• "Valve ทำรายได้ต่อพนักงานสูงสุดในโลกเกม – เกือบ 50 ล้านดอลลาร์ต่อคน"

    รายงานจาก Tom’s Hardware ระบุว่า Valve มีพนักงานเพียงประมาณ 350 คน แต่สามารถสร้างรายได้รวมกว่า 17 พันล้านดอลลาร์ในปี 2025 โดย Steam แพลตฟอร์มขายเกมออนไลน์ของบริษัททำรายได้ไปแล้วกว่า 16.2 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเพิ่มขึ้น 5.7% จากปี 2024 ตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จของโมเดลธุรกิจที่เน้นการกระจายเกมดิจิทัลและการหักส่วนแบ่งจากเกมยอดนิยมอย่าง Counter-Strike 2 และ Dota 2

    โครงสร้างองค์กรที่ไม่เหมือนใคร
    หนึ่งในปัจจัยสำคัญคือ โครงสร้างองค์กรแบบแบน (flat structure) ของ Valve ที่ไม่มีผู้จัดการหรือ C-suite executives ทุกคนทำงานร่วมกันในฐานะทีมเท่าเทียมกัน ทำให้บริษัทสามารถตัดสินใจได้รวดเร็วและยืดหยุ่น นอกจากนี้ Valve ยังเป็นบริษัทเอกชนที่ไม่ต้องตอบสนองต่อผู้ถือหุ้น ทำให้สามารถนำกำไรกลับคืนสู่พนักงานได้มากขึ้น โดยมีข้อมูลรั่วไหลว่า Valve ใช้เงินกว่า 450 ล้านดอลลาร์จ่ายเงินเดือน เฉลี่ยมากกว่า 1.3 ล้านดอลลาร์ต่อคน

    ผลงานและนวัตกรรมที่สร้างชื่อ
    Valve ไม่เพียงแต่สร้างรายได้มหาศาล แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมเกม เช่น
    การเปิดตัว Steam ที่ปฏิวัติการซื้อขายเกมดิจิทัล
    การสร้างเกมดังอย่าง Counter-Strike, Dota 2, Left 4 Dead
    การเปิดตัว Steam Deck (2022) ที่ช่วยฟื้นตลาดเครื่องเกมพกพา
    แผนเปิดตัว Steam Machine (2026) ที่จะเป็นคู่แข่งโดยตรงกับ PC gaming

    เปรียบเทียบกับบริษัทอื่น
    แม้บริษัทเทคโนโลยีใหญ่ ๆ จะมีรายได้ต่อพนักงานสูง แต่ก็ยังไม่ใกล้เคียงกับ Valve เช่น
    McKesson (Healthcare): 8.2 ล้านดอลลาร์ต่อพนักงาน
    Apple: 2.4 ล้านดอลลาร์ต่อพนักงาน
    Meta (Facebook): 1.9 ล้านดอลลาร์ต่อพนักงาน

    Valve จึงถูกจัดว่าเป็นหนึ่งในบริษัทที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดในโลก

    สรุปสาระสำคัญ
    รายได้ต่อพนักงาน
    Valve ทำรายได้เฉลี่ยเกือบ 50 ล้านดอลลาร์ต่อคน
    มีพนักงานเพียง ~350 คน แต่สร้างรายได้รวมกว่า 17 พันล้านดอลลาร์

    โครงสร้างองค์กร
    ใช้โครงสร้างแบบแบน ไม่มีผู้จัดการ
    เป็นบริษัทเอกชน จึงคืนกำไรให้พนักงานมากกว่า 1.3 ล้านดอลลาร์ต่อคน

    ผลงานสำคัญ
    Steam ปฏิวัติการซื้อขายเกมดิจิทัล
    เกมดัง: Counter-Strike, Dota 2, Left 4 Dead
    Steam Deck ฟื้นตลาดเกมพกพา และ Steam Machine กำลังจะมาในปี 2026

    คำเตือนจากข้อมูลข่าว
    Valve เคยถูกวิจารณ์เรื่อง loot boxes ที่ส่งผลต่อผู้เล่น
    การพึ่งพา Steam เป็นหลักอาจทำให้บริษัทเสี่ยงหากตลาดเปลี่ยนแปลง

    https://www.tomshardware.com/video-games/pc-gaming/valve-makes-almost-usd50-million-per-employee-raking-in-more-cash-per-person-than-google-amazon-or-microsoft-gaming-giants-350-employees-on-track-to-generate-usd17-billion-this-year
    📰 "Valve ทำรายได้ต่อพนักงานสูงสุดในโลกเกม – เกือบ 50 ล้านดอลลาร์ต่อคน" รายงานจาก Tom’s Hardware ระบุว่า Valve มีพนักงานเพียงประมาณ 350 คน แต่สามารถสร้างรายได้รวมกว่า 17 พันล้านดอลลาร์ในปี 2025 โดย Steam แพลตฟอร์มขายเกมออนไลน์ของบริษัททำรายได้ไปแล้วกว่า 16.2 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเพิ่มขึ้น 5.7% จากปี 2024 ตัวเลขนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสำเร็จของโมเดลธุรกิจที่เน้นการกระจายเกมดิจิทัลและการหักส่วนแบ่งจากเกมยอดนิยมอย่าง Counter-Strike 2 และ Dota 2 💼 โครงสร้างองค์กรที่ไม่เหมือนใคร หนึ่งในปัจจัยสำคัญคือ โครงสร้างองค์กรแบบแบน (flat structure) ของ Valve ที่ไม่มีผู้จัดการหรือ C-suite executives ทุกคนทำงานร่วมกันในฐานะทีมเท่าเทียมกัน ทำให้บริษัทสามารถตัดสินใจได้รวดเร็วและยืดหยุ่น นอกจากนี้ Valve ยังเป็นบริษัทเอกชนที่ไม่ต้องตอบสนองต่อผู้ถือหุ้น ทำให้สามารถนำกำไรกลับคืนสู่พนักงานได้มากขึ้น โดยมีข้อมูลรั่วไหลว่า Valve ใช้เงินกว่า 450 ล้านดอลลาร์จ่ายเงินเดือน เฉลี่ยมากกว่า 1.3 ล้านดอลลาร์ต่อคน 🎮 ผลงานและนวัตกรรมที่สร้างชื่อ Valve ไม่เพียงแต่สร้างรายได้มหาศาล แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมเกม เช่น 💠 การเปิดตัว Steam ที่ปฏิวัติการซื้อขายเกมดิจิทัล 💠 การสร้างเกมดังอย่าง Counter-Strike, Dota 2, Left 4 Dead 💠 การเปิดตัว Steam Deck (2022) ที่ช่วยฟื้นตลาดเครื่องเกมพกพา 💠 แผนเปิดตัว Steam Machine (2026) ที่จะเป็นคู่แข่งโดยตรงกับ PC gaming 🌍 เปรียบเทียบกับบริษัทอื่น แม้บริษัทเทคโนโลยีใหญ่ ๆ จะมีรายได้ต่อพนักงานสูง แต่ก็ยังไม่ใกล้เคียงกับ Valve เช่น 💠 McKesson (Healthcare): 8.2 ล้านดอลลาร์ต่อพนักงาน 💠 Apple: 2.4 ล้านดอลลาร์ต่อพนักงาน 💠 Meta (Facebook): 1.9 ล้านดอลลาร์ต่อพนักงาน Valve จึงถูกจัดว่าเป็นหนึ่งในบริษัทที่มีประสิทธิภาพสูงที่สุดในโลก 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ รายได้ต่อพนักงาน ➡️ Valve ทำรายได้เฉลี่ยเกือบ 50 ล้านดอลลาร์ต่อคน ➡️ มีพนักงานเพียง ~350 คน แต่สร้างรายได้รวมกว่า 17 พันล้านดอลลาร์ ✅ โครงสร้างองค์กร ➡️ ใช้โครงสร้างแบบแบน ไม่มีผู้จัดการ ➡️ เป็นบริษัทเอกชน จึงคืนกำไรให้พนักงานมากกว่า 1.3 ล้านดอลลาร์ต่อคน ✅ ผลงานสำคัญ ➡️ Steam ปฏิวัติการซื้อขายเกมดิจิทัล ➡️ เกมดัง: Counter-Strike, Dota 2, Left 4 Dead ➡️ Steam Deck ฟื้นตลาดเกมพกพา และ Steam Machine กำลังจะมาในปี 2026 ‼️ คำเตือนจากข้อมูลข่าว ⛔ Valve เคยถูกวิจารณ์เรื่อง loot boxes ที่ส่งผลต่อผู้เล่น ⛔ การพึ่งพา Steam เป็นหลักอาจทำให้บริษัทเสี่ยงหากตลาดเปลี่ยนแปลง https://www.tomshardware.com/video-games/pc-gaming/valve-makes-almost-usd50-million-per-employee-raking-in-more-cash-per-person-than-google-amazon-or-microsoft-gaming-giants-350-employees-on-track-to-generate-usd17-billion-this-year
    0 Comments 0 Shares 151 Views 0 Reviews
  • KeePassXC 2.7.11: ตัวจัดการรหัสผ่านโอเพ่นซอร์สรุ่นล่าสุด

    KeePassXC ซึ่งเป็นโปรแกรมจัดการรหัสผ่านแบบโอเพ่นซอร์สที่ได้รับความนิยม ได้ออกเวอร์ชัน 2.7.11 โดยมีการปรับปรุงหลายด้านเพื่อเพิ่มความสะดวกและความปลอดภัยให้กับผู้ใช้ การอัปเดตนี้เกิดขึ้นหลังจากเวอร์ชัน 2.7.10 ประมาณ 9 เดือน และถือเป็นการพัฒนาใหญ่ที่ช่วยให้การจัดการรหัสผ่านมีประสิทธิภาพมากขึ้น

    ฟีเจอร์ใหม่ที่โดดเด่น
    การสร้างรหัสผ่านอัตโนมัติ สำหรับ entry ใหม่ ทำให้ผู้ใช้ไม่ต้องสร้างรหัสเอง
    การซิงค์กลุ่มใน KeeShare ช่วยให้การแชร์ข้อมูลระหว่างฐานข้อมูลรหัสผ่านมีความยืดหยุ่นมากขึ้น
    การดูไฟล์แนบแบบ inline รองรับ HTML, Markdown, รูปภาพ และข้อความ
    การยืนยันก่อนรวมฐานข้อมูล (merge) เพื่อป้องกันการเขียนทับข้อมูลโดยไม่ตั้งใจ

    การปรับปรุงด้านความปลอดภัย
    เปิดใช้งาน การล็อกฐานข้อมูลอัตโนมัติหลังไม่ใช้งาน 900 วินาที
    ไม่อนุญาตให้เพิ่ม entry จาก browser extension โดยอัตโนมัติอีกต่อไป
    จำกัดค่า Argon2 parallelism เมื่อสร้างฐานข้อมูลใหม่ เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการเข้ารหัส
    เพิ่มการยืนยันหลายระดับในฟีเจอร์ Auto-Type และการตั้งค่าการยืนยันการปิดฐานข้อมูลด้วยปุ่ม Esc

    การแก้ไขบั๊กและปรับปรุงอื่น ๆ
    แก้ไขปัญหาการหน่วงเวลา startup บน Linux
    ปรับปรุงการทำงานของ Bitwarden importer ให้รองรับ timestamps และ password history
    เพิ่มตัวเลือกการค้นหาสำหรับ TOTP entries และ “Wait for Enter” ในการค้นหา
    ปรับปรุง UI เช่น การกำหนดค่า double-click action และลดความกว้างของ tab indentation ใน notes

    สรุปสาระสำคัญและคำเตือน
    ฟีเจอร์ใหม่
    สร้างรหัสผ่านอัตโนมัติ
    ซิงค์กลุ่มใน KeeShare
    Inline viewer รองรับ HTML/Markdown/Images

    ความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้น
    ล็อกฐานข้อมูลอัตโนมัติหลัง 900 วินาที
    จำกัด Argon2 parallelism
    ยืนยันการปิดฐานข้อมูลด้วย Esc

    การปรับปรุงอื่น ๆ
    Bitwarden importer รองรับ timestamps และ history
    ปรับปรุง UI และแก้ไขบั๊กบน Linux

    คำเตือน
    หากไม่อัปเดต อาจเสี่ยงต่อการใช้ฟีเจอร์ที่ไม่ปลอดภัย
    การแชร์ฐานข้อมูลโดยไม่ตรวจสอบอาจทำให้ข้อมูลรั่วไหล
    ผู้ใช้ต้องระวังการนำเข้าไฟล์จากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ

    https://9to5linux.com/keepassxc-2-7-11-open-source-password-manager-released-with-new-features
    🔑 KeePassXC 2.7.11: ตัวจัดการรหัสผ่านโอเพ่นซอร์สรุ่นล่าสุด KeePassXC ซึ่งเป็นโปรแกรมจัดการรหัสผ่านแบบโอเพ่นซอร์สที่ได้รับความนิยม ได้ออกเวอร์ชัน 2.7.11 โดยมีการปรับปรุงหลายด้านเพื่อเพิ่มความสะดวกและความปลอดภัยให้กับผู้ใช้ การอัปเดตนี้เกิดขึ้นหลังจากเวอร์ชัน 2.7.10 ประมาณ 9 เดือน และถือเป็นการพัฒนาใหญ่ที่ช่วยให้การจัดการรหัสผ่านมีประสิทธิภาพมากขึ้น 🧩 ฟีเจอร์ใหม่ที่โดดเด่น 🎗️ การสร้างรหัสผ่านอัตโนมัติ สำหรับ entry ใหม่ ทำให้ผู้ใช้ไม่ต้องสร้างรหัสเอง 🎗️ การซิงค์กลุ่มใน KeeShare ช่วยให้การแชร์ข้อมูลระหว่างฐานข้อมูลรหัสผ่านมีความยืดหยุ่นมากขึ้น 🎗️ การดูไฟล์แนบแบบ inline รองรับ HTML, Markdown, รูปภาพ และข้อความ 🎗️ การยืนยันก่อนรวมฐานข้อมูล (merge) เพื่อป้องกันการเขียนทับข้อมูลโดยไม่ตั้งใจ 🔒 การปรับปรุงด้านความปลอดภัย 🎗️ เปิดใช้งาน การล็อกฐานข้อมูลอัตโนมัติหลังไม่ใช้งาน 900 วินาที 🎗️ ไม่อนุญาตให้เพิ่ม entry จาก browser extension โดยอัตโนมัติอีกต่อไป 🎗️ จำกัดค่า Argon2 parallelism เมื่อสร้างฐานข้อมูลใหม่ เพื่อเพิ่มความปลอดภัยในการเข้ารหัส 🎗️ เพิ่มการยืนยันหลายระดับในฟีเจอร์ Auto-Type และการตั้งค่าการยืนยันการปิดฐานข้อมูลด้วยปุ่ม Esc 🛠️ การแก้ไขบั๊กและปรับปรุงอื่น ๆ 🎗️ แก้ไขปัญหาการหน่วงเวลา startup บน Linux 🎗️ ปรับปรุงการทำงานของ Bitwarden importer ให้รองรับ timestamps และ password history 🎗️ เพิ่มตัวเลือกการค้นหาสำหรับ TOTP entries และ “Wait for Enter” ในการค้นหา 🎗️ ปรับปรุง UI เช่น การกำหนดค่า double-click action และลดความกว้างของ tab indentation ใน notes 📌 สรุปสาระสำคัญและคำเตือน ✅ ฟีเจอร์ใหม่ ➡️ สร้างรหัสผ่านอัตโนมัติ ➡️ ซิงค์กลุ่มใน KeeShare ➡️ Inline viewer รองรับ HTML/Markdown/Images ✅ ความปลอดภัยที่เพิ่มขึ้น ➡️ ล็อกฐานข้อมูลอัตโนมัติหลัง 900 วินาที ➡️ จำกัด Argon2 parallelism ➡️ ยืนยันการปิดฐานข้อมูลด้วย Esc ✅ การปรับปรุงอื่น ๆ ➡️ Bitwarden importer รองรับ timestamps และ history ➡️ ปรับปรุง UI และแก้ไขบั๊กบน Linux ‼️ คำเตือน ⛔ หากไม่อัปเดต อาจเสี่ยงต่อการใช้ฟีเจอร์ที่ไม่ปลอดภัย ⛔ การแชร์ฐานข้อมูลโดยไม่ตรวจสอบอาจทำให้ข้อมูลรั่วไหล ⛔ ผู้ใช้ต้องระวังการนำเข้าไฟล์จากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ https://9to5linux.com/keepassxc-2-7-11-open-source-password-manager-released-with-new-features
    9TO5LINUX.COM
    KeePassXC 2.7.11 Open-Source Password Manager Released with New Features - 9to5Linux
    KeePassXC 2.7.11 open-source password manager is now available for download with various new features, improvements, and many bug fixes.
    0 Comments 0 Shares 97 Views 0 Reviews
  • ช่องโหว่ Isaac-GROOT: ภัยต่อหุ่นยนต์ยุคใหม่

    NVIDIA ได้ออกประกาศเตือนเกี่ยวกับช่องโหว่ร้ายแรงในแพลตฟอร์ม Isaac-GROOT ซึ่งเป็น foundation model สำหรับการ reasoning และทักษะของหุ่นยนต์ humanoid ช่องโหว่ที่ถูกค้นพบคือ CVE-2025-33183 และ CVE-2025-33184 โดยทั้งคู่มีคะแนนความรุนแรงสูง (CVSS 7.8) และเกิดจากการจัดการโค้ดในคอมโพเนนต์ Python ที่ไม่ปลอดภัย

    กลไกการโจมตี
    ผู้โจมตีสามารถใช้ช่องโหว่นี้เพื่อทำ Code Injection ซึ่งจะเปิดทางให้รันโค้ดอันตรายบนระบบที่ใช้ Isaac-GROOT ได้ทันที ผลลัพธ์คือการ ยกระดับสิทธิ์ (Privilege Escalation), การเปิดเผยข้อมูล (Information Disclosure) และ การแก้ไขข้อมูล (Data Tampering) ซึ่งอาจกระทบต่อการทำงานของหุ่นยนต์และระบบที่เชื่อมต่อ

    ผลกระทบต่อวงการ Robotics
    เนื่องจาก Isaac-GROOT ถูกใช้เป็นฐานในการพัฒนาหุ่นยนต์รุ่นใหม่ ช่องโหว่นี้จึงเป็นภัยต่อทั้งนักวิจัยและนักพัฒนาในอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ หากระบบถูกโจมตี หุ่นยนต์อาจถูกควบคุมจากระยะไกลหรือทำงานผิดพลาด ซึ่งอาจนำไปสู่ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยทั้งในโรงงาน, การแพทย์, โลจิสติกส์ และการใช้งานทั่วไป

    แนวทางแก้ไข
    NVIDIA แนะนำให้ผู้ใช้ อัปเดต Isaac-GROOT ไปยังเวอร์ชันที่มี commit 7f53666 ซึ่งเป็นการแก้ไขช่องโหว่แล้ว และควรตรวจสอบระบบที่ใช้งานอยู่เพื่อป้องกันการถูกโจมตีเพิ่มเติม

    สรุปสาระสำคัญและคำเตือน
    รายละเอียดช่องโหว่
    CVE-2025-33183 และ CVE-2025-33184
    เกิดจากคอมโพเนนต์ Python ที่ไม่ปลอดภัย

    ผลกระทบ
    รันโค้ดอันตรายผ่าน Code Injection
    ยกระดับสิทธิ์, เปิดเผยข้อมูล, แก้ไขข้อมูล

    แนวทางแก้ไข
    อัปเดต Isaac-GROOT ให้รวม commit 7f53666
    ตรวจสอบระบบที่ใช้งานอยู่

    คำเตือน
    หุ่นยนต์ที่ใช้ Isaac-GROOT เสี่ยงถูกควบคุมจากระยะไกล
    อุตสาหกรรมที่พึ่งพาหุ่นยนต์ เช่น โลจิสติกส์และการแพทย์ อาจได้รับผลกระทบ
    หากไม่อัปเดต อาจเกิดการโจมตีซ้ำและข้อมูลรั่วไหล

    https://securityonline.info/code-injection-flaws-threaten-nvidias-isaac-groot-robotics-platform/
    🤖 ช่องโหว่ Isaac-GROOT: ภัยต่อหุ่นยนต์ยุคใหม่ NVIDIA ได้ออกประกาศเตือนเกี่ยวกับช่องโหว่ร้ายแรงในแพลตฟอร์ม Isaac-GROOT ซึ่งเป็น foundation model สำหรับการ reasoning และทักษะของหุ่นยนต์ humanoid ช่องโหว่ที่ถูกค้นพบคือ CVE-2025-33183 และ CVE-2025-33184 โดยทั้งคู่มีคะแนนความรุนแรงสูง (CVSS 7.8) และเกิดจากการจัดการโค้ดในคอมโพเนนต์ Python ที่ไม่ปลอดภัย 🧩 กลไกการโจมตี ผู้โจมตีสามารถใช้ช่องโหว่นี้เพื่อทำ Code Injection ซึ่งจะเปิดทางให้รันโค้ดอันตรายบนระบบที่ใช้ Isaac-GROOT ได้ทันที ผลลัพธ์คือการ ยกระดับสิทธิ์ (Privilege Escalation), การเปิดเผยข้อมูล (Information Disclosure) และ การแก้ไขข้อมูล (Data Tampering) ซึ่งอาจกระทบต่อการทำงานของหุ่นยนต์และระบบที่เชื่อมต่อ 🌐 ผลกระทบต่อวงการ Robotics เนื่องจาก Isaac-GROOT ถูกใช้เป็นฐานในการพัฒนาหุ่นยนต์รุ่นใหม่ ช่องโหว่นี้จึงเป็นภัยต่อทั้งนักวิจัยและนักพัฒนาในอุตสาหกรรมหุ่นยนต์ หากระบบถูกโจมตี หุ่นยนต์อาจถูกควบคุมจากระยะไกลหรือทำงานผิดพลาด ซึ่งอาจนำไปสู่ความเสี่ยงด้านความปลอดภัยทั้งในโรงงาน, การแพทย์, โลจิสติกส์ และการใช้งานทั่วไป 🔒 แนวทางแก้ไข NVIDIA แนะนำให้ผู้ใช้ อัปเดต Isaac-GROOT ไปยังเวอร์ชันที่มี commit 7f53666 ซึ่งเป็นการแก้ไขช่องโหว่แล้ว และควรตรวจสอบระบบที่ใช้งานอยู่เพื่อป้องกันการถูกโจมตีเพิ่มเติม 📌 สรุปสาระสำคัญและคำเตือน ✅ รายละเอียดช่องโหว่ ➡️ CVE-2025-33183 และ CVE-2025-33184 ➡️ เกิดจากคอมโพเนนต์ Python ที่ไม่ปลอดภัย ✅ ผลกระทบ ➡️ รันโค้ดอันตรายผ่าน Code Injection ➡️ ยกระดับสิทธิ์, เปิดเผยข้อมูล, แก้ไขข้อมูล ✅ แนวทางแก้ไข ➡️ อัปเดต Isaac-GROOT ให้รวม commit 7f53666 ➡️ ตรวจสอบระบบที่ใช้งานอยู่ ‼️ คำเตือน ⛔ หุ่นยนต์ที่ใช้ Isaac-GROOT เสี่ยงถูกควบคุมจากระยะไกล ⛔ อุตสาหกรรมที่พึ่งพาหุ่นยนต์ เช่น โลจิสติกส์และการแพทย์ อาจได้รับผลกระทบ ⛔ หากไม่อัปเดต อาจเกิดการโจมตีซ้ำและข้อมูลรั่วไหล https://securityonline.info/code-injection-flaws-threaten-nvidias-isaac-groot-robotics-platform/
    SECURITYONLINE.INFO
    Code Injection Flaws Threaten NVIDIA's Isaac-GROOT Robotics Platform
    NVIDIA patches two high-severity code injection flaws (CVE-2025-33183/4) in Isaac-GROOT, risking code execution & privilege escalation in robotics.
    0 Comments 0 Shares 82 Views 0 Reviews
  • Windows 11 เตรียมเพิ่มฟีเจอร์ AI Agent ที่ทำงานเบื้องหลัง พร้อมสิทธิ์เข้าถึงโฟลเดอร์ส่วนตัว – แต่มีคำเตือนด้านความปลอดภัย

    Microsoft กำลังทดลองฟีเจอร์ใหม่ใน Windows 11 ที่เรียกว่า Agent Workspace ซึ่งออกแบบมาเพื่อให้ AI Agent สามารถทำงานเบื้องหลังได้ตลอดเวลา โดยมีสิทธิ์เข้าถึงโฟลเดอร์ที่ใช้บ่อย เช่น Desktop, Documents, Downloads, Pictures, Music และ Videos ฟีเจอร์นี้ถูกเปิดให้ทดสอบใน Windows Insider Dev และ Beta Channel ผ่านการตั้งค่า “Experimental agentic features” ในหน้า AI Components ของระบบ

    Agent Workspace ทำงานคล้ายกับ Windows Sandbox แต่แตกต่างตรงที่ Agent จะมี บัญชีผู้ใช้และเดสก์ท็อปของตัวเอง สามารถคลิก เปิดแอป และจัดการไฟล์ได้โดยตรงในพื้นที่แยกต่างหาก ขณะเดียวกันผู้ใช้ยังสามารถตรวจสอบ log การทำงานของ Agent ได้ เพื่อเพิ่มความโปร่งใสและการควบคุม

    อย่างไรก็ตาม Microsoft เองก็เตือนว่า ฟีเจอร์นี้อาจสร้าง ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย เนื่องจาก Agent ได้รับสิทธิ์อ่านและเขียนไฟล์ในโฟลเดอร์ส่วนตัว หากมีการใช้งานผิดพลาดหรือถูกโจมตี อาจทำให้ข้อมูลรั่วไหลได้ แม้จะมีการออกแบบให้ทำงานแบบ runtime isolation และมีการกำหนดสิทธิ์แยกสำหรับแต่ละ Agent แต่ก็ยังมีข้อกังวลเรื่องการใช้ทรัพยากรเครื่องและความปลอดภัยของข้อมูล

    การเปิดตัว Agent Workspace ถือเป็นสัญญาณว่า Microsoft กำลังผลักดัน Windows 11 ให้เป็น AI-Native OS อย่างจริงจัง แม้จะมีเสียงวิจารณ์จากผู้ใช้จำนวนมากที่กังวลเรื่องความปลอดภัยและการพึ่งพา AI มากเกินไป แต่บริษัทก็ยืนยันว่าจะปรับปรุงโมเดลความปลอดภัยและความโปร่งใสเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในอนาคต

    สรุปสาระสำคัญ
    Agent Workspace เปิดตัวใน Windows 11
    ให้ AI Agent ทำงานเบื้องหลังพร้อมสิทธิ์เข้าถึงโฟลเดอร์ส่วนตัว

    ทำงานคล้าย Sandbox แต่มีเดสก์ท็อปและบัญชีแยก
    ผู้ใช้สามารถตรวจสอบ log และควบคุมสิทธิ์ของ Agent ได้

    เปิดให้ทดสอบใน Insider Dev และ Beta Channel
    ผ่านการตั้งค่า Experimental agentic features

    ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย
    Agent มีสิทธิ์อ่าน/เขียนไฟล์ในโฟลเดอร์ส่วนตัว อาจเสี่ยงข้อมูลรั่วไหล

    ผลกระทบต่อประสิทธิภาพเครื่อง
    Agent ทำงานตลอดเวลา อาจใช้ RAM และ CPU เพิ่มขึ้น

    https://www.windowslatest.com/2025/11/18/windows-11-to-add-an-ai-agent-that-runs-in-background-with-access-to-personal-folders-warns-of-security-risk/
    🪟⚠️ Windows 11 เตรียมเพิ่มฟีเจอร์ AI Agent ที่ทำงานเบื้องหลัง พร้อมสิทธิ์เข้าถึงโฟลเดอร์ส่วนตัว – แต่มีคำเตือนด้านความปลอดภัย Microsoft กำลังทดลองฟีเจอร์ใหม่ใน Windows 11 ที่เรียกว่า Agent Workspace ซึ่งออกแบบมาเพื่อให้ AI Agent สามารถทำงานเบื้องหลังได้ตลอดเวลา โดยมีสิทธิ์เข้าถึงโฟลเดอร์ที่ใช้บ่อย เช่น Desktop, Documents, Downloads, Pictures, Music และ Videos ฟีเจอร์นี้ถูกเปิดให้ทดสอบใน Windows Insider Dev และ Beta Channel ผ่านการตั้งค่า “Experimental agentic features” ในหน้า AI Components ของระบบ Agent Workspace ทำงานคล้ายกับ Windows Sandbox แต่แตกต่างตรงที่ Agent จะมี บัญชีผู้ใช้และเดสก์ท็อปของตัวเอง สามารถคลิก เปิดแอป และจัดการไฟล์ได้โดยตรงในพื้นที่แยกต่างหาก ขณะเดียวกันผู้ใช้ยังสามารถตรวจสอบ log การทำงานของ Agent ได้ เพื่อเพิ่มความโปร่งใสและการควบคุม อย่างไรก็ตาม Microsoft เองก็เตือนว่า ฟีเจอร์นี้อาจสร้าง ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย เนื่องจาก Agent ได้รับสิทธิ์อ่านและเขียนไฟล์ในโฟลเดอร์ส่วนตัว หากมีการใช้งานผิดพลาดหรือถูกโจมตี อาจทำให้ข้อมูลรั่วไหลได้ แม้จะมีการออกแบบให้ทำงานแบบ runtime isolation และมีการกำหนดสิทธิ์แยกสำหรับแต่ละ Agent แต่ก็ยังมีข้อกังวลเรื่องการใช้ทรัพยากรเครื่องและความปลอดภัยของข้อมูล การเปิดตัว Agent Workspace ถือเป็นสัญญาณว่า Microsoft กำลังผลักดัน Windows 11 ให้เป็น AI-Native OS อย่างจริงจัง แม้จะมีเสียงวิจารณ์จากผู้ใช้จำนวนมากที่กังวลเรื่องความปลอดภัยและการพึ่งพา AI มากเกินไป แต่บริษัทก็ยืนยันว่าจะปรับปรุงโมเดลความปลอดภัยและความโปร่งใสเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในอนาคต 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ Agent Workspace เปิดตัวใน Windows 11 ➡️ ให้ AI Agent ทำงานเบื้องหลังพร้อมสิทธิ์เข้าถึงโฟลเดอร์ส่วนตัว ✅ ทำงานคล้าย Sandbox แต่มีเดสก์ท็อปและบัญชีแยก ➡️ ผู้ใช้สามารถตรวจสอบ log และควบคุมสิทธิ์ของ Agent ได้ ✅ เปิดให้ทดสอบใน Insider Dev และ Beta Channel ➡️ ผ่านการตั้งค่า Experimental agentic features ‼️ ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย ⛔ Agent มีสิทธิ์อ่าน/เขียนไฟล์ในโฟลเดอร์ส่วนตัว อาจเสี่ยงข้อมูลรั่วไหล ‼️ ผลกระทบต่อประสิทธิภาพเครื่อง ⛔ Agent ทำงานตลอดเวลา อาจใช้ RAM และ CPU เพิ่มขึ้น https://www.windowslatest.com/2025/11/18/windows-11-to-add-an-ai-agent-that-runs-in-background-with-access-to-personal-folders-warns-of-security-risk/
    WWW.WINDOWSLATEST.COM
    Windows 11 to add an AI agent that runs in background with access to personal folders, warns of security risk
    Microsoft is moving forward with its plans to turn Windows 11 into a full-fledged “AI” operating system amidst Copilot backlash. The first big move in that direction is an experimental feature called “Agent Workspace,” which gives AI agents access to the most-used folders in your directory, such as Desktop, Music, Pictures, and Videos. It will […]
    0 Comments 0 Shares 169 Views 0 Reviews
  • SecurityMetrics คว้ารางวัลใหญ่ด้าน Cybersecurity

    SecurityMetrics ได้รับรางวัล “Data Leak Detection Solution of the Year” จากงาน CyberSecurity Breakthrough Awards 2025 โดยผลงานที่โดดเด่นคือ Shopping Cart Inspect (SCI) ซึ่งช่วยตรวจจับการโจมตีแบบ web skimming ที่มักเกิดขึ้นกับเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ

    จุดเด่นของ Shopping Cart Inspect (SCI)
    SCI ใช้เทคโนโลยี WIM (Web Inject Monitoring) ที่สามารถตรวจจับการโจมตีด้วย JavaScript ได้ทันทีที่เกิดขึ้น โดยทีม Forensic Analysts ของ SecurityMetrics จะทำการตรวจสอบโค้ดที่รันบนหน้าเว็บ เพื่อหาหลักฐานการโจมตีและสร้างรายงานความเสี่ยงที่จัดลำดับตามมาตรฐาน CVSS พร้อมคำแนะนำในการแก้ไข

    ผลกระทบต่อธุรกิจอีคอมเมิร์ซ
    การโจมตีแบบ web skimming เป็นภัยที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะกับร้านค้าออนไลน์ที่ใช้ระบบตะกร้าสินค้า SCI ช่วยให้ธุรกิจสามารถตรวจจับและแก้ไขได้โดยไม่กระทบต่อการดำเนินงาน ทำให้ลูกค้ามั่นใจในความปลอดภัยของข้อมูลการชำระเงิน และช่วยลดความเสี่ยงต่อการสูญเสียชื่อเสียงและรายได้

    ความสำคัญในระดับโลก
    งาน CyberSecurity Breakthrough Awards มีผู้เข้าร่วมจากกว่า 20 ประเทศ และ SCI ถูกเลือกให้เป็นโซลูชันที่โดดเด่นที่สุดในปีนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการป้องกันข้อมูลรั่วไหลในยุคที่ธุรกิจออนไลน์เติบโตอย่างรวดเร็ว และภัยคุกคามไซเบอร์มีความซับซ้อนมากขึ้น

    สรุปสาระสำคัญ
    รางวัลที่ได้รับ
    SecurityMetrics ได้รับรางวัล “Data Leak Detection Solution of the Year” ปี 2025
    มอบโดย CyberSecurity Breakthrough Awards

    จุดเด่นของ SCI
    ใช้ WIM Technology ตรวจจับ web skimming แบบ real-time
    ทีม Forensic Analysts ตรวจสอบโค้ดและสร้างรายงานความเสี่ยงตาม CVSS

    ผลกระทบต่อธุรกิจ
    ป้องกันข้อมูลการชำระเงินรั่วไหล
    ลดความเสี่ยงต่อชื่อเสียงและรายได้ของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ

    คำเตือนจากเหตุการณ์
    ร้านค้าออนไลน์ที่ไม่ตรวจสอบระบบตะกร้าสินค้าเสี่ยงต่อการถูกโจมตี
    การโจมตี web skimming มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นและซับซ้อนขึ้น
    ธุรกิจควรมีระบบตรวจจับและทีมผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับมืออย่างต่อเนื่อง

    https://securityonline.info/securitymetrics-wins-data-leak-detection-solution-of-the-year-in-2025-cybersecurity-breakthrough-awards-program/
    🏆 SecurityMetrics คว้ารางวัลใหญ่ด้าน Cybersecurity SecurityMetrics ได้รับรางวัล “Data Leak Detection Solution of the Year” จากงาน CyberSecurity Breakthrough Awards 2025 โดยผลงานที่โดดเด่นคือ Shopping Cart Inspect (SCI) ซึ่งช่วยตรวจจับการโจมตีแบบ web skimming ที่มักเกิดขึ้นกับเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ 🔍 จุดเด่นของ Shopping Cart Inspect (SCI) SCI ใช้เทคโนโลยี WIM (Web Inject Monitoring) ที่สามารถตรวจจับการโจมตีด้วย JavaScript ได้ทันทีที่เกิดขึ้น โดยทีม Forensic Analysts ของ SecurityMetrics จะทำการตรวจสอบโค้ดที่รันบนหน้าเว็บ เพื่อหาหลักฐานการโจมตีและสร้างรายงานความเสี่ยงที่จัดลำดับตามมาตรฐาน CVSS พร้อมคำแนะนำในการแก้ไข 🛡️ ผลกระทบต่อธุรกิจอีคอมเมิร์ซ การโจมตีแบบ web skimming เป็นภัยที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะกับร้านค้าออนไลน์ที่ใช้ระบบตะกร้าสินค้า SCI ช่วยให้ธุรกิจสามารถตรวจจับและแก้ไขได้โดยไม่กระทบต่อการดำเนินงาน ทำให้ลูกค้ามั่นใจในความปลอดภัยของข้อมูลการชำระเงิน และช่วยลดความเสี่ยงต่อการสูญเสียชื่อเสียงและรายได้ 🌐 ความสำคัญในระดับโลก งาน CyberSecurity Breakthrough Awards มีผู้เข้าร่วมจากกว่า 20 ประเทศ และ SCI ถูกเลือกให้เป็นโซลูชันที่โดดเด่นที่สุดในปีนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการป้องกันข้อมูลรั่วไหลในยุคที่ธุรกิจออนไลน์เติบโตอย่างรวดเร็ว และภัยคุกคามไซเบอร์มีความซับซ้อนมากขึ้น 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ รางวัลที่ได้รับ ➡️ SecurityMetrics ได้รับรางวัล “Data Leak Detection Solution of the Year” ปี 2025 ➡️ มอบโดย CyberSecurity Breakthrough Awards ✅ จุดเด่นของ SCI ➡️ ใช้ WIM Technology ตรวจจับ web skimming แบบ real-time ➡️ ทีม Forensic Analysts ตรวจสอบโค้ดและสร้างรายงานความเสี่ยงตาม CVSS ✅ ผลกระทบต่อธุรกิจ ➡️ ป้องกันข้อมูลการชำระเงินรั่วไหล ➡️ ลดความเสี่ยงต่อชื่อเสียงและรายได้ของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ‼️ คำเตือนจากเหตุการณ์ ⛔ ร้านค้าออนไลน์ที่ไม่ตรวจสอบระบบตะกร้าสินค้าเสี่ยงต่อการถูกโจมตี ⛔ การโจมตี web skimming มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นและซับซ้อนขึ้น ⛔ ธุรกิจควรมีระบบตรวจจับและทีมผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับมืออย่างต่อเนื่อง https://securityonline.info/securitymetrics-wins-data-leak-detection-solution-of-the-year-in-2025-cybersecurity-breakthrough-awards-program/
    0 Comments 0 Shares 170 Views 0 Reviews
  • SpyCloud เผย 10 แนวโน้มภัยไซเบอร์ปี 2026

    SpyCloud ได้เปิดรายงานใหม่ที่ชื่อว่า The Identity Security Reckoning: 2025 Lessons, 2026 Predictions โดยเน้นไปที่ภัยคุกคามด้าน Identity Security ที่จะส่งผลกระทบต่อองค์กรทั่วโลกในปี 2026 รายงานนี้ชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของกลยุทธ์อาชญากรไซเบอร์และการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ทำให้การป้องกันยากขึ้น

    นี่คือ 10 แนวโน้มภัยไซเบอร์ปี 2026 ที่ SpyCloud คาดการณ์ว่าจะส่งผลกระทบต่อ Identity Security โดยตรง:

    0️⃣1️⃣ - Supply Chain อาชญากรไซเบอร์เปลี่ยนรูปแบบ
    Malware-as-a-Service และ Phishing-as-a-Service จะยังคงเป็นแกนหลัก
    มีการแบ่งบทบาทเฉพาะ เช่น ผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐาน, นักพัฒนาเครื่องมือ, ตัวกลางขายการเข้าถึง

    0️⃣2️⃣ - ชุมชนผู้โจมตีแตกตัวและอายุน้อยลง
    ผู้โจมตีย้ายจาก darknet forums ไปสู่แอป mainstream
    วัยรุ่นเข้ามาทดลองใช้ชุดโจมตีสำเร็จรูปเพื่อชื่อเสียงหรือผลกำไร

    0️⃣3️⃣ - การระบุตัวตนแบบไม่ใช่มนุษย์ (NHI) ระเบิดตัว
    API, OAuth tokens และ service accounts เพิ่มจำนวนมากขึ้น
    ขาดการป้องกันเหมือนบัญชีมนุษย์ ทำให้เกิดช่องโหว่ซ่อนอยู่

    0️⃣4️⃣ - ภัยจาก Insider Threats เพิ่มขึ้น
    เกิดจากการควบรวมกิจการ (M&A), มัลแวร์ และการเข้าถึงที่ผิดพลาด
    Nation-state actors ใช้การปลอมตัวเป็นพนักงานเพื่อเจาะระบบ

    0️⃣5️⃣ - AI-enabled Cybercrime เริ่มต้นจริงจัง
    ใช้ AI สร้างมัลแวร์ที่ซับซ้อนขึ้น
    Phishing ที่สมจริงและตรวจจับยากมากขึ้น

    0️⃣6️⃣ - การโจมตี MFA และ Session Defense
    ใช้ residential proxies, anti-detect browsers และ Adversary-in-the-Middle (AiTM)
    ขโมย cookies และ bypass การตรวจสอบอุปกรณ์

    0️⃣7️⃣ - Vendor และ Contractor กลายเป็นช่องโหว่หลัก
    ผู้โจมตีใช้บัญชีของผู้รับเหมาหรือพันธมิตรเพื่อเข้าถึงระบบองค์กร
    โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี, โทรคมนาคม และซัพพลายเชนซอฟต์แวร์

    0️⃣8️⃣ - 🪪 Synthetic Identities ฉลาดขึ้นและตรวจจับยากขึ้น
    ใช้ข้อมูลจริงผสมกับ AI-generated persona และ deepfake
    หลอกระบบตรวจสอบตัวตนของธนาคารและบริการทางการเงิน

    0️⃣9️⃣ - Combolists และ Megabreaches สร้างความสับสน
    ข้อมูลรั่วไหลจำนวนมหาศาลถูกนำมาปั่นใหม่เพื่อสร้างความตื่นตระหนก
    ทำให้ความสนใจถูกเบี่ยงเบนจากภัยจริงที่กำลังเกิดขึ้น

    1️⃣0️⃣ - ทีม Cybersecurity ต้องปรับโครงสร้างใหม่
    Identity Security จะกลายเป็นแกนกลางของการป้องกัน
    ต้องเน้นการทำงานร่วมกันข้ามทีม, ใช้ automation และ holistic intelligence

    https://securityonline.info/spycloud-unveils-top-10-cybersecurity-predictions-poised-to-disrupt-identity-security-in-2026/
    🔐 SpyCloud เผย 10 แนวโน้มภัยไซเบอร์ปี 2026 SpyCloud ได้เปิดรายงานใหม่ที่ชื่อว่า The Identity Security Reckoning: 2025 Lessons, 2026 Predictions โดยเน้นไปที่ภัยคุกคามด้าน Identity Security ที่จะส่งผลกระทบต่อองค์กรทั่วโลกในปี 2026 รายงานนี้ชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของกลยุทธ์อาชญากรไซเบอร์และการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ทำให้การป้องกันยากขึ้น นี่คือ 10 แนวโน้มภัยไซเบอร์ปี 2026 ที่ SpyCloud คาดการณ์ว่าจะส่งผลกระทบต่อ Identity Security โดยตรง: 0️⃣1️⃣ - 🧩 Supply Chain อาชญากรไซเบอร์เปลี่ยนรูปแบบ 🔰 Malware-as-a-Service และ Phishing-as-a-Service จะยังคงเป็นแกนหลัก 🔰 มีการแบ่งบทบาทเฉพาะ เช่น ผู้ให้บริการโครงสร้างพื้นฐาน, นักพัฒนาเครื่องมือ, ตัวกลางขายการเข้าถึง 0️⃣2️⃣ - 👥 ชุมชนผู้โจมตีแตกตัวและอายุน้อยลง 🔰 ผู้โจมตีย้ายจาก darknet forums ไปสู่แอป mainstream 🔰 วัยรุ่นเข้ามาทดลองใช้ชุดโจมตีสำเร็จรูปเพื่อชื่อเสียงหรือผลกำไร 0️⃣3️⃣ - 🤖 การระบุตัวตนแบบไม่ใช่มนุษย์ (NHI) ระเบิดตัว 🔰 API, OAuth tokens และ service accounts เพิ่มจำนวนมากขึ้น 🔰 ขาดการป้องกันเหมือนบัญชีมนุษย์ ทำให้เกิดช่องโหว่ซ่อนอยู่ 0️⃣4️⃣ - 🕵️‍♀️ ภัยจาก Insider Threats เพิ่มขึ้น 🔰 เกิดจากการควบรวมกิจการ (M&A), มัลแวร์ และการเข้าถึงที่ผิดพลาด 🔰 Nation-state actors ใช้การปลอมตัวเป็นพนักงานเพื่อเจาะระบบ 0️⃣5️⃣ - ⚡ AI-enabled Cybercrime เริ่มต้นจริงจัง 🔰 ใช้ AI สร้างมัลแวร์ที่ซับซ้อนขึ้น 🔰 Phishing ที่สมจริงและตรวจจับยากมากขึ้น 0️⃣6️⃣ - 🔑 การโจมตี MFA และ Session Defense 🔰 ใช้ residential proxies, anti-detect browsers และ Adversary-in-the-Middle (AiTM) 🔰 ขโมย cookies และ bypass การตรวจสอบอุปกรณ์ 0️⃣7️⃣ - 🏗️ Vendor และ Contractor กลายเป็นช่องโหว่หลัก 🔰 ผู้โจมตีใช้บัญชีของผู้รับเหมาหรือพันธมิตรเพื่อเข้าถึงระบบองค์กร 🔰 โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี, โทรคมนาคม และซัพพลายเชนซอฟต์แวร์ 0️⃣8️⃣ - 🪪 Synthetic Identities ฉลาดขึ้นและตรวจจับยากขึ้น 🔰 ใช้ข้อมูลจริงผสมกับ AI-generated persona และ deepfake 🔰 หลอกระบบตรวจสอบตัวตนของธนาคารและบริการทางการเงิน 0️⃣9️⃣ - 📊 Combolists และ Megabreaches สร้างความสับสน 🔰 ข้อมูลรั่วไหลจำนวนมหาศาลถูกนำมาปั่นใหม่เพื่อสร้างความตื่นตระหนก 🔰 ทำให้ความสนใจถูกเบี่ยงเบนจากภัยจริงที่กำลังเกิดขึ้น 1️⃣0️⃣ - 🛡️ ทีม Cybersecurity ต้องปรับโครงสร้างใหม่ 🔰 Identity Security จะกลายเป็นแกนกลางของการป้องกัน 🔰 ต้องเน้นการทำงานร่วมกันข้ามทีม, ใช้ automation และ holistic intelligence https://securityonline.info/spycloud-unveils-top-10-cybersecurity-predictions-poised-to-disrupt-identity-security-in-2026/
    0 Comments 0 Shares 193 Views 0 Reviews
  • “Intel Granite Rapids-WS รั่วไหล – Xeon 654 18-Core ทำคะแนนแรงใน Geekbench”

    Intel กำลังเตรียมเปิดตัวซีพียูเวิร์กสเตชันตระกูล Granite Rapids-WS ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อแข่งขันกับ AMD Threadripper 9000WX โดยข้อมูลจาก leaker momomo_us ระบุว่าจะมีอย่างน้อย 11 รุ่น ตั้งแต่ Xeon 634 รุ่นเล็กไปจนถึง Xeon 698X รุ่นท็อปที่มีแคชรวม 336MB

    หนึ่งในรุ่นที่ถูกทดสอบแล้วคือ Xeon 654 ซึ่งมี 18 คอร์ 32 เธรด ทำคะแนน 2,634 คะแนนใน single-core และ 14,743 คะแนนใน multi-core บน Geekbench โดยมีความเร็วบูสต์สูงสุดถึง 4.77 GHz แม้จะมีแคชเพียง 72MB แต่ก็ถือว่ามีประสิทธิภาพสูงเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า

    Granite Rapids-WS ใช้กระบวนการผลิต Intel 3 และทำงานบนแพลตฟอร์ม W980 โดยใช้การออกแบบแบบ สาม compute tiles ทำให้สามารถรองรับจำนวนคอร์สูงสุดถึง 128 คอร์ ซึ่งมากกว่า AMD Threadripper 9995WX ที่มี 96 คอร์ แต่ยังตามหลัง AMD EPYC 9965 ในตลาดเซิร์ฟเวอร์

    สรุปสาระสำคัญ
    ข้อมูลรั่วไหลของ Granite Rapids-WS
    มีอย่างน้อย 11 รุ่น ตั้งแต่ Xeon 634 ถึง Xeon 698X
    ใช้แพลตฟอร์ม W980 และผลิตด้วย Intel 3

    Xeon 654 ที่ถูกทดสอบ
    18 คอร์ 32 เธรด
    คะแนน Geekbench: 2,634 (single-core), 14,743 (multi-core)
    ความเร็วบูสต์สูงสุด 4.77 GHz

    เป้าหมายการแข่งขัน
    ออกแบบมาเพื่อท้าชน AMD Threadripper 9000WX
    สามารถรองรับสูงสุด 128 คอร์ มากกว่า Threadripper 9995WX (96 คอร์)

    ข้อควรระวัง
    แม้จะเหนือกว่าในจำนวนคอร์ แต่ยังตามหลัง AMD EPYC ในตลาดเซิร์ฟเวอร์
    แคชที่ลดลงอาจกระทบต่อบางงานที่ต้องการหน่วยความจำมาก
    ยังเป็นข้อมูลรั่วไหล ต้องรอการเปิดตัวจริงเพื่อยืนยันสเปก

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intels-next-gen-granite-rapids-ws-server-cpu-lineup-leaked-xeon-654-18-core-chip-posts-solid-numbers-in-early-geekbench-listing
    🖥️ “Intel Granite Rapids-WS รั่วไหล – Xeon 654 18-Core ทำคะแนนแรงใน Geekbench” Intel กำลังเตรียมเปิดตัวซีพียูเวิร์กสเตชันตระกูล Granite Rapids-WS ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อแข่งขันกับ AMD Threadripper 9000WX โดยข้อมูลจาก leaker momomo_us ระบุว่าจะมีอย่างน้อย 11 รุ่น ตั้งแต่ Xeon 634 รุ่นเล็กไปจนถึง Xeon 698X รุ่นท็อปที่มีแคชรวม 336MB หนึ่งในรุ่นที่ถูกทดสอบแล้วคือ Xeon 654 ซึ่งมี 18 คอร์ 32 เธรด ทำคะแนน 2,634 คะแนนใน single-core และ 14,743 คะแนนใน multi-core บน Geekbench โดยมีความเร็วบูสต์สูงสุดถึง 4.77 GHz แม้จะมีแคชเพียง 72MB แต่ก็ถือว่ามีประสิทธิภาพสูงเมื่อเทียบกับรุ่นก่อนหน้า Granite Rapids-WS ใช้กระบวนการผลิต Intel 3 และทำงานบนแพลตฟอร์ม W980 โดยใช้การออกแบบแบบ สาม compute tiles ทำให้สามารถรองรับจำนวนคอร์สูงสุดถึง 128 คอร์ ซึ่งมากกว่า AMD Threadripper 9995WX ที่มี 96 คอร์ แต่ยังตามหลัง AMD EPYC 9965 ในตลาดเซิร์ฟเวอร์ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ข้อมูลรั่วไหลของ Granite Rapids-WS ➡️ มีอย่างน้อย 11 รุ่น ตั้งแต่ Xeon 634 ถึง Xeon 698X ➡️ ใช้แพลตฟอร์ม W980 และผลิตด้วย Intel 3 ✅ Xeon 654 ที่ถูกทดสอบ ➡️ 18 คอร์ 32 เธรด ➡️ คะแนน Geekbench: 2,634 (single-core), 14,743 (multi-core) ➡️ ความเร็วบูสต์สูงสุด 4.77 GHz ✅ เป้าหมายการแข่งขัน ➡️ ออกแบบมาเพื่อท้าชน AMD Threadripper 9000WX ➡️ สามารถรองรับสูงสุด 128 คอร์ มากกว่า Threadripper 9995WX (96 คอร์) ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ แม้จะเหนือกว่าในจำนวนคอร์ แต่ยังตามหลัง AMD EPYC ในตลาดเซิร์ฟเวอร์ ⛔ แคชที่ลดลงอาจกระทบต่อบางงานที่ต้องการหน่วยความจำมาก ⛔ ยังเป็นข้อมูลรั่วไหล ต้องรอการเปิดตัวจริงเพื่อยืนยันสเปก https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/intels-next-gen-granite-rapids-ws-server-cpu-lineup-leaked-xeon-654-18-core-chip-posts-solid-numbers-in-early-geekbench-listing
    0 Comments 0 Shares 171 Views 0 Reviews
  • ข้อมูลรั่วไหลจาก AIPAC – กระทบผู้ใช้งานหลายร้อยราย

    องค์กร AIPAC (American Israel Public Affairs Committee) เปิดเผยว่าเกิดเหตุ ข้อมูลรั่วไหล (data breach) หลังมีการเข้าถึงระบบจากบุคคลภายนอกโดยไม่ได้รับอนุญาต เหตุการณ์นี้ถูกตรวจพบเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2025 และพบว่ามีการเข้าถึงไฟล์ตั้งแต่ ตุลาคม 2024 ถึงกุมภาพันธ์ 2025

    รายละเอียดการรั่วไหล
    ไฟล์ที่ถูกเข้าถึงมีข้อมูลระบุตัวบุคคล (Personally Identifiable Information – PII) เช่น ชื่อ, ที่อยู่, อีเมล, หมายเลขบัตรประชาชน, พาสปอร์ต, ข้อมูลการชำระเงิน และข้อมูลธนาคาร รวมถึงข้อมูลที่อาจใช้ในการโจรกรรมทางการเงินหรือการปลอมแปลงตัวตน เหตุการณ์นี้ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้งาน 810 คน โดยมีผู้ที่อาศัยอยู่ในรัฐ Maine รวมอยู่ด้วย

    การตอบสนองของ AIPAC
    องค์กรได้เริ่มแจ้งผู้ที่ได้รับผลกระทบตั้งแต่วันที่ 13 พฤศจิกายน 2025 และยืนยันว่า ยังไม่พบหลักฐานการนำข้อมูลไปใช้ในทางที่ผิด อย่างไรก็ตาม เพื่อความปลอดภัย AIPAC ได้เสนอแพ็กเกจ Identity Protection ผ่าน IDX เป็นเวลา 12 เดือน ครอบคลุมการตรวจสอบเครดิต, CyberScan monitoring, ประกันภัย และบริการกู้คืนตัวตน

    มาตรการเสริมความปลอดภัย
    หลังเหตุการณ์นี้ AIPAC ได้เพิ่มมาตรการใหม่ เช่น posture controls, non-human identity controls, email data loss prevention, Microsoft 365 access controls, privilege alerts, geolocation restrictions และ audit functions เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำอีก

    รายละเอียดเหตุการณ์
    เกิดการเข้าถึงไฟล์โดยไม่ได้รับอนุญาตระหว่าง ต.ค. 2024 – ก.พ. 2025
    ข้อมูลที่รั่วไหลรวมถึง PII และข้อมูลทางการเงิน
    ผู้ได้รับผลกระทบรวม 810 คน

    การตอบสนองของ AIPAC
    แจ้งผู้ได้รับผลกระทบตั้งแต่ 13 พ.ย. 2025
    เสนอแพ็กเกจ Identity Protection ฟรี 12 เดือน

    มาตรการใหม่เพื่อความปลอดภัย
    เพิ่มระบบตรวจสอบสิทธิ์, การป้องกันข้อมูลสูญหาย และการจำกัดการเข้าถึง

    คำเตือนและความเสี่ยง
    ข้อมูลที่รั่วไหลอาจถูกนำไปใช้ในการโจรกรรมทางการเงินหรือปลอมแปลงตัวตน
    แม้ยังไม่พบการใช้งานข้อมูล แต่ความเสี่ยงยังคงอยู่
    ผู้ได้รับผลกระทบควรตรวจสอบเครดิตและธุรกรรมทางการเงินอย่างต่อเนื่อง

    https://hackread.com/aipac-data-breach-hundreds-affected/
    🔓 ข้อมูลรั่วไหลจาก AIPAC – กระทบผู้ใช้งานหลายร้อยราย องค์กร AIPAC (American Israel Public Affairs Committee) เปิดเผยว่าเกิดเหตุ ข้อมูลรั่วไหล (data breach) หลังมีการเข้าถึงระบบจากบุคคลภายนอกโดยไม่ได้รับอนุญาต เหตุการณ์นี้ถูกตรวจพบเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2025 และพบว่ามีการเข้าถึงไฟล์ตั้งแต่ ตุลาคม 2024 ถึงกุมภาพันธ์ 2025 📑 รายละเอียดการรั่วไหล ไฟล์ที่ถูกเข้าถึงมีข้อมูลระบุตัวบุคคล (Personally Identifiable Information – PII) เช่น ชื่อ, ที่อยู่, อีเมล, หมายเลขบัตรประชาชน, พาสปอร์ต, ข้อมูลการชำระเงิน และข้อมูลธนาคาร รวมถึงข้อมูลที่อาจใช้ในการโจรกรรมทางการเงินหรือการปลอมแปลงตัวตน เหตุการณ์นี้ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้งาน 810 คน โดยมีผู้ที่อาศัยอยู่ในรัฐ Maine รวมอยู่ด้วย 🛡️ การตอบสนองของ AIPAC องค์กรได้เริ่มแจ้งผู้ที่ได้รับผลกระทบตั้งแต่วันที่ 13 พฤศจิกายน 2025 และยืนยันว่า ยังไม่พบหลักฐานการนำข้อมูลไปใช้ในทางที่ผิด อย่างไรก็ตาม เพื่อความปลอดภัย AIPAC ได้เสนอแพ็กเกจ Identity Protection ผ่าน IDX เป็นเวลา 12 เดือน ครอบคลุมการตรวจสอบเครดิต, CyberScan monitoring, ประกันภัย และบริการกู้คืนตัวตน 🔧 มาตรการเสริมความปลอดภัย หลังเหตุการณ์นี้ AIPAC ได้เพิ่มมาตรการใหม่ เช่น posture controls, non-human identity controls, email data loss prevention, Microsoft 365 access controls, privilege alerts, geolocation restrictions และ audit functions เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุซ้ำอีก ✅ รายละเอียดเหตุการณ์ ➡️ เกิดการเข้าถึงไฟล์โดยไม่ได้รับอนุญาตระหว่าง ต.ค. 2024 – ก.พ. 2025 ➡️ ข้อมูลที่รั่วไหลรวมถึง PII และข้อมูลทางการเงิน ➡️ ผู้ได้รับผลกระทบรวม 810 คน ✅ การตอบสนองของ AIPAC ➡️ แจ้งผู้ได้รับผลกระทบตั้งแต่ 13 พ.ย. 2025 ➡️ เสนอแพ็กเกจ Identity Protection ฟรี 12 เดือน ✅ มาตรการใหม่เพื่อความปลอดภัย ➡️ เพิ่มระบบตรวจสอบสิทธิ์, การป้องกันข้อมูลสูญหาย และการจำกัดการเข้าถึง ‼️ คำเตือนและความเสี่ยง ⛔ ข้อมูลที่รั่วไหลอาจถูกนำไปใช้ในการโจรกรรมทางการเงินหรือปลอมแปลงตัวตน ⛔ แม้ยังไม่พบการใช้งานข้อมูล แต่ความเสี่ยงยังคงอยู่ ⛔ ผู้ได้รับผลกระทบควรตรวจสอบเครดิตและธุรกรรมทางการเงินอย่างต่อเนื่อง https://hackread.com/aipac-data-breach-hundreds-affected/
    HACKREAD.COM
    AIPAC Discloses Data Breach, Says Hundreds Affected
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 161 Views 0 Reviews
  • "MCP Servers – เทคโนโลยีใหม่ที่มาแรง แต่ยังมีช่องโหว่ด้านความปลอดภัย"

    MCP (Model Context Protocol) กำลังกลายเป็นมาตรฐานสำคัญที่ช่วยให้ AI agents สามารถเชื่อมต่อกับข้อมูลและเครื่องมือภายนอกได้สะดวกขึ้น แต่ความนิยมที่เพิ่มขึ้นก็มาพร้อมกับความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่หลากหลาย เช่น prompt injection, token theft และการโจมตีข้ามเซิร์ฟเวอร์ ซึ่งอาจทำให้ข้อมูลภายในองค์กรรั่วไหลได้หากไม่มีมาตรการป้องกันที่ดีพอ

    ในช่วงปีที่ผ่านมา มีการปรับปรุงมาตรฐาน MCP อย่างต่อเนื่อง เช่น การเพิ่มการรองรับ OAuth และระบบ third-party authentication อย่าง Auth0 หรือ Okta รวมถึงการเปิดตัว MCP Registry เพื่อป้องกันการปลอมแปลงเซิร์ฟเวอร์ อย่างไรก็ตาม การยืนยันตัวตนยังคงเป็นเพียง "ทางเลือก" ไม่ใช่ข้อบังคับ ทำให้หลายองค์กรยังคงเผชิญความเสี่ยงสูง

    ผู้ให้บริการรายใหญ่ เช่น AWS, Microsoft และ Google Cloud ต่างก็ออกเครื่องมือเสริมเพื่อช่วยป้องกัน MCP servers เช่น ระบบ Zero Trust, การตรวจจับ prompt injection และการจัดเก็บข้อมูลลับใน Secret Manager ขณะเดียวกัน ผู้เล่นหน้าใหม่และสตาร์ทอัพก็เข้ามาเสนอโซลูชันเฉพาะทาง เช่น การสแกนหา MCP servers ที่ซ่อนอยู่ในองค์กร หรือการสร้าง proxy เพื่อกันข้อมูลรั่วไหล

    สิ่งที่น่าสนใจคือ หลายบริษัทใหญ่ เช่น PayPal, Slack และ GitHub ได้เปิดตัว MCP servers ของตนเองแล้ว เพื่อให้ AI agents เชื่อมต่อกับบริการได้โดยตรง ขณะที่ผู้ให้บริการ third-party อย่าง Zapier ก็เปิดให้เชื่อมต่อกับแอปกว่า 8,000 ตัว ซึ่งสะท้อนว่า MCP กำลังกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของโลก AI แต่ก็ยังต้องการการป้องกันที่เข้มงวดกว่านี้

    สรุปสาระสำคัญ
    การพัฒนาและการใช้งาน MCP Servers
    MCP ช่วยให้ AI agents เข้าถึงข้อมูลและเครื่องมือได้สะดวก
    มีการเพิ่ม OAuth และระบบยืนยันตัวตนจาก third-party เช่น Okta, Auth0
    เปิดตัว MCP Registry เพื่อป้องกันการปลอมแปลงเซิร์ฟเวอร์

    ผู้ให้บริการรายใหญ่และสตาร์ทอัพเข้ามาเสริมความปลอดภัย
    AWS, Microsoft, Google Cloud เพิ่มระบบ Zero Trust และการตรวจจับ prompt injection
    สตาร์ทอัพเสนอเครื่องมือสแกน MCP servers และ proxy ป้องกันข้อมูลรั่วไหล

    การใช้งานจริงในองค์กรและแพลตฟอร์มต่างๆ
    PayPal, Slack, GitHub เปิดตัว MCP servers ของตนเอง
    Zapier ให้เชื่อมต่อกับกว่า 8,000 แอปพลิเคชัน

    ความเสี่ยงและช่องโหว่ที่ยังคงอยู่
    Authentication ยังเป็นเพียงทางเลือก ไม่ใช่ข้อบังคับ
    เสี่ยงต่อ prompt injection, token theft และการโจมตีข้ามเซิร์ฟเวอร์
    MCP servers ที่ไม่เป็นทางการอาจไม่ปลอดภัยและเสี่ยงต่อการรั่วไหลของข้อมูล

    https://www.csoonline.com/article/4087656/what-cisos-need-to-know-about-new-tools-for-securing-mcp-servers.html
    🛡️ "MCP Servers – เทคโนโลยีใหม่ที่มาแรง แต่ยังมีช่องโหว่ด้านความปลอดภัย" MCP (Model Context Protocol) กำลังกลายเป็นมาตรฐานสำคัญที่ช่วยให้ AI agents สามารถเชื่อมต่อกับข้อมูลและเครื่องมือภายนอกได้สะดวกขึ้น แต่ความนิยมที่เพิ่มขึ้นก็มาพร้อมกับความเสี่ยงด้านความปลอดภัยที่หลากหลาย เช่น prompt injection, token theft และการโจมตีข้ามเซิร์ฟเวอร์ ซึ่งอาจทำให้ข้อมูลภายในองค์กรรั่วไหลได้หากไม่มีมาตรการป้องกันที่ดีพอ ในช่วงปีที่ผ่านมา มีการปรับปรุงมาตรฐาน MCP อย่างต่อเนื่อง เช่น การเพิ่มการรองรับ OAuth และระบบ third-party authentication อย่าง Auth0 หรือ Okta รวมถึงการเปิดตัว MCP Registry เพื่อป้องกันการปลอมแปลงเซิร์ฟเวอร์ อย่างไรก็ตาม การยืนยันตัวตนยังคงเป็นเพียง "ทางเลือก" ไม่ใช่ข้อบังคับ ทำให้หลายองค์กรยังคงเผชิญความเสี่ยงสูง ผู้ให้บริการรายใหญ่ เช่น AWS, Microsoft และ Google Cloud ต่างก็ออกเครื่องมือเสริมเพื่อช่วยป้องกัน MCP servers เช่น ระบบ Zero Trust, การตรวจจับ prompt injection และการจัดเก็บข้อมูลลับใน Secret Manager ขณะเดียวกัน ผู้เล่นหน้าใหม่และสตาร์ทอัพก็เข้ามาเสนอโซลูชันเฉพาะทาง เช่น การสแกนหา MCP servers ที่ซ่อนอยู่ในองค์กร หรือการสร้าง proxy เพื่อกันข้อมูลรั่วไหล สิ่งที่น่าสนใจคือ หลายบริษัทใหญ่ เช่น PayPal, Slack และ GitHub ได้เปิดตัว MCP servers ของตนเองแล้ว เพื่อให้ AI agents เชื่อมต่อกับบริการได้โดยตรง ขณะที่ผู้ให้บริการ third-party อย่าง Zapier ก็เปิดให้เชื่อมต่อกับแอปกว่า 8,000 ตัว ซึ่งสะท้อนว่า MCP กำลังกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของโลก AI แต่ก็ยังต้องการการป้องกันที่เข้มงวดกว่านี้ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การพัฒนาและการใช้งาน MCP Servers ➡️ MCP ช่วยให้ AI agents เข้าถึงข้อมูลและเครื่องมือได้สะดวก ➡️ มีการเพิ่ม OAuth และระบบยืนยันตัวตนจาก third-party เช่น Okta, Auth0 ➡️ เปิดตัว MCP Registry เพื่อป้องกันการปลอมแปลงเซิร์ฟเวอร์ ✅ ผู้ให้บริการรายใหญ่และสตาร์ทอัพเข้ามาเสริมความปลอดภัย ➡️ AWS, Microsoft, Google Cloud เพิ่มระบบ Zero Trust และการตรวจจับ prompt injection ➡️ สตาร์ทอัพเสนอเครื่องมือสแกน MCP servers และ proxy ป้องกันข้อมูลรั่วไหล ✅ การใช้งานจริงในองค์กรและแพลตฟอร์มต่างๆ ➡️ PayPal, Slack, GitHub เปิดตัว MCP servers ของตนเอง ➡️ Zapier ให้เชื่อมต่อกับกว่า 8,000 แอปพลิเคชัน ‼️ ความเสี่ยงและช่องโหว่ที่ยังคงอยู่ ⛔ Authentication ยังเป็นเพียงทางเลือก ไม่ใช่ข้อบังคับ ⛔ เสี่ยงต่อ prompt injection, token theft และการโจมตีข้ามเซิร์ฟเวอร์ ⛔ MCP servers ที่ไม่เป็นทางการอาจไม่ปลอดภัยและเสี่ยงต่อการรั่วไหลของข้อมูล https://www.csoonline.com/article/4087656/what-cisos-need-to-know-about-new-tools-for-securing-mcp-servers.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    What CISOs need to know about new tools for securing MCP servers
    As MCP servers become more popular, so do the risks. To address some of the risks many vendors have started to offer products meant to secure the use of MCP servers.
    0 Comments 0 Shares 197 Views 0 Reviews
  • ข่าวใหญ่: ช่องโหว่ร้ายแรงใน NVIDIA NeMo Framework เสี่ยง Code Injection และ Privilege Escalation

    รายละเอียดช่องโหว่
    NVIDIA ได้ออกประกาศเกี่ยวกับช่องโหว่ร้ายแรงใน NeMo Framework ซึ่งเป็นเครื่องมือสำหรับการพัฒนา AI และ Machine Learning โดยพบว่า มี 2 ช่องโหว่หลัก ได้แก่

    CVE-2025-23361: เกิดจากการตรวจสอบอินพุตที่ไม่เพียงพอในสคริปต์ ทำให้ผู้โจมตีสามารถส่งข้อมูลที่ crafted ขึ้นมาเพื่อควบคุมการสร้างโค้ดได้

    CVE-2025-33178: เกิดในส่วนของ BERT services component ที่เปิดทางให้เกิด Code Injection ผ่านข้อมูลที่ถูกสร้างขึ้นโดยผู้โจมตี

    ทั้งสองช่องโหว่สามารถนำไปสู่การ รันโค้ดโดยไม่ได้รับอนุญาต, การยกระดับสิทธิ์, การเปิดเผยข้อมูล และการแก้ไขข้อมูล

    ความรุนแรงและผลกระทบ
    ช่องโหว่เหล่านี้ถูกจัดระดับ CVSS 7.8 (High Severity) โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมที่มีการใช้งานร่วมกัน เช่น Shared Development Machines, Research Clusters และ AI Inference Servers หากถูกโจมตีสำเร็จ อาจทำให้ระบบ AI pipeline ถูกควบคุมและข้อมูลสำคัญถูกดัดแปลงหรือรั่วไหล

    เวอร์ชันที่ได้รับผลกระทบและการแก้ไข
    ได้รับผลกระทบ: ทุกเวอร์ชันของ NeMo Framework ก่อน 2.5.0
    แก้ไขแล้ว: เวอร์ชัน 2.5.0 ที่ NVIDIA ได้ปล่อยแพตช์ออกมาแล้วบน GitHub และ PyPI

    ความสำคัญต่อวงการ AI
    การโจมตีที่เกิดขึ้นใน AI pipeline ไม่เพียงกระทบต่อการทำงานของนักพัฒนา แต่ยังอาจทำให้โมเดลที่ถูกฝึกหรือใช้งานในงานวิจัยและการผลิตถูกบิดเบือน ซึ่งอาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ผิดพลาดและสร้างความเสียหายต่อองค์กรที่พึ่งพา AI ในการตัดสินใจ

    สรุปประเด็นสำคัญ
    รายละเอียดช่องโหว่
    CVE-2025-23361: ช่องโหว่ในสคริปต์ที่ตรวจสอบอินพุตไม่เพียงพอ
    CVE-2025-33178: ช่องโหว่ใน BERT services component เปิดทาง Code Injection

    ผลกระทบต่อระบบ
    เสี่ยงต่อการรันโค้ดโดยไม่ได้รับอนุญาตและการยกระดับสิทธิ์
    อาจทำให้ข้อมูลรั่วไหลหรือถูกแก้ไข

    เวอร์ชันที่ได้รับผลกระทบ
    ทุกเวอร์ชันก่อน NeMo 2.5.0
    NVIDIA ได้แก้ไขแล้วในเวอร์ชัน 2.5.0

    แนวทางแก้ไข
    รีบอัปเดตเป็น NeMo Framework 2.5.0
    ตรวจสอบระบบ AI pipeline ที่ใช้งานร่วมกัน

    คำเตือนสำหรับองค์กร
    หากไม่อัปเดต อาจถูกโจมตีจนระบบ AI pipeline ถูกควบคุม
    การโจมตีอาจบิดเบือนผลลัพธ์ของโมเดล AI และสร้างความเสียหายต่อธุรกิจ

    https://securityonline.info/high-severity-nvidia-nemo-framework-flaws-allow-code-injection-and-privilege-escalation-in-ai-pipelines/
    ⚠️ ข่าวใหญ่: ช่องโหว่ร้ายแรงใน NVIDIA NeMo Framework เสี่ยง Code Injection และ Privilege Escalation 🧩 รายละเอียดช่องโหว่ NVIDIA ได้ออกประกาศเกี่ยวกับช่องโหว่ร้ายแรงใน NeMo Framework ซึ่งเป็นเครื่องมือสำหรับการพัฒนา AI และ Machine Learning โดยพบว่า มี 2 ช่องโหว่หลัก ได้แก่ 🪲 CVE-2025-23361: เกิดจากการตรวจสอบอินพุตที่ไม่เพียงพอในสคริปต์ ทำให้ผู้โจมตีสามารถส่งข้อมูลที่ crafted ขึ้นมาเพื่อควบคุมการสร้างโค้ดได้ 🪲 CVE-2025-33178: เกิดในส่วนของ BERT services component ที่เปิดทางให้เกิด Code Injection ผ่านข้อมูลที่ถูกสร้างขึ้นโดยผู้โจมตี ทั้งสองช่องโหว่สามารถนำไปสู่การ รันโค้ดโดยไม่ได้รับอนุญาต, การยกระดับสิทธิ์, การเปิดเผยข้อมูล และการแก้ไขข้อมูล 🔥 ความรุนแรงและผลกระทบ ช่องโหว่เหล่านี้ถูกจัดระดับ CVSS 7.8 (High Severity) โดยเฉพาะในสภาพแวดล้อมที่มีการใช้งานร่วมกัน เช่น Shared Development Machines, Research Clusters และ AI Inference Servers หากถูกโจมตีสำเร็จ อาจทำให้ระบบ AI pipeline ถูกควบคุมและข้อมูลสำคัญถูกดัดแปลงหรือรั่วไหล 🛠️ เวอร์ชันที่ได้รับผลกระทบและการแก้ไข 🪛 ได้รับผลกระทบ: ทุกเวอร์ชันของ NeMo Framework ก่อน 2.5.0 🪛 แก้ไขแล้ว: เวอร์ชัน 2.5.0 ที่ NVIDIA ได้ปล่อยแพตช์ออกมาแล้วบน GitHub และ PyPI 🌐 ความสำคัญต่อวงการ AI การโจมตีที่เกิดขึ้นใน AI pipeline ไม่เพียงกระทบต่อการทำงานของนักพัฒนา แต่ยังอาจทำให้โมเดลที่ถูกฝึกหรือใช้งานในงานวิจัยและการผลิตถูกบิดเบือน ซึ่งอาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ผิดพลาดและสร้างความเสียหายต่อองค์กรที่พึ่งพา AI ในการตัดสินใจ 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ รายละเอียดช่องโหว่ ➡️ CVE-2025-23361: ช่องโหว่ในสคริปต์ที่ตรวจสอบอินพุตไม่เพียงพอ ➡️ CVE-2025-33178: ช่องโหว่ใน BERT services component เปิดทาง Code Injection ✅ ผลกระทบต่อระบบ ➡️ เสี่ยงต่อการรันโค้ดโดยไม่ได้รับอนุญาตและการยกระดับสิทธิ์ ➡️ อาจทำให้ข้อมูลรั่วไหลหรือถูกแก้ไข ✅ เวอร์ชันที่ได้รับผลกระทบ ➡️ ทุกเวอร์ชันก่อน NeMo 2.5.0 ➡️ NVIDIA ได้แก้ไขแล้วในเวอร์ชัน 2.5.0 ✅ แนวทางแก้ไข ➡️ รีบอัปเดตเป็น NeMo Framework 2.5.0 ➡️ ตรวจสอบระบบ AI pipeline ที่ใช้งานร่วมกัน ‼️ คำเตือนสำหรับองค์กร ⛔ หากไม่อัปเดต อาจถูกโจมตีจนระบบ AI pipeline ถูกควบคุม ⛔ การโจมตีอาจบิดเบือนผลลัพธ์ของโมเดล AI และสร้างความเสียหายต่อธุรกิจ https://securityonline.info/high-severity-nvidia-nemo-framework-flaws-allow-code-injection-and-privilege-escalation-in-ai-pipelines/
    SECURITYONLINE.INFO
    High-Severity NVIDIA NeMo Framework Flaws Allow Code Injection and Privilege Escalation in AI Pipelines
    NVIDIA patched two High-severity flaws in its NeMo Framework. CVE-2025-23361 and CVE-2025-33178 allow local code injection and privilege escalation in AI training environments. Update to v2.5.0.
    0 Comments 0 Shares 189 Views 0 Reviews
  • ข่าวใหญ่: ช่องโหว่ร้ายแรง Zoho Analytics Plus (CVE-2025-8324) เปิดทางโจมตี SQL Injection โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน

    Zoho Corporation ได้ออกประกาศเตือนถึงช่องโหว่ CVE-2025-8324 ที่มีคะแนนความรุนแรง CVSS 9.8 (Critical) โดยช่องโหว่นี้เกิดจากการตรวจสอบอินพุตที่ไม่เพียงพอในระบบ Analytics Plus (on-premise) ทำให้ผู้โจมตีสามารถส่งคำสั่ง SQL ที่ crafted ขึ้นมาเองเพื่อเข้าถึงฐานข้อมูลได้โดยตรง โดยไม่จำเป็นต้องมีบัญชีหรือสิทธิ์ใด ๆ

    ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น
    หากถูกโจมตีสำเร็จ ผู้ไม่หวังดีสามารถเข้าถึงข้อมูลผู้ใช้ภายในองค์กรได้ รวมถึงอาจทำการแก้ไข ลบ หรือขโมยข้อมูลสำคัญ และในกรณีร้ายแรงอาจนำไปสู่การ ยึดบัญชีผู้ใช้ (Account Takeover) ซึ่งเป็นภัยคุกคามต่อองค์กรที่ใช้ Zoho Analytics Plus ในการจัดการข้อมูลเชิงธุรกิจและ BI Dashboard

    เวอร์ชันที่ได้รับผลกระทบและการแก้ไข
    ช่องโหว่นี้ส่งผลต่อ Analytics Plus on-premise ทุก build ที่ต่ำกว่า 6170 โดย Zoho ได้ออกแพตช์แก้ไขใน Build 6171 ซึ่งได้ปรับปรุงการตรวจสอบอินพุตและลบส่วนประกอบที่มีปัญหาออกไป องค์กรที่ใช้งานควรรีบอัปเดตทันทีเพื่อป้องกันการโจมตี

    ความสำคัญต่อองค์กร
    เนื่องจาก Analytics Plus ถูกใช้ในงานวิเคราะห์ข้อมูลและการสร้าง BI Dashboard ที่เชื่อมโยงกับข้อมูลสำคัญขององค์กร การปล่อยให้ช่องโหว่นี้ถูกใช้งานโดยไม่อัปเดต อาจทำให้เกิดการรั่วไหลของข้อมูลเชิงกลยุทธ์และสร้างความเสียหายต่อธุรกิจอย่างรุนแรง

    สรุปประเด็นสำคัญ
    รายละเอียดช่องโหว่ CVE-2025-8324
    เป็น SQL Injection ที่ไม่ต้องยืนยันตัวตน
    คะแนน CVSS 9.8 (Critical Severity)

    ผลกระทบต่อระบบ
    เสี่ยงต่อการเข้าถึงข้อมูลผู้ใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต
    อาจนำไปสู่การยึดบัญชีผู้ใช้และการรั่วไหลข้อมูลสำคัญ

    เวอร์ชันที่ได้รับผลกระทบ
    ทุก build ของ Analytics Plus ที่ต่ำกว่า 6170
    Zoho ได้แก้ไขแล้วใน Build 6171

    แนวทางแก้ไข
    อัปเดตเป็น Build 6171 ทันที
    ตรวจสอบการตั้งค่าและการเข้าถึงฐานข้อมูลอย่างเข้มงวด

    คำเตือนสำหรับองค์กร
    หากไม่อัปเดต อาจถูกโจมตีและข้อมูลรั่วไหล
    การโจมตี SQL Injection สามารถใช้เพื่อขโมยหรือแก้ไขข้อมูลเชิงธุรกิจได้

    https://securityonline.info/critical-zoho-analytics-plus-flaw-cve-2025-8324-cvss-9-8-allows-unauthenticated-sql-injection-and-data-takeover/
    🚨 ข่าวใหญ่: ช่องโหว่ร้ายแรง Zoho Analytics Plus (CVE-2025-8324) เปิดทางโจมตี SQL Injection โดยไม่ต้องยืนยันตัวตน Zoho Corporation ได้ออกประกาศเตือนถึงช่องโหว่ CVE-2025-8324 ที่มีคะแนนความรุนแรง CVSS 9.8 (Critical) โดยช่องโหว่นี้เกิดจากการตรวจสอบอินพุตที่ไม่เพียงพอในระบบ Analytics Plus (on-premise) ทำให้ผู้โจมตีสามารถส่งคำสั่ง SQL ที่ crafted ขึ้นมาเองเพื่อเข้าถึงฐานข้อมูลได้โดยตรง โดยไม่จำเป็นต้องมีบัญชีหรือสิทธิ์ใด ๆ ⚠️ ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น หากถูกโจมตีสำเร็จ ผู้ไม่หวังดีสามารถเข้าถึงข้อมูลผู้ใช้ภายในองค์กรได้ รวมถึงอาจทำการแก้ไข ลบ หรือขโมยข้อมูลสำคัญ และในกรณีร้ายแรงอาจนำไปสู่การ ยึดบัญชีผู้ใช้ (Account Takeover) ซึ่งเป็นภัยคุกคามต่อองค์กรที่ใช้ Zoho Analytics Plus ในการจัดการข้อมูลเชิงธุรกิจและ BI Dashboard 🔧 เวอร์ชันที่ได้รับผลกระทบและการแก้ไข ช่องโหว่นี้ส่งผลต่อ Analytics Plus on-premise ทุก build ที่ต่ำกว่า 6170 โดย Zoho ได้ออกแพตช์แก้ไขใน Build 6171 ซึ่งได้ปรับปรุงการตรวจสอบอินพุตและลบส่วนประกอบที่มีปัญหาออกไป องค์กรที่ใช้งานควรรีบอัปเดตทันทีเพื่อป้องกันการโจมตี 🌐 ความสำคัญต่อองค์กร เนื่องจาก Analytics Plus ถูกใช้ในงานวิเคราะห์ข้อมูลและการสร้าง BI Dashboard ที่เชื่อมโยงกับข้อมูลสำคัญขององค์กร การปล่อยให้ช่องโหว่นี้ถูกใช้งานโดยไม่อัปเดต อาจทำให้เกิดการรั่วไหลของข้อมูลเชิงกลยุทธ์และสร้างความเสียหายต่อธุรกิจอย่างรุนแรง 📌 สรุปประเด็นสำคัญ ✅ รายละเอียดช่องโหว่ CVE-2025-8324 ➡️ เป็น SQL Injection ที่ไม่ต้องยืนยันตัวตน ➡️ คะแนน CVSS 9.8 (Critical Severity) ✅ ผลกระทบต่อระบบ ➡️ เสี่ยงต่อการเข้าถึงข้อมูลผู้ใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ➡️ อาจนำไปสู่การยึดบัญชีผู้ใช้และการรั่วไหลข้อมูลสำคัญ ✅ เวอร์ชันที่ได้รับผลกระทบ ➡️ ทุก build ของ Analytics Plus ที่ต่ำกว่า 6170 ➡️ Zoho ได้แก้ไขแล้วใน Build 6171 ✅ แนวทางแก้ไข ➡️ อัปเดตเป็น Build 6171 ทันที ➡️ ตรวจสอบการตั้งค่าและการเข้าถึงฐานข้อมูลอย่างเข้มงวด ‼️ คำเตือนสำหรับองค์กร ⛔ หากไม่อัปเดต อาจถูกโจมตีและข้อมูลรั่วไหล ⛔ การโจมตี SQL Injection สามารถใช้เพื่อขโมยหรือแก้ไขข้อมูลเชิงธุรกิจได้ https://securityonline.info/critical-zoho-analytics-plus-flaw-cve-2025-8324-cvss-9-8-allows-unauthenticated-sql-injection-and-data-takeover/
    SECURITYONLINE.INFO
    Critical Zoho Analytics Plus Flaw (CVE-2025-8324, CVSS 9.8) Allows Unauthenticated SQL Injection and Data Takeover
    Zoho issued an urgent patch for a Critical (CVSS 9.8) Unauthenticated SQL Injection flaw (CVE-2025-8324) in Analytics Plus. The bug risks remote query execution and account takeover. Update to Build 6171.
    0 Comments 0 Shares 129 Views 0 Reviews
  • Intel ออกแพตช์แก้บั๊กใหญ่ในซอฟต์แวร์และไมโครโค้ด

    Intel จัดการอัปเดตครั้งใหญ่คล้ายกับ “Patch Tuesday” ของ Microsoft โดยแก้ไขช่องโหว่กว่า 30 จุด ทั้งในซอฟต์แวร์และไมโครโค้ดของซีพียูรุ่นใหม่ ๆ การอัปเดตนี้มีทั้งการแก้บั๊กเล็ก ๆ และการปิดช่องโหว่ที่อาจถูกใช้โจมตีเพื่อยกระดับสิทธิ์การเข้าถึงระบบ หนึ่งในช่องโหว่ที่น่ากังวลคือ UEFI Server Firmware ที่อาจทำให้ผู้ใช้ที่มีสิทธิ์สูงสามารถเข้าถึงระบบทั้งหมดได้ ซึ่งถือว่าอันตรายมากในสภาพแวดล้อมเซิร์ฟเวอร์และคลาวด์

    นอกจากนี้ยังมีการแก้ไขบั๊กในไดรเวอร์ Wi-Fi และ GPU ของ Intel ที่อาจทำให้การเชื่อมต่อหลุดหรือข้อมูลรั่วไหลได้ ส่วนไมโครโค้ดก็ได้รับการปรับปรุงเพื่อแก้ปัญหาการทำงานของคำสั่ง REP SCASB และ REP CMPSB ที่อาจให้ผลลัพธ์ผิดพลาดเมื่อมีการเข้าถึงหน่วยความจำพร้อมกันจากหลายคอร์ รวมถึงการแก้ไขฟีเจอร์ประหยัดพลังงานในซีพียู Xeon และ Arrow Lake

    การอัปเดตนี้ยังครอบคลุมถึงการแก้ปัญหากับอุปกรณ์ USB 3.2 ที่อาจทำให้การส่งข้อมูลเสียงหรือภาพสะดุด ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญสำหรับผู้ใช้ที่ทำงานกับอุปกรณ์ A/V เช่น กล้องและไมโครโฟน

    Intel ปล่อยแพตช์แก้ช่องโหว่กว่า 30 จุด
    รวมถึง UEFI Server Firmware ที่มีความเสี่ยงสูง

    การแก้ไขบั๊กในไดรเวอร์ Wi-Fi และ GPU
    ลดโอกาสการหลุดของการเชื่อมต่อและการรั่วไหลของข้อมูล

    ปรับปรุงไมโครโค้ดของซีพียูหลายรุ่น
    แก้ปัญหาคำสั่ง REP SCASB/CMPSB และฟีเจอร์ประหยัดพลังงาน

    ช่องโหว่ UEFI อาจทำให้ผู้ดูแลระบบที่ไม่หวังดีเข้าถึงเครื่องทั้งหมด
    เสี่ยงต่อการโจมตีในเซิร์ฟเวอร์และคลาวด์

    บั๊ก Wi-Fi อาจทำให้การเชื่อมต่อหลุด
    กระทบผู้ใช้ทั่วไปหากไม่อัปเดตไดรเวอร์ทันที

    https://www.tomshardware.com/software/intel-software-fixes-stamp-down-privilege-escalation-vulnerabilities-while-microcode-updates-clean-up-cpu-messes-chipmaker-has-its-own-patch-tuesday-as-it-stomps-down-30-bugs
    🖥️ Intel ออกแพตช์แก้บั๊กใหญ่ในซอฟต์แวร์และไมโครโค้ด Intel จัดการอัปเดตครั้งใหญ่คล้ายกับ “Patch Tuesday” ของ Microsoft โดยแก้ไขช่องโหว่กว่า 30 จุด ทั้งในซอฟต์แวร์และไมโครโค้ดของซีพียูรุ่นใหม่ ๆ การอัปเดตนี้มีทั้งการแก้บั๊กเล็ก ๆ และการปิดช่องโหว่ที่อาจถูกใช้โจมตีเพื่อยกระดับสิทธิ์การเข้าถึงระบบ หนึ่งในช่องโหว่ที่น่ากังวลคือ UEFI Server Firmware ที่อาจทำให้ผู้ใช้ที่มีสิทธิ์สูงสามารถเข้าถึงระบบทั้งหมดได้ ซึ่งถือว่าอันตรายมากในสภาพแวดล้อมเซิร์ฟเวอร์และคลาวด์ นอกจากนี้ยังมีการแก้ไขบั๊กในไดรเวอร์ Wi-Fi และ GPU ของ Intel ที่อาจทำให้การเชื่อมต่อหลุดหรือข้อมูลรั่วไหลได้ ส่วนไมโครโค้ดก็ได้รับการปรับปรุงเพื่อแก้ปัญหาการทำงานของคำสั่ง REP SCASB และ REP CMPSB ที่อาจให้ผลลัพธ์ผิดพลาดเมื่อมีการเข้าถึงหน่วยความจำพร้อมกันจากหลายคอร์ รวมถึงการแก้ไขฟีเจอร์ประหยัดพลังงานในซีพียู Xeon และ Arrow Lake การอัปเดตนี้ยังครอบคลุมถึงการแก้ปัญหากับอุปกรณ์ USB 3.2 ที่อาจทำให้การส่งข้อมูลเสียงหรือภาพสะดุด ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญสำหรับผู้ใช้ที่ทำงานกับอุปกรณ์ A/V เช่น กล้องและไมโครโฟน ✅ Intel ปล่อยแพตช์แก้ช่องโหว่กว่า 30 จุด ➡️ รวมถึง UEFI Server Firmware ที่มีความเสี่ยงสูง ✅ การแก้ไขบั๊กในไดรเวอร์ Wi-Fi และ GPU ➡️ ลดโอกาสการหลุดของการเชื่อมต่อและการรั่วไหลของข้อมูล ✅ ปรับปรุงไมโครโค้ดของซีพียูหลายรุ่น ➡️ แก้ปัญหาคำสั่ง REP SCASB/CMPSB และฟีเจอร์ประหยัดพลังงาน ‼️ ช่องโหว่ UEFI อาจทำให้ผู้ดูแลระบบที่ไม่หวังดีเข้าถึงเครื่องทั้งหมด ⛔ เสี่ยงต่อการโจมตีในเซิร์ฟเวอร์และคลาวด์ ‼️ บั๊ก Wi-Fi อาจทำให้การเชื่อมต่อหลุด ⛔ กระทบผู้ใช้ทั่วไปหากไม่อัปเดตไดรเวอร์ทันที https://www.tomshardware.com/software/intel-software-fixes-stamp-down-privilege-escalation-vulnerabilities-while-microcode-updates-clean-up-cpu-messes-chipmaker-has-its-own-patch-tuesday-as-it-stomps-down-30-bugs
    0 Comments 0 Shares 141 Views 0 Reviews
  • สรุปข่าวของ Techradar 🛜🛜

    วิกฤติชิป: AI ดูดทรัพยากรจนคนทั่วไปขาดแคลน
    การบูมของ AI ทำให้ชิปหน่วยความจำและ SSD ที่เคยใช้ในตลาดผู้บริโภคถูกดูดไปใช้ในดาต้าเซ็นเตอร์ ส่งผลให้ราคาพุ่งขึ้นสองเท่า ร้านค้าในญี่ปุ่นถึงขั้นจำกัดการซื้อเพื่อป้องกันการกักตุน ขณะที่ DDR4 กำลังหายไปจากตลาดเพราะผู้ผลิตหันไปทำ DDR5 ที่กำไรมากกว่า
    วิกฤติชิปและหน่วยความจำ
    AI ดาต้าเซ็นเตอร์ดูดทรัพยากรไปใช้
    DDR4 กำลังหายไปจากตลาด
    ความเสี่ยงจากการขาดแคลน
    ราคาพุ่งขึ้นสองเท่า
    ผู้บริโภคทั่วไปหาซื้อยาก

    P-QD เทคโนโลยีจอภาพใหม่: สีสดกว่า แต่จำเป็นจริงหรือ?
    Perovskite Quantum Dot (P-QD) กำลังถูกพัฒนาเพื่อให้จอภาพมีความแม่นยำสีสูงถึง 95% ของมาตรฐาน Rec.2020 แต่คำถามคือ ผู้ชมทั่วไปที่ดูหนัง HDR ยังใช้มาตรฐาน P3 อยู่ ซึ่งทีวีรุ่นใหม่ก็ทำได้ครบแล้ว เทคโนโลยีนี้อาจเหมาะกับจอมืออาชีพมากกว่าทีวีบ้าน
    เทคโนโลยี P-QD
    สีสดขึ้นถึง 95% Rec.2020
    เหมาะกับจอมืออาชีพมากกว่า
    ข้อควรระวัง
    ทีวีทั่วไปอาจไม่จำเป็นต้องใช้

    แฮกเกอร์เกาหลีเหนือใช้ Google Find Hub ลบข้อมูลเหยื่อ
    กลุ่ม KONNI ใช้ KakaoTalk ส่งไฟล์ติดมัลแวร์ เมื่อเหยื่อเปิดไฟล์ ข้อมูลบัญชี Google ถูกขโมย และถูกใช้เข้าถึง Find Hub เพื่อลบข้อมูลมือถือเหยื่อซ้ำถึงสามครั้ง พร้อมแพร่มัลแวร์ต่อไปยังเพื่อนในแชท
    การโจมตีไซเบอร์จากเกาหลีเหนือ
    ใช้ KakaoTalk ส่งไฟล์มัลแวร์
    เข้าถึง Google Find Hub ลบข้อมูล
    ความเสี่ยง
    ข้อมูลส่วนตัวถูกขโมย
    มัลแวร์แพร่ไปยังเพื่อนในแชท

    Microsoft 365 เจอคลื่นฟิชชิ่งใหม่ “Quantum Route Redirect”
    แพลตฟอร์มฟิชชิ่งอัตโนมัติที่ตรวจจับว่าใครเป็นบอทหรือคนจริง หากเป็นคนจริงจะถูกส่งไปหน้าเว็บปลอมเพื่อขโมยรหัสผ่าน ทำให้การโจมตีง่ายขึ้นและแพร่ไปกว่า 90 ประเทศ
    ฟิชชิ่ง Microsoft 365
    Quantum Route Redirect ตรวจจับบอท
    ส่งผู้ใช้จริงไปหน้าเว็บปลอม
    ความเสี่ยง
    แพร่ไปกว่า 90 ประเทศ
    ทำให้การโจมตีง่ายขึ้น

    Ookla เปิดตัว Speedtest Pulse: เครื่องมือวัดเน็ตแบบใหม่
    อุปกรณ์ใหม่ช่วยผู้ให้บริการตรวจสอบปัญหาเน็ตในบ้านได้แม่นยำขึ้น มีโหมด Active Pulse ตรวจสอบทันที และ Continuous Pulse ที่จะตามหาปัญหาเน็ตที่เกิดเป็นครั้งคราว
    Ookla Speedtest Pulse
    Active Pulse ตรวจสอบทันที
    Continuous Pulse ตรวจสอบปัญหาเน็ตซ้ำ
    ความเสี่ยง
    ยังไม่ประกาศราคาและวันวางจำหน่าย

    Wyze Scale Ultra BodyScan: เครื่องชั่งอัจฉริยะราคาย่อมเยา
    มีสายจับพร้อมอิเล็กโทรดเพื่อวัดร่างกายแยกส่วน แขน ขา ลำตัว ให้ข้อมูลสุขภาพละเอียดขึ้น เชื่อมต่อกับ Apple Health และ Google Fit ได้
    Wyze Scale Ultra BodyScan
    วัดร่างกายแยกส่วน
    เชื่อมต่อกับ Apple Health และ Google Fit
    ความเสี่ยง
    ราคาสูงกว่ารุ่นอื่นในตลาด

    ช่องโหว่ร้ายแรงในไลบรารี JavaScript ยอดนิยม
    expr-eval ไลบรารีที่มีดาวน์โหลดกว่า 800,000 ครั้งต่อสัปดาห์ พบช่องโหว่ Remote Code Execution หากไม่อัปเดตอาจถูกแฮกเข้าระบบได้
    ช่องโหว่ expr-eval
    พบ Remote Code Execution
    อัปเดตแก้ไขแล้วในเวอร์ชันใหม่
    ความเสี่ยง
    ผู้ใช้ที่ไม่อัปเดตเสี่ยงถูกเจาะระบบ

    Sony ยืดอายุ PS5 ถึงปี 2030
    Sony ประกาศว่า PS5 ยังอยู่กลางวงจรชีวิต และจะขยายต่อไปอีก ทำให้คาดว่า PS6 จะเปิดตัวราวปี 2027–2028 แต่ PS5 จะยังได้รับการสนับสนุนต่อเนื่อง
    Sony ยืดอายุ PS5
    สนับสนุนต่อถึงปี 2030
    PS6 คาดเปิดตัวปี 2027–2028

    ฟิชชิ่งโจมตีโรงแรม: PureRAT แฝงตัวใน Booking.com
    แฮกเกอร์ใช้บัญชี Booking.com ที่ถูกขโมย ส่งลิงก์ปลอมไปยังโรงแรมและลูกค้า ขโมยทั้งรหัสผ่านและข้อมูลบัตรเครดิต
    ฟิชชิ่งโจมตีโรงแรม
    ใช้ PureRAT ขโมยข้อมูล
    ส่งลิงก์ปลอม Booking.com
    ความเสี่ยง
    ขโมยข้อมูลบัตรเครดิตลูกค้า

    AI บริษัทใหญ่ทำข้อมูลรั่วบน GitHub
    วิจัยพบว่า 65% ของบริษัท AI ชั้นนำทำ API key และ token รั่วบน GitHub โดยมากเกิดจากนักพัฒนาเผลออัปโหลดข้อมูลลง repo ส่วนตัว
    AI บริษัทใหญ่รั่วข้อมูล
    65% ของบริษัท AI รั่ว API key
    เกิดจาก repo ส่วนตัวนักพัฒนา
    ความเสี่ยง
    อาจถูกใช้โจมตีระบบ AI

    หลังเหตุโจรกรรม Louvre: Proton แจก Password Manager ฟรี
    หลังพบว่ารหัสกล้องวงจรปิดของ Louvre คือ “louvre” บริษัท Proton จึงเสนอให้พิพิธภัณฑ์และหอศิลป์ทั่วโลกใช้ Proton Pass ฟรี 2 ปี
    Proton ช่วยพิพิธภัณฑ์
    แจก Proton Pass ฟรี 2 ปี
    ป้องกันรหัสผ่านอ่อนแอ
    ความเสี่ยง
    เหตุ Louvre แสดงให้เห็นช่องโหว่ร้ายแรง

    Windows 11 เตรียมเพิ่ม Haptic Feedback ใน Trackpad
    Microsoft ซ่อนฟีเจอร์ “Haptic Signals” ในเวอร์ชันทดสอบ จะทำให้ผู้ใช้รู้สึกถึงแรงสั่นเมื่อ snap หน้าต่างหรือจัดวางวัตถุ คล้ายกับ Force Touch ของ MacBook
    Windows 11 เพิ่ม Haptic Feedback
    ฟีเจอร์ Haptic Signals
    คล้าย Force Touch ของ MacBook

    Firefox ลดการติดตามด้วย Anti-Fingerprinting
    Mozilla เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ ลดการระบุตัวตนผู้ใช้จาก fingerprint ลงได้ถึง 70% โดยใช้เทคนิคสุ่ม noise และบังคับใช้ฟอนต์มาตรฐาน
    Firefox Anti-Fingerprinting
    ลดการติดตามลง 70%
    ใช้ noise และฟอนต์มาตรฐาน

    Facebook Business Page ปลอมระบาด
    แฮกเกอร์สร้างเพจปลอม ส่งอีเมลจากโดเมนจริง facebookmail.com หลอกผู้ใช้ให้กรอกข้อมูลเข้าสู่ระบบ ทำให้ธุรกิจเล็ก ๆ เสี่ยงถูกขโมยบัญชี
    Facebook Page ปลอม
    ส่งอีเมลจาก facebookmail.com
    หลอกผู้ใช้กรอกข้อมูล
    ความเสี่ยง
    ธุรกิจเล็ก ๆ เสี่ยงถูกขโมยบัญชี

    https://www.techradar.com/
    📌📌 สรุปข่าวของ Techradar 🛜🛜 🖥️ วิกฤติชิป: AI ดูดทรัพยากรจนคนทั่วไปขาดแคลน การบูมของ AI ทำให้ชิปหน่วยความจำและ SSD ที่เคยใช้ในตลาดผู้บริโภคถูกดูดไปใช้ในดาต้าเซ็นเตอร์ ส่งผลให้ราคาพุ่งขึ้นสองเท่า ร้านค้าในญี่ปุ่นถึงขั้นจำกัดการซื้อเพื่อป้องกันการกักตุน ขณะที่ DDR4 กำลังหายไปจากตลาดเพราะผู้ผลิตหันไปทำ DDR5 ที่กำไรมากกว่า ✅ วิกฤติชิปและหน่วยความจำ ➡️ AI ดาต้าเซ็นเตอร์ดูดทรัพยากรไปใช้ ➡️ DDR4 กำลังหายไปจากตลาด ‼️ ความเสี่ยงจากการขาดแคลน ⛔ ราคาพุ่งขึ้นสองเท่า ⛔ ผู้บริโภคทั่วไปหาซื้อยาก 📺 P-QD เทคโนโลยีจอภาพใหม่: สีสดกว่า แต่จำเป็นจริงหรือ? Perovskite Quantum Dot (P-QD) กำลังถูกพัฒนาเพื่อให้จอภาพมีความแม่นยำสีสูงถึง 95% ของมาตรฐาน Rec.2020 แต่คำถามคือ ผู้ชมทั่วไปที่ดูหนัง HDR ยังใช้มาตรฐาน P3 อยู่ ซึ่งทีวีรุ่นใหม่ก็ทำได้ครบแล้ว เทคโนโลยีนี้อาจเหมาะกับจอมืออาชีพมากกว่าทีวีบ้าน ✅ เทคโนโลยี P-QD ➡️ สีสดขึ้นถึง 95% Rec.2020 ➡️ เหมาะกับจอมืออาชีพมากกว่า ‼️ ข้อควรระวัง ⛔ ทีวีทั่วไปอาจไม่จำเป็นต้องใช้ 🔒 แฮกเกอร์เกาหลีเหนือใช้ Google Find Hub ลบข้อมูลเหยื่อ กลุ่ม KONNI ใช้ KakaoTalk ส่งไฟล์ติดมัลแวร์ เมื่อเหยื่อเปิดไฟล์ ข้อมูลบัญชี Google ถูกขโมย และถูกใช้เข้าถึง Find Hub เพื่อลบข้อมูลมือถือเหยื่อซ้ำถึงสามครั้ง พร้อมแพร่มัลแวร์ต่อไปยังเพื่อนในแชท ✅ การโจมตีไซเบอร์จากเกาหลีเหนือ ➡️ ใช้ KakaoTalk ส่งไฟล์มัลแวร์ ➡️ เข้าถึง Google Find Hub ลบข้อมูล ‼️ ความเสี่ยง ⛔ ข้อมูลส่วนตัวถูกขโมย ⛔ มัลแวร์แพร่ไปยังเพื่อนในแชท 📧 Microsoft 365 เจอคลื่นฟิชชิ่งใหม่ “Quantum Route Redirect” แพลตฟอร์มฟิชชิ่งอัตโนมัติที่ตรวจจับว่าใครเป็นบอทหรือคนจริง หากเป็นคนจริงจะถูกส่งไปหน้าเว็บปลอมเพื่อขโมยรหัสผ่าน ทำให้การโจมตีง่ายขึ้นและแพร่ไปกว่า 90 ประเทศ ✅ ฟิชชิ่ง Microsoft 365 ➡️ Quantum Route Redirect ตรวจจับบอท ➡️ ส่งผู้ใช้จริงไปหน้าเว็บปลอม ‼️ ความเสี่ยง ⛔ แพร่ไปกว่า 90 ประเทศ ⛔ ทำให้การโจมตีง่ายขึ้น 🌐 Ookla เปิดตัว Speedtest Pulse: เครื่องมือวัดเน็ตแบบใหม่ อุปกรณ์ใหม่ช่วยผู้ให้บริการตรวจสอบปัญหาเน็ตในบ้านได้แม่นยำขึ้น มีโหมด Active Pulse ตรวจสอบทันที และ Continuous Pulse ที่จะตามหาปัญหาเน็ตที่เกิดเป็นครั้งคราว ✅ Ookla Speedtest Pulse ➡️ Active Pulse ตรวจสอบทันที ➡️ Continuous Pulse ตรวจสอบปัญหาเน็ตซ้ำ ‼️ ความเสี่ยง ⛔ ยังไม่ประกาศราคาและวันวางจำหน่าย ⚖️ Wyze Scale Ultra BodyScan: เครื่องชั่งอัจฉริยะราคาย่อมเยา มีสายจับพร้อมอิเล็กโทรดเพื่อวัดร่างกายแยกส่วน แขน ขา ลำตัว ให้ข้อมูลสุขภาพละเอียดขึ้น เชื่อมต่อกับ Apple Health และ Google Fit ได้ ✅ Wyze Scale Ultra BodyScan ➡️ วัดร่างกายแยกส่วน ➡️ เชื่อมต่อกับ Apple Health และ Google Fit ‼️ ความเสี่ยง ⛔ ราคาสูงกว่ารุ่นอื่นในตลาด 🛡️ ช่องโหว่ร้ายแรงในไลบรารี JavaScript ยอดนิยม expr-eval ไลบรารีที่มีดาวน์โหลดกว่า 800,000 ครั้งต่อสัปดาห์ พบช่องโหว่ Remote Code Execution หากไม่อัปเดตอาจถูกแฮกเข้าระบบได้ ✅ ช่องโหว่ expr-eval ➡️ พบ Remote Code Execution ➡️ อัปเดตแก้ไขแล้วในเวอร์ชันใหม่ ‼️ ความเสี่ยง ⛔ ผู้ใช้ที่ไม่อัปเดตเสี่ยงถูกเจาะระบบ 🎮 Sony ยืดอายุ PS5 ถึงปี 2030 Sony ประกาศว่า PS5 ยังอยู่กลางวงจรชีวิต และจะขยายต่อไปอีก ทำให้คาดว่า PS6 จะเปิดตัวราวปี 2027–2028 แต่ PS5 จะยังได้รับการสนับสนุนต่อเนื่อง ✅ Sony ยืดอายุ PS5 ➡️ สนับสนุนต่อถึงปี 2030 ➡️ PS6 คาดเปิดตัวปี 2027–2028 🏨 ฟิชชิ่งโจมตีโรงแรม: PureRAT แฝงตัวใน Booking.com แฮกเกอร์ใช้บัญชี Booking.com ที่ถูกขโมย ส่งลิงก์ปลอมไปยังโรงแรมและลูกค้า ขโมยทั้งรหัสผ่านและข้อมูลบัตรเครดิต ✅ ฟิชชิ่งโจมตีโรงแรม ➡️ ใช้ PureRAT ขโมยข้อมูล ➡️ ส่งลิงก์ปลอม Booking.com ‼️ ความเสี่ยง ⛔ ขโมยข้อมูลบัตรเครดิตลูกค้า 🤖 AI บริษัทใหญ่ทำข้อมูลรั่วบน GitHub วิจัยพบว่า 65% ของบริษัท AI ชั้นนำทำ API key และ token รั่วบน GitHub โดยมากเกิดจากนักพัฒนาเผลออัปโหลดข้อมูลลง repo ส่วนตัว ✅ AI บริษัทใหญ่รั่วข้อมูล ➡️ 65% ของบริษัท AI รั่ว API key ➡️ เกิดจาก repo ส่วนตัวนักพัฒนา ‼️ ความเสี่ยง ⛔ อาจถูกใช้โจมตีระบบ AI 🏛️ หลังเหตุโจรกรรม Louvre: Proton แจก Password Manager ฟรี หลังพบว่ารหัสกล้องวงจรปิดของ Louvre คือ “louvre” บริษัท Proton จึงเสนอให้พิพิธภัณฑ์และหอศิลป์ทั่วโลกใช้ Proton Pass ฟรี 2 ปี ✅ Proton ช่วยพิพิธภัณฑ์ ➡️ แจก Proton Pass ฟรี 2 ปี ➡️ ป้องกันรหัสผ่านอ่อนแอ ‼️ ความเสี่ยง ⛔ เหตุ Louvre แสดงให้เห็นช่องโหว่ร้ายแรง 💻 Windows 11 เตรียมเพิ่ม Haptic Feedback ใน Trackpad Microsoft ซ่อนฟีเจอร์ “Haptic Signals” ในเวอร์ชันทดสอบ จะทำให้ผู้ใช้รู้สึกถึงแรงสั่นเมื่อ snap หน้าต่างหรือจัดวางวัตถุ คล้ายกับ Force Touch ของ MacBook ✅ Windows 11 เพิ่ม Haptic Feedback ➡️ ฟีเจอร์ Haptic Signals ➡️ คล้าย Force Touch ของ MacBook 🦊 Firefox ลดการติดตามด้วย Anti-Fingerprinting Mozilla เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ ลดการระบุตัวตนผู้ใช้จาก fingerprint ลงได้ถึง 70% โดยใช้เทคนิคสุ่ม noise และบังคับใช้ฟอนต์มาตรฐาน ✅ Firefox Anti-Fingerprinting ➡️ ลดการติดตามลง 70% ➡️ ใช้ noise และฟอนต์มาตรฐาน 📩 Facebook Business Page ปลอมระบาด แฮกเกอร์สร้างเพจปลอม ส่งอีเมลจากโดเมนจริง facebookmail.com หลอกผู้ใช้ให้กรอกข้อมูลเข้าสู่ระบบ ทำให้ธุรกิจเล็ก ๆ เสี่ยงถูกขโมยบัญชี ✅ Facebook Page ปลอม ➡️ ส่งอีเมลจาก facebookmail.com ➡️ หลอกผู้ใช้กรอกข้อมูล ‼️ ความเสี่ยง ⛔ ธุรกิจเล็ก ๆ เสี่ยงถูกขโมยบัญชี https://www.techradar.com/
    0 Comments 0 Shares 421 Views 0 Reviews
  • ข่าวไซเบอร์: 8 ผู้ให้บริการป้องกันการยึดบัญชี (ATO) ที่แนะนำ

    ในปี 2025 การโจมตีแบบ Account Takeover (ATO) กลายเป็นภัยคุกคามที่รุนแรงขึ้น โดยเฉพาะในภาค อีคอมเมิร์ซ, ธนาคาร, การดูแลสุขภาพ และ SaaS แฮกเกอร์ใช้วิธี ฟิชชิ่ง, Credential Stuffing, Brute Force และบอทอัตโนมัติในการเข้าถึงบัญชีผู้ใช้ ทำให้ธุรกิจสูญเสียข้อมูลและชื่อเสียง

    เพื่อรับมือกับภัยนี้ บทความ Hackread ได้แนะนำ 8 ผู้ให้บริการโซลูชัน ATO ที่โดดเด่นในตลาด:

    รายชื่อผู้ให้บริการ
    1️⃣ DataDome – AI ตรวจจับบอทและการโจมตีแบบ Credential Stuffing แบบเรียลไทม์
    2️⃣ Imperva – ป้องกันการสมัครปลอม, การโจมตี API และการขูดข้อมูล (Scraping)
    3️⃣ F5 Distributed Cloud Bot Defence – ใช้ Behavioral Fingerprinting และ Adaptive Risk Scoring
    4️⃣ Telesign – เน้นการตรวจสอบตัวตนด้วย SMS และโทรศัพท์
    5️⃣ Cloudflare Bot Management – ป้องกันบอทด้วย Machine Learning และ Fingerprinting
    6️⃣ Darktrace – ใช้ AI แบบ Self-learning ตรวจจับพฤติกรรมผิดปกติ
    7️⃣ Proofpoint – ป้องกันการโจมตีผ่านฟิชชิ่งและตรวจสอบข้อมูลรั่วไหลบนดาร์กเว็บ
    8️⃣ Akamai – ใช้เครือข่าย CDN และ Edge Computing ตรวจจับการเข้าสู่ระบบที่ผิดปกติ

    https://hackread.com/recommended-account-takeover-security-providers/
    🔐 ข่าวไซเบอร์: 8 ผู้ให้บริการป้องกันการยึดบัญชี (ATO) ที่แนะนำ ในปี 2025 การโจมตีแบบ Account Takeover (ATO) กลายเป็นภัยคุกคามที่รุนแรงขึ้น โดยเฉพาะในภาค อีคอมเมิร์ซ, ธนาคาร, การดูแลสุขภาพ และ SaaS แฮกเกอร์ใช้วิธี ฟิชชิ่ง, Credential Stuffing, Brute Force และบอทอัตโนมัติในการเข้าถึงบัญชีผู้ใช้ ทำให้ธุรกิจสูญเสียข้อมูลและชื่อเสียง เพื่อรับมือกับภัยนี้ บทความ Hackread ได้แนะนำ 8 ผู้ให้บริการโซลูชัน ATO ที่โดดเด่นในตลาด: 🛡️ รายชื่อผู้ให้บริการ 1️⃣ DataDome – AI ตรวจจับบอทและการโจมตีแบบ Credential Stuffing แบบเรียลไทม์ 2️⃣ Imperva – ป้องกันการสมัครปลอม, การโจมตี API และการขูดข้อมูล (Scraping) 3️⃣ F5 Distributed Cloud Bot Defence – ใช้ Behavioral Fingerprinting และ Adaptive Risk Scoring 4️⃣ Telesign – เน้นการตรวจสอบตัวตนด้วย SMS และโทรศัพท์ 5️⃣ Cloudflare Bot Management – ป้องกันบอทด้วย Machine Learning และ Fingerprinting 6️⃣ Darktrace – ใช้ AI แบบ Self-learning ตรวจจับพฤติกรรมผิดปกติ 7️⃣ Proofpoint – ป้องกันการโจมตีผ่านฟิชชิ่งและตรวจสอบข้อมูลรั่วไหลบนดาร์กเว็บ 8️⃣ Akamai – ใช้เครือข่าย CDN และ Edge Computing ตรวจจับการเข้าสู่ระบบที่ผิดปกติ https://hackread.com/recommended-account-takeover-security-providers/
    HACKREAD.COM
    8 Recommended Account Takeover Security Providers
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 190 Views 0 Reviews
  • "กรอกฟอร์ม PDF ออนไลน์อย่างมืออาชีพ – เปลี่ยนงานเอกสารให้คล่องตัวและปลอดภัย”

    ลองนึกภาพว่าคุณต้องเซ็นเอกสารด่วน ส่งฟอร์ม HR หรืออนุมัติใบสั่งซื้อ แต่คุณอยู่ต่างจังหวัด ไม่มีเครื่องพิมพ์ ไม่มีสแกนเนอร์… นี่คือเหตุผลที่การกรอกฟอร์ม PDF ออนไลน์กลายเป็นสิ่งจำเป็นในยุคดิจิทัล

    บทความนี้ชี้ให้เห็นว่าองค์กรยุคใหม่ไม่ควรเสียเวลาไปกับการพิมพ์-เซ็น-สแกน-ส่งอีเมลอีกต่อไป เพราะมีเครื่องมือออนไลน์ที่ช่วยให้คุณกรอกฟอร์ม PDF ได้จากทุกอุปกรณ์ ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต หรือสมาร์ทโฟน

    การกรอกฟอร์มออนไลน์ไม่เพียงแค่สะดวก แต่ยังช่วยลดข้อผิดพลาด เช่น ช่องว่างที่ลืมกรอก หรือข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน เพราะระบบสามารถตั้งค่าให้ตรวจสอบความถูกต้องก่อนส่งได้

    นอกจากนี้ยังสามารถกำหนดลำดับการเซ็นเอกสาร ส่งลิงก์ให้ผู้เกี่ยวข้อง และติดตามสถานะการอนุมัติได้แบบเรียลไทม์ เพิ่มความโปร่งใสและลดการตามงานแบบเดิมๆ

    การใช้แพลตฟอร์มที่รองรับลายเซ็นดิจิทัล เช่น Adobe Sign, DocuSign หรือ SignNow ยังช่วยให้เอกสารมีความปลอดภัยตามมาตรฐานกฎหมาย และสามารถตรวจสอบย้อนหลังได้

    ข้อดีของการกรอกฟอร์ม PDF ออนไลน์
    กรอกได้จากทุกอุปกรณ์ ไม่ต้องติดตั้งโปรแกรม
    ลดข้อผิดพลาดจากการกรอกข้อมูลไม่ครบ
    ส่งลิงก์ให้เซ็นเอกสารได้ทันที
    ติดตามสถานะการอนุมัติแบบเรียลไทม์
    เพิ่มความโปร่งใสและลดการตามงาน

    เทคนิคการใช้งานอย่างมืออาชีพ
    วางแผนลำดับการเซ็นเอกสาร
    ใช้เทมเพลตเพื่อความรวดเร็วและความสม่ำเสมอ
    เพิ่มคำแนะนำในฟอร์มเพื่อลดความสับสน
    ตั้งค่าความปลอดภัย เช่น 2FA หรือการยืนยันตัวตน

    การผสานกับแพลตฟอร์มลายเซ็นดิจิทัล
    รองรับลายเซ็นที่ถูกต้องตามกฎหมาย
    มีระบบ audit trail ตรวจสอบย้อนหลัง
    แบ่งสิทธิ์การเข้าถึงตามแผนกหรือผู้ใช้งาน

    คำเตือนในการใช้งานฟอร์ม PDF ออนไลน์
    ไม่ใช่ทุก PDF จะสามารถกรอกได้ทันที ต้องมีการสร้างฟิลด์ก่อน
    ควรเลือกแพลตฟอร์มที่มีการเข้ารหัสข้อมูล
    หลีกเลี่ยงการส่งเอกสารผ่านช่องทางที่ไม่ปลอดภัย เช่น อีเมลทั่วไป

    ความเสี่ยงจากการใช้แพลตฟอร์มที่ไม่มีมาตรฐาน
    อาจทำให้ข้อมูลรั่วไหลหรือถูกดัดแปลง
    เอกสารอาจไม่ถูกต้องตามกฎหมายหากไม่มีลายเซ็นที่รับรอง

    https://securityonline.info/fill-out-pdf-form-online-a-professional-guide/
    📄 "กรอกฟอร์ม PDF ออนไลน์อย่างมืออาชีพ – เปลี่ยนงานเอกสารให้คล่องตัวและปลอดภัย” ลองนึกภาพว่าคุณต้องเซ็นเอกสารด่วน ส่งฟอร์ม HR หรืออนุมัติใบสั่งซื้อ แต่คุณอยู่ต่างจังหวัด ไม่มีเครื่องพิมพ์ ไม่มีสแกนเนอร์… นี่คือเหตุผลที่การกรอกฟอร์ม PDF ออนไลน์กลายเป็นสิ่งจำเป็นในยุคดิจิทัล บทความนี้ชี้ให้เห็นว่าองค์กรยุคใหม่ไม่ควรเสียเวลาไปกับการพิมพ์-เซ็น-สแกน-ส่งอีเมลอีกต่อไป เพราะมีเครื่องมือออนไลน์ที่ช่วยให้คุณกรอกฟอร์ม PDF ได้จากทุกอุปกรณ์ ไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต หรือสมาร์ทโฟน การกรอกฟอร์มออนไลน์ไม่เพียงแค่สะดวก แต่ยังช่วยลดข้อผิดพลาด เช่น ช่องว่างที่ลืมกรอก หรือข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน เพราะระบบสามารถตั้งค่าให้ตรวจสอบความถูกต้องก่อนส่งได้ นอกจากนี้ยังสามารถกำหนดลำดับการเซ็นเอกสาร ส่งลิงก์ให้ผู้เกี่ยวข้อง และติดตามสถานะการอนุมัติได้แบบเรียลไทม์ เพิ่มความโปร่งใสและลดการตามงานแบบเดิมๆ การใช้แพลตฟอร์มที่รองรับลายเซ็นดิจิทัล เช่น Adobe Sign, DocuSign หรือ SignNow ยังช่วยให้เอกสารมีความปลอดภัยตามมาตรฐานกฎหมาย และสามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ ✅ ข้อดีของการกรอกฟอร์ม PDF ออนไลน์ ➡️ กรอกได้จากทุกอุปกรณ์ ไม่ต้องติดตั้งโปรแกรม ➡️ ลดข้อผิดพลาดจากการกรอกข้อมูลไม่ครบ ➡️ ส่งลิงก์ให้เซ็นเอกสารได้ทันที ➡️ ติดตามสถานะการอนุมัติแบบเรียลไทม์ ➡️ เพิ่มความโปร่งใสและลดการตามงาน ✅ เทคนิคการใช้งานอย่างมืออาชีพ ➡️ วางแผนลำดับการเซ็นเอกสาร ➡️ ใช้เทมเพลตเพื่อความรวดเร็วและความสม่ำเสมอ ➡️ เพิ่มคำแนะนำในฟอร์มเพื่อลดความสับสน ➡️ ตั้งค่าความปลอดภัย เช่น 2FA หรือการยืนยันตัวตน ✅ การผสานกับแพลตฟอร์มลายเซ็นดิจิทัล ➡️ รองรับลายเซ็นที่ถูกต้องตามกฎหมาย ➡️ มีระบบ audit trail ตรวจสอบย้อนหลัง ➡️ แบ่งสิทธิ์การเข้าถึงตามแผนกหรือผู้ใช้งาน ‼️ คำเตือนในการใช้งานฟอร์ม PDF ออนไลน์ ⛔ ไม่ใช่ทุก PDF จะสามารถกรอกได้ทันที ต้องมีการสร้างฟิลด์ก่อน ⛔ ควรเลือกแพลตฟอร์มที่มีการเข้ารหัสข้อมูล ⛔ หลีกเลี่ยงการส่งเอกสารผ่านช่องทางที่ไม่ปลอดภัย เช่น อีเมลทั่วไป ‼️ ความเสี่ยงจากการใช้แพลตฟอร์มที่ไม่มีมาตรฐาน ⛔ อาจทำให้ข้อมูลรั่วไหลหรือถูกดัดแปลง ⛔ เอกสารอาจไม่ถูกต้องตามกฎหมายหากไม่มีลายเซ็นที่รับรอง https://securityonline.info/fill-out-pdf-form-online-a-professional-guide/
    SECURITYONLINE.INFO
    Fill Out PDF Form Online: A Professional Guide
    It is not only a daily routine matter, but also a business-running activity to the decision-maker, office manager,
    0 Comments 0 Shares 133 Views 0 Reviews
  • QNAP เร่งอุดช่องโหว่ 7 จุด หลังถูกเจาะในงาน Pwn2Own 2025

    สวัสดีครับทุกคน วันนี้มีข่าวใหญ่ในวงการไซเบอร์ที่ต้องจับตามอง! บริษัท QNAP ซึ่งเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์ NAS (Network-Attached Storage) ได้ออกประกาศเตือนภัยและปล่อยแพตช์อัปเดตด่วน หลังจากมีการเจาะระบบสำเร็จถึง 7 ช่องโหว่ในงานแข่งขันแฮกเกอร์ระดับโลก Pwn2Own Ireland 2025

    เรื่องนี้ไม่ใช่แค่การโชว์ฝีมือของแฮกเกอร์ แต่เป็นการเปิดเผยช่องโหว่ที่อาจถูกนำไปใช้โจมตีจริงในโลกไซเบอร์ โดยช่องโหว่เหล่านี้กระทบทั้งระบบปฏิบัติการหลักของ QNAP และแอปสำคัญอย่างเครื่องมือสำรองข้อมูลและตัวกำจัดมัลแวร์ ซึ่งเป็นหัวใจของการปกป้องข้อมูลผู้ใช้

    ทีมที่สามารถเจาะระบบได้มีทั้ง Summoning Team, DEVCORE, Team DDOS และแม้แต่เด็กฝึกงานจาก CyCraft! นี่แสดงให้เห็นว่าช่องโหว่เหล่านี้มีความร้ายแรงและเข้าถึงได้ง่ายเพียงใด

    นอกจากการรายงานข่าว ผมขอเสริมข้อมูลจากภายนอกว่า Pwn2Own เป็นงานแข่งขันที่มีชื่อเสียงมากในวงการความปลอดภัยไซเบอร์ โดยผู้เข้าแข่งขันจะได้รับเงินรางวัลและชื่อเสียงจากการค้นพบช่องโหว่ใหม่ ซึ่งหลายครั้งนำไปสู่การปรับปรุงระบบทั่วโลก

    ช่องโหว่ในระบบปฏิบัติการ QNAP
    พบใน QTS และ QuTS hero หลายเวอร์ชัน
    ช่องโหว่ CVE-2025-62847 ถึง CVE-2025-62849
    เสี่ยงต่อการถูกเจาะระบบจากระยะไกลและข้อมูลรั่วไหล

    ช่องโหว่ในแอปสำรองข้อมูล
    HBS 3 Hybrid Backup Sync มีช่องโหว่ CVE-2025-62840 และ CVE-2025-62842
    ต้องอัปเดตเป็นเวอร์ชัน 26.2.0.938 ขึ้นไป

    ช่องโหว่ในแอปป้องกันมัลแวร์
    Malware Remover มีช่องโหว่ CVE-2025-11837
    ต้องอัปเดตเป็นเวอร์ชัน 6.6.8.20251023 ขึ้นไป

    ทีมที่เจาะระบบสำเร็จในงาน Pwn2Own
    Summoning Team, DEVCORE, Team DDOS และ CyCraft intern

    ความสำคัญของงาน Pwn2Own
    เป็นเวทีแข่งขันระดับโลกด้านความปลอดภัยไซเบอร์
    ส่งผลให้บริษัทต่างๆ เร่งอุดช่องโหว่เพื่อป้องกันการโจมตีจริง

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้ QNAP
    หากยังไม่ได้อัปเดต อุปกรณ์ NAS อาจถูกเจาะและข้อมูลรั่วไหล
    ช่องโหว่เหล่านี้ถูกพิสูจน์แล้วว่าใช้งานได้จริง
    ควรอัปเดตเฟิร์มแวร์และแอปทันทีเพื่อความปลอดภัย

    ความเสี่ยงจากการละเลยการอัปเดต
    อาจถูกโจมตีจากแฮกเกอร์ที่นำเทคนิคจากงาน Pwn2Own ไปใช้
    ข้อมูลสำคัญใน NAS เช่นไฟล์งานหรือภาพถ่ายส่วนตัวอาจถูกขโมย

    หากคุณใช้ QNAP อย่ารอช้า รีบตรวจสอบเวอร์ชันและอัปเดตทันทีนะครับ เพื่อความปลอดภัยของข้อมูลและระบบของคุณเอง

    https://securityonline.info/critical-warning-qnap-patches-seven-zero-days-exploited-at-pwn2own-2025/
    🛡️ QNAP เร่งอุดช่องโหว่ 7 จุด หลังถูกเจาะในงาน Pwn2Own 2025 สวัสดีครับทุกคน วันนี้มีข่าวใหญ่ในวงการไซเบอร์ที่ต้องจับตามอง! บริษัท QNAP ซึ่งเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์ NAS (Network-Attached Storage) ได้ออกประกาศเตือนภัยและปล่อยแพตช์อัปเดตด่วน หลังจากมีการเจาะระบบสำเร็จถึง 7 ช่องโหว่ในงานแข่งขันแฮกเกอร์ระดับโลก Pwn2Own Ireland 2025 เรื่องนี้ไม่ใช่แค่การโชว์ฝีมือของแฮกเกอร์ แต่เป็นการเปิดเผยช่องโหว่ที่อาจถูกนำไปใช้โจมตีจริงในโลกไซเบอร์ โดยช่องโหว่เหล่านี้กระทบทั้งระบบปฏิบัติการหลักของ QNAP และแอปสำคัญอย่างเครื่องมือสำรองข้อมูลและตัวกำจัดมัลแวร์ ซึ่งเป็นหัวใจของการปกป้องข้อมูลผู้ใช้ ทีมที่สามารถเจาะระบบได้มีทั้ง Summoning Team, DEVCORE, Team DDOS และแม้แต่เด็กฝึกงานจาก CyCraft! นี่แสดงให้เห็นว่าช่องโหว่เหล่านี้มีความร้ายแรงและเข้าถึงได้ง่ายเพียงใด นอกจากการรายงานข่าว ผมขอเสริมข้อมูลจากภายนอกว่า Pwn2Own เป็นงานแข่งขันที่มีชื่อเสียงมากในวงการความปลอดภัยไซเบอร์ โดยผู้เข้าแข่งขันจะได้รับเงินรางวัลและชื่อเสียงจากการค้นพบช่องโหว่ใหม่ ซึ่งหลายครั้งนำไปสู่การปรับปรุงระบบทั่วโลก ✅ ช่องโหว่ในระบบปฏิบัติการ QNAP ➡️ พบใน QTS และ QuTS hero หลายเวอร์ชัน ➡️ ช่องโหว่ CVE-2025-62847 ถึง CVE-2025-62849 ➡️ เสี่ยงต่อการถูกเจาะระบบจากระยะไกลและข้อมูลรั่วไหล ✅ ช่องโหว่ในแอปสำรองข้อมูล ➡️ HBS 3 Hybrid Backup Sync มีช่องโหว่ CVE-2025-62840 และ CVE-2025-62842 ➡️ ต้องอัปเดตเป็นเวอร์ชัน 26.2.0.938 ขึ้นไป ✅ ช่องโหว่ในแอปป้องกันมัลแวร์ ➡️ Malware Remover มีช่องโหว่ CVE-2025-11837 ➡️ ต้องอัปเดตเป็นเวอร์ชัน 6.6.8.20251023 ขึ้นไป ✅ ทีมที่เจาะระบบสำเร็จในงาน Pwn2Own ➡️ Summoning Team, DEVCORE, Team DDOS และ CyCraft intern ✅ ความสำคัญของงาน Pwn2Own ➡️ เป็นเวทีแข่งขันระดับโลกด้านความปลอดภัยไซเบอร์ ➡️ ส่งผลให้บริษัทต่างๆ เร่งอุดช่องโหว่เพื่อป้องกันการโจมตีจริง ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ QNAP ⛔ หากยังไม่ได้อัปเดต อุปกรณ์ NAS อาจถูกเจาะและข้อมูลรั่วไหล ⛔ ช่องโหว่เหล่านี้ถูกพิสูจน์แล้วว่าใช้งานได้จริง ⛔ ควรอัปเดตเฟิร์มแวร์และแอปทันทีเพื่อความปลอดภัย ‼️ ความเสี่ยงจากการละเลยการอัปเดต ⛔ อาจถูกโจมตีจากแฮกเกอร์ที่นำเทคนิคจากงาน Pwn2Own ไปใช้ ⛔ ข้อมูลสำคัญใน NAS เช่นไฟล์งานหรือภาพถ่ายส่วนตัวอาจถูกขโมย หากคุณใช้ QNAP อย่ารอช้า รีบตรวจสอบเวอร์ชันและอัปเดตทันทีนะครับ เพื่อความปลอดภัยของข้อมูลและระบบของคุณเอง 💻🔐 https://securityonline.info/critical-warning-qnap-patches-seven-zero-days-exploited-at-pwn2own-2025/
    SECURITYONLINE.INFO
    Critical Warning: QNAP Patches Seven Zero-Days Exploited at Pwn2Own 2025
    QNAP patched 7 zero-day flaws in QTS/QuTS hero and apps (HBS 3, Malware Remover) after being hacked by researchers at Pwn2Own Ireland 2025. Update urgently.
    0 Comments 0 Shares 147 Views 0 Reviews
  • พบช่องโหว่ใหม่ใน ChatGPT! แฮกเกอร์สามารถขโมยข้อมูลและควบคุมความจำของ AI ได้โดยไม่ต้องคลิก

    รายงานล่าสุดจาก Tenable Research เผยว่า ChatGPT รวมถึงเวอร์ชัน GPT-5 มีช่องโหว่ร้ายแรงถึง 7 จุด ที่เปิดโอกาสให้แฮกเกอร์สามารถขโมยข้อมูลผู้ใช้และควบคุมการทำงานของ AI ได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่ต้องให้ผู้ใช้คลิกหรือยืนยันใด ๆ

    ภัยคุกคามหลักคือ “Prompt Injection” โดยเฉพาะรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า “Indirect Prompt Injection” ซึ่งคำสั่งอันตรายไม่ได้ถูกพิมพ์โดยผู้ใช้ แต่ซ่อนอยู่ในแหล่งข้อมูลภายนอก เช่น:

    ซ่อนในคอมเมนต์บล็อก: ถ้าผู้ใช้ขอให้ ChatGPT สรุปเนื้อหาบล็อกที่มีคอมเมนต์แฝงคำสั่ง แชตบอทจะอ่านและทำตามคำสั่งนั้นโดยไม่รู้ตัว

    0-Click Attack ผ่านการค้นหา: แค่ถามคำถามธรรมดา หาก AI ไปเจอเว็บไซต์ที่มีคำสั่งแฝง ก็อาจถูกควบคุมทันทีโดยไม่ต้องคลิกใด ๆ

    นอกจากนี้ยังมีเทคนิคอื่น ๆ ที่ทำให้การโจมตีมีผลต่อเนื่อง:

    Safety Bypass: ใช้ลิงก์ Bing ที่ดูปลอดภัยเพื่อหลบระบบป้องกัน url_safe

    Conversation Injection: AI ถูกหลอกให้ใส่คำสั่งอันตรายลงในหน่วยความจำของตัวเอง

    Memory Injection: คำสั่งถูกฝังลงใน “ความจำถาวร” ของผู้ใช้ ทำให้ข้อมูลรั่วไหลทุกครั้งที่ใช้งาน

    James Wickett จาก DryRun Security เตือนว่า “Prompt injection คือภัยอันดับหนึ่งของระบบที่ใช้ LLM” และแม้แต่ OpenAI ก็ยังไม่สามารถป้องกันได้ทั้งหมด


    ช่องโหว่ใน ChatGPT และ GPT-5
    พบ 7 ช่องโหว่ที่เปิดทางให้แฮกเกอร์ควบคุมระบบ
    ใช้เทคนิค phishing, data exfiltration และ persistent threats

    Prompt Injection แบบใหม่
    Indirect Prompt Injection ซ่อนคำสั่งในแหล่งข้อมูลภายนอก
    AI อ่านคำสั่งโดยไม่รู้ตัวและทำตามทันที

    เทคนิคการโจมตีที่ใช้
    ซ่อนคำสั่งในคอมเมนต์บล็อก
    ใช้เว็บไซต์ที่ถูกจัดอันดับในระบบค้นหาของ AI
    ใช้ลิงก์ Bing เพื่อหลบระบบป้องกัน
    ฝังคำสั่งในหน่วยความจำของ AI

    ผลกระทบต่อผู้ใช้
    ข้อมูลส่วนตัวอาจรั่วไหลโดยไม่รู้ตัว
    การใช้งาน AI อาจถูกควบคุมจากภายนอก
    ความจำของ AI อาจกลายเป็นช่องทางโจมตีถาวร


    https://hackread.com/chatgpt-vulnerabilities-hackers-hijack-memory/
    ⚠️ พบช่องโหว่ใหม่ใน ChatGPT! แฮกเกอร์สามารถขโมยข้อมูลและควบคุมความจำของ AI ได้โดยไม่ต้องคลิก รายงานล่าสุดจาก Tenable Research เผยว่า ChatGPT รวมถึงเวอร์ชัน GPT-5 มีช่องโหว่ร้ายแรงถึง 7 จุด ที่เปิดโอกาสให้แฮกเกอร์สามารถขโมยข้อมูลผู้ใช้และควบคุมการทำงานของ AI ได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่ต้องให้ผู้ใช้คลิกหรือยืนยันใด ๆ ภัยคุกคามหลักคือ “Prompt Injection” โดยเฉพาะรูปแบบใหม่ที่เรียกว่า “Indirect Prompt Injection” ซึ่งคำสั่งอันตรายไม่ได้ถูกพิมพ์โดยผู้ใช้ แต่ซ่อนอยู่ในแหล่งข้อมูลภายนอก เช่น: 💬 ซ่อนในคอมเมนต์บล็อก: ถ้าผู้ใช้ขอให้ ChatGPT สรุปเนื้อหาบล็อกที่มีคอมเมนต์แฝงคำสั่ง แชตบอทจะอ่านและทำตามคำสั่งนั้นโดยไม่รู้ตัว 🌐 0-Click Attack ผ่านการค้นหา: แค่ถามคำถามธรรมดา หาก AI ไปเจอเว็บไซต์ที่มีคำสั่งแฝง ก็อาจถูกควบคุมทันทีโดยไม่ต้องคลิกใด ๆ นอกจากนี้ยังมีเทคนิคอื่น ๆ ที่ทำให้การโจมตีมีผลต่อเนื่อง: 🔗 Safety Bypass: ใช้ลิงก์ Bing ที่ดูปลอดภัยเพื่อหลบระบบป้องกัน url_safe 🧩 Conversation Injection: AI ถูกหลอกให้ใส่คำสั่งอันตรายลงในหน่วยความจำของตัวเอง 🧠 Memory Injection: คำสั่งถูกฝังลงใน “ความจำถาวร” ของผู้ใช้ ทำให้ข้อมูลรั่วไหลทุกครั้งที่ใช้งาน James Wickett จาก DryRun Security เตือนว่า “Prompt injection คือภัยอันดับหนึ่งของระบบที่ใช้ LLM” และแม้แต่ OpenAI ก็ยังไม่สามารถป้องกันได้ทั้งหมด ✅ ช่องโหว่ใน ChatGPT และ GPT-5 ➡️ พบ 7 ช่องโหว่ที่เปิดทางให้แฮกเกอร์ควบคุมระบบ ➡️ ใช้เทคนิค phishing, data exfiltration และ persistent threats ✅ Prompt Injection แบบใหม่ ➡️ Indirect Prompt Injection ซ่อนคำสั่งในแหล่งข้อมูลภายนอก ➡️ AI อ่านคำสั่งโดยไม่รู้ตัวและทำตามทันที ✅ เทคนิคการโจมตีที่ใช้ ➡️ ซ่อนคำสั่งในคอมเมนต์บล็อก ➡️ ใช้เว็บไซต์ที่ถูกจัดอันดับในระบบค้นหาของ AI ➡️ ใช้ลิงก์ Bing เพื่อหลบระบบป้องกัน ➡️ ฝังคำสั่งในหน่วยความจำของ AI ✅ ผลกระทบต่อผู้ใช้ ➡️ ข้อมูลส่วนตัวอาจรั่วไหลโดยไม่รู้ตัว ➡️ การใช้งาน AI อาจถูกควบคุมจากภายนอก ➡️ ความจำของ AI อาจกลายเป็นช่องทางโจมตีถาวร https://hackread.com/chatgpt-vulnerabilities-hackers-hijack-memory/
    HACKREAD.COM
    New ChatGPT Vulnerabilities Let Hackers Steal Data, Hijack Memory
    Follow us on Bluesky, Twitter (X), Mastodon and Facebook at @Hackread
    0 Comments 0 Shares 123 Views 0 Reviews
  • Proton เปิดตัว Data Breach Observatory — เครื่องมือตรวจจับข้อมูลรั่วไหลจาก Dark Web แบบเรียลไทม์

    Proton เปิดตัวแพลตฟอร์มใหม่ชื่อว่า “Data Breach Observatory” ที่ช่วยติดตามการรั่วไหลของข้อมูลจากตลาดมืดบน Dark Web โดยสามารถตรวจสอบได้ว่าองค์กรใดถูกเจาะ ข้อมูลใดถูกขโมย และจำนวนที่รั่วไหล — ทั้งหมดนี้เพื่อสร้างความโปร่งใสในโลกไซเบอร์ที่มักถูกปิดบัง

    Proton เป็นบริษัทที่ขึ้นชื่อเรื่องความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว เช่น ProtonMail, ProtonVPN และ Proton Drive ล่าสุดพวกเขาเปิดตัว “Data Breach Observatory” ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสาธารณะที่ช่วยติดตามการรั่วไหลของข้อมูลจาก Dark Web แบบเรียลไทม์

    แพลตฟอร์มนี้จะดึงข้อมูลจากฟอรั่มและตลาดมืดที่แฮกเกอร์ใช้ซื้อขายข้อมูลที่ถูกขโมย แล้วนำมาวิเคราะห์และเผยแพร่ให้สาธารณชนเข้าถึงได้ฟรี ผู้ใช้สามารถตรวจสอบได้ว่าองค์กรใดถูกเจาะ ข้อมูลประเภทใดที่รั่วไหล และจำนวนเรคคอร์ดที่ถูกขโมย

    Proton ร่วมมือกับ Constella Intelligence ในการตรวจสอบข้อมูลจาก Dark Web และในปี 2025 เพียงปีเดียว พบเหตุการณ์รั่วไหล 794 ครั้งที่เชื่อมโยงกับองค์กรโดยตรง และอีก 1,571 เหตุการณ์ที่เป็นชุดข้อมูลรวม ซึ่งรวมแล้วมีข้อมูลหลายร้อยพันล้านเรคคอร์ดที่ถูกเปิดเผย

    ข้อมูลที่รั่วไหลส่วนใหญ่ประกอบด้วย:
    อีเมล (100%)
    ชื่อ (90%)
    ข้อมูลติดต่อ (72%)
    รหัสผ่าน (49%)

    แพลตฟอร์มนี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้องค์กรรู้ตัวก่อนจะถูกเปิดเผย แต่ยังช่วยให้บุคคลทั่วไปสามารถตรวจสอบได้ว่าข้อมูลของตนเองเคยปรากฏในตลาดมืดหรือไม่

    เกร็ดน่ารู้เพิ่มเติม
    Proton ใช้หลัก “your data, your rules” ในการออกแบบทุกบริการ
    Constella Intelligence เป็นบริษัทด้านความปลอดภัยที่เชี่ยวชาญการตรวจสอบข้อมูลจาก Dark Web
    การเปิดเผยข้อมูลรั่วไหลแบบเรียลไทม์ช่วยให้องค์กรสามารถตอบสนองได้เร็วขึ้น และลดผลกระทบจากการโจมตีทางไซเบอร์

    Data Breach Observatory ไม่ใช่แค่เครื่องมือ — แต่มันคือ “ไฟฉาย” ที่ส่องให้เห็นสิ่งที่เคยถูกซ่อนไว้ในเงามืดของโลกไซเบอร์

    https://news.itsfoss.com/proton-data-breach-observatory/
    🔍 Proton เปิดตัว Data Breach Observatory — เครื่องมือตรวจจับข้อมูลรั่วไหลจาก Dark Web แบบเรียลไทม์ Proton เปิดตัวแพลตฟอร์มใหม่ชื่อว่า “Data Breach Observatory” ที่ช่วยติดตามการรั่วไหลของข้อมูลจากตลาดมืดบน Dark Web โดยสามารถตรวจสอบได้ว่าองค์กรใดถูกเจาะ ข้อมูลใดถูกขโมย และจำนวนที่รั่วไหล — ทั้งหมดนี้เพื่อสร้างความโปร่งใสในโลกไซเบอร์ที่มักถูกปิดบัง Proton เป็นบริษัทที่ขึ้นชื่อเรื่องความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัว เช่น ProtonMail, ProtonVPN และ Proton Drive ล่าสุดพวกเขาเปิดตัว “Data Breach Observatory” ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มสาธารณะที่ช่วยติดตามการรั่วไหลของข้อมูลจาก Dark Web แบบเรียลไทม์ แพลตฟอร์มนี้จะดึงข้อมูลจากฟอรั่มและตลาดมืดที่แฮกเกอร์ใช้ซื้อขายข้อมูลที่ถูกขโมย แล้วนำมาวิเคราะห์และเผยแพร่ให้สาธารณชนเข้าถึงได้ฟรี ผู้ใช้สามารถตรวจสอบได้ว่าองค์กรใดถูกเจาะ ข้อมูลประเภทใดที่รั่วไหล และจำนวนเรคคอร์ดที่ถูกขโมย Proton ร่วมมือกับ Constella Intelligence ในการตรวจสอบข้อมูลจาก Dark Web และในปี 2025 เพียงปีเดียว พบเหตุการณ์รั่วไหล 794 ครั้งที่เชื่อมโยงกับองค์กรโดยตรง และอีก 1,571 เหตุการณ์ที่เป็นชุดข้อมูลรวม ซึ่งรวมแล้วมีข้อมูลหลายร้อยพันล้านเรคคอร์ดที่ถูกเปิดเผย ข้อมูลที่รั่วไหลส่วนใหญ่ประกอบด้วย: 🎗️ อีเมล (100%) 🎗️ ชื่อ (90%) 🎗️ ข้อมูลติดต่อ (72%) 🎗️ รหัสผ่าน (49%) แพลตฟอร์มนี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้องค์กรรู้ตัวก่อนจะถูกเปิดเผย แต่ยังช่วยให้บุคคลทั่วไปสามารถตรวจสอบได้ว่าข้อมูลของตนเองเคยปรากฏในตลาดมืดหรือไม่ 🧠 เกร็ดน่ารู้เพิ่มเติม 💠 Proton ใช้หลัก “your data, your rules” ในการออกแบบทุกบริการ 💠 Constella Intelligence เป็นบริษัทด้านความปลอดภัยที่เชี่ยวชาญการตรวจสอบข้อมูลจาก Dark Web 💠 การเปิดเผยข้อมูลรั่วไหลแบบเรียลไทม์ช่วยให้องค์กรสามารถตอบสนองได้เร็วขึ้น และลดผลกระทบจากการโจมตีทางไซเบอร์ Data Breach Observatory ไม่ใช่แค่เครื่องมือ — แต่มันคือ “ไฟฉาย” ที่ส่องให้เห็นสิ่งที่เคยถูกซ่อนไว้ในเงามืดของโลกไซเบอร์ https://news.itsfoss.com/proton-data-breach-observatory/
    0 Comments 0 Shares 114 Views 0 Reviews
  • CISOs ควรปรับแนวคิดเรื่องความเสี่ยงจากผู้ให้บริการหรือไม่? — เมื่อ AI และบริการภายนอกซับซ้อนขึ้น

    บทความจาก CSO Online ชี้ให้เห็นว่าผู้บริหารด้านความปลอดภัย (CISO) กำลังเผชิญกับความท้าทายใหม่ในการจัดการความเสี่ยงจากผู้ให้บริการภายนอก (MSP/MSSP) โดยเฉพาะเมื่อบริการเหล่านี้มีความสำคัญและซับซ้อนมากขึ้น เช่น การจัดการระบบคลาวด์, AI, และศูนย์ปฏิบัติการด้านความปลอดภัย (SOC)

    ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น
    47% ขององค์กรพบเหตุการณ์โจมตีหรือข้อมูลรั่วไหลจาก third-party ภายใน 12 เดือน
    บอร์ดบริหารกดดันให้ CISO แสดงความมั่นใจในความปลอดภัยของพันธมิตร
    การตรวจสอบผู้ให้บริการกลายเป็นภาระหนักทั้งต่อองค์กรและผู้ให้บริการ

    ความซับซ้อนของบริการ
    MSP/MSSP ไม่ใช่แค่ให้บริการพื้นฐาน แต่รวมถึง threat hunting, data warehousing, AI tuning
    การประเมินความเสี่ยงต้องครอบคลุมตั้งแต่ leadership, GRC, SDLC, SLA ไปจนถึง disaster recovery

    ความสัมพันธ์มากกว่าการตรวจสอบ
    CISOs ควรเริ่มจากการสร้างความสัมพันธ์ก่อน แล้วจึงเข้าสู่การประเมินอย่างเป็นทางการ
    การสนทนาเปิดเผยช่วยสร้างความไว้วางใจมากกว่าการกรอกแบบฟอร์ม

    คำถามแนะนำสำหรับการประเมินผู้ให้บริการ
    ใครรับผิดชอบด้าน cybersecurity และรายงานต่อใคร?
    มีการใช้ framework ใด และตรวจสอบอย่างไร?
    มีการทดสอบเชิงรุก เช่น pen test, crisis drill หรือไม่?
    มีการฝึกอบรมพนักงานด้านภัยคุกคามหรือไม่?

    บทบาทของ AI
    AI เพิ่มความเสี่ยงใหม่ แต่ก็ช่วยตรวจสอบพันธมิตรได้ดีขึ้น
    มีการติดตามการรับรอง ISO 42001 สำหรับ AI governance
    GenAI สามารถช่วยค้นหาข้อมูลสาธารณะของผู้ให้บริการเพื่อยืนยันความน่าเชื่อถือ

    ข้อเสนอแนะสำหรับ CISOs
    เปลี่ยนจาก “แบบสอบถาม” เป็น “บทสนทนา” เพื่อเข้าใจความคิดของพันธมิตร
    มองความเสี่ยงเป็น “ความรับผิดชอบร่วม” ไม่ใช่แค่การโยนภาระ
    ใช้ AI เพื่อเสริมการตรวจสอบ ไม่ใช่แทนที่การประเมินเชิงมนุษย์

    https://www.csoonline.com/article/4075982/do-cisos-need-to-rethink-service-provider-risk.html
    🛡️🤝 CISOs ควรปรับแนวคิดเรื่องความเสี่ยงจากผู้ให้บริการหรือไม่? — เมื่อ AI และบริการภายนอกซับซ้อนขึ้น บทความจาก CSO Online ชี้ให้เห็นว่าผู้บริหารด้านความปลอดภัย (CISO) กำลังเผชิญกับความท้าทายใหม่ในการจัดการความเสี่ยงจากผู้ให้บริการภายนอก (MSP/MSSP) โดยเฉพาะเมื่อบริการเหล่านี้มีความสำคัญและซับซ้อนมากขึ้น เช่น การจัดการระบบคลาวด์, AI, และศูนย์ปฏิบัติการด้านความปลอดภัย (SOC) 📈 ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น 🎗️ 47% ขององค์กรพบเหตุการณ์โจมตีหรือข้อมูลรั่วไหลจาก third-party ภายใน 12 เดือน 🎗️ บอร์ดบริหารกดดันให้ CISO แสดงความมั่นใจในความปลอดภัยของพันธมิตร 🎗️ การตรวจสอบผู้ให้บริการกลายเป็นภาระหนักทั้งต่อองค์กรและผู้ให้บริการ 🧠 ความซับซ้อนของบริการ 🎗️ MSP/MSSP ไม่ใช่แค่ให้บริการพื้นฐาน แต่รวมถึง threat hunting, data warehousing, AI tuning 🎗️ การประเมินความเสี่ยงต้องครอบคลุมตั้งแต่ leadership, GRC, SDLC, SLA ไปจนถึง disaster recovery 🤝 ความสัมพันธ์มากกว่าการตรวจสอบ 🎗️ CISOs ควรเริ่มจากการสร้างความสัมพันธ์ก่อน แล้วจึงเข้าสู่การประเมินอย่างเป็นทางการ 🎗️ การสนทนาเปิดเผยช่วยสร้างความไว้วางใจมากกว่าการกรอกแบบฟอร์ม 🧪 คำถามแนะนำสำหรับการประเมินผู้ให้บริการ 🎗️ ใครรับผิดชอบด้าน cybersecurity และรายงานต่อใคร? 🎗️ มีการใช้ framework ใด และตรวจสอบอย่างไร? 🎗️ มีการทดสอบเชิงรุก เช่น pen test, crisis drill หรือไม่? 🎗️ มีการฝึกอบรมพนักงานด้านภัยคุกคามหรือไม่? 🤖 บทบาทของ AI 🎗️ AI เพิ่มความเสี่ยงใหม่ แต่ก็ช่วยตรวจสอบพันธมิตรได้ดีขึ้น 🎗️ มีการติดตามการรับรอง ISO 42001 สำหรับ AI governance 🎗️ GenAI สามารถช่วยค้นหาข้อมูลสาธารณะของผู้ให้บริการเพื่อยืนยันความน่าเชื่อถือ ✅ ข้อเสนอแนะสำหรับ CISOs ➡️ เปลี่ยนจาก “แบบสอบถาม” เป็น “บทสนทนา” เพื่อเข้าใจความคิดของพันธมิตร ➡️ มองความเสี่ยงเป็น “ความรับผิดชอบร่วม” ไม่ใช่แค่การโยนภาระ ➡️ ใช้ AI เพื่อเสริมการตรวจสอบ ไม่ใช่แทนที่การประเมินเชิงมนุษย์ https://www.csoonline.com/article/4075982/do-cisos-need-to-rethink-service-provider-risk.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Do CISOs need to rethink service provider risk?
    CISOs are charged with managing a vast ecosystem of MSPs and MSSPs, but are the usual processes fit for purpose as outsourced services become more complex and critical — and will AI force a rethink?
    0 Comments 0 Shares 234 Views 0 Reviews
  • ข้อมูลลูกค้า Toys "R" Us ถูกขโมยและเผยแพร่บนเว็บมืด – เสี่ยงโดนฟิชชิ่งและขโมยตัวตน.

    Toys "R" Us Canada เผชิญเหตุข้อมูลรั่วไหลครั้งใหญ่ หลังแฮกเกอร์ขโมยข้อมูลลูกค้าและนำไปเผยแพร่บนเว็บมืด โดยข้อมูลที่ถูกขโมยประกอบด้วยชื่อ, ที่อยู่, อีเมล และเบอร์โทรศัพท์ของลูกค้าบางส่วน แม้จะไม่มีรหัสผ่านหรือข้อมูลบัตรเครดิตหลุดออกไป แต่ก็ยังเสี่ยงต่อการถูกฟิชชิ่งและขโมยตัวตนได้

    บริษัทได้ว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์เพื่อวิเคราะห์เหตุการณ์ และยืนยันว่าเป็นเพียง “บางส่วนของข้อมูลลูกค้า” ที่ถูกขโมย พร้อมทั้งเสริมระบบป้องกันเพิ่มเติม และแจ้งเตือนลูกค้าที่ได้รับผลกระทบแล้ว

    Toys "R" Us ยังแจ้งเตือนให้ลูกค้าระวังอีเมลหลอกลวงที่อ้างว่าเป็นบริษัท และไม่ควรคลิกลิงก์หรือเปิดไฟล์แนบจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ

    ข้อมูลที่ถูกขโมย
    ชื่อ, ที่อยู่, อีเมล, เบอร์โทรศัพท์
    ไม่มีรหัสผ่านหรือข้อมูลบัตรเครดิต
    เสี่ยงต่อการถูกฟิชชิ่งและขโมยตัวตน

    การตอบสนองของบริษัท
    ว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญด้านไซเบอร์เพื่อวิเคราะห์เหตุการณ์
    ยืนยันว่าเป็นข้อมูลลูกค้า “บางส่วน”
    แจ้งเตือนลูกค้าที่ได้รับผลกระทบ
    เสริมระบบป้องกันเพิ่มเติม

    คำแนะนำสำหรับลูกค้า
    ระวังอีเมลหลอกลวงที่อ้างว่าเป็น Toys "R" Us
    อย่าคลิกลิงก์หรือเปิดไฟล์แนบจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ
    ตรวจสอบบัญชีและกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนตัว

    https://www.techradar.com/pro/security/toys-r-us-customer-data-swiped-and-leaked-online-heres-what-we-know
    🧸 ข้อมูลลูกค้า Toys "R" Us ถูกขโมยและเผยแพร่บนเว็บมืด – เสี่ยงโดนฟิชชิ่งและขโมยตัวตน. Toys "R" Us Canada เผชิญเหตุข้อมูลรั่วไหลครั้งใหญ่ หลังแฮกเกอร์ขโมยข้อมูลลูกค้าและนำไปเผยแพร่บนเว็บมืด โดยข้อมูลที่ถูกขโมยประกอบด้วยชื่อ, ที่อยู่, อีเมล และเบอร์โทรศัพท์ของลูกค้าบางส่วน แม้จะไม่มีรหัสผ่านหรือข้อมูลบัตรเครดิตหลุดออกไป แต่ก็ยังเสี่ยงต่อการถูกฟิชชิ่งและขโมยตัวตนได้ บริษัทได้ว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยไซเบอร์เพื่อวิเคราะห์เหตุการณ์ และยืนยันว่าเป็นเพียง “บางส่วนของข้อมูลลูกค้า” ที่ถูกขโมย พร้อมทั้งเสริมระบบป้องกันเพิ่มเติม และแจ้งเตือนลูกค้าที่ได้รับผลกระทบแล้ว Toys "R" Us ยังแจ้งเตือนให้ลูกค้าระวังอีเมลหลอกลวงที่อ้างว่าเป็นบริษัท และไม่ควรคลิกลิงก์หรือเปิดไฟล์แนบจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ ✅ ข้อมูลที่ถูกขโมย ➡️ ชื่อ, ที่อยู่, อีเมล, เบอร์โทรศัพท์ ➡️ ไม่มีรหัสผ่านหรือข้อมูลบัตรเครดิต ➡️ เสี่ยงต่อการถูกฟิชชิ่งและขโมยตัวตน ✅ การตอบสนองของบริษัท ➡️ ว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญด้านไซเบอร์เพื่อวิเคราะห์เหตุการณ์ ➡️ ยืนยันว่าเป็นข้อมูลลูกค้า “บางส่วน” ➡️ แจ้งเตือนลูกค้าที่ได้รับผลกระทบ ➡️ เสริมระบบป้องกันเพิ่มเติม ✅ คำแนะนำสำหรับลูกค้า ➡️ ระวังอีเมลหลอกลวงที่อ้างว่าเป็น Toys "R" Us ➡️ อย่าคลิกลิงก์หรือเปิดไฟล์แนบจากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ ➡️ ตรวจสอบบัญชีและกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับข้อมูลส่วนตัว https://www.techradar.com/pro/security/toys-r-us-customer-data-swiped-and-leaked-online-heres-what-we-know
    WWW.TECHRADAR.COM
    Toys "R" Us customer data swiped and leaked online - here's what we know
    Names, addresses, and more from Toys "R" Us customers stolen and leaked on the dark web
    0 Comments 0 Shares 191 Views 0 Reviews
  • Microsoft Copilot อัปเกรดครั้งใหญ่: ทำงานร่วมกันได้, เชื่อมต่อ Google, และมี “Mico” เป็นเพื่อนคุย

    Microsoft ประกาศเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ใน Copilot ที่เปลี่ยนให้ผู้ช่วย AI กลายเป็น “เพื่อนร่วมงานดิจิทัล” ที่ฉลาดขึ้นและทำงานร่วมกับคนอื่นได้ดีขึ้น โดยฟีเจอร์ใหม่เหล่านี้เน้นการทำงานร่วมกัน (collaboration), การเชื่อมต่อกับแอปยอดนิยมอย่าง Google และ Outlook, รวมถึงการเพิ่มความสามารถด้านความจำและการแสดงออกทางอารมณ์ผ่าน “Mico” อวาตาร์ใหม่ของ Copilot

    การอัปเกรดนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ตลาด AI กำลังแข่งขันกันอย่างดุเดือด โดย Microsoft ต้องการให้ Copilot เป็นมากกว่าผู้ช่วยส่วนตัว แต่เป็น “พื้นที่ทำงานร่วมกัน” ที่รองรับผู้ใช้ได้ถึง 32 คนในกลุ่มเดียวกัน

    สรุปฟีเจอร์ใหม่ของ Microsoft Copilot

    1️⃣ การทำงานร่วมกันแบบกลุ่ม (Groups)
    ฟีเจอร์ใหม่
    รองรับผู้ใช้สูงสุด 32 คนในกลุ่มเดียวกัน
    ใช้ Copilot ร่วมกันเพื่อเขียนเอกสารหรือทำโปรเจกต์
    เหมาะสำหรับทีมงานที่ต้องการพื้นที่ทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์

    คำเตือน
    ต้องมีการจัดการสิทธิ์การเข้าถึงเพื่อป้องกันข้อมูลรั่วไหล
    การทำงานร่วมกันอาจเกิดความสับสนหากไม่มีการกำหนดบทบาทชัดเจน

    2️⃣ การเชื่อมต่อกับแอปอื่น (Google, Outlook)
    ฟีเจอร์ใหม่
    เชื่อมต่อกับ Google และ Outlook ได้ลึกขึ้น
    สามารถสรุปข้อมูลจากอีเมล, ปฏิทิน, และเอกสารได้
    ใช้ reasoning เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลและดำเนินการ เช่น จองโรงแรม

    คำเตือน
    ต้องได้รับอนุญาตจากผู้ใช้ก่อนเข้าถึงข้อมูล
    การเชื่อมต่อหลายระบบอาจเพิ่มความเสี่ยงด้านความปลอดภัย

    3️⃣ ความสามารถด้านความจำ (Long-term memory)
    ฟีเจอร์ใหม่
    Copilot สามารถจำข้อมูลสำคัญของผู้ใช้ได้
    ใช้ความจำเพื่อช่วยเตือนงานหรือเรียกข้อมูลเก่า
    เพิ่มความเป็น “ผู้ช่วยส่วนตัว” ที่เข้าใจผู้ใช้มากขึ้น

    คำเตือน
    ผู้ใช้ควรตรวจสอบว่าข้อมูลใดถูกจำไว้
    อาจต้องมีระบบลบหรือจัดการความจำเพื่อความเป็นส่วนตัว

    4️⃣ อวาตาร์ “Mico” ที่แสดงอารมณ์ได้
    ฟีเจอร์ใหม่
    Mico เป็นอวาตาร์ของ Copilot ที่เปลี่ยนสีและแสดงอารมณ์
    เพิ่มความเป็นธรรมชาติในการสนทนา
    ช่วยให้ผู้ใช้รู้สึกว่า Copilot “มีตัวตน” มากขึ้น

    คำเตือน
    อาจทำให้ผู้ใช้รู้สึกผูกพันกับ AI มากเกินไป
    ต้องมีการออกแบบให้ไม่สร้างความเข้าใจผิดว่าเป็นมนุษย์จริง

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/24/microsoft-introduces-new-copilot-features-such-as-collaboration-google-integration
    🤝 Microsoft Copilot อัปเกรดครั้งใหญ่: ทำงานร่วมกันได้, เชื่อมต่อ Google, และมี “Mico” เป็นเพื่อนคุย Microsoft ประกาศเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ใน Copilot ที่เปลี่ยนให้ผู้ช่วย AI กลายเป็น “เพื่อนร่วมงานดิจิทัล” ที่ฉลาดขึ้นและทำงานร่วมกับคนอื่นได้ดีขึ้น โดยฟีเจอร์ใหม่เหล่านี้เน้นการทำงานร่วมกัน (collaboration), การเชื่อมต่อกับแอปยอดนิยมอย่าง Google และ Outlook, รวมถึงการเพิ่มความสามารถด้านความจำและการแสดงออกทางอารมณ์ผ่าน “Mico” อวาตาร์ใหม่ของ Copilot การอัปเกรดนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ตลาด AI กำลังแข่งขันกันอย่างดุเดือด โดย Microsoft ต้องการให้ Copilot เป็นมากกว่าผู้ช่วยส่วนตัว แต่เป็น “พื้นที่ทำงานร่วมกัน” ที่รองรับผู้ใช้ได้ถึง 32 คนในกลุ่มเดียวกัน 🔍 สรุปฟีเจอร์ใหม่ของ Microsoft Copilot 1️⃣ การทำงานร่วมกันแบบกลุ่ม (Groups) ✅ ฟีเจอร์ใหม่ ➡️ รองรับผู้ใช้สูงสุด 32 คนในกลุ่มเดียวกัน ➡️ ใช้ Copilot ร่วมกันเพื่อเขียนเอกสารหรือทำโปรเจกต์ ➡️ เหมาะสำหรับทีมงานที่ต้องการพื้นที่ทำงานร่วมกันแบบเรียลไทม์ ‼️ คำเตือน ⛔ ต้องมีการจัดการสิทธิ์การเข้าถึงเพื่อป้องกันข้อมูลรั่วไหล ⛔ การทำงานร่วมกันอาจเกิดความสับสนหากไม่มีการกำหนดบทบาทชัดเจน 2️⃣ การเชื่อมต่อกับแอปอื่น (Google, Outlook) ✅ ฟีเจอร์ใหม่ ➡️ เชื่อมต่อกับ Google และ Outlook ได้ลึกขึ้น ➡️ สามารถสรุปข้อมูลจากอีเมล, ปฏิทิน, และเอกสารได้ ➡️ ใช้ reasoning เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลและดำเนินการ เช่น จองโรงแรม ‼️ คำเตือน ⛔ ต้องได้รับอนุญาตจากผู้ใช้ก่อนเข้าถึงข้อมูล ⛔ การเชื่อมต่อหลายระบบอาจเพิ่มความเสี่ยงด้านความปลอดภัย 3️⃣ ความสามารถด้านความจำ (Long-term memory) ✅ ฟีเจอร์ใหม่ ➡️ Copilot สามารถจำข้อมูลสำคัญของผู้ใช้ได้ ➡️ ใช้ความจำเพื่อช่วยเตือนงานหรือเรียกข้อมูลเก่า ➡️ เพิ่มความเป็น “ผู้ช่วยส่วนตัว” ที่เข้าใจผู้ใช้มากขึ้น ‼️ คำเตือน ⛔ ผู้ใช้ควรตรวจสอบว่าข้อมูลใดถูกจำไว้ ⛔ อาจต้องมีระบบลบหรือจัดการความจำเพื่อความเป็นส่วนตัว 4️⃣ อวาตาร์ “Mico” ที่แสดงอารมณ์ได้ ✅ ฟีเจอร์ใหม่ ➡️ Mico เป็นอวาตาร์ของ Copilot ที่เปลี่ยนสีและแสดงอารมณ์ ➡️ เพิ่มความเป็นธรรมชาติในการสนทนา ➡️ ช่วยให้ผู้ใช้รู้สึกว่า Copilot “มีตัวตน” มากขึ้น ‼️ คำเตือน ⛔ อาจทำให้ผู้ใช้รู้สึกผูกพันกับ AI มากเกินไป ⛔ ต้องมีการออกแบบให้ไม่สร้างความเข้าใจผิดว่าเป็นมนุษย์จริง https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/24/microsoft-introduces-new-copilot-features-such-as-collaboration-google-integration
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Microsoft introduces new Copilot features such as collaboration, Google integration
    (Reuters) -Microsoft introduced new features in its digital assistant Copilot on Thursday, including collaboration and deeper integration with other applications such as Outlook and Google, beefing up its AI services to stave off competition.
    0 Comments 0 Shares 196 Views 0 Reviews
  • ทำไม CISO ต้อง “ปราบมังกรไซเบอร์” เพื่อให้ธุรกิจเคารพ?

    ในโลกธุรกิจยุคดิจิทัล ตำแหน่ง CISO (Chief Information Security Officer) กลายเป็นหนึ่งในบทบาทที่สำคัญที่สุด แต่กลับเป็นตำแหน่งที่มักถูกมองข้ามหรือกลายเป็น “แพะรับบาป” เมื่อเกิดเหตุการณ์โจมตีทางไซเบอร์ บทความจาก CSO Online ได้สำรวจว่าเหตุใด CISO จึงต้องเผชิญกับความท้าทายมหาศาลเพื่อให้ได้รับความเคารพจากผู้บริหารและเพื่อนร่วมงาน

    การรับมือกับเหตุการณ์ไซเบอร์ เช่น ransomware attack ไม่เพียงแต่เป็นบททดสอบด้านเทคนิค แต่ยังเป็นจุดเปลี่ยนของชื่อเสียงและอำนาจภายในองค์กร จากการสำรวจของ Cytactic พบว่า 65% ของ CISO ที่เคยนำทีมรับมือเหตุการณ์สำเร็จ ได้รับความเคารพเพิ่มขึ้น ขณะที่ 25% ถูกปลดออกจากตำแหน่งหลังเกิดเหตุการณ์

    Michael Oberlaender อดีต CISO ที่เคยผ่านวิกฤตใหญ่เล่าว่า หลังจากป้องกันการโจมตีได้สำเร็จ เขาได้รับอำนาจเต็มในการตัดสินใจทางการเงิน และเสียงของเขาในที่ประชุมก็ได้รับการรับฟังอย่างจริงจังมากขึ้น

    อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญหลายคนชี้ว่า การได้รับความเคารพไม่ควรต้องแลกกับการเผชิญภัยคุกคามเสมอไป Jeff Pollard จาก Forrester กล่าวว่า “ถ้าเราไม่เห็นภัยเกิดขึ้น เราก็ไม่เห็นคุณค่าของการป้องกัน” และ Chris Jackson เปรียบ CISO กับโค้ชกีฬา: “ต่อให้ชนะทุกเกม แต่ถ้าไม่ได้แชมป์ ก็อาจถูกปลดได้”

    สรุปประเด็นสำคัญจากบทความ

    1️⃣ เหตุการณ์ไซเบอร์คือจุดเปลี่ยนของ CISO
    ผลกระทบจากการรับมือเหตุการณ์
    65% ของ CISO ที่รับมือเหตุการณ์สำเร็จ ได้รับความเคารพเพิ่มขึ้น
    25% ถูกปลดหลังเกิด ransomware attack
    การรับมือที่โปร่งใสและมีประสิทธิภาพช่วยยกระดับภาพลักษณ์ของทีมรักษาความปลอดภัย

    คำเตือน
    หากรับมือผิดพลาด อาจกลายเป็น “แพะรับบาป”
    การไม่เตรียมซ้อมรับมือเหตุการณ์ล่วงหน้า อาจทำให้ทีมล้มเหลว

    2️⃣ ความเคารพต้องแลกด้วย “การพิสูจน์ตัวเอง”
    ตัวอย่างจากผู้มีประสบการณ์
    Michael Oberlaender ได้รับอำนาจเต็มหลังป้องกันเหตุการณ์สำเร็จ
    Finance และผู้บริหารให้ความเชื่อมั่นมากขึ้น
    เสียงของเขาในที่ประชุมได้รับการรับฟังอย่างจริงจัง

    คำเตือน
    ความเคารพอาจเกิดขึ้นเฉพาะหลังเกิดวิกฤตเท่านั้น
    หากไม่มีเหตุการณ์ให้ “โชว์ฝีมือ” CISO อาจถูกมองข้าม

    3️⃣ ปัญหาการสื่อสารและการมองเห็นคุณค่า
    มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ
    Brian Levine ชี้ว่า การเพิ่มงบประมาณหลังเหตุการณ์ ไม่ใช่เพราะเคารพ CISO แต่เพราะต้องเสริมระบบ
    Jeff Pollard ชี้ว่า “ถ้าไม่เห็นภัย ก็ไม่เห็นคุณค่าของการป้องกัน”
    Erik Avakian แนะนำให้ใช้ KPI เพื่อแสดงคุณค่าทางธุรกิจ เช่น การลด spam email

    คำเตือน
    การสื่อสารไม่ชัดเจน อาจทำให้ความสำเร็จถูกมองข้าม
    การไม่แสดงผลลัพธ์เป็นตัวเลข อาจทำให้ผู้บริหารไม่เข้าใจคุณค่าของงานรักษาความปลอดภัย

    4️⃣ ปัญหาการจ้างงาน CISO ในตลาดปัจจุบัน
    ความเห็นจาก Oberlaender
    บริษัทควรจ้าง CISO ที่มีประสบการณ์จริง
    ปัจจุบันหลายบริษัทเลือกจ้าง “virtual CISO” ที่ขาดความรู้ลึก
    ส่งผลให้เกิดการจัดการเหตุการณ์ผิดพลาดและข้อมูลรั่วไหล

    คำเตือน
    การจ้างงานราคาถูกอาจนำไปสู่ความเสียหายที่มีต้นทุนสูง
    การละเลยคุณสมบัติด้านประสบการณ์ อาจทำให้องค์กรเสี่ยงต่อภัยไซเบอร์

    https://www.csoonline.com/article/4074994/why-must-cisos-slay-a-cyber-dragon-to-earn-business-respect.html
    🛡️ ทำไม CISO ต้อง “ปราบมังกรไซเบอร์” เพื่อให้ธุรกิจเคารพ? ในโลกธุรกิจยุคดิจิทัล ตำแหน่ง CISO (Chief Information Security Officer) กลายเป็นหนึ่งในบทบาทที่สำคัญที่สุด แต่กลับเป็นตำแหน่งที่มักถูกมองข้ามหรือกลายเป็น “แพะรับบาป” เมื่อเกิดเหตุการณ์โจมตีทางไซเบอร์ บทความจาก CSO Online ได้สำรวจว่าเหตุใด CISO จึงต้องเผชิญกับความท้าทายมหาศาลเพื่อให้ได้รับความเคารพจากผู้บริหารและเพื่อนร่วมงาน การรับมือกับเหตุการณ์ไซเบอร์ เช่น ransomware attack ไม่เพียงแต่เป็นบททดสอบด้านเทคนิค แต่ยังเป็นจุดเปลี่ยนของชื่อเสียงและอำนาจภายในองค์กร จากการสำรวจของ Cytactic พบว่า 65% ของ CISO ที่เคยนำทีมรับมือเหตุการณ์สำเร็จ ได้รับความเคารพเพิ่มขึ้น ขณะที่ 25% ถูกปลดออกจากตำแหน่งหลังเกิดเหตุการณ์ Michael Oberlaender อดีต CISO ที่เคยผ่านวิกฤตใหญ่เล่าว่า หลังจากป้องกันการโจมตีได้สำเร็จ เขาได้รับอำนาจเต็มในการตัดสินใจทางการเงิน และเสียงของเขาในที่ประชุมก็ได้รับการรับฟังอย่างจริงจังมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ผู้เชี่ยวชาญหลายคนชี้ว่า การได้รับความเคารพไม่ควรต้องแลกกับการเผชิญภัยคุกคามเสมอไป Jeff Pollard จาก Forrester กล่าวว่า “ถ้าเราไม่เห็นภัยเกิดขึ้น เราก็ไม่เห็นคุณค่าของการป้องกัน” และ Chris Jackson เปรียบ CISO กับโค้ชกีฬา: “ต่อให้ชนะทุกเกม แต่ถ้าไม่ได้แชมป์ ก็อาจถูกปลดได้” 🔍 สรุปประเด็นสำคัญจากบทความ 1️⃣ เหตุการณ์ไซเบอร์คือจุดเปลี่ยนของ CISO ✅ ผลกระทบจากการรับมือเหตุการณ์ ➡️ 65% ของ CISO ที่รับมือเหตุการณ์สำเร็จ ได้รับความเคารพเพิ่มขึ้น ➡️ 25% ถูกปลดหลังเกิด ransomware attack ➡️ การรับมือที่โปร่งใสและมีประสิทธิภาพช่วยยกระดับภาพลักษณ์ของทีมรักษาความปลอดภัย ‼️ คำเตือน ⛔ หากรับมือผิดพลาด อาจกลายเป็น “แพะรับบาป” ⛔ การไม่เตรียมซ้อมรับมือเหตุการณ์ล่วงหน้า อาจทำให้ทีมล้มเหลว 2️⃣ ความเคารพต้องแลกด้วย “การพิสูจน์ตัวเอง” ✅ ตัวอย่างจากผู้มีประสบการณ์ ➡️ Michael Oberlaender ได้รับอำนาจเต็มหลังป้องกันเหตุการณ์สำเร็จ ➡️ Finance และผู้บริหารให้ความเชื่อมั่นมากขึ้น ➡️ เสียงของเขาในที่ประชุมได้รับการรับฟังอย่างจริงจัง ‼️ คำเตือน ⛔ ความเคารพอาจเกิดขึ้นเฉพาะหลังเกิดวิกฤตเท่านั้น ⛔ หากไม่มีเหตุการณ์ให้ “โชว์ฝีมือ” CISO อาจถูกมองข้าม 3️⃣ ปัญหาการสื่อสารและการมองเห็นคุณค่า ✅ มุมมองจากผู้เชี่ยวชาญ ➡️ Brian Levine ชี้ว่า การเพิ่มงบประมาณหลังเหตุการณ์ ไม่ใช่เพราะเคารพ CISO แต่เพราะต้องเสริมระบบ ➡️ Jeff Pollard ชี้ว่า “ถ้าไม่เห็นภัย ก็ไม่เห็นคุณค่าของการป้องกัน” ➡️ Erik Avakian แนะนำให้ใช้ KPI เพื่อแสดงคุณค่าทางธุรกิจ เช่น การลด spam email ‼️ คำเตือน ⛔ การสื่อสารไม่ชัดเจน อาจทำให้ความสำเร็จถูกมองข้าม ⛔ การไม่แสดงผลลัพธ์เป็นตัวเลข อาจทำให้ผู้บริหารไม่เข้าใจคุณค่าของงานรักษาความปลอดภัย 4️⃣ ปัญหาการจ้างงาน CISO ในตลาดปัจจุบัน ✅ ความเห็นจาก Oberlaender ➡️ บริษัทควรจ้าง CISO ที่มีประสบการณ์จริง ➡️ ปัจจุบันหลายบริษัทเลือกจ้าง “virtual CISO” ที่ขาดความรู้ลึก ➡️ ส่งผลให้เกิดการจัดการเหตุการณ์ผิดพลาดและข้อมูลรั่วไหล ‼️ คำเตือน ⛔ การจ้างงานราคาถูกอาจนำไปสู่ความเสียหายที่มีต้นทุนสูง ⛔ การละเลยคุณสมบัติด้านประสบการณ์ อาจทำให้องค์กรเสี่ยงต่อภัยไซเบอร์ https://www.csoonline.com/article/4074994/why-must-cisos-slay-a-cyber-dragon-to-earn-business-respect.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Why must CISOs slay a cyber dragon to earn business respect?
    Security leaders and industry experts weigh in on the complex calculus of CISOs’ internal clout.
    0 Comments 0 Shares 296 Views 0 Reviews
  • “ช่องโหว่ CVE-2025-62168 ใน Squid Proxy รั่วข้อมูล HTTP Credentials และ Security Tokens ผ่านการจัดการ Error Page” — เมื่อการแสดงหน้าข้อผิดพลาดกลายเป็นช่องทางให้แฮกเกอร์ขโมยข้อมูลลับ

    เล่าเรื่องให้ฟัง: Squid Proxy ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สยอดนิยมสำหรับการแคชและเร่งการเข้าถึงเว็บ ถูกพบช่องโหว่ร้ายแรงระดับ CVSS 10.0 (เต็ม 10) โดยช่องโหว่นี้เปิดทางให้ผู้โจมตีสามารถขโมยข้อมูลรับรอง (credentials) และโทเคนความปลอดภัย (security tokens) ผ่านการจัดการ error page ที่ผิดพลาด

    ปัญหาเกิดจากการที่ Squid ไม่สามารถ “redact” หรือปกปิดข้อมูล HTTP Authentication credentials ได้อย่างถูกต้องเมื่อเกิดข้อผิดพลาด ทำให้ข้อมูลเหล่านี้ถูกฝังอยู่ใน error response ที่ส่งกลับไปยังผู้ใช้ — และสามารถถูกอ่านได้โดยสคริปต์ที่ออกแบบมาเพื่อหลบเลี่ยงการป้องกันของเบราว์เซอร์

    ที่น่ากังวลคือ:
    ช่องโหว่นี้ส่งผลกระทบต่อทุกเวอร์ชันของ Squid จนถึง 7.1
    แม้จะไม่ได้เปิดใช้ HTTP Authentication ก็ยังเสี่ยง
    หากเปิดใช้งาน email_err_data ในการตั้งค่า squid.conf จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยง
    ข้อมูลที่รั่วอาจรวมถึงโทเคนภายในที่ใช้ระหว่าง backend services

    นักพัฒนาของ Squid ได้ออกแพตช์ในเวอร์ชัน 7.2 เพื่อแก้ไขปัญหานี้ โดยแนะนำให้ผู้ดูแลระบบ:

    ปิดการใช้งาน email_err_data ทันที
    อัปเดตเป็นเวอร์ชัน 7.2 หรือใช้ patch ที่เผยแพร่แยกต่างหาก

    ช่องโหว่ CVE-2025-62168 ได้คะแนน CVSS 10.0
    ระดับวิกฤตสูงสุดตามมาตรฐานความปลอดภัย

    เกิดจากการจัดการ error page ที่ไม่ปกปิดข้อมูล HTTP credentials
    ข้อมูลรั่วใน response ที่ส่งกลับไปยังผู้ใช้

    ส่งผลกระทบต่อ Squid ทุกเวอร์ชันจนถึง 7.1
    แม้ไม่ได้เปิดใช้ HTTP Authentication ก็ยังเสี่ยง

    หากเปิดใช้งาน email_err_data จะเพิ่มความเสี่ยง
    เพราะ debug info ถูกฝังใน mailto link

    ข้อมูลที่รั่วอาจรวมถึง security tokens ที่ใช้ภายในระบบ
    เสี่ยงต่อการถูกใช้เพื่อเจาะ backend services

    แพตช์แก้ไขอยู่ใน Squid เวอร์ชัน 7.2
    พร้อม patch แยกสำหรับผู้ที่ยังไม่สามารถอัปเกรดได้

    https://securityonline.info/critical-squid-proxy-flaw-cve-2025-62168-cvss-10-0-leaks-http-credentials-and-security-tokens-via-error-handling/
    🧩 “ช่องโหว่ CVE-2025-62168 ใน Squid Proxy รั่วข้อมูล HTTP Credentials และ Security Tokens ผ่านการจัดการ Error Page” — เมื่อการแสดงหน้าข้อผิดพลาดกลายเป็นช่องทางให้แฮกเกอร์ขโมยข้อมูลลับ เล่าเรื่องให้ฟัง: Squid Proxy ซึ่งเป็นซอฟต์แวร์โอเพ่นซอร์สยอดนิยมสำหรับการแคชและเร่งการเข้าถึงเว็บ ถูกพบช่องโหว่ร้ายแรงระดับ CVSS 10.0 (เต็ม 10) โดยช่องโหว่นี้เปิดทางให้ผู้โจมตีสามารถขโมยข้อมูลรับรอง (credentials) และโทเคนความปลอดภัย (security tokens) ผ่านการจัดการ error page ที่ผิดพลาด ปัญหาเกิดจากการที่ Squid ไม่สามารถ “redact” หรือปกปิดข้อมูล HTTP Authentication credentials ได้อย่างถูกต้องเมื่อเกิดข้อผิดพลาด ทำให้ข้อมูลเหล่านี้ถูกฝังอยู่ใน error response ที่ส่งกลับไปยังผู้ใช้ — และสามารถถูกอ่านได้โดยสคริปต์ที่ออกแบบมาเพื่อหลบเลี่ยงการป้องกันของเบราว์เซอร์ ที่น่ากังวลคือ: 🛡️ ช่องโหว่นี้ส่งผลกระทบต่อทุกเวอร์ชันของ Squid จนถึง 7.1 🛡️ แม้จะไม่ได้เปิดใช้ HTTP Authentication ก็ยังเสี่ยง 🛡️ หากเปิดใช้งาน email_err_data ในการตั้งค่า squid.conf จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยง 🛡️ ข้อมูลที่รั่วอาจรวมถึงโทเคนภายในที่ใช้ระหว่าง backend services นักพัฒนาของ Squid ได้ออกแพตช์ในเวอร์ชัน 7.2 เพื่อแก้ไขปัญหานี้ โดยแนะนำให้ผู้ดูแลระบบ: 🛡️ ปิดการใช้งาน email_err_data ทันที 🛡️ อัปเดตเป็นเวอร์ชัน 7.2 หรือใช้ patch ที่เผยแพร่แยกต่างหาก ✅ ช่องโหว่ CVE-2025-62168 ได้คะแนน CVSS 10.0 ➡️ ระดับวิกฤตสูงสุดตามมาตรฐานความปลอดภัย ✅ เกิดจากการจัดการ error page ที่ไม่ปกปิดข้อมูล HTTP credentials ➡️ ข้อมูลรั่วใน response ที่ส่งกลับไปยังผู้ใช้ ✅ ส่งผลกระทบต่อ Squid ทุกเวอร์ชันจนถึง 7.1 ➡️ แม้ไม่ได้เปิดใช้ HTTP Authentication ก็ยังเสี่ยง ✅ หากเปิดใช้งาน email_err_data จะเพิ่มความเสี่ยง ➡️ เพราะ debug info ถูกฝังใน mailto link ✅ ข้อมูลที่รั่วอาจรวมถึง security tokens ที่ใช้ภายในระบบ ➡️ เสี่ยงต่อการถูกใช้เพื่อเจาะ backend services ✅ แพตช์แก้ไขอยู่ใน Squid เวอร์ชัน 7.2 ➡️ พร้อม patch แยกสำหรับผู้ที่ยังไม่สามารถอัปเกรดได้ https://securityonline.info/critical-squid-proxy-flaw-cve-2025-62168-cvss-10-0-leaks-http-credentials-and-security-tokens-via-error-handling/
    SECURITYONLINE.INFO
    Critical Squid Proxy Flaw (CVE-2025-62168, CVSS 10.0) Leaks HTTP Credentials and Security Tokens via Error Handling
    A Critical (CVSS 10.0) flaw in Squid proxy (CVE-2025-62168) leaks HTTP authentication credentials and security tokens through error messages.
    0 Comments 0 Shares 158 Views 0 Reviews
  • “ช่องโหว่ Figma MCP เปิดทางแฮกเกอร์รันโค้ดระยะไกล — นักพัฒนาเสี่ยงข้อมูลรั่วจากการใช้ AI Agent”

    นักวิจัยด้านความปลอดภัยจาก Imperva เปิดเผยช่องโหว่ร้ายแรงในแพ็กเกจ npm ชื่อ figma-developer-mpc ซึ่งเป็นตัวกลางเชื่อมระหว่าง Figma กับ AI coding agents เช่น Cursor และ GitHub Copilot ผ่านโปรโตคอล Model Context Protocol (MCP) โดยช่องโหว่นี้ถูกติดตามในชื่อ CVE-2025-53967 และได้รับคะแนนความรุนแรง 7.5/10

    ช่องโหว่นี้เกิดจากการใช้คำสั่ง child_process.exec ใน Node.js โดยนำข้อมูลจากผู้ใช้มาแทรกลงในคำสั่ง shell โดยไม่มีการตรวจสอบ ทำให้แฮกเกอร์สามารถแทรก metacharacters เช่น |, &&, > เพื่อรันคำสั่งอันตรายบนเซิร์ฟเวอร์ที่ติดตั้งแพ็กเกจนี้ได้ทันที

    การโจมตีสามารถเกิดขึ้นได้ผ่านการส่งคำสั่ง JSONRPC ไปยัง MCP server เช่น tools/call เพื่อเรียกใช้ฟังก์ชันอย่าง get_figma_data หรือ download_figma_images ซึ่งหาก fetch ล้มเหลว ระบบจะ fallback ไปใช้ curl ผ่าน exec ซึ่งเป็นจุดที่เปิดช่องให้แฮกเกอร์แทรกคำสั่งได้

    ช่องโหว่นี้ถูกพบในเดือนกรกฎาคม 2025 และได้รับการแก้ไขในเวอร์ชัน 0.6.3 ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2025 โดยแนะนำให้ผู้ใช้เปลี่ยนไปใช้ child_process.execFile ซึ่งปลอดภัยกว่า เพราะแยก argument ออกจากคำสั่งหลัก ทำให้ไม่สามารถแทรกคำสั่ง shell ได้

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ช่องโหว่ CVE-2025-53967 อยู่ในแพ็กเกจ figma-developer-mpc
    ใช้ child_process.exec โดยไม่มีการตรวจสอบ input จากผู้ใช้
    แฮกเกอร์สามารถแทรก metacharacters เพื่อรันคำสั่งอันตรายได้
    การโจมตีเกิดผ่านคำสั่ง JSONRPC เช่น tools/call
    หาก fetch ล้มเหลว ระบบจะ fallback ไปใช้ curl ผ่าน exec
    ช่องโหว่ถูกค้นพบโดย Imperva และแก้ไขในเวอร์ชัน 0.6.3
    แนะนำให้เปลี่ยนไปใช้ execFile เพื่อความปลอดภัย
    ช่องโหว่นี้มีผลต่อระบบที่เชื่อม Figma กับ AI coding agents เช่น Cursor

    https://www.techradar.com/pro/security/worrying-figma-mcp-security-flaw-could-let-hackers-execute-code-remotely-heres-how-to-stay-safe
    🧨 “ช่องโหว่ Figma MCP เปิดทางแฮกเกอร์รันโค้ดระยะไกล — นักพัฒนาเสี่ยงข้อมูลรั่วจากการใช้ AI Agent” นักวิจัยด้านความปลอดภัยจาก Imperva เปิดเผยช่องโหว่ร้ายแรงในแพ็กเกจ npm ชื่อ figma-developer-mpc ซึ่งเป็นตัวกลางเชื่อมระหว่าง Figma กับ AI coding agents เช่น Cursor และ GitHub Copilot ผ่านโปรโตคอล Model Context Protocol (MCP) โดยช่องโหว่นี้ถูกติดตามในชื่อ CVE-2025-53967 และได้รับคะแนนความรุนแรง 7.5/10 ช่องโหว่นี้เกิดจากการใช้คำสั่ง child_process.exec ใน Node.js โดยนำข้อมูลจากผู้ใช้มาแทรกลงในคำสั่ง shell โดยไม่มีการตรวจสอบ ทำให้แฮกเกอร์สามารถแทรก metacharacters เช่น |, &&, > เพื่อรันคำสั่งอันตรายบนเซิร์ฟเวอร์ที่ติดตั้งแพ็กเกจนี้ได้ทันที การโจมตีสามารถเกิดขึ้นได้ผ่านการส่งคำสั่ง JSONRPC ไปยัง MCP server เช่น tools/call เพื่อเรียกใช้ฟังก์ชันอย่าง get_figma_data หรือ download_figma_images ซึ่งหาก fetch ล้มเหลว ระบบจะ fallback ไปใช้ curl ผ่าน exec ซึ่งเป็นจุดที่เปิดช่องให้แฮกเกอร์แทรกคำสั่งได้ ช่องโหว่นี้ถูกพบในเดือนกรกฎาคม 2025 และได้รับการแก้ไขในเวอร์ชัน 0.6.3 ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2025 โดยแนะนำให้ผู้ใช้เปลี่ยนไปใช้ child_process.execFile ซึ่งปลอดภัยกว่า เพราะแยก argument ออกจากคำสั่งหลัก ทำให้ไม่สามารถแทรกคำสั่ง shell ได้ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ช่องโหว่ CVE-2025-53967 อยู่ในแพ็กเกจ figma-developer-mpc ➡️ ใช้ child_process.exec โดยไม่มีการตรวจสอบ input จากผู้ใช้ ➡️ แฮกเกอร์สามารถแทรก metacharacters เพื่อรันคำสั่งอันตรายได้ ➡️ การโจมตีเกิดผ่านคำสั่ง JSONRPC เช่น tools/call ➡️ หาก fetch ล้มเหลว ระบบจะ fallback ไปใช้ curl ผ่าน exec ➡️ ช่องโหว่ถูกค้นพบโดย Imperva และแก้ไขในเวอร์ชัน 0.6.3 ➡️ แนะนำให้เปลี่ยนไปใช้ execFile เพื่อความปลอดภัย ➡️ ช่องโหว่นี้มีผลต่อระบบที่เชื่อม Figma กับ AI coding agents เช่น Cursor https://www.techradar.com/pro/security/worrying-figma-mcp-security-flaw-could-let-hackers-execute-code-remotely-heres-how-to-stay-safe
    0 Comments 0 Shares 290 Views 0 Reviews
  • “Chrome 141 อุดช่องโหว่ร้ายแรง 3 จุด — เสี่ยงถูกแฮกผ่าน Sync, Storage และ WebCodecs”

    Google ได้ปล่อยอัปเดต Chrome เวอร์ชัน 141.0.7390.65/.66 สำหรับ Windows และ macOS และ 141.0.7390.65 สำหรับ Linux โดยมีการแก้ไขช่องโหว่ความปลอดภัยสำคัญ 3 รายการที่อาจเปิดทางให้ผู้โจมตีเข้าถึงข้อมูลหรือรันโค้ดอันตรายผ่านการจัดการหน่วยความจำผิดพลาด

    ช่องโหว่แรกคือ CVE-2025-11458 ซึ่งเป็นช่องโหว่ระดับสูงในฟีเจอร์ Sync ของ Chrome ที่ใช้ในการซิงก์ข้อมูลผู้ใช้ เช่น bookmarks, history และ settings ข้ามอุปกรณ์ โดยมีการเขียนข้อมูลเกินขอบเขตของหน่วยความจำ (heap buffer overflow) ซึ่งอาจนำไปสู่การรันโค้ดโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือทำให้เบราว์เซอร์ล่ม

    ช่องโหว่ที่สองคือ CVE-2025-11460 ซึ่งเป็นบั๊กแบบ use-after-free ในระบบ Storage ของ Chrome ที่จัดการฐานข้อมูลภายใน เช่น IndexedDB และ LocalStorage หากถูกโจมตีผ่านเว็บเพจที่ออกแบบมาเฉพาะ อาจทำให้เกิดการใช้หน่วยความจำที่ถูกปล่อยแล้ว ส่งผลให้ข้อมูลรั่วไหลหรือรันโค้ดอันตรายได้

    ช่องโหว่สุดท้ายคือ CVE-2025-11211 ซึ่งเป็นช่องโหว่ระดับกลางใน WebCodecs API ที่ใช้สำหรับประมวลผลวิดีโอและเสียง โดยเกิดจากการอ่านข้อมูลนอกขอบเขตหน่วยความจำ (out-of-bounds read) ซึ่งอาจทำให้ข้อมูลในหน่วยความจำรั่วไหลหรือทำให้เบราว์เซอร์ไม่เสถียรระหว่างการเล่นไฟล์มีเดีย

    Google แนะนำให้ผู้ใช้ทุกคนอัปเดต Chrome โดยเร็วที่สุด โดยสามารถเข้าไปที่ Settings → Help → About Google Chrome เพื่อเริ่มการอัปเดตและรีสตาร์ทเบราว์เซอร์ทันที

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Chrome 141 อัปเดตเพื่อแก้ไขช่องโหว่ความปลอดภัย 3 รายการ
    CVE-2025-11458: heap buffer overflow ในฟีเจอร์ Sync
    CVE-2025-11460: use-after-free ในระบบ Storage
    CVE-2025-11211: out-of-bounds read ใน WebCodecs API
    ช่องโหว่ใน Sync อาจนำไปสู่การรันโค้ดหรือทำให้เบราว์เซอร์ล่ม
    ช่องโหว่ใน Storage อาจทำให้ข้อมูลรั่วไหลหรือถูกโจมตีผ่านเว็บเพจ
    ช่องโหว่ใน WebCodecs อาจทำให้ข้อมูลในหน่วยความจำรั่วไหล
    Chrome เวอร์ชันใหม่คือ 141.0.7390.65/.66 สำหรับ Windows/macOS และ .65 สำหรับ Linux
    ผู้ใช้สามารถอัปเดตผ่าน Settings → Help → About Google Chrome

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ช่องโหว่ heap overflow และ use-after-free เป็นเป้าหมายหลักของการโจมตีเบราว์เซอร์
    WebCodecs เป็น API ใหม่ที่ช่วยให้เว็บแอปจัดการวิดีโอได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
    Chrome ใช้สถาปัตยกรรม multiprocess เพื่อจำกัดผลกระทบจากการโจมตี
    Google มีโปรแกรมแจกรางวัลสำหรับผู้รายงานช่องโหว่ (VRP) สูงสุดถึง $5,000
    ช่องโหว่ใน Storage อาจถูกใช้ร่วมกับเทคนิค sandbox escape เพื่อเข้าถึงระบบ

    https://securityonline.info/chrome-141-stable-fixes-two-high-severity-flaws-heap-overflow-in-sync-and-uaf-in-storage/
    🛡️ “Chrome 141 อุดช่องโหว่ร้ายแรง 3 จุด — เสี่ยงถูกแฮกผ่าน Sync, Storage และ WebCodecs” Google ได้ปล่อยอัปเดต Chrome เวอร์ชัน 141.0.7390.65/.66 สำหรับ Windows และ macOS และ 141.0.7390.65 สำหรับ Linux โดยมีการแก้ไขช่องโหว่ความปลอดภัยสำคัญ 3 รายการที่อาจเปิดทางให้ผู้โจมตีเข้าถึงข้อมูลหรือรันโค้ดอันตรายผ่านการจัดการหน่วยความจำผิดพลาด ช่องโหว่แรกคือ CVE-2025-11458 ซึ่งเป็นช่องโหว่ระดับสูงในฟีเจอร์ Sync ของ Chrome ที่ใช้ในการซิงก์ข้อมูลผู้ใช้ เช่น bookmarks, history และ settings ข้ามอุปกรณ์ โดยมีการเขียนข้อมูลเกินขอบเขตของหน่วยความจำ (heap buffer overflow) ซึ่งอาจนำไปสู่การรันโค้ดโดยไม่ได้รับอนุญาตหรือทำให้เบราว์เซอร์ล่ม ช่องโหว่ที่สองคือ CVE-2025-11460 ซึ่งเป็นบั๊กแบบ use-after-free ในระบบ Storage ของ Chrome ที่จัดการฐานข้อมูลภายใน เช่น IndexedDB และ LocalStorage หากถูกโจมตีผ่านเว็บเพจที่ออกแบบมาเฉพาะ อาจทำให้เกิดการใช้หน่วยความจำที่ถูกปล่อยแล้ว ส่งผลให้ข้อมูลรั่วไหลหรือรันโค้ดอันตรายได้ ช่องโหว่สุดท้ายคือ CVE-2025-11211 ซึ่งเป็นช่องโหว่ระดับกลางใน WebCodecs API ที่ใช้สำหรับประมวลผลวิดีโอและเสียง โดยเกิดจากการอ่านข้อมูลนอกขอบเขตหน่วยความจำ (out-of-bounds read) ซึ่งอาจทำให้ข้อมูลในหน่วยความจำรั่วไหลหรือทำให้เบราว์เซอร์ไม่เสถียรระหว่างการเล่นไฟล์มีเดีย Google แนะนำให้ผู้ใช้ทุกคนอัปเดต Chrome โดยเร็วที่สุด โดยสามารถเข้าไปที่ Settings → Help → About Google Chrome เพื่อเริ่มการอัปเดตและรีสตาร์ทเบราว์เซอร์ทันที ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Chrome 141 อัปเดตเพื่อแก้ไขช่องโหว่ความปลอดภัย 3 รายการ ➡️ CVE-2025-11458: heap buffer overflow ในฟีเจอร์ Sync ➡️ CVE-2025-11460: use-after-free ในระบบ Storage ➡️ CVE-2025-11211: out-of-bounds read ใน WebCodecs API ➡️ ช่องโหว่ใน Sync อาจนำไปสู่การรันโค้ดหรือทำให้เบราว์เซอร์ล่ม ➡️ ช่องโหว่ใน Storage อาจทำให้ข้อมูลรั่วไหลหรือถูกโจมตีผ่านเว็บเพจ ➡️ ช่องโหว่ใน WebCodecs อาจทำให้ข้อมูลในหน่วยความจำรั่วไหล ➡️ Chrome เวอร์ชันใหม่คือ 141.0.7390.65/.66 สำหรับ Windows/macOS และ .65 สำหรับ Linux ➡️ ผู้ใช้สามารถอัปเดตผ่าน Settings → Help → About Google Chrome ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ช่องโหว่ heap overflow และ use-after-free เป็นเป้าหมายหลักของการโจมตีเบราว์เซอร์ ➡️ WebCodecs เป็น API ใหม่ที่ช่วยให้เว็บแอปจัดการวิดีโอได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ➡️ Chrome ใช้สถาปัตยกรรม multiprocess เพื่อจำกัดผลกระทบจากการโจมตี ➡️ Google มีโปรแกรมแจกรางวัลสำหรับผู้รายงานช่องโหว่ (VRP) สูงสุดถึง $5,000 ➡️ ช่องโหว่ใน Storage อาจถูกใช้ร่วมกับเทคนิค sandbox escape เพื่อเข้าถึงระบบ https://securityonline.info/chrome-141-stable-fixes-two-high-severity-flaws-heap-overflow-in-sync-and-uaf-in-storage/
    SECURITYONLINE.INFO
    Chrome 141 Stable Fixes Two High-Severity Flaws: Heap Overflow in Sync and UAF in Storage
    Chrome 141.0.7390.65/66 is released, patching High-severity memory flaws: CVE-2025-11458 (Sync Heap Overflow) and CVE-2025-11460 (Storage UAF), risking RCE. Update immediately.
    0 Comments 0 Shares 250 Views 0 Reviews
More Results