำความผิดร้ายแรง มีคลิปเสียงที่ไปคุยกับบริษัทคู่แข่ง แต่บอกว่ามีเจตนาดี อยากช่วยบริษัท ไม่ได้ตั้งใจเป็นแบบนั้น พบว่าดาวเสาร์จร (Saturn transit) ซึ่งทำมุมตรงข้ามกับดวงอาทิตย์กำเนิดในราศีสิงห์ สะท้อนว่าเป็นช่วงที่ชีวิตโดนสอบสวนและต้องชดใช้ในสิ่งที่อาจทำไปโดยรู้หรือไม่รู้ตัว

    ส่วนคลิปเสียงเกี่ยวข้องกับดาวพุธ (Mercury) ซึ่งมักเกี่ยวกับหลักฐานทางการสื่อสาร หากพุธจรสัมพันธ์กับดาวมฤตยูหรือดาวเสาร์ ก็หมายถึงความลับที่ถูกเปิดเผย หรือคำพูดที่ย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง ดาวพลูโตโคจรทำมุมกับดาวอังคารกำเนิดในราศีกันย์ ซึ่งดาวแห่งการกระทำเชิงงานสื่อถึงการถูกจับตา ถูกแฉ ถูกล้วงความลับ ซึ่งเกิดขึ้นกับคนที่มีอีโก้หรือเจตนาดี แต่ระบบไม่มองแบบนั้น ส่วนจะตกงานหรือไม่ มีโอกาสตกงานในตำแหน่งเดิม หรือต้องรีเซตใหม่สูง

    ปี 2568 เป็นปีที่ดาวเสาร์บีบตัวตนแรงที่สุดในรอบ 14 ปี ผู้หญิงรายนี้มีพลังอาทิตย์ในราศีสิงห์ ภาคภูมิใจในตัวเอง แต่ตอนนี้ถูกทำให้หมดศักดิ์ศรีแบบไม่เต็มใจ ซึ่งคลิปเสียงเป็นสิ่งที่ย้อนมาทำร้ายดาวพุธ กับอาทิตย์ หากสามารถพิสูจน์เจตนาดีและมีคนในองค์กรระดับสูงช่วยพูดแทน จะอาจได้โอกาสเปลี่ยนตำแหน่ง ลดบทบาท หรือย้าย มากกว่าถูกให้ออก แต่กลางปี 2569 ดาวพฤหัสเข้าสู่มุมดีกับงาน อาจมีหน่วยงานใหม่ หรือบริษัทใหม่ที่รับผู้หญิงรายนี้ไปด้วยมุมมองต่างจากองค์กรเดิม

    หากยังอยากอยู่ในที่เดิม ต้องยอมรับว่าเจตนาดีไม่เพียงพอในองค์กรระบบใหญ่ ต้องขอโทษแบบไม่มีข้อแม้ เพราะโหงวเฮ้งหรือดาวเสาร์ไม่เปิดรับข้ออ้าง อย่าปะทะกลับหรืออธิบายซ้ำซ้อนมากเกินไป คนไม่ชอบจะใช้เป็นเหตุขุดเพิ่ม และหาพยานบุคคลที่เคยเห็นความตั้งใจดี ขอให้พูดแทนแบบมืออาชีพ แต่หากพร้อมจะไปต่อที่ใหม่ ควรพักใจ รีเซตตัวเอง เลือกงานที่วางโครงสร้างชัดเจน ช่วงปลายปี 2568 ถึงต้นปี 2569 จะมีแสงสว่างจากผู้ใหญ่ใหม่ หรือโปรเจกต์ที่เคยมีบุญคุณไว้ หรือเคยช่วยไว้ในอดีต

    #Newskit
    ผ่าดวง AI อุ๊งอิ๊งค์ไม่น่ารอด? 1 ก.ค. ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเอกฉันท์ให้รับคำร้องกรณีที่สมาชิกวุฒิสภาขอให้วินิจฉัยความเป็นรัฐมนตรีของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญหรือไม่ จากกรณีคลิปเสียงสนทนากับ ฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา พร้อมกับมีมติ 7 ต่อ 2 ให้หยุดปฎิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรีจนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัย ขณะที่เจ้าตัวกล่าวขอโทษคนไทยที่ไม่สบายใจหรือรู้สึกโกรธเคือง ยืนยันตั้งใจทำเพื่อประเทศชาติจริงๆ เมื่อใช้ ChatGPT ทำนายดวงผู้หญิงที่เกิดวันที่ 21 ส.ค. 2529 ที่กรุงเทพมหานคร โดยไม่เจาะจงว่าเป็นใคร ใช้สถานการณ์สมมติว่าถูกฝ่ายตรวจสอบภายในบริษัทสั่งพักงานเพราะทำความผิดร้ายแรง มีคลิปเสียงที่ไปคุยกับบริษัทคู่แข่ง แต่บอกว่ามีเจตนาดี อยากช่วยบริษัท ไม่ได้ตั้งใจเป็นแบบนั้น พบว่าดาวเสาร์จร (Saturn transit) ซึ่งทำมุมตรงข้ามกับดวงอาทิตย์กำเนิดในราศีสิงห์ สะท้อนว่าเป็นช่วงที่ชีวิตโดนสอบสวนและต้องชดใช้ในสิ่งที่อาจทำไปโดยรู้หรือไม่รู้ตัว ส่วนคลิปเสียงเกี่ยวข้องกับดาวพุธ (Mercury) ซึ่งมักเกี่ยวกับหลักฐานทางการสื่อสาร หากพุธจรสัมพันธ์กับดาวมฤตยูหรือดาวเสาร์ ก็หมายถึงความลับที่ถูกเปิดเผย หรือคำพูดที่ย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง ดาวพลูโตโคจรทำมุมกับดาวอังคารกำเนิดในราศีกันย์ ซึ่งดาวแห่งการกระทำเชิงงานสื่อถึงการถูกจับตา ถูกแฉ ถูกล้วงความลับ ซึ่งเกิดขึ้นกับคนที่มีอีโก้หรือเจตนาดี แต่ระบบไม่มองแบบนั้น ส่วนจะตกงานหรือไม่ มีโอกาสตกงานในตำแหน่งเดิม หรือต้องรีเซตใหม่สูง ปี 2568 เป็นปีที่ดาวเสาร์บีบตัวตนแรงที่สุดในรอบ 14 ปี ผู้หญิงรายนี้มีพลังอาทิตย์ในราศีสิงห์ ภาคภูมิใจในตัวเอง แต่ตอนนี้ถูกทำให้หมดศักดิ์ศรีแบบไม่เต็มใจ ซึ่งคลิปเสียงเป็นสิ่งที่ย้อนมาทำร้ายดาวพุธ กับอาทิตย์ หากสามารถพิสูจน์เจตนาดีและมีคนในองค์กรระดับสูงช่วยพูดแทน จะอาจได้โอกาสเปลี่ยนตำแหน่ง ลดบทบาท หรือย้าย มากกว่าถูกให้ออก แต่กลางปี 2569 ดาวพฤหัสเข้าสู่มุมดีกับงาน อาจมีหน่วยงานใหม่ หรือบริษัทใหม่ที่รับผู้หญิงรายนี้ไปด้วยมุมมองต่างจากองค์กรเดิม หากยังอยากอยู่ในที่เดิม ต้องยอมรับว่าเจตนาดีไม่เพียงพอในองค์กรระบบใหญ่ ต้องขอโทษแบบไม่มีข้อแม้ เพราะโหงวเฮ้งหรือดาวเสาร์ไม่เปิดรับข้ออ้าง อย่าปะทะกลับหรืออธิบายซ้ำซ้อนมากเกินไป คนไม่ชอบจะใช้เป็นเหตุขุดเพิ่ม และหาพยานบุคคลที่เคยเห็นความตั้งใจดี ขอให้พูดแทนแบบมืออาชีพ แต่หากพร้อมจะไปต่อที่ใหม่ ควรพักใจ รีเซตตัวเอง เลือกงานที่วางโครงสร้างชัดเจน ช่วงปลายปี 2568 ถึงต้นปี 2569 จะมีแสงสว่างจากผู้ใหญ่ใหม่ หรือโปรเจกต์ที่เคยมีบุญคุณไว้ หรือเคยช่วยไว้ในอดีต #Newskit
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 245 มุมมอง 0 รีวิว
  • Meta เคยเป็นบริษัทที่ขับเคลื่อนอินเทอร์เน็ตสมัยใหม่ — มี Facebook ครองโลก, ซื้อ Instagram มาต่อยอด, ทุ่มเงินซื้อ WhatsApp พร้อมสัญญาว่าจะไม่มีโฆษณา…แต่สุดท้ายทุกอย่างกำลังย้อนกลับ

    WhatsApp ตอนนี้มีโฆษณา Metaverse ทุ่มเงินหลายพันล้านเหรียญ → ยังไม่เห็นผล Libra (คริปโตของ Meta) → ตาย แม้แต่ AI — LLaMA ยังตามหลัง ChatGPT, Claude และ Gemini อยู่หลายร้อยแต้ม

    นักเขียนบทความนี้ (Howard Yu) วิเคราะห์ว่า Mark Zuckerberg เรียนรู้เชิงธุรกิจเก่งมาก แต่ “ไม่เคยเรียนรู้จากผลกระทบที่ Meta ก่อในสังคม” เช่น การถูกใช้เป็นเครื่องมือปลุกปั่น, ปัญหาสุขภาพจิตวัยรุ่น, และกรณีรุนแรงอย่างความขัดแย้งในเมียนมา

    บทวิเคราะห์เปรียบเทียบ Mark กับ Steve Jobs ไว้อย่างน่าสนใจ:
    - Jobs เคยผิดพลาด, เคยล้ม, เคยถูกไล่ออกจาก Apple
    - แต่เขากลับมาใหม่ด้วยการ “เติบโตทางจิตใจ” ไม่ใช่แค่ทางเทคโนโลยี
    - เขายอมฟังคนอื่น, สร้างทีมที่เก่งกว่า, ไม่พยายามควบคุมทุกอย่าง → และสร้าง Apple ยุคใหม่ที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเขาเอง

    ส่วน Zuckerberg ใช้อำนาจหุ้นพิเศษ (super-voting shares) ทำให้ไม่มีใครปลดเขาได้ → ไม่มีแรงกดดันให้เติบโต เปลี่ยนแปลง หรือยอมรับความผิดพลาด → ผลลัพธ์คือ Meta วนลูปเดิม ๆ — ปรับ feed เพิ่ม engagement → ขายโฆษณา → repeat

    Meta เคยล้มเหลวหลายโปรเจกต์ใหญ่:  
    • Facebook phone → ล้มเหลว  
    • Free Basics → ถูกแบนในอินเดีย  
    • Libra → ถูกต่อต้านโดยรัฐบาล  
    • Metaverse → ทุ่มเงินมหาศาล แต่ยังไม่คืนทุน

    AI ของ Meta (LLaMA 4) ยังตามหลัง OpenAI (ChatGPT), Anthropic (Claude), Google (Gemini)  
    • คะแนน Elo ห่างคู่แข่งหลายสิบถึงหลายร้อยแต้ม  
    • แม้ใช้ open-source เป็นยุทธศาสตร์หลัก แต่ยังไม่ดึงใจนักพัฒนาเท่าที่ควร

    ผู้เขียนชี้ว่า Zuckerberg ไม่เคยเรียนรู้จาก ‘ผลเสียต่อสังคม’ ที่ Meta สร้างไว้:  
    • กรณี Facebook ในเมียนมา → ปล่อยให้ Hate speech ลุกลาม  
    • Facebook ถูกใช้ในการปลุกระดม, ปั่นเลือกตั้ง (Cambridge Analytica)  
    • ระบบโฆษณาใช้ microtargeting เพื่อกด turnout กลุ่มเป้าหมายบางกลุ่ม

    โครงสร้างอำนาจของ Meta = Zuckerberg คุมทุกอย่าง:  
    • เขาถือหุ้น 13% แต่มีสิทธิ์โหวตกว่า 50%  
    • ไม่มีใครปลดเขาได้ จึงไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบต่อใคร

    เปรียบเทียบกับ Steve Jobs:  
    • Jobs ล้มเหลว, ถูกไล่ออกจาก Apple  
    • แต่กลับมาใหม่แบบถ่อมตนและเรียนรู้  
    • สร้างวัฒนธรรมที่ Apple แข็งแรงพอจะอยู่ได้แม้เขาจากไป

    Meta แม้จะยังทำเงินได้มากจากโฆษณา แต่กำลัง “ไร้วิสัยทัศน์ที่สดใหม่” สำหรับโลกยุคหลังโฆษณา

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/01/why-mark-zuckerberg-and-meta-cant-build-the-future
    Meta เคยเป็นบริษัทที่ขับเคลื่อนอินเทอร์เน็ตสมัยใหม่ — มี Facebook ครองโลก, ซื้อ Instagram มาต่อยอด, ทุ่มเงินซื้อ WhatsApp พร้อมสัญญาว่าจะไม่มีโฆษณา…แต่สุดท้ายทุกอย่างกำลังย้อนกลับ WhatsApp ตอนนี้มีโฆษณา Metaverse ทุ่มเงินหลายพันล้านเหรียญ → ยังไม่เห็นผล Libra (คริปโตของ Meta) → ตาย แม้แต่ AI — LLaMA ยังตามหลัง ChatGPT, Claude และ Gemini อยู่หลายร้อยแต้ม นักเขียนบทความนี้ (Howard Yu) วิเคราะห์ว่า Mark Zuckerberg เรียนรู้เชิงธุรกิจเก่งมาก แต่ “ไม่เคยเรียนรู้จากผลกระทบที่ Meta ก่อในสังคม” เช่น การถูกใช้เป็นเครื่องมือปลุกปั่น, ปัญหาสุขภาพจิตวัยรุ่น, และกรณีรุนแรงอย่างความขัดแย้งในเมียนมา บทวิเคราะห์เปรียบเทียบ Mark กับ Steve Jobs ไว้อย่างน่าสนใจ: - Jobs เคยผิดพลาด, เคยล้ม, เคยถูกไล่ออกจาก Apple - แต่เขากลับมาใหม่ด้วยการ “เติบโตทางจิตใจ” ไม่ใช่แค่ทางเทคโนโลยี - เขายอมฟังคนอื่น, สร้างทีมที่เก่งกว่า, ไม่พยายามควบคุมทุกอย่าง → และสร้าง Apple ยุคใหม่ที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเขาเอง ส่วน Zuckerberg ใช้อำนาจหุ้นพิเศษ (super-voting shares) ทำให้ไม่มีใครปลดเขาได้ → ไม่มีแรงกดดันให้เติบโต เปลี่ยนแปลง หรือยอมรับความผิดพลาด → ผลลัพธ์คือ Meta วนลูปเดิม ๆ — ปรับ feed เพิ่ม engagement → ขายโฆษณา → repeat ✅ Meta เคยล้มเหลวหลายโปรเจกต์ใหญ่:   • Facebook phone → ล้มเหลว   • Free Basics → ถูกแบนในอินเดีย   • Libra → ถูกต่อต้านโดยรัฐบาล   • Metaverse → ทุ่มเงินมหาศาล แต่ยังไม่คืนทุน ✅ AI ของ Meta (LLaMA 4) ยังตามหลัง OpenAI (ChatGPT), Anthropic (Claude), Google (Gemini)   • คะแนน Elo ห่างคู่แข่งหลายสิบถึงหลายร้อยแต้ม   • แม้ใช้ open-source เป็นยุทธศาสตร์หลัก แต่ยังไม่ดึงใจนักพัฒนาเท่าที่ควร ✅ ผู้เขียนชี้ว่า Zuckerberg ไม่เคยเรียนรู้จาก ‘ผลเสียต่อสังคม’ ที่ Meta สร้างไว้:   • กรณี Facebook ในเมียนมา → ปล่อยให้ Hate speech ลุกลาม   • Facebook ถูกใช้ในการปลุกระดม, ปั่นเลือกตั้ง (Cambridge Analytica)   • ระบบโฆษณาใช้ microtargeting เพื่อกด turnout กลุ่มเป้าหมายบางกลุ่ม ✅ โครงสร้างอำนาจของ Meta = Zuckerberg คุมทุกอย่าง:   • เขาถือหุ้น 13% แต่มีสิทธิ์โหวตกว่า 50%   • ไม่มีใครปลดเขาได้ จึงไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบต่อใคร ✅ เปรียบเทียบกับ Steve Jobs:   • Jobs ล้มเหลว, ถูกไล่ออกจาก Apple   • แต่กลับมาใหม่แบบถ่อมตนและเรียนรู้   • สร้างวัฒนธรรมที่ Apple แข็งแรงพอจะอยู่ได้แม้เขาจากไป ✅ Meta แม้จะยังทำเงินได้มากจากโฆษณา แต่กำลัง “ไร้วิสัยทัศน์ที่สดใหม่” สำหรับโลกยุคหลังโฆษณา https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/01/why-mark-zuckerberg-and-meta-cant-build-the-future
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Why Mark Zuckerberg and Meta can't build the future
    Here's how absolute power trapped Facebook's parent company — and how Steve Jobs broke free.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 179 มุมมอง 0 รีวิว
  • ก่อนหน้านี้หลายคนอาจเคยมีประสบการณ์ Wi-Fi บนเครื่องบินที่ช้า ใช้งานไม่ได้จริง หรือโหลดแค่เว็บยังต้องรอเป็นนาที แต่ตอนนี้ยุคใหม่มาถึงแล้วครับ

    จากข้อมูลของ Ookla พบว่า Hawaiian Airlines และ Qatar Airways ซึ่งใช้บริการอินเทอร์เน็ตจาก Starlink ได้ความเร็วเฉลี่ยสูงถึง 161 Mbps และ 120 Mbps ตามลำดับ ส่วนความเร็วสูงสุดนั้นทะลุไปถึง 276 Mbps และ 236 Mbps เลยทีเดียว — เร็วกว่าสายการบินที่ใช้ผู้ให้บริการรายอื่นเกือบ “2 เท่า”

    ประเด็นสำคัญคือ Starlink ใช้ ดาวเทียมในวงโคจรต่ำ (LEO) ทำให้ค่า latency ต่ำมาก (แค่ 44 มิลลิวินาที) เมื่อเทียบกับผู้ให้บริการรายอื่นที่ใช้ดาวเทียมกลางวงโคจร (MEO) หรือวงโคจรสูง (GEO) ที่มี latency สูงเป็นสิบเท่า!

    นอกจากเครื่องบินแล้ว Starlink ยังขยายสู่ภาคเรือสำราญ เช่น Royal Caribbean และกำลังจะติดตั้งในสายการบิน United เร็ว ๆ นี้

    Starlink ของ SpaceX เป็นอินเทอร์เน็ตบนเครื่องบินที่เร็วที่สุด ณ Q1 ปี 2025 ตามข้อมูลจาก Ookla  
    • ความเร็วเฉลี่ยสูงสุดพบที่ Hawaiian Airlines (161 Mbps) และ Qatar Airways (120 Mbps)
    • ความเร็วสูงสุดแตะ 276 Mbps และ 236 Mbps ตามลำดับ

    สายการบินที่ใช้ Starlink นำคู่แข่งเรื่องความเร็วชัดเจน  
    • Spirit Airlines ที่ไม่ได้ใช้ Starlink ได้ความเร็วเฉลี่ยเพียง ~80 Mbps เท่านั้น  
    • ค่า latency ของ Starlink อยู่ที่ 44 ms เทียบกับ 667 ms ของผู้ให้บริการอันดับสอง

    Starlink ใช้ดาวเทียมในวงโคจรต่ำ (LEO) → ส่งผลให้ความหน่วงต่ำและความเร็วสูง  
    • ตอบสนองได้เร็วกว่า MEO หรือ GEO แบบเดิม  
    • เหมาะกับการใช้งานแบบสตรีมหรือวิดีโอคอล

    นอกจากสายการบินแล้ว Starlink ยังขยายไปยังเรือท่องเที่ยว (Royal Caribbean) และรอเปิดใช้งานใน United Airlines

    Starlink กลายเป็นผู้ให้บริการ Wi-Fi บนเครื่องบินเจ้าแรกที่ความเร็วสูงสุดทะลุ 200 Mbps ในหลายเที่ยวบิน

    https://wccftech.com/spacexs-starlink-is-the-fastest-inflight-internet-in-the-world-shows-data/
    ก่อนหน้านี้หลายคนอาจเคยมีประสบการณ์ Wi-Fi บนเครื่องบินที่ช้า ใช้งานไม่ได้จริง หรือโหลดแค่เว็บยังต้องรอเป็นนาที แต่ตอนนี้ยุคใหม่มาถึงแล้วครับ จากข้อมูลของ Ookla พบว่า Hawaiian Airlines และ Qatar Airways ซึ่งใช้บริการอินเทอร์เน็ตจาก Starlink ได้ความเร็วเฉลี่ยสูงถึง 161 Mbps และ 120 Mbps ตามลำดับ ส่วนความเร็วสูงสุดนั้นทะลุไปถึง 276 Mbps และ 236 Mbps เลยทีเดียว — เร็วกว่าสายการบินที่ใช้ผู้ให้บริการรายอื่นเกือบ “2 เท่า” ประเด็นสำคัญคือ Starlink ใช้ ดาวเทียมในวงโคจรต่ำ (LEO) ทำให้ค่า latency ต่ำมาก (แค่ 44 มิลลิวินาที) เมื่อเทียบกับผู้ให้บริการรายอื่นที่ใช้ดาวเทียมกลางวงโคจร (MEO) หรือวงโคจรสูง (GEO) ที่มี latency สูงเป็นสิบเท่า! นอกจากเครื่องบินแล้ว Starlink ยังขยายสู่ภาคเรือสำราญ เช่น Royal Caribbean และกำลังจะติดตั้งในสายการบิน United เร็ว ๆ นี้ ✅ Starlink ของ SpaceX เป็นอินเทอร์เน็ตบนเครื่องบินที่เร็วที่สุด ณ Q1 ปี 2025 ตามข้อมูลจาก Ookla   • ความเร็วเฉลี่ยสูงสุดพบที่ Hawaiian Airlines (161 Mbps) และ Qatar Airways (120 Mbps) • ความเร็วสูงสุดแตะ 276 Mbps และ 236 Mbps ตามลำดับ ✅ สายการบินที่ใช้ Starlink นำคู่แข่งเรื่องความเร็วชัดเจน   • Spirit Airlines ที่ไม่ได้ใช้ Starlink ได้ความเร็วเฉลี่ยเพียง ~80 Mbps เท่านั้น   • ค่า latency ของ Starlink อยู่ที่ 44 ms เทียบกับ 667 ms ของผู้ให้บริการอันดับสอง ✅ Starlink ใช้ดาวเทียมในวงโคจรต่ำ (LEO) → ส่งผลให้ความหน่วงต่ำและความเร็วสูง   • ตอบสนองได้เร็วกว่า MEO หรือ GEO แบบเดิม   • เหมาะกับการใช้งานแบบสตรีมหรือวิดีโอคอล ✅ นอกจากสายการบินแล้ว Starlink ยังขยายไปยังเรือท่องเที่ยว (Royal Caribbean) และรอเปิดใช้งานใน United Airlines ✅ Starlink กลายเป็นผู้ให้บริการ Wi-Fi บนเครื่องบินเจ้าแรกที่ความเร็วสูงสุดทะลุ 200 Mbps ในหลายเที่ยวบิน https://wccftech.com/spacexs-starlink-is-the-fastest-inflight-internet-in-the-world-shows-data/
    WCCFTECH.COM
    SpaceX's Starlink Is The Fastest Inflight Internet In The World, Shows Data
    SpaceX's Starlink satellite internet is the market leader in inflight internet connectivity, shows data. Take a look!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 125 มุมมอง 0 รีวิว
  • ในบล็อกล่าสุดของ Microsoft คุณ Yusuf Mehdi รองประธานฝ่าย Windows กล่าวว่า “Windows มีผู้ใช้งานเกิน 1,000 ล้านเครื่องทั่วโลก” — ฟังดูดีใช่ไหมครับ?

    แต่ถ้าเราไล่กลับไปดูรายงานประจำปี 2022 ของ Microsoft จะพบว่าตัวเลขผู้ใช้งาน Windows 10 และ 11 เคยอยู่ที่ 1.4 พันล้านเครื่อง…แปลว่าภายในเวลาแค่ 3 ปี หายไปถึง 400 ล้านเครื่อง!

    เกิดอะไรขึ้น?
    - ไม่ใช่เพราะคนแห่ไปใช้ MacBook เพราะแม้แต่ Apple เองยอดขาย Mac ก็ลดลง
    - แต่คนจำนวนมาก “เลิกใช้พีซีไปเลย” แล้วหันไปใช้สมาร์ตโฟนหรือแท็บเล็ตแทน
    - เด็ก ๆ ที่โตมากับระบบอย่าง Chromebook ก็อาจเลือก Google แทน Microsoft ในอนาคต
    - แอปอย่าง Google Docs แทนที่ MS Office ได้ฟรี → ไม่จำเป็นต้องใช้ Windows อีกต่อไป

    ขณะเดียวกัน Microsoft ก็เร่งให้คนอัปเกรดจาก Windows 10 ไป 11 ก่อนที่ Win10 จะหมดการสนับสนุน แต่ก็มีคนจำนวนมากที่ยังยึดติดกับ PC เก่า ซึ่งอัปเกรดไม่ได้

    Windows เคยมีผู้ใช้ 1.4 พันล้านเครื่องในปี 2022 → ล่าสุดเหลือราว 1 พันล้านเครื่อง  
    • ลดลงราว 400 ล้านเครื่องในช่วง 3 ปี  
    • ข้อมูลจาก Microsoft เองในบล็อกและรายงานทางการ

    Microsoft ผลักดันให้ผู้ใช้เปลี่ยนไปใช้ Windows 11 เพราะ Windows 10 จะหมดการซัพพอร์ตในปี 2025

    แม้ macOS ของ Apple จะเป็นคู่แข่ง แต่ยอดขาย Mac ลดลงเช่นกัน (เหลือแค่ 7.7% ของรายได้บริษัทในปี 2023)
    • แสดงว่าคน “ไม่ได้ย้าย” ไป Mac แต่เลือกเลิกใช้พีซีแทน

    สมาร์ตโฟนและแท็บเล็ตทำให้ความจำเป็นในการใช้ Windows ลดลง  
    • Chromebook เติบโตในภาคการศึกษา และเป็นระบบที่เด็กยุคใหม่คุ้นเคย  
    • Google Docs และเว็บแอปต่าง ๆ ทำงานได้โดยไม่ต้องใช้ Windows หรือ Office

    ตลาดที่ยังแข็งแรงของ Windows คือ “เกมเมอร์” และ “มืออาชีพเฉพาะทาง” ที่ต้องใช้ซอฟต์แวร์เฉพาะ


    https://www.tomshardware.com/software/windows/windows-seemingly-lost-400-million-users-in-the-past-three-years-official-microsoft-statements-show-hints-of-a-shrinking-user-base
    ในบล็อกล่าสุดของ Microsoft คุณ Yusuf Mehdi รองประธานฝ่าย Windows กล่าวว่า “Windows มีผู้ใช้งานเกิน 1,000 ล้านเครื่องทั่วโลก” — ฟังดูดีใช่ไหมครับ? แต่ถ้าเราไล่กลับไปดูรายงานประจำปี 2022 ของ Microsoft จะพบว่าตัวเลขผู้ใช้งาน Windows 10 และ 11 เคยอยู่ที่ 1.4 พันล้านเครื่อง…แปลว่าภายในเวลาแค่ 3 ปี หายไปถึง 400 ล้านเครื่อง! เกิดอะไรขึ้น? - ไม่ใช่เพราะคนแห่ไปใช้ MacBook เพราะแม้แต่ Apple เองยอดขาย Mac ก็ลดลง - แต่คนจำนวนมาก “เลิกใช้พีซีไปเลย” แล้วหันไปใช้สมาร์ตโฟนหรือแท็บเล็ตแทน - เด็ก ๆ ที่โตมากับระบบอย่าง Chromebook ก็อาจเลือก Google แทน Microsoft ในอนาคต - แอปอย่าง Google Docs แทนที่ MS Office ได้ฟรี → ไม่จำเป็นต้องใช้ Windows อีกต่อไป ขณะเดียวกัน Microsoft ก็เร่งให้คนอัปเกรดจาก Windows 10 ไป 11 ก่อนที่ Win10 จะหมดการสนับสนุน แต่ก็มีคนจำนวนมากที่ยังยึดติดกับ PC เก่า ซึ่งอัปเกรดไม่ได้ ✅ Windows เคยมีผู้ใช้ 1.4 พันล้านเครื่องในปี 2022 → ล่าสุดเหลือราว 1 พันล้านเครื่อง   • ลดลงราว 400 ล้านเครื่องในช่วง 3 ปี   • ข้อมูลจาก Microsoft เองในบล็อกและรายงานทางการ ✅ Microsoft ผลักดันให้ผู้ใช้เปลี่ยนไปใช้ Windows 11 เพราะ Windows 10 จะหมดการซัพพอร์ตในปี 2025 ✅ แม้ macOS ของ Apple จะเป็นคู่แข่ง แต่ยอดขาย Mac ลดลงเช่นกัน (เหลือแค่ 7.7% ของรายได้บริษัทในปี 2023) • แสดงว่าคน “ไม่ได้ย้าย” ไป Mac แต่เลือกเลิกใช้พีซีแทน ✅ สมาร์ตโฟนและแท็บเล็ตทำให้ความจำเป็นในการใช้ Windows ลดลง   • Chromebook เติบโตในภาคการศึกษา และเป็นระบบที่เด็กยุคใหม่คุ้นเคย   • Google Docs และเว็บแอปต่าง ๆ ทำงานได้โดยไม่ต้องใช้ Windows หรือ Office ✅ ตลาดที่ยังแข็งแรงของ Windows คือ “เกมเมอร์” และ “มืออาชีพเฉพาะทาง” ที่ต้องใช้ซอฟต์แวร์เฉพาะ https://www.tomshardware.com/software/windows/windows-seemingly-lost-400-million-users-in-the-past-three-years-official-microsoft-statements-show-hints-of-a-shrinking-user-base
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 147 มุมมอง 0 รีวิว
  • Microsoft พยายามเลิกพึ่ง GPU ของ Nvidia (อย่าง H100 และ Blackwell) โดยพัฒนาชิปของตัวเองที่ชื่อว่า “Maia” โดยรุ่นถัดไปที่ชื่อเล่นว่า “Braga” มุ่งเน้นงาน inference บน Copilot และโมเดล OpenAI ในระบบ Azure

    แต่แผนดันสะดุด — เพราะนอกจากจะมี “ขาดคน พนักงานลาออกเกิน 20% ในบางทีม” แล้ว OpenAI ยังขอเพิ่มฟีเจอร์กลางคัน ซึ่งทำให้แผนผังชิปเสียสมดุลจนต้องเริ่ม simulation ใหม่

    ระหว่างนี้ Nvidia กลับเดินหน้าเปิดตัวชิป Blackwell ที่แรงกว่า, เร็วกว่า, และครอบคลุมทั้ง training และ inference — พูดง่าย ๆ คือ Microsoft ยังไม่มีอะไรที่ชนะ Nvidia ได้สักจุด

    Microsoft พัฒนา “Braga” (Maia รุ่นถัดไป) ชิป AI สำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ใน Azure  
    • วางแผนใช้ทดแทน GPU ของ Nvidia เพื่อควบคุมต้นทุนและ ecosystem เอง  
    • ออกแบบเพื่อใช้งาน inference เป็นหลัก (ไม่เน้น training)

    Braga เลื่อนเปิดตัวไปปี 2026 เป็นอย่างเร็ว  
    • ช้ากว่าแผนเดิมอย่างน้อย 6 เดือน  
    • น่าจะอ่อนกว่า Nvidia Blackwell ตอนที่วางขายจริง

    ปัจจัยที่ทำให้ล่าช้า:  
    • ความเปลี่ยนแปลงด้านดีไซน์จากคำร้องของ OpenAI  
    • พนักงานลาออกเยอะ → ทีมขาดความต่อเนื่อง  
    • แรงกดดันด้านเดดไลน์ทำให้ simulation fail หลายรอบ

    Maia รุ่นแรก (Maia 100) ยังใช้งานจำกัดมาก  
    • ใช้เทคโนโลยี 5nm + มีระบบ rack และ liquid cooling เฉพาะ  
    • สเปกไม่ตอบโจทย์การเทรนโมเดลขนาดใหญ่ในยุค LLM boom

