• “Chat Control: กฎหมายสแกนแชต EU ใกล้ผ่าน — เสียงคัดค้านเพิ่มขึ้น แต่แรงสนับสนุนยังแข็งแกร่ง”

    ในวันที่ 12 กันยายน 2025 สภาสหภาพยุโรป (EU Council) เตรียมประกาศจุดยืนสุดท้ายต่อร่างกฎหมาย “Chat Control” ซึ่งมีเป้าหมายในการตรวจจับเนื้อหาล่วงละเมิดเด็ก (CSAM) โดยบังคับให้บริการส่งข้อความทุกประเภท — แม้จะมีการเข้ารหัสแบบ end-to-end — ต้องสแกนเนื้อหาของผู้ใช้ทั้งหมด

    แม้จะมีเสียงสนับสนุนจากประเทศสมาชิก EU ถึง 15 ประเทศ เช่น ฝรั่งเศส อิตาลี สเปน และสวีเดน แต่กระแสคัดค้านก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดเยอรมนีและลักเซมเบิร์กได้เข้าร่วมกับออสเตรีย เนเธอร์แลนด์ ฟินแลนด์ และโปแลนด์ในการต่อต้านร่างกฎหมายนี้ โดยมองว่าเป็นการละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัวของประชาชน

    ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์กว่า 600 คน รวมถึงนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ ได้ลงนามในจดหมายเปิดผนึกเรียกร้องให้ยกเลิกร่างกฎหมายนี้ โดยระบุว่าการสแกนแชตแบบ client-side จะทำให้ระบบเข้ารหัสอ่อนแอลง และเปิดช่องให้เกิดการโจมตีจากภายนอกได้ง่ายขึ้น

    แม้ร่างกฎหมายจะระบุว่า “การเข้ารหัสควรได้รับการปกป้องอย่างครอบคลุม” แต่ข้อกำหนดที่ให้สแกนเนื้อหาทั้งหมด รวมถึงไฟล์และลิงก์ที่ส่งผ่าน WhatsApp, Signal หรือ ProtonMail ก็ยังคงอยู่ โดยบัญชีของรัฐบาลและทหารจะได้รับการยกเว้นจากการสแกน

    การลงคะแนนเสียงครั้งสุดท้ายจะเกิดขึ้นในวันที่ 14 ตุลาคม 2025 และหากผ่าน จะมีผลบังคับใช้ในเดือนเดียวกัน ซึ่งหมายความว่าแชตส่วนตัวของผู้ใช้ในยุโรปอาจถูกสแกนทั้งหมดภายในสิ้นปีนี้

    ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับร่างกฎหมาย Chat Control
    สภา EU เตรียมประกาศจุดยืนสุดท้ายในวันที่ 12 กันยายน 2025
    ร่างกฎหมายมีเป้าหมายตรวจจับ CSAM โดยสแกนแชตผู้ใช้ทุกคน แม้จะมีการเข้ารหัส
    บัญชีรัฐบาลและทหารจะได้รับการยกเว้นจากการสแกน
    หากผ่าน จะมีผลบังคับใช้ในเดือนตุลาคม 2025

    ประเทศที่สนับสนุนและคัดค้าน
    ประเทศสนับสนุน ได้แก่ ฝรั่งเศส อิตาลี สเปน สวีเดน ลิทัวเนีย ไซปรัส ลัตเวีย และไอร์แลนด์
    ประเทศคัดค้านล่าสุด ได้แก่ เยอรมนี ลักเซมเบิร์ก ออสเตรีย เนเธอร์แลนด์ ฟินแลนด์ และโปแลนด์
    เบลเยียมเรียกร่างนี้ว่า “สัตว์ประหลาดที่ละเมิดความเป็นส่วนตัวและควบคุมไม่ได้”
    ประเทศที่ยังไม่ตัดสินใจ ได้แก่ เอสโตเนีย กรีซ โรมาเนีย และสโลวีเนีย

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ผู้เชี่ยวชาญกว่า 600 คนลงนามคัดค้าน โดยชี้ว่าการสแกนแบบ client-side มี false positive สูงถึง 10%
    การเปิดช่องให้หน่วยงานรัฐเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวอาจกลายเป็น “ภัยความมั่นคงระดับชาติ”
    การสแกนเนื้อหาแบบเรียลไทม์ยังไม่มีเทคโนโลยีที่แม่นยำพอ
    การเข้ารหัสแบบ end-to-end เป็นหัวใจของความปลอดภัยในยุคดิจิทัล

    https://www.techradar.com/computing/cyber-security/chat-control-the-list-of-countries-opposing-the-law-grows-but-support-remains-strong
    🔐 “Chat Control: กฎหมายสแกนแชต EU ใกล้ผ่าน — เสียงคัดค้านเพิ่มขึ้น แต่แรงสนับสนุนยังแข็งแกร่ง” ในวันที่ 12 กันยายน 2025 สภาสหภาพยุโรป (EU Council) เตรียมประกาศจุดยืนสุดท้ายต่อร่างกฎหมาย “Chat Control” ซึ่งมีเป้าหมายในการตรวจจับเนื้อหาล่วงละเมิดเด็ก (CSAM) โดยบังคับให้บริการส่งข้อความทุกประเภท — แม้จะมีการเข้ารหัสแบบ end-to-end — ต้องสแกนเนื้อหาของผู้ใช้ทั้งหมด แม้จะมีเสียงสนับสนุนจากประเทศสมาชิก EU ถึง 15 ประเทศ เช่น ฝรั่งเศส อิตาลี สเปน และสวีเดน แต่กระแสคัดค้านก็เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดเยอรมนีและลักเซมเบิร์กได้เข้าร่วมกับออสเตรีย เนเธอร์แลนด์ ฟินแลนด์ และโปแลนด์ในการต่อต้านร่างกฎหมายนี้ โดยมองว่าเป็นการละเมิดสิทธิความเป็นส่วนตัวของประชาชน ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์กว่า 600 คน รวมถึงนักวิชาการจากมหาวิทยาลัยชั้นนำ ได้ลงนามในจดหมายเปิดผนึกเรียกร้องให้ยกเลิกร่างกฎหมายนี้ โดยระบุว่าการสแกนแชตแบบ client-side จะทำให้ระบบเข้ารหัสอ่อนแอลง และเปิดช่องให้เกิดการโจมตีจากภายนอกได้ง่ายขึ้น แม้ร่างกฎหมายจะระบุว่า “การเข้ารหัสควรได้รับการปกป้องอย่างครอบคลุม” แต่ข้อกำหนดที่ให้สแกนเนื้อหาทั้งหมด รวมถึงไฟล์และลิงก์ที่ส่งผ่าน WhatsApp, Signal หรือ ProtonMail ก็ยังคงอยู่ โดยบัญชีของรัฐบาลและทหารจะได้รับการยกเว้นจากการสแกน การลงคะแนนเสียงครั้งสุดท้ายจะเกิดขึ้นในวันที่ 14 ตุลาคม 2025 และหากผ่าน จะมีผลบังคับใช้ในเดือนเดียวกัน ซึ่งหมายความว่าแชตส่วนตัวของผู้ใช้ในยุโรปอาจถูกสแกนทั้งหมดภายในสิ้นปีนี้ ✅ ข้อมูลสำคัญเกี่ยวกับร่างกฎหมาย Chat Control ➡️ สภา EU เตรียมประกาศจุดยืนสุดท้ายในวันที่ 12 กันยายน 2025 ➡️ ร่างกฎหมายมีเป้าหมายตรวจจับ CSAM โดยสแกนแชตผู้ใช้ทุกคน แม้จะมีการเข้ารหัส ➡️ บัญชีรัฐบาลและทหารจะได้รับการยกเว้นจากการสแกน ➡️ หากผ่าน จะมีผลบังคับใช้ในเดือนตุลาคม 2025 ✅ ประเทศที่สนับสนุนและคัดค้าน ➡️ ประเทศสนับสนุน ได้แก่ ฝรั่งเศส อิตาลี สเปน สวีเดน ลิทัวเนีย ไซปรัส ลัตเวีย และไอร์แลนด์ ➡️ ประเทศคัดค้านล่าสุด ได้แก่ เยอรมนี ลักเซมเบิร์ก ออสเตรีย เนเธอร์แลนด์ ฟินแลนด์ และโปแลนด์ ➡️ เบลเยียมเรียกร่างนี้ว่า “สัตว์ประหลาดที่ละเมิดความเป็นส่วนตัวและควบคุมไม่ได้” ➡️ ประเทศที่ยังไม่ตัดสินใจ ได้แก่ เอสโตเนีย กรีซ โรมาเนีย และสโลวีเนีย ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ผู้เชี่ยวชาญกว่า 600 คนลงนามคัดค้าน โดยชี้ว่าการสแกนแบบ client-side มี false positive สูงถึง 10% ➡️ การเปิดช่องให้หน่วยงานรัฐเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวอาจกลายเป็น “ภัยความมั่นคงระดับชาติ” ➡️ การสแกนเนื้อหาแบบเรียลไทม์ยังไม่มีเทคโนโลยีที่แม่นยำพอ ➡️ การเข้ารหัสแบบ end-to-end เป็นหัวใจของความปลอดภัยในยุคดิจิทัล https://www.techradar.com/computing/cyber-security/chat-control-the-list-of-countries-opposing-the-law-grows-but-support-remains-strong
    WWW.TECHRADAR.COM
    Chat Control: The list of countries opposing the law grows, but support remains strong
    Germany and Luxembourg joined the opposition on the eve of the crucial September 12 meeting
    0 Comments 0 Shares 124 Views 0 Reviews
  • “AI Data Center: เบื้องหลังเทคโนโลยีล้ำยุคที่อาจกลายเป็นจุดอ่อนด้านความมั่นคงไซเบอร์ระดับโลก”

    ลองนึกภาพว่าคุณกำลังพัฒนาโมเดล AI ที่ซับซ้อนระดับ GPT-5 หรือระบบวิเคราะห์ภาพทางการแพทย์ที่ต้องใช้พลังประมวลผลมหาศาล คุณอาจคิดถึง GPU, TPU หรือคลาวด์ที่เร็วแรง แต่สิ่งที่คุณอาจมองข้ามคือ “AI Data Center” ที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมด — และนั่นคือจุดที่ภัยคุกคามไซเบอร์กำลังพุ่งเป้าเข้าใส่

    ในปี 2025 การลงทุนใน AI Data Center พุ่งสูงอย่างไม่เคยมีมาก่อน เช่น Amazon ทุ่มเงินกว่า $20 พันล้านในเพนซิลเวเนีย และ Meta เตรียมเปิดศูนย์ Prometheus ขนาดหลายกิกะวัตต์ในปี 2026 ขณะเดียวกัน รัฐบาลสหรัฐฯ โดยประธานาธิบดีทรัมป์ ได้ออกแผน AI Action Plan เพื่อเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน AI ทั้งในประเทศและต่างประเทศ

    แต่เบื้องหลังความก้าวหน้าเหล่านี้คือความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ทั้งด้านพลังงาน (คาดว่าใช้ไฟฟ้ากว่า 612 เทราวัตต์ชั่วโมงใน 5 ปี) และด้านความปลอดภัยไซเบอร์ โดยเฉพาะการโจมตีแบบ side-channel, memory-level, model exfiltration และ supply chain sabotage ที่กำลังกลายเป็นเรื่องจริง

    AI Data Center ไม่ได้แค่เก็บข้อมูล แต่ยังเป็นที่อยู่ของโมเดล, น้ำหนักการเรียนรู้, และชุดข้อมูลฝึก ซึ่งหากถูกขโมยหรือถูกแก้ไข อาจส่งผลต่อความแม่นยำ ความน่าเชื่อถือ และแม้แต่ความมั่นคงของประเทศ

    การเติบโตของ AI Data Center
    Amazon ลงทุน $20 พันล้านในเพนซิลเวเนีย
    Meta เตรียมเปิดศูนย์ Prometheus ขนาดหลายกิกะวัตต์ในปี 2026
    รัฐบาลสหรัฐฯ สนับสนุนผ่าน AI Action Plan โดยประธานาธิบดีทรัมป์
    ความต้องการพลังงานสูงถึง 612 เทราวัตต์ชั่วโมงใน 5 ปี
    คาดว่าจะเพิ่มการปล่อยคาร์บอนทั่วโลก 3–4%

    ความเสี่ยงด้านไซเบอร์ที่เพิ่มขึ้น
    โจมตีแบบ DDoS, ransomware, supply chain และ social engineering
    side-channel attack จากฮาร์ดแวร์ เช่น CPU, GPU, TPU
    ตัวอย่าง: AMD พบช่องโหว่ 4 จุดในเดือนกรกฎาคม 2025
    TPUXtract โจมตี TPU โดยเจาะข้อมูลโมเดล AI โดยตรง
    GPU เสี่ยงต่อ memory-level attack และ malware ที่รันในหน่วยความจำ GPU
    ความเสี่ยงจาก model exfiltration, data poisoning, model inversion และ model stealing

    ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์และ supply chain
    การโจมตีจากรัฐต่างชาติ เช่น การแทรกซึมจากจีนผ่าน Digital Silk Road 2.0
    การใช้เทคโนโลยี 5G และระบบเฝ้าระวังในภูมิภาคอ่าวเปอร์เซีย
    ความเสี่ยงจากการใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตโดยบริษัทจีน
    การโจมตี supply chain ก่อนศูนย์จะเปิดใช้งานจริง

    แนวทางที่ผู้บริหารด้านความปลอดภัยควรพิจารณา
    ตรวจสอบนโยบายของผู้ให้บริการ AI Data Center อย่างละเอียด
    ใช้ Faraday cage หรือ shield chamber เพื่อลด side-channel attack
    ทำ AI audit อย่างต่อเนื่องเพื่อตรวจหาช่องโหว่และ backdoor
    ตรวจสอบตำแหน่งที่ตั้งของศูนย์และแหล่งที่มาของอุปกรณ์
    คัดกรองบุคลากรเพื่อป้องกันการแทรกซึมจากรัฐต่างชาติ

    https://www.csoonline.com/article/4051849/the-importance-of-reviewing-ai-data-centers-policies.html
    🏭 “AI Data Center: เบื้องหลังเทคโนโลยีล้ำยุคที่อาจกลายเป็นจุดอ่อนด้านความมั่นคงไซเบอร์ระดับโลก” ลองนึกภาพว่าคุณกำลังพัฒนาโมเดล AI ที่ซับซ้อนระดับ GPT-5 หรือระบบวิเคราะห์ภาพทางการแพทย์ที่ต้องใช้พลังประมวลผลมหาศาล คุณอาจคิดถึง GPU, TPU หรือคลาวด์ที่เร็วแรง แต่สิ่งที่คุณอาจมองข้ามคือ “AI Data Center” ที่อยู่เบื้องหลังทั้งหมด — และนั่นคือจุดที่ภัยคุกคามไซเบอร์กำลังพุ่งเป้าเข้าใส่ ในปี 2025 การลงทุนใน AI Data Center พุ่งสูงอย่างไม่เคยมีมาก่อน เช่น Amazon ทุ่มเงินกว่า $20 พันล้านในเพนซิลเวเนีย และ Meta เตรียมเปิดศูนย์ Prometheus ขนาดหลายกิกะวัตต์ในปี 2026 ขณะเดียวกัน รัฐบาลสหรัฐฯ โดยประธานาธิบดีทรัมป์ ได้ออกแผน AI Action Plan เพื่อเร่งพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน AI ทั้งในประเทศและต่างประเทศ แต่เบื้องหลังความก้าวหน้าเหล่านี้คือความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล ทั้งด้านพลังงาน (คาดว่าใช้ไฟฟ้ากว่า 612 เทราวัตต์ชั่วโมงใน 5 ปี) และด้านความปลอดภัยไซเบอร์ โดยเฉพาะการโจมตีแบบ side-channel, memory-level, model exfiltration และ supply chain sabotage ที่กำลังกลายเป็นเรื่องจริง AI Data Center ไม่ได้แค่เก็บข้อมูล แต่ยังเป็นที่อยู่ของโมเดล, น้ำหนักการเรียนรู้, และชุดข้อมูลฝึก ซึ่งหากถูกขโมยหรือถูกแก้ไข อาจส่งผลต่อความแม่นยำ ความน่าเชื่อถือ และแม้แต่ความมั่นคงของประเทศ ✅ การเติบโตของ AI Data Center ➡️ Amazon ลงทุน $20 พันล้านในเพนซิลเวเนีย ➡️ Meta เตรียมเปิดศูนย์ Prometheus ขนาดหลายกิกะวัตต์ในปี 2026 ➡️ รัฐบาลสหรัฐฯ สนับสนุนผ่าน AI Action Plan โดยประธานาธิบดีทรัมป์ ➡️ ความต้องการพลังงานสูงถึง 612 เทราวัตต์ชั่วโมงใน 5 ปี ➡️ คาดว่าจะเพิ่มการปล่อยคาร์บอนทั่วโลก 3–4% ✅ ความเสี่ยงด้านไซเบอร์ที่เพิ่มขึ้น ➡️ โจมตีแบบ DDoS, ransomware, supply chain และ social engineering ➡️ side-channel attack จากฮาร์ดแวร์ เช่น CPU, GPU, TPU ➡️ ตัวอย่าง: AMD พบช่องโหว่ 4 จุดในเดือนกรกฎาคม 2025 ➡️ TPUXtract โจมตี TPU โดยเจาะข้อมูลโมเดล AI โดยตรง ➡️ GPU เสี่ยงต่อ memory-level attack และ malware ที่รันในหน่วยความจำ GPU ➡️ ความเสี่ยงจาก model exfiltration, data poisoning, model inversion และ model stealing ✅ ความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์และ supply chain ➡️ การโจมตีจากรัฐต่างชาติ เช่น การแทรกซึมจากจีนผ่าน Digital Silk Road 2.0 ➡️ การใช้เทคโนโลยี 5G และระบบเฝ้าระวังในภูมิภาคอ่าวเปอร์เซีย ➡️ ความเสี่ยงจากการใช้ชิ้นส่วนที่ผลิตโดยบริษัทจีน ➡️ การโจมตี supply chain ก่อนศูนย์จะเปิดใช้งานจริง ✅ แนวทางที่ผู้บริหารด้านความปลอดภัยควรพิจารณา ➡️ ตรวจสอบนโยบายของผู้ให้บริการ AI Data Center อย่างละเอียด ➡️ ใช้ Faraday cage หรือ shield chamber เพื่อลด side-channel attack ➡️ ทำ AI audit อย่างต่อเนื่องเพื่อตรวจหาช่องโหว่และ backdoor ➡️ ตรวจสอบตำแหน่งที่ตั้งของศูนย์และแหล่งที่มาของอุปกรณ์ ➡️ คัดกรองบุคลากรเพื่อป้องกันการแทรกซึมจากรัฐต่างชาติ https://www.csoonline.com/article/4051849/the-importance-of-reviewing-ai-data-centers-policies.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    The importance of reviewing AI data centers’ policies
    As the race to invest in AI tools, technologies and capabilities continues, it is critical for cybersecurity leaders to not only look at whether the AI-embedded software is secure but also to scrutinize whether the AI data centers are secure as well.
    0 Comments 0 Shares 123 Views 0 Reviews
  • “10 พฤติกรรมที่ทำลายอาชีพผู้นำด้านความปลอดภัยไซเบอร์ โดยไม่รู้ตัว!”

    ลองจินตนาการว่าคุณเป็น CISO หรือหัวหน้าฝ่ายความปลอดภัยขององค์กรใหญ่ ทุกอย่างดูไปได้สวย…จนกระทั่งคุณเริ่มถูกมองว่าเป็น “ตัวขัดขวางธุรกิจ” หรือ “คนที่พูดแต่เรื่องเทคนิค” แล้วเส้นทางอาชีพที่เคยมั่นคงก็เริ่มสั่นคลอน

    บทความนี้จาก CSO Online ได้รวบรวม 10 พฤติกรรมที่อาจทำลายอาชีพของผู้นำด้านความปลอดภัยไซเบอร์ แม้จะไม่ได้ผิดกฎหมายหรือผิดจรรยาบรรณ แต่ก็สามารถทำให้คุณถูกมองข้าม ถูกลดบทบาท หรือแม้แต่ถูกปลดออกจากตำแหน่งได้ หากไม่รู้จักปรับตัว

    สิ่งที่น่าสนใจคือ หลายข้อไม่ใช่เรื่องเทคนิคเลย แต่เป็นเรื่องของ “ทัศนคติ” และ “วิธีคิด” เช่น การไม่เข้าใจธุรกิจ, การไม่ยืดหยุ่น, การไม่สื่อสาร หรือแม้แต่การไม่เข้าใจ AI ว่ามันเปลี่ยนภูมิทัศน์ภัยคุกคามไปอย่างไร

    1. ไม่เชื่อมโยงกลยุทธ์ความปลอดภัยกับเป้าหมายธุรกิจ
    ผู้นำที่ยังมองความปลอดภัยเป็น “ต้นทุน” จะถูกมองว่าไม่สนับสนุนการเติบโต
    ต้องเปลี่ยนบทบาทจาก “ผู้เฝ้าประตู” เป็น “ผู้สนับสนุนความก้าวหน้า”

    2. เป็นแค่คนเทคนิค ไม่ใช่ผู้นำธุรกิจ
    ขาดทักษะในการวัดผลกระทบด้านความปลอดภัยต่อรายได้
    ควรหาที่ปรึกษานอกสายงาน IT เพื่อพัฒนาทักษะธุรกิจ

    3. ไม่สามารถพูดคำว่า “ใช่” ได้
    ต้องเข้าใจระดับความเสี่ยงที่องค์กรยอมรับได้
    คำว่า “ใช่ แต่ขอให้ปลอดภัย” จะสร้างความร่วมมือมากกว่า “ไม่”

    4. ขีดเส้นแดงกับธุรกิจ
    การปฏิเสธแบบแข็งกร้าวจะทำให้ธุรกิจหาทางเลี่ยงคุณ
    ควรหาทางออกที่ปลอดภัยแทนการปิดประตูใส่กัน

    5. ยึดติดกับกฎเกินไป
    การยืดหยุ่นในบางกรณี เช่น การอนุญาตแอปชั่วคราว พร้อมควบคุมความเสี่ยง
    แสดงให้เห็นว่าทีมความปลอดภัยเป็น “พันธมิตร” ไม่ใช่ “อุปสรรค”

    6. เข้าใจ AI ผิด
    AI ไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่เป็น “ภูมิประเทศใหม่” ที่เปลี่ยนรูปแบบภัยคุกคาม
    ผู้นำที่ยังใช้ตรรกะเก่า จะตอบสนองต่อภัยที่ไม่มีอยู่จริง

    7. มองไม่เห็นระบบที่ต้องปกป้อง
    ต้องเข้าใจความเชื่อมโยงระหว่างระบบต่างๆ ทั้งเทคนิค เศรษฐกิจ วัฒนธรรม
    การขาด “การรับรู้แบบสังเคราะห์” จะทำให้การควบคุมล้มเหลว

    8. ทำงานคนเดียว ไม่สร้างเครือข่าย
    การสร้างความสัมพันธ์ในองค์กรคือกุญแจสู่ความสำเร็จ
    ควรเปิดใจ เรียนรู้จากผู้อื่น และแสดงความสนใจในงานของคนอื่น

    9. ไม่ให้เวลาและความสนใจ
    การปฏิเสธคำถามหรือข้อกังวลเล็กๆ อาจทำให้คนไม่กล้ารายงานปัญหาอีก
    การรับฟังอย่างจริงใจอาจเปิดเผยช่องโหว่สำคัญที่ซ่อนอยู่

    10. รับมือเหตุการณ์ละเมิดข้อมูลผิดพลาด
    การมีแผนรับมือที่ซ้อมมาแล้วจะช่วยลดผลกระทบ
    การสื่อสารอย่างชัดเจนและควบคุมสถานการณ์คือสิ่งที่องค์กรต้องการ

    https://www.csoonline.com/article/4051656/10-security-leadership-career-killers-and-how-to-avoid-them.html
    🧨 “10 พฤติกรรมที่ทำลายอาชีพผู้นำด้านความปลอดภัยไซเบอร์ โดยไม่รู้ตัว!” ลองจินตนาการว่าคุณเป็น CISO หรือหัวหน้าฝ่ายความปลอดภัยขององค์กรใหญ่ ทุกอย่างดูไปได้สวย…จนกระทั่งคุณเริ่มถูกมองว่าเป็น “ตัวขัดขวางธุรกิจ” หรือ “คนที่พูดแต่เรื่องเทคนิค” แล้วเส้นทางอาชีพที่เคยมั่นคงก็เริ่มสั่นคลอน บทความนี้จาก CSO Online ได้รวบรวม 10 พฤติกรรมที่อาจทำลายอาชีพของผู้นำด้านความปลอดภัยไซเบอร์ แม้จะไม่ได้ผิดกฎหมายหรือผิดจรรยาบรรณ แต่ก็สามารถทำให้คุณถูกมองข้าม ถูกลดบทบาท หรือแม้แต่ถูกปลดออกจากตำแหน่งได้ หากไม่รู้จักปรับตัว สิ่งที่น่าสนใจคือ หลายข้อไม่ใช่เรื่องเทคนิคเลย แต่เป็นเรื่องของ “ทัศนคติ” และ “วิธีคิด” เช่น การไม่เข้าใจธุรกิจ, การไม่ยืดหยุ่น, การไม่สื่อสาร หรือแม้แต่การไม่เข้าใจ AI ว่ามันเปลี่ยนภูมิทัศน์ภัยคุกคามไปอย่างไร ✅ 1. ไม่เชื่อมโยงกลยุทธ์ความปลอดภัยกับเป้าหมายธุรกิจ ➡️ ผู้นำที่ยังมองความปลอดภัยเป็น “ต้นทุน” จะถูกมองว่าไม่สนับสนุนการเติบโต ➡️ ต้องเปลี่ยนบทบาทจาก “ผู้เฝ้าประตู” เป็น “ผู้สนับสนุนความก้าวหน้า” ✅ 2. เป็นแค่คนเทคนิค ไม่ใช่ผู้นำธุรกิจ ➡️ ขาดทักษะในการวัดผลกระทบด้านความปลอดภัยต่อรายได้ ➡️ ควรหาที่ปรึกษานอกสายงาน IT เพื่อพัฒนาทักษะธุรกิจ ✅ 3. ไม่สามารถพูดคำว่า “ใช่” ได้ ➡️ ต้องเข้าใจระดับความเสี่ยงที่องค์กรยอมรับได้ ➡️ คำว่า “ใช่ แต่ขอให้ปลอดภัย” จะสร้างความร่วมมือมากกว่า “ไม่” ✅ 4. ขีดเส้นแดงกับธุรกิจ ➡️ การปฏิเสธแบบแข็งกร้าวจะทำให้ธุรกิจหาทางเลี่ยงคุณ ➡️ ควรหาทางออกที่ปลอดภัยแทนการปิดประตูใส่กัน ✅ 5. ยึดติดกับกฎเกินไป ➡️ การยืดหยุ่นในบางกรณี เช่น การอนุญาตแอปชั่วคราว พร้อมควบคุมความเสี่ยง ➡️ แสดงให้เห็นว่าทีมความปลอดภัยเป็น “พันธมิตร” ไม่ใช่ “อุปสรรค” ✅ 6. เข้าใจ AI ผิด ➡️ AI ไม่ใช่แค่เครื่องมือ แต่เป็น “ภูมิประเทศใหม่” ที่เปลี่ยนรูปแบบภัยคุกคาม ➡️ ผู้นำที่ยังใช้ตรรกะเก่า จะตอบสนองต่อภัยที่ไม่มีอยู่จริง ✅ 7. มองไม่เห็นระบบที่ต้องปกป้อง ➡️ ต้องเข้าใจความเชื่อมโยงระหว่างระบบต่างๆ ทั้งเทคนิค เศรษฐกิจ วัฒนธรรม ➡️ การขาด “การรับรู้แบบสังเคราะห์” จะทำให้การควบคุมล้มเหลว ✅ 8. ทำงานคนเดียว ไม่สร้างเครือข่าย ➡️ การสร้างความสัมพันธ์ในองค์กรคือกุญแจสู่ความสำเร็จ ➡️ ควรเปิดใจ เรียนรู้จากผู้อื่น และแสดงความสนใจในงานของคนอื่น ✅ 9. ไม่ให้เวลาและความสนใจ ➡️ การปฏิเสธคำถามหรือข้อกังวลเล็กๆ อาจทำให้คนไม่กล้ารายงานปัญหาอีก ➡️ การรับฟังอย่างจริงใจอาจเปิดเผยช่องโหว่สำคัญที่ซ่อนอยู่ ✅ 10. รับมือเหตุการณ์ละเมิดข้อมูลผิดพลาด ➡️ การมีแผนรับมือที่ซ้อมมาแล้วจะช่วยลดผลกระทบ ➡️ การสื่อสารอย่างชัดเจนและควบคุมสถานการณ์คือสิ่งที่องค์กรต้องการ https://www.csoonline.com/article/4051656/10-security-leadership-career-killers-and-how-to-avoid-them.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    10 security leadership career-killers — and how to avoid them
    From failing to align security strategy to business priorities, to fumbling a breach, CISOs and aspiring security leaders can hamper their professional ambitions through a range of preventable missteps.
    0 Comments 0 Shares 141 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากเบรกเกอร์ธรรมดาสู่ผู้ช่วยบ้านอัจฉริยะ: เมื่อความปลอดภัยและประหยัดพลังงานรวมอยู่ในชิ้นเดียว

    ในยุคที่บ้านกำลังกลายเป็น “สมาร์ทโฮม” หลายคนมองข้ามอุปกรณ์พื้นฐานอย่างเบรกเกอร์ไฟฟ้า แต่ตอนนี้ Smart Circuit Breaker กำลังได้รับความสนใจมากขึ้น เพราะมันสามารถควบคุมไฟฟ้าได้จากแอปมือถือ แจ้งเตือนเมื่อมีการใช้พลังงานผิดปกติ และช่วยลดค่าไฟได้จริง

    ตัวอย่างเช่น Leviton LB120-ST รุ่นที่สอง สามารถตรวจสอบการใช้ไฟฟ้าแบบเรียลไทม์ และสั่งปิดวงจรได้ทันทีผ่านแอป นอกจากนี้ยังสามารถระบุว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าใดกินไฟมากเกินไป ซึ่งเป็นประโยชน์มากสำหรับบ้านที่ต้องการลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน

    ผู้ใช้หลายคนรีวิวว่า Smart Circuit Breaker ใช้งานง่ายและเชื่อถือได้ เช่นรุ่น Marstek ที่มีฟีเจอร์วัดพลังงาน และรุ่น Ensoft ที่สามารถแจ้งเตือนเมื่อปลั๊กหรืออุปกรณ์ใดใช้ไฟเกินระดับปลอดภัย พร้อมสั่งปิดจากระยะไกลได้ทันที

    แต่แน่นอนว่าเทคโนโลยีใหม่ก็มีข้อจำกัด โดยเฉพาะเรื่อง “ราคา” ที่สูงกว่ารุ่นธรรมดาหลายเท่า และ “การติดตั้ง” ที่บางคนบ่นว่าเอกสารคู่มืออ่านยาก หรือหาข้อมูลออนไลน์ไม่เจอ นอกจากนี้ยังมีความกังวลเรื่อง “ความปลอดภัยไซเบอร์” เพราะอุปกรณ์เหล่านี้เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตตลอดเวลา

    ในภาคอุตสาหกรรม Smart Circuit Breaker ยังถูกพัฒนาให้ใช้ AI และ IoT เพื่อวิเคราะห์การใช้ไฟฟ้าแบบล่วงหน้า ป้องกันความเสียหายก่อนเกิดขึ้น และปรับการทำงานแบบ “self-healing” ได้โดยอัตโนมัติ ซึ่งเป็นแนวทางใหม่ของระบบไฟฟ้าอัจฉริยะในโรงงานและอาคารขนาดใหญ่

    ความสามารถของ Smart Circuit Breaker
    ควบคุมการตัดไฟผ่านแอปมือถือแบบเรียลไทม์
    ตรวจสอบการใช้พลังงานของแต่ละอุปกรณ์
    แจ้งเตือนเมื่อมีการใช้ไฟเกินระดับปลอดภัย
    ป้องกันไฟฟ้าลัดวงจรและไฟไหม้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    รุ่นที่ได้รับความนิยม
    Leviton LB120-ST รุ่นที่สอง: ควบคุมผ่านมือถือและตรวจสอบพลังงาน
    Marstek: มีระบบวัดพลังงานและควบคุมวงจร
    Ensoft: แจ้งเตือนและสั่งปิดอุปกรณ์ที่ใช้ไฟเกิน

    การใช้งานในภาคอุตสาหกรรม
    ใช้ AI วิเคราะห์การใช้ไฟฟ้าและป้องกันความเสียหาย
    มีระบบ self-healing ที่ปรับการทำงานอัตโนมัติ
    ใช้ IoT และ cloud dashboard เพื่อควบคุมจากระยะไกล

    https://www.slashgear.com/1958961/smart-circuit-breakers-worth-installing/
    🎙️ เรื่องเล่าจากเบรกเกอร์ธรรมดาสู่ผู้ช่วยบ้านอัจฉริยะ: เมื่อความปลอดภัยและประหยัดพลังงานรวมอยู่ในชิ้นเดียว ในยุคที่บ้านกำลังกลายเป็น “สมาร์ทโฮม” หลายคนมองข้ามอุปกรณ์พื้นฐานอย่างเบรกเกอร์ไฟฟ้า แต่ตอนนี้ Smart Circuit Breaker กำลังได้รับความสนใจมากขึ้น เพราะมันสามารถควบคุมไฟฟ้าได้จากแอปมือถือ แจ้งเตือนเมื่อมีการใช้พลังงานผิดปกติ และช่วยลดค่าไฟได้จริง ตัวอย่างเช่น Leviton LB120-ST รุ่นที่สอง สามารถตรวจสอบการใช้ไฟฟ้าแบบเรียลไทม์ และสั่งปิดวงจรได้ทันทีผ่านแอป นอกจากนี้ยังสามารถระบุว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าใดกินไฟมากเกินไป ซึ่งเป็นประโยชน์มากสำหรับบ้านที่ต้องการลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน ผู้ใช้หลายคนรีวิวว่า Smart Circuit Breaker ใช้งานง่ายและเชื่อถือได้ เช่นรุ่น Marstek ที่มีฟีเจอร์วัดพลังงาน และรุ่น Ensoft ที่สามารถแจ้งเตือนเมื่อปลั๊กหรืออุปกรณ์ใดใช้ไฟเกินระดับปลอดภัย พร้อมสั่งปิดจากระยะไกลได้ทันที แต่แน่นอนว่าเทคโนโลยีใหม่ก็มีข้อจำกัด โดยเฉพาะเรื่อง “ราคา” ที่สูงกว่ารุ่นธรรมดาหลายเท่า และ “การติดตั้ง” ที่บางคนบ่นว่าเอกสารคู่มืออ่านยาก หรือหาข้อมูลออนไลน์ไม่เจอ นอกจากนี้ยังมีความกังวลเรื่อง “ความปลอดภัยไซเบอร์” เพราะอุปกรณ์เหล่านี้เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตตลอดเวลา ในภาคอุตสาหกรรม Smart Circuit Breaker ยังถูกพัฒนาให้ใช้ AI และ IoT เพื่อวิเคราะห์การใช้ไฟฟ้าแบบล่วงหน้า ป้องกันความเสียหายก่อนเกิดขึ้น และปรับการทำงานแบบ “self-healing” ได้โดยอัตโนมัติ ซึ่งเป็นแนวทางใหม่ของระบบไฟฟ้าอัจฉริยะในโรงงานและอาคารขนาดใหญ่ ✅ ความสามารถของ Smart Circuit Breaker ➡️ ควบคุมการตัดไฟผ่านแอปมือถือแบบเรียลไทม์ ➡️ ตรวจสอบการใช้พลังงานของแต่ละอุปกรณ์ ➡️ แจ้งเตือนเมื่อมีการใช้ไฟเกินระดับปลอดภัย ➡️ ป้องกันไฟฟ้าลัดวงจรและไฟไหม้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ✅ รุ่นที่ได้รับความนิยม ➡️ Leviton LB120-ST รุ่นที่สอง: ควบคุมผ่านมือถือและตรวจสอบพลังงาน ➡️ Marstek: มีระบบวัดพลังงานและควบคุมวงจร ➡️ Ensoft: แจ้งเตือนและสั่งปิดอุปกรณ์ที่ใช้ไฟเกิน ✅ การใช้งานในภาคอุตสาหกรรม ➡️ ใช้ AI วิเคราะห์การใช้ไฟฟ้าและป้องกันความเสียหาย ➡️ มีระบบ self-healing ที่ปรับการทำงานอัตโนมัติ ➡️ ใช้ IoT และ cloud dashboard เพื่อควบคุมจากระยะไกล https://www.slashgear.com/1958961/smart-circuit-breakers-worth-installing/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Are Smart Circuit Breakers Really Worth Installing? Here's What Users Say - SlashGear
    Along with smart technology used throughout your home appliances, upgrading your breaker box with smart circuit breakers is essential to modernizing your home.
    0 Comments 0 Shares 109 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากรัฐแมรีแลนด์: เมื่อรถโดยสารสำหรับผู้พิการต้องหยุดชะงักเพราะแรนซัมแวร์

    ในช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2025 ระบบขนส่งสาธารณะของรัฐแมรีแลนด์ต้องเผชิญกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เมื่อหน่วยงาน Maryland Transit Administration (MTA) ถูกโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ ส่งผลให้บริการ Mobility ซึ่งเป็นบริการรถโดยสารสำหรับผู้พิการ ไม่สามารถรับคำขอเดินทางใหม่หรือเปลี่ยนแปลงการจองเดิมได้

    แม้บริการหลักอื่น ๆ เช่น รถเมล์ รถไฟใต้ดิน และรถไฟ MARC ยังสามารถให้บริการได้ตามปกติ แต่ระบบดิจิทัลที่ใช้ในการจอง การติดตามเวลารถ และศูนย์บริการลูกค้ากลับได้รับผลกระทบอย่างหนัก ผู้โดยสารจำนวนมากต้องหันไปใช้ตารางเวลาแบบ PDF และเว็บไซต์ของ MTA แทนการดูเวลารถแบบเรียลไทม์

    MTA ได้ประสานงานกับผู้เชี่ยวชาญด้านไซเบอร์และหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายเพื่อสืบสวนต้นตอของการโจมตี พร้อมยืนยันว่าไม่มีข้อมูลบ่งชี้ว่าแฮกเกอร์เข้าถึงระบบควบคุมรถหรืออุปกรณ์ด้านความปลอดภัย

    ที่น่าสนใจคือ เหตุการณ์นี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่บริการขนส่งสำหรับผู้พิการถูกโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ ในช่วงสองปีที่ผ่านมา เมืองต่าง ๆ ในรัฐ Missouri และ Virginia ก็เคยเผชิญเหตุการณ์คล้ายกัน ทำให้ต้องจัดหาทางเลือกอื่นให้ผู้โดยสารที่มีความต้องการพิเศษ

    ในขณะเดียวกัน รัฐแมรีแลนด์ก็ได้เปิดศูนย์ฝึกอบรมด้านไซเบอร์แห่งใหม่ที่ใช้ AI จำลองสถานการณ์การโจมตีจริง เพื่อเตรียมความพร้อมให้บุคลากรด้านความปลอดภัยไซเบอร์ ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการเสริมความแข็งแกร่งให้กับระบบโครงสร้างพื้นฐานของรัฐ

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    MTA ถูกโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ ส่งผลให้บริการ Mobility ไม่สามารถรับคำขอใหม่หรือเปลี่ยนแปลงการจองได้
    บริการหลักอื่น ๆ เช่น Local Bus, Metro Subway, Light Rail, MARC, Call-A-Ride และ Commuter Bus ยังให้บริการตามปกติ
    ผู้โดยสารสามารถใช้บริการ Call-A-Ride แทนได้ผ่านเว็บไซต์หรือเบอร์โทรศัพท์
    ระบบติดตามเวลารถและศูนย์บริการลูกค้าถูกกระทบ ทำให้ข้อมูลเรียลไทม์ไม่สามารถใช้งานได้
    MTA ประสานงานกับผู้เชี่ยวชาญและหน่วยงานรัฐเพื่อสืบสวนและแก้ไขปัญหา
    ไม่มีหลักฐานว่าแฮกเกอร์เข้าถึงระบบควบคุมรถหรืออุปกรณ์ความปลอดภัย
    เหตุการณ์นี้คล้ายกับที่เคยเกิดใน Missouri และ Virginia ในช่วงสองปีที่ผ่านมา
    รัฐแมรีแลนด์เปิดศูนย์ฝึกอบรมด้านไซเบอร์ที่ใช้ AI เพื่อเตรียมบุคลากรรับมือภัยคุกคาม
    ศูนย์ฝึกอบรมนี้คาดว่าจะสร้างงานกว่า 200 ตำแหน่งในรัฐ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    แรนซัมแวร์ที่โจมตีระบบขนส่งมักใช้ช่องโหว่ในระบบจองหรือฐานข้อมูลผู้ใช้
    การโจมตีระบบ Mobility ส่งผลกระทบต่อผู้พิการที่ต้องพึ่งพาการเดินทางเพื่อการรักษาและชีวิตประจำวัน
    การใช้ AI ในการฝึกอบรมด้านไซเบอร์เป็นแนวโน้มใหม่ที่หลายรัฐเริ่มนำมาใช้
    การไม่มีระบบสำรองสำหรับข้อมูลเรียลไทม์ทำให้ผู้โดยสารต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนในการเดินทาง
    การโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านขนส่งมักมีเป้าหมายเพื่อสร้างแรงกดดันให้หน่วยงานยอมจ่ายค่าไถ่

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/ransomware-attack-disrupts-marylands-public-transit-service-for-disabled-travelers-mta-says-it-is-investigating-cybersecurity-incident-but-core-services-operating-normally
    🚍 เรื่องเล่าจากรัฐแมรีแลนด์: เมื่อรถโดยสารสำหรับผู้พิการต้องหยุดชะงักเพราะแรนซัมแวร์ ในช่วงปลายเดือนสิงหาคม 2025 ระบบขนส่งสาธารณะของรัฐแมรีแลนด์ต้องเผชิญกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน เมื่อหน่วยงาน Maryland Transit Administration (MTA) ถูกโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ ส่งผลให้บริการ Mobility ซึ่งเป็นบริการรถโดยสารสำหรับผู้พิการ ไม่สามารถรับคำขอเดินทางใหม่หรือเปลี่ยนแปลงการจองเดิมได้ แม้บริการหลักอื่น ๆ เช่น รถเมล์ รถไฟใต้ดิน และรถไฟ MARC ยังสามารถให้บริการได้ตามปกติ แต่ระบบดิจิทัลที่ใช้ในการจอง การติดตามเวลารถ และศูนย์บริการลูกค้ากลับได้รับผลกระทบอย่างหนัก ผู้โดยสารจำนวนมากต้องหันไปใช้ตารางเวลาแบบ PDF และเว็บไซต์ของ MTA แทนการดูเวลารถแบบเรียลไทม์ MTA ได้ประสานงานกับผู้เชี่ยวชาญด้านไซเบอร์และหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายเพื่อสืบสวนต้นตอของการโจมตี พร้อมยืนยันว่าไม่มีข้อมูลบ่งชี้ว่าแฮกเกอร์เข้าถึงระบบควบคุมรถหรืออุปกรณ์ด้านความปลอดภัย ที่น่าสนใจคือ เหตุการณ์นี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่บริการขนส่งสำหรับผู้พิการถูกโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ ในช่วงสองปีที่ผ่านมา เมืองต่าง ๆ ในรัฐ Missouri และ Virginia ก็เคยเผชิญเหตุการณ์คล้ายกัน ทำให้ต้องจัดหาทางเลือกอื่นให้ผู้โดยสารที่มีความต้องการพิเศษ ในขณะเดียวกัน รัฐแมรีแลนด์ก็ได้เปิดศูนย์ฝึกอบรมด้านไซเบอร์แห่งใหม่ที่ใช้ AI จำลองสถานการณ์การโจมตีจริง เพื่อเตรียมความพร้อมให้บุคลากรด้านความปลอดภัยไซเบอร์ ซึ่งถือเป็นก้าวสำคัญในการเสริมความแข็งแกร่งให้กับระบบโครงสร้างพื้นฐานของรัฐ 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ MTA ถูกโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ ส่งผลให้บริการ Mobility ไม่สามารถรับคำขอใหม่หรือเปลี่ยนแปลงการจองได้ ➡️ บริการหลักอื่น ๆ เช่น Local Bus, Metro Subway, Light Rail, MARC, Call-A-Ride และ Commuter Bus ยังให้บริการตามปกติ ➡️ ผู้โดยสารสามารถใช้บริการ Call-A-Ride แทนได้ผ่านเว็บไซต์หรือเบอร์โทรศัพท์ ➡️ ระบบติดตามเวลารถและศูนย์บริการลูกค้าถูกกระทบ ทำให้ข้อมูลเรียลไทม์ไม่สามารถใช้งานได้ ➡️ MTA ประสานงานกับผู้เชี่ยวชาญและหน่วยงานรัฐเพื่อสืบสวนและแก้ไขปัญหา ➡️ ไม่มีหลักฐานว่าแฮกเกอร์เข้าถึงระบบควบคุมรถหรืออุปกรณ์ความปลอดภัย ➡️ เหตุการณ์นี้คล้ายกับที่เคยเกิดใน Missouri และ Virginia ในช่วงสองปีที่ผ่านมา ➡️ รัฐแมรีแลนด์เปิดศูนย์ฝึกอบรมด้านไซเบอร์ที่ใช้ AI เพื่อเตรียมบุคลากรรับมือภัยคุกคาม ➡️ ศูนย์ฝึกอบรมนี้คาดว่าจะสร้างงานกว่า 200 ตำแหน่งในรัฐ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ แรนซัมแวร์ที่โจมตีระบบขนส่งมักใช้ช่องโหว่ในระบบจองหรือฐานข้อมูลผู้ใช้ ➡️ การโจมตีระบบ Mobility ส่งผลกระทบต่อผู้พิการที่ต้องพึ่งพาการเดินทางเพื่อการรักษาและชีวิตประจำวัน ➡️ การใช้ AI ในการฝึกอบรมด้านไซเบอร์เป็นแนวโน้มใหม่ที่หลายรัฐเริ่มนำมาใช้ ➡️ การไม่มีระบบสำรองสำหรับข้อมูลเรียลไทม์ทำให้ผู้โดยสารต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนในการเดินทาง ➡️ การโจมตีโครงสร้างพื้นฐานด้านขนส่งมักมีเป้าหมายเพื่อสร้างแรงกดดันให้หน่วยงานยอมจ่ายค่าไถ่ https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/ransomware-attack-disrupts-marylands-public-transit-service-for-disabled-travelers-mta-says-it-is-investigating-cybersecurity-incident-but-core-services-operating-normally
    0 Comments 0 Shares 252 Views 0 Reviews
  • เมื่อ CyberOps ไม่ใช่แค่คนเฝ้าแจ้งเตือน แต่เป็น “ทีมมนุษย์-เอเจนต์” ที่ทำงานร่วมกัน

    ในอดีต การทำงานของทีมรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ (CyberOps) คือการเฝ้าระวัง แจ้งเตือน และตอบสนองต่อภัยคุกคามแบบ manual — แต่วันนี้ AI เข้ามาเปลี่ยนทุกอย่าง

    ไม่ใช่แค่ machine learning ที่ช่วยวิเคราะห์ log หรือตรวจจับ anomaly แบบเดิม แต่เป็น generative AI และ agentic AI ที่สามารถ “คิด วิเคราะห์ และลงมือทำ” ได้เองในระดับที่ใกล้เคียงมนุษย์

    ตัวอย่างเช่น ใน Security Operations Center (SOC) ตอนนี้ AI สามารถจัดการงานระดับ 1 ได้เกือบทั้งหมด เช่น การจัดการ ticket, การ triage, และการ route ไปยังทีมที่เกี่ยวข้อง โดยปล่อยให้มนุษย์โฟกัสกับงานระดับสูง เช่น threat modeling หรือ incident response

    AI ยังช่วยให้ทีมเล็กๆ ที่ไม่มีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านสามารถทำงานที่ซับซ้อนได้ เช่น การวิเคราะห์ phishing หรือการจัดการ vulnerability โดยใช้ agent ที่เรียนรู้จากข้อมูลและให้คำแนะนำแบบ real-time

    แต่ทั้งหมดนี้ไม่ได้หมายความว่า “มนุษย์จะถูกแทนที่” — กลับกัน AI กลายเป็น “force multiplier” ที่ช่วยให้ทีมทำงานได้มากขึ้น เร็วขึ้น และแม่นยำขึ้น โดยยังคงต้องมีมนุษย์คอยตรวจสอบและตัดสินใจในจุดสำคัญ

    อย่างไรก็ตาม การนำ AI มาใช้ใน CyberOps ก็มีความท้าทาย ทั้งเรื่อง governance, ความเร็วในการปรับตัว และการจัดการความเสี่ยงจาก AI ที่ถูกใช้โดยฝ่ายตรงข้าม

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    AI โดยเฉพาะ generative และ agentic AI กำลังเปลี่ยนวิธีการทำงานของทีม CyberOps
    AI ช่วยจัดการงานระดับ 1 ใน SOC เช่น ticket triage และ routing ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    AI ช่วยยกระดับทักษะของทีม โดยทำให้พนักงานใหม่เรียนรู้เร็วขึ้น และพนักงานเก่าทำงานได้ดีขึ้น
    AI สามารถสร้าง case study และคำแนะนำให้ SOC worker ทำงานระดับสูงได้ง่ายขึ้น
    การใช้ AI ใน threat modeling ช่วยให้ทีมเล็กๆ สามารถวิเคราะห์และป้องกันภัยล่วงหน้าได้
    การใช้ AI ทำให้ทีม CyberOps มีขนาดเล็กลง แต่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
    บทบาทใหม่ของทีมคือ “ผู้จัดการเอเจนต์” มากกว่าการเป็นผู้ลงมือทำทุกอย่างเอง
    ทักษะใหม่ที่จำเป็นคือ AI governance, prompt engineering และ data science
    การใช้ AI ต้องมีมนุษย์อยู่ใน loop เพื่อควบคุมคุณภาพและความถูกต้อง
    การใช้ AI ในองค์กรยังล่าช้า โดยมีเพียง 22% ที่มีนโยบายและการฝึกอบรมด้าน AI อย่างชัดเจน
    มีเพียง 25% ขององค์กรที่ใช้ encryption และ access control อย่างเต็มรูปแบบในการปกป้องข้อมูล
    83% ขององค์กรยังไม่มีระบบ cloud security ที่มี monitoring และ response แบบครบวงจร
    Gartner แนะนำให้ใช้แนวทาง AI TRiSM (Trust, Risk, Security Management) เพื่อจัดการความเสี่ยงจาก AI

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Agentic AI คือระบบที่สามารถตัดสินใจและลงมือทำได้เอง โดยมีเป้าหมายและ autonomy
    SOC ที่ใช้ AI อย่างมีประสิทธิภาพสามารถลด false positive ได้มากถึง 70%
    Prompt engineering กลายเป็นทักษะสำคัญในการควบคุมพฤติกรรมของ AI agent
    การใช้ AI ใน cybersecurity ต้องมีระบบ audit และ explainability เพื่อให้ตรวจสอบได้
    ฝ่ายตรงข้าม (threat actors) ก็ใช้ AI ในการสร้าง malware ที่เปลี่ยนรูปแบบได้ตลอดเวลา
    การใช้ AI ใน offensive security เช่น red teaming กำลังเติบโตในหลายองค์กร

    https://www.csoonline.com/article/4042494/how-ai-is-reshaping-cybersecurity-operations.html
    🎙️ เมื่อ CyberOps ไม่ใช่แค่คนเฝ้าแจ้งเตือน แต่เป็น “ทีมมนุษย์-เอเจนต์” ที่ทำงานร่วมกัน ในอดีต การทำงานของทีมรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ (CyberOps) คือการเฝ้าระวัง แจ้งเตือน และตอบสนองต่อภัยคุกคามแบบ manual — แต่วันนี้ AI เข้ามาเปลี่ยนทุกอย่าง ไม่ใช่แค่ machine learning ที่ช่วยวิเคราะห์ log หรือตรวจจับ anomaly แบบเดิม แต่เป็น generative AI และ agentic AI ที่สามารถ “คิด วิเคราะห์ และลงมือทำ” ได้เองในระดับที่ใกล้เคียงมนุษย์ ตัวอย่างเช่น ใน Security Operations Center (SOC) ตอนนี้ AI สามารถจัดการงานระดับ 1 ได้เกือบทั้งหมด เช่น การจัดการ ticket, การ triage, และการ route ไปยังทีมที่เกี่ยวข้อง โดยปล่อยให้มนุษย์โฟกัสกับงานระดับสูง เช่น threat modeling หรือ incident response AI ยังช่วยให้ทีมเล็กๆ ที่ไม่มีผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านสามารถทำงานที่ซับซ้อนได้ เช่น การวิเคราะห์ phishing หรือการจัดการ vulnerability โดยใช้ agent ที่เรียนรู้จากข้อมูลและให้คำแนะนำแบบ real-time แต่ทั้งหมดนี้ไม่ได้หมายความว่า “มนุษย์จะถูกแทนที่” — กลับกัน AI กลายเป็น “force multiplier” ที่ช่วยให้ทีมทำงานได้มากขึ้น เร็วขึ้น และแม่นยำขึ้น โดยยังคงต้องมีมนุษย์คอยตรวจสอบและตัดสินใจในจุดสำคัญ อย่างไรก็ตาม การนำ AI มาใช้ใน CyberOps ก็มีความท้าทาย ทั้งเรื่อง governance, ความเร็วในการปรับตัว และการจัดการความเสี่ยงจาก AI ที่ถูกใช้โดยฝ่ายตรงข้าม 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ AI โดยเฉพาะ generative และ agentic AI กำลังเปลี่ยนวิธีการทำงานของทีม CyberOps ➡️ AI ช่วยจัดการงานระดับ 1 ใน SOC เช่น ticket triage และ routing ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ➡️ AI ช่วยยกระดับทักษะของทีม โดยทำให้พนักงานใหม่เรียนรู้เร็วขึ้น และพนักงานเก่าทำงานได้ดีขึ้น ➡️ AI สามารถสร้าง case study และคำแนะนำให้ SOC worker ทำงานระดับสูงได้ง่ายขึ้น ➡️ การใช้ AI ใน threat modeling ช่วยให้ทีมเล็กๆ สามารถวิเคราะห์และป้องกันภัยล่วงหน้าได้ ➡️ การใช้ AI ทำให้ทีม CyberOps มีขนาดเล็กลง แต่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ➡️ บทบาทใหม่ของทีมคือ “ผู้จัดการเอเจนต์” มากกว่าการเป็นผู้ลงมือทำทุกอย่างเอง ➡️ ทักษะใหม่ที่จำเป็นคือ AI governance, prompt engineering และ data science ➡️ การใช้ AI ต้องมีมนุษย์อยู่ใน loop เพื่อควบคุมคุณภาพและความถูกต้อง ➡️ การใช้ AI ในองค์กรยังล่าช้า โดยมีเพียง 22% ที่มีนโยบายและการฝึกอบรมด้าน AI อย่างชัดเจน ➡️ มีเพียง 25% ขององค์กรที่ใช้ encryption และ access control อย่างเต็มรูปแบบในการปกป้องข้อมูล ➡️ 83% ขององค์กรยังไม่มีระบบ cloud security ที่มี monitoring และ response แบบครบวงจร ➡️ Gartner แนะนำให้ใช้แนวทาง AI TRiSM (Trust, Risk, Security Management) เพื่อจัดการความเสี่ยงจาก AI ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Agentic AI คือระบบที่สามารถตัดสินใจและลงมือทำได้เอง โดยมีเป้าหมายและ autonomy ➡️ SOC ที่ใช้ AI อย่างมีประสิทธิภาพสามารถลด false positive ได้มากถึง 70% ➡️ Prompt engineering กลายเป็นทักษะสำคัญในการควบคุมพฤติกรรมของ AI agent ➡️ การใช้ AI ใน cybersecurity ต้องมีระบบ audit และ explainability เพื่อให้ตรวจสอบได้ ➡️ ฝ่ายตรงข้าม (threat actors) ก็ใช้ AI ในการสร้าง malware ที่เปลี่ยนรูปแบบได้ตลอดเวลา ➡️ การใช้ AI ใน offensive security เช่น red teaming กำลังเติบโตในหลายองค์กร https://www.csoonline.com/article/4042494/how-ai-is-reshaping-cybersecurity-operations.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    How AI is reshaping cybersecurity operations
    AI’s emergence as a transformative force is spurring CISOs to rethink how their teams operate to harness the technology’s potential and better defend its use across the organization.
    0 Comments 0 Shares 223 Views 0 Reviews
  • เมื่อการ “ค้นหา” กลายเป็นอาชญากรรม – และเสรีภาพออนไลน์ในรัสเซียก็หายไปอีกขั้น

    Artyom วัยรุ่นชาวรัสเซียคนหนึ่งเล่าว่า เขาใช้ชีวิตครึ่งหนึ่งอยู่บนโลกออนไลน์ แต่หลังวันที่ 1 กันยายน 2025 เขาอาจต้องระวังทุกคลิก เพราะกฎหมายใหม่ของรัสเซียระบุว่า “การค้นหาเนื้อหาสุดโต่ง” บนอินเทอร์เน็ตถือเป็นความผิดที่มีโทษปรับ

    คำว่า “สุดโต่ง” ในบริบทของรัสเซียมีความหมายกว้างมาก ตั้งแต่กลุ่มก่อการร้ายไปจนถึงนักการเมืองฝ่ายค้าน เช่น Alexei Navalny หรือแม้แต่ข้อมูลเกี่ยวกับ LGBTQ ก็ถูกจัดอยู่ในหมวดนี้

    กฎหมายนี้ลงโทษผู้ที่ “ตั้งใจค้นหา” เนื้อหาดังกล่าว โดยมีโทษปรับตั้งแต่ 3,000 ถึง 5,000 รูเบิล (ประมาณ 37–63 ดอลลาร์) แม้จะใช้ VPN ก็ไม่รอด หากพิสูจน์ได้ว่ามีเจตนา

    ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์เตือนว่า กฎหมายนี้ละเมิดหลักการพื้นฐานของรัฐธรรมนูญที่ระบุว่า “การอ่านไม่ควรถูกลงโทษ” และอาจนำไปสู่การควบคุมแบบจีน ที่ประชาชนต้องกลัวแม้แต่การค้นหาข้อมูล

    แม้แต่ผู้สนับสนุนรัฐบาลบางคนก็ยังแสดงความกังวล โดยมี ส.ส. ถึง 60 คนในสภาดูมาที่ลงคะแนนคัดค้านกฎหมายนี้ ซึ่งถือเป็นปรากฏการณ์ที่หาได้ยากในรัสเซีย

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    รัสเซียออกกฎหมายใหม่ลงโทษผู้ใช้อินเทอร์เน็ตที่ “ตั้งใจค้นหา” เนื้อหาสุดโต่ง
    คำว่า “สุดโต่ง” ครอบคลุมทั้งกลุ่มก่อการร้าย ฝ่ายค้าน และ LGBTQ
    โทษปรับอยู่ระหว่าง 3,000–5,000 รูเบิล สำหรับบุคคลทั่วไป
    การใช้ VPN ไม่ช่วย หากพิสูจน์ได้ว่ามีเจตนาในการค้นหา
    กฎหมายมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2025
    มี ส.ส. 60 คนลงคะแนนคัดค้านกฎหมายนี้ในสภาดูมา
    ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่ากฎหมายนี้ละเมิดหลักการ “การอ่านไม่ควรถูกลงโทษ”
    ประชาชนหลายคนเริ่มกลัวการค้นหาข้อมูล แม้จะเป็นเรื่องทั่วไป
    กฎหมายนี้เป็นส่วนหนึ่งของการควบคุมเสรีภาพสื่อและอินเทอร์เน็ตหลังสงครามยูเครน
    มีการแบนโฆษณา VPN และเพิ่มโทษสำหรับผู้ให้บริการ VPN

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    กฎหมายนี้ถูกวิจารณ์จาก Amnesty International ว่าคลุมเครือและเปิดช่องให้ใช้โดยพลการ
    Yekaterina Mizulina จาก Safe Internet League เตือนว่ากฎหมายอาจกระทบการทำงานของตำรวจเอง
    การควบคุมอินเทอร์เน็ตในรัสเซียเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2022
    เว็บไซต์ข่าวอิสระ เช่น The Moscow Times ถูกจัดเป็น “องค์กรไม่พึงประสงค์”
    นักวิชาการเปรียบเทียบการควบคุมนี้กับระบบเซ็นเซอร์ของจีน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/21/online-behaviour-under-scrutiny-as-russia-hunts-039extremists039
    🎙️ เมื่อการ “ค้นหา” กลายเป็นอาชญากรรม – และเสรีภาพออนไลน์ในรัสเซียก็หายไปอีกขั้น Artyom วัยรุ่นชาวรัสเซียคนหนึ่งเล่าว่า เขาใช้ชีวิตครึ่งหนึ่งอยู่บนโลกออนไลน์ แต่หลังวันที่ 1 กันยายน 2025 เขาอาจต้องระวังทุกคลิก เพราะกฎหมายใหม่ของรัสเซียระบุว่า “การค้นหาเนื้อหาสุดโต่ง” บนอินเทอร์เน็ตถือเป็นความผิดที่มีโทษปรับ คำว่า “สุดโต่ง” ในบริบทของรัสเซียมีความหมายกว้างมาก ตั้งแต่กลุ่มก่อการร้ายไปจนถึงนักการเมืองฝ่ายค้าน เช่น Alexei Navalny หรือแม้แต่ข้อมูลเกี่ยวกับ LGBTQ ก็ถูกจัดอยู่ในหมวดนี้ กฎหมายนี้ลงโทษผู้ที่ “ตั้งใจค้นหา” เนื้อหาดังกล่าว โดยมีโทษปรับตั้งแต่ 3,000 ถึง 5,000 รูเบิล (ประมาณ 37–63 ดอลลาร์) แม้จะใช้ VPN ก็ไม่รอด หากพิสูจน์ได้ว่ามีเจตนา ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์เตือนว่า กฎหมายนี้ละเมิดหลักการพื้นฐานของรัฐธรรมนูญที่ระบุว่า “การอ่านไม่ควรถูกลงโทษ” และอาจนำไปสู่การควบคุมแบบจีน ที่ประชาชนต้องกลัวแม้แต่การค้นหาข้อมูล แม้แต่ผู้สนับสนุนรัฐบาลบางคนก็ยังแสดงความกังวล โดยมี ส.ส. ถึง 60 คนในสภาดูมาที่ลงคะแนนคัดค้านกฎหมายนี้ ซึ่งถือเป็นปรากฏการณ์ที่หาได้ยากในรัสเซีย 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ รัสเซียออกกฎหมายใหม่ลงโทษผู้ใช้อินเทอร์เน็ตที่ “ตั้งใจค้นหา” เนื้อหาสุดโต่ง ➡️ คำว่า “สุดโต่ง” ครอบคลุมทั้งกลุ่มก่อการร้าย ฝ่ายค้าน และ LGBTQ ➡️ โทษปรับอยู่ระหว่าง 3,000–5,000 รูเบิล สำหรับบุคคลทั่วไป ➡️ การใช้ VPN ไม่ช่วย หากพิสูจน์ได้ว่ามีเจตนาในการค้นหา ➡️ กฎหมายมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2025 ➡️ มี ส.ส. 60 คนลงคะแนนคัดค้านกฎหมายนี้ในสภาดูมา ➡️ ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่ากฎหมายนี้ละเมิดหลักการ “การอ่านไม่ควรถูกลงโทษ” ➡️ ประชาชนหลายคนเริ่มกลัวการค้นหาข้อมูล แม้จะเป็นเรื่องทั่วไป ➡️ กฎหมายนี้เป็นส่วนหนึ่งของการควบคุมเสรีภาพสื่อและอินเทอร์เน็ตหลังสงครามยูเครน ➡️ มีการแบนโฆษณา VPN และเพิ่มโทษสำหรับผู้ให้บริการ VPN ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ กฎหมายนี้ถูกวิจารณ์จาก Amnesty International ว่าคลุมเครือและเปิดช่องให้ใช้โดยพลการ ➡️ Yekaterina Mizulina จาก Safe Internet League เตือนว่ากฎหมายอาจกระทบการทำงานของตำรวจเอง ➡️ การควบคุมอินเทอร์เน็ตในรัสเซียเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2022 ➡️ เว็บไซต์ข่าวอิสระ เช่น The Moscow Times ถูกจัดเป็น “องค์กรไม่พึงประสงค์” ➡️ นักวิชาการเปรียบเทียบการควบคุมนี้กับระบบเซ็นเซอร์ของจีน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/21/online-behaviour-under-scrutiny-as-russia-hunts-039extremists039
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Online behaviour under scrutiny as Russia hunts 'extremists'
    Since launching its offensive in Ukraine in 2022, Russia has drastically restricted press freedom and freedom of speech online.
    0 Comments 0 Shares 252 Views 0 Reviews
  • เมื่อผู้พิทักษ์ไซเบอร์กลายเป็นผู้ต้องหา: คดีที่สะเทือนความเชื่อมั่นระดับโลก

    Tom Artiom Alexandrovich วัย 38 ปี ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายเทคโนโลยีของ Israel Cyber Directorate ถูกจับในลาสเวกัสระหว่างการประชุม Black Hat 2025 ซึ่งเป็นงานใหญ่ด้านความปลอดภัยไซเบอร์ระดับโลก

    เขาเป็นหนึ่งใน 8 ผู้ต้องหาที่ถูกจับจากปฏิบัติการลับร่วมกันระหว่าง FBI, ICAC และตำรวจท้องถิ่น โดยทั้งหมดถูกตั้งข้อหา “ล่อลวงเด็กผ่านคอมพิวเตอร์เพื่อการล่วงละเมิดทางเพศ” ซึ่งตามกฎหมายรัฐเนวาดา มีโทษจำคุก 1–10 ปี

    แม้ตำรวจลาสเวกัสจะยืนยันการจับกุมและการฝากขัง แต่รัฐบาลอิสราเอลกลับแถลงว่า Alexandrovich “ไม่ได้ถูกจับกุม แต่ถูกสอบสวน” และเดินทางกลับประเทศตามกำหนด โดยถูกสั่งพักงานเพื่อรอผลสอบสวน

    เขาเคยมีบทบาทสำคัญในการพัฒนา “Cyber Dome” ระบบป้องกันภัยไซเบอร์ระดับชาติของอิสราเอล และเคยได้รับรางวัล Israel Defense Prize จากผลงานด้านความมั่นคงไซเบอร์

    เหตุการณ์นี้จึงไม่ใช่แค่คดีอาชญากรรมธรรมดา แต่สะท้อนถึงความเปราะบางของระบบที่ควรปกป้องผู้คนจากภัยออนไลน์ และยังตอกย้ำความจำเป็นของความร่วมมือระหว่างประเทศในการจัดการอาชญากรรมไซเบอร์ที่ข้ามพรมแดน

    ข้อมูลการจับกุม
    Tom Artiom Alexandrovich ถูกจับในลาสเวกัสระหว่างร่วมงาน Black Hat 2025
    เป็นหนึ่งใน 8 ผู้ต้องหาที่ถูกจับจากปฏิบัติการลับของ FBI และ ICAC
    ถูกตั้งข้อหาล่อลวงเด็กผ่านคอมพิวเตอร์เพื่อการล่วงละเมิดทางเพศ

    ความขัดแย้งระหว่างประเทศ
    ตำรวจสหรัฐฯ ยืนยันการจับกุมและฝากขัง
    รัฐบาลอิสราเอลแถลงว่าเป็นเพียงการสอบสวน ไม่ใช่การจับกุม
    Alexandrovich ถูกสั่งพักงานและกลับประเทศตามกำหนด

    ประวัติและบทบาทของผู้ต้องหา
    เคยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายเทคโนโลยีของ Israel Cyber Directorate
    มีบทบาทสำคัญในการพัฒนา Cyber Dome และระบบป้องกันโครงสร้างพื้นฐาน
    เคยได้รับรางวัล Israel Defense Prize จากผลงานด้านความมั่นคงไซเบอร์

    ความร่วมมือระหว่างประเทศ
    ปฏิบัติการลับครั้งนี้เป็นความร่วมมือระหว่าง FBI, ICAC และหน่วยงานท้องถิ่น
    แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นของการทำงานร่วมกันเพื่อจัดการภัยออนไลน์
    เป็นตัวอย่างของการบังคับใช้กฎหมายข้ามพรมแดนในยุคดิจิทัล

    การล่อลวงเด็กทางออนไลน์ยังคงเป็นภัยที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง
    ความขัดแย้งระหว่างข้อมูลจากต่างประเทศอาจทำให้คดีไม่โปร่งใส
    การขาดนโยบายตรวจสอบบุคลากรในหน่วยงานความมั่นคงอาจนำไปสู่ความเสี่ยงระดับชาติ

    https://hackread.com/israeli-cybersecurity-director-arrest-us-child-exploit-sting/
    🧠 เมื่อผู้พิทักษ์ไซเบอร์กลายเป็นผู้ต้องหา: คดีที่สะเทือนความเชื่อมั่นระดับโลก Tom Artiom Alexandrovich วัย 38 ปี ซึ่งเคยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายเทคโนโลยีของ Israel Cyber Directorate ถูกจับในลาสเวกัสระหว่างการประชุม Black Hat 2025 ซึ่งเป็นงานใหญ่ด้านความปลอดภัยไซเบอร์ระดับโลก เขาเป็นหนึ่งใน 8 ผู้ต้องหาที่ถูกจับจากปฏิบัติการลับร่วมกันระหว่าง FBI, ICAC และตำรวจท้องถิ่น โดยทั้งหมดถูกตั้งข้อหา “ล่อลวงเด็กผ่านคอมพิวเตอร์เพื่อการล่วงละเมิดทางเพศ” ซึ่งตามกฎหมายรัฐเนวาดา มีโทษจำคุก 1–10 ปี แม้ตำรวจลาสเวกัสจะยืนยันการจับกุมและการฝากขัง แต่รัฐบาลอิสราเอลกลับแถลงว่า Alexandrovich “ไม่ได้ถูกจับกุม แต่ถูกสอบสวน” และเดินทางกลับประเทศตามกำหนด โดยถูกสั่งพักงานเพื่อรอผลสอบสวน เขาเคยมีบทบาทสำคัญในการพัฒนา “Cyber Dome” ระบบป้องกันภัยไซเบอร์ระดับชาติของอิสราเอล และเคยได้รับรางวัล Israel Defense Prize จากผลงานด้านความมั่นคงไซเบอร์ เหตุการณ์นี้จึงไม่ใช่แค่คดีอาชญากรรมธรรมดา แต่สะท้อนถึงความเปราะบางของระบบที่ควรปกป้องผู้คนจากภัยออนไลน์ และยังตอกย้ำความจำเป็นของความร่วมมือระหว่างประเทศในการจัดการอาชญากรรมไซเบอร์ที่ข้ามพรมแดน ✅ ข้อมูลการจับกุม ➡️ Tom Artiom Alexandrovich ถูกจับในลาสเวกัสระหว่างร่วมงาน Black Hat 2025 ➡️ เป็นหนึ่งใน 8 ผู้ต้องหาที่ถูกจับจากปฏิบัติการลับของ FBI และ ICAC ➡️ ถูกตั้งข้อหาล่อลวงเด็กผ่านคอมพิวเตอร์เพื่อการล่วงละเมิดทางเพศ ✅ ความขัดแย้งระหว่างประเทศ ➡️ ตำรวจสหรัฐฯ ยืนยันการจับกุมและฝากขัง ➡️ รัฐบาลอิสราเอลแถลงว่าเป็นเพียงการสอบสวน ไม่ใช่การจับกุม ➡️ Alexandrovich ถูกสั่งพักงานและกลับประเทศตามกำหนด ✅ ประวัติและบทบาทของผู้ต้องหา ➡️ เคยดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายเทคโนโลยีของ Israel Cyber Directorate ➡️ มีบทบาทสำคัญในการพัฒนา Cyber Dome และระบบป้องกันโครงสร้างพื้นฐาน ➡️ เคยได้รับรางวัล Israel Defense Prize จากผลงานด้านความมั่นคงไซเบอร์ ✅ ความร่วมมือระหว่างประเทศ ➡️ ปฏิบัติการลับครั้งนี้เป็นความร่วมมือระหว่าง FBI, ICAC และหน่วยงานท้องถิ่น ➡️ แสดงให้เห็นถึงความจำเป็นของการทำงานร่วมกันเพื่อจัดการภัยออนไลน์ ➡️ เป็นตัวอย่างของการบังคับใช้กฎหมายข้ามพรมแดนในยุคดิจิทัล ⛔ การล่อลวงเด็กทางออนไลน์ยังคงเป็นภัยที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ⛔ ความขัดแย้งระหว่างข้อมูลจากต่างประเทศอาจทำให้คดีไม่โปร่งใส ⛔ การขาดนโยบายตรวจสอบบุคลากรในหน่วยงานความมั่นคงอาจนำไปสู่ความเสี่ยงระดับชาติ https://hackread.com/israeli-cybersecurity-director-arrest-us-child-exploit-sting/
    HACKREAD.COM
    Top Israeli Cybersecurity Official Arrested in US Child Exploitation Sting
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 301 Views 0 Reviews
  • ใบรับรองที่ไม่ใช่แค่กระดาษ: เส้นทางสู่เงินเดือนสูงในสายงาน Cybersecurity ปี 2025

    ในยุคที่ภัยคุกคามไซเบอร์ซับซ้อนขึ้นทุกวัน องค์กรต่าง ๆ ก็ต้องการผู้เชี่ยวชาญที่มีทักษะเฉพาะทางมากขึ้นเช่นกัน และหนึ่งในวิธีที่ชัดเจนที่สุดในการแสดงความสามารถคือ “ใบรับรอง” หรือ Certification ด้านความปลอดภัยไซเบอร์

    จากรายงานของ CSO Online และข้อมูลเสริมจากหลายแหล่ง พบว่าใบรับรองบางใบสามารถเพิ่มเงินเดือนเฉลี่ยได้ถึง 10–22% และยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องในตลาดแรงงาน โดยเฉพาะในสายงานที่เกี่ยวข้องกับการเจาะระบบ (penetration testing), การวิเคราะห์การบุกรุก (intrusion analysis), และการจัดการความเสี่ยงระดับองค์กร

    ตัวอย่างเช่น OSCP (Offensive Security Certified Professional) และ OSEP (Experienced Penetration Tester) ที่เน้นการทดสอบเจาะระบบแบบลงมือจริง หรือ CCSK (Certificate of Cloud Security Knowledge) ที่เน้นความรู้ด้านความปลอดภัยบนคลาวด์แบบ vendor-neutral

    นอกจากนี้ ยังมีใบรับรองระดับผู้บริหารอย่าง C|CISO ที่เหมาะกับผู้จัดการและผู้บริหารที่ต้องการเข้าใจภาพรวมของการบริหารความเสี่ยงและการกำกับดูแลด้านความปลอดภัย

    สิ่งที่น่าสนใจคือ ใบรับรองเหล่านี้ไม่เพียงแต่เพิ่มเงินเดือน แต่ยังเปิดประตูสู่ตำแหน่งใหม่ ๆ เช่น Threat Hunter, Incident Responder, หรือแม้แต่ CISO ในองค์กรขนาดใหญ่

    ใบรับรองที่ให้ผลตอบแทนสูงในปี 2025
    OSCP: เพิ่มเงินเดือนเฉลี่ย 11%, เติบโต 22.2%
    OSEP: เพิ่มเงินเดือนเฉลี่ย 11%, เติบโต 22.2%
    CCSK: เพิ่มเงินเดือนเฉลี่ย 11%, เติบโต 22.2%
    C|CISO: เพิ่มเงินเดือนเฉลี่ย 11%, เติบโต 10%
    GCIA: เพิ่มเงินเดือนเฉลี่ย 10%, เติบโต 11.1%
    CSFA: เพิ่มเงินเดือนเฉลี่ย 10%, เติบโต 11.1%
    OSDA และ OSEE: เพิ่มเงินเดือนเฉลี่ย 10%, เติบโต 11.1%
    OSCE: เพิ่มเงินเดือนเฉลี่ย 12%, เติบโต 9.1%

    ประเภทของใบรับรองที่น่าสนใจ
    Offensive Security (OSCP, OSEP, OSCE, OSDA, OSEE): เน้นการเจาะระบบและการป้องกัน Cloud Security (CCSK): เหมาะกับผู้ดูแลระบบคลาวด์และ compliance
    Forensics (CSFA): เน้นการวิเคราะห์หลักฐานดิจิทัล
    Governance & Leadership (C|CISO): เหมาะกับผู้บริหารด้านความปลอดภัย

    แนวโน้มตลาดแรงงานและเงินเดือน
    ผู้ถือใบรับรองมีรายได้สูงกว่าผู้ไม่มีใบรับรอง 20–25% โดยเฉลี่ย
    ตำแหน่งในสหรัฐฯ เช่น CISO มีรายได้เฉลี่ยเกิน $240,000
    ประเทศในเอเชีย เช่น ญี่ปุ่นและสิงคโปร์ มีรายได้เฉลี่ยสูงกว่า $100,000
    ตลาดยุโรปตะวันออกเติบโตเร็วจากการขยายบริการความปลอดภัยแบบ outsource

    https://www.csoonline.com/article/3846312/11-hottest-it-security-certs-for-higher-pay-today.html
    🧠 ใบรับรองที่ไม่ใช่แค่กระดาษ: เส้นทางสู่เงินเดือนสูงในสายงาน Cybersecurity ปี 2025 ในยุคที่ภัยคุกคามไซเบอร์ซับซ้อนขึ้นทุกวัน องค์กรต่าง ๆ ก็ต้องการผู้เชี่ยวชาญที่มีทักษะเฉพาะทางมากขึ้นเช่นกัน และหนึ่งในวิธีที่ชัดเจนที่สุดในการแสดงความสามารถคือ “ใบรับรอง” หรือ Certification ด้านความปลอดภัยไซเบอร์ จากรายงานของ CSO Online และข้อมูลเสริมจากหลายแหล่ง พบว่าใบรับรองบางใบสามารถเพิ่มเงินเดือนเฉลี่ยได้ถึง 10–22% และยังมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องในตลาดแรงงาน โดยเฉพาะในสายงานที่เกี่ยวข้องกับการเจาะระบบ (penetration testing), การวิเคราะห์การบุกรุก (intrusion analysis), และการจัดการความเสี่ยงระดับองค์กร ตัวอย่างเช่น OSCP (Offensive Security Certified Professional) และ OSEP (Experienced Penetration Tester) ที่เน้นการทดสอบเจาะระบบแบบลงมือจริง หรือ CCSK (Certificate of Cloud Security Knowledge) ที่เน้นความรู้ด้านความปลอดภัยบนคลาวด์แบบ vendor-neutral นอกจากนี้ ยังมีใบรับรองระดับผู้บริหารอย่าง C|CISO ที่เหมาะกับผู้จัดการและผู้บริหารที่ต้องการเข้าใจภาพรวมของการบริหารความเสี่ยงและการกำกับดูแลด้านความปลอดภัย สิ่งที่น่าสนใจคือ ใบรับรองเหล่านี้ไม่เพียงแต่เพิ่มเงินเดือน แต่ยังเปิดประตูสู่ตำแหน่งใหม่ ๆ เช่น Threat Hunter, Incident Responder, หรือแม้แต่ CISO ในองค์กรขนาดใหญ่ ✅ ใบรับรองที่ให้ผลตอบแทนสูงในปี 2025 ➡️ OSCP: เพิ่มเงินเดือนเฉลี่ย 11%, เติบโต 22.2% ➡️ OSEP: เพิ่มเงินเดือนเฉลี่ย 11%, เติบโต 22.2% ➡️ CCSK: เพิ่มเงินเดือนเฉลี่ย 11%, เติบโต 22.2% ➡️ C|CISO: เพิ่มเงินเดือนเฉลี่ย 11%, เติบโต 10% ➡️ GCIA: เพิ่มเงินเดือนเฉลี่ย 10%, เติบโต 11.1% ➡️ CSFA: เพิ่มเงินเดือนเฉลี่ย 10%, เติบโต 11.1% ➡️ OSDA และ OSEE: เพิ่มเงินเดือนเฉลี่ย 10%, เติบโต 11.1% ➡️ OSCE: เพิ่มเงินเดือนเฉลี่ย 12%, เติบโต 9.1% ✅ ประเภทของใบรับรองที่น่าสนใจ ➡️ Offensive Security (OSCP, OSEP, OSCE, OSDA, OSEE): เน้นการเจาะระบบและการป้องกัน ➡️ Cloud Security (CCSK): เหมาะกับผู้ดูแลระบบคลาวด์และ compliance ➡️ Forensics (CSFA): เน้นการวิเคราะห์หลักฐานดิจิทัล ➡️ Governance & Leadership (C|CISO): เหมาะกับผู้บริหารด้านความปลอดภัย ✅ แนวโน้มตลาดแรงงานและเงินเดือน ➡️ ผู้ถือใบรับรองมีรายได้สูงกว่าผู้ไม่มีใบรับรอง 20–25% โดยเฉลี่ย ➡️ ตำแหน่งในสหรัฐฯ เช่น CISO มีรายได้เฉลี่ยเกิน $240,000 ➡️ ประเทศในเอเชีย เช่น ญี่ปุ่นและสิงคโปร์ มีรายได้เฉลี่ยสูงกว่า $100,000 ➡️ ตลาดยุโรปตะวันออกเติบโตเร็วจากการขยายบริการความปลอดภัยแบบ outsource https://www.csoonline.com/article/3846312/11-hottest-it-security-certs-for-higher-pay-today.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    9 hottest IT security certs for higher pay today
    Cybersecurity certifications can pave a path to lucrative career advancement. But timing the job market with the right credentials can be challenging. Here are the certs providing the largest pay boosts right now.
    0 Comments 0 Shares 277 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: ช่องโหว่ในระบบดีลเลอร์รถยนต์ เปิดทางให้แฮกเกอร์ปลดล็อกรถจากระยะไกล

    Eaton Zveare นักวิจัยด้านความปลอดภัยไซเบอร์ ได้ค้นพบช่องโหว่ร้ายแรงในระบบพอร์ทัลออนไลน์ของผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่รายหนึ่ง (ไม่เปิดเผยชื่อ) ซึ่งมีดีลเลอร์กว่า 1,000 แห่งในสหรัฐฯ ช่องโหว่นี้เปิดโอกาสให้แฮกเกอร์สามารถสร้างบัญชี “ผู้ดูแลระดับชาติ” ได้เอง และเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า รวมถึงควบคุมฟังก์ชันบางอย่างของรถจากระยะไกล เช่น การปลดล็อกรถ

    Zveare ใช้เทคนิคแก้ไขโค้ดที่โหลดในเบราว์เซอร์หน้า login เพื่อข้ามระบบตรวจสอบสิทธิ์ และสร้างบัญชีแอดมินที่สามารถเข้าถึงข้อมูลทุกดีลเลอร์ได้โดยไม่มีใครรู้ เขายังพบเครื่องมือ lookup ที่สามารถใช้หมายเลขตัวถังรถ (VIN) หรือแค่ชื่อ-นามสกุล เพื่อค้นหาข้อมูลเจ้าของรถได้ทันที

    ที่น่าตกใจคือ ระบบยังอนุญาตให้เชื่อมรถเข้ากับบัญชีมือถือใหม่ได้ง่าย ๆ โดยแค่ “รับรองว่าเป็นเจ้าของจริง” ซึ่ง Zveare ทดลองกับรถของเพื่อน (โดยได้รับอนุญาต) และสามารถควบคุมการปลดล็อกรถผ่านแอปได้สำเร็จ

    แม้บริษัทจะรีบแก้ไขภายในหนึ่งสัปดาห์หลังได้รับแจ้ง แต่กรณีนี้สะท้อนถึงความเสี่ยงของระบบดีลเลอร์ที่มีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลจำนวนมาก และขาดการป้องกันที่รัดกุม

    นักวิจัยพบช่องโหว่ในระบบพอร์ทัลของผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่
    มีดีลเลอร์กว่า 1,000 แห่งในสหรัฐฯ

    ช่องโหว่ช่วยให้สร้างบัญชีแอดมินระดับชาติได้เอง
    เข้าถึงข้อมูลลูกค้า, ดีลเลอร์, และระบบควบคุมรถ

    ใช้แค่ VIN หรือชื่อ-นามสกุล ก็สามารถค้นหาข้อมูลเจ้าของรถได้
    ผ่านเครื่องมือ lookup ภายในระบบ

    สามารถเชื่อมรถเข้ากับบัญชีมือถือใหม่ได้ง่าย ๆ
    ใช้แค่การรับรองว่าเป็นเจ้าของ โดยไม่มีการตรวจสอบจริง

    ระบบใช้ Single Sign-On (SSO) ทำให้สามารถสวมรอยผู้ใช้คนอื่นได้
    เข้าถึงดีลเลอร์อื่นโดยไม่ต้องใช้รหัสผ่าน

    บริษัทแก้ไขช่องโหว่ภายในหนึ่งสัปดาห์หลังได้รับแจ้ง
    Zveare นำเสนอผลการวิจัยในงาน Defcon

    https://hackread.com/carmaker-portal-flaw-hackers-unlock-cars-steal-data/
    🚗🔓 เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: ช่องโหว่ในระบบดีลเลอร์รถยนต์ เปิดทางให้แฮกเกอร์ปลดล็อกรถจากระยะไกล Eaton Zveare นักวิจัยด้านความปลอดภัยไซเบอร์ ได้ค้นพบช่องโหว่ร้ายแรงในระบบพอร์ทัลออนไลน์ของผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่รายหนึ่ง (ไม่เปิดเผยชื่อ) ซึ่งมีดีลเลอร์กว่า 1,000 แห่งในสหรัฐฯ ช่องโหว่นี้เปิดโอกาสให้แฮกเกอร์สามารถสร้างบัญชี “ผู้ดูแลระดับชาติ” ได้เอง และเข้าถึงข้อมูลส่วนตัวของลูกค้า รวมถึงควบคุมฟังก์ชันบางอย่างของรถจากระยะไกล เช่น การปลดล็อกรถ Zveare ใช้เทคนิคแก้ไขโค้ดที่โหลดในเบราว์เซอร์หน้า login เพื่อข้ามระบบตรวจสอบสิทธิ์ และสร้างบัญชีแอดมินที่สามารถเข้าถึงข้อมูลทุกดีลเลอร์ได้โดยไม่มีใครรู้ เขายังพบเครื่องมือ lookup ที่สามารถใช้หมายเลขตัวถังรถ (VIN) หรือแค่ชื่อ-นามสกุล เพื่อค้นหาข้อมูลเจ้าของรถได้ทันที ที่น่าตกใจคือ ระบบยังอนุญาตให้เชื่อมรถเข้ากับบัญชีมือถือใหม่ได้ง่าย ๆ โดยแค่ “รับรองว่าเป็นเจ้าของจริง” ซึ่ง Zveare ทดลองกับรถของเพื่อน (โดยได้รับอนุญาต) และสามารถควบคุมการปลดล็อกรถผ่านแอปได้สำเร็จ แม้บริษัทจะรีบแก้ไขภายในหนึ่งสัปดาห์หลังได้รับแจ้ง แต่กรณีนี้สะท้อนถึงความเสี่ยงของระบบดีลเลอร์ที่มีสิทธิ์เข้าถึงข้อมูลจำนวนมาก และขาดการป้องกันที่รัดกุม ✅ นักวิจัยพบช่องโหว่ในระบบพอร์ทัลของผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ ➡️ มีดีลเลอร์กว่า 1,000 แห่งในสหรัฐฯ ✅ ช่องโหว่ช่วยให้สร้างบัญชีแอดมินระดับชาติได้เอง ➡️ เข้าถึงข้อมูลลูกค้า, ดีลเลอร์, และระบบควบคุมรถ ✅ ใช้แค่ VIN หรือชื่อ-นามสกุล ก็สามารถค้นหาข้อมูลเจ้าของรถได้ ➡️ ผ่านเครื่องมือ lookup ภายในระบบ ✅ สามารถเชื่อมรถเข้ากับบัญชีมือถือใหม่ได้ง่าย ๆ ➡️ ใช้แค่การรับรองว่าเป็นเจ้าของ โดยไม่มีการตรวจสอบจริง ✅ ระบบใช้ Single Sign-On (SSO) ทำให้สามารถสวมรอยผู้ใช้คนอื่นได้ ➡️ เข้าถึงดีลเลอร์อื่นโดยไม่ต้องใช้รหัสผ่าน ✅ บริษัทแก้ไขช่องโหว่ภายในหนึ่งสัปดาห์หลังได้รับแจ้ง ➡️ Zveare นำเสนอผลการวิจัยในงาน Defcon https://hackread.com/carmaker-portal-flaw-hackers-unlock-cars-steal-data/
    HACKREAD.COM
    Carmaker Portal Flaw Could Let Hackers Unlock Cars, Steal Data
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 194 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: เมื่อเกมแห่งโชคต้องพึ่งพาความปลอดภัยระดับ Zero Trust

    ในยุคที่แม้แต่ลอตเตอรี่แห่งชาติยังต้องปรับตัวเข้าสู่โลกดิจิทัล LONACI หรือสำนักงานลอตเตอรี่แห่งชาติของโกตดิวัวร์ ได้จับมือกับสองยักษ์ใหญ่ด้านความปลอดภัยไซเบอร์—AccuKnox และ SecuVerse.ai—เพื่อยกระดับความปลอดภัยของระบบเกมและข้อมูลผู้ใช้อย่างเต็มรูปแบบ

    AccuKnox ซึ่งเป็นผู้นำด้าน Zero Trust CNAPP (Cloud Native Application Protection Platform) ได้ร่วมกับ SecuVerse.ai จากโมร็อกโก เพื่อส่งมอบโซลูชัน ASPM (Application Security Posture Management) ที่ผสานเทคโนโลยี SAST, DAST และ SCA เข้าด้วยกัน พร้อมระบบ AI ที่ช่วยแนะนำวิธีแก้ไขช่องโหว่แบบเจาะจงตามบริบทของแต่ละระบบ

    เป้าหมายของ LONACI คือการรวมเครื่องมือที่กระจัดกระจายให้เป็นแพลตฟอร์มเดียวที่ปลอดภัย โปร่งใส และสอดคล้องกับมาตรฐานสากล เช่น PCI-DSS, ISO 27001 และ GDPR เพื่อรองรับยุทธศาสตร์ดิจิทัลระยะยาวถึงปี 2030

    CNAPP คือแพลตฟอร์มรักษาความปลอดภัยแบบครบวงจรสำหรับแอปพลิเคชันบนคลาวด์
    ครอบคลุมตั้งแต่การพัฒนาไปจนถึงการใช้งานจริง

    Zero Trust คือแนวคิดที่ไม่เชื่อถือใครโดยอัตโนมัติ
    ทุกการเข้าถึงต้องได้รับการตรวจสอบและอนุญาตอย่างเข้มงวด

    AccuKnox เป็นผู้ร่วมพัฒนา KubeArmor ซึ่งมีการดาวน์โหลดมากกว่า 2 ล้านครั้ง
    เป็นระบบรักษาความปลอดภัย runtime สำหรับ Kubernetes

    การใช้ AI ในระบบความปลอดภัยช่วยลดภาระของทีมงาน
    ทำให้สามารถโฟกัสกับภัยคุกคามที่สำคัญได้มากขึ้น

    LONACI จับมือ AccuKnox และ SecuVerse.ai เพื่อเสริมความปลอดภัยของระบบลอตเตอรี่แห่งชาติ
    เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ดิจิทัล 2025–2030

    โซลูชันที่ใช้คือ ASPM ที่รวม SAST, DAST และ SCA
    ช่วยตรวจสอบความปลอดภัยของโค้ดทั้งแบบสถิตและแบบไดนามิก

    ใช้ AI เพื่อช่วยแนะนำวิธีแก้ไขช่องโหว่แบบอัตโนมัติ
    ลดเวลาในการวิเคราะห์และแก้ไขปัญหา

    มีระบบ SOAR สำหรับจัดการแจ้งเตือนอย่างมีประสิทธิภาพ
    ช่วยให้ทีมรักษาความปลอดภัยตอบสนองได้เร็วขึ้น

    LONACI ต้องการรวมเครื่องมือหลายตัวให้เป็นแพลตฟอร์มเดียว
    เพื่อเพิ่ม ROI และลดความซับซ้อนในการบริหารจัดการ

    AccuKnox มีความสามารถในการปกป้องทั้ง public cloud และ private cloud
    รองรับ Kubernetes, AI/LLM, Edge/IoT และ VM แบบดั้งเดิม

    SecuVerse.ai มีเครือข่ายในแอฟริกาเหนือ ตะวันตก และกลาง
    ให้บริการด้าน AppSec, CloudSec, DataSec และโครงสร้างพื้นฐาน

    https://hackread.com/accuknox-partners-with-secuverse-ai-to-deliver-zero-trust-cnapp-security-for-national-gaming-infrastructure/
    🎰🔐 เรื่องเล่าจากโลกไซเบอร์: เมื่อเกมแห่งโชคต้องพึ่งพาความปลอดภัยระดับ Zero Trust ในยุคที่แม้แต่ลอตเตอรี่แห่งชาติยังต้องปรับตัวเข้าสู่โลกดิจิทัล LONACI หรือสำนักงานลอตเตอรี่แห่งชาติของโกตดิวัวร์ ได้จับมือกับสองยักษ์ใหญ่ด้านความปลอดภัยไซเบอร์—AccuKnox และ SecuVerse.ai—เพื่อยกระดับความปลอดภัยของระบบเกมและข้อมูลผู้ใช้อย่างเต็มรูปแบบ AccuKnox ซึ่งเป็นผู้นำด้าน Zero Trust CNAPP (Cloud Native Application Protection Platform) ได้ร่วมกับ SecuVerse.ai จากโมร็อกโก เพื่อส่งมอบโซลูชัน ASPM (Application Security Posture Management) ที่ผสานเทคโนโลยี SAST, DAST และ SCA เข้าด้วยกัน พร้อมระบบ AI ที่ช่วยแนะนำวิธีแก้ไขช่องโหว่แบบเจาะจงตามบริบทของแต่ละระบบ เป้าหมายของ LONACI คือการรวมเครื่องมือที่กระจัดกระจายให้เป็นแพลตฟอร์มเดียวที่ปลอดภัย โปร่งใส และสอดคล้องกับมาตรฐานสากล เช่น PCI-DSS, ISO 27001 และ GDPR เพื่อรองรับยุทธศาสตร์ดิจิทัลระยะยาวถึงปี 2030 ✅ CNAPP คือแพลตฟอร์มรักษาความปลอดภัยแบบครบวงจรสำหรับแอปพลิเคชันบนคลาวด์ ➡️ ครอบคลุมตั้งแต่การพัฒนาไปจนถึงการใช้งานจริง ✅ Zero Trust คือแนวคิดที่ไม่เชื่อถือใครโดยอัตโนมัติ ➡️ ทุกการเข้าถึงต้องได้รับการตรวจสอบและอนุญาตอย่างเข้มงวด ✅ AccuKnox เป็นผู้ร่วมพัฒนา KubeArmor ซึ่งมีการดาวน์โหลดมากกว่า 2 ล้านครั้ง ➡️ เป็นระบบรักษาความปลอดภัย runtime สำหรับ Kubernetes ✅ การใช้ AI ในระบบความปลอดภัยช่วยลดภาระของทีมงาน ➡️ ทำให้สามารถโฟกัสกับภัยคุกคามที่สำคัญได้มากขึ้น ✅ LONACI จับมือ AccuKnox และ SecuVerse.ai เพื่อเสริมความปลอดภัยของระบบลอตเตอรี่แห่งชาติ ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ดิจิทัล 2025–2030 ✅ โซลูชันที่ใช้คือ ASPM ที่รวม SAST, DAST และ SCA ➡️ ช่วยตรวจสอบความปลอดภัยของโค้ดทั้งแบบสถิตและแบบไดนามิก ✅ ใช้ AI เพื่อช่วยแนะนำวิธีแก้ไขช่องโหว่แบบอัตโนมัติ ➡️ ลดเวลาในการวิเคราะห์และแก้ไขปัญหา ✅ มีระบบ SOAR สำหรับจัดการแจ้งเตือนอย่างมีประสิทธิภาพ ➡️ ช่วยให้ทีมรักษาความปลอดภัยตอบสนองได้เร็วขึ้น ✅ LONACI ต้องการรวมเครื่องมือหลายตัวให้เป็นแพลตฟอร์มเดียว ➡️ เพื่อเพิ่ม ROI และลดความซับซ้อนในการบริหารจัดการ ✅ AccuKnox มีความสามารถในการปกป้องทั้ง public cloud และ private cloud ➡️ รองรับ Kubernetes, AI/LLM, Edge/IoT และ VM แบบดั้งเดิม ✅ SecuVerse.ai มีเครือข่ายในแอฟริกาเหนือ ตะวันตก และกลาง ➡️ ให้บริการด้าน AppSec, CloudSec, DataSec และโครงสร้างพื้นฐาน https://hackread.com/accuknox-partners-with-secuverse-ai-to-deliver-zero-trust-cnapp-security-for-national-gaming-infrastructure/
    0 Comments 0 Shares 355 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากข่าว: เมืองเล็ก ๆ กับภัยไซเบอร์ที่ใหญ่เกินตัว

    ในยุคที่ทุกอย่างเชื่อมต่อกันผ่านอินเทอร์เน็ต ระบบของเทศบาลและเมืองต่าง ๆ ไม่ได้มีแค่ข้อมูลประชาชน แต่ยังรวมถึงบริการสำคัญ เช่น น้ำ ไฟ การแพทย์ และการรักษาความปลอดภัย ซึ่งหากถูกโจมตี อาจทำให้ทั้งเมืองหยุดชะงักได้ทันที

    ปัญหาคือระบบเหล่านี้มักถูกสร้างขึ้นโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยตั้งแต่ต้น และยังใช้เทคโนโลยีเก่าที่เสี่ยงต่อการถูกเจาะระบบ แถมงบประมาณด้าน cybersecurity ก็ถูกจัดสรรน้อย เพราะต้องแข่งขันกับความต้องการอื่นที่เร่งด่วนกว่า เช่น การซ่อมถนนหรือการจัดการขยะ

    นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่เทศบาลจำนวนมากยังไม่ได้รับการฝึกอบรมด้านความปลอดภัยไซเบอร์อย่างเพียงพอ ทำให้ตกเป็นเหยื่อของ phishing หรือมัลแวร์ได้ง่าย และเมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้น ผลกระทบอาจลุกลามไปถึงความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อรัฐบาลท้องถิ่น

    ระบบเทศบาลมีข้อมูลสำคัญและให้บริการพื้นฐาน เช่น น้ำ ไฟ ตำรวจ และดับเพลิง
    หากถูกโจมตี อาจทำให้บริการหยุดชะงักและเกิดความไม่ปลอดภัยในชุมชน
    ข้อมูลประชาชน เช่น หมายเลขประกันสังคมและประวัติสุขภาพ อาจถูกขโมย

    ระบบเหล่านี้มักสร้างขึ้นโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยตั้งแต่ต้น
    ใช้เทคโนโลยีเก่าที่เสี่ยงต่อการถูกเจาะระบบ
    ขาดการอัปเดตและการตรวจสอบความปลอดภัยอย่างสม่ำเสมอ

    งบประมาณด้าน cybersecurity มักถูกจัดสรรน้อย เพราะมีความต้องการอื่นที่เร่งด่วนกว่า
    การอัปเกรดระบบหรือใช้เครื่องมือรักษาความปลอดภัยขั้นสูงจึงทำได้ยาก
    ส่งผลให้เมืองเล็ก ๆ กลายเป็นเป้าหมายที่ง่ายสำหรับแฮกเกอร์

    เจ้าหน้าที่เทศบาลมักไม่ได้รับการฝึกอบรมด้าน cybersecurity อย่างเพียงพอ
    เสี่ยงต่อการตกเป็นเหยื่อของ phishing หรือ social engineering
    ความผิดพลาดของมนุษย์เป็นจุดอ่อนหลักของระบบความปลอดภัย

    การฝึกอบรมและการร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญภายนอกสามารถช่วยเสริมความปลอดภัยได้
    การจัดอบรมอย่างสม่ำเสมอช่วยให้เจ้าหน้าที่รับมือกับภัยคุกคามใหม่ ๆ
    การร่วมมือกับบริษัท cybersecurity หรือหน่วยงานรัฐช่วยเพิ่มทรัพยากรและความรู้

    นโยบายและกฎระเบียบสามารถสร้างมาตรฐานขั้นต่ำด้านความปลอดภัยให้กับเทศบาล
    เช่น การตรวจสอบระบบเป็นระยะ และการฝึกอบรมพนักงานเป็นข้อบังคับ
    ช่วยให้เกิดความสม่ำเสมอและความร่วมมือระหว่างเมืองต่าง ๆ

    การละเลยด้าน cybersecurity อาจทำให้บริการพื้นฐานของเมืองหยุดชะงักทันทีเมื่อถูกโจมตี
    ส่งผลต่อความปลอดภัยของประชาชน เช่น การตอบสนองฉุกเฉินล่าช้า
    อาจเกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจและสังคมในวงกว้าง

    การใช้เทคโนโลยีเก่าโดยไม่มีการอัปเดตเป็นช่องโหว่ที่แฮกเกอร์ใช้เจาะระบบได้ง่าย
    ระบบที่ไม่รองรับการป้องกันภัยใหม่ ๆ จะถูกโจมตีได้โดยไม่ต้องใช้เทคนิคซับซ้อน
    อาจถูกใช้เป็นฐานโจมตีระบบอื่นในเครือข่าย

    การขาดการฝึกอบรมทำให้เจ้าหน้าที่กลายเป็นจุดอ่อนของระบบความปลอดภัย
    การคลิกลิงก์ปลอมหรือเปิดไฟล์แนบอันตรายอาจทำให้ระบบถูกแฮก
    ความผิดพลาดเล็ก ๆ อาจนำไปสู่การละเมิดข้อมูลครั้งใหญ่

    การไม่มีนโยบายหรือมาตรฐานกลางทำให้แต่ละเมืองมีระดับความปลอดภัยไม่เท่ากัน
    เมืองที่ไม่มีทรัพยากรอาจไม่มีการป้องกันเลย
    ส่งผลต่อความมั่นคงของภูมิภาคโดยรวม

    การใช้กรอบการทำงานของ NIST ช่วยให้เทศบาลวางแผนด้าน cybersecurity ได้อย่างเป็นระบบ
    ครอบคลุม 5 ด้าน: Identify, Protect, Detect, Respond, Recover
    มีเครื่องมือและคู่มือให้ใช้ฟรีจากเว็บไซต์ของ NIST

    การทำประกันภัยไซเบอร์ช่วยลดความเสี่ยงทางการเงินเมื่อเกิดเหตุการณ์โจมตี
    คุ้มครองความเสียหายจากการละเมิดข้อมูลและการหยุดชะงักของระบบ
    แต่ต้องศึกษาข้อกำหนดและค่าใช้จ่ายให้รอบคอบ

    การประเมินระบบอย่างสม่ำเสมอช่วยให้รู้จุดอ่อนและปรับปรุงได้ทันเวลา
    ใช้เครื่องมือฟรีจาก CISA เช่น Cyber Resilience Review และ CSET
    ไม่จำเป็นต้องจ้างบริษัทภายนอกที่มีค่าใช้จ่ายสูงเสมอไป

    https://hackread.com/local-government-cybersecurity-municipal-systems-protection/
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: เมืองเล็ก ๆ กับภัยไซเบอร์ที่ใหญ่เกินตัว ในยุคที่ทุกอย่างเชื่อมต่อกันผ่านอินเทอร์เน็ต ระบบของเทศบาลและเมืองต่าง ๆ ไม่ได้มีแค่ข้อมูลประชาชน แต่ยังรวมถึงบริการสำคัญ เช่น น้ำ ไฟ การแพทย์ และการรักษาความปลอดภัย ซึ่งหากถูกโจมตี อาจทำให้ทั้งเมืองหยุดชะงักได้ทันที ปัญหาคือระบบเหล่านี้มักถูกสร้างขึ้นโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยตั้งแต่ต้น และยังใช้เทคโนโลยีเก่าที่เสี่ยงต่อการถูกเจาะระบบ แถมงบประมาณด้าน cybersecurity ก็ถูกจัดสรรน้อย เพราะต้องแข่งขันกับความต้องการอื่นที่เร่งด่วนกว่า เช่น การซ่อมถนนหรือการจัดการขยะ นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่เทศบาลจำนวนมากยังไม่ได้รับการฝึกอบรมด้านความปลอดภัยไซเบอร์อย่างเพียงพอ ทำให้ตกเป็นเหยื่อของ phishing หรือมัลแวร์ได้ง่าย และเมื่อเกิดเหตุการณ์ขึ้น ผลกระทบอาจลุกลามไปถึงความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อรัฐบาลท้องถิ่น ✅ ระบบเทศบาลมีข้อมูลสำคัญและให้บริการพื้นฐาน เช่น น้ำ ไฟ ตำรวจ และดับเพลิง ➡️ หากถูกโจมตี อาจทำให้บริการหยุดชะงักและเกิดความไม่ปลอดภัยในชุมชน ➡️ ข้อมูลประชาชน เช่น หมายเลขประกันสังคมและประวัติสุขภาพ อาจถูกขโมย ✅ ระบบเหล่านี้มักสร้างขึ้นโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยตั้งแต่ต้น ➡️ ใช้เทคโนโลยีเก่าที่เสี่ยงต่อการถูกเจาะระบบ ➡️ ขาดการอัปเดตและการตรวจสอบความปลอดภัยอย่างสม่ำเสมอ ✅ งบประมาณด้าน cybersecurity มักถูกจัดสรรน้อย เพราะมีความต้องการอื่นที่เร่งด่วนกว่า ➡️ การอัปเกรดระบบหรือใช้เครื่องมือรักษาความปลอดภัยขั้นสูงจึงทำได้ยาก ➡️ ส่งผลให้เมืองเล็ก ๆ กลายเป็นเป้าหมายที่ง่ายสำหรับแฮกเกอร์ ✅ เจ้าหน้าที่เทศบาลมักไม่ได้รับการฝึกอบรมด้าน cybersecurity อย่างเพียงพอ ➡️ เสี่ยงต่อการตกเป็นเหยื่อของ phishing หรือ social engineering ➡️ ความผิดพลาดของมนุษย์เป็นจุดอ่อนหลักของระบบความปลอดภัย ✅ การฝึกอบรมและการร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญภายนอกสามารถช่วยเสริมความปลอดภัยได้ ➡️ การจัดอบรมอย่างสม่ำเสมอช่วยให้เจ้าหน้าที่รับมือกับภัยคุกคามใหม่ ๆ ➡️ การร่วมมือกับบริษัท cybersecurity หรือหน่วยงานรัฐช่วยเพิ่มทรัพยากรและความรู้ ✅ นโยบายและกฎระเบียบสามารถสร้างมาตรฐานขั้นต่ำด้านความปลอดภัยให้กับเทศบาล ➡️ เช่น การตรวจสอบระบบเป็นระยะ และการฝึกอบรมพนักงานเป็นข้อบังคับ ➡️ ช่วยให้เกิดความสม่ำเสมอและความร่วมมือระหว่างเมืองต่าง ๆ ‼️ การละเลยด้าน cybersecurity อาจทำให้บริการพื้นฐานของเมืองหยุดชะงักทันทีเมื่อถูกโจมตี ⛔ ส่งผลต่อความปลอดภัยของประชาชน เช่น การตอบสนองฉุกเฉินล่าช้า ⛔ อาจเกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจและสังคมในวงกว้าง ‼️ การใช้เทคโนโลยีเก่าโดยไม่มีการอัปเดตเป็นช่องโหว่ที่แฮกเกอร์ใช้เจาะระบบได้ง่าย ⛔ ระบบที่ไม่รองรับการป้องกันภัยใหม่ ๆ จะถูกโจมตีได้โดยไม่ต้องใช้เทคนิคซับซ้อน ⛔ อาจถูกใช้เป็นฐานโจมตีระบบอื่นในเครือข่าย ‼️ การขาดการฝึกอบรมทำให้เจ้าหน้าที่กลายเป็นจุดอ่อนของระบบความปลอดภัย ⛔ การคลิกลิงก์ปลอมหรือเปิดไฟล์แนบอันตรายอาจทำให้ระบบถูกแฮก ⛔ ความผิดพลาดเล็ก ๆ อาจนำไปสู่การละเมิดข้อมูลครั้งใหญ่ ‼️ การไม่มีนโยบายหรือมาตรฐานกลางทำให้แต่ละเมืองมีระดับความปลอดภัยไม่เท่ากัน ⛔ เมืองที่ไม่มีทรัพยากรอาจไม่มีการป้องกันเลย ⛔ ส่งผลต่อความมั่นคงของภูมิภาคโดยรวม ✅ การใช้กรอบการทำงานของ NIST ช่วยให้เทศบาลวางแผนด้าน cybersecurity ได้อย่างเป็นระบบ ➡️ ครอบคลุม 5 ด้าน: Identify, Protect, Detect, Respond, Recover ➡️ มีเครื่องมือและคู่มือให้ใช้ฟรีจากเว็บไซต์ของ NIST ✅ การทำประกันภัยไซเบอร์ช่วยลดความเสี่ยงทางการเงินเมื่อเกิดเหตุการณ์โจมตี ➡️ คุ้มครองความเสียหายจากการละเมิดข้อมูลและการหยุดชะงักของระบบ ➡️ แต่ต้องศึกษาข้อกำหนดและค่าใช้จ่ายให้รอบคอบ ✅ การประเมินระบบอย่างสม่ำเสมอช่วยให้รู้จุดอ่อนและปรับปรุงได้ทันเวลา ➡️ ใช้เครื่องมือฟรีจาก CISA เช่น Cyber Resilience Review และ CSET ➡️ ไม่จำเป็นต้องจ้างบริษัทภายนอกที่มีค่าใช้จ่ายสูงเสมอไป https://hackread.com/local-government-cybersecurity-municipal-systems-protection/
    HACKREAD.COM
    Local Government Cybersecurity: Why Municipal Systems Need Extra Protection
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 378 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากข่าว: กล้องวงจรปิด Dahua เสี่ยงถูกแฮก—Bitdefender เตือนให้อัปเดตด่วน!

    Bitdefender บริษัทด้านความปลอดภัยไซเบอร์ชื่อดัง ได้เปิดเผยช่องโหว่ร้ายแรง 2 รายการในกล้อง Dahua รุ่น Hero C1 และอีกหลายรุ่นที่ใช้โปรโตคอล ONVIF และระบบจัดการไฟล์แบบ RPC ช่องโหว่เหล่านี้เปิดทางให้ผู้ไม่ประสงค์ดีสามารถควบคุมกล้องได้จากระยะไกล โดยไม่ต้องมีสิทธิ์เข้าระบบ

    ช่องโหว่แรก (CVE-2025-31700) เป็นการล้นบัฟเฟอร์บน stack จากการจัดการ HTTP header ที่ผิดพลาดใน ONVIF protocol ส่วนช่องโหว่ที่สอง (CVE-2025-31701) เป็นการล้นหน่วยความจำ .bss จากการจัดการข้อมูลไฟล์อัปโหลดที่ไม่ปลอดภัย

    Bitdefender รายงานช่องโหว่ต่อ Dahua ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2025 และ Dahua ได้ออกแพตช์แก้ไขเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2025 พร้อมเผยแพร่คำแนะนำสาธารณะในวันที่ 23 กรกฎาคม 2025

    พบช่องโหว่ร้ายแรง 2 รายการในกล้อง Dahua รุ่น Hero C1 และรุ่นอื่น ๆ
    CVE-2025-31700: Stack-based buffer overflow ใน ONVIF protocol
    CVE-2025-31701: .bss segment overflow ใน file upload handler

    ช่องโหว่เปิดทางให้แฮกเกอร์ควบคุมกล้องจากระยะไกลโดยไม่ต้องล็อกอิน
    สามารถรันคำสั่ง, ติดตั้งมัลแวร์, และเข้าถึง root-level ได้
    เสี่ยงต่อการถูกใช้เป็นฐานโจมตีหรือสอดแนม

    กล้องที่ได้รับผลกระทบรวมถึง IPC-1XXX, IPC-2XXX, IPC-WX, SD-series และอื่น ๆ
    เฟิร์มแวร์ที่เก่ากว่า 16 เมษายน 2025 ถือว่าเสี่ยง
    ผู้ใช้สามารถตรวจสอบเวอร์ชันได้จากหน้า Settings → System Information

    Bitdefender และ Dahua ร่วมมือกันในการเปิดเผยช่องโหว่แบบมีความรับผิดชอบ
    รายงานครั้งแรกเมื่อ 28 มีนาคม 2025
    Dahua ออกแพตช์เมื่อ 7 กรกฎาคม และเผยแพร่คำแนะนำเมื่อ 23 กรกฎาคม

    ช่องโหว่สามารถถูกโจมตีผ่านเครือข่ายภายในหรืออินเทอร์เน็ต หากเปิดพอร์ตหรือใช้ UPnP
    การเปิด web interface สู่ภายนอกเพิ่มความเสี่ยง
    UPnP และ port forwarding ควรถูกปิดทันที

    https://hackread.com/bitdefender-update-dahua-cameras-critical-flaws/
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: กล้องวงจรปิด Dahua เสี่ยงถูกแฮก—Bitdefender เตือนให้อัปเดตด่วน! Bitdefender บริษัทด้านความปลอดภัยไซเบอร์ชื่อดัง ได้เปิดเผยช่องโหว่ร้ายแรง 2 รายการในกล้อง Dahua รุ่น Hero C1 และอีกหลายรุ่นที่ใช้โปรโตคอล ONVIF และระบบจัดการไฟล์แบบ RPC ช่องโหว่เหล่านี้เปิดทางให้ผู้ไม่ประสงค์ดีสามารถควบคุมกล้องได้จากระยะไกล โดยไม่ต้องมีสิทธิ์เข้าระบบ ช่องโหว่แรก (CVE-2025-31700) เป็นการล้นบัฟเฟอร์บน stack จากการจัดการ HTTP header ที่ผิดพลาดใน ONVIF protocol ส่วนช่องโหว่ที่สอง (CVE-2025-31701) เป็นการล้นหน่วยความจำ .bss จากการจัดการข้อมูลไฟล์อัปโหลดที่ไม่ปลอดภัย Bitdefender รายงานช่องโหว่ต่อ Dahua ตั้งแต่เดือนมีนาคม 2025 และ Dahua ได้ออกแพตช์แก้ไขเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม 2025 พร้อมเผยแพร่คำแนะนำสาธารณะในวันที่ 23 กรกฎาคม 2025 ✅ พบช่องโหว่ร้ายแรง 2 รายการในกล้อง Dahua รุ่น Hero C1 และรุ่นอื่น ๆ ➡️ CVE-2025-31700: Stack-based buffer overflow ใน ONVIF protocol ➡️ CVE-2025-31701: .bss segment overflow ใน file upload handler ✅ ช่องโหว่เปิดทางให้แฮกเกอร์ควบคุมกล้องจากระยะไกลโดยไม่ต้องล็อกอิน ➡️ สามารถรันคำสั่ง, ติดตั้งมัลแวร์, และเข้าถึง root-level ได้ ➡️ เสี่ยงต่อการถูกใช้เป็นฐานโจมตีหรือสอดแนม ✅ กล้องที่ได้รับผลกระทบรวมถึง IPC-1XXX, IPC-2XXX, IPC-WX, SD-series และอื่น ๆ ➡️ เฟิร์มแวร์ที่เก่ากว่า 16 เมษายน 2025 ถือว่าเสี่ยง ➡️ ผู้ใช้สามารถตรวจสอบเวอร์ชันได้จากหน้า Settings → System Information ✅ Bitdefender และ Dahua ร่วมมือกันในการเปิดเผยช่องโหว่แบบมีความรับผิดชอบ ➡️ รายงานครั้งแรกเมื่อ 28 มีนาคม 2025 ➡️ Dahua ออกแพตช์เมื่อ 7 กรกฎาคม และเผยแพร่คำแนะนำเมื่อ 23 กรกฎาคม ✅ ช่องโหว่สามารถถูกโจมตีผ่านเครือข่ายภายในหรืออินเทอร์เน็ต หากเปิดพอร์ตหรือใช้ UPnP ➡️ การเปิด web interface สู่ภายนอกเพิ่มความเสี่ยง ➡️ UPnP และ port forwarding ควรถูกปิดทันที https://hackread.com/bitdefender-update-dahua-cameras-critical-flaws/
    HACKREAD.COM
    Bitdefender Warns Users to Update Dahua Cameras Over Critical Flaws
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 284 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากข่าว: ฤดูร้อน—ช่วงเวลาทองของแฮกเกอร์ และบทเรียนที่องค์กรต้องไม่ละเลย

    ฤดูร้อนมักเป็นช่วงที่คนทำงานหยุดพัก เดินทางไกล หรือทำงานจากสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย เช่น บ้านพักตากอากาศ โรงแรม หรือสนามบิน ซึ่งมักใช้ Wi-Fi สาธารณะที่ไม่มีการเข้ารหัสหรือระบบป้องกันที่ดีพอ

    ในขณะเดียวกัน ทีม IT และฝ่ายรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ขององค์กรก็ลดกำลังลงจากการลาพักร้อน ทำให้การตรวจสอบภัยคุกคามลดลงอย่างเห็นได้ชัด

    ผลคือ แฮกเกอร์ใช้โอกาสนี้ในการโจมตีแบบ phishing, ransomware และการขโมยข้อมูลผ่านเครือข่ายปลอม โดยเฉพาะการปลอมอีเมลจากสายการบินหรือแพลตฟอร์มจองที่พัก ซึ่งดูเหมือนจริงจนผู้ใช้หลงเชื่อ

    ข้อมูลจากหลายแหล่งระบุว่า การโจมตีไซเบอร์ในฤดูร้อนเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 30% โดยเฉพาะในกลุ่มองค์กรที่มีการทำงานแบบ remote และไม่มีนโยบายรักษาความปลอดภัยที่ชัดเจน

    ฤดูร้อนเป็นช่วงที่การโจมตีไซเบอร์เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
    การโจมตีเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 30% ในช่วงเดือนมิถุนายน–สิงหาคม
    เกิดจากการลดกำลังของทีม IT และการใช้เครือข่ายที่ไม่ปลอดภัย

    ผู้ใช้มักเชื่อมต่อ Wi-Fi สาธารณะจากโรงแรม สนามบิน หรือบ้านพัก โดยไม่รู้ว่ามีความเสี่ยง
    เสี่ยงต่อการถูกดักข้อมูลหรือปลอมเครือข่าย
    อุปกรณ์ส่วนตัวมักไม่มีระบบป้องกันเท่ากับอุปกรณ์องค์กร

    แฮกเกอร์ใช้ phishing ที่เลียนแบบอีเมลจากสายการบินหรือแพลตฟอร์มจองที่พัก
    หลอกให้ผู้ใช้กรอกข้อมูลบัตรเครดิตหรือรหัสผ่าน
    ใช้เทคนิคที่เหมือนจริงมากขึ้นด้วย generative AI

    องค์กรมักเลื่อนการอัปเดตระบบและการตรวจสอบความปลอดภัยไปหลังช่วงพักร้อน
    ทำให้เกิดช่องโหว่ที่แฮกเกอร์สามารถเจาะเข้าได้ง่าย
    ไม่มีการสำรองข้อมูลหรือทดสอบระบบอย่างสม่ำเสมอ

    ภัยคุกคามที่พบบ่อยในฤดูร้อน ได้แก่ ransomware, credential theft และ shadow IT
    การใช้แอปที่ไม่ได้รับอนุญาตหรือแชร์ไฟล์ผ่านช่องทางที่ไม่ปลอดภัย
    การขโมยข้อมูลบัญชีผ่านการดักจับการสื่อสาร

    การใช้อุปกรณ์ส่วนตัวที่ไม่มีระบบป้องกันเข้าถึงข้อมูลองค์กรเป็นช่องโหว่สำคัญ
    ไม่มีการเข้ารหัสหรือระบบป้องกันไวรัส
    เสี่ยงต่อการถูกขโมยข้อมูลหรือเข้าถึงระบบภายใน

    การลดกำลังทีม IT ในช่วงฤดูร้อนทำให้การตอบสนองต่อภัยคุกคามล่าช้า
    แฮกเกอร์สามารถแฝงตัวในระบบได้นานขึ้น
    อาจเกิดการโจมตีแบบ ransomware โดยไม่มีใครตรวจพบ

    การไม่มีแผนรับมือหรือผู้รับผิดชอบเมื่อเกิดเหตุการณ์ไซเบอร์อาจทำให้ความเสียหายขยายตัว
    ไม่มีการแจ้งเตือนหรือกู้คืนข้อมูลทันเวลา
    องค์กรอาจสูญเสียข้อมูลสำคัญหรือความน่าเชื่อถือ

    การใช้ Wi-Fi สาธารณะโดยไม่ใช้ VPN หรือระบบป้องกันเป็นพฤติกรรมเสี่ยงสูง
    ข้อมูลส่วนตัวและข้อมูลองค์กรอาจถูกดักจับ
    เสี่ยงต่อการถูกโจมตีแบบ man-in-the-middle

    https://www.csoonline.com/article/4030931/summer-why-cybersecurity-needs-to-be-further-strengthened.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: ฤดูร้อน—ช่วงเวลาทองของแฮกเกอร์ และบทเรียนที่องค์กรต้องไม่ละเลย ฤดูร้อนมักเป็นช่วงที่คนทำงานหยุดพัก เดินทางไกล หรือทำงานจากสถานที่ที่ไม่คุ้นเคย เช่น บ้านพักตากอากาศ โรงแรม หรือสนามบิน ซึ่งมักใช้ Wi-Fi สาธารณะที่ไม่มีการเข้ารหัสหรือระบบป้องกันที่ดีพอ ในขณะเดียวกัน ทีม IT และฝ่ายรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ขององค์กรก็ลดกำลังลงจากการลาพักร้อน ทำให้การตรวจสอบภัยคุกคามลดลงอย่างเห็นได้ชัด ผลคือ แฮกเกอร์ใช้โอกาสนี้ในการโจมตีแบบ phishing, ransomware และการขโมยข้อมูลผ่านเครือข่ายปลอม โดยเฉพาะการปลอมอีเมลจากสายการบินหรือแพลตฟอร์มจองที่พัก ซึ่งดูเหมือนจริงจนผู้ใช้หลงเชื่อ ข้อมูลจากหลายแหล่งระบุว่า การโจมตีไซเบอร์ในฤดูร้อนเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 30% โดยเฉพาะในกลุ่มองค์กรที่มีการทำงานแบบ remote และไม่มีนโยบายรักษาความปลอดภัยที่ชัดเจน ✅ ฤดูร้อนเป็นช่วงที่การโจมตีไซเบอร์เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ➡️ การโจมตีเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 30% ในช่วงเดือนมิถุนายน–สิงหาคม ➡️ เกิดจากการลดกำลังของทีม IT และการใช้เครือข่ายที่ไม่ปลอดภัย ✅ ผู้ใช้มักเชื่อมต่อ Wi-Fi สาธารณะจากโรงแรม สนามบิน หรือบ้านพัก โดยไม่รู้ว่ามีความเสี่ยง ➡️ เสี่ยงต่อการถูกดักข้อมูลหรือปลอมเครือข่าย ➡️ อุปกรณ์ส่วนตัวมักไม่มีระบบป้องกันเท่ากับอุปกรณ์องค์กร ✅ แฮกเกอร์ใช้ phishing ที่เลียนแบบอีเมลจากสายการบินหรือแพลตฟอร์มจองที่พัก ➡️ หลอกให้ผู้ใช้กรอกข้อมูลบัตรเครดิตหรือรหัสผ่าน ➡️ ใช้เทคนิคที่เหมือนจริงมากขึ้นด้วย generative AI ✅ องค์กรมักเลื่อนการอัปเดตระบบและการตรวจสอบความปลอดภัยไปหลังช่วงพักร้อน ➡️ ทำให้เกิดช่องโหว่ที่แฮกเกอร์สามารถเจาะเข้าได้ง่าย ➡️ ไม่มีการสำรองข้อมูลหรือทดสอบระบบอย่างสม่ำเสมอ ✅ ภัยคุกคามที่พบบ่อยในฤดูร้อน ได้แก่ ransomware, credential theft และ shadow IT ➡️ การใช้แอปที่ไม่ได้รับอนุญาตหรือแชร์ไฟล์ผ่านช่องทางที่ไม่ปลอดภัย ➡️ การขโมยข้อมูลบัญชีผ่านการดักจับการสื่อสาร ‼️ การใช้อุปกรณ์ส่วนตัวที่ไม่มีระบบป้องกันเข้าถึงข้อมูลองค์กรเป็นช่องโหว่สำคัญ ⛔ ไม่มีการเข้ารหัสหรือระบบป้องกันไวรัส ⛔ เสี่ยงต่อการถูกขโมยข้อมูลหรือเข้าถึงระบบภายใน ‼️ การลดกำลังทีม IT ในช่วงฤดูร้อนทำให้การตอบสนองต่อภัยคุกคามล่าช้า ⛔ แฮกเกอร์สามารถแฝงตัวในระบบได้นานขึ้น ⛔ อาจเกิดการโจมตีแบบ ransomware โดยไม่มีใครตรวจพบ ‼️ การไม่มีแผนรับมือหรือผู้รับผิดชอบเมื่อเกิดเหตุการณ์ไซเบอร์อาจทำให้ความเสียหายขยายตัว ⛔ ไม่มีการแจ้งเตือนหรือกู้คืนข้อมูลทันเวลา ⛔ องค์กรอาจสูญเสียข้อมูลสำคัญหรือความน่าเชื่อถือ ‼️ การใช้ Wi-Fi สาธารณะโดยไม่ใช้ VPN หรือระบบป้องกันเป็นพฤติกรรมเสี่ยงสูง ⛔ ข้อมูลส่วนตัวและข้อมูลองค์กรอาจถูกดักจับ ⛔ เสี่ยงต่อการถูกโจมตีแบบ man-in-the-middle https://www.csoonline.com/article/4030931/summer-why-cybersecurity-needs-to-be-further-strengthened.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Summer: Why cybersecurity must be strengthened as vacations abound
    Letting your guard down is not the most reasonable thing to do at a time when cybersecurity risks are on the rise; cyber attackers are not resting. What's more, they are well aware of what happens at this time of year, hence they take advantage of the circumstance to launch more aggressive campaigns.
    0 Comments 0 Shares 303 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากข่าว: “H20 ของ Nvidia” กลายเป็นจุดชนวนใหม่ในสงครามเทคโนโลยีระหว่างจีนกับสหรัฐ

    หลังจากสหรัฐฯ ยกเลิกคำสั่งห้ามส่งออกชิป H20 ของ Nvidia ไปยังจีนเมื่อเดือนกรกฎาคม 2025 ซึ่งก่อนหน้านั้นเคยถูกแบนในเดือนเมษายนเนื่องจากข้อกังวลด้านความมั่นคง ล่าสุด Cyberspace Administration of China (CAC) ได้เรียกตัว Nvidia เข้าพบเพื่อขอคำชี้แจงเกี่ยวกับ “ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย” ของชิป H20 ที่กำลังจะกลับมาวางขายในจีน

    CAC อ้างว่าได้รับข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญด้าน AI ของสหรัฐฯ ว่าชิป H20 อาจมีฟีเจอร์ “ติดตามตำแหน่ง” และ “ปิดการทำงานจากระยะไกล” ซึ่งอาจกระทบต่อความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ชาวจีน และละเมิดกฎหมายความปลอดภัยไซเบอร์ของประเทศ

    ด้าน Nvidia ยืนยันว่า “ไม่มี backdoor” ในชิปของตน และให้ความสำคัญกับความปลอดภัยไซเบอร์อย่างสูงสุด พร้อมเตรียมส่งเอกสารชี้แจงตามคำขอของ CAC

    ขณะเดียวกัน นักการเมืองสหรัฐฯ ก็เคยเสนอให้มีการติดตั้งระบบติดตามในชิปที่ส่งออกไปต่างประเทศ เพื่อป้องกันการลักลอบนำไปใช้ในทางที่ผิด โดยเฉพาะในจีน ซึ่งอาจนำไปใช้พัฒนา AI ทางทหารหรือระบบเซ็นเซอร์ตรวจสอบประชาชน

    จีนเรียกตัว Nvidia เข้าพบเพื่อขอคำชี้แจงเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของชิป H20
    CAC ต้องการเอกสารสนับสนุนเกี่ยวกับความเสี่ยงด้าน backdoor และการติดตาม
    อ้างอิงจากรายงานของผู้เชี่ยวชาญ AI สหรัฐฯ

    ชิป H20 ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อให้ผ่านข้อจำกัดการส่งออกของสหรัฐฯ โดยมีประสิทธิภาพต่ำกว่าชิป H100
    ถูกแบนในเดือนเมษายน 2025 และกลับมาขายได้ในเดือนกรกฎาคม
    Nvidia สั่งผลิตเพิ่มอีก 300,000 ตัวจาก TSMC เพื่อรองรับความต้องการในจีน

    Nvidia ยืนยันว่าไม่มี backdoor ในชิปของตน และให้ความสำคัญกับความปลอดภัยไซเบอร์
    “ไม่มีช่องทางลับในการควบคุมหรือเข้าถึงจากระยะไกล”
    พร้อมส่งเอกสารชี้แจงตามคำขอของ CAC

    นักการเมืองสหรัฐฯ เสนอให้มีการติดตั้งระบบติดตามในชิปที่ส่งออกไปต่างประเทศ
    เช่น Chip Security Act ที่เสนอให้มีระบบตรวจสอบตำแหน่งและการใช้งาน
    ยังไม่มีการผ่านเป็นกฎหมายอย่างเป็นทางการ

    จีนยังคงต้องพึ่งพาชิปของ Nvidia สำหรับงานวิจัยและการพัฒนา AI ภายในประเทศ
    แม้จะมีการผลักดันชิปภายในประเทศ เช่น Huawei 910C
    แต่ยังไม่สามารถทดแทน Nvidia ได้ในหลายด้าน

    https://www.techspot.com/news/108886-china-summons-nvidia-over-potential-security-concerns-h20.html
    🧠 เรื่องเล่าจากข่าว: “H20 ของ Nvidia” กลายเป็นจุดชนวนใหม่ในสงครามเทคโนโลยีระหว่างจีนกับสหรัฐ หลังจากสหรัฐฯ ยกเลิกคำสั่งห้ามส่งออกชิป H20 ของ Nvidia ไปยังจีนเมื่อเดือนกรกฎาคม 2025 ซึ่งก่อนหน้านั้นเคยถูกแบนในเดือนเมษายนเนื่องจากข้อกังวลด้านความมั่นคง ล่าสุด Cyberspace Administration of China (CAC) ได้เรียกตัว Nvidia เข้าพบเพื่อขอคำชี้แจงเกี่ยวกับ “ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย” ของชิป H20 ที่กำลังจะกลับมาวางขายในจีน CAC อ้างว่าได้รับข้อมูลจากผู้เชี่ยวชาญด้าน AI ของสหรัฐฯ ว่าชิป H20 อาจมีฟีเจอร์ “ติดตามตำแหน่ง” และ “ปิดการทำงานจากระยะไกล” ซึ่งอาจกระทบต่อความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ชาวจีน และละเมิดกฎหมายความปลอดภัยไซเบอร์ของประเทศ ด้าน Nvidia ยืนยันว่า “ไม่มี backdoor” ในชิปของตน และให้ความสำคัญกับความปลอดภัยไซเบอร์อย่างสูงสุด พร้อมเตรียมส่งเอกสารชี้แจงตามคำขอของ CAC ขณะเดียวกัน นักการเมืองสหรัฐฯ ก็เคยเสนอให้มีการติดตั้งระบบติดตามในชิปที่ส่งออกไปต่างประเทศ เพื่อป้องกันการลักลอบนำไปใช้ในทางที่ผิด โดยเฉพาะในจีน ซึ่งอาจนำไปใช้พัฒนา AI ทางทหารหรือระบบเซ็นเซอร์ตรวจสอบประชาชน ✅ จีนเรียกตัว Nvidia เข้าพบเพื่อขอคำชี้แจงเกี่ยวกับความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของชิป H20 ➡️ CAC ต้องการเอกสารสนับสนุนเกี่ยวกับความเสี่ยงด้าน backdoor และการติดตาม ➡️ อ้างอิงจากรายงานของผู้เชี่ยวชาญ AI สหรัฐฯ ✅ ชิป H20 ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อให้ผ่านข้อจำกัดการส่งออกของสหรัฐฯ โดยมีประสิทธิภาพต่ำกว่าชิป H100 ➡️ ถูกแบนในเดือนเมษายน 2025 และกลับมาขายได้ในเดือนกรกฎาคม ➡️ Nvidia สั่งผลิตเพิ่มอีก 300,000 ตัวจาก TSMC เพื่อรองรับความต้องการในจีน ✅ Nvidia ยืนยันว่าไม่มี backdoor ในชิปของตน และให้ความสำคัญกับความปลอดภัยไซเบอร์ ➡️ “ไม่มีช่องทางลับในการควบคุมหรือเข้าถึงจากระยะไกล” ➡️ พร้อมส่งเอกสารชี้แจงตามคำขอของ CAC ✅ นักการเมืองสหรัฐฯ เสนอให้มีการติดตั้งระบบติดตามในชิปที่ส่งออกไปต่างประเทศ ➡️ เช่น Chip Security Act ที่เสนอให้มีระบบตรวจสอบตำแหน่งและการใช้งาน ➡️ ยังไม่มีการผ่านเป็นกฎหมายอย่างเป็นทางการ ✅ จีนยังคงต้องพึ่งพาชิปของ Nvidia สำหรับงานวิจัยและการพัฒนา AI ภายในประเทศ ➡️ แม้จะมีการผลักดันชิปภายในประเทศ เช่น Huawei 910C ➡️ แต่ยังไม่สามารถทดแทน Nvidia ได้ในหลายด้าน https://www.techspot.com/news/108886-china-summons-nvidia-over-potential-security-concerns-h20.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    China summons Nvidia over potential security concerns in H20 chips
    The Cyberspace Administration of China (CAC) said that Nvidia was asked to "clarify and submit relevant supporting documentation regarding security risks, including potential vulnerabilities and backdoors, associated...
    0 Comments 0 Shares 388 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากเบื้องหลังตำแหน่งผู้บริหาร: CISO ที่ใคร ๆ ก็เข้าใจผิด

    ย้อนกลับไปปี 1995 Steve Katz ได้รับตำแหน่ง CISO คนแรกของโลกที่ Citicorp หลังจากธนาคารถูกแฮกเกอร์ขโมยเงินกว่า 10 ล้านดอลลาร์ ตั้งแต่นั้นมา ตำแหน่งนี้กลายเป็นหนึ่งในบทบาทสำคัญด้านความปลอดภัยไซเบอร์ แต่ก็ยังถูกเข้าใจผิดอยู่มาก

    Andy Ellis อธิบายว่า “CISO คือคนที่ทำทุกอย่างเกี่ยวกับไซเบอร์ที่ไม่มีใครอยากทำ” และมักถูกมองว่าเป็น “อีกครึ่งหนึ่งของ CIO” ที่ต้องเก็บกวาดปัญหาความปลอดภัยที่คนอื่นละเลย

    ปัญหาคือหลายองค์กรไม่เข้าใจว่าหน้าที่ของ CISO คืออะไร โดยเฉพาะเมื่อองค์กรอยู่ในระดับความพร้อมด้านไซเบอร์ที่ต่างกัน บางแห่งให้ CISO เป็นแค่ “วิศวกรเก่งที่สุด” ที่คอยดับไฟ ส่วนบางแห่งให้เป็นผู้นำเชิงกลยุทธ์ที่ต้องสร้างคุณค่าให้ธุรกิจผ่านความปลอดภัย

    สิ่งที่น่ากังวลคือ แม้จะมีตำแหน่ง “Chief” แต่ CISO กลับไม่มีอำนาจตัดสินใจที่แท้จริง และอาจถูกดึงเข้าสู่ความรับผิดทางกฎหมาย หากเกิดการละเมิดหรือการสื่อสารผิดพลาด—อย่างกรณีของ Tim Brown แห่ง SolarWinds ที่ถูก SEC ฟ้องในคดีเปิดเผยข้อมูลผิดพลาด

    CISO เป็นตำแหน่งที่มีความรับผิดชอบสูงแต่มีอำนาจจำกัดในหลายองค์กร
    แม้จะมีชื่อ “Chief” แต่หลายคนไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจเชิงกลยุทธ์
    บางคนรายงานตรงถึง CEO แต่ไม่มีอิทธิพลจริง

    บทบาทของ CISO แตกต่างกันตามระดับความพร้อมด้านไซเบอร์ขององค์กร
    องค์กรที่ยังไม่ mature จะให้ CISO ทำงานเชิงเทคนิคเป็นหลัก
    องค์กรที่ mature จะให้ CISO เป็นผู้นำเชิงกลยุทธ์ที่สร้างคุณค่าทางธุรกิจ

    CISO ต้องกำหนดขอบเขตงานของตัวเองตามบริบทขององค์กร
    ไม่มีนิยามตายตัวของหน้าที่ CISO
    ต้องปรับบทบาทตามความเสี่ยงและวัฒนธรรมองค์กร

    การสื่อสารบทบาทของ CISO เป็นสิ่งสำคัญเพื่อสร้างความเข้าใจในองค์กร
    ควรเล่าเรื่องจากมุมมองของผู้ใช้ เช่น การลดความเสี่ยงหรือเพิ่มความเชื่อมั่น
    หลีกเลี่ยงการใช้แผนภาพหรือคำอธิบายที่ซับซ้อนเกินไป

    CISO ที่มีอิทธิพลสูงมักสร้างความสัมพันธ์กับผู้บริหารและบอร์ดได้ดี
    ไม่ใช่แค่ตำแหน่ง แต่เป็นพฤติกรรมและความสามารถในการสื่อสาร
    การเข้าใจสิ่งที่ผู้บริหารสนใจคือกุญแจสำคัญ

    การไม่เข้าใจบทบาทของ CISO อาจนำไปสู่การจัดสรรทรัพยากรผิดพลาด
    องค์กรอาจไม่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยเท่าที่ควร
    ส่งผลให้เกิดช่องโหว่และความเสี่ยงที่ไม่จำเป็น

    CISO อาจถูกดึงเข้าสู่ความรับผิดทางกฎหมายหากเกิดการละเมิดหรือสื่อสารผิด
    กรณีของ Tim Brown แห่ง SolarWinds เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน
    การไม่มีอำนาจแต่ต้องรับผิดชอบเป็นภาระที่ไม่สมดุล

    การใช้ตำแหน่ง “Chief” โดยไม่มีอำนาจจริงอาจสร้างความสับสนในองค์กร
    ทำให้เกิดความคาดหวังที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง
    ส่งผลต่อความเชื่อมั่นและการสนับสนุนจากผู้บริหาร

    การสื่อสารบทบาทของ CISO ด้วยภาษาทางเทคนิคอาจทำให้ผู้บริหารไม่เข้าใจ
    ควรแปลงความเสี่ยงเป็นผลกระทบทางธุรกิจ เช่น ความเสียหายทางการเงินหรือชื่อเสียง
    การพูดภาษาธุรกิจคือทักษะสำคัญของ CISO ยุคใหม่

    https://www.csoonline.com/article/4026872/the-cisos-challenge-getting-colleagues-to-understand-what-you-do.html
    🧠 เรื่องเล่าจากเบื้องหลังตำแหน่งผู้บริหาร: CISO ที่ใคร ๆ ก็เข้าใจผิด ย้อนกลับไปปี 1995 Steve Katz ได้รับตำแหน่ง CISO คนแรกของโลกที่ Citicorp หลังจากธนาคารถูกแฮกเกอร์ขโมยเงินกว่า 10 ล้านดอลลาร์ ตั้งแต่นั้นมา ตำแหน่งนี้กลายเป็นหนึ่งในบทบาทสำคัญด้านความปลอดภัยไซเบอร์ แต่ก็ยังถูกเข้าใจผิดอยู่มาก Andy Ellis อธิบายว่า “CISO คือคนที่ทำทุกอย่างเกี่ยวกับไซเบอร์ที่ไม่มีใครอยากทำ” และมักถูกมองว่าเป็น “อีกครึ่งหนึ่งของ CIO” ที่ต้องเก็บกวาดปัญหาความปลอดภัยที่คนอื่นละเลย ปัญหาคือหลายองค์กรไม่เข้าใจว่าหน้าที่ของ CISO คืออะไร โดยเฉพาะเมื่อองค์กรอยู่ในระดับความพร้อมด้านไซเบอร์ที่ต่างกัน บางแห่งให้ CISO เป็นแค่ “วิศวกรเก่งที่สุด” ที่คอยดับไฟ ส่วนบางแห่งให้เป็นผู้นำเชิงกลยุทธ์ที่ต้องสร้างคุณค่าให้ธุรกิจผ่านความปลอดภัย สิ่งที่น่ากังวลคือ แม้จะมีตำแหน่ง “Chief” แต่ CISO กลับไม่มีอำนาจตัดสินใจที่แท้จริง และอาจถูกดึงเข้าสู่ความรับผิดทางกฎหมาย หากเกิดการละเมิดหรือการสื่อสารผิดพลาด—อย่างกรณีของ Tim Brown แห่ง SolarWinds ที่ถูก SEC ฟ้องในคดีเปิดเผยข้อมูลผิดพลาด ✅ CISO เป็นตำแหน่งที่มีความรับผิดชอบสูงแต่มีอำนาจจำกัดในหลายองค์กร ➡️ แม้จะมีชื่อ “Chief” แต่หลายคนไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ ➡️ บางคนรายงานตรงถึง CEO แต่ไม่มีอิทธิพลจริง ✅ บทบาทของ CISO แตกต่างกันตามระดับความพร้อมด้านไซเบอร์ขององค์กร ➡️ องค์กรที่ยังไม่ mature จะให้ CISO ทำงานเชิงเทคนิคเป็นหลัก ➡️ องค์กรที่ mature จะให้ CISO เป็นผู้นำเชิงกลยุทธ์ที่สร้างคุณค่าทางธุรกิจ ✅ CISO ต้องกำหนดขอบเขตงานของตัวเองตามบริบทขององค์กร ➡️ ไม่มีนิยามตายตัวของหน้าที่ CISO ➡️ ต้องปรับบทบาทตามความเสี่ยงและวัฒนธรรมองค์กร ✅ การสื่อสารบทบาทของ CISO เป็นสิ่งสำคัญเพื่อสร้างความเข้าใจในองค์กร ➡️ ควรเล่าเรื่องจากมุมมองของผู้ใช้ เช่น การลดความเสี่ยงหรือเพิ่มความเชื่อมั่น ➡️ หลีกเลี่ยงการใช้แผนภาพหรือคำอธิบายที่ซับซ้อนเกินไป ✅ CISO ที่มีอิทธิพลสูงมักสร้างความสัมพันธ์กับผู้บริหารและบอร์ดได้ดี ➡️ ไม่ใช่แค่ตำแหน่ง แต่เป็นพฤติกรรมและความสามารถในการสื่อสาร ➡️ การเข้าใจสิ่งที่ผู้บริหารสนใจคือกุญแจสำคัญ ‼️ การไม่เข้าใจบทบาทของ CISO อาจนำไปสู่การจัดสรรทรัพยากรผิดพลาด ⛔ องค์กรอาจไม่ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยเท่าที่ควร ⛔ ส่งผลให้เกิดช่องโหว่และความเสี่ยงที่ไม่จำเป็น ‼️ CISO อาจถูกดึงเข้าสู่ความรับผิดทางกฎหมายหากเกิดการละเมิดหรือสื่อสารผิด ⛔ กรณีของ Tim Brown แห่ง SolarWinds เป็นตัวอย่างที่ชัดเจน ⛔ การไม่มีอำนาจแต่ต้องรับผิดชอบเป็นภาระที่ไม่สมดุล ‼️ การใช้ตำแหน่ง “Chief” โดยไม่มีอำนาจจริงอาจสร้างความสับสนในองค์กร ⛔ ทำให้เกิดความคาดหวังที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง ⛔ ส่งผลต่อความเชื่อมั่นและการสนับสนุนจากผู้บริหาร ‼️ การสื่อสารบทบาทของ CISO ด้วยภาษาทางเทคนิคอาจทำให้ผู้บริหารไม่เข้าใจ ⛔ ควรแปลงความเสี่ยงเป็นผลกระทบทางธุรกิจ เช่น ความเสียหายทางการเงินหรือชื่อเสียง ⛔ การพูดภาษาธุรกิจคือทักษะสำคัญของ CISO ยุคใหม่ https://www.csoonline.com/article/4026872/the-cisos-challenge-getting-colleagues-to-understand-what-you-do.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    The CISO’s challenge: Getting colleagues to understand what you do
    CISOs often operate with significant responsibility but limited formal authority, making it critical to articulate their role clearly. Experts offer strategies for CISOs to communicate their mission to colleagues and customers.
    0 Comments 0 Shares 312 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากข่าว: เกมเอาชีวิตรอดที่ “ขโมยชีวิตดิจิทัล” ของคุณ

    ลองจินตนาการว่าคุณโหลดเกมเอาชีวิตรอดชื่อ Chemia จาก Steam เพื่อเล่นในช่วง Early Access แต่แทนที่จะได้สนุกกับการสร้างฐานและฝ่าฟันภัยพิบัติ คุณกลับโดนขโมยข้อมูลส่วนตัวและคริปโตแบบไม่รู้ตัว — นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริง!

    บริษัทความปลอดภัยไซเบอร์ Prodaft เปิดเผยว่าเกม Chemia ถูกฝังมัลแวร์ 3 สายพันธุ์ ได้แก่:
    - Fickle Stealer: ขโมยข้อมูลจากเบราว์เซอร์, password manager และ crypto wallet
    - Vidar Stealer: มัลแวร์แบบบริการ (Malware-as-a-Service) ที่เชื่อมต่อผ่านโซเชียลมีเดีย
    - HijackLoader: ตัวโหลดมัลแวร์ที่สามารถติดตั้งภัยคุกคามอื่นในอนาคต

    เกมนี้ถูกแจกผ่านระบบ Playtest ของ Steam ซึ่งต้องขอสิทธิ์เข้าถึงก่อนเล่น ทำให้ดูเหมือนปลอดภัย แต่จริง ๆ แล้วเป็นช่องทางที่แฮกเกอร์ใช้หลบเลี่ยงการตรวจสอบของแพลตฟอร์ม

    เกม Chemia ถูกใช้เป็นช่องทางแพร่มัลแวร์
    ฝังมัลแวร์ 3 ชนิด: Fickle Stealer, Vidar Stealer, HijackLoader
    มัลแวร์ทำงานเมื่อผู้ใช้เปิดเกม โดยรันควบคู่กับแอปพลิเคชันจริง

    มัลแวร์แต่ละตัวมีหน้าที่เฉพาะ
    Fickle Stealer: ใช้ PowerShell ขโมยข้อมูลระบบและไฟล์สำคัญ
    Vidar Stealer: เชื่อมต่อผ่านโซเชียลมีเดียเพื่อส่งข้อมูล
    HijackLoader: ใช้ติดตั้งมัลแวร์อื่นในอนาคต

    เกมถูกแจกผ่านระบบ Playtest ของ Steam
    ต้องขอสิทธิ์ก่อนเล่น ทำให้ดูเหมือนปลอดภัย
    ไม่มีรีวิวหรือข้อมูลจากนักพัฒนาอื่น ทำให้ตรวจสอบยาก

    นักพัฒนา Aether Forge Studios ไม่มีตัวตนชัดเจน
    ไม่มีเว็บไซต์หรือโซเชียลมีเดียที่เชื่อมโยงกับเกม
    อาจเป็นบัญชีปลอมที่ใช้หลอกลวงผู้ใช้

    Prodaft เผยว่าแฮกเกอร์ชื่อ EncryptHub อยู่เบื้องหลัง
    เคยมีประวัติการโจมตีแบบ spear-phishing ตั้งแต่ปี 2024
    แชร์ Indicators of Compromise (IOCs) บน GitHub เพื่อช่วยตรวจสอบ

    เกมบนแพลตฟอร์มที่เชื่อถือได้ก็อาจไม่ปลอดภัย
    Steam ไม่สามารถตรวจสอบมัลแวร์ในทุกเกมได้ทันที
    ผู้ใช้มักเชื่อว่าการโหลดจาก Steam คือ “ปลอดภัยโดยอัตโนมัติ”

    มัลแวร์สามารถขโมยข้อมูลสำคัญได้ทันทีที่เปิดเกม
    ข้อมูลที่ถูกขโมยรวมถึงรหัสผ่าน, session token, และ crypto wallet
    อาจนำไปสู่การสูญเสียทางการเงินและการขโมยตัวตน

    ระบบ Early Access และ Playtest อาจถูกใช้เป็นช่องทางโจมตี
    เกมที่ยังไม่เปิดตัวเต็มรูปแบบอาจไม่มีการตรวจสอบเข้มงวด
    แฮกเกอร์ใช้ช่องโหว่นี้ในการฝังโค้ดอันตราย

    ผู้ใช้ที่เคยเล่น Chemia ควรตรวจสอบระบบทันที
    ลบเกมออกจากเครื่อง
    สแกนมัลแวร์เต็มระบบ
    เปลี่ยนรหัสผ่านทุกบัญชีที่เคยล็อกอินระหว่างเล่นเกม

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/hacker-plants-three-strains-of-malware-in-a-steam-early-access-game-called-chemia-security-company-found-crypto-jacking-infostealers-and-a-backdoor-to-install-yet-more-malware-in-the-future
    🧠 เรื่องเล่าจากข่าว: เกมเอาชีวิตรอดที่ “ขโมยชีวิตดิจิทัล” ของคุณ ลองจินตนาการว่าคุณโหลดเกมเอาชีวิตรอดชื่อ Chemia จาก Steam เพื่อเล่นในช่วง Early Access แต่แทนที่จะได้สนุกกับการสร้างฐานและฝ่าฟันภัยพิบัติ คุณกลับโดนขโมยข้อมูลส่วนตัวและคริปโตแบบไม่รู้ตัว — นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นจริง! บริษัทความปลอดภัยไซเบอร์ Prodaft เปิดเผยว่าเกม Chemia ถูกฝังมัลแวร์ 3 สายพันธุ์ ได้แก่: - Fickle Stealer: ขโมยข้อมูลจากเบราว์เซอร์, password manager และ crypto wallet - Vidar Stealer: มัลแวร์แบบบริการ (Malware-as-a-Service) ที่เชื่อมต่อผ่านโซเชียลมีเดีย - HijackLoader: ตัวโหลดมัลแวร์ที่สามารถติดตั้งภัยคุกคามอื่นในอนาคต เกมนี้ถูกแจกผ่านระบบ Playtest ของ Steam ซึ่งต้องขอสิทธิ์เข้าถึงก่อนเล่น ทำให้ดูเหมือนปลอดภัย แต่จริง ๆ แล้วเป็นช่องทางที่แฮกเกอร์ใช้หลบเลี่ยงการตรวจสอบของแพลตฟอร์ม ✅ เกม Chemia ถูกใช้เป็นช่องทางแพร่มัลแวร์ ➡️ ฝังมัลแวร์ 3 ชนิด: Fickle Stealer, Vidar Stealer, HijackLoader ➡️ มัลแวร์ทำงานเมื่อผู้ใช้เปิดเกม โดยรันควบคู่กับแอปพลิเคชันจริง ✅ มัลแวร์แต่ละตัวมีหน้าที่เฉพาะ ➡️ Fickle Stealer: ใช้ PowerShell ขโมยข้อมูลระบบและไฟล์สำคัญ ➡️ Vidar Stealer: เชื่อมต่อผ่านโซเชียลมีเดียเพื่อส่งข้อมูล ➡️ HijackLoader: ใช้ติดตั้งมัลแวร์อื่นในอนาคต ✅ เกมถูกแจกผ่านระบบ Playtest ของ Steam ➡️ ต้องขอสิทธิ์ก่อนเล่น ทำให้ดูเหมือนปลอดภัย ➡️ ไม่มีรีวิวหรือข้อมูลจากนักพัฒนาอื่น ทำให้ตรวจสอบยาก ✅ นักพัฒนา Aether Forge Studios ไม่มีตัวตนชัดเจน ➡️ ไม่มีเว็บไซต์หรือโซเชียลมีเดียที่เชื่อมโยงกับเกม ➡️ อาจเป็นบัญชีปลอมที่ใช้หลอกลวงผู้ใช้ ✅ Prodaft เผยว่าแฮกเกอร์ชื่อ EncryptHub อยู่เบื้องหลัง ➡️ เคยมีประวัติการโจมตีแบบ spear-phishing ตั้งแต่ปี 2024 ➡️ แชร์ Indicators of Compromise (IOCs) บน GitHub เพื่อช่วยตรวจสอบ ‼️ เกมบนแพลตฟอร์มที่เชื่อถือได้ก็อาจไม่ปลอดภัย ⛔ Steam ไม่สามารถตรวจสอบมัลแวร์ในทุกเกมได้ทันที ⛔ ผู้ใช้มักเชื่อว่าการโหลดจาก Steam คือ “ปลอดภัยโดยอัตโนมัติ” ‼️ มัลแวร์สามารถขโมยข้อมูลสำคัญได้ทันทีที่เปิดเกม ⛔ ข้อมูลที่ถูกขโมยรวมถึงรหัสผ่าน, session token, และ crypto wallet ⛔ อาจนำไปสู่การสูญเสียทางการเงินและการขโมยตัวตน ‼️ ระบบ Early Access และ Playtest อาจถูกใช้เป็นช่องทางโจมตี ⛔ เกมที่ยังไม่เปิดตัวเต็มรูปแบบอาจไม่มีการตรวจสอบเข้มงวด ⛔ แฮกเกอร์ใช้ช่องโหว่นี้ในการฝังโค้ดอันตราย ‼️ ผู้ใช้ที่เคยเล่น Chemia ควรตรวจสอบระบบทันที ⛔ ลบเกมออกจากเครื่อง ⛔ สแกนมัลแวร์เต็มระบบ ⛔ เปลี่ยนรหัสผ่านทุกบัญชีที่เคยล็อกอินระหว่างเล่นเกม https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/hacker-plants-three-strains-of-malware-in-a-steam-early-access-game-called-chemia-security-company-found-crypto-jacking-infostealers-and-a-backdoor-to-install-yet-more-malware-in-the-future
    0 Comments 0 Shares 404 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากมัลแวร์ยุค AI: เมื่อ Fancy Bear ยืมสมอง LLM มาเจาะระบบ

    การโจมตีเริ่มจาก อีเมลฟิชชิ่งแบบเฉพาะเจาะจง (spear phishing) ส่งจากบัญชีที่ถูกยึด พร้อมแนบไฟล์ ZIP ที่มีมัลแวร์นามสกุล .pif, .exe หรือ .py โดยปลอมตัวเป็น “ตัวแทนจากกระทรวงยูเครน” เพื่อหลอกให้เปิดไฟล์

    เมื่อมัลแวร์ทำงาน มันจะ:

    1️⃣ รันในเครื่องด้วยสิทธิ์ผู้ใช้

    2️⃣ เรียก API ของ Hugging Face ไปยัง LLM ชื่อ Qwen 2.5-Coder-32B-Instruct

    3️⃣ สั่งโมเดลให้ "แกล้งทำเป็นแอดมิน Windows" แล้วเขียนคำสั่งเช่น:
    - สร้างโฟลเดอร์ใหม่
    - เก็บข้อมูลระบบ, network, Active Directory
    - คัดลอกไฟล์ .txt และ .pdf จาก Desktop, Downloads, Documents ไปยัง staging folder ที่กำหนด

    4️⃣ เขียนผลลัพธ์ลงไฟล์ .txt เพื่อส่งกลับไปยังเซิร์ฟเวอร์ควบคุม (C2)

    มัลแวร์นี้ถูกแพ็กจาก Python ด้วย PyInstaller และแจกจ่ายในหลายรูปแบบชื่อ เช่น:
    - Appendix.pif
    - AI_generator_uncensored_Canvas_PRO_v0.9.exe
    - AI_image_generator_v0.95.exe
    - image.py

    CERT-UA (ศูนย์ความปลอดภัยไซเบอร์ของยูเครน) ตั้งชื่อว่า LAMEHUG และระบุว่าเป็นผลงานของกลุ่ม UAC-0001 ซึ่งคือตัวเดียวกับ APT28 — หน่วยที่เคยโจมตี NATO, สหรัฐฯ และโครงสร้างพื้นฐานยูเครนมานานหลายปี

    APT28 (Fancy Bear) พัฒนามัลแวร์ LAMEHUG ที่ฝังการเรียกใช้ LLM ผ่าน API
    ใช้โมเดล Qwen ผ่าน Hugging Face เพื่อสร้างคำสั่ง PowerShell

    เป้าหมายคือระบบของรัฐบาลยูเครน ผ่านการโจมตีแบบ spear phishing
    ปลอมชื่อผู้ส่ง และแนบไฟล์มัลแวร์ที่ดูเหมือนโปรแกรม AI หรือรูปภาพ

    LAMEHUG ดึงข้อมูลระบบ, AD domain, และไฟล์เอกสารผู้ใช้
    ส่งออกไปยัง staging folder เพื่อเตรียมส่งกลับไปยังเซิร์ฟเวอร์ควบคุม

    ใช้เทคนิคใหม่ในการเปลี่ยนคำสั่งไปเรื่อย ๆ โดยใช้ AI เขียนแบบต่างกัน
    หวังหลบการตรวจจับด้วย signature-based scanning

    มัลแวร์แพร่หลายผ่านไฟล์ .exe และ .pif ที่ใช้ชื่อหลอกให้เชื่อว่าเป็นเครื่องมือภาพหรือเอกสาร
    มีหลากหลายเวอร์ชันพร้อมระบบขโมยข้อมูลแบบแตกต่างกัน

    เซิร์ฟเวอร์ C2 ถูกซ่อนไว้ในโครงสร้างพื้นฐานที่ดูถูกต้อง เช่นเว็บไซต์จริงที่ถูกแฮก
    ทำให้การติดตามและบล็อกยากขึ้นมาก

    นักวิจัยคาดว่าเทคนิคนี้อาจถูกใช้กับเป้าหมายในตะวันตกในอนาคต
    เพราะ APT28 เคยโจมตี NATO, สหรัฐ และ EU มาก่อน

    https://www.csoonline.com/article/4025139/novel-malware-from-russias-apt28-prompts-llms-to-create-malicious-windows-commands.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากมัลแวร์ยุค AI: เมื่อ Fancy Bear ยืมสมอง LLM มาเจาะระบบ การโจมตีเริ่มจาก อีเมลฟิชชิ่งแบบเฉพาะเจาะจง (spear phishing) ส่งจากบัญชีที่ถูกยึด พร้อมแนบไฟล์ ZIP ที่มีมัลแวร์นามสกุล .pif, .exe หรือ .py โดยปลอมตัวเป็น “ตัวแทนจากกระทรวงยูเครน” เพื่อหลอกให้เปิดไฟล์ เมื่อมัลแวร์ทำงาน มันจะ: 1️⃣ รันในเครื่องด้วยสิทธิ์ผู้ใช้ 2️⃣ เรียก API ของ Hugging Face ไปยัง LLM ชื่อ Qwen 2.5-Coder-32B-Instruct 3️⃣ สั่งโมเดลให้ "แกล้งทำเป็นแอดมิน Windows" แล้วเขียนคำสั่งเช่น: - สร้างโฟลเดอร์ใหม่ - เก็บข้อมูลระบบ, network, Active Directory - คัดลอกไฟล์ .txt และ .pdf จาก Desktop, Downloads, Documents ไปยัง staging folder ที่กำหนด 4️⃣ เขียนผลลัพธ์ลงไฟล์ .txt เพื่อส่งกลับไปยังเซิร์ฟเวอร์ควบคุม (C2) มัลแวร์นี้ถูกแพ็กจาก Python ด้วย PyInstaller และแจกจ่ายในหลายรูปแบบชื่อ เช่น: - Appendix.pif - AI_generator_uncensored_Canvas_PRO_v0.9.exe - AI_image_generator_v0.95.exe - image.py CERT-UA (ศูนย์ความปลอดภัยไซเบอร์ของยูเครน) ตั้งชื่อว่า LAMEHUG และระบุว่าเป็นผลงานของกลุ่ม UAC-0001 ซึ่งคือตัวเดียวกับ APT28 — หน่วยที่เคยโจมตี NATO, สหรัฐฯ และโครงสร้างพื้นฐานยูเครนมานานหลายปี ✅ APT28 (Fancy Bear) พัฒนามัลแวร์ LAMEHUG ที่ฝังการเรียกใช้ LLM ผ่าน API ➡️ ใช้โมเดล Qwen ผ่าน Hugging Face เพื่อสร้างคำสั่ง PowerShell ✅ เป้าหมายคือระบบของรัฐบาลยูเครน ผ่านการโจมตีแบบ spear phishing ➡️ ปลอมชื่อผู้ส่ง และแนบไฟล์มัลแวร์ที่ดูเหมือนโปรแกรม AI หรือรูปภาพ ✅ LAMEHUG ดึงข้อมูลระบบ, AD domain, และไฟล์เอกสารผู้ใช้ ➡️ ส่งออกไปยัง staging folder เพื่อเตรียมส่งกลับไปยังเซิร์ฟเวอร์ควบคุม ✅ ใช้เทคนิคใหม่ในการเปลี่ยนคำสั่งไปเรื่อย ๆ โดยใช้ AI เขียนแบบต่างกัน ➡️ หวังหลบการตรวจจับด้วย signature-based scanning ✅ มัลแวร์แพร่หลายผ่านไฟล์ .exe และ .pif ที่ใช้ชื่อหลอกให้เชื่อว่าเป็นเครื่องมือภาพหรือเอกสาร ➡️ มีหลากหลายเวอร์ชันพร้อมระบบขโมยข้อมูลแบบแตกต่างกัน ✅ เซิร์ฟเวอร์ C2 ถูกซ่อนไว้ในโครงสร้างพื้นฐานที่ดูถูกต้อง เช่นเว็บไซต์จริงที่ถูกแฮก ➡️ ทำให้การติดตามและบล็อกยากขึ้นมาก ✅ นักวิจัยคาดว่าเทคนิคนี้อาจถูกใช้กับเป้าหมายในตะวันตกในอนาคต ➡️ เพราะ APT28 เคยโจมตี NATO, สหรัฐ และ EU มาก่อน https://www.csoonline.com/article/4025139/novel-malware-from-russias-apt28-prompts-llms-to-create-malicious-windows-commands.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Novel malware from Russia’s APT28 prompts LLMs to create malicious Windows commands
    Recent attacks by the state-run cyberespionage group against Ukrainian government targets included malware capable of querying LLMs to generate Windows shell commands as part of its attack chain.
    0 Comments 0 Shares 337 Views 0 Reviews
  • AI สร้างมัลแวร์หลบหลีก Microsoft Defender ได้ – แค่ฝึกสามเดือนก็แฮกทะลุ

    นักวิจัยจาก Outflank ซึ่งเป็นทีม red team ด้านความปลอดภัย เปิดเผยว่า พวกเขาสามารถฝึกโมเดล Qwen 2.5 (โมเดล LLM แบบโอเพนซอร์สจาก Alibaba) ให้สร้างมัลแวร์ที่สามารถหลบหลีก Microsoft Defender for Endpoint ได้สำเร็จประมาณ 8% ของกรณี หลังใช้เวลาเพียง 3 เดือนและงบประมาณราว $1,500

    ผลลัพธ์นี้จะถูกนำเสนอในงาน Black Hat 2025 ซึ่งเป็นงานสัมมนาด้านความปลอดภัยระดับโลก โดยถือเป็น “proof of concept” ที่แสดงให้เห็นว่า AI สามารถถูกนำมาใช้สร้างภัยคุกคามไซเบอร์ได้จริง

    เมื่อเปรียบเทียบกับโมเดลอื่น:
    - Anthropic’s AI ทำได้ <1%
    - DeepSeek ทำได้ <0.5%
    - Qwen 2.5 จึงถือว่ามีประสิทธิภาพสูงกว่ามากในบริบทนี้

    นักวิจัยยังระบุว่า หากมีทรัพยากร GPU มากกว่านี้ และใช้ reinforcement learning อย่างจริงจัง ประสิทธิภาพของโมเดลอาจเพิ่มขึ้นอีกมาก ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนสำหรับอนาคตของการโจมตีแบบอัตโนมัติ

    แม้ Microsoft Defender จะยังคงเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในภาพรวม แต่การพัฒนา AI ฝั่งรุก (offensive AI) กำลังไล่ตามอย่างรวดเร็ว และอาจทำให้ระบบป้องกันต้องปรับตัวอย่างหนักในอนาคต

    ข้อมูลจากข่าว
    - นักวิจัยจาก Outflank ฝึกโมเดล Qwen 2.5 ให้สร้างมัลแวร์ที่หลบหลีก Microsoft Defender ได้
    - ใช้เวลา 3 เดือนและงบประมาณ $1,500 ในการฝึกโมเดล
    - ประสิทธิภาพของโมเดลอยู่ที่ 8% ซึ่งสูงกว่าโมเดลอื่น ๆ ที่ทดสอบ
    - จะมีการนำเสนอผลการทดลองในงาน Black Hat 2025
    - ใช้เทคนิค reinforcement learning เพื่อปรับปรุงความสามารถของโมเดล
    - ถือเป็น proof of concept ที่แสดงให้เห็นว่า AI สามารถสร้างภัยไซเบอร์ได้จริง

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    - การใช้ AI สร้างมัลแวร์อาจกลายเป็นเครื่องมือใหม่ของแฮกเกอร์ในอนาคต
    - โมเดลโอเพนซอร์สสามารถถูกนำไปใช้ในทางร้ายได้ หากไม่มีการควบคุม
    - Microsoft Defender อาจต้องปรับปรุงอย่างต่อเนื่องเพื่อรับมือกับภัยคุกคามจาก AI
    - การมี GPU และทรัพยากรเพียงพออาจทำให้บุคคลทั่วไปสามารถฝึกโมเดลโจมตีได้
    - การพึ่งพาเครื่องมือป้องกันเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ ต้องมีการฝึกอบรมและวางระบบความปลอดภัยเชิงรุก
    - องค์กรควรเริ่มรวม AI threat modeling เข้าในแผนความปลอดภัยไซเบอร์

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/ai-malware-can-now-evade-microsoft-defender-open-source-llm-outsmarts-tool-around-8-percent-of-the-time-after-three-months-of-training
    AI สร้างมัลแวร์หลบหลีก Microsoft Defender ได้ – แค่ฝึกสามเดือนก็แฮกทะลุ นักวิจัยจาก Outflank ซึ่งเป็นทีม red team ด้านความปลอดภัย เปิดเผยว่า พวกเขาสามารถฝึกโมเดล Qwen 2.5 (โมเดล LLM แบบโอเพนซอร์สจาก Alibaba) ให้สร้างมัลแวร์ที่สามารถหลบหลีก Microsoft Defender for Endpoint ได้สำเร็จประมาณ 8% ของกรณี หลังใช้เวลาเพียง 3 เดือนและงบประมาณราว $1,500 ผลลัพธ์นี้จะถูกนำเสนอในงาน Black Hat 2025 ซึ่งเป็นงานสัมมนาด้านความปลอดภัยระดับโลก โดยถือเป็น “proof of concept” ที่แสดงให้เห็นว่า AI สามารถถูกนำมาใช้สร้างภัยคุกคามไซเบอร์ได้จริง เมื่อเปรียบเทียบกับโมเดลอื่น: - Anthropic’s AI ทำได้ <1% - DeepSeek ทำได้ <0.5% - Qwen 2.5 จึงถือว่ามีประสิทธิภาพสูงกว่ามากในบริบทนี้ นักวิจัยยังระบุว่า หากมีทรัพยากร GPU มากกว่านี้ และใช้ reinforcement learning อย่างจริงจัง ประสิทธิภาพของโมเดลอาจเพิ่มขึ้นอีกมาก ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนสำหรับอนาคตของการโจมตีแบบอัตโนมัติ แม้ Microsoft Defender จะยังคงเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในภาพรวม แต่การพัฒนา AI ฝั่งรุก (offensive AI) กำลังไล่ตามอย่างรวดเร็ว และอาจทำให้ระบบป้องกันต้องปรับตัวอย่างหนักในอนาคต ✅ ข้อมูลจากข่าว - นักวิจัยจาก Outflank ฝึกโมเดล Qwen 2.5 ให้สร้างมัลแวร์ที่หลบหลีก Microsoft Defender ได้ - ใช้เวลา 3 เดือนและงบประมาณ $1,500 ในการฝึกโมเดล - ประสิทธิภาพของโมเดลอยู่ที่ 8% ซึ่งสูงกว่าโมเดลอื่น ๆ ที่ทดสอบ - จะมีการนำเสนอผลการทดลองในงาน Black Hat 2025 - ใช้เทคนิค reinforcement learning เพื่อปรับปรุงความสามารถของโมเดล - ถือเป็น proof of concept ที่แสดงให้เห็นว่า AI สามารถสร้างภัยไซเบอร์ได้จริง ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง - การใช้ AI สร้างมัลแวร์อาจกลายเป็นเครื่องมือใหม่ของแฮกเกอร์ในอนาคต - โมเดลโอเพนซอร์สสามารถถูกนำไปใช้ในทางร้ายได้ หากไม่มีการควบคุม - Microsoft Defender อาจต้องปรับปรุงอย่างต่อเนื่องเพื่อรับมือกับภัยคุกคามจาก AI - การมี GPU และทรัพยากรเพียงพออาจทำให้บุคคลทั่วไปสามารถฝึกโมเดลโจมตีได้ - การพึ่งพาเครื่องมือป้องกันเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอ ต้องมีการฝึกอบรมและวางระบบความปลอดภัยเชิงรุก - องค์กรควรเริ่มรวม AI threat modeling เข้าในแผนความปลอดภัยไซเบอร์ https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/ai-malware-can-now-evade-microsoft-defender-open-source-llm-outsmarts-tool-around-8-percent-of-the-time-after-three-months-of-training
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    AI malware can now evade Microsoft Defender — open-source LLM outsmarts tool around 8% of the time after three months of training
    Researchers plan to show off a model that successfully outsmarts Microsoft's security tooling about 8% of the time at Black Hat 2025.
    0 Comments 0 Shares 356 Views 0 Reviews
  • แชตบอทสมัครงานของ McDonald’s ทำข้อมูลหลุด 64 ล้านคน เพราะรหัสผ่าน “123456”

    ในช่วงต้นปี 2025 ผู้สมัครงานกับ McDonald’s ทั่วโลกอาจไม่รู้เลยว่าข้อมูลส่วนตัวของพวกเขา—ชื่อ เบอร์โทร อีเมล ที่อยู่ และสถานะการจ้างงาน—ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะโดยไม่ตั้งใจ

    เรื่องเริ่มจาก Ian Carroll นักวิจัยด้านความปลอดภัยไซเบอร์ พบช่องโหว่ในระบบของ Paradox.ai ซึ่งเป็นบริษัทที่พัฒนาแชตบอทชื่อ “Olivia” ให้ McDonald’s ใช้สัมภาษณ์งานอัตโนมัติในกว่า 90% ของสาขา

    Carroll พบว่าหน้าเข้าสู่ระบบของพนักงาน Paradox ยังเปิดให้เข้าถึงได้ และที่น่าตกใจคือ เขาสามารถล็อกอินด้วยชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน “123456” ได้ทันที! จากนั้นเขาเข้าถึงโค้ดของเว็บไซต์ และพบ API ที่สามารถเรียกดูประวัติการสนทนาของผู้สมัครงานได้ทั้งหมด—รวมกว่า 64 ล้านรายการ

    ข้อมูลที่หลุดออกมานั้นไม่ใช่แค่ข้อความแชต แต่รวมถึง token การยืนยันตัวตน และสถานะการจ้างงานของผู้สมัครด้วย

    Carroll พยายามแจ้งเตือน Paradox แต่ไม่พบช่องทางรายงานช่องโหว่ด้านความปลอดภัยเลย ต้องส่งอีเมลสุ่มไปยังพนักงาน จนในที่สุด Paradox และ McDonald’s ยืนยันว่าได้แก้ไขปัญหาแล้วในต้นเดือนกรกฎาคม

    ข้อมูลจากข่าว
    - ข้อมูลผู้สมัครงานกว่า 64 ล้านคนถูกเปิดเผยจากระบบของ Paradox.ai
    - นักวิจัยสามารถล็อกอินด้วยชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน “123456”
    - เข้าถึง API ที่แสดงประวัติแชตของแชตบอท Olivia ได้ทั้งหมด
    - ข้อมูลที่หลุดรวมถึงชื่อ เบอร์โทร อีเมล ที่อยู่ token และสถานะการจ้างงาน
    - Paradox ไม่มีช่องทางรายงานช่องโหว่ด้านความปลอดภัยอย่างเป็นทางการ
    - McDonald’s และ Paradox ยืนยันว่าแก้ไขปัญหาแล้วในเดือนกรกฎาคม
    - Olivia ถูกใช้ในกว่า 90% ของสาขา McDonald’s เพื่อสัมภาษณ์งานอัตโนมัติ

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    - การใช้รหัสผ่านง่าย ๆ เช่น “123456” ยังคงเป็นช่องโหว่ร้ายแรงที่พบได้บ่อย
    - ระบบ AI ที่จัดการข้อมูลส่วนบุคคลต้องมีมาตรการความปลอดภัยที่เข้มงวด
    - บริษัทที่ไม่มีช่องทางรายงานช่องโหว่ อาจทำให้การแก้ไขล่าช้าและเสี่ยงต่อการโจมตี
    - ผู้สมัครงานควรระวังการให้ข้อมูลผ่านระบบอัตโนมัติ โดยเฉพาะข้อมูลส่วนตัว
    - องค์กรควรตรวจสอบระบบ third-party อย่างสม่ำเสมอ และมีการทดสอบความปลอดภัย (penetration test)
    - การใช้ AI ในงาน HR ต้องมาพร้อมกับ governance และการตรวจสอบจากมนุษย์

    https://www.techspot.com/news/108619-mcdonald-ai-hiring-chatbot-exposed-data-64-million.html
    แชตบอทสมัครงานของ McDonald’s ทำข้อมูลหลุด 64 ล้านคน เพราะรหัสผ่าน “123456” ในช่วงต้นปี 2025 ผู้สมัครงานกับ McDonald’s ทั่วโลกอาจไม่รู้เลยว่าข้อมูลส่วนตัวของพวกเขา—ชื่อ เบอร์โทร อีเมล ที่อยู่ และสถานะการจ้างงาน—ถูกเปิดเผยต่อสาธารณะโดยไม่ตั้งใจ เรื่องเริ่มจาก Ian Carroll นักวิจัยด้านความปลอดภัยไซเบอร์ พบช่องโหว่ในระบบของ Paradox.ai ซึ่งเป็นบริษัทที่พัฒนาแชตบอทชื่อ “Olivia” ให้ McDonald’s ใช้สัมภาษณ์งานอัตโนมัติในกว่า 90% ของสาขา Carroll พบว่าหน้าเข้าสู่ระบบของพนักงาน Paradox ยังเปิดให้เข้าถึงได้ และที่น่าตกใจคือ เขาสามารถล็อกอินด้วยชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน “123456” ได้ทันที! จากนั้นเขาเข้าถึงโค้ดของเว็บไซต์ และพบ API ที่สามารถเรียกดูประวัติการสนทนาของผู้สมัครงานได้ทั้งหมด—รวมกว่า 64 ล้านรายการ ข้อมูลที่หลุดออกมานั้นไม่ใช่แค่ข้อความแชต แต่รวมถึง token การยืนยันตัวตน และสถานะการจ้างงานของผู้สมัครด้วย Carroll พยายามแจ้งเตือน Paradox แต่ไม่พบช่องทางรายงานช่องโหว่ด้านความปลอดภัยเลย ต้องส่งอีเมลสุ่มไปยังพนักงาน จนในที่สุด Paradox และ McDonald’s ยืนยันว่าได้แก้ไขปัญหาแล้วในต้นเดือนกรกฎาคม ✅ ข้อมูลจากข่าว - ข้อมูลผู้สมัครงานกว่า 64 ล้านคนถูกเปิดเผยจากระบบของ Paradox.ai - นักวิจัยสามารถล็อกอินด้วยชื่อผู้ใช้และรหัสผ่าน “123456” - เข้าถึง API ที่แสดงประวัติแชตของแชตบอท Olivia ได้ทั้งหมด - ข้อมูลที่หลุดรวมถึงชื่อ เบอร์โทร อีเมล ที่อยู่ token และสถานะการจ้างงาน - Paradox ไม่มีช่องทางรายงานช่องโหว่ด้านความปลอดภัยอย่างเป็นทางการ - McDonald’s และ Paradox ยืนยันว่าแก้ไขปัญหาแล้วในเดือนกรกฎาคม - Olivia ถูกใช้ในกว่า 90% ของสาขา McDonald’s เพื่อสัมภาษณ์งานอัตโนมัติ ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง - การใช้รหัสผ่านง่าย ๆ เช่น “123456” ยังคงเป็นช่องโหว่ร้ายแรงที่พบได้บ่อย - ระบบ AI ที่จัดการข้อมูลส่วนบุคคลต้องมีมาตรการความปลอดภัยที่เข้มงวด - บริษัทที่ไม่มีช่องทางรายงานช่องโหว่ อาจทำให้การแก้ไขล่าช้าและเสี่ยงต่อการโจมตี - ผู้สมัครงานควรระวังการให้ข้อมูลผ่านระบบอัตโนมัติ โดยเฉพาะข้อมูลส่วนตัว - องค์กรควรตรวจสอบระบบ third-party อย่างสม่ำเสมอ และมีการทดสอบความปลอดภัย (penetration test) - การใช้ AI ในงาน HR ต้องมาพร้อมกับ governance และการตรวจสอบจากมนุษย์ https://www.techspot.com/news/108619-mcdonald-ai-hiring-chatbot-exposed-data-64-million.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    McDonald's AI hiring chatbot exposed data of 64 million applicants with "123456" password
    Security researcher Ian Carroll successfully logged into an administrative account for Paradox.ai, the company that built McDonald's AI job interviewer, using "123456" as both a username and...
    0 Comments 0 Shares 336 Views 0 Reviews
  • กมธ.ทหาร สว. เตรียมเชิญ 'นายกฯ' แจงปัญหาชายแดนและประเด็นความมั่นคง หลังมาตรการปิดด่าน พบปัญหา ‘สินค้าหนีภาษี-ลักลอบเข้าเมือง’
    https://www.thai-tai.tv/news/20086/
    .
    #กมธทหารสว #ไชยยงค์มณีรุ่งสกุล #แพทองธารชินวัตร #นายกฯ #รักษาการนายกฯ #ชายแดนไทยกัมพูชา #จังหวัดชายแดนภาคใต้ #ความมั่นคง #อธิปไตย #บูรณภาพแห่งดินแดน #MOU43 #MOU44 #รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม #ความปลอดภัยไซเบอร์ #ฟอกเงิน #สินค้าหนีภาษี #ลักลอบเข้าเมือง #รัฐสภา #การเมืองไทย
    กมธ.ทหาร สว. เตรียมเชิญ 'นายกฯ' แจงปัญหาชายแดนและประเด็นความมั่นคง หลังมาตรการปิดด่าน พบปัญหา ‘สินค้าหนีภาษี-ลักลอบเข้าเมือง’ https://www.thai-tai.tv/news/20086/ . #กมธทหารสว #ไชยยงค์มณีรุ่งสกุล #แพทองธารชินวัตร #นายกฯ #รักษาการนายกฯ #ชายแดนไทยกัมพูชา #จังหวัดชายแดนภาคใต้ #ความมั่นคง #อธิปไตย #บูรณภาพแห่งดินแดน #MOU43 #MOU44 #รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม #ความปลอดภัยไซเบอร์ #ฟอกเงิน #สินค้าหนีภาษี #ลักลอบเข้าเมือง #รัฐสภา #การเมืองไทย
    0 Comments 0 Shares 525 Views 0 Reviews
  • การแฮ็กบัญชีอีเมลของนักข่าว Washington Post: ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของ Microsoft 365
    Washington Post ถูกโจมตีทางไซเบอร์ ส่งผลให้บัญชีอีเมลของนักข่าวหลายคนถูกแฮ็ก คาดว่าเป็นฝีมือของรัฐบาลต่างชาติ เนื่องจากนักข่าวเหล่านี้รายงานข่าวเกี่ยวกับ ความมั่นคงแห่งชาติ นโยบายเศรษฐกิจ และจีน.

    รายละเอียดการโจมตี
    บัญชีอีเมลของนักข่าวถูกแฮ็ก โดยผู้โจมตีที่คาดว่าเป็นรัฐบาลต่างชาติ.
    Microsoft 365 ถูกตั้งคำถามเรื่องความปลอดภัย เนื่องจากเป็นแพลตฟอร์มที่องค์กรทั่วโลกใช้งาน.
    Microsoft Defender for Office 365 มีระบบป้องกัน เช่น Advanced Threat Protection ที่ช่วยตรวจจับลิงก์และไฟล์แนบที่เป็นอันตราย.
    Entra ID ช่วยป้องกันการโจมตีแบบเจาะบัญชี ด้วยระบบ Multi-Factor Authentication และนโยบายการเข้าถึงที่เข้มงวด.

    ความเสี่ยงและข้อควรระวัง
    การโจมตีอาจเกิดจากช่องโหว่หรือข้อผิดพลาดของผู้ใช้ เช่น การตั้งค่าความปลอดภัยผิดพลาด หรือการตกเป็นเหยื่อของฟิชชิ่ง.
    Microsoft 365 ไม่สามารถป้องกันการโจมตีได้ 100% เนื่องจากยังมีช่องโหว่ที่อาจถูกใช้ประโยชน์.
    องค์กรต้องมีมาตรการเสริม เช่น การฝึกอบรมพนักงานเกี่ยวกับความปลอดภัยไซเบอร์.

    แนวทางป้องกันสำหรับองค์กร
    บังคับใช้ Multi-Factor Authentication (MFA) สำหรับทุกบัญชี โดยเฉพาะบัญชีที่มีสิทธิ์สูง.
    ตั้งรหัสผ่านที่แข็งแกร่ง โดยใช้ตัวอักษร ตัวเลข และสัญลักษณ์.
    อัปเดตระบบความปลอดภัยอย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดความเสี่ยงจากช่องโหว่ใหม่ๆ.
    ฝึกอบรมพนักงานเกี่ยวกับภัยคุกคามไซเบอร์ เช่น ฟิชชิ่งและวิธีป้องกัน.

    ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับภัยคุกคามไซเบอร์
    Microsoft Azure จะบังคับใช้ MFA ตั้งแต่เดือนตุลาคม เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ใช้.
    การโจมตีแบบฟิชชิ่งที่ใช้เทคนิคใหม่ เช่น การปลอมแปลงโดเมนที่ดูเหมือนถูกต้อง.
    องค์กรที่ใช้ Microsoft 365 ควรตรวจสอบการตั้งค่าความปลอดภัย เพื่อป้องกันการโจมตีที่อาจเกิดขึ้น.

    https://www.neowin.net/news/microsoft-365-security-in-the-spotlight-after-washington-post-hack/
    การแฮ็กบัญชีอีเมลของนักข่าว Washington Post: ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยของ Microsoft 365 Washington Post ถูกโจมตีทางไซเบอร์ ส่งผลให้บัญชีอีเมลของนักข่าวหลายคนถูกแฮ็ก คาดว่าเป็นฝีมือของรัฐบาลต่างชาติ เนื่องจากนักข่าวเหล่านี้รายงานข่าวเกี่ยวกับ ความมั่นคงแห่งชาติ นโยบายเศรษฐกิจ และจีน. รายละเอียดการโจมตี ✅ บัญชีอีเมลของนักข่าวถูกแฮ็ก โดยผู้โจมตีที่คาดว่าเป็นรัฐบาลต่างชาติ. ✅ Microsoft 365 ถูกตั้งคำถามเรื่องความปลอดภัย เนื่องจากเป็นแพลตฟอร์มที่องค์กรทั่วโลกใช้งาน. ✅ Microsoft Defender for Office 365 มีระบบป้องกัน เช่น Advanced Threat Protection ที่ช่วยตรวจจับลิงก์และไฟล์แนบที่เป็นอันตราย. ✅ Entra ID ช่วยป้องกันการโจมตีแบบเจาะบัญชี ด้วยระบบ Multi-Factor Authentication และนโยบายการเข้าถึงที่เข้มงวด. ความเสี่ยงและข้อควรระวัง ‼️ การโจมตีอาจเกิดจากช่องโหว่หรือข้อผิดพลาดของผู้ใช้ เช่น การตั้งค่าความปลอดภัยผิดพลาด หรือการตกเป็นเหยื่อของฟิชชิ่ง. ‼️ Microsoft 365 ไม่สามารถป้องกันการโจมตีได้ 100% เนื่องจากยังมีช่องโหว่ที่อาจถูกใช้ประโยชน์. ‼️ องค์กรต้องมีมาตรการเสริม เช่น การฝึกอบรมพนักงานเกี่ยวกับความปลอดภัยไซเบอร์. แนวทางป้องกันสำหรับองค์กร ✅ บังคับใช้ Multi-Factor Authentication (MFA) สำหรับทุกบัญชี โดยเฉพาะบัญชีที่มีสิทธิ์สูง. ✅ ตั้งรหัสผ่านที่แข็งแกร่ง โดยใช้ตัวอักษร ตัวเลข และสัญลักษณ์. ✅ อัปเดตระบบความปลอดภัยอย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดความเสี่ยงจากช่องโหว่ใหม่ๆ. ✅ ฝึกอบรมพนักงานเกี่ยวกับภัยคุกคามไซเบอร์ เช่น ฟิชชิ่งและวิธีป้องกัน. ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับภัยคุกคามไซเบอร์ ✅ Microsoft Azure จะบังคับใช้ MFA ตั้งแต่เดือนตุลาคม เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับผู้ใช้. ✅ การโจมตีแบบฟิชชิ่งที่ใช้เทคนิคใหม่ เช่น การปลอมแปลงโดเมนที่ดูเหมือนถูกต้อง. ‼️ องค์กรที่ใช้ Microsoft 365 ควรตรวจสอบการตั้งค่าความปลอดภัย เพื่อป้องกันการโจมตีที่อาจเกิดขึ้น. https://www.neowin.net/news/microsoft-365-security-in-the-spotlight-after-washington-post-hack/
    WWW.NEOWIN.NET
    Microsoft 365 security in the spotlight after Washington Post hack
    The Washington Post has reported that some of its journalists were cyberattacked, with attackers possibly gaining access to a Microsoft work email account; putting Microsoft 365 under the spotlight.
    0 Comments 0 Shares 266 Views 0 Reviews
  • องค์กรขนาดเล็กกำลังเผชิญวิกฤตความปลอดภัยไซเบอร์
    รายงานล่าสุดจาก World Economic Forum (WEF) ระบุว่า 71% ของผู้นำด้านไซเบอร์เชื่อว่าองค์กรขนาดเล็กกำลังถึงจุดวิกฤต เนื่องจาก งบประมาณที่จำกัด ทีม IT ที่ทำงานหนักเกินไป และภัยคุกคามที่ซับซ้อนขึ้น

    องค์กรขนาดเล็ก ขาดทรัพยากรและบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านไซเบอร์ ทำให้ ความสามารถในการป้องกันภัยคุกคามลดลงอย่างมาก

    ข้อมูลจากข่าว
    - 71% ของผู้นำด้านไซเบอร์เชื่อว่าองค์กรขนาดเล็กกำลังถึงจุดวิกฤต
    - 35% ขององค์กรขนาดเล็กเชื่อว่าความสามารถในการป้องกันภัยไซเบอร์ของตนไม่เพียงพอ
    - ช่องว่างด้านทักษะไซเบอร์เพิ่มขึ้น 8% โดย 2 ใน 3 ขององค์กรขาดบุคลากรที่มีความสามารถ
    - องค์กรขนาดเล็กมักตกเป็นเป้าหมายของการโจมตีแบบ supply chain attack
    - การใช้ AI ในการโจมตีไซเบอร์ เช่น phishing และ ransomware-as-a-service กำลังเพิ่มขึ้น

    ความเสี่ยงและข้อควรระวัง
    องค์กรขนาดเล็ก มักเข้าใจผิดว่าภัยไซเบอร์มุ่งเป้าไปที่องค์กรขนาดใหญ่เท่านั้น แต่ในความเป็นจริง พวกเขาเป็นเป้าหมายที่ง่ายสำหรับแฮกเกอร์

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - องค์กรขนาดเล็กมักไม่มีทีมรักษาความปลอดภัยเฉพาะทาง ทำให้การตอบสนองต่อภัยคุกคามล่าช้า
    - การขาดการฝึกอบรมด้านไซเบอร์ทำให้พนักงานมีความเสี่ยงต่อ phishing และ social engineering
    - กฎระเบียบด้านไซเบอร์ เช่น NIS2 และ GDPR กำลังเพิ่มภาระให้กับองค์กรขนาดเล็ก
    - การใช้ AI ในการโจมตีไซเบอร์ทำให้ภัยคุกคามมีความซับซ้อนและยากต่อการตรวจจับมากขึ้น

    องค์กรขนาดเล็ก สามารถใช้บริการรักษาความปลอดภัยแบบ managed security services เพื่อช่วย ลดภาระของทีม IT และเพิ่มความสามารถในการป้องกันภัยไซเบอร์

    https://www.csoonline.com/article/4003892/smaller-organizations-nearing-cybersecurity-breaking-point.html
    🔐 องค์กรขนาดเล็กกำลังเผชิญวิกฤตความปลอดภัยไซเบอร์ รายงานล่าสุดจาก World Economic Forum (WEF) ระบุว่า 71% ของผู้นำด้านไซเบอร์เชื่อว่าองค์กรขนาดเล็กกำลังถึงจุดวิกฤต เนื่องจาก งบประมาณที่จำกัด ทีม IT ที่ทำงานหนักเกินไป และภัยคุกคามที่ซับซ้อนขึ้น องค์กรขนาดเล็ก ขาดทรัพยากรและบุคลากรที่มีความเชี่ยวชาญด้านไซเบอร์ ทำให้ ความสามารถในการป้องกันภัยคุกคามลดลงอย่างมาก ✅ ข้อมูลจากข่าว - 71% ของผู้นำด้านไซเบอร์เชื่อว่าองค์กรขนาดเล็กกำลังถึงจุดวิกฤต - 35% ขององค์กรขนาดเล็กเชื่อว่าความสามารถในการป้องกันภัยไซเบอร์ของตนไม่เพียงพอ - ช่องว่างด้านทักษะไซเบอร์เพิ่มขึ้น 8% โดย 2 ใน 3 ขององค์กรขาดบุคลากรที่มีความสามารถ - องค์กรขนาดเล็กมักตกเป็นเป้าหมายของการโจมตีแบบ supply chain attack - การใช้ AI ในการโจมตีไซเบอร์ เช่น phishing และ ransomware-as-a-service กำลังเพิ่มขึ้น ⚠️ ความเสี่ยงและข้อควรระวัง องค์กรขนาดเล็ก มักเข้าใจผิดว่าภัยไซเบอร์มุ่งเป้าไปที่องค์กรขนาดใหญ่เท่านั้น แต่ในความเป็นจริง พวกเขาเป็นเป้าหมายที่ง่ายสำหรับแฮกเกอร์ ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - องค์กรขนาดเล็กมักไม่มีทีมรักษาความปลอดภัยเฉพาะทาง ทำให้การตอบสนองต่อภัยคุกคามล่าช้า - การขาดการฝึกอบรมด้านไซเบอร์ทำให้พนักงานมีความเสี่ยงต่อ phishing และ social engineering - กฎระเบียบด้านไซเบอร์ เช่น NIS2 และ GDPR กำลังเพิ่มภาระให้กับองค์กรขนาดเล็ก - การใช้ AI ในการโจมตีไซเบอร์ทำให้ภัยคุกคามมีความซับซ้อนและยากต่อการตรวจจับมากขึ้น องค์กรขนาดเล็ก สามารถใช้บริการรักษาความปลอดภัยแบบ managed security services เพื่อช่วย ลดภาระของทีม IT และเพิ่มความสามารถในการป้องกันภัยไซเบอร์ https://www.csoonline.com/article/4003892/smaller-organizations-nearing-cybersecurity-breaking-point.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Smaller organizations nearing cybersecurity breaking point
    Strained budgets, overstretched teams, and a rise in sophisticated threats is leading to plummeting security confidence among SMEs as cybercriminals increasingly target them in supply chain attacks.
    0 Comments 0 Shares 310 Views 0 Reviews
  • AI กำลังเปลี่ยนแปลงแนวคิดของคนรุ่นใหม่เกี่ยวกับอาชีพ
    ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงแนวคิดของ คนรุ่นใหม่ เกี่ยวกับ การหางานและการเลือกอาชีพ โดยมีผลกระทบทั้งในแง่ของ โอกาสใหม่ ๆ และความกังวลเกี่ยวกับอนาคตของงานบางประเภท

    จากการสำรวจของ Prospects ในกลุ่มนักศึกษาและบัณฑิตกว่า 4,000 คนในสหราชอาณาจักร พบว่า 39% ของผู้หางานใช้ AI ในการปรับแต่งเรซูเม่และจดหมายสมัครงาน และ 30% ใช้ AI เขียนเอกสารเหล่านี้ตั้งแต่ต้น

    นอกจากนี้ AI ยังถูกนำมาใช้ในการ เตรียมตัวสัมภาษณ์งาน (29%) และตอบคำถามในแบบฟอร์มสมัครงาน (23%) ทำให้กระบวนการสมัครงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    ข้อมูลจากข่าว
    - 39% ของผู้หางานใช้ AI ในการปรับแต่งเรซูเม่และจดหมายสมัครงาน
    - 30% ใช้ AI เขียนเอกสารสมัครงานตั้งแต่ต้น
    - 29% ใช้ AI เตรียมตัวสัมภาษณ์งาน และ 23% ใช้ AI ตอบคำถามในแบบฟอร์มสมัครงาน
    - 18% ของผู้ตอบแบบสอบถามใช้ ChatGPT หรือ Microsoft Copilot เพื่อขอคำแนะนำด้านอาชีพ
    - 84% ของผู้ใช้ AI เพื่อขอคำแนะนำด้านอาชีพพบว่ามีประโยชน์

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - 10% ของนักศึกษาที่ตอบแบบสอบถามเปลี่ยนแผนการทำงานเนื่องจาก AI
    - บางคนละทิ้งอาชีพที่อาจถูกแทนที่ด้วย AI เช่น กราฟิกดีไซน์และงานแปลภาษา
    - 46% ของผู้ที่เปลี่ยนแผนการทำงานรู้สึกไม่มั่นใจเกี่ยวกับอนาคตของตนเอง
    - 29% ของผู้ที่เปลี่ยนแผนการทำงานมีมุมมองที่เป็นลบเกี่ยวกับโอกาสในอนาคต
    - สถาบันการศึกษาและบริษัทต้องปรับตัวเพื่อให้คนรุ่นใหม่สามารถทำงานร่วมกับ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    AI กำลังเปลี่ยนแปลง แนวคิดเกี่ยวกับอาชีพและการหางานของคนรุ่นใหม่ โดยบางคนมองว่าเป็น โอกาสในการเข้าสู่สายงานใหม่ เช่น ความปลอดภัยไซเบอร์และการวิเคราะห์ข้อมูล ขณะที่บางคน กังวลว่าอาชีพของตนจะล้าสมัย

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/05/artificial-intelligence-is-prompting-young-people-to-rethink-their-career-plans
    🎓 AI กำลังเปลี่ยนแปลงแนวคิดของคนรุ่นใหม่เกี่ยวกับอาชีพ ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงแนวคิดของ คนรุ่นใหม่ เกี่ยวกับ การหางานและการเลือกอาชีพ โดยมีผลกระทบทั้งในแง่ของ โอกาสใหม่ ๆ และความกังวลเกี่ยวกับอนาคตของงานบางประเภท จากการสำรวจของ Prospects ในกลุ่มนักศึกษาและบัณฑิตกว่า 4,000 คนในสหราชอาณาจักร พบว่า 39% ของผู้หางานใช้ AI ในการปรับแต่งเรซูเม่และจดหมายสมัครงาน และ 30% ใช้ AI เขียนเอกสารเหล่านี้ตั้งแต่ต้น นอกจากนี้ AI ยังถูกนำมาใช้ในการ เตรียมตัวสัมภาษณ์งาน (29%) และตอบคำถามในแบบฟอร์มสมัครงาน (23%) ทำให้กระบวนการสมัครงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น ✅ ข้อมูลจากข่าว - 39% ของผู้หางานใช้ AI ในการปรับแต่งเรซูเม่และจดหมายสมัครงาน - 30% ใช้ AI เขียนเอกสารสมัครงานตั้งแต่ต้น - 29% ใช้ AI เตรียมตัวสัมภาษณ์งาน และ 23% ใช้ AI ตอบคำถามในแบบฟอร์มสมัครงาน - 18% ของผู้ตอบแบบสอบถามใช้ ChatGPT หรือ Microsoft Copilot เพื่อขอคำแนะนำด้านอาชีพ - 84% ของผู้ใช้ AI เพื่อขอคำแนะนำด้านอาชีพพบว่ามีประโยชน์ ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - 10% ของนักศึกษาที่ตอบแบบสอบถามเปลี่ยนแผนการทำงานเนื่องจาก AI - บางคนละทิ้งอาชีพที่อาจถูกแทนที่ด้วย AI เช่น กราฟิกดีไซน์และงานแปลภาษา - 46% ของผู้ที่เปลี่ยนแผนการทำงานรู้สึกไม่มั่นใจเกี่ยวกับอนาคตของตนเอง - 29% ของผู้ที่เปลี่ยนแผนการทำงานมีมุมมองที่เป็นลบเกี่ยวกับโอกาสในอนาคต - สถาบันการศึกษาและบริษัทต้องปรับตัวเพื่อให้คนรุ่นใหม่สามารถทำงานร่วมกับ AI ได้อย่างมีประสิทธิภาพ AI กำลังเปลี่ยนแปลง แนวคิดเกี่ยวกับอาชีพและการหางานของคนรุ่นใหม่ โดยบางคนมองว่าเป็น โอกาสในการเข้าสู่สายงานใหม่ เช่น ความปลอดภัยไซเบอร์และการวิเคราะห์ข้อมูล ขณะที่บางคน กังวลว่าอาชีพของตนจะล้าสมัย https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/06/05/artificial-intelligence-is-prompting-young-people-to-rethink-their-career-plans
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Artificial intelligence is prompting young people to rethink their career plans
    Gone are the days when young graduates waited patiently for the doors to employment to open for them. Today, they are breaking with established norms by embracing artificial intelligence to transform their career choices.
    0 Comments 0 Shares 352 Views 0 Reviews
  • Microsoft เปิดตัวโครงการความปลอดภัยไซเบอร์ฟรีสำหรับรัฐบาลยุโรป
    Microsoft ได้เปิดตัว European Security Program ซึ่งเป็นโครงการที่ช่วยให้รัฐบาลยุโรปสามารถ รับมือกับภัยคุกคามไซเบอร์ที่ใช้ AI โดยไม่มีค่าใช้จ่าย

    โครงการนี้มุ่งเน้นไปที่ การแบ่งปันข้อมูลภัยคุกคามที่ใช้ AI และ การเพิ่มขีดความสามารถด้านความปลอดภัยไซเบอร์ ให้กับรัฐบาลยุโรป

    Microsoft ยังได้ร่วมมือกับ หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายในยุโรป เพื่อจัดการกับ มัลแวร์ Lumma infostealer ซึ่งเป็นมัลแวร์ที่สามารถ ขโมยรหัสผ่าน, ข้อมูลทางการเงิน และกระเป๋าเงินคริปโต โดยในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา Lumma infostealer ได้ติดไวรัสไปแล้วกว่า 400,000 เครื่องทั่วโลก

    นอกจากนี้ Microsoft ยังเตือนว่า อาชญากรไซเบอร์กำลังใช้ AI เพื่อสร้างอีเมลฟิชชิ่ง, ปลอมแปลงตัวตน และสร้างวิดีโอ deepfake ซึ่งเป็นภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

    ข้อมูลจากข่าว
    - Microsoft เปิดตัว European Security Program เพื่อช่วยรัฐบาลยุโรปรับมือกับภัยคุกคามไซเบอร์ที่ใช้ AI
    - โครงการนี้เน้นการแบ่งปันข้อมูลภัยคุกคามและเพิ่มขีดความสามารถด้านความปลอดภัยไซเบอร์
    - Microsoft ร่วมมือกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายในยุโรปเพื่อจัดการกับมัลแวร์ Lumma infostealer
    - Lumma infostealer ติดไวรัสไปแล้วกว่า 400,000 เครื่องทั่วโลกในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา
    - อาชญากรไซเบอร์ใช้ AI เพื่อสร้างอีเมลฟิชชิ่ง, ปลอมแปลงตัวตน และสร้างวิดีโอ deepfake

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - แม้โครงการนี้จะช่วยเพิ่มความปลอดภัย แต่รัฐบาลยุโรปยังต้องพัฒนาแนวทางป้องกันเพิ่มเติม
    - AI ที่ใช้ในอาชญากรรมไซเบอร์กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว ทำให้การป้องกันต้องปรับตัวตาม
    - ต้องติดตามว่ารัฐบาลยุโรปจะนำข้อมูลภัยคุกคามที่ Microsoft แบ่งปันไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่
    - การใช้ AI ในการโจมตีไซเบอร์อาจทำให้เกิดภัยคุกคามรูปแบบใหม่ที่ยังไม่มีมาตรการรับมือ

    โครงการนี้ช่วยให้ รัฐบาลยุโรปสามารถรับมือกับภัยคุกคามไซเบอร์ที่ใช้ AI ได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการแบ่งปันข้อมูลภัยคุกคามจะช่วยลดจำนวนการโจมตีได้มากน้อยเพียงใด

    https://www.neowin.net/news/microsoft-offers-free-cybersecurity-programs-to-european-governments/
    🛡️ Microsoft เปิดตัวโครงการความปลอดภัยไซเบอร์ฟรีสำหรับรัฐบาลยุโรป Microsoft ได้เปิดตัว European Security Program ซึ่งเป็นโครงการที่ช่วยให้รัฐบาลยุโรปสามารถ รับมือกับภัยคุกคามไซเบอร์ที่ใช้ AI โดยไม่มีค่าใช้จ่าย โครงการนี้มุ่งเน้นไปที่ การแบ่งปันข้อมูลภัยคุกคามที่ใช้ AI และ การเพิ่มขีดความสามารถด้านความปลอดภัยไซเบอร์ ให้กับรัฐบาลยุโรป Microsoft ยังได้ร่วมมือกับ หน่วยงานบังคับใช้กฎหมายในยุโรป เพื่อจัดการกับ มัลแวร์ Lumma infostealer ซึ่งเป็นมัลแวร์ที่สามารถ ขโมยรหัสผ่าน, ข้อมูลทางการเงิน และกระเป๋าเงินคริปโต โดยในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา Lumma infostealer ได้ติดไวรัสไปแล้วกว่า 400,000 เครื่องทั่วโลก นอกจากนี้ Microsoft ยังเตือนว่า อาชญากรไซเบอร์กำลังใช้ AI เพื่อสร้างอีเมลฟิชชิ่ง, ปลอมแปลงตัวตน และสร้างวิดีโอ deepfake ซึ่งเป็นภัยคุกคามที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ✅ ข้อมูลจากข่าว - Microsoft เปิดตัว European Security Program เพื่อช่วยรัฐบาลยุโรปรับมือกับภัยคุกคามไซเบอร์ที่ใช้ AI - โครงการนี้เน้นการแบ่งปันข้อมูลภัยคุกคามและเพิ่มขีดความสามารถด้านความปลอดภัยไซเบอร์ - Microsoft ร่วมมือกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายในยุโรปเพื่อจัดการกับมัลแวร์ Lumma infostealer - Lumma infostealer ติดไวรัสไปแล้วกว่า 400,000 เครื่องทั่วโลกในช่วงสองเดือนที่ผ่านมา - อาชญากรไซเบอร์ใช้ AI เพื่อสร้างอีเมลฟิชชิ่ง, ปลอมแปลงตัวตน และสร้างวิดีโอ deepfake ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - แม้โครงการนี้จะช่วยเพิ่มความปลอดภัย แต่รัฐบาลยุโรปยังต้องพัฒนาแนวทางป้องกันเพิ่มเติม - AI ที่ใช้ในอาชญากรรมไซเบอร์กำลังพัฒนาอย่างรวดเร็ว ทำให้การป้องกันต้องปรับตัวตาม - ต้องติดตามว่ารัฐบาลยุโรปจะนำข้อมูลภัยคุกคามที่ Microsoft แบ่งปันไปใช้ได้อย่างมีประสิทธิภาพหรือไม่ - การใช้ AI ในการโจมตีไซเบอร์อาจทำให้เกิดภัยคุกคามรูปแบบใหม่ที่ยังไม่มีมาตรการรับมือ โครงการนี้ช่วยให้ รัฐบาลยุโรปสามารถรับมือกับภัยคุกคามไซเบอร์ที่ใช้ AI ได้ดีขึ้น อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการแบ่งปันข้อมูลภัยคุกคามจะช่วยลดจำนวนการโจมตีได้มากน้อยเพียงใด https://www.neowin.net/news/microsoft-offers-free-cybersecurity-programs-to-european-governments/
    WWW.NEOWIN.NET
    Microsoft offers free cybersecurity programs to European governments
    Microsoft has launched a cybersecurity enhancement program for European countries to help them repel AI-powered attacks.
    0 Comments 0 Shares 336 Views 0 Reviews
More Results