• กระเทียม ยาอายุวัฒนะจากธรรมชาติ ช่วยป้องกันโรคเส้นเลือดในสมอง💪 ลดไขมันอุดตันในเส้นเลือด ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจได้ 🧠

    พิกัด กระเทียม ลด 40 % 🛒 https://s.shopee.co.th/3LC6aQasB3

    #กระเทียมดีต่อใจ #สมุนไพรไทย #HealthyLife
    กระเทียม ยาอายุวัฒนะจากธรรมชาติ ช่วยป้องกันโรคเส้นเลือดในสมอง💪 ลดไขมันอุดตันในเส้นเลือด ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจได้ 🧠 พิกัด กระเทียม ลด 40 % 🛒 https://s.shopee.co.th/3LC6aQasB3 #กระเทียมดีต่อใจ #สมุนไพรไทย #HealthyLife
    Love
    1
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 156 มุมมอง 7 0 รีวิว
  • จะยอมให้ประเทศไทยเป็นอู่ฮั่นสองหรือไม่?

    มหันตภัยเกิดจากการนำไวรัสจากค้างคาวและสัตว์ป่าออกมาและมีการตัดต่อพันธุกรรม

    การสืบสวนสอบสวนของ คณะกรรมาธิการ สภาคองเกรส สหรัฐ ซึ่งแถลงรายงานในวันที่ 5 ธันวาคม 2024
    ได้สรุปถึงกำเนิดไวรัสโควิดเกิดจากมนุษย์ประดิษฐ์ จากข้อมูลตัวไวรัสเอง และ ที่เป็นไปไม่ได้จากธรรมชาติ ลักษณะการระบาด การไม่พบไวรัสโควิดในสัตว์ใด และสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้โดยไม่มีหลักฐานใดที่ชี้บ่งว่าเป็นวิวัฒนาการตามปกติของไวรัสในสัตว์สู่คน จุดรั่วระบาดที่ลามไปทั่วโลกนั้นไม่ได้เกิดที่ตลาดสดอู่ฮั่น แต่ ชี้บ่งไปที่ สถาบันวิจัยไวรัสอู๋ฮั่น (WIV) จากความบกพร่องของห้องชีวะนิรภัยระดับสี่
    นอกจากนั้นเป็นความร่วมมือขององค์กรสหรัฐ ฟาวซี และพวก ทั้งนี้ องค์กร พื้นฐานคือ เกตส์ gates foundation ในการ พัฒนาการสร้างไวรัสใหม่ที่ร้ายแรงกว่าเก่า ติดง่ายขึ้น แพร่ง่ายขึ้น ป่วยและตายมากขึ้น จนถึงติดคนสู่คนและให้แพร่ทางอากาศได้ โดยความรู้ในการสร้างไวรัสโคโรนามาจาก บาริค North Carolina ให้ ดร Shi
    และให้ทุนหลายประเทศทั่วทุกทวีปรวมประเทศไทย ในการเก็บรวบรวมไวรัสจากค้างคาว และสัตว์ป่า โดยประกาศบังหน้าว่าเพื่อให้ถอดรหัสพันธุกรรมว่ามีความโน้มเอียงที่จะเกิดการระบาดหรือไม่ (predict) รวมทั้งเพื่อการพัฒนาวัคซีน และการรับมือ (preparedness and response) ในชื่อรวม one health และหาไวัสทั้งโลก global virome project
    ทั้งนี้ทุนผ่านจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐ DARPA DTRA USAID CDC เป็นต้น และ มีองค์กรผ่านเงิน EcoHealth alliance peter Daszak ไปยังประเทศไทยและอื่นๆ

    รัฐบาลใหม่สหรัฐที่เข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม 2025 ไปแล้ว ทำตามที่ประกาศ และเริ่ม รื้อองค์กรเหล่านี้ และจัดการผู้ต้องรับผิดชอบ และรวมถึงการสมคบร่วมมือให้สินบนระหว่างบริษัทยายักษ์ใหญ่กับองค์กรรัฐ รวม NIH NIAID FDA CDC เป็นต้น สถาบันวิชาการ วารสาร การแพทย์ นักวิจัย เครือข่ายที่จัดการเซ็นเซอร์ข้อมูลที่เป็นจริงป้ายสีให้เป็นเท็จ เช่น ชัวร์ก่อนค่อยแชร์ fact check และเครือของสำนักข่าว และ ตระหนักถึงผลกระทบมหาศาลต่อชีวิตและความพิการเนื่องจากวัคซีน ที่ไม่ได้มีประสิทธิภาพจริง อย่างที่ประกาศและไม่ได้ปลอดภัยจริง

    หน่วยงาน ในประเทศไทยทั้งหมด ที่ยังคงหาไวรัสจากค้างคาวและสัตว์ป่า จนถึง ปัจจุบัน 2025 ต้องยุติกิจกรรมดังกล่าวโดย สิ้นเชิง ไม่ว่าเงินทุนจากต่างประเทศจะมากมายเพียงใดก็ตามหรือจะให้ประเทศไทยเป็นอู่ฮั่นสอง
    และ จนกระทั่งถึงปัจจุบัน ยังมีการตั้งบุคคลต่างชาติ ที่มีการเปิดเผยว่ามีส่วนในการร่วมมือตัดต่อพันธุกรรมและกำเนิดโควิด ฝังตัวทำงานอยู่ในหน่วยงานองค์กรที่สำคัญของประเทศไทย

    ศูนย์ วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ สภากาชาดไทย ยุติการศึกษาวิจัยและยุติความร่วมมือกับองค์กรต่างประเทศ

    ศูนย์ซึ่งเป็นศูนย์ความร่วมมือองค์การอนามัยโลกด้านค้นคว้าอบรมไวรัสสัตว์สู่คน ด้วยได้ทำการค้นหาไวรัสในค้างคาว ตั้งแต่ปี 2000 จาก องค์กรให้ทุนประเทศไทย คือ สกว แลเ สวทช และตั้งแต่ปี 2011 ได้รับทุนจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐและหน่วยงานของเพนตากอน
    ศูนย์ได้ประกาศยุติการทำงานดังกล่าวดังกล่าวเริ่มตั้งแต่ปี 2018 และเด็ดขาดในปี 2020 โดยแจ้งให้หน่วยงานสหรัฐรวมกระทั่งถึงองค์กรระหว่างประเทศทั้งหมดตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา ทั้งนี้เนื่องจากประเมินอันตรายที่ร้ายแรงอันอาจจะเกิดขึ้น ตั้งแต่การลงพื้นที่จนกระทั่งถึงในห้องปฏิบัติการและนำมาสู่การติดเชื้อในมนุษย์และแพร่ไปยังชุมชนจนเป็นโรคระบาดทั่วประเทศ ประกอบกับเงื่อนงำของการเกิดโควิด
    อีกประการที่สำคัญก็คือในปี 2018 ก่อนเกิดโควิด และ 2019 เรื่อยมาจนถึง ตุลาคม2020 มีการประชุมจัดโดยองค์กร EcoHealth alliance และให้ศูนย์เป็นหน่วยงานของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ EID SE Asia research collaboration hub (EID Search) ภายใต้ สถาบันสหรัฐ NIAID และ EcoHealth alliance ชื่อว่า CREID (Centre for Research in EID) ในการรวบรวมไวรัสจากค้างคาวและสัตว์ป่าโดยเฉพาะไวรัสในตระกูลโควิด ไวรัสในตระกูลอีโบล่าและไวรัสในตระกูลนิปาห์ สมองอักเสบและปอดบวมและอื่นๆจาก ไทย ลาว มาเลเซีย ซาราวัค เป็นต้น โดยให้มีการส่งตัวอย่างไปยังต่างประเทศและระบุว่าจะมีการตัดต่อพันธุกรรมเพื่อให้เข้ามนุษย์และก่อโรคได้จากหลอดทดลองและสัตว์ทดลองที่ปรับแต่งพันธุกรรมเหมือนมนุษย์ และมีรายละเอียดความสำเร็จของการสร้างไวรัสตัวใหม่ที่สามารถเข้ามามนุษย์ได้ดีขึ้นและก่อโรคได้แล้ว และเป็นที่มาที่ศูนย์ยุติความร่วมมืออย่างสิ้นเชิง
    ไวรัสที่จะนำมาทดลองปรับแต่งนอกจากจะทำให้เข้ามามนุษย์และเกิดโรคแล้ว ประการสำคัญก็คือทำให้สามารถติดต่อจากคนสู่คนได้ และเป็นที่น่าสังเกตไวรัสหลายตัวนั้นสามารถแพร่ทางอากาศได้ รายละเอียดเหล่านี้ปรากฏขึ้นก่อนการระบาดของโควิดในปลายปี 2019

    เหตุการณ์และหลักฐาน ยังปรากฏ ในบทความหนังสือพิมพ์ วอชิงตันโพสต์ โดยนักข่าว สืบสวน David Willman (investigative journalist รางวัลพูลิตเซอร์ ) ในวันที่ 10 เมษายน 2023 เป็นการรวบรวมข้อมูลจากหลายหน่วยงาน หลายประเทศ รวมทั้งจากศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคโรคอุบัติใหม่ ที่ยุติการรวบรวมตัวอย่างจากสัตว์ป่าและค้างคาว ถือว่าการหาเชื้อในคนถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุดมากกว่าการหาไวรัสที่ไม่รู้จัก ที่จะมาคาดคะเนว่าจะเข้ามามนุษย์และจะเกิดโรคระบาดหรือไม่ รวมทั้งมีความเสี่ยงอันตรายสูงสุดในการนำเชื้อจากสัตว์เข้ามามนุษย์ ในขั้นตอนต่างๆ ตั้งแต่การลงพื้นที่เก็บตัวอย่าง การขนส่งตัวอย่าง และการปฎิบัติในห้องแลป รวมทั้งโอกาสที่จะได้รับไวรัสทั้งๆที่อุปกรณ์ป้องกันตัวอาจไม่ครบถ้วนและในประวัติที่ผ่านมา มีเจ้าหน้าที่ทั้งห้องปฏิบัติการของศูนย์และของหน่วยงานสัตว์ป่าถูกค้างคาวกัด

    จากการประกาศจุดยืนชัดเจน และยุติกิจกรรม
    ใน วันที่ 22 กรกฎาคม 2023 หน่วยงานอิสระของรัฐบาลสหรัฐ U.S. government accountability office (GAO) ที่ไม่ขึ้นกับพรรคการเมืองใดๆ และทำหน้าที่ ในการตรวจสอบ การทำงานของหน่วยงานของสหรัฐในเรื่องการใช้งบประมาณรวมทั้งงบที่ให้ต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาหาไวรัสจากสัตว์ป่าและค้างคาวได้ติดต่อ ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ และศาสตราจารย์นายแพทย์ธีระวัฒน์ ในฐานะ program leader ที่ได้ทุนจาก สหรัฐ และ เพนตากอนในประเด็นว่าได้ประโยชน์หรือไม่ในการคาดคะเนว่าจะเกิดโรคอุบัติใหม่ ได้ประโยชน์หรือไม่ในการพัฒนาการเตรียมพร้อมและรับมือสำหรับโรคอุบัติใหม่ รวมถึงมีการการถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีหรือไม่ มีความเสี่ยงหรือไม่ในการค้นหาไวรัสจากสัตว์ป่าดังกล่าวในการที่จะได้รับเชื้อเข้ามาในมนุษย์ เข้ามาในห้องปฏิบัติการและกระจายออกสู่ชุมชนหรือไม่ และมีความพร้อมเพียงใดในการป้องกันทางชีวภาพในระดับบุคคลและห้องปฏิบัติการและการบริหารเมื่อเกิดมีบุคลากรเกิดความผิดปกติเกิดขึ้นหรือไม่

    ทางศูนย์ สามารถสรุปได้ว่าการค้นหาไวรัสใหม่นั้นไม่เกิดประโยชน์ในการคาดคะเนการเกิดโรคอุบัติใหม่และไม่ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีและความรู้รวมทั้งเปิดเผยความเสี่ยงสูงสุดในขั้นตอนต่างๆในการปฏิบัติ และมาตรการในการรับมือกับการหลุดเล็ดรอดของเชื้อจะเป็นด้วยความยากมากในสถานภาพปัจจุบัน และ เป็นเหตุผลสำคัญ ในการต้องทำหลายตัวอย่างไวรัสทั้งหมด
    นอกจากนั้นข้อที่ต้องปฏิบัติ ตามพระราชบัญญัติเชื้อโรคและพิษจากสัตว์ ปี 2558 กรณีที่เกิดความเสียหายเกิดขึ้น นั่นก็คือ การรั่วไหลจากห้องปฏิบัติการหรือจากห้องเก็บตัวอย่างและเกิดความเสียหายมีการติดเชื้อ ผู้รับผิดชอบซึ่งก็คือผู้รับผิดชอบโครงการหรือหัวหน้าศูนย์จะต้องได้รับโทษตามหมวดเก้าและหมวด 10 ของพระราชบัญญัติตามประกาศในราชกิจจานุเบกษา โดยมีตั้งแต่ การจำคุก สองปีถึง 10 ปีและปรับ จากหลักแสนเป็นหลักหลายล้าน หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามลักษณะของความเสียหายที่เกิดขึ้น

    • หน่วยงานในประเทศไทย คณะแพทย์ศาสตร์จุฬาหน่วยงานกาชาดรวมทั้งมหาวิทยาลัยอื่น ยังได้รับทุนต่อเนื่องตั้งแต่ที่ศูนย์ยุติบทบาทและทำลายไวรัสทั้งหมด แม้กระทั่งในปัจจุบันเริ่มจากในปี 2024 มีการผ่านให้ทุนจาก CDC มาไทย หลายหน่วยงาน โดยยังมีการเก็บไวรัสจากค้างคาวโดยเน้น โคโรนา นิปาห์ อีโบลา และอ้างว่าจะไม่มีการส่งตัวอย่างออกนอกประเทศ แต่ทั้งนี้ด้วยการพัฒนาการสร้างไวรัสสามารถทำได้โดยเลือกไวรัสที่มีรหัสพันธุกรรมตรงกับแบบที่มีในดาต้าเบสและทำการตัดต่อได้ให้ห้องทดลอง ดังที่ประสบความสำเร็จในการสร้างไวรัสโควิด มาแล้ว

    ที่หาย ไปจากห้องชีวะนิรภัยระดับสี่ของออสเตรเลียนั้น อาจไม่ต้องตกใจมากเท่ากับ สิ่งที่ยังทำในประเทศไทยที่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อกันเองระหว่างปฏิบัติการแพร่ไปให้ครอบครัวและชุมชนและต่อเนื่องไประดับประเทศและระดับโลก.

    ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
    ประธาน
    ศูนย์ความเป็นเลิศ ด้านการแพทย์บูรณาการและสาธารณสุข
    และ
    ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก
    มหาวิทยาลัยรังสิต

    เพิ่มเติม
    ประชาชาติธุรกิจ
    30 ตค 2566
    เหตุผลที่ถูกสั่งสอบสวนเพราะยุติ การเอาไวรัสจากค้างคาวมาศึกษาและการทำลายตัวอย่าง
    ย้อนกลับไปที่หมอธีระวัฒน์เตือน
    https://www.prachachat.net/general/news-1426137
    จะยอมให้ประเทศไทยเป็นอู่ฮั่นสองหรือไม่? มหันตภัยเกิดจากการนำไวรัสจากค้างคาวและสัตว์ป่าออกมาและมีการตัดต่อพันธุกรรม การสืบสวนสอบสวนของ คณะกรรมาธิการ สภาคองเกรส สหรัฐ ซึ่งแถลงรายงานในวันที่ 5 ธันวาคม 2024 ได้สรุปถึงกำเนิดไวรัสโควิดเกิดจากมนุษย์ประดิษฐ์ จากข้อมูลตัวไวรัสเอง และ ที่เป็นไปไม่ได้จากธรรมชาติ ลักษณะการระบาด การไม่พบไวรัสโควิดในสัตว์ใด และสิ่งแวดล้อม ทั้งนี้โดยไม่มีหลักฐานใดที่ชี้บ่งว่าเป็นวิวัฒนาการตามปกติของไวรัสในสัตว์สู่คน จุดรั่วระบาดที่ลามไปทั่วโลกนั้นไม่ได้เกิดที่ตลาดสดอู่ฮั่น แต่ ชี้บ่งไปที่ สถาบันวิจัยไวรัสอู๋ฮั่น (WIV) จากความบกพร่องของห้องชีวะนิรภัยระดับสี่ นอกจากนั้นเป็นความร่วมมือขององค์กรสหรัฐ ฟาวซี และพวก ทั้งนี้ องค์กร พื้นฐานคือ เกตส์ gates foundation ในการ พัฒนาการสร้างไวรัสใหม่ที่ร้ายแรงกว่าเก่า ติดง่ายขึ้น แพร่ง่ายขึ้น ป่วยและตายมากขึ้น จนถึงติดคนสู่คนและให้แพร่ทางอากาศได้ โดยความรู้ในการสร้างไวรัสโคโรนามาจาก บาริค North Carolina ให้ ดร Shi และให้ทุนหลายประเทศทั่วทุกทวีปรวมประเทศไทย ในการเก็บรวบรวมไวรัสจากค้างคาว และสัตว์ป่า โดยประกาศบังหน้าว่าเพื่อให้ถอดรหัสพันธุกรรมว่ามีความโน้มเอียงที่จะเกิดการระบาดหรือไม่ (predict) รวมทั้งเพื่อการพัฒนาวัคซีน และการรับมือ (preparedness and response) ในชื่อรวม one health และหาไวัสทั้งโลก global virome project ทั้งนี้ทุนผ่านจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐ DARPA DTRA USAID CDC เป็นต้น และ มีองค์กรผ่านเงิน EcoHealth alliance peter Daszak ไปยังประเทศไทยและอื่นๆ รัฐบาลใหม่สหรัฐที่เข้ารับตำแหน่งในวันที่ 20 มกราคม 2025 ไปแล้ว ทำตามที่ประกาศ และเริ่ม รื้อองค์กรเหล่านี้ และจัดการผู้ต้องรับผิดชอบ และรวมถึงการสมคบร่วมมือให้สินบนระหว่างบริษัทยายักษ์ใหญ่กับองค์กรรัฐ รวม NIH NIAID FDA CDC เป็นต้น สถาบันวิชาการ วารสาร การแพทย์ นักวิจัย เครือข่ายที่จัดการเซ็นเซอร์ข้อมูลที่เป็นจริงป้ายสีให้เป็นเท็จ เช่น ชัวร์ก่อนค่อยแชร์ fact check และเครือของสำนักข่าว และ ตระหนักถึงผลกระทบมหาศาลต่อชีวิตและความพิการเนื่องจากวัคซีน ที่ไม่ได้มีประสิทธิภาพจริง อย่างที่ประกาศและไม่ได้ปลอดภัยจริง หน่วยงาน ในประเทศไทยทั้งหมด ที่ยังคงหาไวรัสจากค้างคาวและสัตว์ป่า จนถึง ปัจจุบัน 2025 ต้องยุติกิจกรรมดังกล่าวโดย สิ้นเชิง ไม่ว่าเงินทุนจากต่างประเทศจะมากมายเพียงใดก็ตามหรือจะให้ประเทศไทยเป็นอู่ฮั่นสอง และ จนกระทั่งถึงปัจจุบัน ยังมีการตั้งบุคคลต่างชาติ ที่มีการเปิดเผยว่ามีส่วนในการร่วมมือตัดต่อพันธุกรรมและกำเนิดโควิด ฝังตัวทำงานอยู่ในหน่วยงานองค์กรที่สำคัญของประเทศไทย ศูนย์ วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ สภากาชาดไทย ยุติการศึกษาวิจัยและยุติความร่วมมือกับองค์กรต่างประเทศ ศูนย์ซึ่งเป็นศูนย์ความร่วมมือองค์การอนามัยโลกด้านค้นคว้าอบรมไวรัสสัตว์สู่คน ด้วยได้ทำการค้นหาไวรัสในค้างคาว ตั้งแต่ปี 2000 จาก องค์กรให้ทุนประเทศไทย คือ สกว แลเ สวทช และตั้งแต่ปี 2011 ได้รับทุนจากกระทรวงกลาโหมสหรัฐและหน่วยงานของเพนตากอน ศูนย์ได้ประกาศยุติการทำงานดังกล่าวดังกล่าวเริ่มตั้งแต่ปี 2018 และเด็ดขาดในปี 2020 โดยแจ้งให้หน่วยงานสหรัฐรวมกระทั่งถึงองค์กรระหว่างประเทศทั้งหมดตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา ทั้งนี้เนื่องจากประเมินอันตรายที่ร้ายแรงอันอาจจะเกิดขึ้น ตั้งแต่การลงพื้นที่จนกระทั่งถึงในห้องปฏิบัติการและนำมาสู่การติดเชื้อในมนุษย์และแพร่ไปยังชุมชนจนเป็นโรคระบาดทั่วประเทศ ประกอบกับเงื่อนงำของการเกิดโควิด อีกประการที่สำคัญก็คือในปี 2018 ก่อนเกิดโควิด และ 2019 เรื่อยมาจนถึง ตุลาคม2020 มีการประชุมจัดโดยองค์กร EcoHealth alliance และให้ศูนย์เป็นหน่วยงานของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ EID SE Asia research collaboration hub (EID Search) ภายใต้ สถาบันสหรัฐ NIAID และ EcoHealth alliance ชื่อว่า CREID (Centre for Research in EID) ในการรวบรวมไวรัสจากค้างคาวและสัตว์ป่าโดยเฉพาะไวรัสในตระกูลโควิด ไวรัสในตระกูลอีโบล่าและไวรัสในตระกูลนิปาห์ สมองอักเสบและปอดบวมและอื่นๆจาก ไทย ลาว มาเลเซีย ซาราวัค เป็นต้น โดยให้มีการส่งตัวอย่างไปยังต่างประเทศและระบุว่าจะมีการตัดต่อพันธุกรรมเพื่อให้เข้ามนุษย์และก่อโรคได้จากหลอดทดลองและสัตว์ทดลองที่ปรับแต่งพันธุกรรมเหมือนมนุษย์ และมีรายละเอียดความสำเร็จของการสร้างไวรัสตัวใหม่ที่สามารถเข้ามามนุษย์ได้ดีขึ้นและก่อโรคได้แล้ว และเป็นที่มาที่ศูนย์ยุติความร่วมมืออย่างสิ้นเชิง ไวรัสที่จะนำมาทดลองปรับแต่งนอกจากจะทำให้เข้ามามนุษย์และเกิดโรคแล้ว ประการสำคัญก็คือทำให้สามารถติดต่อจากคนสู่คนได้ และเป็นที่น่าสังเกตไวรัสหลายตัวนั้นสามารถแพร่ทางอากาศได้ รายละเอียดเหล่านี้ปรากฏขึ้นก่อนการระบาดของโควิดในปลายปี 2019 เหตุการณ์และหลักฐาน ยังปรากฏ ในบทความหนังสือพิมพ์ วอชิงตันโพสต์ โดยนักข่าว สืบสวน David Willman (investigative journalist รางวัลพูลิตเซอร์ ) ในวันที่ 10 เมษายน 2023 เป็นการรวบรวมข้อมูลจากหลายหน่วยงาน หลายประเทศ รวมทั้งจากศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคโรคอุบัติใหม่ ที่ยุติการรวบรวมตัวอย่างจากสัตว์ป่าและค้างคาว ถือว่าการหาเชื้อในคนถือเป็นเรื่องสำคัญที่สุดมากกว่าการหาไวรัสที่ไม่รู้จัก ที่จะมาคาดคะเนว่าจะเข้ามามนุษย์และจะเกิดโรคระบาดหรือไม่ รวมทั้งมีความเสี่ยงอันตรายสูงสุดในการนำเชื้อจากสัตว์เข้ามามนุษย์ ในขั้นตอนต่างๆ ตั้งแต่การลงพื้นที่เก็บตัวอย่าง การขนส่งตัวอย่าง และการปฎิบัติในห้องแลป รวมทั้งโอกาสที่จะได้รับไวรัสทั้งๆที่อุปกรณ์ป้องกันตัวอาจไม่ครบถ้วนและในประวัติที่ผ่านมา มีเจ้าหน้าที่ทั้งห้องปฏิบัติการของศูนย์และของหน่วยงานสัตว์ป่าถูกค้างคาวกัด จากการประกาศจุดยืนชัดเจน และยุติกิจกรรม ใน วันที่ 22 กรกฎาคม 2023 หน่วยงานอิสระของรัฐบาลสหรัฐ U.S. government accountability office (GAO) ที่ไม่ขึ้นกับพรรคการเมืองใดๆ และทำหน้าที่ ในการตรวจสอบ การทำงานของหน่วยงานของสหรัฐในเรื่องการใช้งบประมาณรวมทั้งงบที่ให้ต่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาหาไวรัสจากสัตว์ป่าและค้างคาวได้ติดต่อ ศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ และศาสตราจารย์นายแพทย์ธีระวัฒน์ ในฐานะ program leader ที่ได้ทุนจาก สหรัฐ และ เพนตากอนในประเด็นว่าได้ประโยชน์หรือไม่ในการคาดคะเนว่าจะเกิดโรคอุบัติใหม่ ได้ประโยชน์หรือไม่ในการพัฒนาการเตรียมพร้อมและรับมือสำหรับโรคอุบัติใหม่ รวมถึงมีการการถ่ายทอดความรู้และเทคโนโลยีหรือไม่ มีความเสี่ยงหรือไม่ในการค้นหาไวรัสจากสัตว์ป่าดังกล่าวในการที่จะได้รับเชื้อเข้ามาในมนุษย์ เข้ามาในห้องปฏิบัติการและกระจายออกสู่ชุมชนหรือไม่ และมีความพร้อมเพียงใดในการป้องกันทางชีวภาพในระดับบุคคลและห้องปฏิบัติการและการบริหารเมื่อเกิดมีบุคลากรเกิดความผิดปกติเกิดขึ้นหรือไม่ ทางศูนย์ สามารถสรุปได้ว่าการค้นหาไวรัสใหม่นั้นไม่เกิดประโยชน์ในการคาดคะเนการเกิดโรคอุบัติใหม่และไม่ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีและความรู้รวมทั้งเปิดเผยความเสี่ยงสูงสุดในขั้นตอนต่างๆในการปฏิบัติ และมาตรการในการรับมือกับการหลุดเล็ดรอดของเชื้อจะเป็นด้วยความยากมากในสถานภาพปัจจุบัน และ เป็นเหตุผลสำคัญ ในการต้องทำหลายตัวอย่างไวรัสทั้งหมด นอกจากนั้นข้อที่ต้องปฏิบัติ ตามพระราชบัญญัติเชื้อโรคและพิษจากสัตว์ ปี 2558 กรณีที่เกิดความเสียหายเกิดขึ้น นั่นก็คือ การรั่วไหลจากห้องปฏิบัติการหรือจากห้องเก็บตัวอย่างและเกิดความเสียหายมีการติดเชื้อ ผู้รับผิดชอบซึ่งก็คือผู้รับผิดชอบโครงการหรือหัวหน้าศูนย์จะต้องได้รับโทษตามหมวดเก้าและหมวด 10 ของพระราชบัญญัติตามประกาศในราชกิจจานุเบกษา โดยมีตั้งแต่ การจำคุก สองปีถึง 10 ปีและปรับ จากหลักแสนเป็นหลักหลายล้าน หรือทั้งจำทั้งปรับ ตามลักษณะของความเสียหายที่เกิดขึ้น • หน่วยงานในประเทศไทย คณะแพทย์ศาสตร์จุฬาหน่วยงานกาชาดรวมทั้งมหาวิทยาลัยอื่น ยังได้รับทุนต่อเนื่องตั้งแต่ที่ศูนย์ยุติบทบาทและทำลายไวรัสทั้งหมด แม้กระทั่งในปัจจุบันเริ่มจากในปี 2024 มีการผ่านให้ทุนจาก CDC มาไทย หลายหน่วยงาน โดยยังมีการเก็บไวรัสจากค้างคาวโดยเน้น โคโรนา นิปาห์ อีโบลา และอ้างว่าจะไม่มีการส่งตัวอย่างออกนอกประเทศ แต่ทั้งนี้ด้วยการพัฒนาการสร้างไวรัสสามารถทำได้โดยเลือกไวรัสที่มีรหัสพันธุกรรมตรงกับแบบที่มีในดาต้าเบสและทำการตัดต่อได้ให้ห้องทดลอง ดังที่ประสบความสำเร็จในการสร้างไวรัสโควิด มาแล้ว ที่หาย ไปจากห้องชีวะนิรภัยระดับสี่ของออสเตรเลียนั้น อาจไม่ต้องตกใจมากเท่ากับ สิ่งที่ยังทำในประเทศไทยที่มีความเสี่ยงในการติดเชื้อกันเองระหว่างปฏิบัติการแพร่ไปให้ครอบครัวและชุมชนและต่อเนื่องไประดับประเทศและระดับโลก. ศ นพ ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ประธาน ศูนย์ความเป็นเลิศ ด้านการแพทย์บูรณาการและสาธารณสุข และ ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต เพิ่มเติม ประชาชาติธุรกิจ 30 ตค 2566 เหตุผลที่ถูกสั่งสอบสวนเพราะยุติ การเอาไวรัสจากค้างคาวมาศึกษาและการทำลายตัวอย่าง ย้อนกลับไปที่หมอธีระวัฒน์เตือน https://www.prachachat.net/general/news-1426137
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 271 มุมมอง 0 รีวิว
  • ❤️ Bob Moore เจ้านายใจบุญ ยกบริษัทให้พนักงานทุกคนเป็นเจ้าของ

    บ็อบ มัวร์ (Bob Moore) ผู้ก่อตั้ง Bob's Red Mill แบรนด์อาหารธัญพืชและผลิตภัณฑ์อบขนมไม่ขัดสีสัญชาติอเมริกันชื่อดัง เสียชีวิตอย่างสงบที่บ้านพักเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ในวัย 94 ปี

    บ็อบหลงใหลในอาหารสุขภาพและธัญพืชไม่ขัดสีเป็นอย่างมาก บ็อบและภรรยา-ชาร์ลีจึงก่อตั้ง Bob's Red Mill ในปี 2521 ช่วงแรกบริษัทผลิตให้เฉพาะคนในท้องถิ่นพื้นที่พอร์ตแลนด์ รัฐโอเรกอน ต่อมาเติบโตอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นธุรกิจอาหารธรรมชาติที่มั่นคง ปัจจุบันเป็นแบรนด์อาหารชั้นนำระดับโลกที่นำเสนอผลิตภัณฑ์มากกว่า 200 รายการในกว่า 70 ประเทศ

    ในวันเกิดอายุครบ 81 ปีของบ็อบ แทนที่จะขายแบรนด์ให้กับบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านอาหาร เขากลับก่อตั้ง Employee Stock Ownership Plan (ESOP) หรือแผนความเป็นเจ้าของหุ้นของพนักงาน และโอนกรรมสิทธิ์ทั้งหมดของบริษัทของเขา ซึ่งมีมูลค่ากว่า 100 ล้านดอลลาร์ ให้กับพนักงานของเขากว่า 700 คน เพราะบ็อบรู้สึกชื่นชมความทุ่มเทของพนักงานที่ช่วยเปลี่ยนแปลงบริษัทให้มายืนในจุดนี้ได้ เขาจึงต้องการตอบแทนพนักงานทุกคน

    นอกจากเป็นเจ้านายใจบุญแล้ว สำหรับคนทั่วไปที่ได้พบกับบ็อบและภรรยา ก็จะสัมผัสได้ถึงความเฉลียวฉลาด ความเอาใจเขามาใส่ใจเรา การให้เกียรติผู้อื่น และที่สำคัญคือใบหน้ายิ้มแย้มอารมณ์ดีอยู่เสมอ ควบคู่ไปกับจริยธรรมที่บ็อบยึดมั่นมาตลอดคือ มีความรับผิดชอบและมีแรงบันดาลใจที่จะรักษาแนวทางในเรื่องอาหารไม่แปรรูป ใช้ส่วนผสมที่บริสุทธิ์และมีคุณภาพสูง เพื่อนำอาหารที่มีประโยชน์มาสู่ผู้คนทั่วโลก

    ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาบ็อบและชาร์ลี (เสียชีวิตในปี 2561) มุ่งหวังที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นต่อไปผ่านการบริจาคเงินจำนวนมากให้กับสถาบันการศึกษาหลายแห่งในโอเรกอน เช่น ให้ทุนวิจัย Oregon State University สนับสนุนทุนให้กับ Moore Family Center for Whole Grain Foods, Nutrition and Preventive Health ใน College of Health and Human Sciences มีส่วนร่วมก่อตั้งสถาบัน Bob and Charlee Moore Institute for Nutrition & Wellness ที่ Oregon Health & Science University รวมถึงโครงการวิจัยเพิ่มเติมอีกมากมายทั่วรัฐ

    Trey Winthrop ซีอีโอของ Bob’s Red Mill กล่าวว่า

    “มรดกของบ็อบจะคงอยู่ตลอดไปในตัวพวกเราทุกคนที่มีโอกาสร่วมงานกับเขาและได้ซึมซับเข้าสู่แบรนด์ Bob’s Red Mill”

    ✍️ เรียบเรียง : สำนักข่าวดีดี
    📷 ภาพ : FB Bob's Red Mill Natural Foods

    #สำนักข่าวดีดี #เรื่องดีดีมีทุกวัน #ใจบุญ #goodstory #เรื่องราวดีดี
    ❤️ Bob Moore เจ้านายใจบุญ ยกบริษัทให้พนักงานทุกคนเป็นเจ้าของ บ็อบ มัวร์ (Bob Moore) ผู้ก่อตั้ง Bob's Red Mill แบรนด์อาหารธัญพืชและผลิตภัณฑ์อบขนมไม่ขัดสีสัญชาติอเมริกันชื่อดัง เสียชีวิตอย่างสงบที่บ้านพักเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ในวัย 94 ปี บ็อบหลงใหลในอาหารสุขภาพและธัญพืชไม่ขัดสีเป็นอย่างมาก บ็อบและภรรยา-ชาร์ลีจึงก่อตั้ง Bob's Red Mill ในปี 2521 ช่วงแรกบริษัทผลิตให้เฉพาะคนในท้องถิ่นพื้นที่พอร์ตแลนด์ รัฐโอเรกอน ต่อมาเติบโตอย่างรวดเร็วจนกลายเป็นธุรกิจอาหารธรรมชาติที่มั่นคง ปัจจุบันเป็นแบรนด์อาหารชั้นนำระดับโลกที่นำเสนอผลิตภัณฑ์มากกว่า 200 รายการในกว่า 70 ประเทศ ในวันเกิดอายุครบ 81 ปีของบ็อบ แทนที่จะขายแบรนด์ให้กับบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านอาหาร เขากลับก่อตั้ง Employee Stock Ownership Plan (ESOP) หรือแผนความเป็นเจ้าของหุ้นของพนักงาน และโอนกรรมสิทธิ์ทั้งหมดของบริษัทของเขา ซึ่งมีมูลค่ากว่า 100 ล้านดอลลาร์ ให้กับพนักงานของเขากว่า 700 คน เพราะบ็อบรู้สึกชื่นชมความทุ่มเทของพนักงานที่ช่วยเปลี่ยนแปลงบริษัทให้มายืนในจุดนี้ได้ เขาจึงต้องการตอบแทนพนักงานทุกคน นอกจากเป็นเจ้านายใจบุญแล้ว สำหรับคนทั่วไปที่ได้พบกับบ็อบและภรรยา ก็จะสัมผัสได้ถึงความเฉลียวฉลาด ความเอาใจเขามาใส่ใจเรา การให้เกียรติผู้อื่น และที่สำคัญคือใบหน้ายิ้มแย้มอารมณ์ดีอยู่เสมอ ควบคู่ไปกับจริยธรรมที่บ็อบยึดมั่นมาตลอดคือ มีความรับผิดชอบและมีแรงบันดาลใจที่จะรักษาแนวทางในเรื่องอาหารไม่แปรรูป ใช้ส่วนผสมที่บริสุทธิ์และมีคุณภาพสูง เพื่อนำอาหารที่มีประโยชน์มาสู่ผู้คนทั่วโลก ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาบ็อบและชาร์ลี (เสียชีวิตในปี 2561) มุ่งหวังที่จะสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นต่อไปผ่านการบริจาคเงินจำนวนมากให้กับสถาบันการศึกษาหลายแห่งในโอเรกอน เช่น ให้ทุนวิจัย Oregon State University สนับสนุนทุนให้กับ Moore Family Center for Whole Grain Foods, Nutrition and Preventive Health ใน College of Health and Human Sciences มีส่วนร่วมก่อตั้งสถาบัน Bob and Charlee Moore Institute for Nutrition & Wellness ที่ Oregon Health & Science University รวมถึงโครงการวิจัยเพิ่มเติมอีกมากมายทั่วรัฐ Trey Winthrop ซีอีโอของ Bob’s Red Mill กล่าวว่า “มรดกของบ็อบจะคงอยู่ตลอดไปในตัวพวกเราทุกคนที่มีโอกาสร่วมงานกับเขาและได้ซึมซับเข้าสู่แบรนด์ Bob’s Red Mill” ✍️ เรียบเรียง : สำนักข่าวดีดี 📷 ภาพ : FB Bob's Red Mill Natural Foods #สำนักข่าวดีดี #เรื่องดีดีมีทุกวัน #ใจบุญ #goodstory #เรื่องราวดีดี
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 233 มุมมอง 0 รีวิว
  • ท้ายสุดแต่ยังไม่ใช่คนสุดท้าย วันพฤหัสฯเมื่อวานนี้ นายโรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี้ จูเนียร์ (Robert F. Kennedy) หรือ RFK Jr. ได้รับมติจากสภาสูงหรือซีเนทในคองเกรส ด้วยคะแนนเสียงชนะ 52:48 รับเลือกให้เป็นรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขและบริการประชาชน (Health and Human Services) ในค.ร.ม.รัฐบาลของนายทรัมป์2.0 ประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐอเมริกา นายโรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี้ จูเนียร์ เป็นลูกชายของนายโรเบิร์ต เคนเนดี้ อดีตอัยการสูงสุดของรัฐบาลกลางหรือเทียบเท่ารัฐมนตรียุติธรรม และยังเป็นหลานลุงคือนายจอห์น เอฟ. เคนเนดี้ อดีตประธานาธิบดีคนที่ 35 ของสหรัฐอเมริกา แต่ทั้งพ่อและลุงของเขาถูกลอบสังหารเสียชีวิตทั้งคู่ในประเด็นการเมือง นาย RFK Jr. ในอดีตเคยสังกัดพรรคเดโมแครตมาก่อน แต่ตอนหาเสียงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีแข่งกับนายทรัมป์เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2024 ปีที่แล้ว เขาลงแข่งในนามพรรคอิสระ แต่กลางเดือนกรกฎาคมปีที่แล้วขณะมีการประชุมใหญ่คอนเวนชั่นของพรรคริพับลิกันที่เมืองมิลวอกี้ของรัฐวิสคอนซิล นาย RFK Jr. เดินเข้าไปปรากฏตัวระหว่างการประชุมพร้อมกับประกาศสนับสนุนนายโดนัล ทรัมป์ ให้ได้รับเลือกเป็นผู้ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีแข่งกับนางคามารา แฮรีส ผู้สมัครในนามพรรคเดโมแครต นาย RFK Jr. มีข่าวเกรียวกราวมากตอนหาเสียง เพราะเขาเป็นผู้สมัครคนเดียวที่ต่อต้านการฉีดวัคซีนตอนช่วงไวรัสโควิด19ระบาดไปทั่วโลกของบริษัทยา ที่ยังไม่เคยได้มีการทดลองหาผลข้างเคียงที่อาจจะมีภัยต่อมนุษย์มาก่อน กับทั้งเขายังต่อต้านกับบริษัทอาหารที่ใช้สารเคมีหลายอย่างร่วมกับการปรุงอาหารอีกด้วย ตรงนี้นี่เองที่พรรคเดโมแครตจึงไม่คิดที่จะส่งเขาเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อปีที่แล้ว วันนี้นายทรัมป์เห็นความดีงามของเขา จึงมอบตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขฯให้กับนาย RFK Jr. เป็นการตอบแทน
    ท้ายสุดแต่ยังไม่ใช่คนสุดท้าย วันพฤหัสฯเมื่อวานนี้ นายโรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี้ จูเนียร์ (Robert F. Kennedy) หรือ RFK Jr. ได้รับมติจากสภาสูงหรือซีเนทในคองเกรส ด้วยคะแนนเสียงชนะ 52:48 รับเลือกให้เป็นรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขและบริการประชาชน (Health and Human Services) ในค.ร.ม.รัฐบาลของนายทรัมป์2.0 ประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐอเมริกา นายโรเบิร์ต เอฟ. เคนเนดี้ จูเนียร์ เป็นลูกชายของนายโรเบิร์ต เคนเนดี้ อดีตอัยการสูงสุดของรัฐบาลกลางหรือเทียบเท่ารัฐมนตรียุติธรรม และยังเป็นหลานลุงคือนายจอห์น เอฟ. เคนเนดี้ อดีตประธานาธิบดีคนที่ 35 ของสหรัฐอเมริกา แต่ทั้งพ่อและลุงของเขาถูกลอบสังหารเสียชีวิตทั้งคู่ในประเด็นการเมือง นาย RFK Jr. ในอดีตเคยสังกัดพรรคเดโมแครตมาก่อน แต่ตอนหาเสียงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีแข่งกับนายทรัมป์เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2024 ปีที่แล้ว เขาลงแข่งในนามพรรคอิสระ แต่กลางเดือนกรกฎาคมปีที่แล้วขณะมีการประชุมใหญ่คอนเวนชั่นของพรรคริพับลิกันที่เมืองมิลวอกี้ของรัฐวิสคอนซิล นาย RFK Jr. เดินเข้าไปปรากฏตัวระหว่างการประชุมพร้อมกับประกาศสนับสนุนนายโดนัล ทรัมป์ ให้ได้รับเลือกเป็นผู้ชิงตำแหน่งประธานาธิบดีแข่งกับนางคามารา แฮรีส ผู้สมัครในนามพรรคเดโมแครต นาย RFK Jr. มีข่าวเกรียวกราวมากตอนหาเสียง เพราะเขาเป็นผู้สมัครคนเดียวที่ต่อต้านการฉีดวัคซีนตอนช่วงไวรัสโควิด19ระบาดไปทั่วโลกของบริษัทยา ที่ยังไม่เคยได้มีการทดลองหาผลข้างเคียงที่อาจจะมีภัยต่อมนุษย์มาก่อน กับทั้งเขายังต่อต้านกับบริษัทอาหารที่ใช้สารเคมีหลายอย่างร่วมกับการปรุงอาหารอีกด้วย ตรงนี้นี่เองที่พรรคเดโมแครตจึงไม่คิดที่จะส่งเขาเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีเมื่อปีที่แล้ว วันนี้นายทรัมป์เห็นความดีงามของเขา จึงมอบตำแหน่งรัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุขฯให้กับนาย RFK Jr. เป็นการตอบแทน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 171 มุมมอง 0 รีวิว
  • การควบคุมมนุษย์ด้วย AI เป็นหัวข้อที่ซับซ้อนและมีประเด็นทางจริยธรรมมากมาย ซึ่งอาจนำไปสู่การใช้งานทั้งในทางที่ดีและไม่ดี ต่อไปนี้เป็นแนวคิดบางส่วนเกี่ยวกับรูปแบบการควบคุมมนุษย์ด้วย AI:

    ### 1. **การควบคุมผ่านข้อมูล (Data Control)**
    - **การเก็บข้อมูลส่วนบุคคล:** AI สามารถรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลส่วนบุคคล เช่น พฤติกรรมการใช้โซเชียลมีเดีย, สุขภาพ, หรือการเงิน เพื่อสร้างแบบแผนพฤติกรรมของแต่ละบุคคล
    - **การโฆษณาแบบกำหนดเป้าหมาย:** ใช้ AI เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลและโฆษณาสินค้าหรือบริการที่ตรงกับความสนใจของผู้ใช้ ซึ่งอาจส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภค

    ### 2. **การควบคุมผ่านการตัดสินใจ (Decision Control)**
    - **ระบบแนะนำ (Recommendation Systems):** AI สามารถแนะนำทางเลือกให้กับผู้ใช้ เช่น วิดีโอที่ควรดู, สินค้าที่ควรซื้อ, หรือแม้แต่เส้นทางที่ควรเดินทาง ซึ่งอาจส่งผลต่อพฤติกรรมของผู้ใช้
    - **ระบบอัตโนมัติ:** AI สามารถควบคุมระบบอัตโนมัติ เช่น รถยนต์ไร้คนขับ, ระบบจัดการพลังงานในบ้าน, หรือแม้แต่ระบบการเงินส่วนบุคคล

    ### 3. **การควบคุมผ่านการสื่อสาร (Communication Control)**
    - **แชทบอทและผู้ช่วยเสมือน:** AI สามารถใช้ในการสื่อสารกับมนุษย์ผ่านแชทบอทหรือผู้ช่วยเสมือน ซึ่งอาจถูกใช้เพื่อโน้มน้าวหรือชี้นำความคิดเห็นของผู้ใช้
    - **Deepfake และการปลอมแปลงข้อมูล:** AI สามารถสร้างเนื้อหาปลอม เช่น วิดีโอหรือเสียง ที่ดูเหมือนจริง เพื่อโน้มน้าวหรือหลอกลวงผู้คน

    ### 4. **การควบคุมผ่านการเฝ้าระวัง (Surveillance Control)**
    - **การเฝ้าระวังด้วยกล้อง:** AI สามารถใช้ในการวิเคราะห์ภาพจากกล้องวงจรปิดเพื่อติดตามพฤติกรรมของบุคคล
    - **การวิเคราะห์เสียง:** AI สามารถวิเคราะห์เสียงเพื่อตรวจจับอารมณ์หรือความตั้งใจของบุคคล

    ### 5. **การควบคุมผ่านการชี้นำทางสังคม (Social Influence Control)**
    - **โซเชียลมีเดีย:** AI สามารถใช้ในการวิเคราะห์และชี้นำกระแสสังคมบนโซเชียลมีเดีย เพื่อสร้างความนิยมหรือลดทอนความน่าเชื่อถือของข้อมูลบางอย่าง
    - **การสร้างเนื้อหา:** AI สามารถสร้างเนื้อหาที่มีอิทธิพลต่อความคิดเห็นของสาธารณชน เช่น ข่าวปลอมหรือบทความโน้มน้าวใจ

    ### 6. **การควบคุมผ่านระบบกฎหมายและกฎระเบียบ (Legal and Regulatory Control)**
    - **การบังคับใช้กฎหมาย:** AI สามารถใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อบังคับใช้กฎหมาย เช่น การตรวจจับการทุจริตหรือการละเมิดกฎหมาย
    - **การตัดสินใจทางกฎหมาย:** AI อาจถูกใช้ในการช่วยตัดสินใจทางกฎหมาย เช่น การพิจารณาคดีหรือการให้คำแนะนำทางกฎหมาย

    ### 7. **การควบคุมผ่านการชี้นำทางจิตวิทยา (Psychological Influence Control)**
    - **การวิเคราะห์อารมณ์:** AI สามารถวิเคราะห์อารมณ์ของบุคคลผ่านการวิเคราะห์ข้อความ, เสียง, หรือภาพ เพื่อชี้นำหรือโน้มน้าวใจ
    - **การบำบัดด้วย AI:** AI สามารถใช้ในการบำบัดทางจิตวิทยา ซึ่งอาจส่งผลต่อความคิดและพฤติกรรมของผู้ป่วย

    ### 8. **การควบคุมผ่านระบบการศึกษา (Educational Control)**
    - **ระบบการเรียนรู้แบบปรับตัว:** AI สามารถปรับเนื้อหาการเรียนรู้ให้เหมาะกับแต่ละบุคคล ซึ่งอาจส่งผลต่อความรู้และทักษะที่ผู้เรียนได้รับ
    - **การประเมินผล:** AI สามารถใช้ในการประเมินผลการเรียนรู้และให้คำแนะนำเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ

    ### 9. **การควบคุมผ่านระบบสุขภาพ (Health Control)**
    - **การวินิจฉัยโรค:** AI สามารถใช้ในการวินิจฉัยโรคและแนะนำการรักษา ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ของบุคคล
    - **การติดตามสุขภาพ:** AI สามารถติดตามสุขภาพของบุคคลผ่านอุปกรณ์ wearable devices และให้คำแนะนำเพื่อปรับปรุงสุขภาพ

    ### 10. **การควบคุมผ่านระบบการเงิน (Financial Control)**
    - **การวิเคราะห์การเงิน:** AI สามารถวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้เงินและให้คำแนะนำทางการเงิน ซึ่งอาจส่งผลต่อการตัดสินใจทางการเงินของบุคคล
    - **การจัดการพอร์ตโฟลิโอ:** AI สามารถใช้ในการจัดการพอร์ตโฟลิโอการลงทุน ซึ่งอาจส่งผลต่อความมั่งคั่งของบุคคล

    ### จริยธรรมและความเสี่ยง
    การควบคุมมนุษย์ด้วย AI มีความเสี่ยงทางจริยธรรมมากมาย เช่น การละเมิดความเป็นส่วนตัว, การบังคับใช้อำนาจ, และการสร้างความไม่เท่าเทียมกันในสังคม ดังนั้น การออกแบบและใช้งาน AI ควรคำนึงถึงหลักจริยธรรมและกฎหมายเพื่อป้องกันการใช้งานในทางที่ผิด

    ### สรุป
    AI มีศักยภาพในการควบคุมมนุษย์ผ่านหลายช่องทาง ทั้งทางตรงและทางอ้อม การใช้งาน AI ควรคำนึงถึงผลกระทบทางสังคมและจริยธรรม เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดและลดความเสี่ยงต่อมนุษย์และสังคม
    การควบคุมมนุษย์ด้วย AI เป็นหัวข้อที่ซับซ้อนและมีประเด็นทางจริยธรรมมากมาย ซึ่งอาจนำไปสู่การใช้งานทั้งในทางที่ดีและไม่ดี ต่อไปนี้เป็นแนวคิดบางส่วนเกี่ยวกับรูปแบบการควบคุมมนุษย์ด้วย AI: ### 1. **การควบคุมผ่านข้อมูล (Data Control)** - **การเก็บข้อมูลส่วนบุคคล:** AI สามารถรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลส่วนบุคคล เช่น พฤติกรรมการใช้โซเชียลมีเดีย, สุขภาพ, หรือการเงิน เพื่อสร้างแบบแผนพฤติกรรมของแต่ละบุคคล - **การโฆษณาแบบกำหนดเป้าหมาย:** ใช้ AI เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลและโฆษณาสินค้าหรือบริการที่ตรงกับความสนใจของผู้ใช้ ซึ่งอาจส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภค ### 2. **การควบคุมผ่านการตัดสินใจ (Decision Control)** - **ระบบแนะนำ (Recommendation Systems):** AI สามารถแนะนำทางเลือกให้กับผู้ใช้ เช่น วิดีโอที่ควรดู, สินค้าที่ควรซื้อ, หรือแม้แต่เส้นทางที่ควรเดินทาง ซึ่งอาจส่งผลต่อพฤติกรรมของผู้ใช้ - **ระบบอัตโนมัติ:** AI สามารถควบคุมระบบอัตโนมัติ เช่น รถยนต์ไร้คนขับ, ระบบจัดการพลังงานในบ้าน, หรือแม้แต่ระบบการเงินส่วนบุคคล ### 3. **การควบคุมผ่านการสื่อสาร (Communication Control)** - **แชทบอทและผู้ช่วยเสมือน:** AI สามารถใช้ในการสื่อสารกับมนุษย์ผ่านแชทบอทหรือผู้ช่วยเสมือน ซึ่งอาจถูกใช้เพื่อโน้มน้าวหรือชี้นำความคิดเห็นของผู้ใช้ - **Deepfake และการปลอมแปลงข้อมูล:** AI สามารถสร้างเนื้อหาปลอม เช่น วิดีโอหรือเสียง ที่ดูเหมือนจริง เพื่อโน้มน้าวหรือหลอกลวงผู้คน ### 4. **การควบคุมผ่านการเฝ้าระวัง (Surveillance Control)** - **การเฝ้าระวังด้วยกล้อง:** AI สามารถใช้ในการวิเคราะห์ภาพจากกล้องวงจรปิดเพื่อติดตามพฤติกรรมของบุคคล - **การวิเคราะห์เสียง:** AI สามารถวิเคราะห์เสียงเพื่อตรวจจับอารมณ์หรือความตั้งใจของบุคคล ### 5. **การควบคุมผ่านการชี้นำทางสังคม (Social Influence Control)** - **โซเชียลมีเดีย:** AI สามารถใช้ในการวิเคราะห์และชี้นำกระแสสังคมบนโซเชียลมีเดีย เพื่อสร้างความนิยมหรือลดทอนความน่าเชื่อถือของข้อมูลบางอย่าง - **การสร้างเนื้อหา:** AI สามารถสร้างเนื้อหาที่มีอิทธิพลต่อความคิดเห็นของสาธารณชน เช่น ข่าวปลอมหรือบทความโน้มน้าวใจ ### 6. **การควบคุมผ่านระบบกฎหมายและกฎระเบียบ (Legal and Regulatory Control)** - **การบังคับใช้กฎหมาย:** AI สามารถใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อบังคับใช้กฎหมาย เช่น การตรวจจับการทุจริตหรือการละเมิดกฎหมาย - **การตัดสินใจทางกฎหมาย:** AI อาจถูกใช้ในการช่วยตัดสินใจทางกฎหมาย เช่น การพิจารณาคดีหรือการให้คำแนะนำทางกฎหมาย ### 7. **การควบคุมผ่านการชี้นำทางจิตวิทยา (Psychological Influence Control)** - **การวิเคราะห์อารมณ์:** AI สามารถวิเคราะห์อารมณ์ของบุคคลผ่านการวิเคราะห์ข้อความ, เสียง, หรือภาพ เพื่อชี้นำหรือโน้มน้าวใจ - **การบำบัดด้วย AI:** AI สามารถใช้ในการบำบัดทางจิตวิทยา ซึ่งอาจส่งผลต่อความคิดและพฤติกรรมของผู้ป่วย ### 8. **การควบคุมผ่านระบบการศึกษา (Educational Control)** - **ระบบการเรียนรู้แบบปรับตัว:** AI สามารถปรับเนื้อหาการเรียนรู้ให้เหมาะกับแต่ละบุคคล ซึ่งอาจส่งผลต่อความรู้และทักษะที่ผู้เรียนได้รับ - **การประเมินผล:** AI สามารถใช้ในการประเมินผลการเรียนรู้และให้คำแนะนำเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ ### 9. **การควบคุมผ่านระบบสุขภาพ (Health Control)** - **การวินิจฉัยโรค:** AI สามารถใช้ในการวินิจฉัยโรคและแนะนำการรักษา ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ของบุคคล - **การติดตามสุขภาพ:** AI สามารถติดตามสุขภาพของบุคคลผ่านอุปกรณ์ wearable devices และให้คำแนะนำเพื่อปรับปรุงสุขภาพ ### 10. **การควบคุมผ่านระบบการเงิน (Financial Control)** - **การวิเคราะห์การเงิน:** AI สามารถวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้เงินและให้คำแนะนำทางการเงิน ซึ่งอาจส่งผลต่อการตัดสินใจทางการเงินของบุคคล - **การจัดการพอร์ตโฟลิโอ:** AI สามารถใช้ในการจัดการพอร์ตโฟลิโอการลงทุน ซึ่งอาจส่งผลต่อความมั่งคั่งของบุคคล ### จริยธรรมและความเสี่ยง การควบคุมมนุษย์ด้วย AI มีความเสี่ยงทางจริยธรรมมากมาย เช่น การละเมิดความเป็นส่วนตัว, การบังคับใช้อำนาจ, และการสร้างความไม่เท่าเทียมกันในสังคม ดังนั้น การออกแบบและใช้งาน AI ควรคำนึงถึงหลักจริยธรรมและกฎหมายเพื่อป้องกันการใช้งานในทางที่ผิด ### สรุป AI มีศักยภาพในการควบคุมมนุษย์ผ่านหลายช่องทาง ทั้งทางตรงและทางอ้อม การใช้งาน AI ควรคำนึงถึงผลกระทบทางสังคมและจริยธรรม เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดและลดความเสี่ยงต่อมนุษย์และสังคม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 192 มุมมอง 0 รีวิว
  • 👶🏻🤰🏼Plan for the Future with Confidence –
    Maternity Health Insurance for Expats in Thailand
    🏆 Covers maternity costs, Up to 400,000฿‼️

    If you're an expat living in Thailand and planning to have a baby, having **health insurance that covers maternity costs** is essential.🤱

    It ensures that you and your family receive the best medical care without worrying about unexpected expenses.

    ✨ Key Benefits of This Insurance:

    ✅ **Covers maternity costs**, including natural birth and C-sections, Up to 400,000฿
    ✅ **Comprehensive care for mother and baby**, covering during-natal medical expenses
    ✅ **Access to top hospitals across Thailand** with world-class medical standards
    ✅ **Protection against emergency medical expenses** during pregnancy
    ✅ **Designed for expats**, ensuring peace of mind throughout your pregnancy journey

    💡Why Choose Maternity Health Insurance in Thailand?
    🎈- Private hospital delivery costs can be higher than expected
    🎈- Insurance reduces financial stress, allowing you to focus on parenthood
    🎈- Assurance of receiving expert medical care

    🛡️Secure your peace of mind today!

    Contact us for more details on the best maternity coverage options for you.🧸
    🌐 FB Page: Fiamony
    💬 Line ID: @fiamony
    💬 Chat now: https://lin.ee/m0AGZsf
    🎙️ TikTok: Fiamony , (live 1 PM. Mon-Fri)

    #fiamony | #AllianzAyudhya | #maternity
    #momlife | #healthinsurance | #ExpatLiving
    #mom | #maternityinsurance | #thailand
    👶🏻🤰🏼Plan for the Future with Confidence – Maternity Health Insurance for Expats in Thailand 🏆 Covers maternity costs, Up to 400,000฿‼️ If you're an expat living in Thailand and planning to have a baby, having **health insurance that covers maternity costs** is essential.🤱 It ensures that you and your family receive the best medical care without worrying about unexpected expenses. ✨ Key Benefits of This Insurance: ✅ **Covers maternity costs**, including natural birth and C-sections, Up to 400,000฿ ✅ **Comprehensive care for mother and baby**, covering during-natal medical expenses ✅ **Access to top hospitals across Thailand** with world-class medical standards ✅ **Protection against emergency medical expenses** during pregnancy ✅ **Designed for expats**, ensuring peace of mind throughout your pregnancy journey 💡Why Choose Maternity Health Insurance in Thailand? 🎈- Private hospital delivery costs can be higher than expected 🎈- Insurance reduces financial stress, allowing you to focus on parenthood 🎈- Assurance of receiving expert medical care 🛡️Secure your peace of mind today! Contact us for more details on the best maternity coverage options for you.🧸 🌐 FB Page: Fiamony 💬 Line ID: @fiamony 💬 Chat now: https://lin.ee/m0AGZsf 🎙️ TikTok: Fiamony , (live 1 PM. Mon-Fri) #fiamony | #AllianzAyudhya | #maternity #momlife | #healthinsurance | #ExpatLiving #mom | #maternityinsurance | #thailand
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 347 มุมมอง 0 รีวิว
  • สุขภาพดี ด้วย นัตโตะ วัน-เว้น-วัน

    1. ส่งเสริมสุขภาพลำไส้ (Gut Health) เพราะอุดมไปด้วยแบคทีเรีย Bacillus subtilis ซึ่งช่วยสร้างสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้ ส่งเสริมการย่อยอาหาร และสนับสนุนระบบภูมิคุ้มกัน ไฟเบอร์ อีกทั้งวิตามิน K2 ในนัตโตะช่วยให้ลำไส้แข็งแรงและลดการอักเสบ

    2. บำรุงกระดูกและระบบไหลเวียนโลหิต (Bone & Cardiovascular Health) มี วิตามิน K2 สูง ซึ่งช่วยในการนำแคลเซียมไปสะสมในกระดูก ลดความเสี่ยงของโรคกระดูกพรุน เอนไซม์นัตโตะคิเนส (Nattokinase) ช่วยสลายลิ่มเลือด ลดความเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมองและหัวใจ

    3. ลดการอักเสบ + ชะลอวัย (Anti-Inflammatory & Longevity) สารอาหาร โพลีแซ็กคาไรด์ และโปรตีน ช่วยลดการอักเสบในร่างกาย การบริโภคนัตโตะเกี่ยวข้องกับสุขภาพที่ยืนยาว โดยสนับสนุนระบบเมตาบอลิซึมและกระบวนการฟื้นฟูเซลล์ (เช่น ลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง)
    สุขภาพดี ด้วย นัตโตะ วัน-เว้น-วัน 1. ส่งเสริมสุขภาพลำไส้ (Gut Health) เพราะอุดมไปด้วยแบคทีเรีย Bacillus subtilis ซึ่งช่วยสร้างสมดุลจุลินทรีย์ในลำไส้ ส่งเสริมการย่อยอาหาร และสนับสนุนระบบภูมิคุ้มกัน ไฟเบอร์ อีกทั้งวิตามิน K2 ในนัตโตะช่วยให้ลำไส้แข็งแรงและลดการอักเสบ 2. บำรุงกระดูกและระบบไหลเวียนโลหิต (Bone & Cardiovascular Health) มี วิตามิน K2 สูง ซึ่งช่วยในการนำแคลเซียมไปสะสมในกระดูก ลดความเสี่ยงของโรคกระดูกพรุน เอนไซม์นัตโตะคิเนส (Nattokinase) ช่วยสลายลิ่มเลือด ลดความเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมองและหัวใจ 3. ลดการอักเสบ + ชะลอวัย (Anti-Inflammatory & Longevity) สารอาหาร โพลีแซ็กคาไรด์ และโปรตีน ช่วยลดการอักเสบในร่างกาย การบริโภคนัตโตะเกี่ยวข้องกับสุขภาพที่ยืนยาว โดยสนับสนุนระบบเมตาบอลิซึมและกระบวนการฟื้นฟูเซลล์ (เช่น ลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง)
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 154 มุมมอง 0 รีวิว
  • ✨ Protect Your Health While Working in Thailand – Get the Best Insurance Coverage!

    Are you an expatriate working in Thailand?
    Ensure your peace of mind with
    our **comprehensive health insurance plans** tailored for foreigners like you!

    ### Why Choose Our Health Insurance?

    ✅ **Wide Coverage** – Covers hospitalization, outpatient care, accidents, and more
    ✅ **Cashless Medical Treatment** – Direct billing at top hospitals in Thailand
    ✅ **Flexible Plans** – Choose a package that fits your needs and budget

    💪 Don’t leave your health to chance!
    Get **affordable and reliable** health insurance today.

    👍🏻 Contact us now for a free consultation!
    🌐 FB Page: Fiamony
    💬 Line ID: @fiamony
    💬 Chat now: https://lin.ee/m0AGZsf
    🎙️ TikTok: Fiamony , (live 1 PM. Mon-Fri)

    #fiamony | #AllianzAyudhya | #healthinsurance
    #Healthcare | #ExpatLiving | #expats
    #hellothailand | #stayhealthy | #insurance
    ✨ Protect Your Health While Working in Thailand – Get the Best Insurance Coverage! Are you an expatriate working in Thailand? Ensure your peace of mind with our **comprehensive health insurance plans** tailored for foreigners like you! ### Why Choose Our Health Insurance? ✅ **Wide Coverage** – Covers hospitalization, outpatient care, accidents, and more ✅ **Cashless Medical Treatment** – Direct billing at top hospitals in Thailand ✅ **Flexible Plans** – Choose a package that fits your needs and budget 💪 Don’t leave your health to chance! Get **affordable and reliable** health insurance today. 👍🏻 Contact us now for a free consultation! 🌐 FB Page: Fiamony 💬 Line ID: @fiamony 💬 Chat now: https://lin.ee/m0AGZsf 🎙️ TikTok: Fiamony , (live 1 PM. Mon-Fri) #fiamony | #AllianzAyudhya | #healthinsurance #Healthcare | #ExpatLiving | #expats #hellothailand | #stayhealthy | #insurance
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 341 มุมมอง 0 รีวิว
  • การควบคุมมนุษย์ด้วย AI เป็นหัวข้อที่ซับซ้อนและมีประเด็นทางจริยธรรมมากมาย ซึ่งอาจนำไปสู่การใช้งานทั้งในทางที่ดีและไม่ดี ต่อไปนี้เป็นแนวคิดบางส่วนเกี่ยวกับรูปแบบการควบคุมมนุษย์ด้วย AI:

    ### 1. **การควบคุมผ่านข้อมูล (Data Control)**
    - **การเก็บข้อมูลส่วนบุคคล:** AI สามารถรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลส่วนบุคคล เช่น พฤติกรรมการใช้โซเชียลมีเดีย, สุขภาพ, หรือการเงิน เพื่อสร้างแบบแผนพฤติกรรมของแต่ละบุคคล
    - **การโฆษณาแบบกำหนดเป้าหมาย:** ใช้ AI เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลและโฆษณาสินค้าหรือบริการที่ตรงกับความสนใจของผู้ใช้ ซึ่งอาจส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภค

    ### 2. **การควบคุมผ่านการตัดสินใจ (Decision Control)**
    - **ระบบแนะนำ (Recommendation Systems):** AI สามารถแนะนำทางเลือกให้กับผู้ใช้ เช่น วิดีโอที่ควรดู, สินค้าที่ควรซื้อ, หรือแม้แต่เส้นทางที่ควรเดินทาง ซึ่งอาจส่งผลต่อพฤติกรรมของผู้ใช้
    - **ระบบอัตโนมัติ:** AI สามารถควบคุมระบบอัตโนมัติ เช่น รถยนต์ไร้คนขับ, ระบบจัดการพลังงานในบ้าน, หรือแม้แต่ระบบการเงินส่วนบุคคล

    ### 3. **การควบคุมผ่านการสื่อสาร (Communication Control)**
    - **แชทบอทและผู้ช่วยเสมือน:** AI สามารถใช้ในการสื่อสารกับมนุษย์ผ่านแชทบอทหรือผู้ช่วยเสมือน ซึ่งอาจถูกใช้เพื่อโน้มน้าวหรือชี้นำความคิดเห็นของผู้ใช้
    - **Deepfake และการปลอมแปลงข้อมูล:** AI สามารถสร้างเนื้อหาปลอม เช่น วิดีโอหรือเสียง ที่ดูเหมือนจริง เพื่อโน้มน้าวหรือหลอกลวงผู้คน

    ### 4. **การควบคุมผ่านการเฝ้าระวัง (Surveillance Control)**
    - **การเฝ้าระวังด้วยกล้อง:** AI สามารถใช้ในการวิเคราะห์ภาพจากกล้องวงจรปิดเพื่อติดตามพฤติกรรมของบุคคล
    - **การวิเคราะห์เสียง:** AI สามารถวิเคราะห์เสียงเพื่อตรวจจับอารมณ์หรือความตั้งใจของบุคคล

    ### 5. **การควบคุมผ่านการชี้นำทางสังคม (Social Influence Control)**
    - **โซเชียลมีเดีย:** AI สามารถใช้ในการวิเคราะห์และชี้นำกระแสสังคมบนโซเชียลมีเดีย เพื่อสร้างความนิยมหรือลดทอนความน่าเชื่อถือของข้อมูลบางอย่าง
    - **การสร้างเนื้อหา:** AI สามารถสร้างเนื้อหาที่มีอิทธิพลต่อความคิดเห็นของสาธารณชน เช่น ข่าวปลอมหรือบทความโน้มน้าวใจ

    ### 6. **การควบคุมผ่านระบบกฎหมายและกฎระเบียบ (Legal and Regulatory Control)**
    - **การบังคับใช้กฎหมาย:** AI สามารถใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อบังคับใช้กฎหมาย เช่น การตรวจจับการทุจริตหรือการละเมิดกฎหมาย
    - **การตัดสินใจทางกฎหมาย:** AI อาจถูกใช้ในการช่วยตัดสินใจทางกฎหมาย เช่น การพิจารณาคดีหรือการให้คำแนะนำทางกฎหมาย

    ### 7. **การควบคุมผ่านการชี้นำทางจิตวิทยา (Psychological Influence Control)**
    - **การวิเคราะห์อารมณ์:** AI สามารถวิเคราะห์อารมณ์ของบุคคลผ่านการวิเคราะห์ข้อความ, เสียง, หรือภาพ เพื่อชี้นำหรือโน้มน้าวใจ
    - **การบำบัดด้วย AI:** AI สามารถใช้ในการบำบัดทางจิตวิทยา ซึ่งอาจส่งผลต่อความคิดและพฤติกรรมของผู้ป่วย

    ### 8. **การควบคุมผ่านระบบการศึกษา (Educational Control)**
    - **ระบบการเรียนรู้แบบปรับตัว:** AI สามารถปรับเนื้อหาการเรียนรู้ให้เหมาะกับแต่ละบุคคล ซึ่งอาจส่งผลต่อความรู้และทักษะที่ผู้เรียนได้รับ
    - **การประเมินผล:** AI สามารถใช้ในการประเมินผลการเรียนรู้และให้คำแนะนำเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ

    ### 9. **การควบคุมผ่านระบบสุขภาพ (Health Control)**
    - **การวินิจฉัยโรค:** AI สามารถใช้ในการวินิจฉัยโรคและแนะนำการรักษา ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ของบุคคล
    - **การติดตามสุขภาพ:** AI สามารถติดตามสุขภาพของบุคคลผ่านอุปกรณ์ wearable devices และให้คำแนะนำเพื่อปรับปรุงสุขภาพ

    ### 10. **การควบคุมผ่านระบบการเงิน (Financial Control)**
    - **การวิเคราะห์การเงิน:** AI สามารถวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้เงินและให้คำแนะนำทางการเงิน ซึ่งอาจส่งผลต่อการตัดสินใจทางการเงินของบุคคล
    - **การจัดการพอร์ตโฟลิโอ:** AI สามารถใช้ในการจัดการพอร์ตโฟลิโอการลงทุน ซึ่งอาจส่งผลต่อความมั่งคั่งของบุคคล

    ### จริยธรรมและความเสี่ยง
    การควบคุมมนุษย์ด้วย AI มีความเสี่ยงทางจริยธรรมมากมาย เช่น การละเมิดความเป็นส่วนตัว, การบังคับใช้อำนาจ, และการสร้างความไม่เท่าเทียมกันในสังคม ดังนั้น การออกแบบและใช้งาน AI ควรคำนึงถึงหลักจริยธรรมและกฎหมายเพื่อป้องกันการใช้งานในทางที่ผิด

    ### สรุป
    AI มีศักยภาพในการควบคุมมนุษย์ผ่านหลายช่องทาง ทั้งทางตรงและทางอ้อม การใช้งาน AI ควรคำนึงถึงผลกระทบทางสังคมและจริยธรรม เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดและลดความเสี่ยงต่อมนุษย์และสังคม
    การควบคุมมนุษย์ด้วย AI เป็นหัวข้อที่ซับซ้อนและมีประเด็นทางจริยธรรมมากมาย ซึ่งอาจนำไปสู่การใช้งานทั้งในทางที่ดีและไม่ดี ต่อไปนี้เป็นแนวคิดบางส่วนเกี่ยวกับรูปแบบการควบคุมมนุษย์ด้วย AI: ### 1. **การควบคุมผ่านข้อมูล (Data Control)** - **การเก็บข้อมูลส่วนบุคคล:** AI สามารถรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลส่วนบุคคล เช่น พฤติกรรมการใช้โซเชียลมีเดีย, สุขภาพ, หรือการเงิน เพื่อสร้างแบบแผนพฤติกรรมของแต่ละบุคคล - **การโฆษณาแบบกำหนดเป้าหมาย:** ใช้ AI เพื่อวิเคราะห์ข้อมูลและโฆษณาสินค้าหรือบริการที่ตรงกับความสนใจของผู้ใช้ ซึ่งอาจส่งผลต่อการตัดสินใจของผู้บริโภค ### 2. **การควบคุมผ่านการตัดสินใจ (Decision Control)** - **ระบบแนะนำ (Recommendation Systems):** AI สามารถแนะนำทางเลือกให้กับผู้ใช้ เช่น วิดีโอที่ควรดู, สินค้าที่ควรซื้อ, หรือแม้แต่เส้นทางที่ควรเดินทาง ซึ่งอาจส่งผลต่อพฤติกรรมของผู้ใช้ - **ระบบอัตโนมัติ:** AI สามารถควบคุมระบบอัตโนมัติ เช่น รถยนต์ไร้คนขับ, ระบบจัดการพลังงานในบ้าน, หรือแม้แต่ระบบการเงินส่วนบุคคล ### 3. **การควบคุมผ่านการสื่อสาร (Communication Control)** - **แชทบอทและผู้ช่วยเสมือน:** AI สามารถใช้ในการสื่อสารกับมนุษย์ผ่านแชทบอทหรือผู้ช่วยเสมือน ซึ่งอาจถูกใช้เพื่อโน้มน้าวหรือชี้นำความคิดเห็นของผู้ใช้ - **Deepfake และการปลอมแปลงข้อมูล:** AI สามารถสร้างเนื้อหาปลอม เช่น วิดีโอหรือเสียง ที่ดูเหมือนจริง เพื่อโน้มน้าวหรือหลอกลวงผู้คน ### 4. **การควบคุมผ่านการเฝ้าระวัง (Surveillance Control)** - **การเฝ้าระวังด้วยกล้อง:** AI สามารถใช้ในการวิเคราะห์ภาพจากกล้องวงจรปิดเพื่อติดตามพฤติกรรมของบุคคล - **การวิเคราะห์เสียง:** AI สามารถวิเคราะห์เสียงเพื่อตรวจจับอารมณ์หรือความตั้งใจของบุคคล ### 5. **การควบคุมผ่านการชี้นำทางสังคม (Social Influence Control)** - **โซเชียลมีเดีย:** AI สามารถใช้ในการวิเคราะห์และชี้นำกระแสสังคมบนโซเชียลมีเดีย เพื่อสร้างความนิยมหรือลดทอนความน่าเชื่อถือของข้อมูลบางอย่าง - **การสร้างเนื้อหา:** AI สามารถสร้างเนื้อหาที่มีอิทธิพลต่อความคิดเห็นของสาธารณชน เช่น ข่าวปลอมหรือบทความโน้มน้าวใจ ### 6. **การควบคุมผ่านระบบกฎหมายและกฎระเบียบ (Legal and Regulatory Control)** - **การบังคับใช้กฎหมาย:** AI สามารถใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อบังคับใช้กฎหมาย เช่น การตรวจจับการทุจริตหรือการละเมิดกฎหมาย - **การตัดสินใจทางกฎหมาย:** AI อาจถูกใช้ในการช่วยตัดสินใจทางกฎหมาย เช่น การพิจารณาคดีหรือการให้คำแนะนำทางกฎหมาย ### 7. **การควบคุมผ่านการชี้นำทางจิตวิทยา (Psychological Influence Control)** - **การวิเคราะห์อารมณ์:** AI สามารถวิเคราะห์อารมณ์ของบุคคลผ่านการวิเคราะห์ข้อความ, เสียง, หรือภาพ เพื่อชี้นำหรือโน้มน้าวใจ - **การบำบัดด้วย AI:** AI สามารถใช้ในการบำบัดทางจิตวิทยา ซึ่งอาจส่งผลต่อความคิดและพฤติกรรมของผู้ป่วย ### 8. **การควบคุมผ่านระบบการศึกษา (Educational Control)** - **ระบบการเรียนรู้แบบปรับตัว:** AI สามารถปรับเนื้อหาการเรียนรู้ให้เหมาะกับแต่ละบุคคล ซึ่งอาจส่งผลต่อความรู้และทักษะที่ผู้เรียนได้รับ - **การประเมินผล:** AI สามารถใช้ในการประเมินผลการเรียนรู้และให้คำแนะนำเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพ ### 9. **การควบคุมผ่านระบบสุขภาพ (Health Control)** - **การวินิจฉัยโรค:** AI สามารถใช้ในการวินิจฉัยโรคและแนะนำการรักษา ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพและความเป็นอยู่ของบุคคล - **การติดตามสุขภาพ:** AI สามารถติดตามสุขภาพของบุคคลผ่านอุปกรณ์ wearable devices และให้คำแนะนำเพื่อปรับปรุงสุขภาพ ### 10. **การควบคุมผ่านระบบการเงิน (Financial Control)** - **การวิเคราะห์การเงิน:** AI สามารถวิเคราะห์พฤติกรรมการใช้เงินและให้คำแนะนำทางการเงิน ซึ่งอาจส่งผลต่อการตัดสินใจทางการเงินของบุคคล - **การจัดการพอร์ตโฟลิโอ:** AI สามารถใช้ในการจัดการพอร์ตโฟลิโอการลงทุน ซึ่งอาจส่งผลต่อความมั่งคั่งของบุคคล ### จริยธรรมและความเสี่ยง การควบคุมมนุษย์ด้วย AI มีความเสี่ยงทางจริยธรรมมากมาย เช่น การละเมิดความเป็นส่วนตัว, การบังคับใช้อำนาจ, และการสร้างความไม่เท่าเทียมกันในสังคม ดังนั้น การออกแบบและใช้งาน AI ควรคำนึงถึงหลักจริยธรรมและกฎหมายเพื่อป้องกันการใช้งานในทางที่ผิด ### สรุป AI มีศักยภาพในการควบคุมมนุษย์ผ่านหลายช่องทาง ทั้งทางตรงและทางอ้อม การใช้งาน AI ควรคำนึงถึงผลกระทบทางสังคมและจริยธรรม เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดและลดความเสี่ยงต่อมนุษย์และสังคม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 235 มุมมอง 0 รีวิว
  • Stay Protected in Thailand with the Right Health Insurance! ⛑️🇹🇭

    Living in Thailand is an amazing experience, but unexpected health issues can disrupt your plans. Don't leave your well-being to chance—

    Get comprehensive health insurance that ensures peace of mind and hassle-free medical care.

    ✅ **Coverage for medical emergencies & hospital stays**
    ✅ **Outpatient & specialist treatments**
    ✅ **Access to top hospitals & clinics in Thailand**
    ✅ **Cashless claims & fast support**

    Whether you're an expat, digital nomad, or retiree,
    we have plans tailored just for you. 📊

    🌟 Let us help you stay safe and enjoy your life in Thailand worry-free!

    📩 Contact us today for a free consultation!
    🌐 FB Page: Fiamony
    💬 Line ID: @fiamony
    💬 Chat now: https://lin.ee/m0AGZsf
    🎙️ TikTok: Fiamony , (live 1 PM. Mon-Fri)

    #fiamony | #AllianzAyudhya | #healthinsurance
    #Healthcare | #ExpatLiving | #expats
    #hellothailand | #stayhealthy | #insurance
    Stay Protected in Thailand with the Right Health Insurance! ⛑️🇹🇭 Living in Thailand is an amazing experience, but unexpected health issues can disrupt your plans. Don't leave your well-being to chance— Get comprehensive health insurance that ensures peace of mind and hassle-free medical care. ✅ **Coverage for medical emergencies & hospital stays** ✅ **Outpatient & specialist treatments** ✅ **Access to top hospitals & clinics in Thailand** ✅ **Cashless claims & fast support** Whether you're an expat, digital nomad, or retiree, we have plans tailored just for you. 📊 🌟 Let us help you stay safe and enjoy your life in Thailand worry-free! 📩 Contact us today for a free consultation! 🌐 FB Page: Fiamony 💬 Line ID: @fiamony 💬 Chat now: https://lin.ee/m0AGZsf 🎙️ TikTok: Fiamony , (live 1 PM. Mon-Fri) #fiamony | #AllianzAyudhya | #healthinsurance #Healthcare | #ExpatLiving | #expats #hellothailand | #stayhealthy | #insurance
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 358 มุมมอง 0 รีวิว
  • 📢 เปิดตัวเพจใหม่! สำหรับผู้ชายวัย 45 ปีขึ้นไปที่อยากดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ฟิตเต็มร้อย ไม่มีหมดไฟ! 💪🔥
    .
    👨‍⚕️ "Healthy Man 45+" คือพื้นที่สำหรับผู้ชายวัยทองและวัยเก๋าที่ต้องการดูแลตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น...
    ✅ เคล็ดลับสุขภาพวัย 45+
    ✅ อาหารเสริมสร้างร่างกาย
    ✅ ออกกำลังกายให้เหมาะกับวัย
    ✅ ปัญหาสุขภาพชาย เช่น ความดัน เบาหวาน หัวใจ
    ✅ ฮอร์โมนชาย วัยทอง และการฟื้นฟูพลังงาน
    ✅ วิธีป้องกันอาการปวดข้อ ปวดหลัง และเสื่อมสมรรถภาพ
    .
    🎯 เป้าหมายของเรา: ช่วยให้ผู้ชายวัย 45+ ใช้ชีวิตอย่างแข็งแรง มีพลัง และดูดีได้ตลอด!
    .
    📌 กดติดตามเพจเลย! แล้วมาเป็น Healthy Man ไปด้วยกันครับ 💙💪 #สุขภาพดีไม่มีหมดไฟ #สุขภาพผู้ชาย 💪
    #วัยทองต้องStrong 🔥
    #ฟิตแข็งแรง45plus 🏋️‍♂️
    #ดูแลสุขภาพง่ายๆ 🌿
    #พลังชายไม่มีหมดไฟ
    📢 เปิดตัวเพจใหม่! สำหรับผู้ชายวัย 45 ปีขึ้นไปที่อยากดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ฟิตเต็มร้อย ไม่มีหมดไฟ! 💪🔥 . 👨‍⚕️ "Healthy Man 45+" คือพื้นที่สำหรับผู้ชายวัยทองและวัยเก๋าที่ต้องการดูแลตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น... ✅ เคล็ดลับสุขภาพวัย 45+ ✅ อาหารเสริมสร้างร่างกาย ✅ ออกกำลังกายให้เหมาะกับวัย ✅ ปัญหาสุขภาพชาย เช่น ความดัน เบาหวาน หัวใจ ✅ ฮอร์โมนชาย วัยทอง และการฟื้นฟูพลังงาน ✅ วิธีป้องกันอาการปวดข้อ ปวดหลัง และเสื่อมสมรรถภาพ . 🎯 เป้าหมายของเรา: ช่วยให้ผู้ชายวัย 45+ ใช้ชีวิตอย่างแข็งแรง มีพลัง และดูดีได้ตลอด! . 📌 กดติดตามเพจเลย! แล้วมาเป็น Healthy Man ไปด้วยกันครับ 💙💪 #สุขภาพดีไม่มีหมดไฟ #สุขภาพผู้ชาย 💪 #วัยทองต้องStrong 🔥 #ฟิตแข็งแรง45plus 🏋️‍♂️ #ดูแลสุขภาพง่ายๆ 🌿 #พลังชายไม่มีหมดไฟ ⚡
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 318 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทำไมโรคอ้วน เบาหวานและไขมันพอกตับถึงถามหา?
    สาเหตุอาจซ่อนอยู่ใน “ภาวะดื้ออินซูลิน” ที่ร่างกายไม่ตอบสนองต่ออินซูลินอย่างเหมาะสม! 😱
    ถ้าปล่อยไว้ ไม่เพียงแค่ระดับน้ำตาลพุ่ง แต่ยังเพิ่มความเสี่ยงโรคเรื้อรังอีกเพียบ! มาเริ่มต้นปรับพฤติกรรม ดูแลสุขภาพกันเถอะ 💪
    Why are obesity, diabetes, and fatty liver disease knocking on your door?
    The cause might be hidden in "insulin resistance"—when your body doesn’t respond to insulin properly! 😱
    If left unchecked, not only will your blood sugar spike, but it also increases the risk of chronic diseases! Let’s start adjusting our habits and take better care of our health today! 💪

    #ดื้ออินซูลิน #ลดน้ำตาล #สุขภาพดี #ลดไขมันพอกตับ #เบาหวาน #ดูแลสุขภาพ #คุมน้ำตาล #ภาวะดื้ออินซูลิน #insulinresistance #feelgreat #joeyoungfit
    ทำไมโรคอ้วน เบาหวานและไขมันพอกตับถึงถามหา? สาเหตุอาจซ่อนอยู่ใน “ภาวะดื้ออินซูลิน” ที่ร่างกายไม่ตอบสนองต่ออินซูลินอย่างเหมาะสม! 😱 ถ้าปล่อยไว้ ไม่เพียงแค่ระดับน้ำตาลพุ่ง แต่ยังเพิ่มความเสี่ยงโรคเรื้อรังอีกเพียบ! มาเริ่มต้นปรับพฤติกรรม ดูแลสุขภาพกันเถอะ 💪 Why are obesity, diabetes, and fatty liver disease knocking on your door? The cause might be hidden in "insulin resistance"—when your body doesn’t respond to insulin properly! 😱 If left unchecked, not only will your blood sugar spike, but it also increases the risk of chronic diseases! Let’s start adjusting our habits and take better care of our health today! 💪 #ดื้ออินซูลิน #ลดน้ำตาล #สุขภาพดี #ลดไขมันพอกตับ #เบาหวาน #ดูแลสุขภาพ #คุมน้ำตาล #ภาวะดื้ออินซูลิน #insulinresistance #feelgreat #joeyoungfit
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 455 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทำไมโรคอ้วน เบาหวานและไขมันพอกตับถึงถามหา?
    สาเหตุอาจซ่อนอยู่ใน “ภาวะดื้ออินซูลิน” ที่ร่างกายไม่ตอบสนองต่ออินซูลินอย่างเหมาะสม! 😱
    ถ้าปล่อยไว้ ไม่เพียงแค่ระดับน้ำตาลพุ่ง แต่ยังเพิ่มความเสี่ยงโรคเรื้อรังอีกเพียบ! มาเริ่มต้นปรับพฤติกรรม ดูแลสุขภาพกันเถอะ 💪
    Why are obesity, diabetes, and fatty liver disease knocking on your door?
    The cause might be hidden in "insulin resistance"—when your body doesn’t respond to insulin properly! 😱
    If left unchecked, not only will your blood sugar spike, but it also increases the risk of chronic diseases! Let’s start adjusting our habits and take better care of our health today! 💪
    #ดื้ออินซูลิน #ลดน้ำตาล #สุขภาพดี #ลดไขมันพอกตับ #เบาหวาน #ดูแลสุขภาพ #คุมน้ำตาล #ภาวะดื้ออินซูลิน #insulinresistance #feelgreat #InsulinResistance #LowerBloodSugar #HealthyLiving #ReduceFattyLiver #Diabetes #HealthCare #BloodSugarControl #InsulinResistanceAwareness #FeelGreat
    ทำไมโรคอ้วน เบาหวานและไขมันพอกตับถึงถามหา? สาเหตุอาจซ่อนอยู่ใน “ภาวะดื้ออินซูลิน” ที่ร่างกายไม่ตอบสนองต่ออินซูลินอย่างเหมาะสม! 😱 ถ้าปล่อยไว้ ไม่เพียงแค่ระดับน้ำตาลพุ่ง แต่ยังเพิ่มความเสี่ยงโรคเรื้อรังอีกเพียบ! มาเริ่มต้นปรับพฤติกรรม ดูแลสุขภาพกันเถอะ 💪 Why are obesity, diabetes, and fatty liver disease knocking on your door? The cause might be hidden in "insulin resistance"—when your body doesn’t respond to insulin properly! 😱 If left unchecked, not only will your blood sugar spike, but it also increases the risk of chronic diseases! Let’s start adjusting our habits and take better care of our health today! 💪 #ดื้ออินซูลิน #ลดน้ำตาล #สุขภาพดี #ลดไขมันพอกตับ #เบาหวาน #ดูแลสุขภาพ #คุมน้ำตาล #ภาวะดื้ออินซูลิน #insulinresistance #feelgreat #InsulinResistance #LowerBloodSugar #HealthyLiving #ReduceFattyLiver #Diabetes #HealthCare #BloodSugarControl #InsulinResistanceAwareness #FeelGreat
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 544 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทำไมโรคอ้วน เบาหวานและไขมันพอกตับถึงถามหา?
    สาเหตุอาจซ่อนอยู่ใน “ภาวะดื้ออินซูลิน” ที่ร่างกายไม่ตอบสนองต่ออินซูลินอย่างเหมาะสม! 😱
    ถ้าปล่อยไว้ ไม่เพียงแค่ระดับน้ำตาลพุ่ง แต่ยังเพิ่มความเสี่ยงโรคเรื้อรังอีกเพียบ! มาเริ่มต้นปรับพฤติกรรม ดูแลสุขภาพกันเถอะ 💪
    Why are obesity, diabetes, and fatty liver disease knocking on your door?
    The cause might be hidden in "insulin resistance"—when your body doesn’t respond to insulin properly! 😱
    If left unchecked, not only will your blood sugar spike, but it also increases the risk of chronic diseases! Let’s start adjusting our habits and take better care of our health today! 💪
    #ดื้ออินซูลิน #ลดน้ำตาล #สุขภาพดี #ลดไขมันพอกตับ #เบาหวาน #ดูแลสุขภาพ #คุมน้ำตาล #ภาวะดื้ออินซูลิน #insulinresistance #feelgreat #InsulinResistance #LowerBloodSugar #HealthyLiving #ReduceFattyLiver #Diabetes #HealthCare #BloodSugarControl #InsulinResistanceAwareness #FeelGreat
    ทำไมโรคอ้วน เบาหวานและไขมันพอกตับถึงถามหา? สาเหตุอาจซ่อนอยู่ใน “ภาวะดื้ออินซูลิน” ที่ร่างกายไม่ตอบสนองต่ออินซูลินอย่างเหมาะสม! 😱 ถ้าปล่อยไว้ ไม่เพียงแค่ระดับน้ำตาลพุ่ง แต่ยังเพิ่มความเสี่ยงโรคเรื้อรังอีกเพียบ! มาเริ่มต้นปรับพฤติกรรม ดูแลสุขภาพกันเถอะ 💪 Why are obesity, diabetes, and fatty liver disease knocking on your door? The cause might be hidden in "insulin resistance"—when your body doesn’t respond to insulin properly! 😱 If left unchecked, not only will your blood sugar spike, but it also increases the risk of chronic diseases! Let’s start adjusting our habits and take better care of our health today! 💪 #ดื้ออินซูลิน #ลดน้ำตาล #สุขภาพดี #ลดไขมันพอกตับ #เบาหวาน #ดูแลสุขภาพ #คุมน้ำตาล #ภาวะดื้ออินซูลิน #insulinresistance #feelgreat #InsulinResistance #LowerBloodSugar #HealthyLiving #ReduceFattyLiver #Diabetes #HealthCare #BloodSugarControl #InsulinResistanceAwareness #FeelGreat
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 540 มุมมอง 0 รีวิว
  • กองเรือยุทธการร่วมกับชมรมภริยากองเรือยุทธการดำเนินกิจกรรมตามโครงการ “Better Home Better Health” ดังนี้
    วันศุกร์ที่ ๓๑ ม.ค.๖๘ เวลา ๑๓๓๐ – ๑๕๐๐
    กองเรือยุทธการ ชมรมภริยากองเรือยุทธการ ร่วมกับคลินิกศูนย์เวชศาสตร์ครองครัว กร. ฯ ดำเนินกิจกรรมเยี่ยมบ้านผู้ป่วยติดเตียง ผู้สูงอายุ ในชุมชนบ้านพักกองเรือยุทธการ โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อเป็นการสร้างขวัญกำลังใจให้แก่กำลังพล และครอบครัว รวมทั้งได้มีการมอบของใช้ที่จำเป็น เข้าพบปะพูดคุยให้กำลังใจและให้คำแนะนำ รับทราบปัญหา เพื่อให้การช่วยเหลือได้อย่างถูกต้องเหมาะสม
    ในการนี้ได้มีการดำเนินการร่วมกับ อสม. หมู่ 2 เข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าวด้วย
    กิจกรรมนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Better Home Better Health ในด้าน Good Health เพื่อให้กำลังพลและครอบครัวมีคุณภาพชีวิตที่ดีต่อไป
    กองเรือยุทธการร่วมกับชมรมภริยากองเรือยุทธการดำเนินกิจกรรมตามโครงการ “Better Home Better Health” ดังนี้ วันศุกร์ที่ ๓๑ ม.ค.๖๘ เวลา ๑๓๓๐ – ๑๕๐๐ กองเรือยุทธการ ชมรมภริยากองเรือยุทธการ ร่วมกับคลินิกศูนย์เวชศาสตร์ครองครัว กร. ฯ ดำเนินกิจกรรมเยี่ยมบ้านผู้ป่วยติดเตียง ผู้สูงอายุ ในชุมชนบ้านพักกองเรือยุทธการ โดยมีวัตถุประสงค์ เพื่อเป็นการสร้างขวัญกำลังใจให้แก่กำลังพล และครอบครัว รวมทั้งได้มีการมอบของใช้ที่จำเป็น เข้าพบปะพูดคุยให้กำลังใจและให้คำแนะนำ รับทราบปัญหา เพื่อให้การช่วยเหลือได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ในการนี้ได้มีการดำเนินการร่วมกับ อสม. หมู่ 2 เข้าร่วมกิจกรรมดังกล่าวด้วย กิจกรรมนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ Better Home Better Health ในด้าน Good Health เพื่อให้กำลังพลและครอบครัวมีคุณภาพชีวิตที่ดีต่อไป
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 174 มุมมอง 0 รีวิว
  • ที่เห็นเมื่อเช้า หมอกหรือควัน? เกือบ 100% บอกว่าฝุ่น แอดภาวนาขอให้เป็นหมอกธรรมชาติ ไม่ใช่สิ่งที่ดูคล้ายหมอกเช่นที่เกิดในอังกฤษและอเมริกาหลายวันก่อน (แน่นอนว่าโดรนไม่มาไกล แต่ถ้าเครื่องบินอาจจะขึ้นแถวๆประเทศเพื่อนบ้านหรือบ้านเราเอง ซึ่งเป็นสมาชิก WEF หรือ สมาชิก UN)

    บรรยากาศไม่ต่างจากเริ่มระบอบโควิด ทรัมป์ก้าวขึ้นฯ ช่วงปีใหม่จีน แล้วเครื่องบินก็บรรทุกผู้โดยสาร 232 (เลขฟรีเมสัน) คนไปอเมริกา #ระบอบโควิด เริ่มต้น พร้อมกันนั้น ทรัมป์ สั่ง #ล๊อคและโหลด #ล๊อคแล้วโหลด (คำพูดทรัมป์) และเริ่มต้นโปรเจค วาปสปีด!! ซึ่งตอนนี้ เป็นวาปสปีด 2.0 หรือโปรแกรม AI ฉีดวัคซีนให้มนุษย์โดยแบ่งแยกเป็นรายบุคคล ทั่วโลก โดยมีศูนย์ปฏิบัติงานใน อเมริกา https://www.facebook.com/SIGNSOFTHEENDTIME/posts/pfbid02FfUvQFLYrYtC1jSAHMBbhr9gvGjVk3N1xUMwBQ6k8R8Sr8Loj2yMnFpQp8JxexBEl
    ตอนนี้ไข้หวัดนกกำลังระบาดเพิ่มมากขึ้นใน อังกฤษและสกอตแลนด์ ต่อจากสหรัฐฯ https://www.gbnews.com/health/bird-flu-outbreak-england-scotland-biosecurity-zone

    *มีข่าวว่าทรัมป์จะกลับเข้าอ้อมกอด WEF เหมือนเดิม? (ตดยังไม่หายเหม็น แอดเขียนโพสเมื่อวานยังไม่จบเลย)

    หมอก ควัน ฝุ่น แยกด้วยตาเนื้อยาก แต่ถ้าใจคิดว่าฝุ่น ก็จะเชื่อว่าเป็นฝุ่นตามที่สื่อทีวี หมอย ย..ง เคยบอกเล่า ..
    เช่นเดียวกับ อะไรไวรัส อะไรคือทดสอบเท็จ อะไรอยู่ในกระบอกวัคซีน ประชาชนทั่วไปใครจะรู้ ถ้าไม่พิจารณา ไม่ติดตามข่าวหลังฉาก ถ้ามัวแต่ตามสื่อหลัก ฟังความผู้นำ คงต้องเดินเข้าคอกให้เขาเชือด แล้วฉีดวัคซวย ฉนั้นแล้ว การพิจารณาเพื่อให้ได้ความจริง เพื่อรอด มันค่อนข้างยาก แอดเองก็แยกยาก พวกเขาสับหลอกจนตาลาย!

    จากที่แอดเคยเดาว่ากมาลาจะขึ้นนำชั่วครู่แล้วทรัมป์จะกลับมาทวงบัลลังคืนในช่วงสงครามกลางเมือง
    เคยเดาว่าหลังจากประชาชนรู้ความจริงเกี่ยวกับโควิด พวกเขาจะโกรธ และลงถนนร่วมกันทำลายกันและกัน ซึ่งเรารู้จักใน แผน #แบ่งแยกและพิชิต ของฟรีเมสัน https://www.facebook.com/SIGNSOFTHEENDTIME/posts/pfbid02xXLmG95xUX6NS4DVUXgnVW24MH2hgC9swPYo7yiNfAmDaX99FTHCsfuYbgJkxe3el
    แต่เห็นแล้วว่าทรัม์ขึ้นนำและยังไม่มีสงครามกลางเมือง แต่การเปิดเผยของทรัมป์เรื่องโลกาภิวัตน์ WEF ถูกต้องแล้วส่วนหนึ่ง แต่คน ประชาชนยังไม่โกรธ ไม่ตื่น - ในบ้านเรา หมอ อรรถพล บอกว่า องค์กรส่งเสริมวัคซีน ทำได้แค่ ไบ้กิน!? https://www.facebook.com/groups/374786411903689/posts/616390454409949/ หมายถึงจนมุมด้วยหลักฐาน เพราะทรัมป์ เล่นทุบหม้อข้าวตนเอง ลูกหาบหรือจะรับไม้ทัน อึ้่งกิมกี่สิพี่น้อง

    ทรัมป์จะออกจาก WEF ออกจาก WHO จริงหรือในสายตาสื่อหลักสำหรับหลอกแกะ ต้องตามข่าว แต่สำหรับแอดมิน พวกเขาแค่สร้างฉากให้หลง พวกเขายังจูบปากกันเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือ ทรัมป์กำลังเร่งทำงานสนองตอบยิวไซออนิสต์ สนองตอบนายธนาคารโลก ร่วมวงชาวโลกาภิวัตน์ พวกเขาคือรัฐบาลโลก และ ทรัมป์กำลังจะกลับไปตะวันออกกลาง เพื่อสร้าง #มหานครอิสราเอล

    ข่าวล่าสุด: ทรัมป์กล่าวว่าเขากำลังกดดันจอร์แดนและอียิปต์ให้รับชาวปาเลสไตน์จากฉนวนกาซา ซึ่งเป็นแผน "เพื่อทำความสะอาด" ดินแดนดังกล่าว AP รายงาน
    ทรัม์กล่าวว่า "ฉันได้พูดคุยกับกษัตริย์แห่งจอร์แดนเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการย้ายชาวกาซาไปยังประเทศเพื่อนบ้าน" "ผมบอกเขาให้รับคนเพิ่มเพราะฉนวนกาซากำลังมีปัญหาหนักมาก ผมอยากให้อียิปต์รับคนเพิ่มด้วย และผมจะคุยกับอัลซิซีพรุ่งนี้" ... 5555 แอดขอหัวเราะก่อน นี่ทรัม์แกล้งพูดใช่ไหม เพราะแผนการไล่ต้อนชาวปาเลสไตน์ไบยังซีนาย หรือ ไซนาย พวกเขาร่วมกันดำเนินการตั้งแต่สมัยแรกของเขา (เช่นเดียวกับการผนวกเกาะไอสแลนด์ เอ๊ย กรีนแลนด์ แคนาดา แมกซิโก)

    ชวาป และ รัฐปีกย่อย (ปีก ปีกซาตาน รัฐปีกย่อย หมายถึง สาขาของรัฐบาลโลก) พวกเขากำลังประชุมอย่างซิ้ดซ้าด!!! : ซิ้ดดดด จะไม่ซิ้ดได้ยังไง แต่ละคนสั่งสาวบริการเน้นประตูหลัง ลองค้นหาข่าวด้วยภาพด้านล่างดูสิ สั่นเลยล่ะ .. แล้วจะรู้ว่าชวาป เล่นละครกับทรัมป์กันถึงพริกถึงขิงแค่ไหน

    รู้หรือไม่ การฉีดวัคซวย หมายถึงการฉีด งู เข้าไในร่างกายในสายตาชาวโลกาภิวัตน์ (ง่าย ๆ ดูโลโก้องค์กรคะยั้นคะยอให้รับวัคซีน)

    *เอาไว้เราค่อยติดตามโปรเจค วาปสปีด 2.0 ซึ่งมีเค้าลางเกี่ยวกับการคอลโทรลมนุษย์ผ่านดีเอ็นเอ ที่เก็บไว้แล้วของทนุษย์ทั่วโลก
    "#สตาร์เกต" #Stargate

    แอดเกือบลมพูดถึงสัญลักษณ์ข้างหลังทรัมป์ สัญลักษณ์ที่ ชัดเจนสำหรับสงคราม สุนทรพจน์ของทรัมป์ต่อฟอรัมเศรษฐกิจโลก (WEF)
    ตราประทับของสหรัฐอเมริกาจะมี 2 แบบ คือ
    1. แบบที่ใช้ในยามสงบ และ
    2. แบบที่ใช้ในยามสงคราม
    ในช่วงสงบ หัวของนกอินทรีจะหันไปทางซ้ายของพวกเรา ไปทางกิ่งมะกอก ตรงที่เราเห็นเป็นกรงเล็บด้านซ้าย
    ในช่วงสงคราม หัวของอินทรีจะหันไปทางขวาของพวกเรา ไปทางลูกศรแห่งสงคราม ซึ่งพวกเราเห็นว่าเป็น Talon ทางขวา

    บนโพเดียมที่ทรัมป์พูด หัวของอินทรีหันไปทางซ้ายของเรา: สันติภาพ
    แต่ในเวลาเดียวกันนั้น ภาพอินทรีบนจอภาพขนาดยักษ์ด้านหลังเขา แสดงให้เห็นหัวอินทรีหันไปทางสิ่งที่เราเห็น คงไม่ใช่อะไรอื่น ทรัมป์และอเมริกากำลังจะมีสงคราม (สงครามกับใครคือคำถาม)

    "ชนชั้นยอด" มักจะใช้สัญลักษณ์เพื่อสื่อสารข้อความถึงกัน พวกเขายังกล่าวอีกว่า "ชนชั้นสูง" ใช้สัญลักษณ์เหล่านี้เพื่อล้อเลียนคนอเมริกันซึ่งพวกเขามองว่าโง่เขลา

    ซีรีส์ทางโทรทัศน์ชื่อดังอย่าง “West Wing” ยังได้พูดถึงประเด็นนี้ในตอนหนึ่งด้วย นี่คือคลิปวิดีโอที่เกี่ยวข้อง: https://youtu.be/1qkLXiuEUdE

    ทรัมป์และอเมริกาจะทำสงครามกับใคร อิหร่าน หรือรัสเซีย หรือ สงครามกับระชาชน
    ที่เห็นเมื่อเช้า หมอกหรือควัน? เกือบ 100% บอกว่าฝุ่น แอดภาวนาขอให้เป็นหมอกธรรมชาติ ไม่ใช่สิ่งที่ดูคล้ายหมอกเช่นที่เกิดในอังกฤษและอเมริกาหลายวันก่อน (แน่นอนว่าโดรนไม่มาไกล แต่ถ้าเครื่องบินอาจจะขึ้นแถวๆประเทศเพื่อนบ้านหรือบ้านเราเอง ซึ่งเป็นสมาชิก WEF หรือ สมาชิก UN) บรรยากาศไม่ต่างจากเริ่มระบอบโควิด ทรัมป์ก้าวขึ้นฯ ช่วงปีใหม่จีน แล้วเครื่องบินก็บรรทุกผู้โดยสาร 232 (เลขฟรีเมสัน) คนไปอเมริกา #ระบอบโควิด เริ่มต้น พร้อมกันนั้น ทรัมป์ สั่ง #ล๊อคและโหลด #ล๊อคแล้วโหลด (คำพูดทรัมป์) และเริ่มต้นโปรเจค วาปสปีด!! ซึ่งตอนนี้ เป็นวาปสปีด 2.0 หรือโปรแกรม AI ฉีดวัคซีนให้มนุษย์โดยแบ่งแยกเป็นรายบุคคล ทั่วโลก โดยมีศูนย์ปฏิบัติงานใน อเมริกา https://www.facebook.com/SIGNSOFTHEENDTIME/posts/pfbid02FfUvQFLYrYtC1jSAHMBbhr9gvGjVk3N1xUMwBQ6k8R8Sr8Loj2yMnFpQp8JxexBEl ตอนนี้ไข้หวัดนกกำลังระบาดเพิ่มมากขึ้นใน อังกฤษและสกอตแลนด์ ต่อจากสหรัฐฯ https://www.gbnews.com/health/bird-flu-outbreak-england-scotland-biosecurity-zone *มีข่าวว่าทรัมป์จะกลับเข้าอ้อมกอด WEF เหมือนเดิม? (ตดยังไม่หายเหม็น แอดเขียนโพสเมื่อวานยังไม่จบเลย) หมอก ควัน ฝุ่น แยกด้วยตาเนื้อยาก แต่ถ้าใจคิดว่าฝุ่น ก็จะเชื่อว่าเป็นฝุ่นตามที่สื่อทีวี หมอย ย..ง เคยบอกเล่า .. เช่นเดียวกับ อะไรไวรัส อะไรคือทดสอบเท็จ อะไรอยู่ในกระบอกวัคซีน ประชาชนทั่วไปใครจะรู้ ถ้าไม่พิจารณา ไม่ติดตามข่าวหลังฉาก ถ้ามัวแต่ตามสื่อหลัก ฟังความผู้นำ คงต้องเดินเข้าคอกให้เขาเชือด แล้วฉีดวัคซวย ฉนั้นแล้ว การพิจารณาเพื่อให้ได้ความจริง เพื่อรอด มันค่อนข้างยาก แอดเองก็แยกยาก พวกเขาสับหลอกจนตาลาย! จากที่แอดเคยเดาว่ากมาลาจะขึ้นนำชั่วครู่แล้วทรัมป์จะกลับมาทวงบัลลังคืนในช่วงสงครามกลางเมือง เคยเดาว่าหลังจากประชาชนรู้ความจริงเกี่ยวกับโควิด พวกเขาจะโกรธ และลงถนนร่วมกันทำลายกันและกัน ซึ่งเรารู้จักใน แผน #แบ่งแยกและพิชิต ของฟรีเมสัน https://www.facebook.com/SIGNSOFTHEENDTIME/posts/pfbid02xXLmG95xUX6NS4DVUXgnVW24MH2hgC9swPYo7yiNfAmDaX99FTHCsfuYbgJkxe3el แต่เห็นแล้วว่าทรัม์ขึ้นนำและยังไม่มีสงครามกลางเมือง แต่การเปิดเผยของทรัมป์เรื่องโลกาภิวัตน์ WEF ถูกต้องแล้วส่วนหนึ่ง แต่คน ประชาชนยังไม่โกรธ ไม่ตื่น - ในบ้านเรา หมอ อรรถพล บอกว่า องค์กรส่งเสริมวัคซีน ทำได้แค่ ไบ้กิน!? https://www.facebook.com/groups/374786411903689/posts/616390454409949/ หมายถึงจนมุมด้วยหลักฐาน เพราะทรัมป์ เล่นทุบหม้อข้าวตนเอง ลูกหาบหรือจะรับไม้ทัน อึ้่งกิมกี่สิพี่น้อง ทรัมป์จะออกจาก WEF ออกจาก WHO จริงหรือในสายตาสื่อหลักสำหรับหลอกแกะ ต้องตามข่าว แต่สำหรับแอดมิน พวกเขาแค่สร้างฉากให้หลง พวกเขายังจูบปากกันเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือ ทรัมป์กำลังเร่งทำงานสนองตอบยิวไซออนิสต์ สนองตอบนายธนาคารโลก ร่วมวงชาวโลกาภิวัตน์ พวกเขาคือรัฐบาลโลก และ ทรัมป์กำลังจะกลับไปตะวันออกกลาง เพื่อสร้าง #มหานครอิสราเอล ข่าวล่าสุด: ทรัมป์กล่าวว่าเขากำลังกดดันจอร์แดนและอียิปต์ให้รับชาวปาเลสไตน์จากฉนวนกาซา ซึ่งเป็นแผน "เพื่อทำความสะอาด" ดินแดนดังกล่าว AP รายงาน ทรัม์กล่าวว่า "ฉันได้พูดคุยกับกษัตริย์แห่งจอร์แดนเกี่ยวกับความเป็นไปได้ในการย้ายชาวกาซาไปยังประเทศเพื่อนบ้าน" "ผมบอกเขาให้รับคนเพิ่มเพราะฉนวนกาซากำลังมีปัญหาหนักมาก ผมอยากให้อียิปต์รับคนเพิ่มด้วย และผมจะคุยกับอัลซิซีพรุ่งนี้" ... 5555 แอดขอหัวเราะก่อน นี่ทรัม์แกล้งพูดใช่ไหม เพราะแผนการไล่ต้อนชาวปาเลสไตน์ไบยังซีนาย หรือ ไซนาย พวกเขาร่วมกันดำเนินการตั้งแต่สมัยแรกของเขา (เช่นเดียวกับการผนวกเกาะไอสแลนด์ เอ๊ย กรีนแลนด์ แคนาดา แมกซิโก) ชวาป และ รัฐปีกย่อย (ปีก ปีกซาตาน รัฐปีกย่อย หมายถึง สาขาของรัฐบาลโลก) พวกเขากำลังประชุมอย่างซิ้ดซ้าด!!! : ซิ้ดดดด จะไม่ซิ้ดได้ยังไง แต่ละคนสั่งสาวบริการเน้นประตูหลัง ลองค้นหาข่าวด้วยภาพด้านล่างดูสิ สั่นเลยล่ะ .. แล้วจะรู้ว่าชวาป เล่นละครกับทรัมป์กันถึงพริกถึงขิงแค่ไหน รู้หรือไม่ การฉีดวัคซวย หมายถึงการฉีด งู เข้าไในร่างกายในสายตาชาวโลกาภิวัตน์ (ง่าย ๆ ดูโลโก้องค์กรคะยั้นคะยอให้รับวัคซีน) *เอาไว้เราค่อยติดตามโปรเจค วาปสปีด 2.0 ซึ่งมีเค้าลางเกี่ยวกับการคอลโทรลมนุษย์ผ่านดีเอ็นเอ ที่เก็บไว้แล้วของทนุษย์ทั่วโลก "#สตาร์เกต" #Stargate แอดเกือบลมพูดถึงสัญลักษณ์ข้างหลังทรัมป์ สัญลักษณ์ที่ ชัดเจนสำหรับสงคราม สุนทรพจน์ของทรัมป์ต่อฟอรัมเศรษฐกิจโลก (WEF) ตราประทับของสหรัฐอเมริกาจะมี 2 แบบ คือ 1. แบบที่ใช้ในยามสงบ และ 2. แบบที่ใช้ในยามสงคราม ในช่วงสงบ หัวของนกอินทรีจะหันไปทางซ้ายของพวกเรา ไปทางกิ่งมะกอก ตรงที่เราเห็นเป็นกรงเล็บด้านซ้าย ในช่วงสงคราม หัวของอินทรีจะหันไปทางขวาของพวกเรา ไปทางลูกศรแห่งสงคราม ซึ่งพวกเราเห็นว่าเป็น Talon ทางขวา บนโพเดียมที่ทรัมป์พูด หัวของอินทรีหันไปทางซ้ายของเรา: สันติภาพ แต่ในเวลาเดียวกันนั้น ภาพอินทรีบนจอภาพขนาดยักษ์ด้านหลังเขา แสดงให้เห็นหัวอินทรีหันไปทางสิ่งที่เราเห็น คงไม่ใช่อะไรอื่น ทรัมป์และอเมริกากำลังจะมีสงคราม (สงครามกับใครคือคำถาม) "ชนชั้นยอด" มักจะใช้สัญลักษณ์เพื่อสื่อสารข้อความถึงกัน พวกเขายังกล่าวอีกว่า "ชนชั้นสูง" ใช้สัญลักษณ์เหล่านี้เพื่อล้อเลียนคนอเมริกันซึ่งพวกเขามองว่าโง่เขลา ซีรีส์ทางโทรทัศน์ชื่อดังอย่าง “West Wing” ยังได้พูดถึงประเด็นนี้ในตอนหนึ่งด้วย นี่คือคลิปวิดีโอที่เกี่ยวข้อง: https://youtu.be/1qkLXiuEUdE ทรัมป์และอเมริกาจะทำสงครามกับใคร อิหร่าน หรือรัสเซีย หรือ สงครามกับระชาชน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 809 มุมมอง 0 รีวิว
  • Elephant in the Room
    The Crimes of the Pharmaceutical Industry
    เรื่องของบิ้กฟาร์ม่า

    Roddriver Aug 25, 2021

    อุตสาหกรรมยา เป็นการผลิตยาเพื่อผลทางการแพทย์ อุตสาหกรรมนี้เน้นการรณรงค์เรื่องของสิทธิบัตรทั่วโลกเป็นส่วนใหญ่ ...ถึงแม้ว่านักเศรษฐศาสตร์กระแสหลักจะวิจารณ์หนักมากในเรื่องของสิทธิบัตรยา ...ยาที่มีสิทธิบัตรมักจะขายได้ราคาสูงกว่ายาที่ไม่มีสิทธิบัตรนับพัน ๆ เท่า

    อุตสาหกรรมนี้แสดงให้เห็นได้ชัดเจนถึงประเด็นที่ได้โพสท์ไว้ก่อนหน้านี้ (แปลแล้ว) เกี่ยวกับอำนาจและอาชญากรรมจากสิทธิบัตรของบริษัทยักษ์ทั้งหลาย

    Researching The Wrong Problems
    วืจัยเฉพาะเรื่องที่มีกำไร

    การทำวิจัยส่วนใหญ่มักจะโฟกัสไปที่ปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศที่ร่ำรวยที่มีกำลังซื้อ ...มียาเพียง 21 ตัวจาก 1,556 ตัวซึ่งออกสู่ตลาดโลกตั้งแต่ปี 1975 ถึงปี 2004 ที่เล็งเป้าไปต่อสู้กับโรคที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับชาวตะวันตกนัก ส่วนใหญ่อยู่ในประเทศยากจน

    บริษัทเหล่านี้ใช้เวลาส่วนใหญ่ทำการวิจัยยาที่เกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ เช่นไวอากร้ามากกว่ายารักษาวัณโรค เพราะกำไรมันอยู่ตรงนั้น ทั้ง ๆ ที่เราสามารถจัดการกับปัญหาสุขภาพของประเทศยากจนได้โดยใช้ทุนต่ำกว่ามาก ...ตั้งแต่ปี 2006 มาแล้วที่ World Health Organization (WHO) เริ่มพูดถึงปัญหานี้ แต่การหาทุนก็ยังคงมีไม่พอ

    Social Costs, Private Profits
    เงินวิจัยจากสาธารณชน แต่กำไรเป็นของเอกชน

    ในช่วงต้น ๆ ของการวิจัยและพัฒนามักจะได้รับทุนสาธารณะ ทั้งจากมหาวิทยาลัยและรัฐบาลหลายแห่งทั่วโลก ...บริษัทยักษ์จะเข้ามาร่วมด้วยหลังจากรู้ชัดว่าการทดลองขั้นต้นแสดงให้เห็นแล้วว่า..ยาตัวนี้น่าจะต้องมีอนาคตแน่

    อย่างไรก็ตาม ถ้าบริษัทไหนได้ถือสิทธิบัตรเอาไว้ ก็จะได้กำไรส่วนใหญ่ไป เพราะเมื่อมีสิทธิบัตรอยู่ในมือ พวกเขาก็จะชาร์จราคาสูงสุดได้ตามใจ พูดอีกอย่างก็คือ ราคาที่คนร่ำรวยจะจ่ายให้ได้

    ถ้าเป็นไปตามนี้ การปล่อยให้บริษัทเอกชนเก็บกำไรทั้งหมดจากยาที่ได้รับสิทธิบัตร..ก็ไม่น่าจะถูกต้องนัก มันคืออีกช่องทางหนึ่งของระบบเศรษฐกิจที่ถูกวางแผนครอบไว้ ในการดูดเอาความมั่งคั่งเข้ากระเป๋าพวกนักบริหารและผู้ถือหุ้นของบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหลาย ...แค่นั้นเอง

    Depriving Poor Countries of Medicines
    คนจนไม่มีสิทธิ์ได้ใช้ยา

    ยาที่จะทำประโยชน์ให้คนนับล้านได้ในประเทศยากจน จำเป็นต้องมีราคาที่คนจนจะจับต้องได้ แต่พวกบิ้กฟาร์ม่าที่ถือสิทธิบัตรยาเหล่านั้น..ต้องการควบคุมการเข้าถึง และชาร์จที่ราคาสูงสุดเท่าที่จะทำได้

    World Trade organization (WTO) มีการบังคับใช้สิทธิบัตรผ่านข้อตกลง ที่เรียกว่า TRIPS (Trade Related Aspects of Intellectual Property) ...แต่ TRIPS ก็ยังมีข้อดีอยู่นิดหน่อยที่อนุญาตให้ประเทศยากจนหลายประเทศสามารถก้อปปี้การผลิตยาเฉพาะตัวที่สำคัญ ๆ และมีข้อบังคับทางกฏหมายให้บางประเทศเช่นอินเดียสามารถทำได้ ...แต่ถึงอย่างนั้น บิ้กฟาร์ม่าก็ยังคงบล็อกการเข้าถึงยาได้ทั่วโลกอยู่ ประเทศยากจนส่วนใหญ่ยังคงต้องซื้อยาในราคาแพงอยู่ เพราะยังคงมีการขู่จากทั้งสหรัฐ อังกฤษ และประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศ

    Nelson Mandela ผู้นำประเทศอัฟริกาใต้ เคยพยายามที่จะได้ยา HIV ราคาถูกเพื่อรักษาผู้ป่วยเอดส์ในประเทศ ...บริษัทยาตะวันตกชาร์จที่ราคา $15,000 ต่อคนต่อปี ในขณะที่บริษัทอินเดียผลิตได้แค่ $300 ต่อคนต่อปี ...แต่แมนเดล่าถูกขู่ที่จะแซงค์ชั่น..หลังจากบริษัทยายักษ์ใหญ่ล้อบบี้ฐบาลสหรัฐ ทำให้ผู้คนหลายล้านในอัฟริกาใต้ต้องตาย เพราะไม่สามารถเข้าถึงยาจากอินเดียที่ก้อปปี้จากยาราคาแพงตัวนี้ได้

    More Spent on Marketing Than on Research
    ใช้เงินไปกับการตลาดมากกว่าใช้กับการวิจัยซะอีก

    ถ้ายาได้ผลดีจริง มันก็ไม่ต้องการการตลาดเลย ถ้ามันให้ผลดีจากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์จริงแล้ว แพทย์และเครือข่ายการแพทย์ทั่วโลกย่อมจะต้องนำมาใช้อยู่แล้ว ...แต่จริง ๆ แล้ว ยาส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้ผลนัก บริษัทจึงจำเป็นต้องใช้เงินมหาศาลในการ "ชักชวน" ให้แพทย์ทั้งหลายให้มาสั่งใช้ยานั้น ...ทั้งหมดนี้หมายความรวมถึง ของขวัญ การจัดท่องเที่ยววันหยุด หรือการสร้างสิ่งจูงใจ (ฟังดูไพเราะกว่า "สินบน" เยอะเลย) แพทย์จำนวนมากก็แฮ้ปปี้ที่จะร่วมเล่นด้วย ...ค่าใช้จ่ายการตลาดเหล่านี้น่ะ มันรวมอยู่ในราคายาแล้วแหละ

    Fraud and Deception are Widespread
    การฉ้อฉลมันกระจายวงไปกว้างไกลมาก

    อุตสาหกรรมยาเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีการคอรัปชั่นมากที่สุด บิ้กฟาร์ม่าหลายแห่งถูกกล่าวหาว่าขายยาที่เป็นอันตราย หรืออาจถึงชีวิตได้ ...อุตสาหกรรมนี้เคยถูกสั่งปรับมาแล้วถึงมากกว่า $5 หมื่นล้านในรอบยี่สิบปีที่ผ่านมา ...เมื่อปี 2012 Glaxo Smith Kline (GSK) ก็ถูกปรับไป $3 พันล้านในสหรัฐที่ขายยาผิดประเภท และจ่ายสินบนแก่แพทย์ และปิดบังผลวิจัย นอกจากนี้ GSK ยังถูกปรับที่อินเดีย อัฟริกาใต้และอังกฤษ

    แต่บริษัทนี้ขายยาแค่รายการเดียวก็อาจเป็นจำนวนเงินที่มากกว่าค่าปรับหลายเท่าตัวก็ได้สบาย ๆ

    อุตสาหกรรมยามีประวัติการโฆษณายาเกินจริง..ไม่บอกถึงผลด้อยของคุณภาพ..และปิดบังผลร้ายของยามานานแล้ว ...จากการศึกษาเมื่อเร็ว ๆ นี้ แสดงให้เห็นว่า เวชภัณท์มีผลร้ายมากกว่าที่ผู้ผลิตแจ้งไว้ถึง 4 เท่าส่งผลให้มีผู้ป่วยต้องเข้าโรงพยาบาลถึงสองแสนกว่าคนในอังกฤษ และอีกสองล้านคนในสหรัฐในแต่ละปี

    นอกจากนี้ยังมีกรณีเสียชีวิตอีกถึง 55,000 รายจากยาแก้ปวด แต่ข้อมูลเหล่านี้ถูกปิดบังโดย Merck ผู้ผลิตยา ....ยังมีผู้เสียชีวิตจากโรคหัวใจ จากผลของยารักษาเบาหวาน

    ตอนนี้มีหลักฐานว่าบริษัทยาเหล่านี้มีการจัดการยักย้ายงานวิจัยของตน พวกนี้ทดสอบยาของตนเอง และออกผลทดสอบที่แสดงแต่ส่วนดีและซ่อนส่วนที่เป็นโทษ

    อุตสาหกรรมยาใช้เงินล้อบบี้รัฐบาลสหรัฐมากกว่าอุตสาหกรรมอื่น ๆ ..ปี 2018 มีการใช้เงินถึง $2.8 แสนล้าน นี่แสดงให้เห็นถึงการไร้กฏระเบียบของอุตสาหกรรมนี้ ถึงแม้สหรัฐจะมี Food and Drug Administration (FDA) แต่หน่วยงานนี้ก็มีงบประมาณไม่พอ ทำให้เกิดผลประโยชน์ทับซ้อน ...เจ้าหน้าที่ในสต้าฟมีสัมพันธภาพกับอุตสาหกรรมนี้ อดีตผอ. FDA ก็ออกไปทำงานกับ Pfizer ...ส่วนอดีตสมาชิกสภาคองเกรสจำนวนไม่น้อยก็ไปรับจ้อบเป็นล้อบบี้ยิสต์ให้กับอุตสาหกรรมยา

    สถานการณ์ของการรักษากฏของเรื่องนี้ในอังกฤษยิ่งร้ายหนักกว่าอีก อังกฤษไม่เคยมีการลงโทษบริษัทยาซักแห่งเลย มีการปรับเล็กน้อยรวมกันแค่ £73,300 แต่ไม่เคยมีการบังคับใช้กฏหมายอย่างจริงจังเลย

    Not Fit For Purpose

    แทบทุกประเทศที่มีหน่วยงานเกี่ยวกับอาหารและยามักจะตายใจไม่นึกว่าอุตสาหกรรมยาน่ะมันเชี่..แค่ไหน พวกสื่อเองก็เงียบไม่พูดถึงกำ ไรมหาศาลของบริษัทยาเพราะรับทรัพย์ไปเยอะ ...อุตสาหกรรมนี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของอุตสาหกรรมที่ไม่ได้เกิดขึ้นเพื่อสนองจุดประสงค์แท้จริงของสาธารณชน (not fit for purpose) มันทำความล้มเหลวทั้งในประเทศร่ำรวยและยากจนถ้วนหน้า

    ถ้าอุตสาหกรรมนี้เป็นเรื่องที่ดำเนินงานไปโดยหน่วยงานของชาติ ยาทุกชนิดจะมีราคาเป็นแค่เศษเสี้ยวของราคาปัจจุบัน ไม่ต้องมีปัญหายาปลอม ไม่ต้องมีการล็อบบี้ ไม่ต้องมีการแย่งชิงสิทธิบัตร ประเทศยากจนเข้าถึงยาได้ง่าย ๆ ที่ราคาต่ำมาก ๆ จนอาจให้เปล่าได้เลย

    ถ้าเราพูดถึงการต่อสู้ความยากจนของโลกจริง ๆ แล้ว นี่เป็นเรื่องแรก ๆ ที่ต้องทำ ....แต่ความเป็นไปได้ที่อุตสาหกรรมยาควรจะเป็นเรื่องที่รัฐบาลดำเนินงานเอง เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีใครพูดถึงเลย......

    ***ผมไม่ได้แปลส่วนเชิงอรรถในบทความนะครับ แต่เพื่อน ๆ ดูได้ในบทความต้นฉบับนะครับ***

    https://medium.com/elephantsintheroom/42-the-crimes-of-the-pharmaceutical-industry-5fee08225cbb
    Elephant in the Room The Crimes of the Pharmaceutical Industry เรื่องของบิ้กฟาร์ม่า Roddriver Aug 25, 2021 อุตสาหกรรมยา เป็นการผลิตยาเพื่อผลทางการแพทย์ อุตสาหกรรมนี้เน้นการรณรงค์เรื่องของสิทธิบัตรทั่วโลกเป็นส่วนใหญ่ ...ถึงแม้ว่านักเศรษฐศาสตร์กระแสหลักจะวิจารณ์หนักมากในเรื่องของสิทธิบัตรยา ...ยาที่มีสิทธิบัตรมักจะขายได้ราคาสูงกว่ายาที่ไม่มีสิทธิบัตรนับพัน ๆ เท่า อุตสาหกรรมนี้แสดงให้เห็นได้ชัดเจนถึงประเด็นที่ได้โพสท์ไว้ก่อนหน้านี้ (แปลแล้ว) เกี่ยวกับอำนาจและอาชญากรรมจากสิทธิบัตรของบริษัทยักษ์ทั้งหลาย Researching The Wrong Problems วืจัยเฉพาะเรื่องที่มีกำไร การทำวิจัยส่วนใหญ่มักจะโฟกัสไปที่ปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศที่ร่ำรวยที่มีกำลังซื้อ ...มียาเพียง 21 ตัวจาก 1,556 ตัวซึ่งออกสู่ตลาดโลกตั้งแต่ปี 1975 ถึงปี 2004 ที่เล็งเป้าไปต่อสู้กับโรคที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับชาวตะวันตกนัก ส่วนใหญ่อยู่ในประเทศยากจน บริษัทเหล่านี้ใช้เวลาส่วนใหญ่ทำการวิจัยยาที่เกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ เช่นไวอากร้ามากกว่ายารักษาวัณโรค เพราะกำไรมันอยู่ตรงนั้น ทั้ง ๆ ที่เราสามารถจัดการกับปัญหาสุขภาพของประเทศยากจนได้โดยใช้ทุนต่ำกว่ามาก ...ตั้งแต่ปี 2006 มาแล้วที่ World Health Organization (WHO) เริ่มพูดถึงปัญหานี้ แต่การหาทุนก็ยังคงมีไม่พอ Social Costs, Private Profits เงินวิจัยจากสาธารณชน แต่กำไรเป็นของเอกชน ในช่วงต้น ๆ ของการวิจัยและพัฒนามักจะได้รับทุนสาธารณะ ทั้งจากมหาวิทยาลัยและรัฐบาลหลายแห่งทั่วโลก ...บริษัทยักษ์จะเข้ามาร่วมด้วยหลังจากรู้ชัดว่าการทดลองขั้นต้นแสดงให้เห็นแล้วว่า..ยาตัวนี้น่าจะต้องมีอนาคตแน่ อย่างไรก็ตาม ถ้าบริษัทไหนได้ถือสิทธิบัตรเอาไว้ ก็จะได้กำไรส่วนใหญ่ไป เพราะเมื่อมีสิทธิบัตรอยู่ในมือ พวกเขาก็จะชาร์จราคาสูงสุดได้ตามใจ พูดอีกอย่างก็คือ ราคาที่คนร่ำรวยจะจ่ายให้ได้ ถ้าเป็นไปตามนี้ การปล่อยให้บริษัทเอกชนเก็บกำไรทั้งหมดจากยาที่ได้รับสิทธิบัตร..ก็ไม่น่าจะถูกต้องนัก มันคืออีกช่องทางหนึ่งของระบบเศรษฐกิจที่ถูกวางแผนครอบไว้ ในการดูดเอาความมั่งคั่งเข้ากระเป๋าพวกนักบริหารและผู้ถือหุ้นของบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหลาย ...แค่นั้นเอง Depriving Poor Countries of Medicines คนจนไม่มีสิทธิ์ได้ใช้ยา ยาที่จะทำประโยชน์ให้คนนับล้านได้ในประเทศยากจน จำเป็นต้องมีราคาที่คนจนจะจับต้องได้ แต่พวกบิ้กฟาร์ม่าที่ถือสิทธิบัตรยาเหล่านั้น..ต้องการควบคุมการเข้าถึง และชาร์จที่ราคาสูงสุดเท่าที่จะทำได้ World Trade organization (WTO) มีการบังคับใช้สิทธิบัตรผ่านข้อตกลง ที่เรียกว่า TRIPS (Trade Related Aspects of Intellectual Property) ...แต่ TRIPS ก็ยังมีข้อดีอยู่นิดหน่อยที่อนุญาตให้ประเทศยากจนหลายประเทศสามารถก้อปปี้การผลิตยาเฉพาะตัวที่สำคัญ ๆ และมีข้อบังคับทางกฏหมายให้บางประเทศเช่นอินเดียสามารถทำได้ ...แต่ถึงอย่างนั้น บิ้กฟาร์ม่าก็ยังคงบล็อกการเข้าถึงยาได้ทั่วโลกอยู่ ประเทศยากจนส่วนใหญ่ยังคงต้องซื้อยาในราคาแพงอยู่ เพราะยังคงมีการขู่จากทั้งสหรัฐ อังกฤษ และประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศ Nelson Mandela ผู้นำประเทศอัฟริกาใต้ เคยพยายามที่จะได้ยา HIV ราคาถูกเพื่อรักษาผู้ป่วยเอดส์ในประเทศ ...บริษัทยาตะวันตกชาร์จที่ราคา $15,000 ต่อคนต่อปี ในขณะที่บริษัทอินเดียผลิตได้แค่ $300 ต่อคนต่อปี ...แต่แมนเดล่าถูกขู่ที่จะแซงค์ชั่น..หลังจากบริษัทยายักษ์ใหญ่ล้อบบี้ฐบาลสหรัฐ ทำให้ผู้คนหลายล้านในอัฟริกาใต้ต้องตาย เพราะไม่สามารถเข้าถึงยาจากอินเดียที่ก้อปปี้จากยาราคาแพงตัวนี้ได้ More Spent on Marketing Than on Research ใช้เงินไปกับการตลาดมากกว่าใช้กับการวิจัยซะอีก ถ้ายาได้ผลดีจริง มันก็ไม่ต้องการการตลาดเลย ถ้ามันให้ผลดีจากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์จริงแล้ว แพทย์และเครือข่ายการแพทย์ทั่วโลกย่อมจะต้องนำมาใช้อยู่แล้ว ...แต่จริง ๆ แล้ว ยาส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้ผลนัก บริษัทจึงจำเป็นต้องใช้เงินมหาศาลในการ "ชักชวน" ให้แพทย์ทั้งหลายให้มาสั่งใช้ยานั้น ...ทั้งหมดนี้หมายความรวมถึง ของขวัญ การจัดท่องเที่ยววันหยุด หรือการสร้างสิ่งจูงใจ (ฟังดูไพเราะกว่า "สินบน" เยอะเลย) แพทย์จำนวนมากก็แฮ้ปปี้ที่จะร่วมเล่นด้วย ...ค่าใช้จ่ายการตลาดเหล่านี้น่ะ มันรวมอยู่ในราคายาแล้วแหละ Fraud and Deception are Widespread การฉ้อฉลมันกระจายวงไปกว้างไกลมาก อุตสาหกรรมยาเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีการคอรัปชั่นมากที่สุด บิ้กฟาร์ม่าหลายแห่งถูกกล่าวหาว่าขายยาที่เป็นอันตราย หรืออาจถึงชีวิตได้ ...อุตสาหกรรมนี้เคยถูกสั่งปรับมาแล้วถึงมากกว่า $5 หมื่นล้านในรอบยี่สิบปีที่ผ่านมา ...เมื่อปี 2012 Glaxo Smith Kline (GSK) ก็ถูกปรับไป $3 พันล้านในสหรัฐที่ขายยาผิดประเภท และจ่ายสินบนแก่แพทย์ และปิดบังผลวิจัย นอกจากนี้ GSK ยังถูกปรับที่อินเดีย อัฟริกาใต้และอังกฤษ แต่บริษัทนี้ขายยาแค่รายการเดียวก็อาจเป็นจำนวนเงินที่มากกว่าค่าปรับหลายเท่าตัวก็ได้สบาย ๆ อุตสาหกรรมยามีประวัติการโฆษณายาเกินจริง..ไม่บอกถึงผลด้อยของคุณภาพ..และปิดบังผลร้ายของยามานานแล้ว ...จากการศึกษาเมื่อเร็ว ๆ นี้ แสดงให้เห็นว่า เวชภัณท์มีผลร้ายมากกว่าที่ผู้ผลิตแจ้งไว้ถึง 4 เท่าส่งผลให้มีผู้ป่วยต้องเข้าโรงพยาบาลถึงสองแสนกว่าคนในอังกฤษ และอีกสองล้านคนในสหรัฐในแต่ละปี นอกจากนี้ยังมีกรณีเสียชีวิตอีกถึง 55,000 รายจากยาแก้ปวด แต่ข้อมูลเหล่านี้ถูกปิดบังโดย Merck ผู้ผลิตยา ....ยังมีผู้เสียชีวิตจากโรคหัวใจ จากผลของยารักษาเบาหวาน ตอนนี้มีหลักฐานว่าบริษัทยาเหล่านี้มีการจัดการยักย้ายงานวิจัยของตน พวกนี้ทดสอบยาของตนเอง และออกผลทดสอบที่แสดงแต่ส่วนดีและซ่อนส่วนที่เป็นโทษ อุตสาหกรรมยาใช้เงินล้อบบี้รัฐบาลสหรัฐมากกว่าอุตสาหกรรมอื่น ๆ ..ปี 2018 มีการใช้เงินถึง $2.8 แสนล้าน นี่แสดงให้เห็นถึงการไร้กฏระเบียบของอุตสาหกรรมนี้ ถึงแม้สหรัฐจะมี Food and Drug Administration (FDA) แต่หน่วยงานนี้ก็มีงบประมาณไม่พอ ทำให้เกิดผลประโยชน์ทับซ้อน ...เจ้าหน้าที่ในสต้าฟมีสัมพันธภาพกับอุตสาหกรรมนี้ อดีตผอ. FDA ก็ออกไปทำงานกับ Pfizer ...ส่วนอดีตสมาชิกสภาคองเกรสจำนวนไม่น้อยก็ไปรับจ้อบเป็นล้อบบี้ยิสต์ให้กับอุตสาหกรรมยา สถานการณ์ของการรักษากฏของเรื่องนี้ในอังกฤษยิ่งร้ายหนักกว่าอีก อังกฤษไม่เคยมีการลงโทษบริษัทยาซักแห่งเลย มีการปรับเล็กน้อยรวมกันแค่ £73,300 แต่ไม่เคยมีการบังคับใช้กฏหมายอย่างจริงจังเลย Not Fit For Purpose แทบทุกประเทศที่มีหน่วยงานเกี่ยวกับอาหารและยามักจะตายใจไม่นึกว่าอุตสาหกรรมยาน่ะมันเชี่..แค่ไหน พวกสื่อเองก็เงียบไม่พูดถึงกำ ไรมหาศาลของบริษัทยาเพราะรับทรัพย์ไปเยอะ ...อุตสาหกรรมนี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของอุตสาหกรรมที่ไม่ได้เกิดขึ้นเพื่อสนองจุดประสงค์แท้จริงของสาธารณชน (not fit for purpose) มันทำความล้มเหลวทั้งในประเทศร่ำรวยและยากจนถ้วนหน้า ถ้าอุตสาหกรรมนี้เป็นเรื่องที่ดำเนินงานไปโดยหน่วยงานของชาติ ยาทุกชนิดจะมีราคาเป็นแค่เศษเสี้ยวของราคาปัจจุบัน ไม่ต้องมีปัญหายาปลอม ไม่ต้องมีการล็อบบี้ ไม่ต้องมีการแย่งชิงสิทธิบัตร ประเทศยากจนเข้าถึงยาได้ง่าย ๆ ที่ราคาต่ำมาก ๆ จนอาจให้เปล่าได้เลย ถ้าเราพูดถึงการต่อสู้ความยากจนของโลกจริง ๆ แล้ว นี่เป็นเรื่องแรก ๆ ที่ต้องทำ ....แต่ความเป็นไปได้ที่อุตสาหกรรมยาควรจะเป็นเรื่องที่รัฐบาลดำเนินงานเอง เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีใครพูดถึงเลย...... ***ผมไม่ได้แปลส่วนเชิงอรรถในบทความนะครับ แต่เพื่อน ๆ ดูได้ในบทความต้นฉบับนะครับ*** https://medium.com/elephantsintheroom/42-the-crimes-of-the-pharmaceutical-industry-5fee08225cbb
    MEDIUM.COM
    42) The Crimes of the Pharmaceutical Industry
    “The history of medicine is littered with wonderful early results which over a period of time turn out to be not so wonderful…
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 483 มุมมอง 0 รีวิว
  • Elephant in the Room
    The Crimes of the Pharmaceutical Industry
    เรื่องของบิ้กฟาร์ม่า

    Roddriver Aug 25, 2021

    อุตสาหกรรมยา เป็นการผลิตยาเพื่อผลทางการแพทย์ อุตสาหกรรมนี้เน้นการรณรงค์เรื่องของสิทธิบัตรทั่วโลกเป็นส่วนใหญ่ ...ถึงแม้ว่านักเศรษฐศาสตร์กระแสหลักจะวิจารณ์หนักมากในเรื่องของสิทธิบัตรยา ...ยาที่มีสิทธิบัตรมักจะขายได้ราคาสูงกว่ายาที่ไม่มีสิทธิบัตรนับพัน ๆ เท่า

    อุตสาหกรรมนี้แสดงให้เห็นได้ชัดเจนถึงประเด็นที่ได้โพสท์ไว้ก่อนหน้านี้ (แปลแล้ว) เกี่ยวกับอำนาจและอาชญากรรมจากสิทธิบัตรของบริษัทยักษ์ทั้งหลาย

    Researching The Wrong Problems
    วืจัยเฉพาะเรื่องที่มีกำไร

    การทำวิจัยส่วนใหญ่มักจะโฟกัสไปที่ปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศที่ร่ำรวยที่มีกำลังซื้อ ...มียาเพียง 21 ตัวจาก 1,556 ตัวซึ่งออกสู่ตลาดโลกตั้งแต่ปี 1975 ถึงปี 2004 ที่เล็งเป้าไปต่อสู้กับโรคที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับชาวตะวันตกนัก ส่วนใหญ่อยู่ในประเทศยากจน

    บริษัทเหล่านี้ใช้เวลาส่วนใหญ่ทำการวิจัยยาที่เกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ เช่นไวอากร้ามากกว่ายารักษาวัณโรค เพราะกำไรมันอยู่ตรงนั้น ทั้ง ๆ ที่เราสามารถจัดการกับปัญหาสุขภาพของประเทศยากจนได้โดยใช้ทุนต่ำกว่ามาก ...ตั้งแต่ปี 2006 มาแล้วที่ World Health Organization (WHO) เริ่มพูดถึงปัญหานี้ แต่การหาทุนก็ยังคงมีไม่พอ

    Social Costs, Private Profits
    เงินวิจัยจากสาธารณชน แต่กำไรเป็นของเอกชน

    ในช่วงต้น ๆ ของการวิจัยและพัฒนามักจะได้รับทุนสาธารณะ ทั้งจากมหาวิทยาลัยและรัฐบาลหลายแห่งทั่วโลก ...บริษัทยักษ์จะเข้ามาร่วมด้วยหลังจากรู้ชัดว่าการทดลองขั้นต้นแสดงให้เห็นแล้วว่า..ยาตัวนี้น่าจะต้องมีอนาคตแน่

    อย่างไรก็ตาม ถ้าบริษัทไหนได้ถือสิทธิบัตรเอาไว้ ก็จะได้กำไรส่วนใหญ่ไป เพราะเมื่อมีสิทธิบัตรอยู่ในมือ พวกเขาก็จะชาร์จราคาสูงสุดได้ตามใจ พูดอีกอย่างก็คือ ราคาที่คนร่ำรวยจะจ่ายให้ได้

    ถ้าเป็นไปตามนี้ การปล่อยให้บริษัทเอกชนเก็บกำไรทั้งหมดจากยาที่ได้รับสิทธิบัตร..ก็ไม่น่าจะถูกต้องนัก มันคืออีกช่องทางหนึ่งของระบบเศรษฐกิจที่ถูกวางแผนครอบไว้ ในการดูดเอาความมั่งคั่งเข้ากระเป๋าพวกนักบริหารและผู้ถือหุ้นของบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหลาย ...แค่นั้นเอง

    Depriving Poor Countries of Medicines
    คนจนไม่มีสิทธิ์ได้ใช้ยา

    ยาที่จะทำประโยชน์ให้คนนับล้านได้ในประเทศยากจน จำเป็นต้องมีราคาที่คนจนจะจับต้องได้ แต่พวกบิ้กฟาร์ม่าที่ถือสิทธิบัตรยาเหล่านั้น..ต้องการควบคุมการเข้าถึง และชาร์จที่ราคาสูงสุดเท่าที่จะทำได้

    World Trade organization (WTO) มีการบังคับใช้สิทธิบัตรผ่านข้อตกลง ที่เรียกว่า TRIPS (Trade Related Aspects of Intellectual Property) ...แต่ TRIPS ก็ยังมีข้อดีอยู่นิดหน่อยที่อนุญาตให้ประเทศยากจนหลายประเทศสามารถก้อปปี้การผลิตยาเฉพาะตัวที่สำคัญ ๆ และมีข้อบังคับทางกฏหมายให้บางประเทศเช่นอินเดียสามารถทำได้ ...แต่ถึงอย่างนั้น บิ้กฟาร์ม่าก็ยังคงบล็อกการเข้าถึงยาได้ทั่วโลกอยู่ ประเทศยากจนส่วนใหญ่ยังคงต้องซื้อยาในราคาแพงอยู่ เพราะยังคงมีการขู่จากทั้งสหรัฐ อังกฤษ และประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศ

    Nelson Mandela ผู้นำประเทศอัฟริกาใต้ เคยพยายามที่จะได้ยา HIV ราคาถูกเพื่อรักษาผู้ป่วยเอดส์ในประเทศ ...บริษัทยาตะวันตกชาร์จที่ราคา $15,000 ต่อคนต่อปี ในขณะที่บริษัทอินเดียผลิตได้แค่ $300 ต่อคนต่อปี ...แต่แมนเดล่าถูกขู่ที่จะแซงค์ชั่น..หลังจากบริษัทยายักษ์ใหญ่ล้อบบี้ฐบาลสหรัฐ ทำให้ผู้คนหลายล้านในอัฟริกาใต้ต้องตาย เพราะไม่สามารถเข้าถึงยาจากอินเดียที่ก้อปปี้จากยาราคาแพงตัวนี้ได้

    More Spent on Marketing Than on Research
    ใช้เงินไปกับการตลาดมากกว่าใช้กับการวิจัยซะอีก

    ถ้ายาได้ผลดีจริง มันก็ไม่ต้องการการตลาดเลย ถ้ามันให้ผลดีจากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์จริงแล้ว แพทย์และเครือข่ายการแพทย์ทั่วโลกย่อมจะต้องนำมาใช้อยู่แล้ว ...แต่จริง ๆ แล้ว ยาส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้ผลนัก บริษัทจึงจำเป็นต้องใช้เงินมหาศาลในการ "ชักชวน" ให้แพทย์ทั้งหลายให้มาสั่งใช้ยานั้น ...ทั้งหมดนี้หมายความรวมถึง ของขวัญ การจัดท่องเที่ยววันหยุด หรือการสร้างสิ่งจูงใจ (ฟังดูไพเราะกว่า "สินบน" เยอะเลย) แพทย์จำนวนมากก็แฮ้ปปี้ที่จะร่วมเล่นด้วย ...ค่าใช้จ่ายการตลาดเหล่านี้น่ะ มันรวมอยู่ในราคายาแล้วแหละ

    Fraud and Deception are Widespread
    การฉ้อฉลมันกระจายวงไปกว้างไกลมาก

    อุตสาหกรรมยาเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีการคอรัปชั่นมากที่สุด บิ้กฟาร์ม่าหลายแห่งถูกกล่าวหาว่าขายยาที่เป็นอันตราย หรืออาจถึงชีวิตได้ ...อุตสาหกรรมนี้เคยถูกสั่งปรับมาแล้วถึงมากกว่า $5 หมื่นล้านในรอบยี่สิบปีที่ผ่านมา ...เมื่อปี 2012 Glaxo Smith Kline (GSK) ก็ถูกปรับไป $3 พันล้านในสหรัฐที่ขายยาผิดประเภท และจ่ายสินบนแก่แพทย์ และปิดบังผลวิจัย นอกจากนี้ GSK ยังถูกปรับที่อินเดีย อัฟริกาใต้และอังกฤษ

    แต่บริษัทนี้ขายยาแค่รายการเดียวก็อาจเป็นจำนวนเงินที่มากกว่าค่าปรับหลายเท่าตัวก็ได้สบาย ๆ

    อุตสาหกรรมยามีประวัติการโฆษณายาเกินจริง..ไม่บอกถึงผลด้อยของคุณภาพ..และปิดบังผลร้ายของยามานานแล้ว ...จากการศึกษาเมื่อเร็ว ๆ นี้ แสดงให้เห็นว่า เวชภัณท์มีผลร้ายมากกว่าที่ผู้ผลิตแจ้งไว้ถึง 4 เท่าส่งผลให้มีผู้ป่วยต้องเข้าโรงพยาบาลถึงสองแสนกว่าคนในอังกฤษ และอีกสองล้านคนในสหรัฐในแต่ละปี

    นอกจากนี้ยังมีกรณีเสียชีวิตอีกถึง 55,000 รายจากยาแก้ปวด แต่ข้อมูลเหล่านี้ถูกปิดบังโดย Merck ผู้ผลิตยา ....ยังมีผู้เสียชีวิตจากโรคหัวใจ จากผลของยารักษาเบาหวาน

    ตอนนี้มีหลักฐานว่าบริษัทยาเหล่านี้มีการจัดการยักย้ายงานวิจัยของตน พวกนี้ทดสอบยาของตนเอง และออกผลทดสอบที่แสดงแต่ส่วนดีและซ่อนส่วนที่เป็นโทษ

    อุตสาหกรรมยาใช้เงินล้อบบี้รัฐบาลสหรัฐมากกว่าอุตสาหกรรมอื่น ๆ ..ปี 2018 มีการใช้เงินถึง $2.8 แสนล้าน นี่แสดงให้เห็นถึงการไร้กฏระเบียบของอุตสาหกรรมนี้ ถึงแม้สหรัฐจะมี Food and Drug Administration (FDA) แต่หน่วยงานนี้ก็มีงบประมาณไม่พอ ทำให้เกิดผลประโยชน์ทับซ้อน ...เจ้าหน้าที่ในสต้าฟมีสัมพันธภาพกับอุตสาหกรรมนี้ อดีตผอ. FDA ก็ออกไปทำงานกับ Pfizer ...ส่วนอดีตสมาชิกสภาคองเกรสจำนวนไม่น้อยก็ไปรับจ้อบเป็นล้อบบี้ยิสต์ให้กับอุตสาหกรรมยา

    สถานการณ์ของการรักษากฏของเรื่องนี้ในอังกฤษยิ่งร้ายหนักกว่าอีก อังกฤษไม่เคยมีการลงโทษบริษัทยาซักแห่งเลย มีการปรับเล็กน้อยรวมกันแค่ £73,300 แต่ไม่เคยมีการบังคับใช้กฏหมายอย่างจริงจังเลย

    Not Fit For Purpose

    แทบทุกประเทศที่มีหน่วยงานเกี่ยวกับอาหารและยามักจะตายใจไม่นึกว่าอุตสาหกรรมยาน่ะมันเชี่..แค่ไหน พวกสื่อเองก็เงียบไม่พูดถึงกำ ไรมหาศาลของบริษัทยาเพราะรับทรัพย์ไปเยอะ ...อุตสาหกรรมนี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของอุตสาหกรรมที่ไม่ได้เกิดขึ้นเพื่อสนองจุดประสงค์แท้จริงของสาธารณชน (not fit for purpose) มันทำความล้มเหลวทั้งในประเทศร่ำรวยและยากจนถ้วนหน้า

    ถ้าอุตสาหกรรมนี้เป็นเรื่องที่ดำเนินงานไปโดยหน่วยงานของชาติ ยาทุกชนิดจะมีราคาเป็นแค่เศษเสี้ยวของราคาปัจจุบัน ไม่ต้องมีปัญหายาปลอม ไม่ต้องมีการล็อบบี้ ไม่ต้องมีการแย่งชิงสิทธิบัตร ประเทศยากจนเข้าถึงยาได้ง่าย ๆ ที่ราคาต่ำมาก ๆ จนอาจให้เปล่าได้เลย

    ถ้าเราพูดถึงการต่อสู้ความยากจนของโลกจริง ๆ แล้ว นี่เป็นเรื่องแรก ๆ ที่ต้องทำ ....แต่ความเป็นไปได้ที่อุตสาหกรรมยาควรจะเป็นเรื่องที่รัฐบาลดำเนินงานเอง เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีใครพูดถึงเลย......

    ***ผมไม่ได้แปลส่วนเชิงอรรถในบทความนะครับ แต่เพื่อน ๆ ดูได้ในบทความต้นฉบับนะครับ***

    https://medium.com/elephantsintheroom/42-the-crimes-of-the-pharmaceutical-industry-5fee08225cbb
    Elephant in the Room The Crimes of the Pharmaceutical Industry เรื่องของบิ้กฟาร์ม่า Roddriver Aug 25, 2021 อุตสาหกรรมยา เป็นการผลิตยาเพื่อผลทางการแพทย์ อุตสาหกรรมนี้เน้นการรณรงค์เรื่องของสิทธิบัตรทั่วโลกเป็นส่วนใหญ่ ...ถึงแม้ว่านักเศรษฐศาสตร์กระแสหลักจะวิจารณ์หนักมากในเรื่องของสิทธิบัตรยา ...ยาที่มีสิทธิบัตรมักจะขายได้ราคาสูงกว่ายาที่ไม่มีสิทธิบัตรนับพัน ๆ เท่า อุตสาหกรรมนี้แสดงให้เห็นได้ชัดเจนถึงประเด็นที่ได้โพสท์ไว้ก่อนหน้านี้ (แปลแล้ว) เกี่ยวกับอำนาจและอาชญากรรมจากสิทธิบัตรของบริษัทยักษ์ทั้งหลาย Researching The Wrong Problems วืจัยเฉพาะเรื่องที่มีกำไร การทำวิจัยส่วนใหญ่มักจะโฟกัสไปที่ปัญหาที่เกิดขึ้นในประเทศที่ร่ำรวยที่มีกำลังซื้อ ...มียาเพียง 21 ตัวจาก 1,556 ตัวซึ่งออกสู่ตลาดโลกตั้งแต่ปี 1975 ถึงปี 2004 ที่เล็งเป้าไปต่อสู้กับโรคที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับชาวตะวันตกนัก ส่วนใหญ่อยู่ในประเทศยากจน บริษัทเหล่านี้ใช้เวลาส่วนใหญ่ทำการวิจัยยาที่เกี่ยวกับไลฟ์สไตล์ เช่นไวอากร้ามากกว่ายารักษาวัณโรค เพราะกำไรมันอยู่ตรงนั้น ทั้ง ๆ ที่เราสามารถจัดการกับปัญหาสุขภาพของประเทศยากจนได้โดยใช้ทุนต่ำกว่ามาก ...ตั้งแต่ปี 2006 มาแล้วที่ World Health Organization (WHO) เริ่มพูดถึงปัญหานี้ แต่การหาทุนก็ยังคงมีไม่พอ Social Costs, Private Profits เงินวิจัยจากสาธารณชน แต่กำไรเป็นของเอกชน ในช่วงต้น ๆ ของการวิจัยและพัฒนามักจะได้รับทุนสาธารณะ ทั้งจากมหาวิทยาลัยและรัฐบาลหลายแห่งทั่วโลก ...บริษัทยักษ์จะเข้ามาร่วมด้วยหลังจากรู้ชัดว่าการทดลองขั้นต้นแสดงให้เห็นแล้วว่า..ยาตัวนี้น่าจะต้องมีอนาคตแน่ อย่างไรก็ตาม ถ้าบริษัทไหนได้ถือสิทธิบัตรเอาไว้ ก็จะได้กำไรส่วนใหญ่ไป เพราะเมื่อมีสิทธิบัตรอยู่ในมือ พวกเขาก็จะชาร์จราคาสูงสุดได้ตามใจ พูดอีกอย่างก็คือ ราคาที่คนร่ำรวยจะจ่ายให้ได้ ถ้าเป็นไปตามนี้ การปล่อยให้บริษัทเอกชนเก็บกำไรทั้งหมดจากยาที่ได้รับสิทธิบัตร..ก็ไม่น่าจะถูกต้องนัก มันคืออีกช่องทางหนึ่งของระบบเศรษฐกิจที่ถูกวางแผนครอบไว้ ในการดูดเอาความมั่งคั่งเข้ากระเป๋าพวกนักบริหารและผู้ถือหุ้นของบริษัทยักษ์ใหญ่ทั้งหลาย ...แค่นั้นเอง Depriving Poor Countries of Medicines คนจนไม่มีสิทธิ์ได้ใช้ยา ยาที่จะทำประโยชน์ให้คนนับล้านได้ในประเทศยากจน จำเป็นต้องมีราคาที่คนจนจะจับต้องได้ แต่พวกบิ้กฟาร์ม่าที่ถือสิทธิบัตรยาเหล่านั้น..ต้องการควบคุมการเข้าถึง และชาร์จที่ราคาสูงสุดเท่าที่จะทำได้ World Trade organization (WTO) มีการบังคับใช้สิทธิบัตรผ่านข้อตกลง ที่เรียกว่า TRIPS (Trade Related Aspects of Intellectual Property) ...แต่ TRIPS ก็ยังมีข้อดีอยู่นิดหน่อยที่อนุญาตให้ประเทศยากจนหลายประเทศสามารถก้อปปี้การผลิตยาเฉพาะตัวที่สำคัญ ๆ และมีข้อบังคับทางกฏหมายให้บางประเทศเช่นอินเดียสามารถทำได้ ...แต่ถึงอย่างนั้น บิ้กฟาร์ม่าก็ยังคงบล็อกการเข้าถึงยาได้ทั่วโลกอยู่ ประเทศยากจนส่วนใหญ่ยังคงต้องซื้อยาในราคาแพงอยู่ เพราะยังคงมีการขู่จากทั้งสหรัฐ อังกฤษ และประเทศพัฒนาแล้วหลายประเทศ Nelson Mandela ผู้นำประเทศอัฟริกาใต้ เคยพยายามที่จะได้ยา HIV ราคาถูกเพื่อรักษาผู้ป่วยเอดส์ในประเทศ ...บริษัทยาตะวันตกชาร์จที่ราคา $15,000 ต่อคนต่อปี ในขณะที่บริษัทอินเดียผลิตได้แค่ $300 ต่อคนต่อปี ...แต่แมนเดล่าถูกขู่ที่จะแซงค์ชั่น..หลังจากบริษัทยายักษ์ใหญ่ล้อบบี้ฐบาลสหรัฐ ทำให้ผู้คนหลายล้านในอัฟริกาใต้ต้องตาย เพราะไม่สามารถเข้าถึงยาจากอินเดียที่ก้อปปี้จากยาราคาแพงตัวนี้ได้ More Spent on Marketing Than on Research ใช้เงินไปกับการตลาดมากกว่าใช้กับการวิจัยซะอีก ถ้ายาได้ผลดีจริง มันก็ไม่ต้องการการตลาดเลย ถ้ามันให้ผลดีจากการศึกษาทางวิทยาศาสตร์จริงแล้ว แพทย์และเครือข่ายการแพทย์ทั่วโลกย่อมจะต้องนำมาใช้อยู่แล้ว ...แต่จริง ๆ แล้ว ยาส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้ผลนัก บริษัทจึงจำเป็นต้องใช้เงินมหาศาลในการ "ชักชวน" ให้แพทย์ทั้งหลายให้มาสั่งใช้ยานั้น ...ทั้งหมดนี้หมายความรวมถึง ของขวัญ การจัดท่องเที่ยววันหยุด หรือการสร้างสิ่งจูงใจ (ฟังดูไพเราะกว่า "สินบน" เยอะเลย) แพทย์จำนวนมากก็แฮ้ปปี้ที่จะร่วมเล่นด้วย ...ค่าใช้จ่ายการตลาดเหล่านี้น่ะ มันรวมอยู่ในราคายาแล้วแหละ Fraud and Deception are Widespread การฉ้อฉลมันกระจายวงไปกว้างไกลมาก อุตสาหกรรมยาเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีการคอรัปชั่นมากที่สุด บิ้กฟาร์ม่าหลายแห่งถูกกล่าวหาว่าขายยาที่เป็นอันตราย หรืออาจถึงชีวิตได้ ...อุตสาหกรรมนี้เคยถูกสั่งปรับมาแล้วถึงมากกว่า $5 หมื่นล้านในรอบยี่สิบปีที่ผ่านมา ...เมื่อปี 2012 Glaxo Smith Kline (GSK) ก็ถูกปรับไป $3 พันล้านในสหรัฐที่ขายยาผิดประเภท และจ่ายสินบนแก่แพทย์ และปิดบังผลวิจัย นอกจากนี้ GSK ยังถูกปรับที่อินเดีย อัฟริกาใต้และอังกฤษ แต่บริษัทนี้ขายยาแค่รายการเดียวก็อาจเป็นจำนวนเงินที่มากกว่าค่าปรับหลายเท่าตัวก็ได้สบาย ๆ อุตสาหกรรมยามีประวัติการโฆษณายาเกินจริง..ไม่บอกถึงผลด้อยของคุณภาพ..และปิดบังผลร้ายของยามานานแล้ว ...จากการศึกษาเมื่อเร็ว ๆ นี้ แสดงให้เห็นว่า เวชภัณท์มีผลร้ายมากกว่าที่ผู้ผลิตแจ้งไว้ถึง 4 เท่าส่งผลให้มีผู้ป่วยต้องเข้าโรงพยาบาลถึงสองแสนกว่าคนในอังกฤษ และอีกสองล้านคนในสหรัฐในแต่ละปี นอกจากนี้ยังมีกรณีเสียชีวิตอีกถึง 55,000 รายจากยาแก้ปวด แต่ข้อมูลเหล่านี้ถูกปิดบังโดย Merck ผู้ผลิตยา ....ยังมีผู้เสียชีวิตจากโรคหัวใจ จากผลของยารักษาเบาหวาน ตอนนี้มีหลักฐานว่าบริษัทยาเหล่านี้มีการจัดการยักย้ายงานวิจัยของตน พวกนี้ทดสอบยาของตนเอง และออกผลทดสอบที่แสดงแต่ส่วนดีและซ่อนส่วนที่เป็นโทษ อุตสาหกรรมยาใช้เงินล้อบบี้รัฐบาลสหรัฐมากกว่าอุตสาหกรรมอื่น ๆ ..ปี 2018 มีการใช้เงินถึง $2.8 แสนล้าน นี่แสดงให้เห็นถึงการไร้กฏระเบียบของอุตสาหกรรมนี้ ถึงแม้สหรัฐจะมี Food and Drug Administration (FDA) แต่หน่วยงานนี้ก็มีงบประมาณไม่พอ ทำให้เกิดผลประโยชน์ทับซ้อน ...เจ้าหน้าที่ในสต้าฟมีสัมพันธภาพกับอุตสาหกรรมนี้ อดีตผอ. FDA ก็ออกไปทำงานกับ Pfizer ...ส่วนอดีตสมาชิกสภาคองเกรสจำนวนไม่น้อยก็ไปรับจ้อบเป็นล้อบบี้ยิสต์ให้กับอุตสาหกรรมยา สถานการณ์ของการรักษากฏของเรื่องนี้ในอังกฤษยิ่งร้ายหนักกว่าอีก อังกฤษไม่เคยมีการลงโทษบริษัทยาซักแห่งเลย มีการปรับเล็กน้อยรวมกันแค่ £73,300 แต่ไม่เคยมีการบังคับใช้กฏหมายอย่างจริงจังเลย Not Fit For Purpose แทบทุกประเทศที่มีหน่วยงานเกี่ยวกับอาหารและยามักจะตายใจไม่นึกว่าอุตสาหกรรมยาน่ะมันเชี่..แค่ไหน พวกสื่อเองก็เงียบไม่พูดถึงกำ ไรมหาศาลของบริษัทยาเพราะรับทรัพย์ไปเยอะ ...อุตสาหกรรมนี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของอุตสาหกรรมที่ไม่ได้เกิดขึ้นเพื่อสนองจุดประสงค์แท้จริงของสาธารณชน (not fit for purpose) มันทำความล้มเหลวทั้งในประเทศร่ำรวยและยากจนถ้วนหน้า ถ้าอุตสาหกรรมนี้เป็นเรื่องที่ดำเนินงานไปโดยหน่วยงานของชาติ ยาทุกชนิดจะมีราคาเป็นแค่เศษเสี้ยวของราคาปัจจุบัน ไม่ต้องมีปัญหายาปลอม ไม่ต้องมีการล็อบบี้ ไม่ต้องมีการแย่งชิงสิทธิบัตร ประเทศยากจนเข้าถึงยาได้ง่าย ๆ ที่ราคาต่ำมาก ๆ จนอาจให้เปล่าได้เลย ถ้าเราพูดถึงการต่อสู้ความยากจนของโลกจริง ๆ แล้ว นี่เป็นเรื่องแรก ๆ ที่ต้องทำ ....แต่ความเป็นไปได้ที่อุตสาหกรรมยาควรจะเป็นเรื่องที่รัฐบาลดำเนินงานเอง เป็นเรื่องที่ไม่เคยมีใครพูดถึงเลย...... ***ผมไม่ได้แปลส่วนเชิงอรรถในบทความนะครับ แต่เพื่อน ๆ ดูได้ในบทความต้นฉบับนะครับ*** https://medium.com/elephantsintheroom/42-the-crimes-of-the-pharmaceutical-industry-5fee08225cbb
    MEDIUM.COM
    42) The Crimes of the Pharmaceutical Industry
    “The history of medicine is littered with wonderful early results which over a period of time turn out to be not so wonderful…
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 473 มุมมอง 0 รีวิว
  • ทหารรับจบอีกแล้ว!

    https://www.nationtv.tv/health-lifestyle/378954975

    ทหารรับจบอีกแล้ว! https://www.nationtv.tv/health-lifestyle/378954975
    Haha
    1
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 224 มุมมอง 0 รีวิว
  • กระบวนการบิดเบี้ยวของระบบสุขภาพ
    ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
    ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก
    มหาวิทยาลัยรังสิต

    ⭐️⭐️⭐️
    (ตอนที่ 1)
    ความยั่งยืนของระบบสุขภาพนั้นประกอบไปด้วยความตระหนักของประชาชนในการดูแลตัวเองด้วยข้อมูลที่ถูกต้องและเพาะบ่ม ตั้งแต่ในครอบครัวในโรงเรียนตั้งแต่อนุบาลต่อเนื่องไปทั้งชีวิต
    การละทิ้งการรักษาตัวเองจะก่อให้เกิดโรคทางสุขภาพมากมายทำให้คนไทย เปราะบางและพร้อมที่จะเกิดโรคต่างๆในระดับความรุนแรงมากกว่าปกติและแม้เมื่อกระทบกับโรคติดเชื้อกลับถึงกับเสียชีวิต อย่างง่ายดาย
    การโหมประโคม การรักษาฟรีได้ทุกโรคโดยไม่บอกความจริงถึงงบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัด และเพิ่มสิทธิประโยชน์โดยที่ประชาชนไม่ทราบว่าการรักษานั้นไม่ได้ถึงขีดสุดตามที่ควรจะเป็น
    และแม้ว่าจะสามารถรักษาโรคบางอย่างได้ดีเช่นหลอดเลือดหัวใจตันหรือภาวะไตวายซึ่งมีการต่อสู้กันอย่างเนิ่นนานให้เป็นการฟอกเลือดแทนการล้างไตในช่องท้องซึ่งประชาชนและครอบครัวยังไม่พร้อมก่อให้เกิดการติดเชื้อและเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว
    แต่จำนวนผู้ป่วยเหล่านี้ปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณจนแพทย์พยาบาลและบุคลากรผู้เชี่ยวชาญรับมือไม่ไหว อย่างเช่นประเทศเกาหลีใต้ซึ่งมีการหยุดงานประท้วงของแพทย์ นักศึกษาแพทย์จนกระทั่งถึงลาออก ทั้งนี้เนื่องจากไม่เข้าใจว่าการให้บุคลากรที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญเหล่านี้ยังอยู่ในระบบได้เป็นเรื่องสำคัญที่สุด ไม่ใช่เร่งผลิตแพทย์เอาแต่ปริมาณจำนวนและในที่สุดแล้วมีปัญหาเรื่องคุณภาพและผลกระทบก็คือตกอยู่ที่ประชาชนคนป่วยและขาดความเชื่อมั่นในระบบสาธารณสุขรวมถึงการฟ้องร้องอย่างรุนแรง

    ประเด็นที่เกี่ยวโยงกัน คือการหาประโยชน์จากระบบสุขภาพกลายเป็นห่วงโซ่ธุรกิจข้ามชาติ ทั้งนี้
    ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามีอิทธิพลของบริษัทยา วัคซีนและเครื่องมือแพทย์ต่างๆ โยงไปถึง หน่วยงานหลักของรัฐบาลในแต่ละประเทศ และจนกระทั่งองค์กรหลัก ของโลก และในประเทศตะวันตก ซึ่งระบบสาธารณสุขของไทยยึดถือตามเอาอย่างโดยไม่ผิดเพี้ยน

    การปล่อยออกตลาด ของวัคซีนโควิดในสภาวะฉุกเฉิน แต่กระนั้นก็ต้องมีการศึกษาความปลอดภัยในมนุษย์เป็นขั้นตอนที่หนึ่ง

    ครอบครัวของเด็กหญิงอายุ 12 ปีที่เป็นอาสาสมัครเข้ารับวัคซีนไฟเซอร์ในการศึกษาในมนุษย์ระยะที่หนึ่งในเรื่องความปลอดภัย ปรากฏว่าหลังเข็มที่หนึ่งมีแต่ไข้เจ็บแขนและหายไป แต่หลังเข็มที่สองเกิดอาการมหาศาลตามต่อ 20 ถึง 30 อาการ ต้องเข้าโรงพยาบาล
    อาสาสมัครเหล่านี้นำไปรายงานใน วารสารนิวอิงแลนด์ วันที่ 27 พฤษภาคม 2021 และสรุปว่าอาสาสมัครที่ได้รับวัคซีนต่างมีอาการเล็กน้อยไม่รุนแรงและกล่าวถึงเด็กหญิงคนนี้ว่าอาการไม่น่าวิตกอะไรและเป็นเพียงปวดท้องเนื่องจากความเครียดทางอารมณ์
    หลังจากนั้นอีกไม่นานข้อมูลเหล่านี้ถูกนำไปใช้ในเรื่องความปลอดภัยของวัคซีนและนำไปสู่การศึกษาในมนุษย์อย่างรวดเร็วจนกระทั่งมีการใช้จริงในกลางปี 2021

    วิดีโอนี้เป็นการบันทึกคำให้การของมารดาของเด็กหญิงที่ได้รับผลกระทบและขณะนี้ ยังต้องนั่งรถเข็นและใส่สายยางให้อาหาร เป็นคำให้การและหลักฐานต่อวุฒิสมาชิกและยังมีผู้ป่วยอีกหลายรายที่ได้รับผลกระทบ
    เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าการตีพิมพ์ในวารสาร ชั้นหนึ่งอันดับโลกมึความบิดเบี้ยว และในบทความตีพิมพ์นี้ นายแพทย์ที่เป็นชื่อแรกคือคนที่รับผิดชอบและดูแลผู้ป่วยรายนี้ด้วยซ้ำ

    กรุณาดูวิดีโอชิ้นนี้ ทั้งนี้เป็นภาษาอังกฤษทั้งหมดไม่ได้มีการตัดต่อใดๆ

    https://youtu.be/L2GKPYzL_JQ?si=VKECXgj_GwGoqKzL

    ยาที่ถูกแสนถูกหมดสิทธิบัตรแล้วและถูกห้ามใช้อย่างรุนแรงจากองค์กรสากลต่างๆ รวมทั้งในประเทศไทย
    ในที่สุด FDA สหรัฐ แพ้คดี ต้องถอนข้อความในการห้ามใช้ ยาฆ่าพยาธิ ไอเวอร์เมคติน ในการป้องกัน และรักษาโควิด และที่มีการดูถูกถากถาง และส่งผลให้แพทย์ถูกลงโทษ

    อีกตัวอย่างที่น่ากลัวคือ การถ่ายทอดผ่านรกของวัคซีน COVID-19 mRNA
    หลักฐานจากการวิเคราะห์รก มารดา และเลือดจากสายสะดือหลังการฉีดวัคซีน

    https://www.ajog.org/article/S0002-9378(24)00063-2/fulltext?fbclid=IwAR213l0Ygqu3FCbE-9iXZ6eZUDjwBk6JnfHex9JA1W2CQKokz62WLOj7tpI

    ประเด็นที่ร้ายแรงต่อตามมาก็คือ ผลผลิตของนวัตกรรมซึ่งสามารถเกิดขึ้น อย่างมหัศจรรย์ แบบผิดธรรมชาติ จากวัคซีนโควิด
    นวัตกรรมนี้สามารถสร้างความเสียหายโดยผ่านกลไกหลายระบบ แบบที่พบเห็นกันทั่วไปจากกลไกทางด้านภูมิคุ้มกัน

    แต่ที่พิเศษไปกว่านั้น คือความสามารถที่จะฝังตัวอยู่ในร่างกายมนุษย์ไปนานเป็นปี และสั่งให้ร่างกายมนุษย์สร้างโปรตีนหนาม เป็นเป้าล่อให้กระบวนการภูมิคุ้มกันของมนุษย์เข้ามาทำลาย ซึ่งก็หมายความว่าทำร้ายตัวเอง

    นอกจากนั้นโปรตีนหนามนี้ เข้าไปสอดแทรกในเนื้อเยื่อที่ลึกลงไป ก่อให้เกิดการอักเสบมีรูพรุนเหมือนฟองน้ำ และต่อมา ชิ้นของเนื้อเยื่อที่ถูกทำลายจะค่อยๆ ทะลักออกมาทางผิวเซลล์ที่ถูกทำลาย

    และในกรณีของหลอดเลือดจะทะลักออกมาในกระแสเลือดโดยโปรตีนนี้ จะเหนี่ยวนำ ให้เกิดโปรตีนบิดเกลียว misfolded protein ลักษณะเป็นอมิลอยด์ ซึ่งไม่สามารถย่อยได้ด้วยเอนไซม์ และค่อยๆ สะสมขึ้นทีละน้อย ลักษณะอาจเป็นก้อนหรือเป็นแท่งหล่อ พบ ขณะมีชีวิตและเมื่อตายแล้ว และไม่จำเป็นต้องเกิดทุกคน
    กลไกจากนวัตกรรมนี้ จนได้ผลิตผล ขั้นสูงสุดดังกล่าวเป็นสิ่งที่ผิดธรรมชาติ และ “ถ้าผู้มีส่วนได้ส่วนเสียยอมรับว่าเกิดขึ้นได้นั้น” หมายความว่าแพลตฟอร์มของนวัตกรรมนี้ที่จะนำมาใช้สำหรับโรคอื่นทุกชนิดที่จะเปลี่ยนรูปแบบทุกอย่างในโลกนี้ ต้องถูกระงับ
    เป็นคำอธิบายชัดเจนในการต่อต้าน

    ทั้งนี้ ได้สรุปเหตุผลและหลักฐานทางวิทยาศาสตร์อย่างละเอียดจากนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของประเทศเยอรมันและเจ้าหน้าที่ในสหรัฐ
    กลุ่มของนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำไม่สามารถนำลงไปตีพิมพ์ในวารสารได้ เพราะได้รับการต่อต้านตั้งแต่ พบหลักฐานใน 15 รายแรกและได้แจ้งให้สมาคม ราชวิทยาลัยของประเทศให้จับตาและทำการศึกษาอย่างจริงจังแต่ได้รับการปฏิเสธโดยสิ้นเชิง

    ดังนั้น เป็นการเสนองานทางวิทยาศาสตร์อย่างละเอียดในที่ประชุมนานาชาติ จากการชันสูตรศพและวิเคราะห์เนื้อเยื่อทางกล้องจุลทรรศน์และทางฟิสิกส์จากศพ 100 ราย และจากชิ้นเนื้อจากผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ 20 ราย
    และข้อมูล ที่สำคัญที่มอบให้สื่อ ยังเป็นรายงานจากเจ้าหน้าที่ที่อยู่ใน cath lab ที่ไม่ระบุชื่อ anonymous whistle blower ที่โรงพยาบาลในสหรัฐที่ทำการฉีดสีและดูด ลาก ตัด ก้อนที่ปะปนกับลิ่มเลือดตามปกติออกมา ซึ่งได้ทำการรายงานโรงพยาบาลทันทีแต่ได้รับคำสั่งห้ามพูดเด็ดขาดไม่เช่นนั้นจะถูกไล่ออก เลยได้ทำการติดต่อโรงพยาบาลหลายแห่งในสหรัฐซึ่งก็พบปรากฏการณ์เช่นนี้และทุกแห่งถูกสั่งห้ามพูด

    ทั้งนี้จะมีโรงพยาบาลหลักในสหรัฐซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับการมีส่วนได้ส่วนเสียเหล่านี้
    และสนับสนุนนวัตกรรมนี้ทำการปิดกั้นผลกระทบ เหล่านี้ อย่างสิ้นเชิง

    ศูนย์ความเป็นเลิศ ด้านการแพทย์บูรณาการและสาธารณสุข
    มหาวิทยาลัยรังสิต
    https://www.facebook.com/share/p/156oKE5AFU/

    https://www.facebook.com/share/1C1p7pDaYb/

    ⭐️⭐️⭐️
    (ตอนที่ 2)

    ปรากฏการณ์ที่กระทบมนุษย์นั้นเริ่มเห็นหนาตาขึ้น จนปิดไม่มิดและประชาชนได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้า
    สำหรับคนที่ยังไม่เกิดอาการและไม่เห็นความสำคัญ ของข้อมูลเหล่านี้ต้องไม่ลืมว่าต้องรอถึงอย่างน้อย 10 ปีจึงจะแน่ใจว่าอยู่รอดปลอดภัย

    วัคซีน นวัตกรรมอำมหิตนี้ 1- มันไม่ได้อยู่ที่ต้นแขนเท่านั้น 2- มันเลื้อยเข้ากระแสเลือด 3- มันซึมเข้าไปในเซลล์ทุกแห่งในเนื้อเยื่อและทุกอวัยวะ 4- มันบังคับให้เราสร้างโปรตีนหนามในเซลล์
    5- โปรตีนหนามเป็นพิษต่อเซลล์ 6-โปรตีนหนามยังเป็นเป้าล่อให้ร่างกายพยายามทำลายเลยเกิดการอักเสบในร่างกาย 7- สิ่งที่หลุดรั่วออกมาจากผนังเซลล์และเนื้อเยื่อมีปฏิกิริยาเหนียวนำทำให้เกิดโปรตีนชนิดใหม่เป็นอมิลอยด์โปรตีนเข้าไปในหลอดเลือด 8- มันยังมีสิ่งแปลกปลอมเพราะกระบวนการผลิตมีดีเอ็นเอปนเปื้อนและยังมียีนส์ที่ทำให้มันเข้าไปเสียบในโครโมโซมของมนุษย์
    9-คุณสมบัติของอนุภาคนาโนไขมันที่มีขยะอยู่มากและพร้อมที่จะเข้าไปเสียบในโครโมโซมของมนุษย์โดยเฉพาะที่พิสูจน์แล้วคือโครโมโซมที่เก้าและสิบสอง และ 10- สิ่งที่ควรทำและต้องทำคือต้องหยุดการฉีดมันเข้าร่างกายมนุษย์

    สมควรแล้วหรือไม่ที่มีเทคโนโลยีนี้นำมาใช้ในโรคชนิดต่างๆที่ทยอยกันออกมา
    สมควรหรือไม่ที่ต้องออกมารับผิดชอบเยียวยาผู้ที่เสียชีวิตและพิการตลอดชีวิต

    หยุด “มัน” เดี๋ยวนี้และเปิดโปงผู้ได้รับผลประโยชน์จาก “มัน”
    ขั้นตอนที่จะสู้คือการพัฒนาการตรวจจากเลือดเพื่อดูปริมาณของสารผิดปกตินี้ และใช้ยาถอนพิษซึ่งขณะนี้มีหลายตำรับด้วยกันโดยที่ต้องประเมินประสิทธิภาพและความปลอดภัย
    (ไทยรัฐ สุขภาพหรรษา หมอดื้อ นวตกรรมอำมหิต ตอนหนึ่งและสอง)

    ประเด็นของ ขององค์การอนามัยโลก และยึดโยงลงเกี่ยวข้องกับประเทศไทยในเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วลากมาปัจจุบันและที่คนไทยจะเจออะไรในอนาคต
    Tucker Carlson น่าจะเป็นคนเดียวที่หยิบยก และคนเริ่มหันมาสนใจหลาย ล้านคนแล้ว
    https://youtu.be/4MIESbBnA2k?si=JV-UPUa9oHZkP25Y
    โดยที่ องค์การจะทำการควบคุมทุกอย่าง ในการตัดสินภาวะฉุกเฉินและสามารถกำหนดให้ประเทศภาคีต้องปฏิบัติตามทั้งในด้านยาผลิตภัณฑ์ ชนิดของวัคซีน และทั้งหลายทั้งปวงโดยเคร่งครัด บิดพริ้ว ไม่ได้
    ไม่สามารถคิดเองทำเองได้โดยเด็ดขาด และสามารถปิดกั้นข้อมูลที่ไม่สอดคล้องได้อย่างสมบูรณ์ทั้งโลกเป็น เรียลไทม์
    ไทยก็เป็นประเทศหนึ่งในภาคีเครือข่าย เนื้อหา บทกำหนดใหม่นั้น มีการตกแต่งต่อเติม อ่านแล้ว งงงวย สรุปคือ ถ้ายอมตามก็เป็นไปตามนั้น และองค์กรถ้าทำผิดพลาดจะไม่ต้องรับผิดชอบ ซึ่งฟังดูคุ้นๆ ให้ประเทศรับผิดชอบกันเอง

    ควรหรือไม่ควรที่จะมีการถามจุดยืนของประเทศไทย หรือจะทำอย่างที่ทำมาตลอด ฝรั่งว่าดี ถึงจะทำ ถ้ามีคำแนะนำอะไร ของฝรั่งถือว่าดีที่สุด สมาคมราชวิทยาลัยต่างประเทศ ว่าอย่างไรต้องทำตาม ไม่มีใครเคยฉุกคิดว่า ข้อมูลที่ปรากฏผลที่ประมวลมีการตั้งใจที่จะตัดข้อมูลบางส่วนทิ้งที่ทำให้สถิติออกมา ดูดีหรือไม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ตรวจสอบไม่ได้

    การอ่านวารสารในปัจจุบัน โดยเฉพาะในส่วนที่ผลออกมาดีอย่างผิดธรรมชาติ หรือเลวอย่างไม่น่าเป็นไปได้ จำเป็นต้องหาข้อมูลรอบด้าน totality of evidence สิ่งที่เห็นรอบตัว
    ยกตัวอย่างเช่น ประเทศไทย โดยทางการ แถลงทุกสื่อเมื่อไม่นานมานี้ ประกาศว่า
    มีคนได้รับผลกระทบของวัคซีนโควิดอย่างรุนแรงทั้งประเทศ และเสียชีวิตมี จำนวนห้ารายเท่านั้น
    ดังนั้นอัตราส่วนคือหนึ่งต่อ 1,000,000 คน
    และข้อร้องเรียนอื่นๆนั้น เมื่อพิจารณา อย่างถี่ถ้วนแล้วว่าพบว่าไม่เกี่ยวข้องกับวัคซีน

    รายงานในวารสารโดยจากคณะกรรมการพิจารณาผลข้างเคียงของวัคซีนในประเทศไทย บอกว่าวัคซีนปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ มีผลข้างเคียง“น้อยมาก” และ“ไม่รุนแรง”
    ในขณะที่สถาบันในประเทศไทยที่ไม่มีอคติทับซ้อนกลับรายงาน ตรงข้าม

    ประชาชนพยายามที่จะบอกว่าได้มีคำร้องไปแล้วครอบครัวมีคนตายไปแล้วแต่ไม่เข้าเกณฑ์ถูกปัดตกมากมาย หรือที่มีการชดเชย โดย สปสช ไปแล้วก็จะมีการสรุปว่าเป็นตัวเลขที่บรรเทาความเดือดร้อน เท่านั้น ยัง ไม่ได้ พิสูจน์ เกี่ยวข้องกับวัคซีน

    เนื้อหาทางด้านล่างนี้เป็นคำบรรยายตามสูตรของกระทรวงสาธารณสุข อ่านแล้วพิจารณาให้ดี

    ……กองระบาด กรมการแพทย์ไม่ได้มีการปิดบังข้อมูลอะไรเลยเกี่ยวกับผลข้างเคียงของวัคซีนมีการตรวจสอบถูกต้องตามระบบของ WHO

    สปสช จ่ายเงินเยียวยา โดยไม่ได้ใช้ฐานข้อมูลและผลสรุปของกองระบาดซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญในการตรวจสอบผลข้างเคียงที่มีความถูกต้องกว่า
    เนื่องจากตอนนั้น รัฐบาลมีความกังวลว่าคนจะไม่ไปฉีดวัคซีน จึงยอมจ่ายค่าเยียวยา ซึ่งหลายๆครั้งไม่มีการตรวจสอบที่ถูกต้องครับ เพื่อให้การเยียวยาเบื้องต้นไปก่อน

    สรุปว่าเมื่อ ทางการ จะทำการอ้างอะไร จะเป็นไปตามเบื้องบนองค์กรสั่ง ใช้กรรมการที่ไม่ได้ประกาศชื่อว่ามีใครบ้าง และถ้าความเป็นจริงปรากฏตรงข้ามดังที่เห็นในปัจจุบัน จะต้องรับผิดชอบ ความผิดในการปกปิดบิดเบือนข้อมูลหรือไม่ และจะถูกลงโทษประการใดหรือไม่?

    ทำให้คนไทยต้องมองดูรอบตัว และถ้ายังคงเป็นเช่นนี้อยู่คนไทยมีสิทธิ์ที่จะเรียกร้องให้เปิดเผยความเป็นจริงทุกอย่างและได้รับการเยียวยาที่ถูกต้องใช่หรือไม่

    องค์การอนามัยโลก (WHO) สามารถจะทำการควบคุมทุกอย่าง ในการตัดสินภาวะฉุกเฉิน และสามารถกำหนดให้ประเทศภาคี “ต้อง” ปฏิบัติตามทั้ง ในด้านยา ผลิตภัณฑ์ ชนิดของวัคซีน และทั้งหลายทั้งปวงโดยเคร่งครัด บิดพริ้ว ไม่ได้ ก็ด้วยข้อตกลงระหว่างประเทศกฎอนามัยระหว่างประเทศ (International Health Regulations หรือ IHR)
    ยิ่งกว่านั้น “ภาวะฉุกเฉิน” นอกจากหมายถึงโรคระบาด WHO ยังสามารถประกาศภาวะอะไรตามแต่ ผอ.WHO จะตัดสินตามใจชอบ เช่น มีการโหมโรงจาก บิลล์ เกตส์ องค์การโลกอื่นๆ รวมถึง World Economic Forum (WEF) ว่า public health emergency (PHE) จะกลายเป็นผู้กำหนดและบริหารระเบียบโลก (New World Order, NWO)

    ทั้งร่าง IHR และ PHE ใหม่กำลังจะประชุมตัวแทนประเทศสมาชิกลงนามรับในเดือน พฤษภาคม 2567 ที่จะมาถึง รัฐบาลไทยจะต้องปฏิเสธทั้ง สอง ฉบับเด็ดขาด หากแม้นรับเพียงอันหนึ่งอันใดก็ตาม ตามที่ผู้เชี่ยวชาญได้เตือนไว้ จะหมายถึงการเสียอธิปไตยของประเทศให้แก่ WHO ที่ไม่อาจบิดพริ้วได้

    ฟังคลิปสั้นที่แนบโดยทนายสวิส Phillip Kruse บรรยายถึงอันตราย WHO ถอดความจากงานสัมมนา International COVID Summit ครั้งที่ 5 ด้านล่าง
    https://rumble.com/v4finab-excerpts-from-the-international-covid-summit-5.html?utm_source=substack&utm_medium=email

    สิ่งที่เห็นด้วยตาของทุกคนเป็นความจริงหนึ่งเดียว

    https://www.facebook.com/share/1C1p7pDaYb/
    https://www.facebook.com/share/p/156oKE5AFU/

    ขอขอบคุณ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา
    ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก
    มหาวิทยาลัยรังสิต
    🙏🙏🙏
    กระบวนการบิดเบี้ยวของระบบสุขภาพ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต ⭐️⭐️⭐️ (ตอนที่ 1) ความยั่งยืนของระบบสุขภาพนั้นประกอบไปด้วยความตระหนักของประชาชนในการดูแลตัวเองด้วยข้อมูลที่ถูกต้องและเพาะบ่ม ตั้งแต่ในครอบครัวในโรงเรียนตั้งแต่อนุบาลต่อเนื่องไปทั้งชีวิต การละทิ้งการรักษาตัวเองจะก่อให้เกิดโรคทางสุขภาพมากมายทำให้คนไทย เปราะบางและพร้อมที่จะเกิดโรคต่างๆในระดับความรุนแรงมากกว่าปกติและแม้เมื่อกระทบกับโรคติดเชื้อกลับถึงกับเสียชีวิต อย่างง่ายดาย การโหมประโคม การรักษาฟรีได้ทุกโรคโดยไม่บอกความจริงถึงงบประมาณที่มีอยู่อย่างจำกัด และเพิ่มสิทธิประโยชน์โดยที่ประชาชนไม่ทราบว่าการรักษานั้นไม่ได้ถึงขีดสุดตามที่ควรจะเป็น และแม้ว่าจะสามารถรักษาโรคบางอย่างได้ดีเช่นหลอดเลือดหัวใจตันหรือภาวะไตวายซึ่งมีการต่อสู้กันอย่างเนิ่นนานให้เป็นการฟอกเลือดแทนการล้างไตในช่องท้องซึ่งประชาชนและครอบครัวยังไม่พร้อมก่อให้เกิดการติดเชื้อและเสียชีวิตอย่างรวดเร็ว แต่จำนวนผู้ป่วยเหล่านี้ปริมาณเพิ่มขึ้นอย่างทวีคูณจนแพทย์พยาบาลและบุคลากรผู้เชี่ยวชาญรับมือไม่ไหว อย่างเช่นประเทศเกาหลีใต้ซึ่งมีการหยุดงานประท้วงของแพทย์ นักศึกษาแพทย์จนกระทั่งถึงลาออก ทั้งนี้เนื่องจากไม่เข้าใจว่าการให้บุคลากรที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญเหล่านี้ยังอยู่ในระบบได้เป็นเรื่องสำคัญที่สุด ไม่ใช่เร่งผลิตแพทย์เอาแต่ปริมาณจำนวนและในที่สุดแล้วมีปัญหาเรื่องคุณภาพและผลกระทบก็คือตกอยู่ที่ประชาชนคนป่วยและขาดความเชื่อมั่นในระบบสาธารณสุขรวมถึงการฟ้องร้องอย่างรุนแรง ประเด็นที่เกี่ยวโยงกัน คือการหาประโยชน์จากระบบสุขภาพกลายเป็นห่วงโซ่ธุรกิจข้ามชาติ ทั้งนี้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ามีอิทธิพลของบริษัทยา วัคซีนและเครื่องมือแพทย์ต่างๆ โยงไปถึง หน่วยงานหลักของรัฐบาลในแต่ละประเทศ และจนกระทั่งองค์กรหลัก ของโลก และในประเทศตะวันตก ซึ่งระบบสาธารณสุขของไทยยึดถือตามเอาอย่างโดยไม่ผิดเพี้ยน การปล่อยออกตลาด ของวัคซีนโควิดในสภาวะฉุกเฉิน แต่กระนั้นก็ต้องมีการศึกษาความปลอดภัยในมนุษย์เป็นขั้นตอนที่หนึ่ง ครอบครัวของเด็กหญิงอายุ 12 ปีที่เป็นอาสาสมัครเข้ารับวัคซีนไฟเซอร์ในการศึกษาในมนุษย์ระยะที่หนึ่งในเรื่องความปลอดภัย ปรากฏว่าหลังเข็มที่หนึ่งมีแต่ไข้เจ็บแขนและหายไป แต่หลังเข็มที่สองเกิดอาการมหาศาลตามต่อ 20 ถึง 30 อาการ ต้องเข้าโรงพยาบาล อาสาสมัครเหล่านี้นำไปรายงานใน วารสารนิวอิงแลนด์ วันที่ 27 พฤษภาคม 2021 และสรุปว่าอาสาสมัครที่ได้รับวัคซีนต่างมีอาการเล็กน้อยไม่รุนแรงและกล่าวถึงเด็กหญิงคนนี้ว่าอาการไม่น่าวิตกอะไรและเป็นเพียงปวดท้องเนื่องจากความเครียดทางอารมณ์ หลังจากนั้นอีกไม่นานข้อมูลเหล่านี้ถูกนำไปใช้ในเรื่องความปลอดภัยของวัคซีนและนำไปสู่การศึกษาในมนุษย์อย่างรวดเร็วจนกระทั่งมีการใช้จริงในกลางปี 2021 วิดีโอนี้เป็นการบันทึกคำให้การของมารดาของเด็กหญิงที่ได้รับผลกระทบและขณะนี้ ยังต้องนั่งรถเข็นและใส่สายยางให้อาหาร เป็นคำให้การและหลักฐานต่อวุฒิสมาชิกและยังมีผู้ป่วยอีกหลายรายที่ได้รับผลกระทบ เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าการตีพิมพ์ในวารสาร ชั้นหนึ่งอันดับโลกมึความบิดเบี้ยว และในบทความตีพิมพ์นี้ นายแพทย์ที่เป็นชื่อแรกคือคนที่รับผิดชอบและดูแลผู้ป่วยรายนี้ด้วยซ้ำ กรุณาดูวิดีโอชิ้นนี้ ทั้งนี้เป็นภาษาอังกฤษทั้งหมดไม่ได้มีการตัดต่อใดๆ https://youtu.be/L2GKPYzL_JQ?si=VKECXgj_GwGoqKzL ยาที่ถูกแสนถูกหมดสิทธิบัตรแล้วและถูกห้ามใช้อย่างรุนแรงจากองค์กรสากลต่างๆ รวมทั้งในประเทศไทย ในที่สุด FDA สหรัฐ แพ้คดี ต้องถอนข้อความในการห้ามใช้ ยาฆ่าพยาธิ ไอเวอร์เมคติน ในการป้องกัน และรักษาโควิด และที่มีการดูถูกถากถาง และส่งผลให้แพทย์ถูกลงโทษ อีกตัวอย่างที่น่ากลัวคือ การถ่ายทอดผ่านรกของวัคซีน COVID-19 mRNA หลักฐานจากการวิเคราะห์รก มารดา และเลือดจากสายสะดือหลังการฉีดวัคซีน https://www.ajog.org/article/S0002-9378(24)00063-2/fulltext?fbclid=IwAR213l0Ygqu3FCbE-9iXZ6eZUDjwBk6JnfHex9JA1W2CQKokz62WLOj7tpI ประเด็นที่ร้ายแรงต่อตามมาก็คือ ผลผลิตของนวัตกรรมซึ่งสามารถเกิดขึ้น อย่างมหัศจรรย์ แบบผิดธรรมชาติ จากวัคซีนโควิด นวัตกรรมนี้สามารถสร้างความเสียหายโดยผ่านกลไกหลายระบบ แบบที่พบเห็นกันทั่วไปจากกลไกทางด้านภูมิคุ้มกัน แต่ที่พิเศษไปกว่านั้น คือความสามารถที่จะฝังตัวอยู่ในร่างกายมนุษย์ไปนานเป็นปี และสั่งให้ร่างกายมนุษย์สร้างโปรตีนหนาม เป็นเป้าล่อให้กระบวนการภูมิคุ้มกันของมนุษย์เข้ามาทำลาย ซึ่งก็หมายความว่าทำร้ายตัวเอง นอกจากนั้นโปรตีนหนามนี้ เข้าไปสอดแทรกในเนื้อเยื่อที่ลึกลงไป ก่อให้เกิดการอักเสบมีรูพรุนเหมือนฟองน้ำ และต่อมา ชิ้นของเนื้อเยื่อที่ถูกทำลายจะค่อยๆ ทะลักออกมาทางผิวเซลล์ที่ถูกทำลาย และในกรณีของหลอดเลือดจะทะลักออกมาในกระแสเลือดโดยโปรตีนนี้ จะเหนี่ยวนำ ให้เกิดโปรตีนบิดเกลียว misfolded protein ลักษณะเป็นอมิลอยด์ ซึ่งไม่สามารถย่อยได้ด้วยเอนไซม์ และค่อยๆ สะสมขึ้นทีละน้อย ลักษณะอาจเป็นก้อนหรือเป็นแท่งหล่อ พบ ขณะมีชีวิตและเมื่อตายแล้ว และไม่จำเป็นต้องเกิดทุกคน กลไกจากนวัตกรรมนี้ จนได้ผลิตผล ขั้นสูงสุดดังกล่าวเป็นสิ่งที่ผิดธรรมชาติ และ “ถ้าผู้มีส่วนได้ส่วนเสียยอมรับว่าเกิดขึ้นได้นั้น” หมายความว่าแพลตฟอร์มของนวัตกรรมนี้ที่จะนำมาใช้สำหรับโรคอื่นทุกชนิดที่จะเปลี่ยนรูปแบบทุกอย่างในโลกนี้ ต้องถูกระงับ เป็นคำอธิบายชัดเจนในการต่อต้าน ทั้งนี้ ได้สรุปเหตุผลและหลักฐานทางวิทยาศาสตร์อย่างละเอียดจากนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำของประเทศเยอรมันและเจ้าหน้าที่ในสหรัฐ กลุ่มของนักวิทยาศาสตร์ชั้นนำไม่สามารถนำลงไปตีพิมพ์ในวารสารได้ เพราะได้รับการต่อต้านตั้งแต่ พบหลักฐานใน 15 รายแรกและได้แจ้งให้สมาคม ราชวิทยาลัยของประเทศให้จับตาและทำการศึกษาอย่างจริงจังแต่ได้รับการปฏิเสธโดยสิ้นเชิง ดังนั้น เป็นการเสนองานทางวิทยาศาสตร์อย่างละเอียดในที่ประชุมนานาชาติ จากการชันสูตรศพและวิเคราะห์เนื้อเยื่อทางกล้องจุลทรรศน์และทางฟิสิกส์จากศพ 100 ราย และจากชิ้นเนื้อจากผู้ที่ยังมีชีวิตอยู่ 20 ราย และข้อมูล ที่สำคัญที่มอบให้สื่อ ยังเป็นรายงานจากเจ้าหน้าที่ที่อยู่ใน cath lab ที่ไม่ระบุชื่อ anonymous whistle blower ที่โรงพยาบาลในสหรัฐที่ทำการฉีดสีและดูด ลาก ตัด ก้อนที่ปะปนกับลิ่มเลือดตามปกติออกมา ซึ่งได้ทำการรายงานโรงพยาบาลทันทีแต่ได้รับคำสั่งห้ามพูดเด็ดขาดไม่เช่นนั้นจะถูกไล่ออก เลยได้ทำการติดต่อโรงพยาบาลหลายแห่งในสหรัฐซึ่งก็พบปรากฏการณ์เช่นนี้และทุกแห่งถูกสั่งห้ามพูด ทั้งนี้จะมีโรงพยาบาลหลักในสหรัฐซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับการมีส่วนได้ส่วนเสียเหล่านี้ และสนับสนุนนวัตกรรมนี้ทำการปิดกั้นผลกระทบ เหล่านี้ อย่างสิ้นเชิง ศูนย์ความเป็นเลิศ ด้านการแพทย์บูรณาการและสาธารณสุข มหาวิทยาลัยรังสิต https://www.facebook.com/share/p/156oKE5AFU/ https://www.facebook.com/share/1C1p7pDaYb/ ⭐️⭐️⭐️ (ตอนที่ 2) ปรากฏการณ์ที่กระทบมนุษย์นั้นเริ่มเห็นหนาตาขึ้น จนปิดไม่มิดและประชาชนได้รับผลกระทบกันถ้วนหน้า สำหรับคนที่ยังไม่เกิดอาการและไม่เห็นความสำคัญ ของข้อมูลเหล่านี้ต้องไม่ลืมว่าต้องรอถึงอย่างน้อย 10 ปีจึงจะแน่ใจว่าอยู่รอดปลอดภัย วัคซีน นวัตกรรมอำมหิตนี้ 1- มันไม่ได้อยู่ที่ต้นแขนเท่านั้น 2- มันเลื้อยเข้ากระแสเลือด 3- มันซึมเข้าไปในเซลล์ทุกแห่งในเนื้อเยื่อและทุกอวัยวะ 4- มันบังคับให้เราสร้างโปรตีนหนามในเซลล์ 5- โปรตีนหนามเป็นพิษต่อเซลล์ 6-โปรตีนหนามยังเป็นเป้าล่อให้ร่างกายพยายามทำลายเลยเกิดการอักเสบในร่างกาย 7- สิ่งที่หลุดรั่วออกมาจากผนังเซลล์และเนื้อเยื่อมีปฏิกิริยาเหนียวนำทำให้เกิดโปรตีนชนิดใหม่เป็นอมิลอยด์โปรตีนเข้าไปในหลอดเลือด 8- มันยังมีสิ่งแปลกปลอมเพราะกระบวนการผลิตมีดีเอ็นเอปนเปื้อนและยังมียีนส์ที่ทำให้มันเข้าไปเสียบในโครโมโซมของมนุษย์ 9-คุณสมบัติของอนุภาคนาโนไขมันที่มีขยะอยู่มากและพร้อมที่จะเข้าไปเสียบในโครโมโซมของมนุษย์โดยเฉพาะที่พิสูจน์แล้วคือโครโมโซมที่เก้าและสิบสอง และ 10- สิ่งที่ควรทำและต้องทำคือต้องหยุดการฉีดมันเข้าร่างกายมนุษย์ สมควรแล้วหรือไม่ที่มีเทคโนโลยีนี้นำมาใช้ในโรคชนิดต่างๆที่ทยอยกันออกมา สมควรหรือไม่ที่ต้องออกมารับผิดชอบเยียวยาผู้ที่เสียชีวิตและพิการตลอดชีวิต หยุด “มัน” เดี๋ยวนี้และเปิดโปงผู้ได้รับผลประโยชน์จาก “มัน” ขั้นตอนที่จะสู้คือการพัฒนาการตรวจจากเลือดเพื่อดูปริมาณของสารผิดปกตินี้ และใช้ยาถอนพิษซึ่งขณะนี้มีหลายตำรับด้วยกันโดยที่ต้องประเมินประสิทธิภาพและความปลอดภัย (ไทยรัฐ สุขภาพหรรษา หมอดื้อ นวตกรรมอำมหิต ตอนหนึ่งและสอง) ประเด็นของ ขององค์การอนามัยโลก และยึดโยงลงเกี่ยวข้องกับประเทศไทยในเรื่องที่เกิดขึ้นแล้วลากมาปัจจุบันและที่คนไทยจะเจออะไรในอนาคต Tucker Carlson น่าจะเป็นคนเดียวที่หยิบยก และคนเริ่มหันมาสนใจหลาย ล้านคนแล้ว https://youtu.be/4MIESbBnA2k?si=JV-UPUa9oHZkP25Y โดยที่ องค์การจะทำการควบคุมทุกอย่าง ในการตัดสินภาวะฉุกเฉินและสามารถกำหนดให้ประเทศภาคีต้องปฏิบัติตามทั้งในด้านยาผลิตภัณฑ์ ชนิดของวัคซีน และทั้งหลายทั้งปวงโดยเคร่งครัด บิดพริ้ว ไม่ได้ ไม่สามารถคิดเองทำเองได้โดยเด็ดขาด และสามารถปิดกั้นข้อมูลที่ไม่สอดคล้องได้อย่างสมบูรณ์ทั้งโลกเป็น เรียลไทม์ ไทยก็เป็นประเทศหนึ่งในภาคีเครือข่าย เนื้อหา บทกำหนดใหม่นั้น มีการตกแต่งต่อเติม อ่านแล้ว งงงวย สรุปคือ ถ้ายอมตามก็เป็นไปตามนั้น และองค์กรถ้าทำผิดพลาดจะไม่ต้องรับผิดชอบ ซึ่งฟังดูคุ้นๆ ให้ประเทศรับผิดชอบกันเอง ควรหรือไม่ควรที่จะมีการถามจุดยืนของประเทศไทย หรือจะทำอย่างที่ทำมาตลอด ฝรั่งว่าดี ถึงจะทำ ถ้ามีคำแนะนำอะไร ของฝรั่งถือว่าดีที่สุด สมาคมราชวิทยาลัยต่างประเทศ ว่าอย่างไรต้องทำตาม ไม่มีใครเคยฉุกคิดว่า ข้อมูลที่ปรากฏผลที่ประมวลมีการตั้งใจที่จะตัดข้อมูลบางส่วนทิ้งที่ทำให้สถิติออกมา ดูดีหรือไม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ตรวจสอบไม่ได้ การอ่านวารสารในปัจจุบัน โดยเฉพาะในส่วนที่ผลออกมาดีอย่างผิดธรรมชาติ หรือเลวอย่างไม่น่าเป็นไปได้ จำเป็นต้องหาข้อมูลรอบด้าน totality of evidence สิ่งที่เห็นรอบตัว ยกตัวอย่างเช่น ประเทศไทย โดยทางการ แถลงทุกสื่อเมื่อไม่นานมานี้ ประกาศว่า มีคนได้รับผลกระทบของวัคซีนโควิดอย่างรุนแรงทั้งประเทศ และเสียชีวิตมี จำนวนห้ารายเท่านั้น ดังนั้นอัตราส่วนคือหนึ่งต่อ 1,000,000 คน และข้อร้องเรียนอื่นๆนั้น เมื่อพิจารณา อย่างถี่ถ้วนแล้วว่าพบว่าไม่เกี่ยวข้องกับวัคซีน รายงานในวารสารโดยจากคณะกรรมการพิจารณาผลข้างเคียงของวัคซีนในประเทศไทย บอกว่าวัคซีนปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ มีผลข้างเคียง“น้อยมาก” และ“ไม่รุนแรง” ในขณะที่สถาบันในประเทศไทยที่ไม่มีอคติทับซ้อนกลับรายงาน ตรงข้าม ประชาชนพยายามที่จะบอกว่าได้มีคำร้องไปแล้วครอบครัวมีคนตายไปแล้วแต่ไม่เข้าเกณฑ์ถูกปัดตกมากมาย หรือที่มีการชดเชย โดย สปสช ไปแล้วก็จะมีการสรุปว่าเป็นตัวเลขที่บรรเทาความเดือดร้อน เท่านั้น ยัง ไม่ได้ พิสูจน์ เกี่ยวข้องกับวัคซีน เนื้อหาทางด้านล่างนี้เป็นคำบรรยายตามสูตรของกระทรวงสาธารณสุข อ่านแล้วพิจารณาให้ดี ……กองระบาด กรมการแพทย์ไม่ได้มีการปิดบังข้อมูลอะไรเลยเกี่ยวกับผลข้างเคียงของวัคซีนมีการตรวจสอบถูกต้องตามระบบของ WHO สปสช จ่ายเงินเยียวยา โดยไม่ได้ใช้ฐานข้อมูลและผลสรุปของกองระบาดซึ่งมีผู้เชี่ยวชาญในการตรวจสอบผลข้างเคียงที่มีความถูกต้องกว่า เนื่องจากตอนนั้น รัฐบาลมีความกังวลว่าคนจะไม่ไปฉีดวัคซีน จึงยอมจ่ายค่าเยียวยา ซึ่งหลายๆครั้งไม่มีการตรวจสอบที่ถูกต้องครับ เพื่อให้การเยียวยาเบื้องต้นไปก่อน สรุปว่าเมื่อ ทางการ จะทำการอ้างอะไร จะเป็นไปตามเบื้องบนองค์กรสั่ง ใช้กรรมการที่ไม่ได้ประกาศชื่อว่ามีใครบ้าง และถ้าความเป็นจริงปรากฏตรงข้ามดังที่เห็นในปัจจุบัน จะต้องรับผิดชอบ ความผิดในการปกปิดบิดเบือนข้อมูลหรือไม่ และจะถูกลงโทษประการใดหรือไม่? ทำให้คนไทยต้องมองดูรอบตัว และถ้ายังคงเป็นเช่นนี้อยู่คนไทยมีสิทธิ์ที่จะเรียกร้องให้เปิดเผยความเป็นจริงทุกอย่างและได้รับการเยียวยาที่ถูกต้องใช่หรือไม่ องค์การอนามัยโลก (WHO) สามารถจะทำการควบคุมทุกอย่าง ในการตัดสินภาวะฉุกเฉิน และสามารถกำหนดให้ประเทศภาคี “ต้อง” ปฏิบัติตามทั้ง ในด้านยา ผลิตภัณฑ์ ชนิดของวัคซีน และทั้งหลายทั้งปวงโดยเคร่งครัด บิดพริ้ว ไม่ได้ ก็ด้วยข้อตกลงระหว่างประเทศกฎอนามัยระหว่างประเทศ (International Health Regulations หรือ IHR) ยิ่งกว่านั้น “ภาวะฉุกเฉิน” นอกจากหมายถึงโรคระบาด WHO ยังสามารถประกาศภาวะอะไรตามแต่ ผอ.WHO จะตัดสินตามใจชอบ เช่น มีการโหมโรงจาก บิลล์ เกตส์ องค์การโลกอื่นๆ รวมถึง World Economic Forum (WEF) ว่า public health emergency (PHE) จะกลายเป็นผู้กำหนดและบริหารระเบียบโลก (New World Order, NWO) ทั้งร่าง IHR และ PHE ใหม่กำลังจะประชุมตัวแทนประเทศสมาชิกลงนามรับในเดือน พฤษภาคม 2567 ที่จะมาถึง รัฐบาลไทยจะต้องปฏิเสธทั้ง สอง ฉบับเด็ดขาด หากแม้นรับเพียงอันหนึ่งอันใดก็ตาม ตามที่ผู้เชี่ยวชาญได้เตือนไว้ จะหมายถึงการเสียอธิปไตยของประเทศให้แก่ WHO ที่ไม่อาจบิดพริ้วได้ ฟังคลิปสั้นที่แนบโดยทนายสวิส Phillip Kruse บรรยายถึงอันตราย WHO ถอดความจากงานสัมมนา International COVID Summit ครั้งที่ 5 ด้านล่าง https://rumble.com/v4finab-excerpts-from-the-international-covid-summit-5.html?utm_source=substack&utm_medium=email สิ่งที่เห็นด้วยตาของทุกคนเป็นความจริงหนึ่งเดียว https://www.facebook.com/share/1C1p7pDaYb/ https://www.facebook.com/share/p/156oKE5AFU/ ขอขอบคุณ ศ.นพ.ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา ที่ปรึกษาวิทยาลัยการแพทย์แผนตะวันออก มหาวิทยาลัยรังสิต 🙏🙏🙏
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 860 มุมมอง 0 รีวิว
  • โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ลงนามยกเลิกคำสั่งไบเดนแล้ว 78 ฉบับ เผยเริ่มเก็บภาษีสินค้านำเข้าแคนาดา-เม็กซิโก 1 กุมภาพันธ์นี้

    บลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานความเคลื่อนไหววันแรกของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐของโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) หลังเข้าพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 มกราคม 2025 ว่า ทรัมป์ยังดำเนินแผนการอันทะเยอทะยานของเขาต่อไป โดยลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารจำนวนมาก

    บลูมเบิร์กระบุว่า ณ เวลาประมาณ 19.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐ (ช้ากว่าไทย 12 ชั่วโมง) โดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารจำนวนมาก ซึ่งส่วนหนึ่งในนั้นเป็นการเพิกถอนคำสั่งหรือแผนริเริ่มต่าง ๆ ในยุคของประธานาธิบดี โจ ไบเดน (Joe Biden) ถึง 78 ฉบับ ต่อหน้าฝูงชนจำนวนมากที่สนามกีฬาแคปิตอลวัน (Capital One Arena)

    บรรดาคำสั่งที่ทรัมป์ยกเลิกคำสั่งของไบเดนนั้น รวมถึงการถอนตัวจากความตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Paris Agreement), คำสั่งให้ทุกกระทรวงจัดการกับภาวะเงินเฟ้อ, การดำเนินการเรียกพนักงานของรัฐบาลกลางกลับเข้าทำงาน และคำสั่งคืนเสรีภาพในการพูดและป้องกันไม่ให้รัฐบาลเซ็นเซอร์เสรีภาพในการพูดในอนาคต

    ต่อจากนั้นทรัมป์ย้ายไปที่ห้องทำงานรูปไข่ (The Oval Office) ในทำเนียบขาว แล้วลงนามคำสั่งต่อไป ซึ่งคำสั่งฝ่ายบริหารฉบับแรกที่ทรัมป์ลงนามในห้องทำงานรูปไข่ คือการอภัยโทษให้กับผู้คนจำนวน 1,500 คน ที่ได้รับโทษจากการปิดล้อมอาคารรัฐสภาสหรัฐเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021

    จากนั้นในเวลาประมาณ 19.50 น. บลูมเบิร์กรายงานว่า ทรัมป์ตอบคำถามผู้สื่อข่าวที่ถามถึงเรื่องภาษีศุลกากรว่า “เราคิดอัตราภาษีนำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดาจะอยู่ที่ 25% ผมคิดว่าเราจะดำเนินการในวันที่ 1 กุมภาพันธ์”

    ในเวลาเดียวกัน ทรัมป์กล่าวถึงจีนว่า จะประชุมและโทรศัพท์หารือกับประธานาธิบดี สี จิ้นผิง (Xi Jinping) ของจีน

    นอกจากนั้น ทรัมป์กล่าวว่าประเทศสมาชิกองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO) ต้องใช้จ่ายงบประมาณ 5% ของจีดีพี สำหรับการป้องกันประเทศ

    ผู้สื่อข่าวประชาชาติธุรกิจรายงานเพิ่มเติมว่า จากการสืบค้นข้อมูลในเว็บไซต์ทำเนียบขาว (The White House) หรือสำนักงานประธานาธิบดีสหหรัฐ พบว่า ทรัมป์ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารจำนวนมากที่จะส่งผลกระทบต่อต่างประเทศ ยกตัวอย่างเช่น

    -ถอนสหรัฐออกจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ยุติรายจ่ายที่เป็นภาระและไม่เป็นธรรมต่อสหรัฐอเมริกา ยกเลิกการเจรจาข้อตกลงว่าด้วยโรคระบาด (Pandemic Agreement) และการแปรญัตติกฎอนามัยระหว่างประเทศ (International Health Regulations)

    -ประกาศใช้นโยบายการค้าที่ให้ความสำคัญกับอเมริกาเป็นอันดับแรก (America First Trade Policy) หน่วยงานเกี่ยวข้องต้องกำหนดนโยบายการค้าที่ส่งเสริมการลงทุนในประเทศ แก้ไขการค้าที่ไม่เป็นธรรมและไม่สมดุล โดยใช้มาตรการที่เหมาะสม อย่างเช่น ภาษีศุลกากร

    -ปรับโครงสร้างโครงการรับผู้ลี้ภัยของสหรัฐ (USRAP) ใหม่ และระงับการรับผู้ลี้ภัยผ่าน USRAP จนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าการเข้าสู่สหรัฐอเมริกาของผู้ลี้ภัยจะสอดคล้องกับผลประโยชน์ของสหรัฐ

    -ยกเลิกการให้สถานะพลเมืองอเมริกันโดยกำเนิด เด็กที่เกิดในสหรัฐอเมริกาแต่เกิดจากพ่อและแม่ที่ไม่ใช่พลเมืองอเมริกัน จะไม่ได้สถานะพลเมืองโดยกำเนิดอีกต่อไป

    -เพิ่มการรักษาความปลอดภัยชายแดน โดยสร้างกำแพงและสิ่งกีดขวางต่าง ๆ ที่มีการตรวจสอบโดยเจ้าหน้าที่และการใช้เทคโนโลยี เพื่อขัดขวางและป้องกันการเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย และดำเนินการเนรเทศผู้ลักลอบเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย โดยมีกระบวนการคุมขังระหว่างรอส่งตัวออกจากประเทศ

    -ลดการให้ความช่วยเหลือต่างประเทศ โดยจะหยุดให้ความช่วยเหลือต่างประเทศที่ไม่สอดคล้องกับนโยบายต่างประเทศของประธานาธิบดีสหรัฐ 90 วันเพื่อประเมินประสิทธิภาพโครงการและความสอดคล้องกับนโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐว่าควรได้รับการช่วยเหลือต่อไปหรือไม่

    ​ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ
    โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ลงนามยกเลิกคำสั่งไบเดนแล้ว 78 ฉบับ เผยเริ่มเก็บภาษีสินค้านำเข้าแคนาดา-เม็กซิโก 1 กุมภาพันธ์นี้ บลูมเบิร์ก (Bloomberg) รายงานความเคลื่อนไหววันแรกของการดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐของโดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) หลังเข้าพิธีสาบานตนเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 มกราคม 2025 ว่า ทรัมป์ยังดำเนินแผนการอันทะเยอทะยานของเขาต่อไป โดยลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารจำนวนมาก บลูมเบิร์กระบุว่า ณ เวลาประมาณ 19.00 น. ตามเวลาท้องถิ่นกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. สหรัฐ (ช้ากว่าไทย 12 ชั่วโมง) โดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารจำนวนมาก ซึ่งส่วนหนึ่งในนั้นเป็นการเพิกถอนคำสั่งหรือแผนริเริ่มต่าง ๆ ในยุคของประธานาธิบดี โจ ไบเดน (Joe Biden) ถึง 78 ฉบับ ต่อหน้าฝูงชนจำนวนมากที่สนามกีฬาแคปิตอลวัน (Capital One Arena) บรรดาคำสั่งที่ทรัมป์ยกเลิกคำสั่งของไบเดนนั้น รวมถึงการถอนตัวจากความตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Paris Agreement), คำสั่งให้ทุกกระทรวงจัดการกับภาวะเงินเฟ้อ, การดำเนินการเรียกพนักงานของรัฐบาลกลางกลับเข้าทำงาน และคำสั่งคืนเสรีภาพในการพูดและป้องกันไม่ให้รัฐบาลเซ็นเซอร์เสรีภาพในการพูดในอนาคต ต่อจากนั้นทรัมป์ย้ายไปที่ห้องทำงานรูปไข่ (The Oval Office) ในทำเนียบขาว แล้วลงนามคำสั่งต่อไป ซึ่งคำสั่งฝ่ายบริหารฉบับแรกที่ทรัมป์ลงนามในห้องทำงานรูปไข่ คือการอภัยโทษให้กับผู้คนจำนวน 1,500 คน ที่ได้รับโทษจากการปิดล้อมอาคารรัฐสภาสหรัฐเมื่อวันที่ 6 มกราคม 2021 จากนั้นในเวลาประมาณ 19.50 น. บลูมเบิร์กรายงานว่า ทรัมป์ตอบคำถามผู้สื่อข่าวที่ถามถึงเรื่องภาษีศุลกากรว่า “เราคิดอัตราภาษีนำเข้าจากเม็กซิโกและแคนาดาจะอยู่ที่ 25% ผมคิดว่าเราจะดำเนินการในวันที่ 1 กุมภาพันธ์” ในเวลาเดียวกัน ทรัมป์กล่าวถึงจีนว่า จะประชุมและโทรศัพท์หารือกับประธานาธิบดี สี จิ้นผิง (Xi Jinping) ของจีน นอกจากนั้น ทรัมป์กล่าวว่าประเทศสมาชิกองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (NATO) ต้องใช้จ่ายงบประมาณ 5% ของจีดีพี สำหรับการป้องกันประเทศ ผู้สื่อข่าวประชาชาติธุรกิจรายงานเพิ่มเติมว่า จากการสืบค้นข้อมูลในเว็บไซต์ทำเนียบขาว (The White House) หรือสำนักงานประธานาธิบดีสหหรัฐ พบว่า ทรัมป์ลงนามในคำสั่งฝ่ายบริหารจำนวนมากที่จะส่งผลกระทบต่อต่างประเทศ ยกตัวอย่างเช่น -ถอนสหรัฐออกจากองค์การอนามัยโลก (WHO) ยุติรายจ่ายที่เป็นภาระและไม่เป็นธรรมต่อสหรัฐอเมริกา ยกเลิกการเจรจาข้อตกลงว่าด้วยโรคระบาด (Pandemic Agreement) และการแปรญัตติกฎอนามัยระหว่างประเทศ (International Health Regulations) -ประกาศใช้นโยบายการค้าที่ให้ความสำคัญกับอเมริกาเป็นอันดับแรก (America First Trade Policy) หน่วยงานเกี่ยวข้องต้องกำหนดนโยบายการค้าที่ส่งเสริมการลงทุนในประเทศ แก้ไขการค้าที่ไม่เป็นธรรมและไม่สมดุล โดยใช้มาตรการที่เหมาะสม อย่างเช่น ภาษีศุลกากร -ปรับโครงสร้างโครงการรับผู้ลี้ภัยของสหรัฐ (USRAP) ใหม่ และระงับการรับผู้ลี้ภัยผ่าน USRAP จนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่าการเข้าสู่สหรัฐอเมริกาของผู้ลี้ภัยจะสอดคล้องกับผลประโยชน์ของสหรัฐ -ยกเลิกการให้สถานะพลเมืองอเมริกันโดยกำเนิด เด็กที่เกิดในสหรัฐอเมริกาแต่เกิดจากพ่อและแม่ที่ไม่ใช่พลเมืองอเมริกัน จะไม่ได้สถานะพลเมืองโดยกำเนิดอีกต่อไป -เพิ่มการรักษาความปลอดภัยชายแดน โดยสร้างกำแพงและสิ่งกีดขวางต่าง ๆ ที่มีการตรวจสอบโดยเจ้าหน้าที่และการใช้เทคโนโลยี เพื่อขัดขวางและป้องกันการเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย และดำเนินการเนรเทศผู้ลักลอบเข้าประเทศอย่างผิดกฎหมาย โดยมีกระบวนการคุมขังระหว่างรอส่งตัวออกจากประเทศ -ลดการให้ความช่วยเหลือต่างประเทศ โดยจะหยุดให้ความช่วยเหลือต่างประเทศที่ไม่สอดคล้องกับนโยบายต่างประเทศของประธานาธิบดีสหรัฐ 90 วันเพื่อประเมินประสิทธิภาพโครงการและความสอดคล้องกับนโยบายของประธานาธิบดีสหรัฐว่าควรได้รับการช่วยเหลือต่อไปหรือไม่ ​ที่มา : ประชาชาติธุรกิจ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 433 มุมมอง 0 รีวิว
  • Balance work and health…
    เตรียมแผนประกันสุขภาพในวันที่คุณยังพร้อม
    Balance work and health… เตรียมแผนประกันสุขภาพในวันที่คุณยังพร้อม
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 208 มุมมอง 0 รีวิว
  • ที่งานประชุม J.P. Morgan Healthcare Conference เมื่อวานนี้ NVIDIA ได้ประกาศความร่วมมือใหม่เพื่อเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมการดูแลสุขภาพและวิทยาศาสตร์ชีวภาพมูลค่า 10 ล้านล้านดอลลาร์ โดยการเร่งกระบวนการค้นคว้ายา การวิจัยจีโนม และการให้บริการด้านสุขภาพขั้นสูงด้วย AI ที่สามารถสร้างและดำเนินการได้เอง

    การรวมกันของ AI, การประมวลผลที่เร่งความเร็ว และข้อมูลชีวภาพกำลังเปลี่ยนแปลงการดูแลสุขภาพให้กลายเป็นอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุด ผู้นำด้านการดูแลสุขภาพ เช่น IQVIA, Illumina และ Mayo Clinic รวมถึง Arc Institute กำลังใช้เทคโนโลยีล่าสุดของ NVIDIA เพื่อพัฒนาวิธีการที่ช่วยปรับปรุงสุขภาพของมนุษย์

    โซลูชันเหล่านี้รวมถึง AI agents ที่สามารถเร่งกระบวนการทดลองทางคลินิกโดยลดภาระงานด้านการบริหาร, โมเดล AI ที่เรียนรู้จากเครื่องมือชีวภาพเพื่อพัฒนาการค้นคว้ายาและพยาธิวิทยาดิจิทัล และหุ่นยนต์ AI ที่ใช้ในการผ่าตัด การตรวจสอบผู้ป่วย และการดำเนินงาน

    Kimberly Powell รองประธานฝ่ายการดูแลสุขภาพของ NVIDIA กล่าวว่า "AI มอบโอกาสที่ยอดเยี่ยมในการพัฒนาการดูแลสุขภาพและวิทยาศาสตร์ชีวภาพด้วยเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้ให้บริการตรวจพบโรคได้เร็วขึ้นและค้นพบการรักษาใหม่ ๆ ได้เร็วขึ้น"

    IQVIA กำลังใช้บริการ AI Foundry ของ NVIDIA เพื่อสร้างโมเดลพื้นฐานที่กำหนดเองบนข้อมูลมากกว่า 64 เพตาไบต์ และพัฒนาโซลูชัน AI ที่สามารถเร่งการวิจัยและการพัฒนาทางคลินิก

    Illumina กำลังร่วมมือกับ NVIDIA เพื่อปลดล็อกยุคใหม่ของจีโนมิกส์สำหรับการค้นคว้ายาและสุขภาพของมนุษย์ โดยใช้การประมวลผลที่เร่งความเร็วและเครื่องมือ AI ของ NVIDIA

    Mayo Clinic กำลังใช้แพลตฟอร์ม Digital Pathology ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ของ NVIDIA เพื่อเร่งการพัฒนารูปแบบพื้นฐานทางพยาธิวิทยา

    Arc Institute กำลังร่วมมือกับ NVIDIA เพื่อพัฒนาและแบ่งปันโมเดล AI ที่ทรงพลังเพื่อพัฒนาการค้นคว้าทางชีวการแพทย์

    https://www.techpowerup.com/331102/nvidia-ai-expected-to-transform-usd-10-trillion-healthcare-life-sciences-industry
    ที่งานประชุม J.P. Morgan Healthcare Conference เมื่อวานนี้ NVIDIA ได้ประกาศความร่วมมือใหม่เพื่อเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมการดูแลสุขภาพและวิทยาศาสตร์ชีวภาพมูลค่า 10 ล้านล้านดอลลาร์ โดยการเร่งกระบวนการค้นคว้ายา การวิจัยจีโนม และการให้บริการด้านสุขภาพขั้นสูงด้วย AI ที่สามารถสร้างและดำเนินการได้เอง การรวมกันของ AI, การประมวลผลที่เร่งความเร็ว และข้อมูลชีวภาพกำลังเปลี่ยนแปลงการดูแลสุขภาพให้กลายเป็นอุตสาหกรรมเทคโนโลยีที่ใหญ่ที่สุด ผู้นำด้านการดูแลสุขภาพ เช่น IQVIA, Illumina และ Mayo Clinic รวมถึง Arc Institute กำลังใช้เทคโนโลยีล่าสุดของ NVIDIA เพื่อพัฒนาวิธีการที่ช่วยปรับปรุงสุขภาพของมนุษย์ โซลูชันเหล่านี้รวมถึง AI agents ที่สามารถเร่งกระบวนการทดลองทางคลินิกโดยลดภาระงานด้านการบริหาร, โมเดล AI ที่เรียนรู้จากเครื่องมือชีวภาพเพื่อพัฒนาการค้นคว้ายาและพยาธิวิทยาดิจิทัล และหุ่นยนต์ AI ที่ใช้ในการผ่าตัด การตรวจสอบผู้ป่วย และการดำเนินงาน Kimberly Powell รองประธานฝ่ายการดูแลสุขภาพของ NVIDIA กล่าวว่า "AI มอบโอกาสที่ยอดเยี่ยมในการพัฒนาการดูแลสุขภาพและวิทยาศาสตร์ชีวภาพด้วยเครื่องมือที่ช่วยให้ผู้ให้บริการตรวจพบโรคได้เร็วขึ้นและค้นพบการรักษาใหม่ ๆ ได้เร็วขึ้น" IQVIA กำลังใช้บริการ AI Foundry ของ NVIDIA เพื่อสร้างโมเดลพื้นฐานที่กำหนดเองบนข้อมูลมากกว่า 64 เพตาไบต์ และพัฒนาโซลูชัน AI ที่สามารถเร่งการวิจัยและการพัฒนาทางคลินิก Illumina กำลังร่วมมือกับ NVIDIA เพื่อปลดล็อกยุคใหม่ของจีโนมิกส์สำหรับการค้นคว้ายาและสุขภาพของมนุษย์ โดยใช้การประมวลผลที่เร่งความเร็วและเครื่องมือ AI ของ NVIDIA Mayo Clinic กำลังใช้แพลตฟอร์ม Digital Pathology ที่ขับเคลื่อนด้วย AI ของ NVIDIA เพื่อเร่งการพัฒนารูปแบบพื้นฐานทางพยาธิวิทยา Arc Institute กำลังร่วมมือกับ NVIDIA เพื่อพัฒนาและแบ่งปันโมเดล AI ที่ทรงพลังเพื่อพัฒนาการค้นคว้าทางชีวการแพทย์ https://www.techpowerup.com/331102/nvidia-ai-expected-to-transform-usd-10-trillion-healthcare-life-sciences-industry
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    NVIDIA AI Expected to Transform $10 Trillion Healthcare & Life Sciences Industry
    At yesterday's J.P. Morgan Healthcare Conference NVIDIA announced new partnerships to transform the $10 trillion healthcare and life sciences industry by accelerating drug discovery, enhancing genomic research and pioneering advanced healthcare services with agentic and generative AI. The convergenc...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 369 มุมมอง 0 รีวิว
  • การติดเชื้อโควิดไม่ทำให้เกิดกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบรุนแรงในขณะที่วัคซีนทำให้เกิดอาการร้ายแรงกว่ามาก

    นพ ดร ชลธวัช สุวรรณปิยะศิริ
    Dr Judd Chontavats

    มีบทความบอกว่าการติดเชื้อโควิดทำให้เกิดกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ การฉีดวัคซีนสามารถป้องกันผลข้างเคียงได้ ดังนั้นจึงสนับสนุนให้ฉีดวัคซีน mRNA

    แต่มีผู้มาแย้งว่าตัววัคซีน mRNA ต่างหากที่เป็นปัญหาใหญ่ โดยการศึกษานี้ให้ข้อมูลว่าอัตราการเสียชีวิตจากกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ (myocarditis mortality rate ratio, MMRR) จากกลุ่มที่ฉีดวัคซีนสูงกว่ามากเมื่อเปรียบเทียบกับประชากรทั่วไปในช่วง 3 ปีที่มีการระบาดหนักของโควิด พบกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบในกลุ่มผู้ป่วยเด็กมากกว่ากลุ่มที่ติดเชื้อชัดเจนจากข้อมูลประชากรเกิน 1,000,000 คน ทั้ง mRNA และ vaccine-derived spike protein สามารถพบในหัวใจทั้งผู้ป่วยและเสียชีวิตจากกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ

    สรุปจากการศึกษานี้คือการติดเชื้อโควิดไม่ทำให้เกิดกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบรุนแรงในขณะที่วัคซีนทำให้เกิดอาการร้ายแรงกว่ามาก

    รายละเอียดเพิ่มเติมดูใน reference

    Chontavat Suvanpiyasiri. MD, PhD

    Reference : https://publichealthpolicyjournal.com/letter-to-the-editor-long-term-prognosis-of-patients-with-myocarditis-attributed-to-covid-19-mrna-vaccination-sars-cov-2-infection-or-conventional-etiologies/?utm_source=substack&utm_medium=email
    การติดเชื้อโควิดไม่ทำให้เกิดกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบรุนแรงในขณะที่วัคซีนทำให้เกิดอาการร้ายแรงกว่ามาก นพ ดร ชลธวัช สุวรรณปิยะศิริ Dr Judd Chontavats มีบทความบอกว่าการติดเชื้อโควิดทำให้เกิดกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ การฉีดวัคซีนสามารถป้องกันผลข้างเคียงได้ ดังนั้นจึงสนับสนุนให้ฉีดวัคซีน mRNA แต่มีผู้มาแย้งว่าตัววัคซีน mRNA ต่างหากที่เป็นปัญหาใหญ่ โดยการศึกษานี้ให้ข้อมูลว่าอัตราการเสียชีวิตจากกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ (myocarditis mortality rate ratio, MMRR) จากกลุ่มที่ฉีดวัคซีนสูงกว่ามากเมื่อเปรียบเทียบกับประชากรทั่วไปในช่วง 3 ปีที่มีการระบาดหนักของโควิด พบกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบในกลุ่มผู้ป่วยเด็กมากกว่ากลุ่มที่ติดเชื้อชัดเจนจากข้อมูลประชากรเกิน 1,000,000 คน ทั้ง mRNA และ vaccine-derived spike protein สามารถพบในหัวใจทั้งผู้ป่วยและเสียชีวิตจากกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ สรุปจากการศึกษานี้คือการติดเชื้อโควิดไม่ทำให้เกิดกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบรุนแรงในขณะที่วัคซีนทำให้เกิดอาการร้ายแรงกว่ามาก รายละเอียดเพิ่มเติมดูใน reference Chontavat Suvanpiyasiri. MD, PhD Reference : https://publichealthpolicyjournal.com/letter-to-the-editor-long-term-prognosis-of-patients-with-myocarditis-attributed-to-covid-19-mrna-vaccination-sars-cov-2-infection-or-conventional-etiologies/?utm_source=substack&utm_medium=email
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 420 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความ: เส้นโลหิตหัวใจตีบ อันตรายที่ไม่ควรมองข้าม พร้อมแนวทางป้องกันที่คุณทำได้

    💔 เส้นโลหิตหัวใจตีบคืออะไร และทำไมถึงอันตราย?
    เส้นโลหิตหัวใจตีบ (Coronary Artery Disease) เกิดจากการสะสมของไขมันและพลัค (plaque) ในผนังหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงหัวใจ ทำให้หลอดเลือดตีบแคบลง จนเลือดไหลเวียนไปเลี้ยงหัวใจได้ไม่เพียงพอ อาการที่พบบ่อยคือเจ็บหน้าอก (Angina) หายใจไม่อิ่ม และในบางกรณีอาจนำไปสู่อาการหัวใจวายเฉียบพลัน ซึ่งเป็นภาวะที่อันตรายถึงชีวิตได้หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที

    🍎 แนวทางป้องกันโรคเส้นโลหิตหัวใจตีบที่คุณทำได้
    1. ปรับอาหารการกิน: หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง เช่น อาหารทอด เนื้อสัตว์แปรรูป และของหวาน เพิ่มการบริโภคผัก ผลไม้ ธัญพืชเต็มเมล็ด และโปรตีนจากพืช เช่น ถั่วต่างๆ
    2. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ หรือปั่นจักรยาน
    3. เลิกบุหรี่: บุหรี่เป็นตัวกระตุ้นสำคัญที่ทำให้หลอดเลือดเสื่อมสภาพและตีบตัน
    4. ควบคุมน้ำหนักและความดันโลหิต: รักษาค่าดัชนีมวลกาย (BMI) ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ และหลีกเลี่ยงอาหารเค็ม
    5. ตรวจสุขภาพเป็นประจำ: เพื่อประเมินระดับคอเลสเตอรอล น้ำตาลในเลือด และความดันโลหิต

    🌟 อาหารเสริมคอเลสเตอรอลบาลานซ์จาก USA: ตัวช่วยที่คุณควรรู้
    ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่มีส่วนผสมเฉพาะ เช่น Plant Sterols/Stanols, Omega-3 Fatty Acids, หรือ Red Yeast Rice อาจช่วยลดระดับ LDL คอเลสเตอรอลในเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยทำงานผ่านกลไกการยับยั้งการดูดซึมคอเลสเตอรอลในลำไส้ และเสริมการเผาผลาญไขมันในร่างกาย

    ผลิตภัณฑ์คอเลสเตอรอลบาลานซ์ Made in USA ผ่านการรับรองมาตรฐาน และมีงานวิจัยรองรับว่าเมื่อใช้ร่วมกับการควบคุมอาหารและออกกำลังกาย สามารถลดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบได้อย่างมีนัยสำคัญ

    📢 :
    “สุขภาพดีเริ่มต้นที่เรา 💪 ลดคอเลสเตอรอล ป้องกันโรคหัวใจ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป 🫀✨ #เส้นโลหิตหัวใจตีบ #ป้องกันได้ #หมอสาวเล่าเรื่อง #HealthyLiving #CholesterolBalanceMadeInUSA”

    #หัวใจแข็งแรง #โรคหัวใจรู้ทันป้องกันได้ #สุขภาพดีที่สร้างได้ #คอเลสเตอรอลบาลานซ์

    การดูแลหัวใจ เริ่มได้ตั้งแต่วันนี้!

    Article: Coronary Artery Disease – The Hidden Danger and How to Prevent It

    💔 What is Coronary Artery Disease, and Why is it Dangerous?
    Coronary Artery Disease (CAD) occurs when fatty deposits and plaque build up in the walls of the coronary arteries, narrowing them and reducing blood flow to the heart. This condition can lead to chest pain (angina), shortness of breath, and in severe cases, heart attacks. If left untreated, it can be life-threatening and significantly impact your quality of life.

    🍎 How to Prevent Coronary Artery Disease
    1. Adopt a Heart-Healthy Diet: Avoid foods high in saturated fats, such as fried foods, processed meats, and sugary treats. Instead, focus on vegetables, fruits, whole grains, and plant-based proteins like legumes and nuts.
    2. Exercise Regularly: Aim for at least 150 minutes of moderate-intensity exercise per week, such as brisk walking, swimming, or cycling.
    3. Quit Smoking: Smoking damages blood vessels and accelerates plaque buildup, increasing the risk of heart disease.
    4. Manage Weight and Blood Pressure: Maintain a healthy BMI and reduce salt intake to control blood pressure.
    5. Get Regular Health Checkups: Monitor your cholesterol levels, blood sugar, and blood pressure to catch potential issues early.

    🌟 Cholesterol Balance Supplements from the USA: Your Extra Defense
    High-quality cholesterol balance supplements made in the USA, containing ingredients like Plant Sterols/Stanols, Omega-3 Fatty Acids, or Red Yeast Rice, can effectively lower LDL cholesterol levels. These supplements work by reducing cholesterol absorption in the intestines and promoting fat metabolism in the body.

    Backed by scientific research, these supplements are an excellent complement to a healthy diet and lifestyle, helping to reduce the risk of coronary artery disease significantly.

    📢 :
    “A healthy heart starts with you 💪 Lower your cholesterol and protect your heart before it’s too late 🫀✨ #CoronaryArteryDisease #PreventionIsKey #DoctorTales #HealthyLiving #CholesterolBalanceUSA”

    #HeartHealthMatters #PreventHeartDisease #WellnessJourney #CholesterolBalance

    Start taking care of your heart today!
    บทความ: เส้นโลหิตหัวใจตีบ อันตรายที่ไม่ควรมองข้าม พร้อมแนวทางป้องกันที่คุณทำได้ 💔 เส้นโลหิตหัวใจตีบคืออะไร และทำไมถึงอันตราย? เส้นโลหิตหัวใจตีบ (Coronary Artery Disease) เกิดจากการสะสมของไขมันและพลัค (plaque) ในผนังหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงหัวใจ ทำให้หลอดเลือดตีบแคบลง จนเลือดไหลเวียนไปเลี้ยงหัวใจได้ไม่เพียงพอ อาการที่พบบ่อยคือเจ็บหน้าอก (Angina) หายใจไม่อิ่ม และในบางกรณีอาจนำไปสู่อาการหัวใจวายเฉียบพลัน ซึ่งเป็นภาวะที่อันตรายถึงชีวิตได้หากไม่ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที 🍎 แนวทางป้องกันโรคเส้นโลหิตหัวใจตีบที่คุณทำได้ 1. ปรับอาหารการกิน: หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวสูง เช่น อาหารทอด เนื้อสัตว์แปรรูป และของหวาน เพิ่มการบริโภคผัก ผลไม้ ธัญพืชเต็มเมล็ด และโปรตีนจากพืช เช่น ถั่วต่างๆ 2. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ: อย่างน้อย 150 นาทีต่อสัปดาห์ เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ หรือปั่นจักรยาน 3. เลิกบุหรี่: บุหรี่เป็นตัวกระตุ้นสำคัญที่ทำให้หลอดเลือดเสื่อมสภาพและตีบตัน 4. ควบคุมน้ำหนักและความดันโลหิต: รักษาค่าดัชนีมวลกาย (BMI) ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ และหลีกเลี่ยงอาหารเค็ม 5. ตรวจสุขภาพเป็นประจำ: เพื่อประเมินระดับคอเลสเตอรอล น้ำตาลในเลือด และความดันโลหิต 🌟 อาหารเสริมคอเลสเตอรอลบาลานซ์จาก USA: ตัวช่วยที่คุณควรรู้ ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมที่มีส่วนผสมเฉพาะ เช่น Plant Sterols/Stanols, Omega-3 Fatty Acids, หรือ Red Yeast Rice อาจช่วยลดระดับ LDL คอเลสเตอรอลในเลือดได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยทำงานผ่านกลไกการยับยั้งการดูดซึมคอเลสเตอรอลในลำไส้ และเสริมการเผาผลาญไขมันในร่างกาย ผลิตภัณฑ์คอเลสเตอรอลบาลานซ์ Made in USA ผ่านการรับรองมาตรฐาน และมีงานวิจัยรองรับว่าเมื่อใช้ร่วมกับการควบคุมอาหารและออกกำลังกาย สามารถลดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบได้อย่างมีนัยสำคัญ 📢 : “สุขภาพดีเริ่มต้นที่เรา 💪 ลดคอเลสเตอรอล ป้องกันโรคหัวใจ ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินไป 🫀✨ #เส้นโลหิตหัวใจตีบ #ป้องกันได้ #หมอสาวเล่าเรื่อง #HealthyLiving #CholesterolBalanceMadeInUSA” #หัวใจแข็งแรง #โรคหัวใจรู้ทันป้องกันได้ #สุขภาพดีที่สร้างได้ #คอเลสเตอรอลบาลานซ์ การดูแลหัวใจ เริ่มได้ตั้งแต่วันนี้! Article: Coronary Artery Disease – The Hidden Danger and How to Prevent It 💔 What is Coronary Artery Disease, and Why is it Dangerous? Coronary Artery Disease (CAD) occurs when fatty deposits and plaque build up in the walls of the coronary arteries, narrowing them and reducing blood flow to the heart. This condition can lead to chest pain (angina), shortness of breath, and in severe cases, heart attacks. If left untreated, it can be life-threatening and significantly impact your quality of life. 🍎 How to Prevent Coronary Artery Disease 1. Adopt a Heart-Healthy Diet: Avoid foods high in saturated fats, such as fried foods, processed meats, and sugary treats. Instead, focus on vegetables, fruits, whole grains, and plant-based proteins like legumes and nuts. 2. Exercise Regularly: Aim for at least 150 minutes of moderate-intensity exercise per week, such as brisk walking, swimming, or cycling. 3. Quit Smoking: Smoking damages blood vessels and accelerates plaque buildup, increasing the risk of heart disease. 4. Manage Weight and Blood Pressure: Maintain a healthy BMI and reduce salt intake to control blood pressure. 5. Get Regular Health Checkups: Monitor your cholesterol levels, blood sugar, and blood pressure to catch potential issues early. 🌟 Cholesterol Balance Supplements from the USA: Your Extra Defense High-quality cholesterol balance supplements made in the USA, containing ingredients like Plant Sterols/Stanols, Omega-3 Fatty Acids, or Red Yeast Rice, can effectively lower LDL cholesterol levels. These supplements work by reducing cholesterol absorption in the intestines and promoting fat metabolism in the body. Backed by scientific research, these supplements are an excellent complement to a healthy diet and lifestyle, helping to reduce the risk of coronary artery disease significantly. 📢 : “A healthy heart starts with you 💪 Lower your cholesterol and protect your heart before it’s too late 🫀✨ #CoronaryArteryDisease #PreventionIsKey #DoctorTales #HealthyLiving #CholesterolBalanceUSA” #HeartHealthMatters #PreventHeartDisease #WellnessJourney #CholesterolBalance Start taking care of your heart today!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1125 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts