• KITS Style การรถไฟมาเลย์ทำซูเปอร์แอปฯ

    หลังจากที่การรถไฟมาลายา (KTM Berhad) หรือ KTMB ประเทศมาเลเซีย พยายามผลักดันการซื้อตั๋วรถไฟแบบไร้เงินสดเต็มรูปแบบ มาตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2568 เป็นต้นมา ล่าสุดได้เปลี่ยนแพลตฟอร์มจำหน่ายตั๋วโดยสารออนไลน์แบบบูรณาการ KITS (KTMB Integrated Ticketing System) มาเป็นซูเปอร์แอปพลิเคชันที่ชื่อว่า คิทส์ สไตล์ (KITS Style) โดยได้เปิดตัวไปเมื่อวันที่ 13 ก.ค. ที่ผ่านมา โดยร่วมมือกันระหว่าง KTMB กับเอ็มเปย์ (MPay) ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มการเงินดิจิทัลในมาเลเซีย

    โดยคุณสมบัติหลักของแอปฯ KITS Style คือ การซื้อตั๋วรถไฟของ KTMB ทั้งรถไฟ ETS/Intercity รถไฟชานเมือง KTM Komuter รถไฟข้ามแดน Shuttle Tebrau พ่วงไปกับการจองตั๋วเครื่องบิน โรงแรม ตั๋วรถไฟต่างประเทศ รถเช่า รถรับ-ส่งสนามบิน เรือสำราญ กิจกรรมการท่องเที่ยวโดย Trip.com บริการเรียกรถรับจ้างสาธารณะ (E-Hailing) นอกจากนี้ยังสามารถโอนเงินต่างประเทศ ประกัน ตากาฟูล จ่ายบิลและเติมเงินโทรศัพท์มือถือในมาเลเซียอีกด้วย

    พร้อมกันนี้ ยังเปิดตัวบัตร KITS Style Mastercard Prepaid Card ซึ่งประกาศว่าเป็นบัตรเติมเงินขนส่งสาธารณะแบบเปิดใบแรกในมาเลเซียและอาเซียน ที่ออกโดยผู้ให้บริการรถไฟ ปัจจุบันให้บริการในรูปแบบบัตรเสมือน (Virtual Card) โดยมีค่าธรรมเนียมออกบัตรเสมือน 10 ริงกิต ส่วนบัตรพลาสติกแบบชิปการ์ดจะเปิดตัวในเดือน ก.ย. 2568 อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้งานแอปฯ KTMB Mobile เดิม ระบบจะแจ้งเตือนการย้ายระบบไปยัง KITS Style แบบใหม่ โดยเฉพาะเบอร์โทรศัพท์มือถือที่ใช้สมัครบริการ ให้ตรวจสอบข้อมูลก่อนยืนยันการเปลี่ยนแปลง

    Newskit ทดลองสมัครบริการแอปฯ KITS Style เริ่มแรกด้วยการดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน ผ่าน App Store หรือ Google Play จากนั้นลงทะเบียนโดยใช้โทรศัพท์มือถือแล้วรอรับ SMS OTP ซึ่งพบว่าเบอร์ต่างประเทศ รวมทั้งประเทศไทยสามารถสมัครได้ (ยกเว้นเอไอเอสที่พบปัญหาบล็อก SMS จากต่างประเทศ) จากนั้นกรอกรายละเอียดส่วนตัว กรณีชาวต่างชาติใช้ข้อมูลหนังสือเดินทาง แล้วตั้งรหัส PIN 6 หลักเป็นอันเสร็จสิ้น

    อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้งานต้องยืนยันการสร้างบัญชีผ่านการทำ e-KYC ด้วยการถ่ายภาพหนังสือเดินทาง เซลฟี่ใบหน้า ระบบจะอนุมัติภายใน 2 วันทำการ โดยจะมีข้อความแจ้งเตือนเมื่อการยืนยันตัวตนสำเร็จ ส่วนการเติมเงินขั้นต่ำ 10 ริงกิต สูงสุดไม่เกิน 1,000 ริงกิต สามารถเติมเงินผ่านบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิต VISA และ Mastercard ได้ทั้งบัตรในประเทศและต่างประเทศ ส่วนชาวมาเลเซียสามารถเติมเงินผ่านทางออนไลน์แบงกิ้งระบบ FPX และ DuitNow แต่ยังไม่รองรับ e-Wallet

    #Newskit
    KITS Style การรถไฟมาเลย์ทำซูเปอร์แอปฯ หลังจากที่การรถไฟมาลายา (KTM Berhad) หรือ KTMB ประเทศมาเลเซีย พยายามผลักดันการซื้อตั๋วรถไฟแบบไร้เงินสดเต็มรูปแบบ มาตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2568 เป็นต้นมา ล่าสุดได้เปลี่ยนแพลตฟอร์มจำหน่ายตั๋วโดยสารออนไลน์แบบบูรณาการ KITS (KTMB Integrated Ticketing System) มาเป็นซูเปอร์แอปพลิเคชันที่ชื่อว่า คิทส์ สไตล์ (KITS Style) โดยได้เปิดตัวไปเมื่อวันที่ 13 ก.ค. ที่ผ่านมา โดยร่วมมือกันระหว่าง KTMB กับเอ็มเปย์ (MPay) ผู้ให้บริการแพลตฟอร์มการเงินดิจิทัลในมาเลเซีย โดยคุณสมบัติหลักของแอปฯ KITS Style คือ การซื้อตั๋วรถไฟของ KTMB ทั้งรถไฟ ETS/Intercity รถไฟชานเมือง KTM Komuter รถไฟข้ามแดน Shuttle Tebrau พ่วงไปกับการจองตั๋วเครื่องบิน โรงแรม ตั๋วรถไฟต่างประเทศ รถเช่า รถรับ-ส่งสนามบิน เรือสำราญ กิจกรรมการท่องเที่ยวโดย Trip.com บริการเรียกรถรับจ้างสาธารณะ (E-Hailing) นอกจากนี้ยังสามารถโอนเงินต่างประเทศ ประกัน ตากาฟูล จ่ายบิลและเติมเงินโทรศัพท์มือถือในมาเลเซียอีกด้วย พร้อมกันนี้ ยังเปิดตัวบัตร KITS Style Mastercard Prepaid Card ซึ่งประกาศว่าเป็นบัตรเติมเงินขนส่งสาธารณะแบบเปิดใบแรกในมาเลเซียและอาเซียน ที่ออกโดยผู้ให้บริการรถไฟ ปัจจุบันให้บริการในรูปแบบบัตรเสมือน (Virtual Card) โดยมีค่าธรรมเนียมออกบัตรเสมือน 10 ริงกิต ส่วนบัตรพลาสติกแบบชิปการ์ดจะเปิดตัวในเดือน ก.ย. 2568 อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้งานแอปฯ KTMB Mobile เดิม ระบบจะแจ้งเตือนการย้ายระบบไปยัง KITS Style แบบใหม่ โดยเฉพาะเบอร์โทรศัพท์มือถือที่ใช้สมัครบริการ ให้ตรวจสอบข้อมูลก่อนยืนยันการเปลี่ยนแปลง Newskit ทดลองสมัครบริการแอปฯ KITS Style เริ่มแรกด้วยการดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน ผ่าน App Store หรือ Google Play จากนั้นลงทะเบียนโดยใช้โทรศัพท์มือถือแล้วรอรับ SMS OTP ซึ่งพบว่าเบอร์ต่างประเทศ รวมทั้งประเทศไทยสามารถสมัครได้ (ยกเว้นเอไอเอสที่พบปัญหาบล็อก SMS จากต่างประเทศ) จากนั้นกรอกรายละเอียดส่วนตัว กรณีชาวต่างชาติใช้ข้อมูลหนังสือเดินทาง แล้วตั้งรหัส PIN 6 หลักเป็นอันเสร็จสิ้น อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้งานต้องยืนยันการสร้างบัญชีผ่านการทำ e-KYC ด้วยการถ่ายภาพหนังสือเดินทาง เซลฟี่ใบหน้า ระบบจะอนุมัติภายใน 2 วันทำการ โดยจะมีข้อความแจ้งเตือนเมื่อการยืนยันตัวตนสำเร็จ ส่วนการเติมเงินขั้นต่ำ 10 ริงกิต สูงสุดไม่เกิน 1,000 ริงกิต สามารถเติมเงินผ่านบัตรเครดิตหรือบัตรเดบิต VISA และ Mastercard ได้ทั้งบัตรในประเทศและต่างประเทศ ส่วนชาวมาเลเซียสามารถเติมเงินผ่านทางออนไลน์แบงกิ้งระบบ FPX และ DuitNow แต่ยังไม่รองรับ e-Wallet #Newskit
    0 Comments 0 Shares 16 Views 0 Reviews
  • Belkin ตัดขาด Wemo รุ่นเก่า – สมาร์ตโฮมกลายเป็นขยะเพราะเลิกซัพพอร์ต

    Belkin ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์ Wemo ประกาศว่าจะปิดบริการคลาวด์ของ Wemo ในวันที่ 31 มกราคม 2026 ส่งผลให้อุปกรณ์สมาร์ตโฮมที่ไม่รองรับ Apple HomeKit เช่น เครื่องทำความร้อน, เครื่องฟอกอากาศ, เครื่องชงกาแฟ, กล้องดูแลเด็ก, เซ็นเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหว และสวิตช์ไฟรุ่นเก่า จะไม่สามารถควบคุมผ่านแอป Wemo ได้อีกต่อไป

    อุปกรณ์ที่ได้รับผลกระทบส่วนใหญ่คือรุ่นที่ผลิตก่อนปี 2021 ซึ่งพึ่งพาโครงสร้างคลาวด์ของ Wemo ในการเชื่อมต่อกับผู้ช่วยเสียงอย่าง Alexa และ Google Assistant—เมื่อคลาวด์ถูกปิด ฟีเจอร์เหล่านั้นก็จะหยุดทำงานเช่นกัน

    Belkin ระบุว่าจะมีการคืนเงินบางส่วนสำหรับอุปกรณ์ที่ยังอยู่ในระยะรับประกันหลังเดือนมกราคม 2026 แต่ไม่ได้ให้ทางเลือกในการอัปเกรดหรือเปลี่ยนเป็นรุ่นใหม่

    เหตุการณ์นี้สะท้อนปัญหาใหญ่ของอุปกรณ์ IoT (Internet of Things) ที่มักมี “อายุการใช้งานจำกัด” ไม่ใช่เพราะฮาร์ดแวร์เสีย แต่เพราะผู้ผลิตเลิกสนับสนุน—ทำให้ผู้ใช้ต้องเปลี่ยนใหม่แม้ของเดิมยังใช้งานได้ดี

    https://www.techspot.com/news/108669-belkin-ends-support-wemo-devices-many-become-e.html
    Belkin ตัดขาด Wemo รุ่นเก่า – สมาร์ตโฮมกลายเป็นขยะเพราะเลิกซัพพอร์ต Belkin ซึ่งเป็นเจ้าของแบรนด์ Wemo ประกาศว่าจะปิดบริการคลาวด์ของ Wemo ในวันที่ 31 มกราคม 2026 ส่งผลให้อุปกรณ์สมาร์ตโฮมที่ไม่รองรับ Apple HomeKit เช่น เครื่องทำความร้อน, เครื่องฟอกอากาศ, เครื่องชงกาแฟ, กล้องดูแลเด็ก, เซ็นเซอร์ตรวจจับความเคลื่อนไหว และสวิตช์ไฟรุ่นเก่า จะไม่สามารถควบคุมผ่านแอป Wemo ได้อีกต่อไป อุปกรณ์ที่ได้รับผลกระทบส่วนใหญ่คือรุ่นที่ผลิตก่อนปี 2021 ซึ่งพึ่งพาโครงสร้างคลาวด์ของ Wemo ในการเชื่อมต่อกับผู้ช่วยเสียงอย่าง Alexa และ Google Assistant—เมื่อคลาวด์ถูกปิด ฟีเจอร์เหล่านั้นก็จะหยุดทำงานเช่นกัน Belkin ระบุว่าจะมีการคืนเงินบางส่วนสำหรับอุปกรณ์ที่ยังอยู่ในระยะรับประกันหลังเดือนมกราคม 2026 แต่ไม่ได้ให้ทางเลือกในการอัปเกรดหรือเปลี่ยนเป็นรุ่นใหม่ เหตุการณ์นี้สะท้อนปัญหาใหญ่ของอุปกรณ์ IoT (Internet of Things) ที่มักมี “อายุการใช้งานจำกัด” ไม่ใช่เพราะฮาร์ดแวร์เสีย แต่เพราะผู้ผลิตเลิกสนับสนุน—ทำให้ผู้ใช้ต้องเปลี่ยนใหม่แม้ของเดิมยังใช้งานได้ดี https://www.techspot.com/news/108669-belkin-ends-support-wemo-devices-many-become-e.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Belkin ends support for Wemo devices, many will become e-waste come January
    All Wemo smart home devices that do not support Apple HomeKit will stop functioning on January 31, 2026. After parent company Belkin shuts down the Wemo cloud...
    0 Comments 0 Shares 27 Views 0 Reviews
  • สมัคร membership YouTube ไม่ได้เพราะ ลืมรหัส Gmail ใช่ไหม?

    ดูขั้นตอนเปลี่ยนรหัสผ่านผ่านแอป Play Store บน Android ได้ที่นี่!

    วิธีเปลี่ยนหรือรีเซ็ตรหัสผ่าน Gmail ผ่าน Play Store (Android)

    1. เปิดแอป Play Store

    2. แตะที่รูปโปรไฟล์ของคุณมุมขวาบน (วงกลมที่แสดงชื่อย่อหรือรูปภาพของคุณ)

    3. ตรวจสอบอีเมลที่แสดงอยู่
    - ต้องเป็น อีเมลเดียวกันกับที่คุณใช้ใน YouTube
    - หากไม่ใช่ ให้เปลี่ยนไปยังอีเมลที่ถูกต้องก่อน
    - กรุณาตรวจสอบให้แน่ใจว่าเป็นบัญชีที่ต้องการเปลี่ยนรหัสผ่านจริง ๆ

    4. เลือกเมนู "จัดการบัญชี Google" (Google Account)

    5. ไปที่แท็บ "ความปลอดภัย" (Security)
    - เลื่อนแถบเมนูด้านบน หรือเลื่อนหน้าจอลงมาจนเจอหัวข้อนี้

    6. แตะที่เมนู "รหัสผ่าน" (Password)
    - ระบบจะให้ใส่ รหัสปลดล็อกหน้าจอมือถือของคุณ ก่อนดำเนินการต่อ

    7. ตั้งรหัสผ่านใหม่
    - พิมพ์รหัสผ่านใหม่ที่คุณต้องการ
    - ยืนยันรหัสผ่านอีกครั้ง
    - กด "เปลี่ยนรหัสผ่าน" (Change Password) เพื่อยืนยันการเปลี่ยน

    หมายเหตุเพิ่มเติม
    - รหัสผ่านใหม่ควรมีความยาวอย่างน้อย 8 ตัวอักษร
    - ระบบให้ท่านตั้งรหัสโดย ตัวพิมพ์ใหญ่ ตัวพิมพ์เล็ก ตัวเลข ผสมกัน
    - หลังเปลี่ยนแล้ว ระบบอาจให้คุณเข้าสู่ระบบใหม่ในอุปกรณ์อื่น ๆ ด้วยรหัสผ่านใหม่ / ให้ยืนยัน


    #sondhitalk #สนธิ #youtube #สมัครสมาชิก #membership #thaitimes #ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว #android #Gmail #password #ลืมรหัส #Email
    สมัคร membership YouTube ไม่ได้เพราะ ลืมรหัส Gmail ใช่ไหม? ดูขั้นตอนเปลี่ยนรหัสผ่านผ่านแอป Play Store บน Android ได้ที่นี่! 🔐 วิธีเปลี่ยนหรือรีเซ็ตรหัสผ่าน Gmail ผ่าน Play Store (Android) 1. เปิดแอป Play Store 2. แตะที่รูปโปรไฟล์ของคุณมุมขวาบน (วงกลมที่แสดงชื่อย่อหรือรูปภาพของคุณ) 3. ตรวจสอบอีเมลที่แสดงอยู่ - ต้องเป็น อีเมลเดียวกันกับที่คุณใช้ใน YouTube - หากไม่ใช่ ให้เปลี่ยนไปยังอีเมลที่ถูกต้องก่อน - กรุณาตรวจสอบให้แน่ใจว่าเป็นบัญชีที่ต้องการเปลี่ยนรหัสผ่านจริง ๆ 4. เลือกเมนู "จัดการบัญชี Google" (Google Account) 5. ไปที่แท็บ "ความปลอดภัย" (Security) - เลื่อนแถบเมนูด้านบน หรือเลื่อนหน้าจอลงมาจนเจอหัวข้อนี้ 6. แตะที่เมนู "รหัสผ่าน" (Password) - ระบบจะให้ใส่ รหัสปลดล็อกหน้าจอมือถือของคุณ ก่อนดำเนินการต่อ 7. ตั้งรหัสผ่านใหม่ - พิมพ์รหัสผ่านใหม่ที่คุณต้องการ - ยืนยันรหัสผ่านอีกครั้ง - กด "เปลี่ยนรหัสผ่าน" (Change Password) เพื่อยืนยันการเปลี่ยน ✅ หมายเหตุเพิ่มเติม - รหัสผ่านใหม่ควรมีความยาวอย่างน้อย 8 ตัวอักษร - ระบบให้ท่านตั้งรหัสโดย ตัวพิมพ์ใหญ่ ตัวพิมพ์เล็ก ตัวเลข ผสมกัน - หลังเปลี่ยนแล้ว ระบบอาจให้คุณเข้าสู่ระบบใหม่ในอุปกรณ์อื่น ๆ ด้วยรหัสผ่านใหม่ / ให้ยืนยัน #sondhitalk #สนธิ #youtube #สมัครสมาชิก #membership #thaitimes #ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว #android #Gmail #password #ลืมรหัส #Email
    Like
    3
    0 Comments 0 Shares 306 Views 0 Reviews
  • สมัครสมาชิกช่อง SONDHITALK ใน YouTube เดือนละ 100 บาท เพื่อร่วมสนับสนุนรายการของเราอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน

    เปิด YouTube → ไปที่ช่อง SONDHITALK

    1 → Android คลิกปุ่ม “สมัคร” “Join”
    1.2 → (iOS) คลิกคำอธิบาย “เพิ่มเติม” หรือ "...more"
    1.3 → (iOS) เมื่อ popup ขึ้น ให้คลิก Link สมัครสมาชิก Membership
    1.4 → (iOS) แล้วเลือก default browser App หรือ แอปเบราว์เซอร์เริ่มต้น

    2. เมื่อเข้าหน้าสมัคร Join this channel SONDHITALK
    - กรุณาตรวจชื่อ Email
    - เสร็จแล้วคลิก “สมัคร” หรือคลิก “Join”

    3. เลือกวิธีชำระเงินที่รองรับ (Android / iOS)
    - TrueMoney Wallet
    - Shopee Pay
    - บัตรเครดิต / เดบิต
    - เรียกเก็บผ่านเบอร์มือถือ (เฉพาะบน Android เท่านั้น)

    4. เมื่อท่านเลือกข้อมูลที่ต้องการผูกหักเงินได้แล้ว หรือ กรอกข้อมูลถูกต้อง ตามที่ระบบต้องการแล้ว
    - ให้คลิก “ซื้อ หรือ สมัครใช้บริการ หรือ Buy”
    - เพื่อยืนยันการสมัคร

    5. เมื่อท่านทำรายการ “ซื้อ หรือ สมัครใช้บริการ หรือ Buy” สำเร็จแล้ว ท่านจะเห็นข้อความ

    "ยินดีต้อนรับ"
    "เรายินดีอย่างยิ่งที่มีคุณเป็นสมาชิก"

    หมายเหตุ
    - ระบบการชำระเงินจะผูกกับ Google Account ของคุณ
    - ระบบจะขอ “ยืนยันตัวตน” หลังคลิก “ซื้อ / สมัครใช้บริการ / Buy”
    - ท่านอาจต้องให้ใส่ รหัสผ่าน ของ Gmail ที่คุณใช้กับ YouTube
    - หรือถ้าใช้มือถือรุ่นใหม่ → ใช้ สแกนนิ้ว / สแกนหน้า (Face ID) แทนได้เลย

    ระบบจะหักเงินอัตโนมัติทุกเดือนจนกว่าจะยกเลิก

    ขอขอบคุณทุกท่านที่ร่วมสนับสนุน
    SONDHITALK
    ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว

    ทางเข้าช่อง >> https://www.youtube.com/@sondhitalk

    ติดต่อสอบถาม Line ID เพิ่มเพื่อนชื่อ @sondhitalk
    หรือคลิกเพิ่มเพื่อน https://lin.ee/hBk0QJF

    #sondhitalk #สนธิ #youtube #สมัครสมาชิก #membership #thaitimes
    สมัครสมาชิกช่อง SONDHITALK ใน YouTube เดือนละ 100 บาท เพื่อร่วมสนับสนุนรายการของเราอย่างต่อเนื่องและยั่งยืน เปิด YouTube → ไปที่ช่อง SONDHITALK 1 → Android คลิกปุ่ม “สมัคร” “Join” 1.2 → (iOS) คลิกคำอธิบาย “เพิ่มเติม” หรือ "...more" 1.3 → (iOS) เมื่อ popup ขึ้น ให้คลิก Link สมัครสมาชิก Membership 1.4 → (iOS) แล้วเลือก default browser App หรือ แอปเบราว์เซอร์เริ่มต้น 2. เมื่อเข้าหน้าสมัคร Join this channel SONDHITALK - กรุณาตรวจชื่อ Email - เสร็จแล้วคลิก “สมัคร” หรือคลิก “Join” 3. เลือกวิธีชำระเงินที่รองรับ (Android / iOS) - TrueMoney Wallet - Shopee Pay - บัตรเครดิต / เดบิต - เรียกเก็บผ่านเบอร์มือถือ (เฉพาะบน Android เท่านั้น) 4. เมื่อท่านเลือกข้อมูลที่ต้องการผูกหักเงินได้แล้ว หรือ กรอกข้อมูลถูกต้อง ตามที่ระบบต้องการแล้ว - ให้คลิก “ซื้อ หรือ สมัครใช้บริการ หรือ Buy” - เพื่อยืนยันการสมัคร 5. เมื่อท่านทำรายการ “ซื้อ หรือ สมัครใช้บริการ หรือ Buy” สำเร็จแล้ว ท่านจะเห็นข้อความ "ยินดีต้อนรับ" "เรายินดีอย่างยิ่งที่มีคุณเป็นสมาชิก" หมายเหตุ - ระบบการชำระเงินจะผูกกับ Google Account ของคุณ - ระบบจะขอ “ยืนยันตัวตน” หลังคลิก “ซื้อ / สมัครใช้บริการ / Buy” - ท่านอาจต้องให้ใส่ รหัสผ่าน ของ Gmail ที่คุณใช้กับ YouTube - หรือถ้าใช้มือถือรุ่นใหม่ → ใช้ สแกนนิ้ว / สแกนหน้า (Face ID) แทนได้เลย 🔁 ระบบจะหักเงินอัตโนมัติทุกเดือนจนกว่าจะยกเลิก ขอขอบคุณทุกท่านที่ร่วมสนับสนุน ✨SONDHITALK✨ ✨ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว✨ ทางเข้าช่อง >> https://www.youtube.com/@sondhitalk ติดต่อสอบถาม Line ID เพิ่มเพื่อนชื่อ @sondhitalk หรือคลิกเพิ่มเพื่อน https://lin.ee/hBk0QJF #sondhitalk #สนธิ #youtube #สมัครสมาชิก #membership #thaitimes
    Like
    4
    0 Comments 0 Shares 325 Views 0 Reviews
  • Google รวม Chrome OS กับ Android – สร้างระบบเดียวที่ใช้ได้ทุกอุปกรณ์

    Google ยืนยันอย่างเป็นทางการแล้วว่า Chrome OS และ Android จะถูกรวมเข้าด้วยกันเป็นแพลตฟอร์มเดียว โดย Sameer Samat ประธานฝ่าย Android ecosystem ได้เปิดเผยแผนนี้ระหว่างการสัมภาษณ์กับ TechRadar ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่บริษัทพูดถึงเรื่องนี้อย่างเปิดเผย

    เป้าหมายของการรวมระบบคือ:
    - ลดความซับซ้อนในการพัฒนาแอปและฟีเจอร์ใหม่
    - สร้างประสบการณ์ผู้ใช้ที่ไร้รอยต่อระหว่างอุปกรณ์
    - แข่งขันกับระบบนิเวศของ Apple ที่เชื่อมโยงอุปกรณ์ได้แน่นหนา

    ก่อนหน้านี้ นักพัฒนาต้องปรับแต่งแอปให้ทำงานได้ทั้งบน Android และ Chrome OS แยกกัน ซึ่งใช้เวลามากและซับซ้อน แต่การรวมระบบจะช่วยให้การพัฒนาเร็วขึ้น และผู้ใช้ได้รับฟีเจอร์ใหม่พร้อมกันทุกอุปกรณ์

    Android เองก็มีการปรับปรุงให้รองรับหน้าจอขนาดใหญ่มากขึ้น เช่น การจัดการหน้าต่างที่ดีขึ้น และการปรับตัวของแอปให้เหมาะกับอุปกรณ์หลากหลาย

    แม้ยังไม่มีรายละเอียดเชิงเทคนิคหรือวันเปิดตัว แต่การประกาศนี้สะท้อนว่า Google กำลังมุ่งสู่การสร้าง “ระบบปฏิบัติการเดียวเพื่อทุกอุปกรณ์” อย่างจริงจัง

    ข้อมูลจากข่าว
    - Google ยืนยันว่าจะรวม Chrome OS เข้ากับ Android เป็นแพลตฟอร์มเดียว
    - Sameer Samat เปิดเผยแผนนี้ในการสัมภาษณ์กับ TechRadar
    - เป้าหมายคือสร้างระบบที่ทำงานได้ไร้รอยต่อบนโทรศัพท์ แล็ปท็อป และแท็บเล็ต
    - ลดความซับซ้อนในการพัฒนาแอปและฟีเจอร์ใหม่
    - Android มีการปรับปรุงให้รองรับหน้าจอใหญ่ เช่น window management และ app adaptability
    - การรวมระบบจะช่วยให้ผู้ใช้ได้รับฟีเจอร์ใหม่พร้อมกันทุกอุปกรณ์
    - เป็นการตอบโต้ ecosystem ของ Apple ที่เชื่อมโยงอุปกรณ์ได้แน่นหนา

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    - ยังไม่มีรายละเอียดเชิงเทคนิคหรือวันเปิดตัวที่แน่ชัด
    - ผู้ใช้ Chromebook อาจกังวลเรื่องการอัปเดตและการเปลี่ยนแปลงระบบ
    - การรวมระบบอาจทำให้เกิดปัญหาความเข้ากันได้กับแอปหรืออุปกรณ์บางรุ่น
    - นักพัฒนาอาจต้องปรับตัวกับเครื่องมือใหม่และแนวทางการพัฒนาแบบรวม
    - หากการรวมระบบไม่ราบรื่น อาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้ใช้และนักพัฒนา

    https://wccftech.com/google-is-merging-chrome-os-with-android-to-create-one-seamless-platform-that-works-across-phones-laptops-and-tablets-say-goodbye-to-multiple-devices/
    Google รวม Chrome OS กับ Android – สร้างระบบเดียวที่ใช้ได้ทุกอุปกรณ์ Google ยืนยันอย่างเป็นทางการแล้วว่า Chrome OS และ Android จะถูกรวมเข้าด้วยกันเป็นแพลตฟอร์มเดียว โดย Sameer Samat ประธานฝ่าย Android ecosystem ได้เปิดเผยแผนนี้ระหว่างการสัมภาษณ์กับ TechRadar ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่บริษัทพูดถึงเรื่องนี้อย่างเปิดเผย เป้าหมายของการรวมระบบคือ: - ลดความซับซ้อนในการพัฒนาแอปและฟีเจอร์ใหม่ - สร้างประสบการณ์ผู้ใช้ที่ไร้รอยต่อระหว่างอุปกรณ์ - แข่งขันกับระบบนิเวศของ Apple ที่เชื่อมโยงอุปกรณ์ได้แน่นหนา ก่อนหน้านี้ นักพัฒนาต้องปรับแต่งแอปให้ทำงานได้ทั้งบน Android และ Chrome OS แยกกัน ซึ่งใช้เวลามากและซับซ้อน แต่การรวมระบบจะช่วยให้การพัฒนาเร็วขึ้น และผู้ใช้ได้รับฟีเจอร์ใหม่พร้อมกันทุกอุปกรณ์ Android เองก็มีการปรับปรุงให้รองรับหน้าจอขนาดใหญ่มากขึ้น เช่น การจัดการหน้าต่างที่ดีขึ้น และการปรับตัวของแอปให้เหมาะกับอุปกรณ์หลากหลาย แม้ยังไม่มีรายละเอียดเชิงเทคนิคหรือวันเปิดตัว แต่การประกาศนี้สะท้อนว่า Google กำลังมุ่งสู่การสร้าง “ระบบปฏิบัติการเดียวเพื่อทุกอุปกรณ์” อย่างจริงจัง ✅ ข้อมูลจากข่าว - Google ยืนยันว่าจะรวม Chrome OS เข้ากับ Android เป็นแพลตฟอร์มเดียว - Sameer Samat เปิดเผยแผนนี้ในการสัมภาษณ์กับ TechRadar - เป้าหมายคือสร้างระบบที่ทำงานได้ไร้รอยต่อบนโทรศัพท์ แล็ปท็อป และแท็บเล็ต - ลดความซับซ้อนในการพัฒนาแอปและฟีเจอร์ใหม่ - Android มีการปรับปรุงให้รองรับหน้าจอใหญ่ เช่น window management และ app adaptability - การรวมระบบจะช่วยให้ผู้ใช้ได้รับฟีเจอร์ใหม่พร้อมกันทุกอุปกรณ์ - เป็นการตอบโต้ ecosystem ของ Apple ที่เชื่อมโยงอุปกรณ์ได้แน่นหนา ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง - ยังไม่มีรายละเอียดเชิงเทคนิคหรือวันเปิดตัวที่แน่ชัด - ผู้ใช้ Chromebook อาจกังวลเรื่องการอัปเดตและการเปลี่ยนแปลงระบบ - การรวมระบบอาจทำให้เกิดปัญหาความเข้ากันได้กับแอปหรืออุปกรณ์บางรุ่น - นักพัฒนาอาจต้องปรับตัวกับเครื่องมือใหม่และแนวทางการพัฒนาแบบรวม - หากการรวมระบบไม่ราบรื่น อาจกระทบต่อความเชื่อมั่นของผู้ใช้และนักพัฒนา https://wccftech.com/google-is-merging-chrome-os-with-android-to-create-one-seamless-platform-that-works-across-phones-laptops-and-tablets-say-goodbye-to-multiple-devices/
    WCCFTECH.COM
    Google Is Merging Chrome OS With Android To Create One Seamless Platform That Works Across Phones, Laptops, And Tablets - Say Goodbye To Multiple Devices
    Google has confirmed in a conversation recently about its plan to consolidate Chrome OS and Android into a single platform
    0 Comments 0 Shares 130 Views 0 Reviews
  • Gemini เปลี่ยนภาพนิ่งเป็นวิดีโอ – ก้าวใหม่ของ AI สร้างภาพเคลื่อนไหว
    Google เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ใน Gemini AI ที่ให้ผู้ใช้แบบเสียเงิน (Ultra และ Pro plan) สามารถเปลี่ยนภาพนิ่งให้กลายเป็นวิดีโอสั้นความยาว 8 วินาที พร้อมเสียง โดยเริ่มใช้งานได้ผ่านเว็บตั้งแต่วันที่ 10 กรกฎาคม 2025 และจะทยอยเปิดให้ใช้ในแอปมือถือตลอดสัปดาห์

    วิดีโอที่สร้างจะเป็นไฟล์ MP4 ความละเอียด 720p ในอัตราส่วน 16:9 และสามารถใส่คำอธิบายภาพเพื่อช่วยให้ AI สร้างฉากได้ตรงใจมากขึ้น ฟีเจอร์นี้ใช้โมเดล Veo 3 ซึ่งเปิดตัวในงาน Google I/O เดือนพฤษภาคม และเคยใช้ในเครื่องมือสร้างหนังแบบเสียเงินชื่อ Flow

    Google ระบุว่ามีการควบคุมเบื้องหลังเพื่อป้องกันการใช้งานในทางที่ไม่เหมาะสม เช่น:
    - ห้ามใช้ภาพของบุคคลที่สามารถระบุตัวตนได้ เช่น คนดังหรือผู้นำประเทศ
    - ห้ามสร้างวิดีโอที่ส่งเสริมความรุนแรงหรือการกลั่นแกล้ง

    แต่เมื่อ Bloomberg ทดสอบฟีเจอร์นี้ พบว่ามีข้อผิดพลาดหลายจุด:
    - AI เปลี่ยนลักษณะใบหน้าและเชื้อชาติของบุคคลในภาพโดยไม่ได้ตั้งใจ
    - ไม่สามารถทำตามคำสั่งซับซ้อน เช่น ให้คนในภาพเต้น breakdance ได้
    - วิดีโอที่ได้อาจไม่ตรงกับภาพต้นฉบับ โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของใบหน้า

    Google ยอมรับว่าเทคโนโลยีนี้ยังใหม่ และจะปรับปรุงให้ดีขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะด้าน face animation และความแม่นยำของการตีความภาพ

    ข้อมูลจากข่าว
    - Google เพิ่มฟีเจอร์เปลี่ยนภาพนิ่งเป็นวิดีโอใน Gemini AI สำหรับผู้ใช้ Ultra และ Pro
    - เริ่มใช้งานผ่านเว็บตั้งแต่ 10 ก.ค. และจะเปิดในแอปมือถือภายในสัปดาห์
    - วิดีโอที่สร้างมีความยาว 8 วินาที พร้อมเสียง ความละเอียด 720p
    - ใช้โมเดล Veo 3 ซึ่งเคยใช้ในเครื่องมือ Flow
    - สามารถใส่คำอธิบายภาพเพื่อช่วยให้ AI สร้างฉากได้ตรงใจ
    - Google มีนโยบายห้ามใช้ภาพบุคคลที่ระบุตัวตนได้ และห้ามเนื้อหาที่รุนแรง
    - บริษัทจะปรับปรุงเทคโนโลยี face animation ในอนาคต

    คำเตือนและข้อควรระวัง
    - AI อาจเปลี่ยนลักษณะใบหน้าและเชื้อชาติของบุคคลในภาพโดยไม่ได้ตั้งใจ
    - ไม่สามารถทำตามคำสั่งซับซ้อน เช่น การเต้นหรือเคลื่อนไหวเฉพาะทาง
    - วิดีโอที่ได้อาจไม่ตรงกับภาพต้นฉบับ โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของใบหน้า
    - ผู้ใช้ควรหลีกเลี่ยงการใช้ภาพบุคคลที่สามารถระบุตัวตนได้ เพื่อไม่ละเมิดนโยบาย
    - เทคโนโลยีนี้ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น อาจมีข้อผิดพลาดที่ต้องระวัง

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/11/googles-gemini-ai-app-can-now-turn-photos-into-short-video-clips
    Gemini เปลี่ยนภาพนิ่งเป็นวิดีโอ – ก้าวใหม่ของ AI สร้างภาพเคลื่อนไหว Google เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ใน Gemini AI ที่ให้ผู้ใช้แบบเสียเงิน (Ultra และ Pro plan) สามารถเปลี่ยนภาพนิ่งให้กลายเป็นวิดีโอสั้นความยาว 8 วินาที พร้อมเสียง โดยเริ่มใช้งานได้ผ่านเว็บตั้งแต่วันที่ 10 กรกฎาคม 2025 และจะทยอยเปิดให้ใช้ในแอปมือถือตลอดสัปดาห์ วิดีโอที่สร้างจะเป็นไฟล์ MP4 ความละเอียด 720p ในอัตราส่วน 16:9 และสามารถใส่คำอธิบายภาพเพื่อช่วยให้ AI สร้างฉากได้ตรงใจมากขึ้น ฟีเจอร์นี้ใช้โมเดล Veo 3 ซึ่งเปิดตัวในงาน Google I/O เดือนพฤษภาคม และเคยใช้ในเครื่องมือสร้างหนังแบบเสียเงินชื่อ Flow Google ระบุว่ามีการควบคุมเบื้องหลังเพื่อป้องกันการใช้งานในทางที่ไม่เหมาะสม เช่น: - ห้ามใช้ภาพของบุคคลที่สามารถระบุตัวตนได้ เช่น คนดังหรือผู้นำประเทศ - ห้ามสร้างวิดีโอที่ส่งเสริมความรุนแรงหรือการกลั่นแกล้ง แต่เมื่อ Bloomberg ทดสอบฟีเจอร์นี้ พบว่ามีข้อผิดพลาดหลายจุด: - AI เปลี่ยนลักษณะใบหน้าและเชื้อชาติของบุคคลในภาพโดยไม่ได้ตั้งใจ - ไม่สามารถทำตามคำสั่งซับซ้อน เช่น ให้คนในภาพเต้น breakdance ได้ - วิดีโอที่ได้อาจไม่ตรงกับภาพต้นฉบับ โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของใบหน้า Google ยอมรับว่าเทคโนโลยีนี้ยังใหม่ และจะปรับปรุงให้ดีขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะด้าน face animation และความแม่นยำของการตีความภาพ ✅ ข้อมูลจากข่าว - Google เพิ่มฟีเจอร์เปลี่ยนภาพนิ่งเป็นวิดีโอใน Gemini AI สำหรับผู้ใช้ Ultra และ Pro - เริ่มใช้งานผ่านเว็บตั้งแต่ 10 ก.ค. และจะเปิดในแอปมือถือภายในสัปดาห์ - วิดีโอที่สร้างมีความยาว 8 วินาที พร้อมเสียง ความละเอียด 720p - ใช้โมเดล Veo 3 ซึ่งเคยใช้ในเครื่องมือ Flow - สามารถใส่คำอธิบายภาพเพื่อช่วยให้ AI สร้างฉากได้ตรงใจ - Google มีนโยบายห้ามใช้ภาพบุคคลที่ระบุตัวตนได้ และห้ามเนื้อหาที่รุนแรง - บริษัทจะปรับปรุงเทคโนโลยี face animation ในอนาคต ‼️ คำเตือนและข้อควรระวัง - AI อาจเปลี่ยนลักษณะใบหน้าและเชื้อชาติของบุคคลในภาพโดยไม่ได้ตั้งใจ - ไม่สามารถทำตามคำสั่งซับซ้อน เช่น การเต้นหรือเคลื่อนไหวเฉพาะทาง - วิดีโอที่ได้อาจไม่ตรงกับภาพต้นฉบับ โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของใบหน้า - ผู้ใช้ควรหลีกเลี่ยงการใช้ภาพบุคคลที่สามารถระบุตัวตนได้ เพื่อไม่ละเมิดนโยบาย - เทคโนโลยีนี้ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น อาจมีข้อผิดพลาดที่ต้องระวัง https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/11/googles-gemini-ai-app-can-now-turn-photos-into-short-video-clips
    0 Comments 0 Shares 154 Views 0 Reviews
  • เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2025 Elon Musk และทีม xAI เปิดตัว Grok 4 ซึ่งเป็นโมเดล AI แบบมัลติโหมดรุ่นล่าสุด โดยมีจุดเด่นด้านการเข้าใจภาษา การแก้โจทย์คณิตศาสตร์ และการให้เหตุผลอย่างลึกซึ้ง

    Grok 4 มีหลายเวอร์ชัน โดยเวอร์ชัน “Heavy” ที่ใช้เครื่องมือหลายตัวพร้อมกัน (multi-agent tools) ทำคะแนนได้สูงมากในหลายการทดสอบ เช่น:
    - Humanity’s Last Exam (HLE): Grok 4 Heavy ทำคะแนนได้ 44.4% สูงกว่า Gemini 2.5 Pro ที่ใช้เครื่องมือ (26.9%)
    - ARC-AGI-2: Grok 4 ได้ 16.2% ซึ่งสูงกว่า Claude Opus 4 เกือบเท่าตัว
    - MMLU: ได้คะแนน 86.6% และมี Intelligence Index สูงถึง 73 ซึ่งนำหน้าทั้ง OpenAI และ Google

    ในด้าน STEM และการเขียนโค้ด:
    - GPQA: Grok 4 ได้ 87.5%, ส่วน Grok 4 Heavy ได้ 88.9%
    - AIME: Grok 4 Heavy ได้คะแนนเต็ม 100%
    - SWE-Bench: Grok 4 Code (จะเปิดตัวเดือนสิงหาคม) ทำคะแนนได้ 72–75%

    Elon Musk ระบุว่า Grok 4 “แทบไม่เคยตอบผิดในข้อสอบฟิสิกส์หรือคณิตศาสตร์เลย” และสามารถตรวจจับข้อผิดพลาดในคำถามได้ด้วย

    ด้านราคาการใช้งาน:
    - API ราคาเท่า Grok 3: $3/$15 ต่อ 1 ล้าน tokens

    แพ็กเกจผู้ใช้ทั่วไป:
    - ฟรี: เข้าถึง Grok 3 แบบจำกัด
    - SuperGrok ($30/เดือน): เข้าถึง Grok 3 และ Grok 4
    - SuperGrok Heavy ($300/เดือน): เข้าถึง Grok 3, Grok 4 และ Grok 4 Heavy

    https://www.neowin.net/news/elon-musks-xai-launches-grok-4-claiming-top-spot-among-industry-ai-models/
    เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2025 Elon Musk และทีม xAI เปิดตัว Grok 4 ซึ่งเป็นโมเดล AI แบบมัลติโหมดรุ่นล่าสุด โดยมีจุดเด่นด้านการเข้าใจภาษา การแก้โจทย์คณิตศาสตร์ และการให้เหตุผลอย่างลึกซึ้ง Grok 4 มีหลายเวอร์ชัน โดยเวอร์ชัน “Heavy” ที่ใช้เครื่องมือหลายตัวพร้อมกัน (multi-agent tools) ทำคะแนนได้สูงมากในหลายการทดสอบ เช่น: - Humanity’s Last Exam (HLE): Grok 4 Heavy ทำคะแนนได้ 44.4% สูงกว่า Gemini 2.5 Pro ที่ใช้เครื่องมือ (26.9%) - ARC-AGI-2: Grok 4 ได้ 16.2% ซึ่งสูงกว่า Claude Opus 4 เกือบเท่าตัว - MMLU: ได้คะแนน 86.6% และมี Intelligence Index สูงถึง 73 ซึ่งนำหน้าทั้ง OpenAI และ Google ในด้าน STEM และการเขียนโค้ด: - GPQA: Grok 4 ได้ 87.5%, ส่วน Grok 4 Heavy ได้ 88.9% - AIME: Grok 4 Heavy ได้คะแนนเต็ม 100% - SWE-Bench: Grok 4 Code (จะเปิดตัวเดือนสิงหาคม) ทำคะแนนได้ 72–75% Elon Musk ระบุว่า Grok 4 “แทบไม่เคยตอบผิดในข้อสอบฟิสิกส์หรือคณิตศาสตร์เลย” และสามารถตรวจจับข้อผิดพลาดในคำถามได้ด้วย ด้านราคาการใช้งาน: - API ราคาเท่า Grok 3: $3/$15 ต่อ 1 ล้าน tokens แพ็กเกจผู้ใช้ทั่วไป: - ฟรี: เข้าถึง Grok 3 แบบจำกัด - SuperGrok ($30/เดือน): เข้าถึง Grok 3 และ Grok 4 - SuperGrok Heavy ($300/เดือน): เข้าถึง Grok 3, Grok 4 และ Grok 4 Heavy https://www.neowin.net/news/elon-musks-xai-launches-grok-4-claiming-top-spot-among-industry-ai-models/
    WWW.NEOWIN.NET
    Elon Musk's xAI launches Grok 4, claiming top spot among industry AI models
    Elon Musk's xAI has launched its new flagship AI model, Grok-4, which demonstrates leading performance in various academic, reasoning, and coding benchmarks.
    0 Comments 0 Shares 92 Views 0 Reviews
  • คุณลองจินตนาการว่าคุณเป็น Dev หรือ sysadmin ที่ต้องรีบหา PuTTY หรือ WinSCP เพื่อเชื่อมเครื่องระยะไกล → คุณเสิร์ชใน Google → เจอเว็บโหลดที่ดู “เหมือนเป๊ะ” กับเว็บจริง ทั้งโลโก้ ปุ่ม โหลด แม้แต่ไฟล์ที่ได้มาก็ดูทำงานได้ → แต่ความจริงคือ…คุณเพิ่งโหลดมัลแวร์ Oyster ลงเครื่อง!

    มัลแวร์ตัวนี้ไม่ใช่แค่หลอกเฉย ๆ → มันติดตั้ง backdoor ลึกลงในระบบแบบ stealth → สร้าง Scheduled Task รันทุก 3 นาที ผ่าน rundll32.exe → เพื่อ inject DLL (twain_96.dll) → แล้วมันสามารถโหลดมัลแวร์เพิ่มเติมเข้ามาอีกชุดแบบที่คุณไม่รู้ตัว → เทคนิคทั้งหมดนี้ใช้ HTTPS, obfuscation, และการ inject process เพื่อหลบ Antivirus

    เว็บปลอมที่พบ เช่น
    - updaterputty[.]com
    - zephyrhype[.]com
    - putty[.]bet
    - puttyy[.]org
    - และ putty[.]run

    งานนี้เกิดจากกลุ่ม Arctic Wolf ที่ตามรอยจนเจอพฤติกรรม SEO Poisoning + Software Spoofing → ซึ่งไม่ได้หยุดแค่ PuTTY/WinSCP เท่านั้น — นักวิจัยเตือนว่าเครื่องมืออื่น ๆ อาจโดนแบบเดียวกัน

    กลุ่มแฮกเกอร์ใช้กลยุทธ์ SEO poisoning → ดันเว็บปลอมขึ้น Google Search  
    • เว็บเหล่านี้เลียนแบบหน้าดาวน์โหลดของเครื่องมือยอดนิยม (เช่น PuTTY, WinSCP)  
    • เมื่อลงไฟล์แล้ว ระบบจะติดมัลแวร์ชื่อ Oyster

    Oyster (หรือ Broomstick/CleanUpLoader) คือมัลแวร์โหลดขั้นแรก  
    • ติดตั้งโดย inject DLL และตั้ง Scheduled Task รันทุก 3 นาที  
    • ทำให้เครื่องพร้อมสำหรับโหลด payload ระยะต่อไปแบบลับ ๆ

    ใช้เทคนิคหลบการตรวจจับ เช่น:  
    • process injection, obfuscation, C2 ผ่าน HTTPS  
    • ช่วยให้ระบบความปลอดภัยทั่วไปตรวจจับยากขึ้น

    Arctic Wolf พบเว็บปลอมหลายแห่งที่ใช้เทคนิคเดียวกัน → เตือนว่าอาจมีเครื่องมืออื่นตกเป็นเหยื่อในอนาคต

    https://www.techradar.com/pro/security/be-careful-where-you-click-in-google-search-results-it-could-be-damaging-malware
    คุณลองจินตนาการว่าคุณเป็น Dev หรือ sysadmin ที่ต้องรีบหา PuTTY หรือ WinSCP เพื่อเชื่อมเครื่องระยะไกล → คุณเสิร์ชใน Google → เจอเว็บโหลดที่ดู “เหมือนเป๊ะ” กับเว็บจริง ทั้งโลโก้ ปุ่ม โหลด แม้แต่ไฟล์ที่ได้มาก็ดูทำงานได้ → แต่ความจริงคือ…คุณเพิ่งโหลดมัลแวร์ Oyster ลงเครื่อง! มัลแวร์ตัวนี้ไม่ใช่แค่หลอกเฉย ๆ → มันติดตั้ง backdoor ลึกลงในระบบแบบ stealth → สร้าง Scheduled Task รันทุก 3 นาที ผ่าน rundll32.exe → เพื่อ inject DLL (twain_96.dll) → แล้วมันสามารถโหลดมัลแวร์เพิ่มเติมเข้ามาอีกชุดแบบที่คุณไม่รู้ตัว → เทคนิคทั้งหมดนี้ใช้ HTTPS, obfuscation, และการ inject process เพื่อหลบ Antivirus เว็บปลอมที่พบ เช่น - updaterputty[.]com - zephyrhype[.]com - putty[.]bet - puttyy[.]org - และ putty[.]run งานนี้เกิดจากกลุ่ม Arctic Wolf ที่ตามรอยจนเจอพฤติกรรม SEO Poisoning + Software Spoofing → ซึ่งไม่ได้หยุดแค่ PuTTY/WinSCP เท่านั้น — นักวิจัยเตือนว่าเครื่องมืออื่น ๆ อาจโดนแบบเดียวกัน ✅ กลุ่มแฮกเกอร์ใช้กลยุทธ์ SEO poisoning → ดันเว็บปลอมขึ้น Google Search   • เว็บเหล่านี้เลียนแบบหน้าดาวน์โหลดของเครื่องมือยอดนิยม (เช่น PuTTY, WinSCP)   • เมื่อลงไฟล์แล้ว ระบบจะติดมัลแวร์ชื่อ Oyster ✅ Oyster (หรือ Broomstick/CleanUpLoader) คือมัลแวร์โหลดขั้นแรก   • ติดตั้งโดย inject DLL และตั้ง Scheduled Task รันทุก 3 นาที   • ทำให้เครื่องพร้อมสำหรับโหลด payload ระยะต่อไปแบบลับ ๆ ✅ ใช้เทคนิคหลบการตรวจจับ เช่น:   • process injection, obfuscation, C2 ผ่าน HTTPS   • ช่วยให้ระบบความปลอดภัยทั่วไปตรวจจับยากขึ้น ✅ Arctic Wolf พบเว็บปลอมหลายแห่งที่ใช้เทคนิคเดียวกัน → เตือนว่าอาจมีเครื่องมืออื่นตกเป็นเหยื่อในอนาคต https://www.techradar.com/pro/security/be-careful-where-you-click-in-google-search-results-it-could-be-damaging-malware
    0 Comments 0 Shares 123 Views 0 Reviews
  • หลายคนกลัวว่า AI จะมาแย่งงาน “เด็กจบใหม่” เพราะงานซ้ำ ๆ ง่าย ๆ เช่น สรุปรายงาน, เขียนโค้ดพื้นฐาน, หรือ customer support ล้วนทำได้โดย AI อย่างรวดเร็ว → Dario Amodei จาก Anthropic บอกชัดว่า AI อาจ “แย่งงานครึ่งหนึ่งของงานระดับเริ่มต้นในออฟฟิศ” ภายใน 5 ปี → ข้อมูลจาก ADP ระบุว่า “การจ้างพนักงานในสายไอทีที่มีอายุงานไม่เกิน 2 ปี ลดลง 20–25% ตั้งแต่ปี 2023” แล้ว

    แต่ฝั่งผู้มีประสบการณ์ก็ไม่ได้รอด → Brad Lightcap จาก OpenAI ชี้ว่า AI กำลังแทนที่ “พนักงานอาวุโสที่ยึดติดกับวิธีทำงานแบบเดิม” → บริษัทหลายแห่งลดจำนวน middle manager และ software engineer รุ่นเก๋า เช่น Microsoft, Google และ Meta → เพราะงานระดับเอกสาร–ติดตามโปรเจกต์–ประสานงาน ตอนนี้ AI ทำได้หมดแล้ว

    ในทางกลับกัน บางงานกลับ “ใช้ AI เสริมแรง” เช่น → นักพัฒนา mid-level ที่ใช้ AI เพื่อช่วยทีมทำงานข้ามภาษาโปรแกรม → หรือหัวหน้าทีมที่ใช้ AI คอยแนะนำ–รีวิว–วิเคราะห์งานลูกทีม → ส่งผลให้บางบริษัทเริ่ม “จ้างนักพัฒนา junior แล้วให้ AI + หัวหน้าคุม” → ลดจำนวนพนักงานระดับกลางไปเลย

    Harper Reed ซีอีโอจาก 2389 Research บอกว่า “การลดค่าใช้จ่ายไม่ใช่การไล่คนถูกออก แต่เอาคนถูกให้ทำงานได้แบบคนแพง” → โดยการใช้ AI เป็นตัวคูณประสิทธิภาพ

    พนักงานอาวุโสที่ “ไม่ปรับตัว–ไม่ใช้ AI” เสี่ยงตกขบวน  
    • ไม่ใช่แค่ระดับ junior ที่ถูกแทน แต่คนแพงที่ดื้อก็โดนก่อน

    การลด middle-tier อาจส่งผลต่อ career path → junior โตไว แต่ไม่มีระดับกลางรองรับ

    แรงงานที่ใช้ทักษะเดียว เช่น coding เฉพาะทาง อาจสูญเสียจุดแข็งเมื่อ AI ทำแทนได้

    หาก AI ทำงานเชิง routine ได้ดี แต่ไม่มีการเสริมแรงมนุษย์ → องค์กรอาจขาดความลึกซึ้ง–ความเข้าใจทางปริบท

    ระบบ HR และการศึกษาควรเร่งปรับตัว → เสริม soft skill, cross-domain, ความรู้เชิงระบบ มากกว่าสอนแค่เทคนิค

    https://www.techspot.com/news/108593-who-faces-greater-risk-ai-novices-or-experienced.html
    หลายคนกลัวว่า AI จะมาแย่งงาน “เด็กจบใหม่” เพราะงานซ้ำ ๆ ง่าย ๆ เช่น สรุปรายงาน, เขียนโค้ดพื้นฐาน, หรือ customer support ล้วนทำได้โดย AI อย่างรวดเร็ว → Dario Amodei จาก Anthropic บอกชัดว่า AI อาจ “แย่งงานครึ่งหนึ่งของงานระดับเริ่มต้นในออฟฟิศ” ภายใน 5 ปี → ข้อมูลจาก ADP ระบุว่า “การจ้างพนักงานในสายไอทีที่มีอายุงานไม่เกิน 2 ปี ลดลง 20–25% ตั้งแต่ปี 2023” แล้ว แต่ฝั่งผู้มีประสบการณ์ก็ไม่ได้รอด → Brad Lightcap จาก OpenAI ชี้ว่า AI กำลังแทนที่ “พนักงานอาวุโสที่ยึดติดกับวิธีทำงานแบบเดิม” → บริษัทหลายแห่งลดจำนวน middle manager และ software engineer รุ่นเก๋า เช่น Microsoft, Google และ Meta → เพราะงานระดับเอกสาร–ติดตามโปรเจกต์–ประสานงาน ตอนนี้ AI ทำได้หมดแล้ว ในทางกลับกัน บางงานกลับ “ใช้ AI เสริมแรง” เช่น → นักพัฒนา mid-level ที่ใช้ AI เพื่อช่วยทีมทำงานข้ามภาษาโปรแกรม → หรือหัวหน้าทีมที่ใช้ AI คอยแนะนำ–รีวิว–วิเคราะห์งานลูกทีม → ส่งผลให้บางบริษัทเริ่ม “จ้างนักพัฒนา junior แล้วให้ AI + หัวหน้าคุม” → ลดจำนวนพนักงานระดับกลางไปเลย Harper Reed ซีอีโอจาก 2389 Research บอกว่า “การลดค่าใช้จ่ายไม่ใช่การไล่คนถูกออก แต่เอาคนถูกให้ทำงานได้แบบคนแพง” → โดยการใช้ AI เป็นตัวคูณประสิทธิภาพ ‼️ พนักงานอาวุโสที่ “ไม่ปรับตัว–ไม่ใช้ AI” เสี่ยงตกขบวน   • ไม่ใช่แค่ระดับ junior ที่ถูกแทน แต่คนแพงที่ดื้อก็โดนก่อน ‼️ การลด middle-tier อาจส่งผลต่อ career path → junior โตไว แต่ไม่มีระดับกลางรองรับ ‼️ แรงงานที่ใช้ทักษะเดียว เช่น coding เฉพาะทาง อาจสูญเสียจุดแข็งเมื่อ AI ทำแทนได้ ‼️ หาก AI ทำงานเชิง routine ได้ดี แต่ไม่มีการเสริมแรงมนุษย์ → องค์กรอาจขาดความลึกซึ้ง–ความเข้าใจทางปริบท ‼️ ระบบ HR และการศึกษาควรเร่งปรับตัว → เสริม soft skill, cross-domain, ความรู้เชิงระบบ มากกว่าสอนแค่เทคนิค https://www.techspot.com/news/108593-who-faces-greater-risk-ai-novices-or-experienced.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Tech layoffs show AI's impact extends beyond entry-level roles
    Some within the industry, like Dario Amodei of Anthropic, argue that entry-level positions are most susceptible because their tasks are more easily automated. Amodei said that AI...
    0 Comments 0 Shares 147 Views 0 Reviews
  • ลองนึกดูว่าเวลาเราพิมพ์คำถามยาว ๆ ใส่ AI อย่าง ChatGPT แล้วระบบต้องใช้พลังงานมหาศาลขนาดไหนเพื่อ “เข้าใจ–แยกประเด็น–ค้นหาคำตอบ” → ล่าสุด UNESCO เผยว่าการถามคำถามให้ “สั้นลง–ชัดขึ้น” และเลือกใช้โมเดลที่ “เล็กลง–เฉพาะทาง” แทนโมเดลใหญ่แบบ general-purpose จะช่วยลดการใช้พลังงานได้ถึง 90%!

    ยกตัวอย่าง ChatGPT — ผู้บริหาร OpenAI เคยเผยว่า ทุกคำถามที่ถามใช้ไฟฟ้าประมาณ 0.34 Wh ซึ่งมากกว่าการค้นหาบน Google ถึง 10–70 เท่า → ถ้านับคำถามเฉลี่ยวันละพันล้านครั้ง เท่ากับใช้ไฟปีละ 310 GWh = เท่ากับคนเอธิโอเปีย 3 ล้านคนใช้ทั้งปี!

    และที่น่าตกใจคือความต้องการพลังงานของ AI กำลัง “เพิ่มเป็นเท่าตัวทุก 100 วัน” เพราะคนใช้มากขึ้น และ AI ถูกฝังเข้าไปในหลายแอปฯ → เทคโนโลยีที่ควรช่วยโลก อาจกำลังเผาโลกช้า ๆ ถ้าเราไม่จัดการพลังงานที่ใช้

    ข่าวดีคือผู้ผลิต AI หลายรายก็เริ่มปล่อย “เวอร์ชันขนาดเล็ก” เช่น → Google Gemma, Microsoft Phi-3, OpenAI GPT-4o mini, และ Mistral AI กับรุ่น Ministral

    UNESCO เผยวิธีลดพลังงาน AI ได้ 90% โดยไม่ลดคุณภาพ:  
    • ลดความยาวคำถามจาก 300 → 150 คำ  
    • เปลี่ยนจากโมเดลขนาดใหญ่ → เป็นโมเดลเฉพาะทางที่เล็กลง

    ChatGPT ใช้พลังงานประมาณ 0.34 Wh ต่อการถาม 1 ครั้ง  
    • มากกว่า Google Search 10–70 เท่า  
    • วันละ 1 พันล้านคำถาม = 310 GWh/ปี

    การใช้โมเดลขนาดใหญ่ = ต้องโหลดข้อมูลมหาศาลทุกครั้งที่ตอบ  
    • หากใช้โมเดลเล็กเฉพาะทาง จะใช้พลังงานน้อยลงมาก

    ปัจจุบัน Tech Giants ออกโมเดลขนาดเล็กเพื่อประหยัดพลังงานและทำงานเฉพาะทางได้ไวขึ้น:

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/09/study-ai-needs-to-be-smaller-reduce-energy-footprint
    ลองนึกดูว่าเวลาเราพิมพ์คำถามยาว ๆ ใส่ AI อย่าง ChatGPT แล้วระบบต้องใช้พลังงานมหาศาลขนาดไหนเพื่อ “เข้าใจ–แยกประเด็น–ค้นหาคำตอบ” → ล่าสุด UNESCO เผยว่าการถามคำถามให้ “สั้นลง–ชัดขึ้น” และเลือกใช้โมเดลที่ “เล็กลง–เฉพาะทาง” แทนโมเดลใหญ่แบบ general-purpose จะช่วยลดการใช้พลังงานได้ถึง 90%! ยกตัวอย่าง ChatGPT — ผู้บริหาร OpenAI เคยเผยว่า ทุกคำถามที่ถามใช้ไฟฟ้าประมาณ 0.34 Wh ซึ่งมากกว่าการค้นหาบน Google ถึง 10–70 เท่า → ถ้านับคำถามเฉลี่ยวันละพันล้านครั้ง เท่ากับใช้ไฟปีละ 310 GWh = เท่ากับคนเอธิโอเปีย 3 ล้านคนใช้ทั้งปี! และที่น่าตกใจคือความต้องการพลังงานของ AI กำลัง “เพิ่มเป็นเท่าตัวทุก 100 วัน” เพราะคนใช้มากขึ้น และ AI ถูกฝังเข้าไปในหลายแอปฯ → เทคโนโลยีที่ควรช่วยโลก อาจกำลังเผาโลกช้า ๆ ถ้าเราไม่จัดการพลังงานที่ใช้ ข่าวดีคือผู้ผลิต AI หลายรายก็เริ่มปล่อย “เวอร์ชันขนาดเล็ก” เช่น → Google Gemma, Microsoft Phi-3, OpenAI GPT-4o mini, และ Mistral AI กับรุ่น Ministral ✅ UNESCO เผยวิธีลดพลังงาน AI ได้ 90% โดยไม่ลดคุณภาพ:   • ลดความยาวคำถามจาก 300 → 150 คำ   • เปลี่ยนจากโมเดลขนาดใหญ่ → เป็นโมเดลเฉพาะทางที่เล็กลง ✅ ChatGPT ใช้พลังงานประมาณ 0.34 Wh ต่อการถาม 1 ครั้ง   • มากกว่า Google Search 10–70 เท่า   • วันละ 1 พันล้านคำถาม = 310 GWh/ปี ✅ การใช้โมเดลขนาดใหญ่ = ต้องโหลดข้อมูลมหาศาลทุกครั้งที่ตอบ   • หากใช้โมเดลเล็กเฉพาะทาง จะใช้พลังงานน้อยลงมาก ✅ ปัจจุบัน Tech Giants ออกโมเดลขนาดเล็กเพื่อประหยัดพลังงานและทำงานเฉพาะทางได้ไวขึ้น: https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/09/study-ai-needs-to-be-smaller-reduce-energy-footprint
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Study: AI needs to be smaller, reduce energy footprint
    The potential of artificial intelligence is immense – but its equally vast energy consumption needs curbing, with asking shorter questions one way to achieve, said a UNESCO study unveiled on July 8.
    0 Comments 0 Shares 112 Views 0 Reviews
  • ถ้าเมื่อก่อนวิดีโอ AI เคยมีข้อบกพร่อง เช่น หน้ามนุษย์บิดเบี้ยว มือมี 6 นิ้ว หรือเส้นผมติดกันเป็นก้อน… วันนี้ AI กำลังทิ้งอดีตเหล่านั้นไว้ข้างหลัง → ลองนึกถึงคลิป “Will Smith กินสปาเกตตี” ที่เคยดังเมื่อ 2 ปีก่อนในเวอร์ชันหลอน ๆ น่าขนลุก → แต่เวอร์ชันล่าสุดบน Veo 3 ของ Google กลับแทบแยกไม่ออกว่าเป็นของปลอม!

    AI วิดีโอตอนนี้พัฒนาไปเร็วมาก → ภายใน 12 เดือน มีการเปิดตัวโมเดลใหม่อย่าง Luma Dream Machine, OpenAI Sora, Runway Gen-4 และ Veo 3 → วงการฮอลลีวูดเริ่มขยับ เช่น Lionsgate ทำดีลกับ Runway เพื่อสร้างแอนิเมชันจากแฟรนไชส์ดังอย่าง John Wick หรือ Hunger Games → และ AI ถูกใช้ในการทำ Previs หรือ Storyboard ที่เคยต้องใช้เงินหลักล้าน → ตอนนี้แค่สร้างคลิป 10 วิ ที่มีทหารหมื่นคนก็พอให้ตัดสินใจแล้วว่าจะถ่ายทำจริงไหม

    แม้บางสตูดิโออย่าง Staircase Studio จะก้าวหน้าไปถึงขั้นผลิตภาพยนตร์ทั้งเรื่องด้วย AI ในต้นทุนไม่ถึง $500,000 → แต่ศิลปิน–ผู้กำกับบางคนยังปฏิเสธ AI เพราะมองว่า “ทำลายจินตนาการ” และไม่ต้องการให้เครื่องมือตัดสินแทน

    อย่างไรก็ดี Strickler จาก Georgia State บอกว่า “ต่อต้าน AI ตอนนี้ก็เหมือนทำธุรกิจโดยไม่มีอินเทอร์เน็ต” → แม้จะเข้าใจว่าคนกังวลเรื่องพลังงาน–ลิขสิทธิ์–ผลกระทบต่อแรงงานก็ตาม

    AI วิดีโอพัฒนาเร็วมากในปี 2024–2025 → สร้างภาพที่สมจริงจนแยกไม่ออกจากวิดีโอจริง  
    • เทคโนโลยีจาก Veo, Sora, Gen-4 และ Dream Machine  
    • ตัวอย่างคลิป Will Smith กินสปาเกตตีเวอร์ชันล่าสุดแทบไม่มีข้อผิดพลาด

    Runway AI จับมือ Lionsgate และ AMC สร้างแอนิเมชันจากแฟรนไชส์หนังจริง  
    • ใช้ทำ Previsualization แทนการลงทุนหลายล้าน  
    • ช่วยตัดสินใจว่าควรถ่ายทำหรือไม่

    Staircase Studio ตั้งเป้าสร้างภาพยนตร์ AI ทั้งเรื่อง ในงบไม่ถึง $500,000 ต่อเรื่อง  
    • แต่ยังใช้แรงงานจริงจากกองถ่ายและนักสร้างสรรค์แบบ union

    บางคนใช้ AI เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการแก้ไขงาน (unlimited iteration) โดยไม่ต้องถ่ายใหม่

    นักศึกษาหลายคนต่อต้าน AI เพราะพลังงาน–การดูดเนื้อหาจากเจ้าของเดิม–ผลกระทบต่อแรงงาน

    Runway กำลังวางแผนขยายไปสู่ VR–AR และการสร้างโลกเสมือนจริงที่ถ่ายทำหนังได้เลย

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/08/ai-video-becomes-more-convincing-rattling-creative-industry
    ถ้าเมื่อก่อนวิดีโอ AI เคยมีข้อบกพร่อง เช่น หน้ามนุษย์บิดเบี้ยว มือมี 6 นิ้ว หรือเส้นผมติดกันเป็นก้อน… วันนี้ AI กำลังทิ้งอดีตเหล่านั้นไว้ข้างหลัง → ลองนึกถึงคลิป “Will Smith กินสปาเกตตี” ที่เคยดังเมื่อ 2 ปีก่อนในเวอร์ชันหลอน ๆ น่าขนลุก → แต่เวอร์ชันล่าสุดบน Veo 3 ของ Google กลับแทบแยกไม่ออกว่าเป็นของปลอม! AI วิดีโอตอนนี้พัฒนาไปเร็วมาก → ภายใน 12 เดือน มีการเปิดตัวโมเดลใหม่อย่าง Luma Dream Machine, OpenAI Sora, Runway Gen-4 และ Veo 3 → วงการฮอลลีวูดเริ่มขยับ เช่น Lionsgate ทำดีลกับ Runway เพื่อสร้างแอนิเมชันจากแฟรนไชส์ดังอย่าง John Wick หรือ Hunger Games → และ AI ถูกใช้ในการทำ Previs หรือ Storyboard ที่เคยต้องใช้เงินหลักล้าน → ตอนนี้แค่สร้างคลิป 10 วิ ที่มีทหารหมื่นคนก็พอให้ตัดสินใจแล้วว่าจะถ่ายทำจริงไหม แม้บางสตูดิโออย่าง Staircase Studio จะก้าวหน้าไปถึงขั้นผลิตภาพยนตร์ทั้งเรื่องด้วย AI ในต้นทุนไม่ถึง $500,000 → แต่ศิลปิน–ผู้กำกับบางคนยังปฏิเสธ AI เพราะมองว่า “ทำลายจินตนาการ” และไม่ต้องการให้เครื่องมือตัดสินแทน อย่างไรก็ดี Strickler จาก Georgia State บอกว่า “ต่อต้าน AI ตอนนี้ก็เหมือนทำธุรกิจโดยไม่มีอินเทอร์เน็ต” → แม้จะเข้าใจว่าคนกังวลเรื่องพลังงาน–ลิขสิทธิ์–ผลกระทบต่อแรงงานก็ตาม ✅ AI วิดีโอพัฒนาเร็วมากในปี 2024–2025 → สร้างภาพที่สมจริงจนแยกไม่ออกจากวิดีโอจริง   • เทคโนโลยีจาก Veo, Sora, Gen-4 และ Dream Machine   • ตัวอย่างคลิป Will Smith กินสปาเกตตีเวอร์ชันล่าสุดแทบไม่มีข้อผิดพลาด ✅ Runway AI จับมือ Lionsgate และ AMC สร้างแอนิเมชันจากแฟรนไชส์หนังจริง   • ใช้ทำ Previsualization แทนการลงทุนหลายล้าน   • ช่วยตัดสินใจว่าควรถ่ายทำหรือไม่ ✅ Staircase Studio ตั้งเป้าสร้างภาพยนตร์ AI ทั้งเรื่อง ในงบไม่ถึง $500,000 ต่อเรื่อง   • แต่ยังใช้แรงงานจริงจากกองถ่ายและนักสร้างสรรค์แบบ union ✅ บางคนใช้ AI เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการแก้ไขงาน (unlimited iteration) โดยไม่ต้องถ่ายใหม่ ✅ นักศึกษาหลายคนต่อต้าน AI เพราะพลังงาน–การดูดเนื้อหาจากเจ้าของเดิม–ผลกระทบต่อแรงงาน ✅ Runway กำลังวางแผนขยายไปสู่ VR–AR และการสร้างโลกเสมือนจริงที่ถ่ายทำหนังได้เลย https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/08/ai-video-becomes-more-convincing-rattling-creative-industry
    WWW.THESTAR.COM.MY
    AI video becomes more convincing, rattling creative industry
    Gone are the days of six-fingered hands or distorted faces – AI-generated video is becoming increasingly convincing, attracting Hollywood, artists, and advertisers, while shaking the foundations of the creative industry.
    0 Comments 0 Shares 158 Views 0 Reviews
  • ในโลกใต้ดินของแรนซัมแวร์ เหล่าแก๊งแฮกเกอร์ไม่ได้แค่รอเรียกค่าไถ่จากเหยื่อ แต่ยังต้องแข่งกันเอง — ล่าสุด “DragonForce” (กลุ่มอาชญากรไซเบอร์รัสเซีย) ไม่พอใจที่ “RansomHub” แย่งพันธมิตรในเครือข่ายแรนซัมแวร์ → จึงเปิดศึกแย่งพื้นที่ (turf war) โดยเริ่มจากการโจมตี “เว็บบนดาร์กเว็บของ RansomHub” ให้ล่มไปเลย

    สิ่งที่นักวิเคราะห์กลัวคือ: → แก๊งทั้งสองอาจโจมตีเหยื่อองค์กรเดียวกัน “พร้อมกัน” เพื่อแย่งผลงานกันเอง → หรือบางกรณีเกิด “แรนซัมซ้อนแรนซัม” — เรียกค่าไถ่จากเหยื่อซ้ำหลายรอบ → เหมือนกรณี UnitedHealth Group ที่เคยจ่ายค่าไถ่ให้แก๊งหนึ่งไปแล้ว แต่ถูกอีกแก๊งใช้ช่องทางอื่นมารีดซ้ำอีกจนต้องจ่ายอีกรอบ

    นักวิเคราะห์จาก Google Threat Intelligence Group เตือนว่า → วิกฤตนี้อาจทำให้สภาพแวดล้อมภัยไซเบอร์สำหรับเหยื่อแย่ลงมาก → เพราะ “ความไร้เสถียรภาพของแก๊งแฮกเกอร์เอง” ก็เพิ่มโอกาสถูกโจมตีซ้ำหรือโดนรีดไถต่อเนื่อง → แต่บางฝั่งก็มองว่า การแตกคอกันในวงการแรนซัมแวร์อาจทำให้แก๊งเหล่านี้อ่อนแอลงจากภายในในระยะยาวก็ได้

    แก๊ง DragonForce กำลังทำสงครามไซเบอร์กับ RansomHub เพื่อแย่งพื้นที่และพันธมิตรในโลกอาชญากรรม  
    • เริ่มจากการถล่มเว็บไซต์ดาร์กเว็บของ RansomHub  
    • เหตุเพราะ RansomHub ขยายบริการและดึงดูดเครือข่ายได้มากขึ้น

    ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าอาจเกิด “ดับเบิลรีดไถ” คือเหยื่อถูกเรียกค่าไถ่จากหลายกลุ่มพร้อมกัน  
    • เหมือนกรณีของ UnitedHealth Group ที่โดนรีด 2 รอบจาก 2 แก๊ง  
    • เสี่ยงสูญเสียข้อมูล–ชื่อเสียง–เงินทุนมากกว่าเดิม

    ระบบ Ransomware-as-a-Service ยังดำเนินต่อไปแม้แก๊งหลักจะพัง → แค่เปลี่ยนชื่อและ affiliate ไปอยู่กับกลุ่มใหม่

    Google เตือนว่า ความไร้เสถียรภาพของโลกอาชญากรรมไซเบอร์ส่งผลโดยตรงต่อระดับภัยคุกคามของเหยื่อองค์กร

    บางกลุ่มเช่น Conti เคยล่มสลายหลังรัสเซียบุกยูเครน เพราะความขัดแย้งระหว่างสมาชิกจากสองประเทศ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/hacker-turf-war-unfolding-as-russian-dragonforce-ransomware-gang-drama-could-lead-to-double-extortionions-making-life-even-worse-for-potential-victims
    ในโลกใต้ดินของแรนซัมแวร์ เหล่าแก๊งแฮกเกอร์ไม่ได้แค่รอเรียกค่าไถ่จากเหยื่อ แต่ยังต้องแข่งกันเอง — ล่าสุด “DragonForce” (กลุ่มอาชญากรไซเบอร์รัสเซีย) ไม่พอใจที่ “RansomHub” แย่งพันธมิตรในเครือข่ายแรนซัมแวร์ → จึงเปิดศึกแย่งพื้นที่ (turf war) โดยเริ่มจากการโจมตี “เว็บบนดาร์กเว็บของ RansomHub” ให้ล่มไปเลย สิ่งที่นักวิเคราะห์กลัวคือ: → แก๊งทั้งสองอาจโจมตีเหยื่อองค์กรเดียวกัน “พร้อมกัน” เพื่อแย่งผลงานกันเอง → หรือบางกรณีเกิด “แรนซัมซ้อนแรนซัม” — เรียกค่าไถ่จากเหยื่อซ้ำหลายรอบ → เหมือนกรณี UnitedHealth Group ที่เคยจ่ายค่าไถ่ให้แก๊งหนึ่งไปแล้ว แต่ถูกอีกแก๊งใช้ช่องทางอื่นมารีดซ้ำอีกจนต้องจ่ายอีกรอบ นักวิเคราะห์จาก Google Threat Intelligence Group เตือนว่า → วิกฤตนี้อาจทำให้สภาพแวดล้อมภัยไซเบอร์สำหรับเหยื่อแย่ลงมาก → เพราะ “ความไร้เสถียรภาพของแก๊งแฮกเกอร์เอง” ก็เพิ่มโอกาสถูกโจมตีซ้ำหรือโดนรีดไถต่อเนื่อง → แต่บางฝั่งก็มองว่า การแตกคอกันในวงการแรนซัมแวร์อาจทำให้แก๊งเหล่านี้อ่อนแอลงจากภายในในระยะยาวก็ได้ ✅ แก๊ง DragonForce กำลังทำสงครามไซเบอร์กับ RansomHub เพื่อแย่งพื้นที่และพันธมิตรในโลกอาชญากรรม   • เริ่มจากการถล่มเว็บไซต์ดาร์กเว็บของ RansomHub   • เหตุเพราะ RansomHub ขยายบริการและดึงดูดเครือข่ายได้มากขึ้น ✅ ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าอาจเกิด “ดับเบิลรีดไถ” คือเหยื่อถูกเรียกค่าไถ่จากหลายกลุ่มพร้อมกัน   • เหมือนกรณีของ UnitedHealth Group ที่โดนรีด 2 รอบจาก 2 แก๊ง   • เสี่ยงสูญเสียข้อมูล–ชื่อเสียง–เงินทุนมากกว่าเดิม ✅ ระบบ Ransomware-as-a-Service ยังดำเนินต่อไปแม้แก๊งหลักจะพัง → แค่เปลี่ยนชื่อและ affiliate ไปอยู่กับกลุ่มใหม่ ✅ Google เตือนว่า ความไร้เสถียรภาพของโลกอาชญากรรมไซเบอร์ส่งผลโดยตรงต่อระดับภัยคุกคามของเหยื่อองค์กร ✅ บางกลุ่มเช่น Conti เคยล่มสลายหลังรัสเซียบุกยูเครน เพราะความขัดแย้งระหว่างสมาชิกจากสองประเทศ https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/hacker-turf-war-unfolding-as-russian-dragonforce-ransomware-gang-drama-could-lead-to-double-extortionions-making-life-even-worse-for-potential-victims
    0 Comments 0 Shares 194 Views 0 Reviews
  • AI: พลังขับเคลื่อนความก้าวหน้า... หรือเร่งโลกให้ร้อนขึ้น?

    บทนำ: ยุค AI กับผลกระทบที่มองไม่เห็น
    ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังเปลี่ยนแปลงโลก จากการค้นหาข้อมูล รถยนต์ไร้คนขับ ไปจนถึงการวินิจฉัยทางการแพทย์ แต่ความก้าวหน้านี้มาพร้อมต้นทุนที่ซ่อนอยู่: การใช้พลังงานมหาศาลและความร้อนที่เกิดขึ้น ซึ่งส่งผลต่อภาวะโลกร้อน บทความนี้สำรวจสาเหตุที่ AI ใช้พลังงานมาก ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน

    AI กับความต้องการพลังงานมหาศาล

    ทำไม AI ถึงใช้พลังงานมาก?
    AI โดยเฉพาะโมเดลกำเนิด เช่น GPT-4 ต้องการพลังการประมวลผลสูง ใช้หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPUs) และหน่วยประมวลผลเทนเซอร์ (TPUs) ซึ่งกินไฟมากและสร้างความร้อนที่ต้องระบายด้วยระบบทำความเย็นซับซ้อน การฝึกโมเดล เช่น GPT-3 ใช้ไฟฟ้า ~1,300 MWh และ GPT-4 ใช้ ~1,750 MWh ส่วนการอนุมาน (เช่น การสอบถาม ChatGPT) ใช้พลังงานรวมมากกว่าการฝึกเมื่อมีผู้ใช้จำนวนมาก

    ตัวอย่างการใช้พลังงาน
    - ชั้นวาง AI ใช้ไฟมากกว่าครัวเรือนสหรัฐฯ 39 เท่า
    - การฝึก GPT-3 เทียบเท่าการใช้ไฟของบ้าน 120-130 หลังต่อปี
    - การสอบถาม ChatGPT ครั้งหนึ่งใช้พลังงานมากกว่าการค้นหา Google 10-15 เท่า และปล่อย CO2 มากกว่า 340 เท่า
    - ศูนย์ข้อมูลทั่วโลกในปี 2022 ใช้ไฟ 460 TWh และคาดว่าในปี 2026 จะเพิ่มเป็น ~1,050 TWh เทียบเท่าการใช้ไฟของเยอรมนี

    ความร้อนจาก AI: ตัวเร่งโลกร้อน

    จากไฟฟ้าสู่ความร้อน
    พลังงานไฟฟ้าที่ AI ใช้เกือบทั้งหมดแปลงเป็นความร้อน โดย 1 วัตต์ผลิตความร้อน 3.412 BTU/ชั่วโมง GPUs สมัยใหม่ใช้ไฟเกิน 1,000 วัตต์ต่อตัว สร้างความร้อนที่ต้องระบาย

    รอยเท้าคาร์บอนและน้ำ
    การฝึกโมเดล AI ปล่อย CO2 ได้ถึง 284 ตัน เทียบเท่ารถยนต์สหรัฐฯ 5 คันต่อปี การระบายความร้อนศูนย์ข้อมูลใช้ไฟฟ้าถึง 40% และน้ำราว 2 ลิตรต่อ kWh โดย ChatGPT-4o ใช้น้ำเทียบเท่าความต้องการน้ำดื่มของ 1.2 ล้านคนต่อปี คาดว่าภายในปี 2030 ศูนย์ข้อมูล AI อาจใช้ไฟมากกว่าฝรั่งเศสทั้งประเทศ

    ความท้าทายด้านความร้อน
    ความร้อนสูงเกินไปทำให้ประสิทธิภาพลดลง อายุฮาร์ดแวร์สั้นลง และระบบไม่เสถียร การระบายความร้อนด้วยอากาศแบบดั้งเดิมไม่เพียงพอต่อความร้อนจาก AI สมัยใหม่ และระบบทำความเย็นใช้พลังงานสูง ตัวอย่างการใช้พลังงาน GPU ในอนาคต:
    - ปี 2025 (Blackwell Ultra): 1,400W, ใช้การระบายความร้อนแบบ Direct-to-Chip
    - ปี 2027 (Rubin Ultra): 3,600W, ใช้ Direct-to-Chip
    - ปี 2029 (Feynman Ultra): 6,000W, ใช้ Immersion Cooling
    - ปี 2032: 15,360W, ใช้ Embedded Cooling

    นวัตกรรมเพื่อ AI ที่ยั่งยืน

    การระบายความร้อนที่ชาญฉลาด
    - การระบายความร้อนด้วยของLikely ResponseHed: มีประสิทธิภาพสูงกว่าอากาศ 3000 เท่า ใช้ในระบบ Direct-to-Chip และ Immersion Cooling
    - ระบบ HVAC ขั้นสูง: ใช้การระบายความร้อนแบบระเหยและท่อความร้อน ลดการใช้พลังงานและน้ำ
    - ตัวชี้วัด TUE: วัดประสิทธิภาพพลังงานโดยรวมของศูนย์ข้อมูล

    การออกแบบ AI ที่ประหยัดพลังงาน
    - การตัดแต่งโมเดล/ควอนไทซ์: ลดขนาดโมเดลและพลังงานที่ใช้
    - การกลั่นความรู้: ถ่ายทอดความรู้สู่โมเดลขนาดเล็ก
    - ชิปประหยัดพลังงาน: เช่น TPUs และ NPUs
    - AI จัดการพลังงาน: ใช้ AI วิเคราะห์และลดการใช้พลังงานในโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ
    - Edge Computing: ลดการส่งข้อมูลไปยังคลาวด์

    พลังงานหมุนเวียน
    ศูนย์ข้อมูลเปลี่ยนไปใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ลม และน้ำ รวมถึงนวัตกรรมอย่างการระบายความร้อนด้วยน้ำทะเลและพลังงานแสงอาทิตย์แบบ Dispatchable

    ความรับผิดชอบร่วมกัน

    ความโปร่งใสของบริษัท AI
    บริษัทควรเปิดเผยข้อมูลการใช้พลังงานและรอยเท้าคาร์บอน เพื่อให้เกิดความรับผิดชอบ

    นโยบายและกฎระเบียบ
    รัฐบาลทั่วโลกผลักดันนโยบาย Green AI เช่น กฎหมาย AI ของสหภาพยุโรป เพื่อความยั่งยืน

    บทบาทของนักพัฒนาและผู้ใช้
    - นักพัฒนา: เลือกโมเดลและฮาร์ดแวร์ประหยัดพลังงาน ใช้เครื่องมือติดตามคาร์บอน
    - ผู้ใช้: ตระหนักถึงการใช้พลังงานของ AI และสนับสนุนบริษัทที่ยั่งยืน

    บทสรุป: วิสัยทัศน์ Green AI
    AI มีศักยภาพเปลี่ยนแปลงโลก แต่ต้องจัดการกับการใช้พลังงานและความร้อนที่ส่งผลต่อภาวะโลกร้อน ด้วยนวัตกรรมการระบายความร้อน การออกแบบ AI ที่ประหยัดพลังงาน และพลังงานหมุนเวียน รวมถึงความโปร่งใสและนโยบายที่เหมาะสม เราสามารถสร้างอนาคต AI ที่ยั่งยืน โดยไม่ต้องเลือกว่าจะพัฒนา AI หรือรักษาสภาพภูมิอากาศ

    #ลุงเขียนหลานอ่าน
    🌍 AI: พลังขับเคลื่อนความก้าวหน้า... หรือเร่งโลกให้ร้อนขึ้น? 📝 บทนำ: ยุค AI กับผลกระทบที่มองไม่เห็น ปัญญาประดิษฐ์ (AI) กำลังเปลี่ยนแปลงโลก จากการค้นหาข้อมูล รถยนต์ไร้คนขับ ไปจนถึงการวินิจฉัยทางการแพทย์ แต่ความก้าวหน้านี้มาพร้อมต้นทุนที่ซ่อนอยู่: การใช้พลังงานมหาศาลและความร้อนที่เกิดขึ้น ซึ่งส่งผลต่อภาวะโลกร้อน บทความนี้สำรวจสาเหตุที่ AI ใช้พลังงานมาก ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และนวัตกรรมเพื่อความยั่งยืน ⚡ AI กับความต้องการพลังงานมหาศาล ❓ ทำไม AI ถึงใช้พลังงานมาก? AI โดยเฉพาะโมเดลกำเนิด เช่น GPT-4 ต้องการพลังการประมวลผลสูง ใช้หน่วยประมวลผลกราฟิก (GPUs) และหน่วยประมวลผลเทนเซอร์ (TPUs) ซึ่งกินไฟมากและสร้างความร้อนที่ต้องระบายด้วยระบบทำความเย็นซับซ้อน การฝึกโมเดล เช่น GPT-3 ใช้ไฟฟ้า ~1,300 MWh และ GPT-4 ใช้ ~1,750 MWh ส่วนการอนุมาน (เช่น การสอบถาม ChatGPT) ใช้พลังงานรวมมากกว่าการฝึกเมื่อมีผู้ใช้จำนวนมาก 📊 ตัวอย่างการใช้พลังงาน - ชั้นวาง AI ใช้ไฟมากกว่าครัวเรือนสหรัฐฯ 39 เท่า - การฝึก GPT-3 เทียบเท่าการใช้ไฟของบ้าน 120-130 หลังต่อปี - การสอบถาม ChatGPT ครั้งหนึ่งใช้พลังงานมากกว่าการค้นหา Google 10-15 เท่า และปล่อย CO2 มากกว่า 340 เท่า - ศูนย์ข้อมูลทั่วโลกในปี 2022 ใช้ไฟ 460 TWh และคาดว่าในปี 2026 จะเพิ่มเป็น ~1,050 TWh เทียบเท่าการใช้ไฟของเยอรมนี 🔥 ความร้อนจาก AI: ตัวเร่งโลกร้อน 🌡️ จากไฟฟ้าสู่ความร้อน พลังงานไฟฟ้าที่ AI ใช้เกือบทั้งหมดแปลงเป็นความร้อน โดย 1 วัตต์ผลิตความร้อน 3.412 BTU/ชั่วโมง GPUs สมัยใหม่ใช้ไฟเกิน 1,000 วัตต์ต่อตัว สร้างความร้อนที่ต้องระบาย 🌱 รอยเท้าคาร์บอนและน้ำ การฝึกโมเดล AI ปล่อย CO2 ได้ถึง 284 ตัน เทียบเท่ารถยนต์สหรัฐฯ 5 คันต่อปี การระบายความร้อนศูนย์ข้อมูลใช้ไฟฟ้าถึง 40% และน้ำราว 2 ลิตรต่อ kWh โดย ChatGPT-4o ใช้น้ำเทียบเท่าความต้องการน้ำดื่มของ 1.2 ล้านคนต่อปี คาดว่าภายในปี 2030 ศูนย์ข้อมูล AI อาจใช้ไฟมากกว่าฝรั่งเศสทั้งประเทศ 🛠️ ความท้าทายด้านความร้อน ความร้อนสูงเกินไปทำให้ประสิทธิภาพลดลง อายุฮาร์ดแวร์สั้นลง และระบบไม่เสถียร การระบายความร้อนด้วยอากาศแบบดั้งเดิมไม่เพียงพอต่อความร้อนจาก AI สมัยใหม่ และระบบทำความเย็นใช้พลังงานสูง ตัวอย่างการใช้พลังงาน GPU ในอนาคต: - ปี 2025 (Blackwell Ultra): 1,400W, ใช้การระบายความร้อนแบบ Direct-to-Chip - ปี 2027 (Rubin Ultra): 3,600W, ใช้ Direct-to-Chip - ปี 2029 (Feynman Ultra): 6,000W, ใช้ Immersion Cooling - ปี 2032: 15,360W, ใช้ Embedded Cooling 🌱 นวัตกรรมเพื่อ AI ที่ยั่งยืน 💧 การระบายความร้อนที่ชาญฉลาด - การระบายความร้อนด้วยของLikely ResponseHed: มีประสิทธิภาพสูงกว่าอากาศ 3000 เท่า ใช้ในระบบ Direct-to-Chip และ Immersion Cooling - ระบบ HVAC ขั้นสูง: ใช้การระบายความร้อนแบบระเหยและท่อความร้อน ลดการใช้พลังงานและน้ำ - ตัวชี้วัด TUE: วัดประสิทธิภาพพลังงานโดยรวมของศูนย์ข้อมูล 🖥️ การออกแบบ AI ที่ประหยัดพลังงาน - การตัดแต่งโมเดล/ควอนไทซ์: ลดขนาดโมเดลและพลังงานที่ใช้ - การกลั่นความรู้: ถ่ายทอดความรู้สู่โมเดลขนาดเล็ก - ชิปประหยัดพลังงาน: เช่น TPUs และ NPUs - AI จัดการพลังงาน: ใช้ AI วิเคราะห์และลดการใช้พลังงานในโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ - Edge Computing: ลดการส่งข้อมูลไปยังคลาวด์ ☀️ พลังงานหมุนเวียน ศูนย์ข้อมูลเปลี่ยนไปใช้พลังงานแสงอาทิตย์ ลม และน้ำ รวมถึงนวัตกรรมอย่างการระบายความร้อนด้วยน้ำทะเลและพลังงานแสงอาทิตย์แบบ Dispatchable 🤝 ความรับผิดชอบร่วมกัน 📊 ความโปร่งใสของบริษัท AI บริษัทควรเปิดเผยข้อมูลการใช้พลังงานและรอยเท้าคาร์บอน เพื่อให้เกิดความรับผิดชอบ 📜 นโยบายและกฎระเบียบ รัฐบาลทั่วโลกผลักดันนโยบาย Green AI เช่น กฎหมาย AI ของสหภาพยุโรป เพื่อความยั่งยืน 🧑‍💻 บทบาทของนักพัฒนาและผู้ใช้ - นักพัฒนา: เลือกโมเดลและฮาร์ดแวร์ประหยัดพลังงาน ใช้เครื่องมือติดตามคาร์บอน - ผู้ใช้: ตระหนักถึงการใช้พลังงานของ AI และสนับสนุนบริษัทที่ยั่งยืน 🌟 บทสรุป: วิสัยทัศน์ Green AI AI มีศักยภาพเปลี่ยนแปลงโลก แต่ต้องจัดการกับการใช้พลังงานและความร้อนที่ส่งผลต่อภาวะโลกร้อน ด้วยนวัตกรรมการระบายความร้อน การออกแบบ AI ที่ประหยัดพลังงาน และพลังงานหมุนเวียน รวมถึงความโปร่งใสและนโยบายที่เหมาะสม เราสามารถสร้างอนาคต AI ที่ยั่งยืน โดยไม่ต้องเลือกว่าจะพัฒนา AI หรือรักษาสภาพภูมิอากาศ #ลุงเขียนหลานอ่าน
    0 Comments 0 Shares 224 Views 0 Reviews
  • ก่อนหน้านี้ เรามักนึกถึง Alibaba, Huawei, Tencent ว่าเป็น “ยักษ์ใหญ่จีนในจีน” แต่วันนี้พวกเขามีเป้าหมายชัดเจนว่าจะขยายตัวสู่ตลาดโลก โดยเฉพาะในช่วงที่เทรนด์ AI Infrastructure กำลังระเบิด → ทุกประเทศต่างแย่งกันสร้างศูนย์ข้อมูล รัน LLMs และติดอาวุธให้ธุรกิจด้วย AI

    จากรายงานของ Taiwan Economic Daily ระบุว่า:
    - Alibaba Cloud ลงทุนกว่า ¥400 ล้านหยวนเพื่อขยายฐาน AI ทั่วโลก
    - Huawei เริ่มปักหมุด Ascend Chips ในมาเลเซีย
    - Tencent ก็เตรียมเปิดศูนย์ข้อมูลในต่างประเทศเพิ่มเติม

    แม้จะสู้ Big Tech อย่าง AWS, Azure, Google Cloud ในเรื่อง CapEx ยังไม่ได้ แต่ ฝั่งจีนชูจุดขายด้าน “นวัตกรรมวิศวกรรม” และราคาย่อมเยา แถมมีโมเดล AI ที่เริ่มตีตื้น LLM ฝั่งตะวันตก เช่น Qwen2.5-Max, DeepSeek R1/R2

    โดยเฉพาะในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และตะวันออกกลาง ซึ่งยังเปิดกว้าง และไม่ยึดติดกับเทคโนโลยีจากฝั่งสหรัฐฯ → กลายเป็นสนามประลองใหม่ของ CSP จีนและอเมริกา

    Alibaba Cloud ลงทุนกว่า 400 ล้านหยวน (ราว 2 พันล้านบาท) ขยายบริการ AI Infrastructure สู่ต่างประเทศ  
    • เปิดศูนย์ข้อมูลในกว่า 29 ภูมิภาคนอกจีน  
    • เจาะตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตะวันออกกลาง อย่างมาเลเซีย ไทย ฯลฯ

    Huawei ส่งชิป AI “Ascend” ลงพื้นที่ เช่นในมาเลเซีย เพื่อทดแทน GPU จากตะวันตก  
    • ใช้เป็นทางเลือกในการฝึกและรัน LLM แบบ sovereign AI

    Tencent และ Alibaba มี LLM รุ่นล่าสุดที่แข่งขันกับ GPT–Claude ได้ในบาง benchmark
    • เช่น Qwen2.5-Max, DeepSeek R1/R2  
    • แม้จะใช้ฮาร์ดแวร์ที่ “ด้อยกว่า” แต่ยังสร้างผลงานเทียบเคียงกันได้

    วิศวกรรม + ราคา ถูกชูเป็นข้อได้เปรียบเพื่อเจาะตลาดต่างประเทศ  
    • ไม่เน้น CapEx หนักแบบ AWS แต่ใช้ “โซลูชันเฉพาะกลุ่ม”

    ตลาดเป้าหมายหลักคือ: เอเชียตะวันออกเฉียงใต้, อ่าวเปอร์เซีย, ประเทศกำลังพัฒนา

    https://wccftech.com/china-big-tech-csp-are-accelerating-their-overseas-expansion/
    ก่อนหน้านี้ เรามักนึกถึง Alibaba, Huawei, Tencent ว่าเป็น “ยักษ์ใหญ่จีนในจีน” แต่วันนี้พวกเขามีเป้าหมายชัดเจนว่าจะขยายตัวสู่ตลาดโลก โดยเฉพาะในช่วงที่เทรนด์ AI Infrastructure กำลังระเบิด → ทุกประเทศต่างแย่งกันสร้างศูนย์ข้อมูล รัน LLMs และติดอาวุธให้ธุรกิจด้วย AI 📌 จากรายงานของ Taiwan Economic Daily ระบุว่า: - Alibaba Cloud ลงทุนกว่า ¥400 ล้านหยวนเพื่อขยายฐาน AI ทั่วโลก - Huawei เริ่มปักหมุด Ascend Chips ในมาเลเซีย - Tencent ก็เตรียมเปิดศูนย์ข้อมูลในต่างประเทศเพิ่มเติม แม้จะสู้ Big Tech อย่าง AWS, Azure, Google Cloud ในเรื่อง CapEx ยังไม่ได้ แต่ ฝั่งจีนชูจุดขายด้าน “นวัตกรรมวิศวกรรม” และราคาย่อมเยา แถมมีโมเดล AI ที่เริ่มตีตื้น LLM ฝั่งตะวันตก เช่น Qwen2.5-Max, DeepSeek R1/R2 📍 โดยเฉพาะในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และตะวันออกกลาง ซึ่งยังเปิดกว้าง และไม่ยึดติดกับเทคโนโลยีจากฝั่งสหรัฐฯ → กลายเป็นสนามประลองใหม่ของ CSP จีนและอเมริกา ✅ Alibaba Cloud ลงทุนกว่า 400 ล้านหยวน (ราว 2 พันล้านบาท) ขยายบริการ AI Infrastructure สู่ต่างประเทศ   • เปิดศูนย์ข้อมูลในกว่า 29 ภูมิภาคนอกจีน   • เจาะตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ตะวันออกกลาง อย่างมาเลเซีย ไทย ฯลฯ ✅ Huawei ส่งชิป AI “Ascend” ลงพื้นที่ เช่นในมาเลเซีย เพื่อทดแทน GPU จากตะวันตก   • ใช้เป็นทางเลือกในการฝึกและรัน LLM แบบ sovereign AI ✅ Tencent และ Alibaba มี LLM รุ่นล่าสุดที่แข่งขันกับ GPT–Claude ได้ในบาง benchmark • เช่น Qwen2.5-Max, DeepSeek R1/R2   • แม้จะใช้ฮาร์ดแวร์ที่ “ด้อยกว่า” แต่ยังสร้างผลงานเทียบเคียงกันได้ ✅ วิศวกรรม + ราคา ถูกชูเป็นข้อได้เปรียบเพื่อเจาะตลาดต่างประเทศ   • ไม่เน้น CapEx หนักแบบ AWS แต่ใช้ “โซลูชันเฉพาะกลุ่ม” ✅ ตลาดเป้าหมายหลักคือ: เอเชียตะวันออกเฉียงใต้, อ่าวเปอร์เซีย, ประเทศกำลังพัฒนา https://wccftech.com/china-big-tech-csp-are-accelerating-their-overseas-expansion/
    WCCFTECH.COM
    China's "Big Tech" CSPs Are Accelerating Their Overseas Expansion; Alibaba, Huawei & Tencent To Spend Billions On Global AI Infrastructure
    Major Chinese CSPs are now pushing towards making moves in the global AI markets, as Huawei, Tencent, and others allocate massive capital.
    0 Comments 0 Shares 180 Views 0 Reviews
  • รู้ไหมครับว่าตอนนี้ xAI ของ Elon Musk ใช้ GPU ไปแล้วกว่า 200,000 ตัว ในศูนย์ข้อมูลชื่อ Colossus ที่เมืองเมมฟิส กินไฟถึง 300 เมกะวัตต์ → บริษัทต้องติดตั้งกังหันก๊าซ 35 ตัว + Tesla Megapack สำหรับจ่ายไฟให้ทัน → และตอนนี้จะสร้าง ศูนย์ข้อมูลรุ่นใหม่ที่ใช้ Blackwell GPUs กว่า 1 ล้านตัว! → GPU แค่นั้นก็ใช้ไฟราว 1,000–1,400 เมกะวัตต์ ยังไม่รวม CPU, RAM, สตอเรจ และระบบทำความเย็น → ถ้ารวมทั้งหมด คาดว่าโหลดไฟฟ้าจะสูงถึง 1,960 เมกะวัตต์ หรือประมาณเท่าบ้าน 1.9 ล้านหลังใช้พร้อมกัน!

    ปัญหาคือ... สร้างโรงไฟฟ้าในสหรัฐฯ ใช้เวลานานเกิน → ทางออกของ Elon คือ “ซื้อโรงไฟฟ้าสำเร็จรูปจากต่างประเทศแล้วขนมาทั้งโรง” → เพื่อใช้งานกับศูนย์ข้อมูลใหม่ที่แปลงมาจากโรงงานเก่าในเมมฟิส ที่รองรับเซิร์ฟเวอร์ GPU 125,000 ตัว

    นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เพราะบริษัท AI รายอื่น ๆ อย่าง OpenAI หรือ Google DeepMind ก็เดินหน้าแบบเดียวกัน → สร้างศูนย์ข้อมูลขนาดยักษ์ → ใช้ระบบจ่ายไฟเฉพาะตัวเอง → กำลังเปลี่ยนจาก “ผู้ใช้พลังงาน” เป็น “เจ้าของแหล่งพลังงาน” กันหมดแล้วครับ

    Elon Musk ยืนยันว่า xAI ซื้อโรงไฟฟ้าจากต่างประเทศมาสหรัฐฯ เพื่อรองรับศูนย์ข้อมูลใหม่  
    • เพราะสร้างโรงไฟฟ้าในอเมริกาใช้เวลานาน  
    • ต้องการใช้ทันทีสำหรับระบบ GPU ระดับล้านตัว

    ศูนย์ข้อมูล Colossus ปัจจุบันของ xAI ใช้ GPU 200K ตัว กินไฟ ~300 เมกะวัตต์  
    • ติดกังหันก๊าซ 35 ตัว และ Tesla Megapack เพื่อจ่ายไฟ

    ศูนย์ข้อมูลใหม่จะใช้ GPU มากกว่า 1 ล้านตัว (Blackwell B200/GB200/B300/GB300)  
    • แค่ GPU กินไฟ ~1,000–1,400 เมกะวัตต์  
    • ถ้านับรวมทั้งหมด (PUE 1.4) → โหลดรวม 1,960 เมกะวัตต์

    xAI ซื้อโรงงานในเมมฟิสเพื่อแปลงเป็นศูนย์ข้อมูล ขนาดรองรับ GPU 125,000 เครื่อง (แบบ 8 GPU ต่อเครื่อง)  
    • พร้อมระบบเครือข่าย, สตอเรจ, และระบายความร้อน

    โครงสร้างพลังงานใช้ระบบ onsite + ซื้อไฟจากระบบ grid เหมือนศูนย์ Colossus เดิม

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/elon-musk-xai-power-plant-overseas-to-power-1-million-gpus
    รู้ไหมครับว่าตอนนี้ xAI ของ Elon Musk ใช้ GPU ไปแล้วกว่า 200,000 ตัว ในศูนย์ข้อมูลชื่อ Colossus ที่เมืองเมมฟิส กินไฟถึง 300 เมกะวัตต์ → บริษัทต้องติดตั้งกังหันก๊าซ 35 ตัว + Tesla Megapack สำหรับจ่ายไฟให้ทัน → และตอนนี้จะสร้าง ศูนย์ข้อมูลรุ่นใหม่ที่ใช้ Blackwell GPUs กว่า 1 ล้านตัว! → GPU แค่นั้นก็ใช้ไฟราว 1,000–1,400 เมกะวัตต์ ยังไม่รวม CPU, RAM, สตอเรจ และระบบทำความเย็น → ถ้ารวมทั้งหมด คาดว่าโหลดไฟฟ้าจะสูงถึง 1,960 เมกะวัตต์ หรือประมาณเท่าบ้าน 1.9 ล้านหลังใช้พร้อมกัน! ปัญหาคือ... สร้างโรงไฟฟ้าในสหรัฐฯ ใช้เวลานานเกิน → ทางออกของ Elon คือ “ซื้อโรงไฟฟ้าสำเร็จรูปจากต่างประเทศแล้วขนมาทั้งโรง” → เพื่อใช้งานกับศูนย์ข้อมูลใหม่ที่แปลงมาจากโรงงานเก่าในเมมฟิส ที่รองรับเซิร์ฟเวอร์ GPU 125,000 ตัว นี่ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ เพราะบริษัท AI รายอื่น ๆ อย่าง OpenAI หรือ Google DeepMind ก็เดินหน้าแบบเดียวกัน → สร้างศูนย์ข้อมูลขนาดยักษ์ → ใช้ระบบจ่ายไฟเฉพาะตัวเอง → กำลังเปลี่ยนจาก “ผู้ใช้พลังงาน” เป็น “เจ้าของแหล่งพลังงาน” กันหมดแล้วครับ ✅ Elon Musk ยืนยันว่า xAI ซื้อโรงไฟฟ้าจากต่างประเทศมาสหรัฐฯ เพื่อรองรับศูนย์ข้อมูลใหม่   • เพราะสร้างโรงไฟฟ้าในอเมริกาใช้เวลานาน   • ต้องการใช้ทันทีสำหรับระบบ GPU ระดับล้านตัว ✅ ศูนย์ข้อมูล Colossus ปัจจุบันของ xAI ใช้ GPU 200K ตัว กินไฟ ~300 เมกะวัตต์   • ติดกังหันก๊าซ 35 ตัว และ Tesla Megapack เพื่อจ่ายไฟ ✅ ศูนย์ข้อมูลใหม่จะใช้ GPU มากกว่า 1 ล้านตัว (Blackwell B200/GB200/B300/GB300)   • แค่ GPU กินไฟ ~1,000–1,400 เมกะวัตต์   • ถ้านับรวมทั้งหมด (PUE 1.4) → โหลดรวม 1,960 เมกะวัตต์ ✅ xAI ซื้อโรงงานในเมมฟิสเพื่อแปลงเป็นศูนย์ข้อมูล ขนาดรองรับ GPU 125,000 เครื่อง (แบบ 8 GPU ต่อเครื่อง)   • พร้อมระบบเครือข่าย, สตอเรจ, และระบายความร้อน ✅ โครงสร้างพลังงานใช้ระบบ onsite + ซื้อไฟจากระบบ grid เหมือนศูนย์ Colossus เดิม https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/elon-musk-xai-power-plant-overseas-to-power-1-million-gpus
    0 Comments 0 Shares 161 Views 0 Reviews
  • ลองนึกภาพว่าบริษัทของเราวางระบบบางส่วนไว้ที่ AWS เพราะคุ้นมือ บางแอปก็ใช้อยู่บน Azure หรือ Google Cloud เพราะลูกค้าหรือแผนกอื่นต้องการ → ถ้าเราไม่มีระบบมองภาพรวมที่ดีพอ...ความเสี่ยงก็ตามมาแบบเงียบ ๆ เลยครับ เช่น

    - เห็น Logs ฝั่งนึงชัด แต่อีกฝั่งกลับไม่รู้ว่าเกิดอะไร
    - Security policy ไม่เสมอกัน → สุดท้ายเกิด “ช่องโหว่จุดเดียวทำลายทั้งองค์กร” ได้
    - แอดมินที่เก่ง AWS อาจทำอะไรไม่ถูกใน Azure (เพราะ CLI, API, IAM ต่างกันหมด)
    - มี API ฝังไว้หลายตัวแต่ไม่มีใครจำได้ว่าเคยให้สิทธิ์อะไรไป

    บทความนี้สรุป 5 ปัจจัยหลักที่ CISO (Chief Information Security Officer) ต้องรับมือให้ได้ พร้อมเสนอแนวทางคร่าว ๆ ที่นำไปปรับใช้ได้เลยครับ

    สรุป 5 ความท้าทายหลักในการจัดการ Multicloud Security:
    1️⃣. ขาดมุมมองภาพรวม (Visibility) ที่ครอบคลุมทุกคลาวด์  
    • องค์กรมักเริ่มจากคลาวด์เดียวที่คุ้นเคย → มี Visibility ดี  
    • แต่พอขยายไปหลายผู้ให้บริการ → เริ่มมองไม่เห็นภาพรวม
    • ข้อมูลกระจัดกระจายตาม Tool ของแต่ละคลาวด์  
    • แนะนำ: ใช้ Cloud-Native Application Protection Platform (CNAPP) เพื่อรวมภาพรวมการเฝ้าระวัง

    2️⃣. จะใช้ Security Program แบบรวมศูนย์หรือแยกตามคลาวด์ดี?  
    • แบบรวมศูนย์: สะดวกแต่อาจไม่ได้ใช้ความสามารถเฉพาะของคลาวด์นั้น ๆ  
    • แบบแยกตามคลาวด์: ได้ประสิทธิภาพแต่ต้องจัดการหลายทีม หลายกระบวนการ  
    • แนะนำ: เลือกกลยุทธ์ตาม tradeoff ที่เหมาะกับโครงสร้างคน + ความเสี่ยงขององค์กร

    3️⃣. ขาดทักษะหลากหลายให้ครอบคลุมทุกคลาวด์  
    • ทีมที่เก่ง AWS อาจไม่คุ้น Azure/GCP  
    • Logs, API, IAM ในแต่ละคลาวด์มีโครงสร้างต่างกัน  
    • แนะนำ: ลงทุนอบรมทีมให้เชี่ยวชาญหลากหลาย หรือใช้ทีมเฉพาะทางแยกตามคลาวด์

    4️⃣. การตั้งค่าผิดพลาด (Misconfigurations)  
    • คลาวด์แต่ละรายมี API, ระบบ, ชื่อเรียก และ Policy ไม่เหมือนกัน  
    • บ่อยครั้งเกิดจากการเข้าใจผิด หรือใช้ default setting  
    • เคยมีรายงานว่า 23% ของ Incident บนคลาวด์เกิดจาก “misconfiguration”  
    • แนะนำ: ใช้เครื่องมือ automation ที่ตรวจสอบ config ได้แบบ cross-cloud เช่น CSPM

    5️⃣. การจัดการ “ตัวตน” และสิทธิ์เข้าถึง (Identity & Access Management – IAM)  
    • IAM บนแต่ละคลาวด์ไม่เหมือนกัน → สร้าง Policy รวมยาก  
    • ต้องดูแลทั้ง User, Role, Token, API, Service Account  
    • แนะนำ: สร้างระบบ IAM แบบรวมศูนย์ พร้อมกำหนดผู้รับผิดชอบชัดเจน → เน้น privileged access ก่อน

    https://www.csoonline.com/article/4009247/5-multicloud-security-challenges-and-how-to-address-them.html
    ลองนึกภาพว่าบริษัทของเราวางระบบบางส่วนไว้ที่ AWS เพราะคุ้นมือ บางแอปก็ใช้อยู่บน Azure หรือ Google Cloud เพราะลูกค้าหรือแผนกอื่นต้องการ → ถ้าเราไม่มีระบบมองภาพรวมที่ดีพอ...ความเสี่ยงก็ตามมาแบบเงียบ ๆ เลยครับ เช่น - เห็น Logs ฝั่งนึงชัด แต่อีกฝั่งกลับไม่รู้ว่าเกิดอะไร - Security policy ไม่เสมอกัน → สุดท้ายเกิด “ช่องโหว่จุดเดียวทำลายทั้งองค์กร” ได้ - แอดมินที่เก่ง AWS อาจทำอะไรไม่ถูกใน Azure (เพราะ CLI, API, IAM ต่างกันหมด) - มี API ฝังไว้หลายตัวแต่ไม่มีใครจำได้ว่าเคยให้สิทธิ์อะไรไป บทความนี้สรุป 5 ปัจจัยหลักที่ CISO (Chief Information Security Officer) ต้องรับมือให้ได้ พร้อมเสนอแนวทางคร่าว ๆ ที่นำไปปรับใช้ได้เลยครับ ✅ สรุป 5 ความท้าทายหลักในการจัดการ Multicloud Security: 1️⃣. ขาดมุมมองภาพรวม (Visibility) ที่ครอบคลุมทุกคลาวด์   • องค์กรมักเริ่มจากคลาวด์เดียวที่คุ้นเคย → มี Visibility ดี   • แต่พอขยายไปหลายผู้ให้บริการ → เริ่มมองไม่เห็นภาพรวม • ข้อมูลกระจัดกระจายตาม Tool ของแต่ละคลาวด์   • แนะนำ: ใช้ Cloud-Native Application Protection Platform (CNAPP) เพื่อรวมภาพรวมการเฝ้าระวัง 2️⃣. จะใช้ Security Program แบบรวมศูนย์หรือแยกตามคลาวด์ดี?   • แบบรวมศูนย์: สะดวกแต่อาจไม่ได้ใช้ความสามารถเฉพาะของคลาวด์นั้น ๆ   • แบบแยกตามคลาวด์: ได้ประสิทธิภาพแต่ต้องจัดการหลายทีม หลายกระบวนการ   • แนะนำ: เลือกกลยุทธ์ตาม tradeoff ที่เหมาะกับโครงสร้างคน + ความเสี่ยงขององค์กร 3️⃣. ขาดทักษะหลากหลายให้ครอบคลุมทุกคลาวด์   • ทีมที่เก่ง AWS อาจไม่คุ้น Azure/GCP   • Logs, API, IAM ในแต่ละคลาวด์มีโครงสร้างต่างกัน   • แนะนำ: ลงทุนอบรมทีมให้เชี่ยวชาญหลากหลาย หรือใช้ทีมเฉพาะทางแยกตามคลาวด์ 4️⃣. การตั้งค่าผิดพลาด (Misconfigurations)   • คลาวด์แต่ละรายมี API, ระบบ, ชื่อเรียก และ Policy ไม่เหมือนกัน   • บ่อยครั้งเกิดจากการเข้าใจผิด หรือใช้ default setting   • เคยมีรายงานว่า 23% ของ Incident บนคลาวด์เกิดจาก “misconfiguration”   • แนะนำ: ใช้เครื่องมือ automation ที่ตรวจสอบ config ได้แบบ cross-cloud เช่น CSPM 5️⃣. การจัดการ “ตัวตน” และสิทธิ์เข้าถึง (Identity & Access Management – IAM)   • IAM บนแต่ละคลาวด์ไม่เหมือนกัน → สร้าง Policy รวมยาก   • ต้องดูแลทั้ง User, Role, Token, API, Service Account   • แนะนำ: สร้างระบบ IAM แบบรวมศูนย์ พร้อมกำหนดผู้รับผิดชอบชัดเจน → เน้น privileged access ก่อน https://www.csoonline.com/article/4009247/5-multicloud-security-challenges-and-how-to-address-them.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    5 multicloud security challenges — and how to address them
    From inadequate visibility to access management complexity, multicloud environments take baseline cloud security issues to another level.
    0 Comments 0 Shares 215 Views 0 Reviews
  • Huawei เคยโดนสหรัฐฯ คว่ำบาตรจนไม่สามารถใช้ Android แบบเดิม หรือพึ่ง Google ได้อีก — บริษัทจึงต้องลุกขึ้นมาสร้างทุกอย่างเอง ทั้ง HarmonyOS, ชิปเซ็ต, AI…และตอนนี้ก็ถึงคิวของ “ภาษาโปรแกรม”

    ภาษานี้มีชื่อว่า Cangjie (仓颉) ตามตำนานชาวจีนผู้คิดค้นตัวอักษร → มันถูกออกแบบให้ “ฉลาดตั้งแต่แกน” ด้วยการฝัง AI ไว้ในระดับ native → เขียนแอปได้เร็ว–ปลอดภัย–เชื่อมกับบริการ Huawei ได้ง่าย

    Cangjie ถูกใช้งานจริงแล้วบนแอปของ Meituan, JD.com และ HarmonyOS ต่าง ๆ → อย่างแอปส่งอาหาร Meituan บอกว่าจะใช้แอปที่เขียนด้วย Cangjie จริงใน Q3 ปีนี้

    ข่าวใหญ่อยู่ตรงนี้ครับ:

    ตั้งแต่ 30 ก.ค. 2025 เป็นต้นไป — Huawei จะเปิดซอร์ส Cangjie อย่างเป็นทางการ ใคร ๆ ก็เอาไปศึกษาต่อ พัฒนาเอง หรือแม้แต่พอร์ตไปใช้กับ Android/iOS ได้ เหมือนเป็น Java + Swift + AI + HarmonyOS ในหนึ่งเดียว!

    นี่เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ “ลดพึ่งซอฟต์แวร์จากสหรัฐฯ” อย่างต่อเนื่องของ Huawei — โดยจะใช้ Cangjie เป็นแกนกลางเชื่อมระบบปฏิบัติการ HarmonyOS Next + AI โมเดลของตัวเอง + CloudMatrix แพลตฟอร์มคลาวด์รุ่นใหม่

    Huawei จะเปิดซอร์สภาษา Cangjie วันที่ 30 กรกฎาคม 2025 นี้  
    • นักพัฒนาเข้าใช้งานโค้ดได้ฟรี → แก้ไข เพิ่มฟีเจอร์ หรือใช้สร้างแอปเองได้  
    • ถือเป็นก้าวสำคัญต่อการพึ่งตนเองด้านเทคโนโลยีซอฟต์แวร์

    Cangjie รองรับการเขียนโปรแกรมแบบทั่วไป สำหรับ HarmonyOS Next เป็นหลัก  
    • เป็นระบบปฏิบัติการข้ามอุปกรณ์ของ Huawei  
    • ไม่ใช้ Android แต่มี support พอร์ตไป Android และ iOS ด้วย

    มี AI แบบ Native → ช่วยเขียนแอปที่ใช้โมเดลปัญญาประดิษฐ์ได้ง่ายขึ้น  
    • ฝังความสามารถของ AI ในภาษาโดยตรง  
    • เหมาะกับแอปยุคใหม่ที่เน้น personalization, automation

    ภาษานี้ถูกใช้จริงโดย Meituan, JD.com ฯลฯ แล้ว  
    • Meituan จะเปิดตัวแอปส่งอาหารที่เขียนด้วย Cangjie บน HarmonyOS ภายใน Q3 ปีนี้

    Huawei มี ecosystem ขนาดใหญ่รองรับแล้ว  
    • HarmonyOS มีคนสมัครเป็นนักพัฒนาแล้วกว่า 8 ล้านคน  
    • มีแอป–มินิโปรแกรมกว่า 30,000 ตัว  
    • HarmonyOS 6 และ CloudMatrix 384 เป็นส่วนเสริมใหม่ของยุทธศาสตร์นี้

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/03/huawei-to-open-source-self-developed-programming-language-cangjie
    Huawei เคยโดนสหรัฐฯ คว่ำบาตรจนไม่สามารถใช้ Android แบบเดิม หรือพึ่ง Google ได้อีก — บริษัทจึงต้องลุกขึ้นมาสร้างทุกอย่างเอง ทั้ง HarmonyOS, ชิปเซ็ต, AI…และตอนนี้ก็ถึงคิวของ “ภาษาโปรแกรม” ภาษานี้มีชื่อว่า Cangjie (仓颉) ตามตำนานชาวจีนผู้คิดค้นตัวอักษร → มันถูกออกแบบให้ “ฉลาดตั้งแต่แกน” ด้วยการฝัง AI ไว้ในระดับ native → เขียนแอปได้เร็ว–ปลอดภัย–เชื่อมกับบริการ Huawei ได้ง่าย Cangjie ถูกใช้งานจริงแล้วบนแอปของ Meituan, JD.com และ HarmonyOS ต่าง ๆ → อย่างแอปส่งอาหาร Meituan บอกว่าจะใช้แอปที่เขียนด้วย Cangjie จริงใน Q3 ปีนี้ ข่าวใหญ่อยู่ตรงนี้ครับ: 🧑‍💻 ตั้งแต่ 30 ก.ค. 2025 เป็นต้นไป — Huawei จะเปิดซอร์ส Cangjie อย่างเป็นทางการ ใคร ๆ ก็เอาไปศึกษาต่อ พัฒนาเอง หรือแม้แต่พอร์ตไปใช้กับ Android/iOS ได้ เหมือนเป็น Java + Swift + AI + HarmonyOS ในหนึ่งเดียว! นี่เป็นส่วนหนึ่งของยุทธศาสตร์ “ลดพึ่งซอฟต์แวร์จากสหรัฐฯ” อย่างต่อเนื่องของ Huawei — โดยจะใช้ Cangjie เป็นแกนกลางเชื่อมระบบปฏิบัติการ HarmonyOS Next + AI โมเดลของตัวเอง + CloudMatrix แพลตฟอร์มคลาวด์รุ่นใหม่ ✅ Huawei จะเปิดซอร์สภาษา Cangjie วันที่ 30 กรกฎาคม 2025 นี้   • นักพัฒนาเข้าใช้งานโค้ดได้ฟรี → แก้ไข เพิ่มฟีเจอร์ หรือใช้สร้างแอปเองได้   • ถือเป็นก้าวสำคัญต่อการพึ่งตนเองด้านเทคโนโลยีซอฟต์แวร์ ✅ Cangjie รองรับการเขียนโปรแกรมแบบทั่วไป สำหรับ HarmonyOS Next เป็นหลัก   • เป็นระบบปฏิบัติการข้ามอุปกรณ์ของ Huawei   • ไม่ใช้ Android แต่มี support พอร์ตไป Android และ iOS ด้วย ✅ มี AI แบบ Native → ช่วยเขียนแอปที่ใช้โมเดลปัญญาประดิษฐ์ได้ง่ายขึ้น   • ฝังความสามารถของ AI ในภาษาโดยตรง   • เหมาะกับแอปยุคใหม่ที่เน้น personalization, automation ✅ ภาษานี้ถูกใช้จริงโดย Meituan, JD.com ฯลฯ แล้ว   • Meituan จะเปิดตัวแอปส่งอาหารที่เขียนด้วย Cangjie บน HarmonyOS ภายใน Q3 ปีนี้ ✅ Huawei มี ecosystem ขนาดใหญ่รองรับแล้ว   • HarmonyOS มีคนสมัครเป็นนักพัฒนาแล้วกว่า 8 ล้านคน   • มีแอป–มินิโปรแกรมกว่า 30,000 ตัว   • HarmonyOS 6 และ CloudMatrix 384 เป็นส่วนเสริมใหม่ของยุทธศาสตร์นี้ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/03/huawei-to-open-source-self-developed-programming-language-cangjie
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Huawei to open-source self-developed programming language Cangjie
    The language supports general programming for apps on HarmonyOS Next, Huawei's self-developed platform.
    0 Comments 0 Shares 188 Views 0 Reviews
  • ใครที่ยังไม่รู้จัก “Gems” — นี่คือฟีเจอร์ที่ให้คุณสร้าง “AI ผู้ช่วยเฉพาะตัว” โดยใส่คำแนะนำพิเศษ (custom instructions) ให้มันเข้าใจบทบาทของตัวเอง เช่น “ช่วยเขียนอีเมลธุรกิจแบบสุภาพกับลูกค้าเก่าในสายสุขภาพ” หรือ “ช่วยสรุปข่าวโดยใช้ภาษาคุ้มค่าเวลา” เป็นต้น

    ก่อนหน้านี้ Gems ต้องเปิดใช้งานผ่านเว็บ Gemini โดยตรง แต่ตอนนี้ Google เริ่ม “ฝังเข้า Workspace เลย” ทำให้คุณสามารถใช้ Gems เหล่านี้แบบ side panel ได้ทันทีในแอปอย่าง Docs, Gmail ฯลฯ → หมายความว่า:
    - เปิด Gmail → ใช้ Gem ที่ชื่อ “ตอบอีเมลตามนโยบาย HR” ได้เลย
    - เปิด Slides → สั่ง Gem ช่วยหาไอเดียสไลด์ขายสินค้ารุ่นใหม่ในธีม “รักษ์โลก”
    - เปิด Drive → ใช้ Gem ค้นไฟล์เก่า ๆ ที่เกี่ยวกับโปรเจกต์ ABC และสรุปเนื้อหาให้อัตโนมัติ

    Google บอกว่ายังมี Gems สำเร็จรูปให้ลองด้วย เช่น:
    - Brainstormer (ระดมไอเดีย)
    - Writing editor
    - Coding partner
    - Learning guide

    ตอนนี้ยังต้องสร้าง Gems ผ่านเว็บ Gemini อยู่ แต่พอสร้างเสร็จก็เรียกใช้ได้จาก Google Workspace ทันที

    Google Workspace เพิ่มความสามารถให้ใช้ Gems ได้โดยตรงผ่าน side panel ของ Docs, Gmail, Slides, Sheets และ Drive  
    • ไม่ต้องสลับไปเปิดเว็บ Gemini เหมือนเดิม  
    • ใช้งานได้ผ่านปุ่ม “Ask Gemini” มุมขวาบน

    Gems คือ AI แบบ custom ที่ผู้ใช้สามารถเขียนคำสั่งเฉพาะสำหรับตัวเองได้  
    • ใช้ช่วยเขียนอีเมล, จัดแผนการสอน, สรุปเอกสาร, แปลงข้อมูล, โค้ด ฯลฯ

    Google มี Gems สำเร็จรูปให้ใช้งานทันที เช่น Brainstormer, Writing editor, Coding partner  
    • ผู้ใช้มือใหม่ไม่ต้องเริ่มจากศูนย์

    การใช้งาน Gems ใน Workspace รองรับการเข้าถึงฟีเจอร์ @mention, ไฟล์ Google Drive ฯลฯ แบบบูรณาการ

    ฟีเจอร์นี้จะเริ่ม rollout แล้วแบบ “Extended rollout” → อาจใช้เวลาถึง 15 วันกว่าจะเปิดให้ทุกคน

    แอดมินไม่ต้องตั้งค่าอะไรเพิ่ม และไม่มี control เฉพาะของฟีเจอร์นี้ในแผงควบคุม Workspace

    https://www.neowin.net/news/google-workspace-now-lets-you-use-custom-ai-gems-directly-in-docs-gmail-and-more/
    ใครที่ยังไม่รู้จัก “Gems” — นี่คือฟีเจอร์ที่ให้คุณสร้าง “AI ผู้ช่วยเฉพาะตัว” โดยใส่คำแนะนำพิเศษ (custom instructions) ให้มันเข้าใจบทบาทของตัวเอง เช่น “ช่วยเขียนอีเมลธุรกิจแบบสุภาพกับลูกค้าเก่าในสายสุขภาพ” หรือ “ช่วยสรุปข่าวโดยใช้ภาษาคุ้มค่าเวลา” เป็นต้น ก่อนหน้านี้ Gems ต้องเปิดใช้งานผ่านเว็บ Gemini โดยตรง แต่ตอนนี้ Google เริ่ม “ฝังเข้า Workspace เลย” ทำให้คุณสามารถใช้ Gems เหล่านี้แบบ side panel ได้ทันทีในแอปอย่าง Docs, Gmail ฯลฯ → หมายความว่า: - เปิด Gmail → ใช้ Gem ที่ชื่อ “ตอบอีเมลตามนโยบาย HR” ได้เลย - เปิด Slides → สั่ง Gem ช่วยหาไอเดียสไลด์ขายสินค้ารุ่นใหม่ในธีม “รักษ์โลก” - เปิด Drive → ใช้ Gem ค้นไฟล์เก่า ๆ ที่เกี่ยวกับโปรเจกต์ ABC และสรุปเนื้อหาให้อัตโนมัติ Google บอกว่ายังมี Gems สำเร็จรูปให้ลองด้วย เช่น: - Brainstormer (ระดมไอเดีย) - Writing editor - Coding partner - Learning guide ตอนนี้ยังต้องสร้าง Gems ผ่านเว็บ Gemini อยู่ แต่พอสร้างเสร็จก็เรียกใช้ได้จาก Google Workspace ทันที ✅ Google Workspace เพิ่มความสามารถให้ใช้ Gems ได้โดยตรงผ่าน side panel ของ Docs, Gmail, Slides, Sheets และ Drive   • ไม่ต้องสลับไปเปิดเว็บ Gemini เหมือนเดิม   • ใช้งานได้ผ่านปุ่ม “Ask Gemini” มุมขวาบน ✅ Gems คือ AI แบบ custom ที่ผู้ใช้สามารถเขียนคำสั่งเฉพาะสำหรับตัวเองได้   • ใช้ช่วยเขียนอีเมล, จัดแผนการสอน, สรุปเอกสาร, แปลงข้อมูล, โค้ด ฯลฯ ✅ Google มี Gems สำเร็จรูปให้ใช้งานทันที เช่น Brainstormer, Writing editor, Coding partner   • ผู้ใช้มือใหม่ไม่ต้องเริ่มจากศูนย์ ✅ การใช้งาน Gems ใน Workspace รองรับการเข้าถึงฟีเจอร์ @mention, ไฟล์ Google Drive ฯลฯ แบบบูรณาการ ✅ ฟีเจอร์นี้จะเริ่ม rollout แล้วแบบ “Extended rollout” → อาจใช้เวลาถึง 15 วันกว่าจะเปิดให้ทุกคน ✅ แอดมินไม่ต้องตั้งค่าอะไรเพิ่ม และไม่มี control เฉพาะของฟีเจอร์นี้ในแผงควบคุม Workspace https://www.neowin.net/news/google-workspace-now-lets-you-use-custom-ai-gems-directly-in-docs-gmail-and-more/
    WWW.NEOWIN.NET
    Google Workspace now lets you use custom AI Gems directly in Docs, Gmail, and more
    Google Workspace users can now access custom AI Gems from the side panel across Workspace applications like Docs and Slides, reducing friction.
    0 Comments 0 Shares 180 Views 0 Reviews
  • เราคิดว่าอีเมลที่ส่งผ่าน Microsoft 365 หรือ Gmail ธุรกิจนั้น “ถูกเข้ารหัสตามมาตรฐานเสมอ” ใช่ไหมครับ? แต่ความจริงคือ ถ้ามีปัญหาการเข้ารหัสเกิดขึ้นระหว่างส่ง (เช่น ฝั่งรับไม่รองรับ TLS) — ระบบจะ:

    - Google Workspace: ยอมลดมาตรฐาน กลับไปใช้ TLS 1.0 หรือ 1.1 ที่เก่ามาก (เสี่ยงต่อการดักฟัง)
    - Microsoft 365: ถ้าหา TLS ที่ใช้งานร่วมกันไม่ได้เลย ก็ส่งออกไปเลย “แบบไม่เข้ารหัส” — โดยไม่มีการเตือนใด ๆ!

    ผลคือข้อมูลละเอียดอ่อน เช่น Health Data, PHI, หรือเอกสารทางกฎหมาย อาจรั่วไหลโดยที่ทั้งผู้ใช้ และแอดมิน “ไม่รู้ตัวเลยว่ามันไม่ได้เข้ารหัส” — ซึ่งอันตรายมาก ๆ โดยเฉพาะในวงการ Healthcare ที่ต้องทำตามกฎ HIPAA

    งานวิจัยจาก Paubox ยังพบว่า:
    - 43% ของเหตุการณ์ข้อมูลรั่วใน Healthcare ปี 2024 เกี่ยวข้องกับ Microsoft 365
    - 31.1% ขององค์กรที่ถูกเจาะ มีการตั้ง “บังคับใช้ TLS” แล้ว — แต่ระบบก็ยัง fallback ลงมาโดยไม่แจ้งเตือน

    Microsoft 365 จะส่งอีเมลเป็น plain text หากเข้ารหัส TLS ไม่สำเร็จ  
    • ไม่มีการแจ้งผู้ส่ง หรือ log เตือน  
    • เสี่ยงละเมิดกฎข้อมูล เช่น HIPAA หรือ GDPR

    Google Workspace ยอมใช้ TLS เวอร์ชัน 1.0/1.1 ที่เสี่ยงต่อการถูกโจมตีแบบ downgrade  
    • ไม่ปฏิเสธอีเมล ไม่แจ้งเตือนเช่นกัน

    รายงานจาก Paubox ชี้ว่าพฤติกรรม default เหล่านี้ก่อให้เกิด blind spot ร้ายแรง  
    • ให้ “ความมั่นใจจอมปลอม” (false sense of security) แก่ผู้ใช้งาน  
    • สุดท้ายเปิดช่องให้ข้อมูลรั่วไหลเงียบ ๆ

    กรณี Solara Medical (2021): อีเมลไม่มี encryption ทำให้ข้อมูลผู้ป่วย 114,000 รายรั่ว — ถูกปรับกว่า $12 ล้าน

    หน่วยงานด้านความมั่นคง เช่น NSA เตือนห้ามใช้ TLS 1.0/1.1 เพราะมีช่องโหว่ downgrade attack

    https://www.techradar.com/pro/security/microsoft-365-and-google-workspace-could-put-sensitive-data-at-risk-because-of-a-blind-spot-in-default-email-behavior
    เราคิดว่าอีเมลที่ส่งผ่าน Microsoft 365 หรือ Gmail ธุรกิจนั้น “ถูกเข้ารหัสตามมาตรฐานเสมอ” ใช่ไหมครับ? แต่ความจริงคือ ถ้ามีปัญหาการเข้ารหัสเกิดขึ้นระหว่างส่ง (เช่น ฝั่งรับไม่รองรับ TLS) — ระบบจะ: - Google Workspace: ยอมลดมาตรฐาน กลับไปใช้ TLS 1.0 หรือ 1.1 ที่เก่ามาก (เสี่ยงต่อการดักฟัง) - Microsoft 365: ถ้าหา TLS ที่ใช้งานร่วมกันไม่ได้เลย ก็ส่งออกไปเลย “แบบไม่เข้ารหัส” — โดยไม่มีการเตือนใด ๆ! ผลคือข้อมูลละเอียดอ่อน เช่น Health Data, PHI, หรือเอกสารทางกฎหมาย อาจรั่วไหลโดยที่ทั้งผู้ใช้ และแอดมิน “ไม่รู้ตัวเลยว่ามันไม่ได้เข้ารหัส” — ซึ่งอันตรายมาก ๆ โดยเฉพาะในวงการ Healthcare ที่ต้องทำตามกฎ HIPAA งานวิจัยจาก Paubox ยังพบว่า: - 43% ของเหตุการณ์ข้อมูลรั่วใน Healthcare ปี 2024 เกี่ยวข้องกับ Microsoft 365 - 31.1% ขององค์กรที่ถูกเจาะ มีการตั้ง “บังคับใช้ TLS” แล้ว — แต่ระบบก็ยัง fallback ลงมาโดยไม่แจ้งเตือน ✅ Microsoft 365 จะส่งอีเมลเป็น plain text หากเข้ารหัส TLS ไม่สำเร็จ   • ไม่มีการแจ้งผู้ส่ง หรือ log เตือน   • เสี่ยงละเมิดกฎข้อมูล เช่น HIPAA หรือ GDPR ✅ Google Workspace ยอมใช้ TLS เวอร์ชัน 1.0/1.1 ที่เสี่ยงต่อการถูกโจมตีแบบ downgrade   • ไม่ปฏิเสธอีเมล ไม่แจ้งเตือนเช่นกัน ✅ รายงานจาก Paubox ชี้ว่าพฤติกรรม default เหล่านี้ก่อให้เกิด blind spot ร้ายแรง   • ให้ “ความมั่นใจจอมปลอม” (false sense of security) แก่ผู้ใช้งาน   • สุดท้ายเปิดช่องให้ข้อมูลรั่วไหลเงียบ ๆ ✅ กรณี Solara Medical (2021): อีเมลไม่มี encryption ทำให้ข้อมูลผู้ป่วย 114,000 รายรั่ว — ถูกปรับกว่า $12 ล้าน ✅ หน่วยงานด้านความมั่นคง เช่น NSA เตือนห้ามใช้ TLS 1.0/1.1 เพราะมีช่องโหว่ downgrade attack https://www.techradar.com/pro/security/microsoft-365-and-google-workspace-could-put-sensitive-data-at-risk-because-of-a-blind-spot-in-default-email-behavior
    0 Comments 0 Shares 218 Views 0 Reviews
  • หลายคนรู้จัก Grammarly ในฐานะผู้ช่วยตรวจแกรมมาร์ แต่ตอนนี้บริษัทกำลังกลายร่างเป็น “ศูนย์กลาง AI ด้านการสื่อสารในองค์กร” เลยครับ โดยการซื้อ Superhuman ครั้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องอีเมล — มันคือชิ้นส่วนต่อจิ๊กซอว์สู่ผลิตภัณฑ์ครบวงจรที่รวม AI, เอกสาร, อีเมล, ปฏิทิน และอื่น ๆ เข้าไว้ด้วยกัน

    Superhuman เคยเป็นแอปอีเมลสุดพรีเมียมที่มี waitlist ยาวเหยียด ด้วยจุดขายความเร็วและดีไซน์เฉียบ แต่หลังจากที่ Google และ Microsoft พัฒนา AI ใน Gmail / Outlook มากขึ้น Superhuman ก็เจอความท้าทายไม่น้อย

    Grammarly ที่เพิ่งได้ทุน $1 พันล้านจาก General Catalyst เลยฉวยโอกาสนี้ซื้อ Superhuman เข้ามา พร้อมวางแผนใหญ่:
    - ดึงทีมและเทคโนโลยี Superhuman มาสร้าง “AI agents” ที่จะช่วยคุณเขียน ตอบ ค้นหา และจัดการเมลอย่างอัตโนมัติ
    - ใช้ข้อมูลจากเอกสาร + อีเมล + ปฏิทิน เพื่อสร้างผู้ช่วยเสมือนที่ “เข้าใจงานและบริบทของคุณจริง ๆ”

    CEO คนใหม่ของ Grammarly คือ Shishir Mehrotra (อดีตผู้ร่วมก่อตั้ง Coda) ซึ่งก็เคยปั้น Coda ให้เป็น workspace platform มาก่อน ดังนั้นนี่อาจเป็นการสร้าง “Coda + Email + AI = Grammarly ยุคใหม่” ก็เป็นได้ครับ!

    Grammarly ซื้อกิจการ Superhuman เพื่อลุยตลาด AI Productivity Suite  
    • ยังไม่เปิดเผยมูลค่าการซื้อ แต่ Superhuman เคยมีมูลค่าบริษัท $825 ล้าน  
    • มีรายได้ ~$35 ล้าน/ปี และผู้ใช้หลักอยู่ในกลุ่มองค์กร/มืออาชีพ

    Grammarly ได้ทุน $1 พันล้านจาก General Catalyst เมื่อไม่นานมานี้  
    • ใช้สำหรับขยายผลิตภัณฑ์ + สร้าง ecosystem ด้านการทำงานด้วย AI

    Superhuman จะยังคงแบรนด์เดิมและทีมเดิมอยู่ใน Grammarly  
    • CEO Rahul Vohra จะย้ายมานั่งใน Grammarly พร้อมทีม ~100 คน  
    • แผนจะขยายจากอีเมลสู่ปฏิทิน, งาน (Tasks), และการทำงานร่วมกัน (Collab tools)

    วิสัยทัศน์คือสร้าง “AI Agents” ที่เข้าใจทั้งอีเมล เอกสาร และบริบทการทำงานของผู้ใช้  
    • ใช้ช่วยเขียน ตอบอีเมล วิเคราะห์บริบท และลดเวลาค้นหาข้อมูลจากระบบต่าง ๆ  
    • แข่งขันกับ Copilot ของ Microsoft, Duet AI ของ Google, Salesforce Slack AI, และอื่น ๆ

    Superhuman ระบุว่าปัจจุบันผู้ใช้ส่งเมลได้เร็วขึ้น 72% และใช้งาน AI เขียนอีเมลเพิ่ม 5 เท่าในปีที่ผ่านมา

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/01/exclusive-grammarly-acquires-email-startup-superhuman-in-ai-platform-push
    หลายคนรู้จัก Grammarly ในฐานะผู้ช่วยตรวจแกรมมาร์ แต่ตอนนี้บริษัทกำลังกลายร่างเป็น “ศูนย์กลาง AI ด้านการสื่อสารในองค์กร” เลยครับ โดยการซื้อ Superhuman ครั้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องอีเมล — มันคือชิ้นส่วนต่อจิ๊กซอว์สู่ผลิตภัณฑ์ครบวงจรที่รวม AI, เอกสาร, อีเมล, ปฏิทิน และอื่น ๆ เข้าไว้ด้วยกัน Superhuman เคยเป็นแอปอีเมลสุดพรีเมียมที่มี waitlist ยาวเหยียด ด้วยจุดขายความเร็วและดีไซน์เฉียบ แต่หลังจากที่ Google และ Microsoft พัฒนา AI ใน Gmail / Outlook มากขึ้น Superhuman ก็เจอความท้าทายไม่น้อย Grammarly ที่เพิ่งได้ทุน $1 พันล้านจาก General Catalyst เลยฉวยโอกาสนี้ซื้อ Superhuman เข้ามา พร้อมวางแผนใหญ่: - ดึงทีมและเทคโนโลยี Superhuman มาสร้าง “AI agents” ที่จะช่วยคุณเขียน ตอบ ค้นหา และจัดการเมลอย่างอัตโนมัติ - ใช้ข้อมูลจากเอกสาร + อีเมล + ปฏิทิน เพื่อสร้างผู้ช่วยเสมือนที่ “เข้าใจงานและบริบทของคุณจริง ๆ” CEO คนใหม่ของ Grammarly คือ Shishir Mehrotra (อดีตผู้ร่วมก่อตั้ง Coda) ซึ่งก็เคยปั้น Coda ให้เป็น workspace platform มาก่อน ดังนั้นนี่อาจเป็นการสร้าง “Coda + Email + AI = Grammarly ยุคใหม่” ก็เป็นได้ครับ! ✅ Grammarly ซื้อกิจการ Superhuman เพื่อลุยตลาด AI Productivity Suite   • ยังไม่เปิดเผยมูลค่าการซื้อ แต่ Superhuman เคยมีมูลค่าบริษัท $825 ล้าน   • มีรายได้ ~$35 ล้าน/ปี และผู้ใช้หลักอยู่ในกลุ่มองค์กร/มืออาชีพ ✅ Grammarly ได้ทุน $1 พันล้านจาก General Catalyst เมื่อไม่นานมานี้   • ใช้สำหรับขยายผลิตภัณฑ์ + สร้าง ecosystem ด้านการทำงานด้วย AI ✅ Superhuman จะยังคงแบรนด์เดิมและทีมเดิมอยู่ใน Grammarly   • CEO Rahul Vohra จะย้ายมานั่งใน Grammarly พร้อมทีม ~100 คน   • แผนจะขยายจากอีเมลสู่ปฏิทิน, งาน (Tasks), และการทำงานร่วมกัน (Collab tools) ✅ วิสัยทัศน์คือสร้าง “AI Agents” ที่เข้าใจทั้งอีเมล เอกสาร และบริบทการทำงานของผู้ใช้   • ใช้ช่วยเขียน ตอบอีเมล วิเคราะห์บริบท และลดเวลาค้นหาข้อมูลจากระบบต่าง ๆ   • แข่งขันกับ Copilot ของ Microsoft, Duet AI ของ Google, Salesforce Slack AI, และอื่น ๆ ✅ Superhuman ระบุว่าปัจจุบันผู้ใช้ส่งเมลได้เร็วขึ้น 72% และใช้งาน AI เขียนอีเมลเพิ่ม 5 เท่าในปีที่ผ่านมา https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/01/exclusive-grammarly-acquires-email-startup-superhuman-in-ai-platform-push
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Grammarly to acquire email startup Superhuman in AI platform push
    (Corrects the year Grammarly was founded in paragraph 3, and the spelling of CEO's first name in paragraph 6;)
    0 Comments 0 Shares 253 Views 0 Reviews
  • มือดีย้ายหมุด ปราสาทตาเมือนธม ใน Google Map จากฝั่งไทยไปอยู่กัมพูชา กองทัพบกแจงแล้ว ไม่มีผลทางกฎหมาย ไทยถือครองอธิปไตยมาตลอด
    https://www.thai-tai.tv/news/19941/
    .
    #ปราสาทตาเมือนธม #GoogleMaps #กองทัพบก #เขตแดนไทยกัมพูชา #อธิปไตยไทย #ประวัติศาสตร์ไทย #ข่าวปลอม #ความเข้าใจผิด #กัมพูชา
    มือดีย้ายหมุด ปราสาทตาเมือนธม ใน Google Map จากฝั่งไทยไปอยู่กัมพูชา กองทัพบกแจงแล้ว ไม่มีผลทางกฎหมาย ไทยถือครองอธิปไตยมาตลอด https://www.thai-tai.tv/news/19941/ . #ปราสาทตาเมือนธม #GoogleMaps #กองทัพบก #เขตแดนไทยกัมพูชา #อธิปไตยไทย #ประวัติศาสตร์ไทย #ข่าวปลอม #ความเข้าใจผิด #กัมพูชา
    0 Comments 0 Shares 119 Views 0 Reviews
  • อีเมลเคยเป็นราชาแห่งการสื่อสารดิจิทัล
    แต่วันนี้ เรากลับเหนื่อยกับกล่องจดหมายที่ล้น ฟิชชิงลวงตา และการตอบกลับที่ไร้ประโยชน์

    ในยุคที่ทุกอย่างเร็วและฉลาดขึ้น
    Slack, Teams, AI, WhatsApp กำลังเข้ามาแทนที่
    แม้แต่อีเมลก็เริ่มกลายเป็นแค่ “ระบบยืนยันตัวตน” ไม่ใช่ช่องทางหลัก

    การสิ้นสุดยุคอีเมล: บทใหม่ของการสื่อสารในโลกที่หมุนเร็ว
    ในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา อีเมล เคยเป็นเครื่องมือการสื่อสารดิจิทัลที่ทรงพลัง เปลี่ยนวิธีที่มนุษย์ติดต่อกันทั้งในระดับบุคคลและองค์กร มันรวดเร็ว ประหยัด และเก็บบันทึกได้อย่างเป็นระบบ อีเมลช่วยให้โลกใบนี้ใกล้กันขึ้นโดยลบเส้นแบ่งทางภูมิศาสตร์ แต่ทุกเทคโนโลยีย่อมมีวาระของมัน และอีเมลก็กำลังเดินทางสู่ช่วงปลายของบทบาทหลักในยุคที่ความต้องการเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว

    จุดสูงสุดของอีเมล: จากนวัตกรรมสู่โครงสร้างหลัก
    การถือกำเนิดของอีเมลในทศวรรษ 1970 เป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งที่เปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานทั่วโลก ในทศวรรษ 1990 มันกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่ขาดไม่ได้ของชีวิตยุคดิจิทัล ทั้งในแวดวงธุรกิจ การศึกษา และชีวิตส่วนตัว ความสามารถในการแนบไฟล์ ส่งข้อความได้ทันทีข้ามทวีป และการเก็บบันทึกแบบถาวร ทำให้อีเมลกลายเป็น "ราชาแห่งการสื่อสารแบบอะซิงโครนัส"

    อย่างไรก็ตาม ความยิ่งใหญ่ดังกล่าวไม่ได้ปราศจากข้อจำกัด

    เมื่อกำแพงเริ่มแตกร้าว: ข้อบกพร่องที่ไม่อาจมองข้าม
    1️⃣ ความปลอดภัยที่ล้าหลัง
    อีเมลเป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักของอาชญากรรมไซเบอร์ แม้จะมีการเข้ารหัสขั้นพื้นฐาน แต่รูปแบบการทำงานที่กระจายอำนาจทำให้การควบคุมความปลอดภัยแบบรวมศูนย์แทบเป็นไปไม่ได้ ส่งผลให้ฟิชชิง สแปม และมัลแวร์ยังคงแพร่กระจายได้ง่าย

    2️⃣ ภาระของการจัดการข้อมูล
    การออกแบบที่เรียงตามลำดับเวลาและตามหัวข้อ (thread) ทำให้ข้อความสำคัญถูกฝังอยู่ใต้ชั้นของการตอบกลับและสแปม ผู้ใช้จำนวนมากจึงเผชิญกับสิ่งที่เรียกว่า "Email Fatigue" หรือ อาการเหนื่อยล้าจากอีเมล จนกลายเป็นภาระทางจิตใจมากกว่าประโยชน์ทางการสื่อสาร

    3️⃣ ไม่เหมาะกับโลกที่ต้องการความรวดเร็ว
    ในยุคที่ความเร็วในการตอบสนองมีผลต่อความสำเร็จของงาน อีเมลกลับไม่ตอบโจทย์ความต้องการของการสื่อสารแบบเรียลไทม์ ที่ทีมงานในปัจจุบันต่างคาดหวัง

    🛜 การเปลี่ยนผ่านสู่เครื่องมือสื่อสารใหม่
    การเสื่อมถอยของอีเมลเปิดพื้นที่ให้เครื่องมือใหม่เข้ามาแทนที่:

    Slack, Microsoft Teams, Zoom: ผสานการแชท วิดีโอคอลล์ และการทำงานร่วมกันไว้ในที่เดียว ลดความยุ่งยากจากการเปลี่ยนแพลตฟอร์ม

    WhatsApp, Telegram, LINE: แอปพลิเคชันที่เข้าถึงง่าย ใช้งานได้บนอุปกรณ์พกพา และเหมาะกับไลฟ์สไตล์ที่ไม่เป็นทางการ

    AI Assistant: การนำ AI มาช่วยร่าง ตอบ หรือตั้งเวลาอีเมล ทำให้ความจำเป็นในการเขียนอีเมลด้วยตนเองลดลง

    อีเมลในบทบาทใหม่: ไม่หายไป แต่ถอยห่าง
    แม้การใช้งานจะลดลง แต่อีเมลจะยังคงอยู่ในบางบริบท เช่น:

    - การสื่อสารอย่างเป็นทางการ
    - เอกสารทางกฎหมาย
    - การติดต่อข้ามองค์กรที่ไม่ใช้เครื่องมือร่วมกัน

    ทางเลือกแห่งอนาคต: จากโลกจริงสู่โลกเสมือน
    1️⃣ ระบบสื่อสารที่ใช้บล็อกเชน: ยกระดับความปลอดภัย ปราศจากการควบคุมจากศูนย์กลาง

    2️⃣ ชุด Productivity แบบรวมศูนย์ (เช่น Google Workspace, Microsoft 365): ฝังการสื่อสารไว้ในบริบทของการทำงานจริง

    3️⃣ Metaverse และ XR (Extended Reality): การประชุมเสมือนแบบ immersive หรือการทำงานร่วมกันในพื้นที่เสมือนอาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่

    บทสรุป: การเดินทางของอีเมลจากพระเอกสู่ผู้เบื้องหลัง
    การสิ้นสุดของยุคอีเมลไม่ใช่จุดจบที่เศร้าหมอง แต่มันคือวิวัฒนาการตามธรรมชาติของเทคโนโลยี อีเมลมีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์การสื่อสาร และสมควรได้รับการยอมรับในฐานะจุดเปลี่ยนของโลกดิจิทัล แต่ในโลกที่ให้ความสำคัญกับ ความเร็ว ความปลอดภัย และประสบการณ์แบบมนุษย์เป็นศูนย์กลาง เครื่องมือใหม่ๆ กำลังเข้ามารับไม้ต่อ

    เราไม่ได้เพียงแค่ปิดกล่องจดหมาย — เรากำลังเปิดประตูสู่อนาคตที่สื่อสารได้ชาญฉลาดขึ้น เชื่อมโยงลึกขึ้น และปลอดภัยมากขึ้น

    โลกกำลังก้าวสู่การสื่อสารที่ เร็วขึ้น ปลอดภัยขึ้น และเชื่อมโยงแบบมนุษย์มากขึ้น

    แล้วคุณยังใช้อีเมลเป็นหลักอยู่หรือเปล่า

    #ลุงเขียนหลานอ่าน
    อีเมลเคยเป็นราชาแห่งการสื่อสารดิจิทัล แต่วันนี้ เรากลับเหนื่อยกับกล่องจดหมายที่ล้น ฟิชชิงลวงตา และการตอบกลับที่ไร้ประโยชน์ ในยุคที่ทุกอย่างเร็วและฉลาดขึ้น Slack, Teams, AI, WhatsApp กำลังเข้ามาแทนที่ แม้แต่อีเมลก็เริ่มกลายเป็นแค่ “ระบบยืนยันตัวตน” ไม่ใช่ช่องทางหลัก 📭📭 การสิ้นสุดยุคอีเมล: บทใหม่ของการสื่อสารในโลกที่หมุนเร็ว 🪦🪦 ในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา อีเมล เคยเป็นเครื่องมือการสื่อสารดิจิทัลที่ทรงพลัง เปลี่ยนวิธีที่มนุษย์ติดต่อกันทั้งในระดับบุคคลและองค์กร มันรวดเร็ว ประหยัด และเก็บบันทึกได้อย่างเป็นระบบ อีเมลช่วยให้โลกใบนี้ใกล้กันขึ้นโดยลบเส้นแบ่งทางภูมิศาสตร์ แต่ทุกเทคโนโลยีย่อมมีวาระของมัน และอีเมลก็กำลังเดินทางสู่ช่วงปลายของบทบาทหลักในยุคที่ความต้องการเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว 🔝 จุดสูงสุดของอีเมล: จากนวัตกรรมสู่โครงสร้างหลัก การถือกำเนิดของอีเมลในทศวรรษ 1970 เป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งที่เปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานทั่วโลก ในทศวรรษ 1990 มันกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่ขาดไม่ได้ของชีวิตยุคดิจิทัล ทั้งในแวดวงธุรกิจ การศึกษา และชีวิตส่วนตัว ความสามารถในการแนบไฟล์ ส่งข้อความได้ทันทีข้ามทวีป และการเก็บบันทึกแบบถาวร ทำให้อีเมลกลายเป็น "ราชาแห่งการสื่อสารแบบอะซิงโครนัส" อย่างไรก็ตาม ความยิ่งใหญ่ดังกล่าวไม่ได้ปราศจากข้อจำกัด 🧱🧱 เมื่อกำแพงเริ่มแตกร้าว: ข้อบกพร่องที่ไม่อาจมองข้าม 1️⃣ ความปลอดภัยที่ล้าหลัง อีเมลเป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักของอาชญากรรมไซเบอร์ แม้จะมีการเข้ารหัสขั้นพื้นฐาน แต่รูปแบบการทำงานที่กระจายอำนาจทำให้การควบคุมความปลอดภัยแบบรวมศูนย์แทบเป็นไปไม่ได้ ส่งผลให้ฟิชชิง สแปม และมัลแวร์ยังคงแพร่กระจายได้ง่าย 2️⃣ ภาระของการจัดการข้อมูล การออกแบบที่เรียงตามลำดับเวลาและตามหัวข้อ (thread) ทำให้ข้อความสำคัญถูกฝังอยู่ใต้ชั้นของการตอบกลับและสแปม ผู้ใช้จำนวนมากจึงเผชิญกับสิ่งที่เรียกว่า "Email Fatigue" หรือ อาการเหนื่อยล้าจากอีเมล จนกลายเป็นภาระทางจิตใจมากกว่าประโยชน์ทางการสื่อสาร 3️⃣ ไม่เหมาะกับโลกที่ต้องการความรวดเร็ว ในยุคที่ความเร็วในการตอบสนองมีผลต่อความสำเร็จของงาน อีเมลกลับไม่ตอบโจทย์ความต้องการของการสื่อสารแบบเรียลไทม์ ที่ทีมงานในปัจจุบันต่างคาดหวัง 📶🛜 การเปลี่ยนผ่านสู่เครื่องมือสื่อสารใหม่ การเสื่อมถอยของอีเมลเปิดพื้นที่ให้เครื่องมือใหม่เข้ามาแทนที่: ✅ Slack, Microsoft Teams, Zoom: ผสานการแชท วิดีโอคอลล์ และการทำงานร่วมกันไว้ในที่เดียว ลดความยุ่งยากจากการเปลี่ยนแพลตฟอร์ม ✅ WhatsApp, Telegram, LINE: แอปพลิเคชันที่เข้าถึงง่าย ใช้งานได้บนอุปกรณ์พกพา และเหมาะกับไลฟ์สไตล์ที่ไม่เป็นทางการ ✅ AI Assistant: การนำ AI มาช่วยร่าง ตอบ หรือตั้งเวลาอีเมล ทำให้ความจำเป็นในการเขียนอีเมลด้วยตนเองลดลง 🎯🎯 อีเมลในบทบาทใหม่: ไม่หายไป แต่ถอยห่าง แม้การใช้งานจะลดลง แต่อีเมลจะยังคงอยู่ในบางบริบท เช่น: - การสื่อสารอย่างเป็นทางการ - เอกสารทางกฎหมาย - การติดต่อข้ามองค์กรที่ไม่ใช้เครื่องมือร่วมกัน 🔮 ทางเลือกแห่งอนาคต: จากโลกจริงสู่โลกเสมือน 1️⃣ ระบบสื่อสารที่ใช้บล็อกเชน: ยกระดับความปลอดภัย ปราศจากการควบคุมจากศูนย์กลาง 2️⃣ ชุด Productivity แบบรวมศูนย์ (เช่น Google Workspace, Microsoft 365): ฝังการสื่อสารไว้ในบริบทของการทำงานจริง 3️⃣ Metaverse และ XR (Extended Reality): การประชุมเสมือนแบบ immersive หรือการทำงานร่วมกันในพื้นที่เสมือนอาจกลายเป็นมาตรฐานใหม่ 🏁🏁 บทสรุป: การเดินทางของอีเมลจากพระเอกสู่ผู้เบื้องหลัง 🏁🏁 การสิ้นสุดของยุคอีเมลไม่ใช่จุดจบที่เศร้าหมอง แต่มันคือวิวัฒนาการตามธรรมชาติของเทคโนโลยี อีเมลมีบทบาทสำคัญในประวัติศาสตร์การสื่อสาร และสมควรได้รับการยอมรับในฐานะจุดเปลี่ยนของโลกดิจิทัล แต่ในโลกที่ให้ความสำคัญกับ ความเร็ว ความปลอดภัย และประสบการณ์แบบมนุษย์เป็นศูนย์กลาง เครื่องมือใหม่ๆ กำลังเข้ามารับไม้ต่อ เราไม่ได้เพียงแค่ปิดกล่องจดหมาย — เรากำลังเปิดประตูสู่อนาคตที่สื่อสารได้ชาญฉลาดขึ้น เชื่อมโยงลึกขึ้น และปลอดภัยมากขึ้น 📌 โลกกำลังก้าวสู่การสื่อสารที่ เร็วขึ้น ปลอดภัยขึ้น และเชื่อมโยงแบบมนุษย์มากขึ้น แล้วคุณยังใช้อีเมลเป็นหลักอยู่หรือเปล่า❓❓ #ลุงเขียนหลานอ่าน
    0 Comments 0 Shares 353 Views 0 Reviews
  • คณะวิทยาศาสตร์และศิลปศาสตร์ ได้กำหนดจัดโครงการการแข่งขันทักษะทางวิทยาศาสตร์ระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาขึ้น เพื่อมุ่งเน้นการยกระดับศักยภาพของประเทศ ในหลากหลายมิติ บนพื้นฐานที่ต้องการปรับปัจจุบันเพื่อปูทางสู่อนาคต โครงสร้างพื้นฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และดิจิทัล และตามพัฒนาการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2566-2570 พัฒนาผู้เรียนให้มีสมรรถนะและทักษะด้านการอ่าน คณิตศาสตร์ การคิดขั้นสูง นวัตกรรมวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีดิจิทัล และภาษาต่างประเทศ โดยแบ่งการแข่งขันออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ โครงงานประเภททดลอง และโครงงานประเภทสิ่งประดิษฐ์
    กำหนดจัดขึ้นในวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ณ ห้องประชุมตะโกราย 1 อาคารสำนักส่งเสริมวิชาการและงานทะเบียน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน
    1. คุณสมบัติผู้เข้าประกวด
    1.1 นักเรียนระดับ ป. 4-6
    1.2 นักเรียนระดับชั้น ม. 1-3
    1.3 นักเรียนระดับชั้น ม. 4-6
    2. ประเภทและจำนวนผู้เข้าประกวด (ประเภททีม 3 คน)
    2.1 ระดับชั้นประถมศึกษาตอนปลาย ป. 4-6 ทุกสังกัด
    2.2 ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ม. 1-3 ทุกสังกัด
    2.3 ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ม. 4-6 ทุกสังกัด
    3. วิธีดำเนินการและรายละเอียดหลักเกณฑ์การประกวด
    ผู้เข้าประกอบต้องส่งไฟล์รายงานโครงงานวิทยาศาสตร์ ความยาวไม่เกิน 20 หน้า พร้อมไฟล์คลิปวีดิโอนำเสนอโครงงาน ไม่เกิน 5 นาที และไฟล์บทคัดย่อตามแบบฟอร์มที่กำหนด (.doc และ pdf) ผ่านทางลิงค์
    https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLSe_GRH6cgWJBaakrxf2wU9xxgtjqkbDb98wQaZVFe4ZfgkB4Q/viewform?usp=header
    ที่ปรากฎในสื่อประชาสัมพันธ์ โดยส่งภายในวันที่ 14 กรกฎาคม 2568
    รางวัลที่ 1 คะแนนสูงสุดอันดับ 1 เงินรางวัล 1,200 บาท
    รางวัลที่ 2 คะแนนสูงสุดอันดับ 2 เงินรางวัล 800 บาท
    รางวัลที่ 3 คะแนนสูงสุดอันดับ 3 เงินรางวัล 500 บาท
    (ผู้เข้าร่วมแข่งขันและผู้ควบคุมจะได้รับเกียรติบัตรจากการเข้าร่วมกิจกรรม)
    สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ที่ ผศ.ดร. วิชุดา กล้าเวช 0621656415
    คณะวิทยาศาสตร์และศิลปศาสตร์ ได้กำหนดจัดโครงการการแข่งขันทักษะทางวิทยาศาสตร์ระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาขึ้น เพื่อมุ่งเน้นการยกระดับศักยภาพของประเทศ ในหลากหลายมิติ บนพื้นฐานที่ต้องการปรับปัจจุบันเพื่อปูทางสู่อนาคต โครงสร้างพื้นฐานวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และดิจิทัล และตามพัฒนาการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ. 2566-2570 พัฒนาผู้เรียนให้มีสมรรถนะและทักษะด้านการอ่าน คณิตศาสตร์ การคิดขั้นสูง นวัตกรรมวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีดิจิทัล และภาษาต่างประเทศ โดยแบ่งการแข่งขันออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่ โครงงานประเภททดลอง และโครงงานประเภทสิ่งประดิษฐ์ กำหนดจัดขึ้นในวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ณ ห้องประชุมตะโกราย 1 อาคารสำนักส่งเสริมวิชาการและงานทะเบียน มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน 1. คุณสมบัติผู้เข้าประกวด 1.1 นักเรียนระดับ ป. 4-6 1.2 นักเรียนระดับชั้น ม. 1-3 1.3 นักเรียนระดับชั้น ม. 4-6 2. ประเภทและจำนวนผู้เข้าประกวด (ประเภททีม 3 คน) 2.1 ระดับชั้นประถมศึกษาตอนปลาย ป. 4-6 ทุกสังกัด 2.2 ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ม. 1-3 ทุกสังกัด 2.3 ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย ม. 4-6 ทุกสังกัด 3. วิธีดำเนินการและรายละเอียดหลักเกณฑ์การประกวด ผู้เข้าประกอบต้องส่งไฟล์รายงานโครงงานวิทยาศาสตร์ ความยาวไม่เกิน 20 หน้า พร้อมไฟล์คลิปวีดิโอนำเสนอโครงงาน ไม่เกิน 5 นาที และไฟล์บทคัดย่อตามแบบฟอร์มที่กำหนด (.doc และ pdf) ผ่านทางลิงค์ https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLSe_GRH6cgWJBaakrxf2wU9xxgtjqkbDb98wQaZVFe4ZfgkB4Q/viewform?usp=header ที่ปรากฎในสื่อประชาสัมพันธ์ โดยส่งภายในวันที่ 14 กรกฎาคม 2568 รางวัลที่ 1 คะแนนสูงสุดอันดับ 1 เงินรางวัล 1,200 บาท รางวัลที่ 2 คะแนนสูงสุดอันดับ 2 เงินรางวัล 800 บาท รางวัลที่ 3 คะแนนสูงสุดอันดับ 3 เงินรางวัล 500 บาท (ผู้เข้าร่วมแข่งขันและผู้ควบคุมจะได้รับเกียรติบัตรจากการเข้าร่วมกิจกรรม) สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ที่ ผศ.ดร. วิชุดา กล้าเวช 0621656415
    0 Comments 0 Shares 196 Views 0 Reviews
  • องค์กรยุคใหม่เริ่มใช้ Browser AI Agent เพื่อให้มัน “ทำงานแทนคน” เช่น จองตั๋วเครื่องบิน, นัดประชุม, เขียนอีเมล, หรือ login เข้าระบบภายในแบบอัตโนมัติ — แต่สิ่งที่หลายคนยังไม่ทันรู้คือ...

    AI ตัวนี้ “ไม่มีสัญชาตญาณ” — มันไม่รู้ว่าอีเมลไหนดูแปลก, เว็บไซต์ไหนหลอก, ป๊อปอัปขอสิทธิ์อะไรเกินจำเป็น

    ผลคือ:
    - มี AI Agent ที่สมัครใช้เว็บแชร์ไฟล์ แล้วกด “อนุญาต” ให้เว็บแปลก ๆ เข้าถึง Google Drive ทั้งบัญชี
    - อีกกรณี Agent ถูก phishing ให้ใส่รหัสผ่าน Salesforce โดยไม่มีข้อสงสัย
    - เหตุผลเพราะมันใช้สิทธิ์ระดับเดียวกับพนักงานจริง — เปิดช่องให้คนร้ายใช้เป็น “ตัวแทน” เข้าระบบองค์กรได้เนียน ๆ

    งานวิจัยโดย SquareX ชี้ว่า “AI พวกนี้มีสติปัญญาด้านความปลอดภัย แย่กว่าพนักงานใหม่ในองค์กรเสียอีก” และปัจจุบันเครื่องมือตรวจจับภัยไซเบอร์ก็ยังมองไม่ออกว่า “พฤติกรรมแปลก ๆ” เหล่านี้เกิดจาก AI ที่ถูกโจมตีอยู่

    Browser AI Agent คือผู้ช่วยอัตโนมัติที่ทำงานผ่านเบราว์เซอร์แทนผู้ใช้ เช่น login, กรอกฟอร์ม, ส่งอีเมล  
    • เริ่มนิยมใช้ในองค์กรเพื่อประหยัดเวลาและลดงานซ้ำซ้อน

    SquareX พบว่า AI Agent เหล่านี้ตกเป็นเหยื่อ phishing และเว็บอันตรายได้ง่ายกว่ามนุษย์  
    • ไม่รู้จักแยกแยะ URL ปลอม, สิทธิ์การเข้าถึงเกินจริง, หรือแบรนด์ที่ไม่น่าไว้ใจ

    AI Agent ใช้สิทธิ์ระบบเดียวกับผู้ใช้จริง → หากถูกหลอกจะมีสิทธิ์เข้าถึงระบบภายในโดยตรง  
    • เช่น ข้อมูลในคลาวด์, อีเมล, Salesforce, เครื่องมือทางธุรกิจต่าง ๆ

    ฟีเจอร์ด้านความปลอดภัย เช่น Firewall, ZTNA หรือ Endpoint Protection ยังตรวจไม่เจอภัยจาก AI Agent  
    • เพราะทุกการกระทำดูเหมือนพนักงานปกติไม่ได้ทำอะไรผิด

    SquareX แนะนำให้ใช้งาน “Browser Detection and Response” แบบเฉพาะเพื่อดูแล AI Agent เหล่านี้โดยตรง

    https://www.techradar.com/pro/security/thousands-of-organizations-have-a-new-unexpected-employee-onboard-and-it-could-be-their-single-biggest-security-risk
    องค์กรยุคใหม่เริ่มใช้ Browser AI Agent เพื่อให้มัน “ทำงานแทนคน” เช่น จองตั๋วเครื่องบิน, นัดประชุม, เขียนอีเมล, หรือ login เข้าระบบภายในแบบอัตโนมัติ — แต่สิ่งที่หลายคนยังไม่ทันรู้คือ... AI ตัวนี้ “ไม่มีสัญชาตญาณ” — มันไม่รู้ว่าอีเมลไหนดูแปลก, เว็บไซต์ไหนหลอก, ป๊อปอัปขอสิทธิ์อะไรเกินจำเป็น ผลคือ: - มี AI Agent ที่สมัครใช้เว็บแชร์ไฟล์ แล้วกด “อนุญาต” ให้เว็บแปลก ๆ เข้าถึง Google Drive ทั้งบัญชี - อีกกรณี Agent ถูก phishing ให้ใส่รหัสผ่าน Salesforce โดยไม่มีข้อสงสัย - เหตุผลเพราะมันใช้สิทธิ์ระดับเดียวกับพนักงานจริง — เปิดช่องให้คนร้ายใช้เป็น “ตัวแทน” เข้าระบบองค์กรได้เนียน ๆ งานวิจัยโดย SquareX ชี้ว่า “AI พวกนี้มีสติปัญญาด้านความปลอดภัย แย่กว่าพนักงานใหม่ในองค์กรเสียอีก” และปัจจุบันเครื่องมือตรวจจับภัยไซเบอร์ก็ยังมองไม่ออกว่า “พฤติกรรมแปลก ๆ” เหล่านี้เกิดจาก AI ที่ถูกโจมตีอยู่ ✅ Browser AI Agent คือผู้ช่วยอัตโนมัติที่ทำงานผ่านเบราว์เซอร์แทนผู้ใช้ เช่น login, กรอกฟอร์ม, ส่งอีเมล   • เริ่มนิยมใช้ในองค์กรเพื่อประหยัดเวลาและลดงานซ้ำซ้อน ✅ SquareX พบว่า AI Agent เหล่านี้ตกเป็นเหยื่อ phishing และเว็บอันตรายได้ง่ายกว่ามนุษย์   • ไม่รู้จักแยกแยะ URL ปลอม, สิทธิ์การเข้าถึงเกินจริง, หรือแบรนด์ที่ไม่น่าไว้ใจ ✅ AI Agent ใช้สิทธิ์ระบบเดียวกับผู้ใช้จริง → หากถูกหลอกจะมีสิทธิ์เข้าถึงระบบภายในโดยตรง   • เช่น ข้อมูลในคลาวด์, อีเมล, Salesforce, เครื่องมือทางธุรกิจต่าง ๆ ✅ ฟีเจอร์ด้านความปลอดภัย เช่น Firewall, ZTNA หรือ Endpoint Protection ยังตรวจไม่เจอภัยจาก AI Agent   • เพราะทุกการกระทำดูเหมือนพนักงานปกติไม่ได้ทำอะไรผิด ✅ SquareX แนะนำให้ใช้งาน “Browser Detection and Response” แบบเฉพาะเพื่อดูแล AI Agent เหล่านี้โดยตรง https://www.techradar.com/pro/security/thousands-of-organizations-have-a-new-unexpected-employee-onboard-and-it-could-be-their-single-biggest-security-risk
    WWW.TECHRADAR.COM
    The bots in your browser are working hard… and giving attackers everything they need to get in
    AI agents are now falling for scams that your intern would immediately know to avoid
    0 Comments 0 Shares 221 Views 0 Reviews
  • Meta เคยเป็นบริษัทที่ขับเคลื่อนอินเทอร์เน็ตสมัยใหม่ — มี Facebook ครองโลก, ซื้อ Instagram มาต่อยอด, ทุ่มเงินซื้อ WhatsApp พร้อมสัญญาว่าจะไม่มีโฆษณา…แต่สุดท้ายทุกอย่างกำลังย้อนกลับ

    WhatsApp ตอนนี้มีโฆษณา Metaverse ทุ่มเงินหลายพันล้านเหรียญ → ยังไม่เห็นผล Libra (คริปโตของ Meta) → ตาย แม้แต่ AI — LLaMA ยังตามหลัง ChatGPT, Claude และ Gemini อยู่หลายร้อยแต้ม

    นักเขียนบทความนี้ (Howard Yu) วิเคราะห์ว่า Mark Zuckerberg เรียนรู้เชิงธุรกิจเก่งมาก แต่ “ไม่เคยเรียนรู้จากผลกระทบที่ Meta ก่อในสังคม” เช่น การถูกใช้เป็นเครื่องมือปลุกปั่น, ปัญหาสุขภาพจิตวัยรุ่น, และกรณีรุนแรงอย่างความขัดแย้งในเมียนมา

    บทวิเคราะห์เปรียบเทียบ Mark กับ Steve Jobs ไว้อย่างน่าสนใจ:
    - Jobs เคยผิดพลาด, เคยล้ม, เคยถูกไล่ออกจาก Apple
    - แต่เขากลับมาใหม่ด้วยการ “เติบโตทางจิตใจ” ไม่ใช่แค่ทางเทคโนโลยี
    - เขายอมฟังคนอื่น, สร้างทีมที่เก่งกว่า, ไม่พยายามควบคุมทุกอย่าง → และสร้าง Apple ยุคใหม่ที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเขาเอง

    ส่วน Zuckerberg ใช้อำนาจหุ้นพิเศษ (super-voting shares) ทำให้ไม่มีใครปลดเขาได้ → ไม่มีแรงกดดันให้เติบโต เปลี่ยนแปลง หรือยอมรับความผิดพลาด → ผลลัพธ์คือ Meta วนลูปเดิม ๆ — ปรับ feed เพิ่ม engagement → ขายโฆษณา → repeat

    Meta เคยล้มเหลวหลายโปรเจกต์ใหญ่:  
    • Facebook phone → ล้มเหลว  
    • Free Basics → ถูกแบนในอินเดีย  
    • Libra → ถูกต่อต้านโดยรัฐบาล  
    • Metaverse → ทุ่มเงินมหาศาล แต่ยังไม่คืนทุน

    AI ของ Meta (LLaMA 4) ยังตามหลัง OpenAI (ChatGPT), Anthropic (Claude), Google (Gemini)  
    • คะแนน Elo ห่างคู่แข่งหลายสิบถึงหลายร้อยแต้ม  
    • แม้ใช้ open-source เป็นยุทธศาสตร์หลัก แต่ยังไม่ดึงใจนักพัฒนาเท่าที่ควร

    ผู้เขียนชี้ว่า Zuckerberg ไม่เคยเรียนรู้จาก ‘ผลเสียต่อสังคม’ ที่ Meta สร้างไว้:  
    • กรณี Facebook ในเมียนมา → ปล่อยให้ Hate speech ลุกลาม  
    • Facebook ถูกใช้ในการปลุกระดม, ปั่นเลือกตั้ง (Cambridge Analytica)  
    • ระบบโฆษณาใช้ microtargeting เพื่อกด turnout กลุ่มเป้าหมายบางกลุ่ม

    โครงสร้างอำนาจของ Meta = Zuckerberg คุมทุกอย่าง:  
    • เขาถือหุ้น 13% แต่มีสิทธิ์โหวตกว่า 50%  
    • ไม่มีใครปลดเขาได้ จึงไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบต่อใคร

    เปรียบเทียบกับ Steve Jobs:  
    • Jobs ล้มเหลว, ถูกไล่ออกจาก Apple  
    • แต่กลับมาใหม่แบบถ่อมตนและเรียนรู้  
    • สร้างวัฒนธรรมที่ Apple แข็งแรงพอจะอยู่ได้แม้เขาจากไป

    Meta แม้จะยังทำเงินได้มากจากโฆษณา แต่กำลัง “ไร้วิสัยทัศน์ที่สดใหม่” สำหรับโลกยุคหลังโฆษณา

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/01/why-mark-zuckerberg-and-meta-cant-build-the-future
    Meta เคยเป็นบริษัทที่ขับเคลื่อนอินเทอร์เน็ตสมัยใหม่ — มี Facebook ครองโลก, ซื้อ Instagram มาต่อยอด, ทุ่มเงินซื้อ WhatsApp พร้อมสัญญาว่าจะไม่มีโฆษณา…แต่สุดท้ายทุกอย่างกำลังย้อนกลับ WhatsApp ตอนนี้มีโฆษณา Metaverse ทุ่มเงินหลายพันล้านเหรียญ → ยังไม่เห็นผล Libra (คริปโตของ Meta) → ตาย แม้แต่ AI — LLaMA ยังตามหลัง ChatGPT, Claude และ Gemini อยู่หลายร้อยแต้ม นักเขียนบทความนี้ (Howard Yu) วิเคราะห์ว่า Mark Zuckerberg เรียนรู้เชิงธุรกิจเก่งมาก แต่ “ไม่เคยเรียนรู้จากผลกระทบที่ Meta ก่อในสังคม” เช่น การถูกใช้เป็นเครื่องมือปลุกปั่น, ปัญหาสุขภาพจิตวัยรุ่น, และกรณีรุนแรงอย่างความขัดแย้งในเมียนมา บทวิเคราะห์เปรียบเทียบ Mark กับ Steve Jobs ไว้อย่างน่าสนใจ: - Jobs เคยผิดพลาด, เคยล้ม, เคยถูกไล่ออกจาก Apple - แต่เขากลับมาใหม่ด้วยการ “เติบโตทางจิตใจ” ไม่ใช่แค่ทางเทคโนโลยี - เขายอมฟังคนอื่น, สร้างทีมที่เก่งกว่า, ไม่พยายามควบคุมทุกอย่าง → และสร้าง Apple ยุคใหม่ที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเขาเอง ส่วน Zuckerberg ใช้อำนาจหุ้นพิเศษ (super-voting shares) ทำให้ไม่มีใครปลดเขาได้ → ไม่มีแรงกดดันให้เติบโต เปลี่ยนแปลง หรือยอมรับความผิดพลาด → ผลลัพธ์คือ Meta วนลูปเดิม ๆ — ปรับ feed เพิ่ม engagement → ขายโฆษณา → repeat ✅ Meta เคยล้มเหลวหลายโปรเจกต์ใหญ่:   • Facebook phone → ล้มเหลว   • Free Basics → ถูกแบนในอินเดีย   • Libra → ถูกต่อต้านโดยรัฐบาล   • Metaverse → ทุ่มเงินมหาศาล แต่ยังไม่คืนทุน ✅ AI ของ Meta (LLaMA 4) ยังตามหลัง OpenAI (ChatGPT), Anthropic (Claude), Google (Gemini)   • คะแนน Elo ห่างคู่แข่งหลายสิบถึงหลายร้อยแต้ม   • แม้ใช้ open-source เป็นยุทธศาสตร์หลัก แต่ยังไม่ดึงใจนักพัฒนาเท่าที่ควร ✅ ผู้เขียนชี้ว่า Zuckerberg ไม่เคยเรียนรู้จาก ‘ผลเสียต่อสังคม’ ที่ Meta สร้างไว้:   • กรณี Facebook ในเมียนมา → ปล่อยให้ Hate speech ลุกลาม   • Facebook ถูกใช้ในการปลุกระดม, ปั่นเลือกตั้ง (Cambridge Analytica)   • ระบบโฆษณาใช้ microtargeting เพื่อกด turnout กลุ่มเป้าหมายบางกลุ่ม ✅ โครงสร้างอำนาจของ Meta = Zuckerberg คุมทุกอย่าง:   • เขาถือหุ้น 13% แต่มีสิทธิ์โหวตกว่า 50%   • ไม่มีใครปลดเขาได้ จึงไม่จำเป็นต้องรับผิดชอบต่อใคร ✅ เปรียบเทียบกับ Steve Jobs:   • Jobs ล้มเหลว, ถูกไล่ออกจาก Apple   • แต่กลับมาใหม่แบบถ่อมตนและเรียนรู้   • สร้างวัฒนธรรมที่ Apple แข็งแรงพอจะอยู่ได้แม้เขาจากไป ✅ Meta แม้จะยังทำเงินได้มากจากโฆษณา แต่กำลัง “ไร้วิสัยทัศน์ที่สดใหม่” สำหรับโลกยุคหลังโฆษณา https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/01/why-mark-zuckerberg-and-meta-cant-build-the-future
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Why Mark Zuckerberg and Meta can't build the future
    Here's how absolute power trapped Facebook's parent company — and how Steve Jobs broke free.
    0 Comments 0 Shares 287 Views 0 Reviews
More Results