    Nvidia Blackwell เริ่มใช้งานจริงแล้ว → สร้างแรงกดดันมากขึ้น  
    • มี transistor เกิน 200 พันล้าน  
    • ใช้สำหรับทั้ง training และ inference ระดับ hyperscale  
    • ประสิทธิภาพ + ประหยัดไฟกว่ารุ่นเก่าแบบขาดลอย

    คู่แข่งอื่นอย่าง Google (TPU v7) และ Amazon (Trainium 3) ก็เร่งพัฒนาชิปของตนเองไม่แพ้กัน  
    • เพิ่มแรงบีบให้ Microsoft ต้องเร่งแผน silicon

    https://www.techspot.com/news/108489-microsoft-custom-ai-chip-hits-delays-giving-nvidia.html
    Microsoft พยายามเลิกพึ่ง GPU ของ Nvidia (อย่าง H100 และ Blackwell) โดยพัฒนาชิปของตัวเองที่ชื่อว่า “Maia” โดยรุ่นถัดไปที่ชื่อเล่นว่า “Braga” มุ่งเน้นงาน inference บน Copilot และโมเดล OpenAI ในระบบ Azure แต่แผนดันสะดุด — เพราะนอกจากจะมี “ขาดคน พนักงานลาออกเกิน 20% ในบางทีม” แล้ว OpenAI ยังขอเพิ่มฟีเจอร์กลางคัน ซึ่งทำให้แผนผังชิปเสียสมดุลจนต้องเริ่ม simulation ใหม่ ระหว่างนี้ Nvidia กลับเดินหน้าเปิดตัวชิป Blackwell ที่แรงกว่า, เร็วกว่า, และครอบคลุมทั้ง training และ inference — พูดง่าย ๆ คือ Microsoft ยังไม่มีอะไรที่ชนะ Nvidia ได้สักจุด ✅ Microsoft พัฒนา “Braga” (Maia รุ่นถัดไป) ชิป AI สำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ใน Azure   • วางแผนใช้ทดแทน GPU ของ Nvidia เพื่อควบคุมต้นทุนและ ecosystem เอง   • ออกแบบเพื่อใช้งาน inference เป็นหลัก (ไม่เน้น training) ✅ Braga เลื่อนเปิดตัวไปปี 2026 เป็นอย่างเร็ว   • ช้ากว่าแผนเดิมอย่างน้อย 6 เดือน   • น่าจะอ่อนกว่า Nvidia Blackwell ตอนที่วางขายจริง ✅ ปัจจัยที่ทำให้ล่าช้า:   • ความเปลี่ยนแปลงด้านดีไซน์จากคำร้องของ OpenAI   • พนักงานลาออกเยอะ → ทีมขาดความต่อเนื่อง   • แรงกดดันด้านเดดไลน์ทำให้ simulation fail หลายรอบ ✅ Maia รุ่นแรก (Maia 100) ยังใช้งานจำกัดมาก   • ใช้เทคโนโลยี 5nm + มีระบบ rack และ liquid cooling เฉพาะ   • สเปกไม่ตอบโจทย์การเทรนโมเดลขนาดใหญ่ในยุค LLM boom ✅ Nvidia Blackwell เริ่มใช้งานจริงแล้ว → สร้างแรงกดดันมากขึ้น   • มี transistor เกิน 200 พันล้าน   • ใช้สำหรับทั้ง training และ inference ระดับ hyperscale   • ประสิทธิภาพ + ประหยัดไฟกว่ารุ่นเก่าแบบขาดลอย ✅ คู่แข่งอื่นอย่าง Google (TPU v7) และ Amazon (Trainium 3) ก็เร่งพัฒนาชิปของตนเองไม่แพ้กัน   • เพิ่มแรงบีบให้ Microsoft ต้องเร่งแผน silicon https://www.techspot.com/news/108489-microsoft-custom-ai-chip-hits-delays-giving-nvidia.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Microsoft's custom AI chip hits delays, giving Nvidia more runway
    Microsoft's push into custom artificial intelligence hardware has hit a serious snag. Its next-generation Maia chip, code-named Braga, won't enter mass production until 2026 – at least...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 133 มุมมอง 0 รีวิว
  • DeepSeek เป็นบริษัท AI สัญชาติจีนที่สร้างชื่อจากโมเดลภาษาขั้นสูง “R1” ซึ่งเคยเทรนด้วย GPU มากถึง 50,000 ตัว (รวม H20, H800, H100) ที่ได้มาจากกองทุน High-Flyer Capital

    แต่ตอนนี้ปัญหาคือ H20 กลายเป็นชิปต้องห้าม จากมาตรการคุมส่งออกของรัฐบาลสหรัฐฯ — ซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่กลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา ทำให้ DeepSeek ไม่สามารถหา GPU ใหม่มาใช้งานได้อีก

    สิ่งที่น่าห่วงคือ:
    - ผู้ใช้งานของ R1 จำนวนมากรันอยู่บน H20 → ตอนนี้เริ่มใช้งานติดขัด
    - R2 ยังไม่เสร็จดี ซีอีโอของ DeepSeek ก็ยังไม่พอใจผลลัพธ์เท่าที่ควร
    - ถ้า R2 เปิดตัวได้ไม่แรงพอ อาจเสียจังหวะให้คู่แข่งคนอื่นแซงในตลาด LLM จีน

    นี่สะท้อนว่าบริษัท AI จีนยังพึ่งพา ฮาร์ดแวร์ + ซอฟต์แวร์จากสหรัฐฯ อย่างลึกซึ้งมาก โดยเฉพาะ CUDA stack ของ Nvidia ที่ยังไม่มีทางออกที่เทียบเท่าได้ง่าย ๆ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/ai-disruptor-deepseeks-next-gen-model-delayed-by-nvidia-h20-restrictions-short-supply-of-accelerators-hinders-development
    DeepSeek เป็นบริษัท AI สัญชาติจีนที่สร้างชื่อจากโมเดลภาษาขั้นสูง “R1” ซึ่งเคยเทรนด้วย GPU มากถึง 50,000 ตัว (รวม H20, H800, H100) ที่ได้มาจากกองทุน High-Flyer Capital แต่ตอนนี้ปัญหาคือ H20 กลายเป็นชิปต้องห้าม จากมาตรการคุมส่งออกของรัฐบาลสหรัฐฯ — ซึ่งเกิดขึ้นตั้งแต่กลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา ทำให้ DeepSeek ไม่สามารถหา GPU ใหม่มาใช้งานได้อีก สิ่งที่น่าห่วงคือ: - ผู้ใช้งานของ R1 จำนวนมากรันอยู่บน H20 → ตอนนี้เริ่มใช้งานติดขัด - R2 ยังไม่เสร็จดี ซีอีโอของ DeepSeek ก็ยังไม่พอใจผลลัพธ์เท่าที่ควร - ถ้า R2 เปิดตัวได้ไม่แรงพอ อาจเสียจังหวะให้คู่แข่งคนอื่นแซงในตลาด LLM จีน นี่สะท้อนว่าบริษัท AI จีนยังพึ่งพา ฮาร์ดแวร์ + ซอฟต์แวร์จากสหรัฐฯ อย่างลึกซึ้งมาก โดยเฉพาะ CUDA stack ของ Nvidia ที่ยังไม่มีทางออกที่เทียบเท่าได้ง่าย ๆ https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/ai-disruptor-deepseeks-next-gen-model-delayed-by-nvidia-h20-restrictions-short-supply-of-accelerators-hinders-development
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 139 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลองนึกภาพดูว่าในศูนย์ข้อมูลหนึ่ง มีงานมากมายที่ IT ต้องจัดการทุกวัน เช่น แก้ไข network, config storage, เช็ก log, ปรับโหลด cloud — ทั้งหมดนี้ใช้เวลาและต้องการผู้เชี่ยวชาญหลายคน

    แต่ HPE กำลังจะเปลี่ยนสิ่งเหล่านั้นให้กลายเป็น “การสนทนากับ agent” — คุณแค่ถามในสไตล์แชต แล้ว AI จะประมวลผลข้อมูล, หา insight, เสนอทางแก้ หรือ บางทียังทำแทนให้เองเลยด้วยซ้ำ (แต่ยังให้คุณกดยืนยันก่อนเสมอ)

    หัวใจอยู่ที่ GreenLake Intelligence ซึ่งมี multi-agent system ที่ทำหน้าที่เฉพาะ เช่น จัดการ storage, monitor network, สร้าง dashboard, หรือคุยกับระบบ cloud อื่นได้ — และมี “GreenLake Copilot” เป็นอินเทอร์เฟซแบบแชต ช่วยให้คนไอทีใช้งานง่ายแบบไม่ต้องพิมพ์โค้ด

    นอกจากนี้ HPE ยังพัฒนา hardware และ software เสริมชุดใหญ่ เช่น AI Factory รุ่นใหม่ที่ใช้ Nvidia Blackwell GPU, ระบบ CloudOps, และหน่วยเก็บข้อมูล Alletra X10000 ที่รองรับการวิเคราะห์ context ระดับระบบ (ผ่านโปรโตคอล MCP)

    HPE เปิดตัว GreenLake Intelligence พร้อมแนวคิด AgenticOps  
    • ใช้ AI agents ทำงานซ้ำซ้อนในระบบ IT แทนคนได้ (แต่มี human-in-the-loop)  
    • ครอบคลุมงาน config, observability, storage, network และ more

    GreenLake Copilot คืออินเทอร์เฟซแบบแชตที่ให้คุยกับ AI ได้ทันที  
    • ใช้ภาษาธรรมดาถามเรื่อง log, ปัญหา network, ความเสถียรระบบ ฯลฯ  
    • ทำงานร่วมกับ LLM และ ML ที่เทรนจากข้อมูลองค์กร

    ตัวอย่างการใช้งานที่น่าสนใจ:  
    • Aruba Central ใช้ GreenLake Copilot ในการจัดการเครือข่ายแบบ real-time  
    • สร้าง visual dashboard จาก log อัตโนมัติ  
    • เสนอวิธีแก้ปัญหาแบบทีละขั้น หรือลงมือทำแทนได้

    HPE เสริมด้วย CloudOps (รวม OpsRamp, Morpheus, Zerto)  
    • ใช้ GenAI ช่วยจัดการ observability, virtualization, และความปลอดภัยของ data

    เปิดตัว AI Factory Gen 2 ที่ใช้ Nvidia Blackwell RTX Pro 6000  
    • รองรับการประมวลผล AI model สำหรับองค์กรโดยเฉพาะ  
    • ใช้งานร่วมกับระบบของคู่แข่งได้ (เช่น OpsRamp ใช้กับ AI Factory ทุกแบรนด์)

    ระบบเก็บข้อมูล Alletra X10000 รองรับ MCP (Media Context Protocol)  
    • เชื่อมโยงกับ AI/LLM ได้โดยตรง  
    • ส่งข้อมูลระหว่าง server, storage, observability tools ได้รวดเร็ว

    ลุงจะตกงานแล้วววววว !!!

    https://www.techspot.com/news/108437-hpe-greenlake-intelligence-brings-agentic-ai-operations.html
    ลองนึกภาพดูว่าในศูนย์ข้อมูลหนึ่ง มีงานมากมายที่ IT ต้องจัดการทุกวัน เช่น แก้ไข network, config storage, เช็ก log, ปรับโหลด cloud — ทั้งหมดนี้ใช้เวลาและต้องการผู้เชี่ยวชาญหลายคน แต่ HPE กำลังจะเปลี่ยนสิ่งเหล่านั้นให้กลายเป็น “การสนทนากับ agent” — คุณแค่ถามในสไตล์แชต แล้ว AI จะประมวลผลข้อมูล, หา insight, เสนอทางแก้ หรือ บางทียังทำแทนให้เองเลยด้วยซ้ำ (แต่ยังให้คุณกดยืนยันก่อนเสมอ) หัวใจอยู่ที่ GreenLake Intelligence ซึ่งมี multi-agent system ที่ทำหน้าที่เฉพาะ เช่น จัดการ storage, monitor network, สร้าง dashboard, หรือคุยกับระบบ cloud อื่นได้ — และมี “GreenLake Copilot” เป็นอินเทอร์เฟซแบบแชต ช่วยให้คนไอทีใช้งานง่ายแบบไม่ต้องพิมพ์โค้ด นอกจากนี้ HPE ยังพัฒนา hardware และ software เสริมชุดใหญ่ เช่น AI Factory รุ่นใหม่ที่ใช้ Nvidia Blackwell GPU, ระบบ CloudOps, และหน่วยเก็บข้อมูล Alletra X10000 ที่รองรับการวิเคราะห์ context ระดับระบบ (ผ่านโปรโตคอล MCP) ✅ HPE เปิดตัว GreenLake Intelligence พร้อมแนวคิด AgenticOps   • ใช้ AI agents ทำงานซ้ำซ้อนในระบบ IT แทนคนได้ (แต่มี human-in-the-loop)   • ครอบคลุมงาน config, observability, storage, network และ more ✅ GreenLake Copilot คืออินเทอร์เฟซแบบแชตที่ให้คุยกับ AI ได้ทันที   • ใช้ภาษาธรรมดาถามเรื่อง log, ปัญหา network, ความเสถียรระบบ ฯลฯ   • ทำงานร่วมกับ LLM และ ML ที่เทรนจากข้อมูลองค์กร ✅ ตัวอย่างการใช้งานที่น่าสนใจ:   • Aruba Central ใช้ GreenLake Copilot ในการจัดการเครือข่ายแบบ real-time   • สร้าง visual dashboard จาก log อัตโนมัติ   • เสนอวิธีแก้ปัญหาแบบทีละขั้น หรือลงมือทำแทนได้ ✅ HPE เสริมด้วย CloudOps (รวม OpsRamp, Morpheus, Zerto)   • ใช้ GenAI ช่วยจัดการ observability, virtualization, และความปลอดภัยของ data ✅ เปิดตัว AI Factory Gen 2 ที่ใช้ Nvidia Blackwell RTX Pro 6000   • รองรับการประมวลผล AI model สำหรับองค์กรโดยเฉพาะ   • ใช้งานร่วมกับระบบของคู่แข่งได้ (เช่น OpsRamp ใช้กับ AI Factory ทุกแบรนด์) ✅ ระบบเก็บข้อมูล Alletra X10000 รองรับ MCP (Media Context Protocol)   • เชื่อมโยงกับ AI/LLM ได้โดยตรง   • ส่งข้อมูลระหว่าง server, storage, observability tools ได้รวดเร็ว ลุงจะตกงานแล้วววววว !!! 😭😭 https://www.techspot.com/news/108437-hpe-greenlake-intelligence-brings-agentic-ai-operations.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    HPE's GreenLake intelligence brings agentic AI to IT operations
    In case you haven't heard, GenAI is old news. Now, it's all about agentic AI. At least, that certainly seems to be the theme based on the...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 209 มุมมอง 0 รีวิว
  • นี่คือ "นิคูซอร์ ดาน" (Nicușor Dan) ประธานาธิบดีคนใหม่ของโรมาเนีย (ฝ่ายเสรีนิยม) หลังจากได้รับชัยชนะเหนือคู่แข่งจากฝ่ายอนุรักษ์นิยมมาอย่างน่ากังขา
    นี่คือ "นิคูซอร์ ดาน" (Nicușor Dan) ประธานาธิบดีคนใหม่ของโรมาเนีย (ฝ่ายเสรีนิยม) หลังจากได้รับชัยชนะเหนือคู่แข่งจากฝ่ายอนุรักษ์นิยมมาอย่างน่ากังขา
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 174 มุมมอง 40 0 รีวิว
  • ปี 2026 ที่จะถึงนี้ Pixel 11 จะไม่ใช่แค่การอัปเกรดกล้องหรือดีไซน์เท่านั้น แต่ชิป Tensor G6 ที่อยู่ในเครื่องนั้นกำลังจะกลายเป็น “หัวใจใหม่” ที่แรงกว่าเดิมแบบคนละระดับ เพราะ Google ตัดสินใจเลือกใช้ TSMC 2nm ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเล็กที่สุดในอุตสาหกรรม ณ ตอนนี้

    เดิมที Tensor G5 ของ Pixel 10 ยังใช้ 3nm (N3E) ก็ว่าแรงแล้ว แต่นี่กระโดดข้าม N3P ไปเลย! แน่นอนว่ามันไม่ใช่แค่เร็ว — แต่น่าจะช่วยเรื่องประหยัดพลังงาน, ลดความร้อน และเปิดทางให้ใส่ฟีเจอร์ AI ใหม่ ๆ ได้แบบจัดเต็ม

    แหล่งข่าวยังบอกว่า Google ยอมลงทุนสูง แม้จะผลิตมือถือได้น้อยกว่าคู่แข่งอย่าง Apple แต่ก็อยากเป็น “ผู้นำด้านนวัตกรรม AI บนมือถือ” และเลือกเทคโนโลยีที่ดีที่สุดแทนการประหยัดต้นทุน

    Tensor G6 จะถูกผลิตบนเทคโนโลยี 2nm ของ TSMC สำหรับ Pixel 11 series (ปี 2026)  
    • ข้าม TSMC N3P (3nm รุ่น 3) ไปใช้ 2nm ทันที  
    • ถือเป็นชิป smartphone กลุ่มแรก ๆ ที่ใช้ 2nm

    Google เปลี่ยนจาก Samsung มาใช้ TSMC ตั้งแต่ Tensor G5 (Pixel 10)  
    • หลังพบปัญหาคุณภาพกับการผลิตก่อนหน้า  
    • มีการเจรจากับ TSMC เพื่อสัญญาระยะยาว 5 ปี

    ข้อดีของ TSMC 2nm (เทียบกับ 3nm):  
    • ประหยัดพลังงานขึ้น ~25–30%  
    • เพิ่มความเร็วประมวลผล  
    • รองรับการทำงาน AI บนเครื่องแบบหนัก ๆ

    ใช้เทคโนโลยี GAAFET (Gate-All-Around) เพื่อย่อทรานซิสเตอร์ให้เล็กลงอีก  
    • เทียบเท่าเทคโนโลยีใน Apple A20 หรือ Snapdragon 8 Gen 5 รุ่นอนาคต

    https://wccftech.com/tensor-g6-found-in-the-pixel-11-series-to-be-mass-produced-on-tsmc-2nm-process/
    ปี 2026 ที่จะถึงนี้ Pixel 11 จะไม่ใช่แค่การอัปเกรดกล้องหรือดีไซน์เท่านั้น แต่ชิป Tensor G6 ที่อยู่ในเครื่องนั้นกำลังจะกลายเป็น “หัวใจใหม่” ที่แรงกว่าเดิมแบบคนละระดับ เพราะ Google ตัดสินใจเลือกใช้ TSMC 2nm ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเล็กที่สุดในอุตสาหกรรม ณ ตอนนี้ เดิมที Tensor G5 ของ Pixel 10 ยังใช้ 3nm (N3E) ก็ว่าแรงแล้ว แต่นี่กระโดดข้าม N3P ไปเลย! แน่นอนว่ามันไม่ใช่แค่เร็ว — แต่น่าจะช่วยเรื่องประหยัดพลังงาน, ลดความร้อน และเปิดทางให้ใส่ฟีเจอร์ AI ใหม่ ๆ ได้แบบจัดเต็ม แหล่งข่าวยังบอกว่า Google ยอมลงทุนสูง แม้จะผลิตมือถือได้น้อยกว่าคู่แข่งอย่าง Apple แต่ก็อยากเป็น “ผู้นำด้านนวัตกรรม AI บนมือถือ” และเลือกเทคโนโลยีที่ดีที่สุดแทนการประหยัดต้นทุน ✅ Tensor G6 จะถูกผลิตบนเทคโนโลยี 2nm ของ TSMC สำหรับ Pixel 11 series (ปี 2026)   • ข้าม TSMC N3P (3nm รุ่น 3) ไปใช้ 2nm ทันที   • ถือเป็นชิป smartphone กลุ่มแรก ๆ ที่ใช้ 2nm ✅ Google เปลี่ยนจาก Samsung มาใช้ TSMC ตั้งแต่ Tensor G5 (Pixel 10)   • หลังพบปัญหาคุณภาพกับการผลิตก่อนหน้า   • มีการเจรจากับ TSMC เพื่อสัญญาระยะยาว 5 ปี ✅ ข้อดีของ TSMC 2nm (เทียบกับ 3nm):   • ประหยัดพลังงานขึ้น ~25–30%   • เพิ่มความเร็วประมวลผล   • รองรับการทำงาน AI บนเครื่องแบบหนัก ๆ ✅ ใช้เทคโนโลยี GAAFET (Gate-All-Around) เพื่อย่อทรานซิสเตอร์ให้เล็กลงอีก   • เทียบเท่าเทคโนโลยีใน Apple A20 หรือ Snapdragon 8 Gen 5 รุ่นอนาคต https://wccftech.com/tensor-g6-found-in-the-pixel-11-series-to-be-mass-produced-on-tsmc-2nm-process/
    WCCFTECH.COM
    Google’s Tensor G6 Will Reportedly Be Mass Produced On TSMC’s 2nm Process, Allowing The Pixel 11 Series To Maintain Competition With Rivals By Sticking With The Cutting-Edge Lithography
    The Tensor G6 could keep pace with the competition, with Google’s SoC found in the Pixel 11 family reportedly fabricated on TSMC’s 2nm technology
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 149 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อคุณมองโลกและคุ้นเคยกับการเห็นสิ่งต่างๆ ในแบบที่เคยเป็นมาตลอด คุณก็จะได้รับความคิดที่บิดเบือน
    วิสัยทัศน์ทางการเมืองเป็นของ Deep State ซึ่งต้องการยัดเยียดความคิดเห็นอันหลอกลวงให้กับคุณ
    ตะวันออกกับตะวันตก ฝ่ายขวากับฝ่ายซ้าย ฯลฯ มันทำให้คุณขนลุก
    แต่ทั้งหมดนี้ฟังดูไม่ถูกต้องและทำให้คุณวนเวียนอยู่ในวงจรเดิมๆ เปลี่ยนมุมมองของคุณ มิฉะนั้น คุณจะระเบิด
    ด้วยความสม่ำเสมอที่น่าดึงดูดใจ คุณจะค้นพบว่าผู้นำของสองประเทศที่ขัดแย้งกันอย่างไม่สิ้นสุดกำลังเล่นเกมเดียวกัน และคู่แข่งสมมติทั้งสองกำลังทำ "สงครามที่พอใจ" ซึ่งสั่งมาจากที่อื่น
    คุณสามารถเอาชนะแผนการอันฉ้อฉลได้หรือไม่? “พอแล้วกับภาพลวงตา

    สิ่งที่กำลังพังทลายไม่ใช่แค่ระบอบการปกครองของอิหร่านเท่านั้น แต่เป็นทั้งสองด้านของเหรียญ Deep State เหรียญเดียวกัน: เตหะรานและเทลอาวีฟ เป็นเวลาหลายทศวรรษที่พวกเขาได้จัดสงครามปลอม จัดหาเงินทุนให้กับทั้งสองฝ่าย และเสียสละเงินหลายล้านเพื่อให้รวมอำนาจไว้ในมือของชนชั้นนำ แต่ตอนนี้สถานการณ์กำลังเปลี่ยนไป
    อาลี อัสการ์ เฮจาซี ที่ปรึกษาคนสำคัญของคาเมเนอี กำลังเจรจาลับกับรัสเซียเกี่ยวกับการอพยพฉุกเฉิน เขาเตรียมกระเป๋าไว้แล้ว เขารู้ว่าพันธมิตรของทรัมป์กำลังใกล้เข้ามา ไม่ใช่ด้วยระเบิด แต่ด้วยข้อกล่าวหา หลักฐานจากดาวเทียม และไฟล์ลับเกี่ยวกับกวนตานาโม

    อัศวินแห่งพายุ
    เมื่อคุณมองโลกและคุ้นเคยกับการเห็นสิ่งต่างๆ ในแบบที่เคยเป็นมาตลอด คุณก็จะได้รับความคิดที่บิดเบือน วิสัยทัศน์ทางการเมืองเป็นของ Deep State ซึ่งต้องการยัดเยียดความคิดเห็นอันหลอกลวงให้กับคุณ ตะวันออกกับตะวันตก ฝ่ายขวากับฝ่ายซ้าย ฯลฯ มันทำให้คุณขนลุก แต่ทั้งหมดนี้ฟังดูไม่ถูกต้องและทำให้คุณวนเวียนอยู่ในวงจรเดิมๆ เปลี่ยนมุมมองของคุณ มิฉะนั้น คุณจะระเบิด ด้วยความสม่ำเสมอที่น่าดึงดูดใจ คุณจะค้นพบว่าผู้นำของสองประเทศที่ขัดแย้งกันอย่างไม่สิ้นสุดกำลังเล่นเกมเดียวกัน และคู่แข่งสมมติทั้งสองกำลังทำ "สงครามที่พอใจ" ซึ่งสั่งมาจากที่อื่น คุณสามารถเอาชนะแผนการอันฉ้อฉลได้หรือไม่? “พอแล้วกับภาพลวงตา สิ่งที่กำลังพังทลายไม่ใช่แค่ระบอบการปกครองของอิหร่านเท่านั้น แต่เป็นทั้งสองด้านของเหรียญ Deep State เหรียญเดียวกัน: เตหะรานและเทลอาวีฟ เป็นเวลาหลายทศวรรษที่พวกเขาได้จัดสงครามปลอม จัดหาเงินทุนให้กับทั้งสองฝ่าย และเสียสละเงินหลายล้านเพื่อให้รวมอำนาจไว้ในมือของชนชั้นนำ แต่ตอนนี้สถานการณ์กำลังเปลี่ยนไป อาลี อัสการ์ เฮจาซี ที่ปรึกษาคนสำคัญของคาเมเนอี กำลังเจรจาลับกับรัสเซียเกี่ยวกับการอพยพฉุกเฉิน เขาเตรียมกระเป๋าไว้แล้ว เขารู้ว่าพันธมิตรของทรัมป์กำลังใกล้เข้ามา ไม่ใช่ด้วยระเบิด แต่ด้วยข้อกล่าวหา หลักฐานจากดาวเทียม และไฟล์ลับเกี่ยวกับกวนตานาโม 💥 อัศวินแห่งพายุ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 143 มุมมอง 0 รีวิว
  • หากคุณเคยตามวงการไอทีมาตั้งแต่ยุค 2000 คงเคยได้ยินว่า “ไมโครซอฟท์เคยเกลียดลินุกซ์เข้าไส้” ถึงขั้นที่อดีตซีอีโอ Steve Ballmer เคยเปรียบลินุกซ์ว่าเป็น "cancer" ด้านลิขสิทธิ์ (intellectual property) เพราะมันเป็นซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สที่เติบโตเร็วและขัดแย้งกับโมเดลของ Windows อย่างชัดเจน

    จนกระทั่งเมื่อเร็ว ๆ นี้ ทั้ง Gates และ Torvalds ได้พบกันในงานดินเนอร์ร่วมกับ Dave Cutler (ผู้สร้าง Windows NT) และ Mark Russinovich (CTO ของ Microsoft) ที่โพสต์ภาพลง LinkedIn แบบติดตลกว่า “มื้อนี้ยังไม่ได้ตัดสินใจอะไรเรื่อง kernel แต่ไว้มื้อต่อไปก็ยังทัน”

    เป็นการพบกันที่ไม่มีใครเคยคิดว่าจะเกิดขึ้น เพราะ Gates คือผู้นำฝั่ง proprietary software ส่วน Torvalds คือตำนานฝั่ง open source ที่เคยพูดแรงใส่บริษัทต่าง ๆ (เขาเคยแจกนิ้วกลางให้ NVIDIA และด่า Intel แบบไม่ไว้หน้า) แต่หลังจากปี 2014 ที่ Satya Nadella เข้ารับตำแหน่ง CEO ไมโครซอฟท์ก็เริ่มเปิดใจมากขึ้น — สนับสนุนโอเพนซอร์ส, เข้าร่วม Linux Foundation, และเปิดซอร์ส .NET

    มื้อนี้จึงถือเป็นสัญลักษณ์ของ “การปรับมุมมองจากคู่แข่งสู่การร่วมโต๊ะ” ได้อย่างแท้จริง

    https://www.techspot.com/news/108415-bill-gates-finally-meets-linus-torvalds-dinner-tech.html
    หากคุณเคยตามวงการไอทีมาตั้งแต่ยุค 2000 คงเคยได้ยินว่า “ไมโครซอฟท์เคยเกลียดลินุกซ์เข้าไส้” ถึงขั้นที่อดีตซีอีโอ Steve Ballmer เคยเปรียบลินุกซ์ว่าเป็น "cancer" ด้านลิขสิทธิ์ (intellectual property) เพราะมันเป็นซอฟต์แวร์โอเพนซอร์สที่เติบโตเร็วและขัดแย้งกับโมเดลของ Windows อย่างชัดเจน จนกระทั่งเมื่อเร็ว ๆ นี้ ทั้ง Gates และ Torvalds ได้พบกันในงานดินเนอร์ร่วมกับ Dave Cutler (ผู้สร้าง Windows NT) และ Mark Russinovich (CTO ของ Microsoft) ที่โพสต์ภาพลง LinkedIn แบบติดตลกว่า “มื้อนี้ยังไม่ได้ตัดสินใจอะไรเรื่อง kernel แต่ไว้มื้อต่อไปก็ยังทัน” เป็นการพบกันที่ไม่มีใครเคยคิดว่าจะเกิดขึ้น เพราะ Gates คือผู้นำฝั่ง proprietary software ส่วน Torvalds คือตำนานฝั่ง open source ที่เคยพูดแรงใส่บริษัทต่าง ๆ (เขาเคยแจกนิ้วกลางให้ NVIDIA และด่า Intel แบบไม่ไว้หน้า) แต่หลังจากปี 2014 ที่ Satya Nadella เข้ารับตำแหน่ง CEO ไมโครซอฟท์ก็เริ่มเปิดใจมากขึ้น — สนับสนุนโอเพนซอร์ส, เข้าร่วม Linux Foundation, และเปิดซอร์ส .NET มื้อนี้จึงถือเป็นสัญลักษณ์ของ “การปรับมุมมองจากคู่แข่งสู่การร่วมโต๊ะ” ได้อย่างแท้จริง https://www.techspot.com/news/108415-bill-gates-finally-meets-linus-torvalds-dinner-tech.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Bill Gates and Linus Torvalds meet for the first time at tech titans' dinner
    Microsoft chief technical officer Mark Russinovich posted evidence of the historic dinner in a LinkedIn post. Dave Cutler, the legendary programmer and lead architect of the Windows...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 113 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปกติแล้วเมื่อชิปมีความละเอียดระดับ 10nm (หรือเทคโนโลยีที่เรียกกันว่า “1c DRAM”) ยิ่งขนาดทรานซิสเตอร์เล็กลง ก็ยิ่งทำให้ผลิตยาก ยิ่งมี defect ก็ยิ่ง “yield ต่ำ” — แต่นี่คือครั้งแรกที่ Samsung กลับมาพลิกเกมด้วย การออกแบบชิปใหม่ทั้งหมดหลังล้มเหลวตอนปลายปี 2024 แม้จะต้องเลื่อนแผนผลิตไปกว่า 1 ปีเต็มก็ตาม

    ผลลัพธ์ของการ “ยอมถอยเพื่อเดินหน้า” คือ yield rate ตอนนี้ขยับขึ้นจาก <30% → สู่ 50–70% ซึ่งถือว่า “ผ่านจุดคุ้มทุน” แล้ว ทำให้ Samsung เตรียมเร่งกำลังผลิตในสาย Pyeongtaek และ Hwaseong ทันที

    เหตุผลที่เรื่องนี้น่าสนใจคือ DRAM รุ่น 1c คือรากฐานสำคัญของชิป HBM4 (High Bandwidth Memory Gen4) — ซึ่งจำเป็นมากต่อการแข่งในตลาด AI, HPC และ GPU รุ่นใหม่ ๆ ปี 2025–2026 โดย Samsung ตั้งเป้าเริ่ม mass production HBM4 ภายในสิ้นปีนี้ โดยใช้ฐาน Pyeongtaek Line 3 เป็นหัวหอก

    Samsung ดัน yield DRAM รุ่น 1c ขึ้นมาที่ระดับ 50–70% ได้แล้ว  
    • ปีที่แล้วอยู่ต่ำกว่า 30% และต้องเลื่อน mass production ออกไป  
    • ผ่านจุดคุ้มทุนในการผลิต เกิด mass yield ได้จริง

    ออกแบบชิปรุ่นใหม่ทั้งหมดหลังแผนผลิตปลายปี 2024 ล้มเหลว  
    • เปลี่ยนดีไซน์เพื่อปรับประสิทธิภาพและลด defect  
    • ย้ายฐานการผลิตไป Pyeongtaek Line 4 (สำหรับ DRAM 1c)

    ช่วยเร่งแผนผลิต HBM4 ให้เริ่มได้ภายในปลายปี 2025  
    • ฐานการผลิต HBM4 อยู่ที่ Pyeongtaek Line 3  
    • DRAM 1c เป็นรากฐานสำคัญของ HBM4

    Samsung เดินคนละเส้นกับคู่แข่งอย่าง SK Hynix และ Micron ที่ใช้ DRAM รุ่น 1b กับ HBM4 แทน 1c  
    • มีความเสี่ยงสูงกว่า แต่โอกาสทำกำไรสูงกว่าเช่นกัน

    เริ่มขยายสายการผลิต DRAM 1c เพิ่มที่ Hwaseong และ Pyeongtaek ในปีนี้  
    • เตรียมรองรับความต้องการ DRAM/HBM ที่สูงขึ้นจากภาค AI และดาต้าเซ็นเตอร์

    https://www.techpowerup.com/338192/samsung-reportedly-achieves-70-yields-for-its-1c-dram-technology
    ปกติแล้วเมื่อชิปมีความละเอียดระดับ 10nm (หรือเทคโนโลยีที่เรียกกันว่า “1c DRAM”) ยิ่งขนาดทรานซิสเตอร์เล็กลง ก็ยิ่งทำให้ผลิตยาก ยิ่งมี defect ก็ยิ่ง “yield ต่ำ” — แต่นี่คือครั้งแรกที่ Samsung กลับมาพลิกเกมด้วย การออกแบบชิปใหม่ทั้งหมดหลังล้มเหลวตอนปลายปี 2024 แม้จะต้องเลื่อนแผนผลิตไปกว่า 1 ปีเต็มก็ตาม ผลลัพธ์ของการ “ยอมถอยเพื่อเดินหน้า” คือ yield rate ตอนนี้ขยับขึ้นจาก <30% → สู่ 50–70% ซึ่งถือว่า “ผ่านจุดคุ้มทุน” แล้ว ทำให้ Samsung เตรียมเร่งกำลังผลิตในสาย Pyeongtaek และ Hwaseong ทันที เหตุผลที่เรื่องนี้น่าสนใจคือ DRAM รุ่น 1c คือรากฐานสำคัญของชิป HBM4 (High Bandwidth Memory Gen4) — ซึ่งจำเป็นมากต่อการแข่งในตลาด AI, HPC และ GPU รุ่นใหม่ ๆ ปี 2025–2026 โดย Samsung ตั้งเป้าเริ่ม mass production HBM4 ภายในสิ้นปีนี้ โดยใช้ฐาน Pyeongtaek Line 3 เป็นหัวหอก ✅ Samsung ดัน yield DRAM รุ่น 1c ขึ้นมาที่ระดับ 50–70% ได้แล้ว   • ปีที่แล้วอยู่ต่ำกว่า 30% และต้องเลื่อน mass production ออกไป   • ผ่านจุดคุ้มทุนในการผลิต เกิด mass yield ได้จริง ✅ ออกแบบชิปรุ่นใหม่ทั้งหมดหลังแผนผลิตปลายปี 2024 ล้มเหลว   • เปลี่ยนดีไซน์เพื่อปรับประสิทธิภาพและลด defect   • ย้ายฐานการผลิตไป Pyeongtaek Line 4 (สำหรับ DRAM 1c) ✅ ช่วยเร่งแผนผลิต HBM4 ให้เริ่มได้ภายในปลายปี 2025   • ฐานการผลิต HBM4 อยู่ที่ Pyeongtaek Line 3   • DRAM 1c เป็นรากฐานสำคัญของ HBM4 ✅ Samsung เดินคนละเส้นกับคู่แข่งอย่าง SK Hynix และ Micron ที่ใช้ DRAM รุ่น 1b กับ HBM4 แทน 1c   • มีความเสี่ยงสูงกว่า แต่โอกาสทำกำไรสูงกว่าเช่นกัน ✅ เริ่มขยายสายการผลิต DRAM 1c เพิ่มที่ Hwaseong และ Pyeongtaek ในปีนี้   • เตรียมรองรับความต้องการ DRAM/HBM ที่สูงขึ้นจากภาค AI และดาต้าเซ็นเตอร์ https://www.techpowerup.com/338192/samsung-reportedly-achieves-70-yields-for-its-1c-dram-technology
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Samsung Reportedly Achieves 70% Yields for Its 1c DRAM Technology
    Samsung has achieved better production results for its advanced memory technology, according to Sedaily, as cited by TrendForce. The company's sixth-generation 10 nm DRAM, called 1c DRAM, now shows yield rates of 50-70% in testing. This represents a significant improvement from last year's results, ...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 90 มุมมอง 0 รีวิว
  • David Sacks ที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีของทำเนียบขาว ให้สัมภาษณ์กับ Bloomberg ว่า ช่องว่างระหว่างจีนกับสหรัฐในด้านการออกแบบชิปตอนนี้เหลือแค่ 1.5–2 ปีเท่านั้น โดยเฉพาะ Huawei ซึ่งแม้จะยังขาดกำลังผลิต GPU ขั้นสูง แต่สามารถหาทางออกด้วยการนำ ชิปเก่า 910B มาต่อรวมกันเป็น “910C” เพื่อเพิ่มพลังประมวลผลและหน่วยความจำให้ใกล้เคียง NVIDIA H100

    แม้จะไม่ใช่เทคโนโลยีใหม่สด แต่ถือเป็น “ทางเลือกภายในประเทศ” ที่ใช้งานจริงได้ และ Huawei เริ่มจะ ส่งออก AI Chip ไปยังลูกค้าต่างประเทศด้วย แล้ว

    Sacks เตือนว่า หากจีนสามารถผลิตและสร้าง ecosystem ที่แข็งแรงได้จริง สหรัฐอาจเสียตำแหน่งผู้นำในตลาดเทคโนโลยี AI — โดยเฉพาะถ้า การควบคุมการส่งออกของสหรัฐเข้มเกินไปจนกลายเป็น “ผลย้อนกลับ” ทำให้จีนหาทางพึ่งพาตนเองได้เร็วขึ้น

    ตัวอย่างหนึ่งคือรัฐบาล Trump ได้ “ยกเลิก” กฎในยุค Biden ที่จำกัดการส่งออก GPU ให้กับพันธมิตรบางประเทศ เพื่อไม่ให้เสียพื้นที่ทางการค้าในระยะยาว

    Huawei พัฒนาชิป AI รุ่น 910C โดยรวมชิป 910B สองตัวเข้าด้วยกัน  
    • ให้ประสิทธิภาพใกล้เคียง NVIDIA H100  
    • ใช้ได้จริงกับตลาดในจีน และเตรียมขยายการส่งออก

    จีนกำลังลดช่องว่างด้านการออกแบบชิป เหลือห่างสหรัฐเพียง 1.5–2 ปี  
    • โดยเฉพาะบริษัทอย่าง Huawei ที่แก้เกมจากข้อจำกัดทางเทคนิคและการเมือง

    David Sacks เตือนว่า การควบคุมการส่งออกที่เข้มเกินไป อาจย้อนศร  
    • ทำให้คู่แข่งพึ่งพาตัวเองได้เร็ว และไม่ยอมรับมาตรฐานเทคโนโลยีของสหรัฐ

    Trump administration เลือกยกเลิกบางข้อจำกัดจากยุค Biden เพื่อรักษาฐานการค้าในระยะยาว

    แม้ผู้ก่อตั้ง Huawei ยอมรับว่า GPU ของตนยังล้าหลังกว่าคู่แข่ง แต่การสร้าง ecosystem และผลิตภัณฑ์ “ราคาเข้าถึงได้” อาจทำให้เป็นคู่แข่งที่น่ากลัวในอนาคต

    https://www.techspot.com/news/108400-us-tech-czar-warns-china-only-two-years.html
    David Sacks ที่ปรึกษาด้านเทคโนโลยีของทำเนียบขาว ให้สัมภาษณ์กับ Bloomberg ว่า ช่องว่างระหว่างจีนกับสหรัฐในด้านการออกแบบชิปตอนนี้เหลือแค่ 1.5–2 ปีเท่านั้น โดยเฉพาะ Huawei ซึ่งแม้จะยังขาดกำลังผลิต GPU ขั้นสูง แต่สามารถหาทางออกด้วยการนำ ชิปเก่า 910B มาต่อรวมกันเป็น “910C” เพื่อเพิ่มพลังประมวลผลและหน่วยความจำให้ใกล้เคียง NVIDIA H100 แม้จะไม่ใช่เทคโนโลยีใหม่สด แต่ถือเป็น “ทางเลือกภายในประเทศ” ที่ใช้งานจริงได้ และ Huawei เริ่มจะ ส่งออก AI Chip ไปยังลูกค้าต่างประเทศด้วย แล้ว Sacks เตือนว่า หากจีนสามารถผลิตและสร้าง ecosystem ที่แข็งแรงได้จริง สหรัฐอาจเสียตำแหน่งผู้นำในตลาดเทคโนโลยี AI — โดยเฉพาะถ้า การควบคุมการส่งออกของสหรัฐเข้มเกินไปจนกลายเป็น “ผลย้อนกลับ” ทำให้จีนหาทางพึ่งพาตนเองได้เร็วขึ้น ตัวอย่างหนึ่งคือรัฐบาล Trump ได้ “ยกเลิก” กฎในยุค Biden ที่จำกัดการส่งออก GPU ให้กับพันธมิตรบางประเทศ เพื่อไม่ให้เสียพื้นที่ทางการค้าในระยะยาว ✅ Huawei พัฒนาชิป AI รุ่น 910C โดยรวมชิป 910B สองตัวเข้าด้วยกัน   • ให้ประสิทธิภาพใกล้เคียง NVIDIA H100   • ใช้ได้จริงกับตลาดในจีน และเตรียมขยายการส่งออก ✅ จีนกำลังลดช่องว่างด้านการออกแบบชิป เหลือห่างสหรัฐเพียง 1.5–2 ปี   • โดยเฉพาะบริษัทอย่าง Huawei ที่แก้เกมจากข้อจำกัดทางเทคนิคและการเมือง ✅ David Sacks เตือนว่า การควบคุมการส่งออกที่เข้มเกินไป อาจย้อนศร   • ทำให้คู่แข่งพึ่งพาตัวเองได้เร็ว และไม่ยอมรับมาตรฐานเทคโนโลยีของสหรัฐ ✅ Trump administration เลือกยกเลิกบางข้อจำกัดจากยุค Biden เพื่อรักษาฐานการค้าในระยะยาว ✅ แม้ผู้ก่อตั้ง Huawei ยอมรับว่า GPU ของตนยังล้าหลังกว่าคู่แข่ง แต่การสร้าง ecosystem และผลิตภัณฑ์ “ราคาเข้าถึงได้” อาจทำให้เป็นคู่แข่งที่น่ากลัวในอนาคต https://www.techspot.com/news/108400-us-tech-czar-warns-china-only-two-years.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    US tech czar warns China is only two years behind in semiconductor and chip design
    According to Sacks, Huawei is making swift progress in chip design and could soon begin exporting its hardware, although the company still faces challenges in producing high-end...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 195 มุมมอง 0 รีวิว
  • ในอดีต NASCAR คือเกมของทักษะและช่างฝีมือ แต่วันนี้ทีมแข่งระดับท็อปใช้ AI มาวิเคราะห์ทุกอย่าง ตั้งแต่เสียงแชทระหว่างนักขับกับวิศวกร จนถึงการปรับแต่งรถ และวางกลยุทธ์การแข่งขันแบบเรียลไทม์

    Tom Gray จากทีม Hendrick Motorsports พูดไว้ชัดเจนว่า: “Information is speed…ใครรวบรวม วิเคราะห์ และตัดสินใจได้เร็วกว่า คนนั้นคือผู้ชนะ”

    ทีมนำ AI มาช่วยทำสิ่งที่คนเคยต้องใช้เวลาหลายชั่วโมง เช่น นั่งไล่ดูวิดีโอหรือภาพนิ่ง กลายเป็นงานที่ทำได้ในเวลาไม่กี่นาที เพราะซอฟต์แวร์จะ “หาสิ่งสำคัญให้เอง” อย่างเช่นจุดที่รถคู่แข่งเปลี่ยนไลน์ หรือปัญหาในช่วงพิทสต็อป

    นอกจากนี้ AI ยังถูกใช้ฝึกทีมงาน — ถ้าใครไม่ถนัดเรื่องใด ก็ให้ AI อธิบายวิธีทำงาน หรือให้โค้ดสำหรับพัฒนาเครื่องมือได้เลย เหมือนมีที่ปรึกษาด้านเทคนิคส่วนตัวอยู่ตลอดเวลา

    Hendrick Motorsports ก็ไม่ยอมน้อยหน้า เพราะมี AWS เป็นพาร์ทเนอร์ เลยใช้ AI มาวิเคราะห์ข้อมูลจากอดีต 40 ปี ทั้งหมด เอามา “ทดสอบย้อนหลัง” ว่าอะไรเคยได้ผล แล้วใช้ข้อมูลนั้นวางแผนการแข่งในอนาคต

    ทีม NASCAR ใช้ AI เพื่อวิเคราะห์, ตัดสินใจเร็ว และออกแบบกลยุทธ์การแข่งขันแบบแม่นยำขึ้น  
    • เช่น ตรวจจับคำสั่งที่ดี/พลาดจากวิทยุทีม  
    • วิเคราะห์ tone/urgency แบบเรียลไทม์

    AI ช่วยลดเวลางานซ้ำ เช่น การดูภาพและวิดีโอจำนวนมากเพื่อหา key moment  
    • ทีมอย่าง RFK Racing ใช้ลดเวลาทำงานจาก 3 ชม. เหลือ 1 ชม.

    AI ถูกนำมาใช้ฝึกคนในทีม ให้เรียนรู้ทักษะที่ไม่เชี่ยวชาญผ่านการโต้ตอบกับโมเดล LLM เช่น ChatGPT  
    • ช่วยเร่งความเร็วในการเขียนซอฟต์แวร์หรือแก้โค้ด

    ทีม Hendrick ใช้ AI จาก AWS เพื่อสร้าง visualisation สื่อสารแนวคิดระหว่างทีมได้ดียิ่งขึ้น  
    • ใช้ภาพจำลองช่วยสื่อสารแผนเทคนิคและชิ้นส่วน

    ข้อมูลจากอดีตกว่า 40 ปีถูกนำมา “ทดสอบย้อนหลัง” ด้วย AI เพื่อตรวจสอบกลยุทธ์ในอนาคต  
    • เปิดโอกาสสร้างโมเดลวิเคราะห์ความสำเร็จจากอดีต

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/21/information-is-speed-nascar-teams-use-ai-to-find-winning-edges
    ในอดีต NASCAR คือเกมของทักษะและช่างฝีมือ แต่วันนี้ทีมแข่งระดับท็อปใช้ AI มาวิเคราะห์ทุกอย่าง ตั้งแต่เสียงแชทระหว่างนักขับกับวิศวกร จนถึงการปรับแต่งรถ และวางกลยุทธ์การแข่งขันแบบเรียลไทม์ Tom Gray จากทีม Hendrick Motorsports พูดไว้ชัดเจนว่า: “Information is speed…ใครรวบรวม วิเคราะห์ และตัดสินใจได้เร็วกว่า คนนั้นคือผู้ชนะ” ทีมนำ AI มาช่วยทำสิ่งที่คนเคยต้องใช้เวลาหลายชั่วโมง เช่น นั่งไล่ดูวิดีโอหรือภาพนิ่ง กลายเป็นงานที่ทำได้ในเวลาไม่กี่นาที เพราะซอฟต์แวร์จะ “หาสิ่งสำคัญให้เอง” อย่างเช่นจุดที่รถคู่แข่งเปลี่ยนไลน์ หรือปัญหาในช่วงพิทสต็อป นอกจากนี้ AI ยังถูกใช้ฝึกทีมงาน — ถ้าใครไม่ถนัดเรื่องใด ก็ให้ AI อธิบายวิธีทำงาน หรือให้โค้ดสำหรับพัฒนาเครื่องมือได้เลย เหมือนมีที่ปรึกษาด้านเทคนิคส่วนตัวอยู่ตลอดเวลา Hendrick Motorsports ก็ไม่ยอมน้อยหน้า เพราะมี AWS เป็นพาร์ทเนอร์ เลยใช้ AI มาวิเคราะห์ข้อมูลจากอดีต 40 ปี ทั้งหมด เอามา “ทดสอบย้อนหลัง” ว่าอะไรเคยได้ผล แล้วใช้ข้อมูลนั้นวางแผนการแข่งในอนาคต ✅ ทีม NASCAR ใช้ AI เพื่อวิเคราะห์, ตัดสินใจเร็ว และออกแบบกลยุทธ์การแข่งขันแบบแม่นยำขึ้น   • เช่น ตรวจจับคำสั่งที่ดี/พลาดจากวิทยุทีม   • วิเคราะห์ tone/urgency แบบเรียลไทม์ ✅ AI ช่วยลดเวลางานซ้ำ เช่น การดูภาพและวิดีโอจำนวนมากเพื่อหา key moment   • ทีมอย่าง RFK Racing ใช้ลดเวลาทำงานจาก 3 ชม. เหลือ 1 ชม. ✅ AI ถูกนำมาใช้ฝึกคนในทีม ให้เรียนรู้ทักษะที่ไม่เชี่ยวชาญผ่านการโต้ตอบกับโมเดล LLM เช่น ChatGPT   • ช่วยเร่งความเร็วในการเขียนซอฟต์แวร์หรือแก้โค้ด ✅ ทีม Hendrick ใช้ AI จาก AWS เพื่อสร้าง visualisation สื่อสารแนวคิดระหว่างทีมได้ดียิ่งขึ้น   • ใช้ภาพจำลองช่วยสื่อสารแผนเทคนิคและชิ้นส่วน ✅ ข้อมูลจากอดีตกว่า 40 ปีถูกนำมา “ทดสอบย้อนหลัง” ด้วย AI เพื่อตรวจสอบกลยุทธ์ในอนาคต   • เปิดโอกาสสร้างโมเดลวิเคราะห์ความสำเร็จจากอดีต https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/21/information-is-speed-nascar-teams-use-ai-to-find-winning-edges
    WWW.THESTAR.COM.MY
    ‘Information is speed’: Nascar teams use AI to find winning edges
    From performance analysis to data visualisations, AI is playing an increasingly pivotal role in how race teams operate across the Nascar garage.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 221 มุมมอง 0 รีวิว
  • ด่วน!!
    มีการรายงานเครื่องบินทิ้งระเบิดสเตลท์ B-2 ขึ้นบินจากฐานทัพอากาศสหรัฐไวท์แมนในรัฐมิสซูรี มุ่งหน้าไปยังดิเอโกการ์เซีย โดยมีเครื่องบินเติมเชื้อเพลิง 8 ลำร่วมเดินทางด้วย

    สหรัฐกำลังช่วยเหลืออิสราเอลอย่างเต็มตัว ก่อนที่อิสราเอลจะล่มสลาย ซึ่งเป็นสิ่งที่ทาสผู้ซื่อสัตย์ยอมให้เรื่องนี้เกิดกับเจ้านายไม่ได้!!

    ในขณะเดียวกัน ประเทศใดๆที่บังอาจพัฒนาตัวเองจนมีความเจริญภายในประเทศ และกลายมาเป็นคู่แข่งของสหรัฐ พวกเขาทั้งหมดจะต้องถูกกำจัดออกไปให้พ้นทาง ด้วยข้ออ้าง "เป็นภัยคุกตามต่ออเมริกา!!!"
    ด่วน!! มีการรายงานเครื่องบินทิ้งระเบิดสเตลท์ B-2 ขึ้นบินจากฐานทัพอากาศสหรัฐไวท์แมนในรัฐมิสซูรี มุ่งหน้าไปยังดิเอโกการ์เซีย โดยมีเครื่องบินเติมเชื้อเพลิง 8 ลำร่วมเดินทางด้วย 👉สหรัฐกำลังช่วยเหลืออิสราเอลอย่างเต็มตัว ก่อนที่อิสราเอลจะล่มสลาย ซึ่งเป็นสิ่งที่ทาสผู้ซื่อสัตย์ยอมให้เรื่องนี้เกิดกับเจ้านายไม่ได้!! 👉ในขณะเดียวกัน ประเทศใดๆที่บังอาจพัฒนาตัวเองจนมีความเจริญภายในประเทศ และกลายมาเป็นคู่แข่งของสหรัฐ พวกเขาทั้งหมดจะต้องถูกกำจัดออกไปให้พ้นทาง ด้วยข้ออ้าง "เป็นภัยคุกตามต่ออเมริกา!!!"
    Like
    3
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 200 มุมมอง 0 รีวิว
  • Perplexity เป็นคู่แข่งของ ChatGPT ที่เน้น "ตอบแบบอิงแหล่งข้อมูลจากเว็บ" โดยจะรวบรวมเนื้อหาจากเว็บไซต์ต่าง ๆ มาสรุปตอบผู้ใช้ ซึ่งฟังดูดี...แต่ดันไปดึงบทความจากเว็บไซต์ข่าวอย่าง BBC, New York Times, Forbes ฯลฯ โดยไม่ได้ขออนุญาตก่อน

    BBC จึงส่งจดหมายถึง Perplexity ให้:
    - หยุดการ scrape (ดึง) ข้อมูลจากเว็บไซต์ของ BBC
    - ลบเนื้อหาที่ได้มาทั้งหมด
    - ถ้าจะใช้ต่อ ต้องมีการจ่ายค่าตอบแทนให้ด้วย

    BBC อาจฟ้องศาลและขอคำสั่งห้าม หาก Perplexity ไม่ยอมทำตาม ซึ่งสะท้อนแนวโน้มที่สำนักข่าวเริ่มหวงข้อมูลมากขึ้น—เพราะ AI ทำให้เซิร์ฟเวอร์ของพวกเขาโดนโหลดหนักขึ้น โดยไม่ได้มีรายได้เพิ่มจากคนอ่านจริง

    ฝั่ง Perplexity เองก็ไม่ยอมง่าย ๆ ตอบโต้ผ่าน Financial Times ว่าการกระทำของ BBC “บิดเบือนและฉวยโอกาส” พร้อมตำหนิว่า BBC “ไม่เข้าใจอินเทอร์เน็ตและกฎหมายลิขสิทธิ์” ด้วยซ้ำ

    ปัญหานี้ไม่ได้มีแค่ BBC—ก่อนหน้านี้ Perplexity เคยโดน Forbes, Wired, และ NYT กล่าวหาว่า “ลอกเนื้อหา” โดยไม่ได้รับอนุญาต และเคยโดน NYT ส่งจดหมาย cease & desist มาแล้ว

    แม้ Perplexity จะพยายามผูกมิตรด้วยการตั้งโปรแกรม revenue share กับ TIME, Fortune, Der Spiegel ฯลฯ โดยให้ส่วนแบ่งสูงสุดถึง 25% แต่ BBC ยังไม่ได้เข้าร่วม

    https://www.neowin.net/news/bbc-threatens-perplexity-with-legal-action-over-content-scraping/
    Perplexity เป็นคู่แข่งของ ChatGPT ที่เน้น "ตอบแบบอิงแหล่งข้อมูลจากเว็บ" โดยจะรวบรวมเนื้อหาจากเว็บไซต์ต่าง ๆ มาสรุปตอบผู้ใช้ ซึ่งฟังดูดี...แต่ดันไปดึงบทความจากเว็บไซต์ข่าวอย่าง BBC, New York Times, Forbes ฯลฯ โดยไม่ได้ขออนุญาตก่อน BBC จึงส่งจดหมายถึง Perplexity ให้: - หยุดการ scrape (ดึง) ข้อมูลจากเว็บไซต์ของ BBC - ลบเนื้อหาที่ได้มาทั้งหมด - ถ้าจะใช้ต่อ ต้องมีการจ่ายค่าตอบแทนให้ด้วย BBC อาจฟ้องศาลและขอคำสั่งห้าม หาก Perplexity ไม่ยอมทำตาม ซึ่งสะท้อนแนวโน้มที่สำนักข่าวเริ่มหวงข้อมูลมากขึ้น—เพราะ AI ทำให้เซิร์ฟเวอร์ของพวกเขาโดนโหลดหนักขึ้น โดยไม่ได้มีรายได้เพิ่มจากคนอ่านจริง ฝั่ง Perplexity เองก็ไม่ยอมง่าย ๆ ตอบโต้ผ่าน Financial Times ว่าการกระทำของ BBC “บิดเบือนและฉวยโอกาส” พร้อมตำหนิว่า BBC “ไม่เข้าใจอินเทอร์เน็ตและกฎหมายลิขสิทธิ์” ด้วยซ้ำ ปัญหานี้ไม่ได้มีแค่ BBC—ก่อนหน้านี้ Perplexity เคยโดน Forbes, Wired, และ NYT กล่าวหาว่า “ลอกเนื้อหา” โดยไม่ได้รับอนุญาต และเคยโดน NYT ส่งจดหมาย cease & desist มาแล้ว แม้ Perplexity จะพยายามผูกมิตรด้วยการตั้งโปรแกรม revenue share กับ TIME, Fortune, Der Spiegel ฯลฯ โดยให้ส่วนแบ่งสูงสุดถึง 25% แต่ BBC ยังไม่ได้เข้าร่วม https://www.neowin.net/news/bbc-threatens-perplexity-with-legal-action-over-content-scraping/
    WWW.NEOWIN.NET
    BBC threatens Perplexity with legal action over content scraping
    The BBC is the latest news publisher to take issue with Perplexity scraping its content for free. It has outlined several options that Perplexity can take.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 214 มุมมอง 0 รีวิว
  • FSR หรือ FidelityFX Super Resolution ของ AMD เป็นเทคโนโลยี upscaling แบบ AI ช่วยให้เกมรันที่เฟรมเรตสูงขึ้นบนความละเอียดสูง โดยยังรักษาคุณภาพภาพให้ดูชัดใกล้เคียง 4K แท้ ๆ ซึ่งคู่แข่งของมันคือ DLSS ของ NVIDIA ที่มี Tensor Core พิเศษอยู่บนการ์ด

    ปัญหาคือ… FSR 4 (รุ่นล่าสุด) ยังรองรับเฉพาะการ์ดจอ RX 9000 ซีรีส์ที่มีฮาร์ดแวร์ใหม่ที่ใช้ FP8 (floating point 8-bit) แต่ผู้ใช้งาน Reddit นามว่า Virtual-Cobbler-9930 พบว่า Mesa เวอร์ชันล่าสุดบน Linux สามารถ “จำลอง” ความสามารถ FP8 ด้วย FP16 แทน ทำให้ RX 7900 XTX (รุ่นปีที่แล้ว) สามารถใช้งาน FSR 4 ได้!

    เค้าใช้เครื่องมือชื่อ OptiScaler DLL injection ซึ่งแต่เดิมเคยใช้บังคับให้เกมรองรับ DLSS 2 หรือ XeSS ได้ แล้วใช้คำสั่งไม่กี่บรรทัดก็เปิดใช้งาน FSR 4 ในเกมต่าง ๆ ได้เลย

    ทดสอบแล้วพบว่าเกมอย่าง Cyberpunk 2077, Oblivion, และ Marvel Rivals รันได้จริง — โดยเฉพาะ Cyberpunk ได้ภาพที่คมกว่าตอนใช้ FSR 3.1 เยอะเลยครับ (ใบไม้ พุ่มไม้ ชัดขึ้น) แม้จะแลกกับ fps ที่ตกไป 33% จาก 85 เหลือ 56 — ซึ่งก็ยังเล่นได้ลื่นอยู่

    ผู้ใช้ Reddit ดัดแปลงให้ RX 7900 XTX ใช้งาน FSR 4 ได้ โดยไม่รองรับจาก AMD โดยตรง  
    • ใช้ Mesa ใหม่บน Linux ที่จำลอง FP8 ผ่าน FP16  
    • ใช้ OptiScaler DLL injection บังคับให้เกมรองรับ FSR 4

    ทดสอบแล้วทำงานได้จริงในเกมดัง เช่น Cyberpunk 2077 และ Oblivion  
    • คุณภาพดีขึ้นกว่าตอนใช้ FSR 3.1  
    • ภาพชัดขึ้น โดยเฉพาะ detail พุ่มไม้และใบไม้

    การลด fps มีอยู่แต่ยังอยู่ในระดับเล่นได้  
    • Cyberpunk: จาก 85 → 56 fps  
    • Oblivion: จาก 46 → 36 fps

    ผู้ใช้ทดสอบด้วย Ryzen 7 7700X (จำกัดไฟแค่ 65W), 128GB DDR5 บน Arch Linux  
    • แสดงว่าระบบไม่ต้องแรงแบบสุดทางก็เปิดใช้ได้

    คาดว่าภายในเดือนสิงหาคม Mesa จะออกเวอร์ชันเสถียรที่รวม patch นี้อัตโนมัติ  
    • เว้นแต่ว่า AMD จะขอให้ปิดฟีเจอร์นี้ออกจากโค้ด

    FSR 4 ที่ดัดแปลงใช้งานนี้ “ไม่ได้รับการรับรอง” จาก AMD  
    • อาจมีบั๊ก ความไม่เข้ากัน หรือประสิทธิภาพไม่เสถียร

    การฉีด DLL (DLL injection) อาจถูกแอนตี้ไวรัสหรือระบบความปลอดภัยมองว่าเป็นภัย  
    • ควรใช้อย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะกับเกมที่มีระบบต่อต้านโกง

    คุณภาพที่ได้สูงขึ้น แต่ถ้ารันความละเอียดต่ำกว่า 4K เช่น 1080p จะไม่มีประโยชน์ชัดเจน  
    • เหมาะสำหรับผู้ที่เล่นเกมระดับ 4K เท่านั้น

    อาจส่งผลกระทบต่อท่าทีของ AMD ต่อชุมชนนักพัฒนา  
    • หาก AMD เห็นว่าการดัดแปลงนี้ขัดกับแนวทางบริษัท อาจสั่งถอนฟีเจอร์ออกจาก Mesa

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/enthusiast-hacks-fsr-4-onto-rx-7000-series-gpu-without-official-amd-support-returns-better-quality-but-slightly-lower-fps-than-fsr-3-1
    FSR หรือ FidelityFX Super Resolution ของ AMD เป็นเทคโนโลยี upscaling แบบ AI ช่วยให้เกมรันที่เฟรมเรตสูงขึ้นบนความละเอียดสูง โดยยังรักษาคุณภาพภาพให้ดูชัดใกล้เคียง 4K แท้ ๆ ซึ่งคู่แข่งของมันคือ DLSS ของ NVIDIA ที่มี Tensor Core พิเศษอยู่บนการ์ด ปัญหาคือ… FSR 4 (รุ่นล่าสุด) ยังรองรับเฉพาะการ์ดจอ RX 9000 ซีรีส์ที่มีฮาร์ดแวร์ใหม่ที่ใช้ FP8 (floating point 8-bit) แต่ผู้ใช้งาน Reddit นามว่า Virtual-Cobbler-9930 พบว่า Mesa เวอร์ชันล่าสุดบน Linux สามารถ “จำลอง” ความสามารถ FP8 ด้วย FP16 แทน ทำให้ RX 7900 XTX (รุ่นปีที่แล้ว) สามารถใช้งาน FSR 4 ได้! เค้าใช้เครื่องมือชื่อ OptiScaler DLL injection ซึ่งแต่เดิมเคยใช้บังคับให้เกมรองรับ DLSS 2 หรือ XeSS ได้ แล้วใช้คำสั่งไม่กี่บรรทัดก็เปิดใช้งาน FSR 4 ในเกมต่าง ๆ ได้เลย ทดสอบแล้วพบว่าเกมอย่าง Cyberpunk 2077, Oblivion, และ Marvel Rivals รันได้จริง — โดยเฉพาะ Cyberpunk ได้ภาพที่คมกว่าตอนใช้ FSR 3.1 เยอะเลยครับ (ใบไม้ พุ่มไม้ ชัดขึ้น) แม้จะแลกกับ fps ที่ตกไป 33% จาก 85 เหลือ 56 — ซึ่งก็ยังเล่นได้ลื่นอยู่ ✅ ผู้ใช้ Reddit ดัดแปลงให้ RX 7900 XTX ใช้งาน FSR 4 ได้ โดยไม่รองรับจาก AMD โดยตรง   • ใช้ Mesa ใหม่บน Linux ที่จำลอง FP8 ผ่าน FP16   • ใช้ OptiScaler DLL injection บังคับให้เกมรองรับ FSR 4 ✅ ทดสอบแล้วทำงานได้จริงในเกมดัง เช่น Cyberpunk 2077 และ Oblivion   • คุณภาพดีขึ้นกว่าตอนใช้ FSR 3.1   • ภาพชัดขึ้น โดยเฉพาะ detail พุ่มไม้และใบไม้ ✅ การลด fps มีอยู่แต่ยังอยู่ในระดับเล่นได้   • Cyberpunk: จาก 85 → 56 fps   • Oblivion: จาก 46 → 36 fps ✅ ผู้ใช้ทดสอบด้วย Ryzen 7 7700X (จำกัดไฟแค่ 65W), 128GB DDR5 บน Arch Linux   • แสดงว่าระบบไม่ต้องแรงแบบสุดทางก็เปิดใช้ได้ ✅ คาดว่าภายในเดือนสิงหาคม Mesa จะออกเวอร์ชันเสถียรที่รวม patch นี้อัตโนมัติ   • เว้นแต่ว่า AMD จะขอให้ปิดฟีเจอร์นี้ออกจากโค้ด ‼️ FSR 4 ที่ดัดแปลงใช้งานนี้ “ไม่ได้รับการรับรอง” จาก AMD   • อาจมีบั๊ก ความไม่เข้ากัน หรือประสิทธิภาพไม่เสถียร ‼️ การฉีด DLL (DLL injection) อาจถูกแอนตี้ไวรัสหรือระบบความปลอดภัยมองว่าเป็นภัย   • ควรใช้อย่างระมัดระวัง โดยเฉพาะกับเกมที่มีระบบต่อต้านโกง ‼️ คุณภาพที่ได้สูงขึ้น แต่ถ้ารันความละเอียดต่ำกว่า 4K เช่น 1080p จะไม่มีประโยชน์ชัดเจน   • เหมาะสำหรับผู้ที่เล่นเกมระดับ 4K เท่านั้น ‼️ อาจส่งผลกระทบต่อท่าทีของ AMD ต่อชุมชนนักพัฒนา   • หาก AMD เห็นว่าการดัดแปลงนี้ขัดกับแนวทางบริษัท อาจสั่งถอนฟีเจอร์ออกจาก Mesa https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/enthusiast-hacks-fsr-4-onto-rx-7000-series-gpu-without-official-amd-support-returns-better-quality-but-slightly-lower-fps-than-fsr-3-1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 175 มุมมอง 0 รีวิว
  • Texas Instruments เป็นผู้ผลิตชิปอนาล็อกรายใหญ่ระดับโลก (ใช้ควบคุมพลังงาน, สัญญาณ, sensor ต่าง ๆ) ซึ่งเจ้าใหญ่ ๆ อย่าง Apple, NVIDIA, Ford, Medtronic และ SpaceX ต่างเป็นลูกค้าหลัก คราวนี้ TI ออกมาประกาศว่าจะลงทุนรวมกว่า 6 หมื่นล้านดอลลาร์ใน “สายการผลิตขนาด 300 มม.” ทั้งหมด 7 แห่ง ทั่วสหรัฐฯ ภายในไม่กี่ปีข้างหน้า

    ไฮไลต์ของแผนคือ “การยกระดับ 3 mega-site” ได้แก่ที่เมือง Sherman (เทกซัส), Richardson (เทกซัส), และ Lehi (ยูทาห์) — โดยเฉพาะ ไซต์ Sherman ได้งบถึง 40,000 ล้านดอลลาร์! เพื่อสร้างโรงงาน SM1 และ SM2 ให้เสร็จ และวางแผนเริ่ม SM3 และ SM4 เพื่อรองรับ “ดีมานด์ในอนาคต”

    ฝั่ง Lehi กับ Richardson ก็ไม่น้อยหน้า — TI เตรียมอัปเกรดสายการผลิต พร้อมเร่งสร้างโรงงานน้องใหม่อย่าง LFAB2 ไปพร้อมกัน

    แม้ TI จะเคยได้รับคำสัญญาจากรัฐบาลสหรัฐฯ ว่าจะสนับสนุนเงิน $1.6 พันล้านภายใต้ CHIPS Act (เพื่อขยายไลน์ผลิตให้ทันสมัยขึ้น) แต่ครั้งนี้ TI ไม่ได้พูดถึงเงินสนับสนุนใด ๆ — ทำให้หลายคนตั้งข้อสังเกตว่านี่อาจเป็น “เกมการเมืองล่วงหน้า” เพื่อแสดงความร่วมมือก่อนกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ตัดสินใจรอบใหม่ว่าจะจ่ายจริงหรือไม่

    แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด แผนนี้จะสร้างงานหลายหมื่นตำแหน่ง และเป็นประโยชน์ต่อระบบการศึกษาในพื้นที่โดยตรง เช่น สนับสนุนโรงเรียนในพื้นที่ให้สร้าง pipeline ป้อนเด็กเข้าโรงงานของ TI โดยตรงเลย!

    Texas Instruments จะลงทุนกว่า $60 พันล้านในโรงงานผลิตชิป 7 แห่งในสหรัฐฯ  
    • ถือเป็นการลงทุนด้านการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในประเทศครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์

    เน้นที่โรงงานขนาด 300 มม. (wafer)  
    • ใช้ผลิต “ชิปอนาล็อกพื้นฐาน” ที่จำเป็นกับอุตสาหกรรมเกือบทุกประเภท

    ไซต์หลัก 3 แห่ง: Sherman, Richardson (เทกซัส) และ Lehi (ยูทาห์)  
    • Sherman ได้งบกว่า $40B สร้าง SM1–SM4  
    • Lehi จะเร่งสร้าง LFAB2 และเร่งกำลังผลิต  
    • Richardson เพิ่ม output ของ fab ที่ 2

    มีลูกค้ารายใหญ่อย่าง Apple, NVIDIA, Medtronic, Ford, SpaceX ออกมาหนุน  
    • แสดงให้เห็นว่าแผนนี้ “ได้รับการสนับสนุนระดับ ecosystem”

    ตั้งเป้าเสริม supply chain ภายในประเทศ ไม่พึ่งพาต่างชาติ  
    • สอดคล้องกับนโยบายความมั่นคงด้านเทคโนโลยีของสหรัฐฯ

    ยังไม่ชัดว่าเงินทุนทั้งหมดจะมาจาก TI จริง หรือรอ CHIPS Act อนุมัติอยู่เบื้องหลัง  
    • มีผู้เชี่ยวชาญตั้งข้อสงสัยว่าแผนนี้อาจมี “กลยุทธ์การเมือง” แฝงอยู่

    TI ไม่พูดถึงการพัฒนา node ขั้นสูง (เช่น sub-7nm หรือ AI chip)  
    • ชิปของ TI ยังอยู่ในหมวด “foundational analog” ซึ่งแม้จำเป็น แต่ไม่ได้ใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยเท่าคู่แข่ง

    แรงกดดันจากรัฐบาลสหรัฐฯ ในการตั้งโรงงานในประเทศ อาจสร้างภาระด้านต้นทุนกับบริษัท  
    • โดยเฉพาะหากต้องแข่งขันด้านราคากับผู้ผลิตในเอเชีย

    ยังไม่มีไทม์ไลน์ชัดเจนสำหรับสายผลิตใหม่หลายแห่ง เช่น SM3/SM4 ที่อยู่ในขั้น “แผนล่วงหน้า”  
    • อาจล่าช้าหากเงินทุนไม่มากพอ หรือเงื่อนไขทางการเมืองเปลี่ยน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/texas-instruments-commits-usd60-billion-to-u-s-semiconductor-manufacturing-includes-planned-expansions-to-texas-utah-fabs
    Texas Instruments เป็นผู้ผลิตชิปอนาล็อกรายใหญ่ระดับโลก (ใช้ควบคุมพลังงาน, สัญญาณ, sensor ต่าง ๆ) ซึ่งเจ้าใหญ่ ๆ อย่าง Apple, NVIDIA, Ford, Medtronic และ SpaceX ต่างเป็นลูกค้าหลัก คราวนี้ TI ออกมาประกาศว่าจะลงทุนรวมกว่า 6 หมื่นล้านดอลลาร์ใน “สายการผลิตขนาด 300 มม.” ทั้งหมด 7 แห่ง ทั่วสหรัฐฯ ภายในไม่กี่ปีข้างหน้า ไฮไลต์ของแผนคือ “การยกระดับ 3 mega-site” ได้แก่ที่เมือง Sherman (เทกซัส), Richardson (เทกซัส), และ Lehi (ยูทาห์) — โดยเฉพาะ ไซต์ Sherman ได้งบถึง 40,000 ล้านดอลลาร์! เพื่อสร้างโรงงาน SM1 และ SM2 ให้เสร็จ และวางแผนเริ่ม SM3 และ SM4 เพื่อรองรับ “ดีมานด์ในอนาคต” ฝั่ง Lehi กับ Richardson ก็ไม่น้อยหน้า — TI เตรียมอัปเกรดสายการผลิต พร้อมเร่งสร้างโรงงานน้องใหม่อย่าง LFAB2 ไปพร้อมกัน แม้ TI จะเคยได้รับคำสัญญาจากรัฐบาลสหรัฐฯ ว่าจะสนับสนุนเงิน $1.6 พันล้านภายใต้ CHIPS Act (เพื่อขยายไลน์ผลิตให้ทันสมัยขึ้น) แต่ครั้งนี้ TI ไม่ได้พูดถึงเงินสนับสนุนใด ๆ — ทำให้หลายคนตั้งข้อสังเกตว่านี่อาจเป็น “เกมการเมืองล่วงหน้า” เพื่อแสดงความร่วมมือก่อนกระทรวงพาณิชย์สหรัฐฯ ตัดสินใจรอบใหม่ว่าจะจ่ายจริงหรือไม่ แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใด แผนนี้จะสร้างงานหลายหมื่นตำแหน่ง และเป็นประโยชน์ต่อระบบการศึกษาในพื้นที่โดยตรง เช่น สนับสนุนโรงเรียนในพื้นที่ให้สร้าง pipeline ป้อนเด็กเข้าโรงงานของ TI โดยตรงเลย! ✅ Texas Instruments จะลงทุนกว่า $60 พันล้านในโรงงานผลิตชิป 7 แห่งในสหรัฐฯ   • ถือเป็นการลงทุนด้านการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ในประเทศครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ✅ เน้นที่โรงงานขนาด 300 มม. (wafer)   • ใช้ผลิต “ชิปอนาล็อกพื้นฐาน” ที่จำเป็นกับอุตสาหกรรมเกือบทุกประเภท ✅ ไซต์หลัก 3 แห่ง: Sherman, Richardson (เทกซัส) และ Lehi (ยูทาห์)   • Sherman ได้งบกว่า $40B สร้าง SM1–SM4   • Lehi จะเร่งสร้าง LFAB2 และเร่งกำลังผลิต   • Richardson เพิ่ม output ของ fab ที่ 2 ✅ มีลูกค้ารายใหญ่อย่าง Apple, NVIDIA, Medtronic, Ford, SpaceX ออกมาหนุน   • แสดงให้เห็นว่าแผนนี้ “ได้รับการสนับสนุนระดับ ecosystem” ✅ ตั้งเป้าเสริม supply chain ภายในประเทศ ไม่พึ่งพาต่างชาติ   • สอดคล้องกับนโยบายความมั่นคงด้านเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ‼️ ยังไม่ชัดว่าเงินทุนทั้งหมดจะมาจาก TI จริง หรือรอ CHIPS Act อนุมัติอยู่เบื้องหลัง   • มีผู้เชี่ยวชาญตั้งข้อสงสัยว่าแผนนี้อาจมี “กลยุทธ์การเมือง” แฝงอยู่ ‼️ TI ไม่พูดถึงการพัฒนา node ขั้นสูง (เช่น sub-7nm หรือ AI chip)   • ชิปของ TI ยังอยู่ในหมวด “foundational analog” ซึ่งแม้จำเป็น แต่ไม่ได้ใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยเท่าคู่แข่ง ‼️ แรงกดดันจากรัฐบาลสหรัฐฯ ในการตั้งโรงงานในประเทศ อาจสร้างภาระด้านต้นทุนกับบริษัท   • โดยเฉพาะหากต้องแข่งขันด้านราคากับผู้ผลิตในเอเชีย ‼️ ยังไม่มีไทม์ไลน์ชัดเจนสำหรับสายผลิตใหม่หลายแห่ง เช่น SM3/SM4 ที่อยู่ในขั้น “แผนล่วงหน้า”   • อาจล่าช้าหากเงินทุนไม่มากพอ หรือเงื่อนไขทางการเมืองเปลี่ยน https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/texas-instruments-commits-usd60-billion-to-u-s-semiconductor-manufacturing-includes-planned-expansions-to-texas-utah-fabs
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Texas Instruments commits $60 billion to U.S. semiconductor manufacturing — includes planned expansions to Texas, Utah fabs
    Texas Instruments announces investments in seven upcoming U.S. 300mm fabs, though we already knew about five
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 259 มุมมอง 0 รีวิว
  • หลังเปิดตัวที่ Computex ไปอย่างน่าตื่นเต้น คราวนี้ AMD เผยผลทดสอบจริงของ Ryzen Threadripper 9000 ซีรีส์แล้ว โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่มหลักคือ รุ่นธรรมดา HEDT (X) และ รุ่นระดับมือโปร (WX)

    รุ่นท็อป Threadripper Pro 9995WX จัดเต็ม 96 คอร์ 192 เธรด! แถมมี Boost Clock สูงสุด 5.45 GHz พร้อม L3 Cache 384MB และ PCIe 5.0 ถึง 128 เลน — ข้อมูลที่น่าสนใจคือ AMD เคลมว่าสามารถ “ทำงานเร็วกว่า Xeon W9-3595X สูงสุดถึง 145%” ในงานเรนเดอร์ V-Ray

    ในงานสร้างสรรค์และ AI ก็แรงไม่แพ้กัน เช่น เร็วกว่า 49% ใน LLM ของ DeepSeek R1 32B และเร็วกว่า 28% ในงาน AI video editing บน DaVinci Resolve

    นอกจากนี้ รุ่น HEDT สำหรับนักสร้างคอนเทนต์ทั่วไป เช่น Threadripper 9980X ก็ทำผลงานดีกว่า Xeon ตัวเดียวกันถึง 108% บน Corona Render, 65% เร็วกว่าใน Unreal Engine และ 22% ใน Premiere Pro

    ฝั่ง AMD ยังไม่บอกราคา แต่เตรียมวางขายในเดือนกรกฎาคมนี้ และสู้กันชัด ๆ กับ Xeon W9 และ Xeon Pro เจเนอเรชันล่าสุดจาก Intel ที่เริ่มเปิดตัวในปีนี้เหมือนกัน

    AMD เผย Benchmark อย่างเป็นทางการของ Ryzen Threadripper 9000 ซีรีส์  
    • ครอบคลุมทั้งกลุ่ม HEDT (X) และ Workstation Pro (WX)  
    • เทียบกับ Intel Xeon W9-3595X ในหลายงานทั้งสร้างสรรค์ วิศวกรรม และ AI

    Threadripper 9980X (HEDT)  • เร็วกว่าคู่แข่ง Xeon W9-3595X:   
    • 108% บน Corona Render   
    • 65% ใน Unreal Engine build   
    • 41% บน Autodesk Revit   
    • 22% บน Adobe Premiere Pro

    Threadripper Pro 9995WX (Workstation)  
    • เร็วกว่า Threadripper 7995WX รุ่นก่อนหน้า:   
    • 26% บน After Effects   
    • 20% บน V-Ray   
    • 19% บน Cinebench nT

    ด้าน AI/LLM/Creative มี performance เหนือกว่า Xeon  
    • 49% เร็วกว่าใน DeepSeek R1 (LLM 32B)  
    • 34% เร็วกว่าในการสร้างภาพ (text-to-image) ด้วย Flux.1 + ComfyUI  
    • 28% เร็วกว่าใน DaVinci Resolve (AI assisted creation)  
    • 119–145% เร็วกว่าใน V-Ray และ Keyshot

    รายละเอียดสเปก Threadripper Pro 9995WX  
    • 96 คอร์ / 192 เธรด / Boost 5.45GHz  
    • TDP 350W / L3 Cache 384MB / PCIe 5.0 x128 lanes  
    • รองรับ DDR5-6400 ECC

    มีทั้งหมด 10 รุ่นย่อย: 7 รุ่น WX / 3 รุ่น X (non-Pro)  
    • วางขายกรกฎาคม 2025  
    • ราคายังไม่เปิดเผย

    Benchmark ทั้งหมดมาจาก AMD โดยตรง — ต้องรอการทดสอบอิสระเพื่อยืนยัน  
    • ตัวเลขที่ AMD ให้มักมาจาก workloads เฉพาะทาง  
    • อาจไม่สะท้อนประสิทธิภาพจริงในงานทั่วไป

    TDP 350W อาจต้องใช้ระบบระบายความร้อนขั้นสูง  
    • โดยเฉพาะหากใช้ในการเรนเดอร์หรือ AI inferencing ต่อเนื่อง

    ยังไม่มีข้อมูลเรื่องราคาหรือ availability ในตลาดทั่วไป  
    • อาจเริ่มจากเวิร์กสเตชันแบรนด์ OEM ก่อน เช่น Dell, Lenovo

    รุ่น Workstation ต้องใช้แพลตฟอร์มเฉพาะ เช่น WRX90 ซึ่งแพงและมีข้อจำกัดมากกว่า consumer CPU  
    • ไม่สามารถใช้ร่วมกับเมนบอร์ดทั่วไปได้

    https://www.techspot.com/news/108362-amd-claims-ryzen-threadripper-9000-up-145-faster.html
    หลังเปิดตัวที่ Computex ไปอย่างน่าตื่นเต้น คราวนี้ AMD เผยผลทดสอบจริงของ Ryzen Threadripper 9000 ซีรีส์แล้ว โดยแบ่งเป็น 2 กลุ่มหลักคือ รุ่นธรรมดา HEDT (X) และ รุ่นระดับมือโปร (WX) รุ่นท็อป Threadripper Pro 9995WX จัดเต็ม 96 คอร์ 192 เธรด! แถมมี Boost Clock สูงสุด 5.45 GHz พร้อม L3 Cache 384MB และ PCIe 5.0 ถึง 128 เลน — ข้อมูลที่น่าสนใจคือ AMD เคลมว่าสามารถ “ทำงานเร็วกว่า Xeon W9-3595X สูงสุดถึง 145%” ในงานเรนเดอร์ V-Ray ในงานสร้างสรรค์และ AI ก็แรงไม่แพ้กัน เช่น เร็วกว่า 49% ใน LLM ของ DeepSeek R1 32B และเร็วกว่า 28% ในงาน AI video editing บน DaVinci Resolve นอกจากนี้ รุ่น HEDT สำหรับนักสร้างคอนเทนต์ทั่วไป เช่น Threadripper 9980X ก็ทำผลงานดีกว่า Xeon ตัวเดียวกันถึง 108% บน Corona Render, 65% เร็วกว่าใน Unreal Engine และ 22% ใน Premiere Pro ฝั่ง AMD ยังไม่บอกราคา แต่เตรียมวางขายในเดือนกรกฎาคมนี้ และสู้กันชัด ๆ กับ Xeon W9 และ Xeon Pro เจเนอเรชันล่าสุดจาก Intel ที่เริ่มเปิดตัวในปีนี้เหมือนกัน ✅ AMD เผย Benchmark อย่างเป็นทางการของ Ryzen Threadripper 9000 ซีรีส์   • ครอบคลุมทั้งกลุ่ม HEDT (X) และ Workstation Pro (WX)   • เทียบกับ Intel Xeon W9-3595X ในหลายงานทั้งสร้างสรรค์ วิศวกรรม และ AI ✅ Threadripper 9980X (HEDT)  • เร็วกว่าคู่แข่ง Xeon W9-3595X:    • 108% บน Corona Render    • 65% ใน Unreal Engine build    • 41% บน Autodesk Revit    • 22% บน Adobe Premiere Pro ✅ Threadripper Pro 9995WX (Workstation)   • เร็วกว่า Threadripper 7995WX รุ่นก่อนหน้า:    • 26% บน After Effects    • 20% บน V-Ray    • 19% บน Cinebench nT ✅ ด้าน AI/LLM/Creative มี performance เหนือกว่า Xeon   • 49% เร็วกว่าใน DeepSeek R1 (LLM 32B)   • 34% เร็วกว่าในการสร้างภาพ (text-to-image) ด้วย Flux.1 + ComfyUI   • 28% เร็วกว่าใน DaVinci Resolve (AI assisted creation)   • 119–145% เร็วกว่าใน V-Ray และ Keyshot ✅ รายละเอียดสเปก Threadripper Pro 9995WX   • 96 คอร์ / 192 เธรด / Boost 5.45GHz   • TDP 350W / L3 Cache 384MB / PCIe 5.0 x128 lanes   • รองรับ DDR5-6400 ECC ✅ มีทั้งหมด 10 รุ่นย่อย: 7 รุ่น WX / 3 รุ่น X (non-Pro)   • วางขายกรกฎาคม 2025   • ราคายังไม่เปิดเผย ‼️ Benchmark ทั้งหมดมาจาก AMD โดยตรง — ต้องรอการทดสอบอิสระเพื่อยืนยัน   • ตัวเลขที่ AMD ให้มักมาจาก workloads เฉพาะทาง   • อาจไม่สะท้อนประสิทธิภาพจริงในงานทั่วไป ‼️ TDP 350W อาจต้องใช้ระบบระบายความร้อนขั้นสูง   • โดยเฉพาะหากใช้ในการเรนเดอร์หรือ AI inferencing ต่อเนื่อง ‼️ ยังไม่มีข้อมูลเรื่องราคาหรือ availability ในตลาดทั่วไป   • อาจเริ่มจากเวิร์กสเตชันแบรนด์ OEM ก่อน เช่น Dell, Lenovo ‼️ รุ่น Workstation ต้องใช้แพลตฟอร์มเฉพาะ เช่น WRX90 ซึ่งแพงและมีข้อจำกัดมากกว่า consumer CPU   • ไม่สามารถใช้ร่วมกับเมนบอร์ดทั่วไปได้ https://www.techspot.com/news/108362-amd-claims-ryzen-threadripper-9000-up-145-faster.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    AMD claims Ryzen Threadripper 9000 is up to 145% faster than Intel Xeon
    According to AMD, the Threadripper 9980X HEDT processor is up to 108 percent faster than the Xeon W9-3595X in Corona Render, up to 41 percent faster in...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 186 มุมมอง 0 รีวิว
  • ใครจะเชื่อว่า “โบนัสเซ็นสัญญา” สำหรับนักวิจัย AI ตอนนี้อาจแตะตัวเลข 100 ล้านเหรียญ! Sam Altman ซีอีโอของ OpenAI ให้สัมภาษณ์ในพอดแคสต์ของน้องชายตัวเองว่า Meta เสนอตัวเลขนี้จริง ๆ เพื่อดึงคนจาก OpenAI ไป

    Altman บอกว่า “Meta เริ่มแจกข้อเสนอระดับไม่ธรรมดากับหลายคนในทีมเรา...ยังดีที่ตอนนี้ไม่มีใครตัดสินใจย้ายไปนะ” ข้อเสนอนี้รวมทั้งโบนัสและค่าตอบแทนรายปีซึ่งรวม ๆ กันก็ทำให้หลายคน “ตาค้าง”

    เบื้องหลังเรื่องนี้คือ Meta ตั้งทีม AI “superintelligence” ใหม่ โดยมี Alexandr Wang (อดีตซีอีโอของ Scale AI) มาเป็นผู้นำ ซึ่งนั่งทำงานใกล้กับ Mark Zuckerberg เลย แถม Meta ก็เพิ่งเทเงิน $14.3 พันล้านลงทุนใน Scale AI ไปหมาด ๆ ถือว่าจัดหนักในสนามนี้

    Altman ยังวิจารณ์เบา ๆ ว่า “Meta ไม่ใช่บริษัทที่เก่งเรื่องนวัตกรรม” และเตือนว่า ถ้าบริษัทไหนมองแค่เรื่องเงินมากกว่าภารกิจ AI ระดับ AGI (Artificial General Intelligence) อาจสร้างวัฒนธรรมที่ไม่เหมาะกับการเกิด “การค้นพบครั้งใหญ่”

    Meta เสนอค่าตอบแทนสูงถึง $100 ล้าน เพื่อดึงนักวิจัย AI จากคู่แข่ง  
    • รวมทั้งโบนัสเซ็นสัญญาและค่าตอบแทนรวมรายปี  
    • จุดมุ่งหมายเพื่อเร่งสร้างทีม AI ระดับ “superintelligence”

    Sam Altman เผยเรื่องนี้ในพอดแคสต์ โดยระบุว่า Meta เสนอให้หลายคนใน OpenAI  
    • ยืนยันว่าขณะนี้ยังไม่มีใครรับข้อเสนอ  
    • มองว่า OpenAI มีโอกาสบรรลุ AGI ได้มากกว่า Meta

    ผู้นำทีมใหม่ของ Meta คือ Alexandr Wang (อดีต CEO ของ Scale AI)  
    • ทำงานใกล้ชิดกับ Mark Zuckerberg  
    • Meta ลงทุน $14.3 พันล้านใน Scale AI เพื่อสนับสนุนทิศทางนี้

    Meta ได้ตัวนักวิจัยดังบางคนจาก Google DeepMind และ Sesame AI แล้ว  
    • เช่น Jack Rae และ Johan Schalkwyk  
    • แต่ยังไม่สำเร็จในการดึง Noam Brown จาก OpenAI หรือ Koray Kavukcuoglu จาก Google

    มีมุมมองจากผู้บริหาร AI คนอื่นว่าการล่าคนต้องมีทั้งเงินและทรัพยากร GPU  
    • CEO ของ Perplexity เผยนักวิจัยจาก Meta บอก “มี 10,000 H100 เมื่อไหร่ ค่อยกลับมาคุย”

    การล่าพนักงานแบบ “เงินนำหน้า” อาจทำลายวัฒนธรรมองค์กร  
    • คนที่เข้ามาเพราะเงิน อาจไม่ยึดมั่นในเป้าหมายระยะยาวขององค์กร  
    • ยิ่งในการวิจัย AI แบบ AGI ที่ต้องการการร่วมมือและความมุ่งมั่นสูง

    Meta ถูกวิจารณ์ว่านวัตกรรมโอเพ่นซอร์สของตัวเอง “สะดุด” หลังเลื่อนปล่อยโมเดลใหม่  
    • ทำให้คู่แข่งอย่าง Google, DeepSeek และ OpenAI นำหน้าไปก่อน

    การแย่งบุคลากร AI อาจทำให้ช่องว่างเทคโนโลยีระหว่างบริษัทยิ่งถ่างออก  
    • บริษัทเล็กหรือประเทศกำลังพัฒนาจะเสียเปรียบอย่างมาก

    การเสนอค่าตัวระดับเกิน 100 ล้านดอลลาร์อาจผลักดันค่าจ้างในวงการขึ้นแบบไม่ยั่งยืน  
    • กระทบ ecosystem ของ startup และการวิจัยสาธารณะ

    https://www.techspot.com/news/108357-meta-offering-up-100-million-lure-ai-talent.html
    ใครจะเชื่อว่า “โบนัสเซ็นสัญญา” สำหรับนักวิจัย AI ตอนนี้อาจแตะตัวเลข 100 ล้านเหรียญ! Sam Altman ซีอีโอของ OpenAI ให้สัมภาษณ์ในพอดแคสต์ของน้องชายตัวเองว่า Meta เสนอตัวเลขนี้จริง ๆ เพื่อดึงคนจาก OpenAI ไป Altman บอกว่า “Meta เริ่มแจกข้อเสนอระดับไม่ธรรมดากับหลายคนในทีมเรา...ยังดีที่ตอนนี้ไม่มีใครตัดสินใจย้ายไปนะ” ข้อเสนอนี้รวมทั้งโบนัสและค่าตอบแทนรายปีซึ่งรวม ๆ กันก็ทำให้หลายคน “ตาค้าง” เบื้องหลังเรื่องนี้คือ Meta ตั้งทีม AI “superintelligence” ใหม่ โดยมี Alexandr Wang (อดีตซีอีโอของ Scale AI) มาเป็นผู้นำ ซึ่งนั่งทำงานใกล้กับ Mark Zuckerberg เลย แถม Meta ก็เพิ่งเทเงิน $14.3 พันล้านลงทุนใน Scale AI ไปหมาด ๆ ถือว่าจัดหนักในสนามนี้ Altman ยังวิจารณ์เบา ๆ ว่า “Meta ไม่ใช่บริษัทที่เก่งเรื่องนวัตกรรม” และเตือนว่า ถ้าบริษัทไหนมองแค่เรื่องเงินมากกว่าภารกิจ AI ระดับ AGI (Artificial General Intelligence) อาจสร้างวัฒนธรรมที่ไม่เหมาะกับการเกิด “การค้นพบครั้งใหญ่” ✅ Meta เสนอค่าตอบแทนสูงถึง $100 ล้าน เพื่อดึงนักวิจัย AI จากคู่แข่ง   • รวมทั้งโบนัสเซ็นสัญญาและค่าตอบแทนรวมรายปี   • จุดมุ่งหมายเพื่อเร่งสร้างทีม AI ระดับ “superintelligence” ✅ Sam Altman เผยเรื่องนี้ในพอดแคสต์ โดยระบุว่า Meta เสนอให้หลายคนใน OpenAI   • ยืนยันว่าขณะนี้ยังไม่มีใครรับข้อเสนอ   • มองว่า OpenAI มีโอกาสบรรลุ AGI ได้มากกว่า Meta ✅ ผู้นำทีมใหม่ของ Meta คือ Alexandr Wang (อดีต CEO ของ Scale AI)   • ทำงานใกล้ชิดกับ Mark Zuckerberg   • Meta ลงทุน $14.3 พันล้านใน Scale AI เพื่อสนับสนุนทิศทางนี้ ✅ Meta ได้ตัวนักวิจัยดังบางคนจาก Google DeepMind และ Sesame AI แล้ว   • เช่น Jack Rae และ Johan Schalkwyk   • แต่ยังไม่สำเร็จในการดึง Noam Brown จาก OpenAI หรือ Koray Kavukcuoglu จาก Google ✅ มีมุมมองจากผู้บริหาร AI คนอื่นว่าการล่าคนต้องมีทั้งเงินและทรัพยากร GPU   • CEO ของ Perplexity เผยนักวิจัยจาก Meta บอก “มี 10,000 H100 เมื่อไหร่ ค่อยกลับมาคุย” ‼️ การล่าพนักงานแบบ “เงินนำหน้า” อาจทำลายวัฒนธรรมองค์กร   • คนที่เข้ามาเพราะเงิน อาจไม่ยึดมั่นในเป้าหมายระยะยาวขององค์กร   • ยิ่งในการวิจัย AI แบบ AGI ที่ต้องการการร่วมมือและความมุ่งมั่นสูง ‼️ Meta ถูกวิจารณ์ว่านวัตกรรมโอเพ่นซอร์สของตัวเอง “สะดุด” หลังเลื่อนปล่อยโมเดลใหม่   • ทำให้คู่แข่งอย่าง Google, DeepSeek และ OpenAI นำหน้าไปก่อน ‼️ การแย่งบุคลากร AI อาจทำให้ช่องว่างเทคโนโลยีระหว่างบริษัทยิ่งถ่างออก   • บริษัทเล็กหรือประเทศกำลังพัฒนาจะเสียเปรียบอย่างมาก ‼️ การเสนอค่าตัวระดับเกิน 100 ล้านดอลลาร์อาจผลักดันค่าจ้างในวงการขึ้นแบบไม่ยั่งยืน   • กระทบ ecosystem ของ startup และการวิจัยสาธารณะ https://www.techspot.com/news/108357-meta-offering-up-100-million-lure-ai-talent.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Meta is offering up to $100 million to lure AI talent, says OpenAI's Sam Altman
    The recruitment drive has a personal element: former Scale AI CEO Alexandr Wang heads Meta's new AI group, and some new hires are said to be working...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 222 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts