• เรื่องเล่าจากข่าว: Tim Cook กับบทบาทที่ยาวนานที่สุดในฐานะ CEO ของ Apple และความหวังในโลก Spatial Computing

    ในเดือนสิงหาคม 2025 Tim Cook ครบรอบ 14 ปีในการดำรงตำแหน่ง CEO ของ Apple ซึ่งนานกว่า Steve Jobs ผู้เป็นตำนานของบริษัท โดย Cook เข้ามารับตำแหน่งในปี 2011 หลังจาก Jobs ลาออกเพียงสองเดือนก่อนเสียชีวิต

    ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา Cook ได้เปลี่ยนโฉม Apple จากบริษัทที่เน้นอุปกรณ์พกพา สู่การพัฒนาอุปกรณ์สวมใส่ (Wearables) อย่าง Apple Watch และ AirPods รวมถึงการผลิตคอนเทนต์สตรีมมิ่ง และการเปลี่ยนมาใช้ชิป Arm ที่พัฒนาเองใน Mac

    หนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่ Cook ภูมิใจคือ Vision Pro—แว่นผสมโลกเสมือนจริงที่เปิดตัวด้วยราคาสูงถึง $3,500 แม้จะถูกวิจารณ์เรื่องความเทอะทะและแอปพลิเคชันที่ยังไม่ตอบโจทย์ แต่ Cook ยืนยันว่า Vision Pro คือ “ความสำเร็จในแง่ของการสร้างระบบนิเวศ” และจะค่อย ๆ ดีขึ้นตามเวลา

    Apple เตรียมอัปเดต visionOS ด้วยฟีเจอร์ใหม่ เช่น วิดเจ็ตแบบปรับแต่งได้ และเบราว์เซอร์ 3 มิติ พร้อมผลักดันให้บริษัทอื่นสร้างประสบการณ์เชิงพื้นที่ เช่น เครื่องจำลองการบินของ CTE

    ในด้าน AI Cook เปิดตัว “Apple Intelligence” โดยเน้นว่าไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าแรก แต่ต้อง “ดีที่สุดสำหรับผู้ใช้” และจะไม่คิดค่าบริการเพิ่มเติม เพราะมองว่าเป็นฟีเจอร์พื้นฐานเหมือนมัลติทัช

    แม้ Cook จะมีอายุ 63 ปี แต่แหล่งข่าวระบุว่าเขาอาจอยู่ในตำแหน่งอีก 3 ปี โดยผู้สืบทอดที่ถูกจับตามอง ได้แก่ John Ternus (หัวหน้าฝ่ายฮาร์ดแวร์), Jeff Williams (COO), Craig Federighi (หัวหน้าฝ่ายซอฟต์แวร์) และ Deirdre O’Brien (หัวหน้าฝ่ายค้าปลีก)

    Tim Cook ดำรงตำแหน่ง CEO ของ Apple นานกว่า Steve Jobs แล้ว
    ครบรอบ 14 ปีในเดือนสิงหาคม 2025
    เข้ารับตำแหน่งหลัง Jobs ลาออกในปี 2011

    Cook ผลักดันผลิตภัณฑ์ใหม่หลายอย่าง เช่น Apple Watch, AirPods และ Vision Pro
    เปลี่ยน Mac มาใช้ชิป Arm ที่พัฒนาเอง
    ขยายธุรกิจสู่คอนเทนต์สตรีมมิ่งและบริการ

    Vision Pro ถูกมองว่าเป็น “ความสำเร็จเชิงระบบนิเวศ” แม้ยอดขายไม่สูง
    ราคาเปิดตัว $3,500 และยังไม่มีแอปที่ตอบโจทย์ผู้ใช้ทั่วไป
    เตรียมอัปเดต visionOS ด้วยวิดเจ็ตและเบราว์เซอร์ 3 มิติ

    Apple Intelligence เน้น “ดีที่สุดสำหรับผู้ใช้” ไม่ใช่ “เจ้าแรก”
    ไม่คิดค่าบริการเพิ่มเติม
    มุ่งเน้นการใช้ AI เพื่อยกระดับชีวิตผู้ใช้

    Cook อาจอยู่ในตำแหน่งอีก 3 ปี โดยมีผู้สืบทอดหลายคนถูกจับตามอง
    John Ternus เป็นตัวเต็งจากผลงานด้านฮาร์ดแวร์
    Jeff Williams, Craig Federighi และ Deirdre O’Brien ก็มีโอกาสเช่นกัน

    https://www.techspot.com/news/108909-tim-cook-has-now-apple-ceo-longer-than.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากข่าว: Tim Cook กับบทบาทที่ยาวนานที่สุดในฐานะ CEO ของ Apple และความหวังในโลก Spatial Computing ในเดือนสิงหาคม 2025 Tim Cook ครบรอบ 14 ปีในการดำรงตำแหน่ง CEO ของ Apple ซึ่งนานกว่า Steve Jobs ผู้เป็นตำนานของบริษัท โดย Cook เข้ามารับตำแหน่งในปี 2011 หลังจาก Jobs ลาออกเพียงสองเดือนก่อนเสียชีวิต ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา Cook ได้เปลี่ยนโฉม Apple จากบริษัทที่เน้นอุปกรณ์พกพา สู่การพัฒนาอุปกรณ์สวมใส่ (Wearables) อย่าง Apple Watch และ AirPods รวมถึงการผลิตคอนเทนต์สตรีมมิ่ง และการเปลี่ยนมาใช้ชิป Arm ที่พัฒนาเองใน Mac หนึ่งในผลิตภัณฑ์ที่ Cook ภูมิใจคือ Vision Pro—แว่นผสมโลกเสมือนจริงที่เปิดตัวด้วยราคาสูงถึง $3,500 แม้จะถูกวิจารณ์เรื่องความเทอะทะและแอปพลิเคชันที่ยังไม่ตอบโจทย์ แต่ Cook ยืนยันว่า Vision Pro คือ “ความสำเร็จในแง่ของการสร้างระบบนิเวศ” และจะค่อย ๆ ดีขึ้นตามเวลา Apple เตรียมอัปเดต visionOS ด้วยฟีเจอร์ใหม่ เช่น วิดเจ็ตแบบปรับแต่งได้ และเบราว์เซอร์ 3 มิติ พร้อมผลักดันให้บริษัทอื่นสร้างประสบการณ์เชิงพื้นที่ เช่น เครื่องจำลองการบินของ CTE ในด้าน AI Cook เปิดตัว “Apple Intelligence” โดยเน้นว่าไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าแรก แต่ต้อง “ดีที่สุดสำหรับผู้ใช้” และจะไม่คิดค่าบริการเพิ่มเติม เพราะมองว่าเป็นฟีเจอร์พื้นฐานเหมือนมัลติทัช แม้ Cook จะมีอายุ 63 ปี แต่แหล่งข่าวระบุว่าเขาอาจอยู่ในตำแหน่งอีก 3 ปี โดยผู้สืบทอดที่ถูกจับตามอง ได้แก่ John Ternus (หัวหน้าฝ่ายฮาร์ดแวร์), Jeff Williams (COO), Craig Federighi (หัวหน้าฝ่ายซอฟต์แวร์) และ Deirdre O’Brien (หัวหน้าฝ่ายค้าปลีก) ✅ Tim Cook ดำรงตำแหน่ง CEO ของ Apple นานกว่า Steve Jobs แล้ว ➡️ ครบรอบ 14 ปีในเดือนสิงหาคม 2025 ➡️ เข้ารับตำแหน่งหลัง Jobs ลาออกในปี 2011 ✅ Cook ผลักดันผลิตภัณฑ์ใหม่หลายอย่าง เช่น Apple Watch, AirPods และ Vision Pro ➡️ เปลี่ยน Mac มาใช้ชิป Arm ที่พัฒนาเอง ➡️ ขยายธุรกิจสู่คอนเทนต์สตรีมมิ่งและบริการ ✅ Vision Pro ถูกมองว่าเป็น “ความสำเร็จเชิงระบบนิเวศ” แม้ยอดขายไม่สูง ➡️ ราคาเปิดตัว $3,500 และยังไม่มีแอปที่ตอบโจทย์ผู้ใช้ทั่วไป ➡️ เตรียมอัปเดต visionOS ด้วยวิดเจ็ตและเบราว์เซอร์ 3 มิติ ✅ Apple Intelligence เน้น “ดีที่สุดสำหรับผู้ใช้” ไม่ใช่ “เจ้าแรก” ➡️ ไม่คิดค่าบริการเพิ่มเติม ➡️ มุ่งเน้นการใช้ AI เพื่อยกระดับชีวิตผู้ใช้ ✅ Cook อาจอยู่ในตำแหน่งอีก 3 ปี โดยมีผู้สืบทอดหลายคนถูกจับตามอง ➡️ John Ternus เป็นตัวเต็งจากผลงานด้านฮาร์ดแวร์ ➡️ Jeff Williams, Craig Federighi และ Deirdre O’Brien ก็มีโอกาสเช่นกัน https://www.techspot.com/news/108909-tim-cook-has-now-apple-ceo-longer-than.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Tim Cook has now been Apple CEO for longer than Steve Jobs
    Cook's comments on the Vision Pro, one of the signature products of his tenure, came during Apple's earnings call for the quarter ending in June. He discussed...
    0 Comments 0 Shares 77 Views 0 Reviews
  • ..เขมร เผาผีกันไม่ลง

    https://youtube.com/shorts/ht5z6MMROds?si=fEDQ3wGQmwwSG8p6
    ..เขมร เผาผีกันไม่ลง https://youtube.com/shorts/ht5z6MMROds?si=fEDQ3wGQmwwSG8p6
    0 Comments 0 Shares 52 Views 0 Reviews
  • ด่วน!
    จับ 'สายลับเขมร' ยศร้อยโทสังกัดหน่วยข่าวกรอง คอยแจ้งพิกัดทหารไทยแนวชายแดนจันทบุรี-ตราด

    29 ก.ค.68 รายงานข่าวจากหน่วยความมั่นคงทางทหารจันทบุรี-ตราด เปิดเผยว่า ทางเจ้าหน้าที่ทหารหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธิน จังหวัดจันทบุรี(ฉก.นย.จันทบุรี) ได้ทำการเชิญตัว MR.OEUN KHOEM หรือนายคึม เอือน อายุ 43 ปี สัญชาติกัมพูชา ที่ถือวีซ่า NON-LA เดินทางเข้ามาเมื่อ 12 MAR 2025 วันที่การอนุญาตสิ้นสุด 11 MAR 2027 แจ้งที่พักอาศัยหมู่ 1 ต.ทับไทร อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี มาทำการตรวจสอบที่ฝ่ายสืบสวน สภ.โป่งน้ำร้อน โดยมีตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดจันทบุรี และกองกำกับการสืบสวนภูธรจังหวัดจันทบุรี ร่วมตรวจสอบและสอบปากคำ

    ทั้งนี้ เนื่องจากจาก เจ้าหน้าที่ทหาร ฉก.นย.จันทบุรี ได้สืบทราบว่า นาย OEUN KHOEM ต้องสงสัยว่าเป็นสายลับทหารกัมพูชา เนื่องจากได้โพสต์ข้อความใน FB พร้อมภาพถ่ายว่า “THAILAND ATTACKS FIRST CAMBODIA DEFEDS” และพบชุดเครื่องแบบทหารกัมพูชาในรถยนต์กระบะยี่ห้อมาสด้า หมายเลขทะเบียน กล 2141 จันทบุรี และที่บ้านพักที่นาย OEUN KHOEM อาศัยอยู่

    จากการตรวจสอบสวนเบื้องต้นของทางเจ้าหน้าที่ พบว่าหนังสือเดินทางและวีซ่ายังไม่หมดอายุ และจะส่ง โทรศัพท์มือถือให้ผู้เชี่ยวชาญ ทำการตรวจสอบข้อมูลในทั้งหมด ทำการสอบสวนเพิ่มเติม

    จนกระทั่ง ให้การรับสารภาพว่าเป็นทหารหน่วยข่าวของกองทัพกัมพูชา คือ ร้อยโท คึม เอือน หมายเลขประจำตัว 157625 เข้ามาสอดแนมหาข่าว ความเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่ทหารฝั่งประเทศไทย แล้วส่งไปยังกองทัพกัมพูชา ใช้ในการสู้รบกับทหารไทย

    เครดิตข่าว: แนวหน้า
    ด่วน! จับ 'สายลับเขมร' ยศร้อยโทสังกัดหน่วยข่าวกรอง คอยแจ้งพิกัดทหารไทยแนวชายแดนจันทบุรี-ตราด 29 ก.ค.68 รายงานข่าวจากหน่วยความมั่นคงทางทหารจันทบุรี-ตราด เปิดเผยว่า ทางเจ้าหน้าที่ทหารหน่วยเฉพาะกิจนาวิกโยธิน จังหวัดจันทบุรี(ฉก.นย.จันทบุรี) ได้ทำการเชิญตัว MR.OEUN KHOEM หรือนายคึม เอือน อายุ 43 ปี สัญชาติกัมพูชา ที่ถือวีซ่า NON-LA เดินทางเข้ามาเมื่อ 12 MAR 2025 วันที่การอนุญาตสิ้นสุด 11 MAR 2027 แจ้งที่พักอาศัยหมู่ 1 ต.ทับไทร อ.โป่งน้ำร้อน จ.จันทบุรี มาทำการตรวจสอบที่ฝ่ายสืบสวน สภ.โป่งน้ำร้อน โดยมีตำรวจตรวจคนเข้าเมืองจังหวัดจันทบุรี และกองกำกับการสืบสวนภูธรจังหวัดจันทบุรี ร่วมตรวจสอบและสอบปากคำ ทั้งนี้ เนื่องจากจาก เจ้าหน้าที่ทหาร ฉก.นย.จันทบุรี ได้สืบทราบว่า นาย OEUN KHOEM ต้องสงสัยว่าเป็นสายลับทหารกัมพูชา เนื่องจากได้โพสต์ข้อความใน FB พร้อมภาพถ่ายว่า “THAILAND ATTACKS FIRST CAMBODIA DEFEDS” และพบชุดเครื่องแบบทหารกัมพูชาในรถยนต์กระบะยี่ห้อมาสด้า หมายเลขทะเบียน กล 2141 จันทบุรี และที่บ้านพักที่นาย OEUN KHOEM อาศัยอยู่ จากการตรวจสอบสวนเบื้องต้นของทางเจ้าหน้าที่ พบว่าหนังสือเดินทางและวีซ่ายังไม่หมดอายุ และจะส่ง โทรศัพท์มือถือให้ผู้เชี่ยวชาญ ทำการตรวจสอบข้อมูลในทั้งหมด ทำการสอบสวนเพิ่มเติม จนกระทั่ง ให้การรับสารภาพว่าเป็นทหารหน่วยข่าวของกองทัพกัมพูชา คือ ร้อยโท คึม เอือน หมายเลขประจำตัว 157625 เข้ามาสอดแนมหาข่าว ความเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่ทหารฝั่งประเทศไทย แล้วส่งไปยังกองทัพกัมพูชา ใช้ในการสู้รบกับทหารไทย เครดิตข่าว: แนวหน้า
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 202 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโลก Linux: เมื่อ “Greenboot” เปลี่ยนภาษาเพื่อความปลอดภัยที่เหนือกว่า

    ลองจินตนาการว่าคุณอัปเดตระบบปฏิบัติการแล้วเครื่องบูตไม่ขึ้น—Greenboot คือเครื่องมือที่ช่วยตรวจสอบสุขภาพระบบทุกครั้งที่บูต เพื่อป้องกันเหตุการณ์แบบนั้น โดยเดิมทีเขียนด้วย Bash แต่ตอนนี้ Red Hat กำลังรีไรต์ใหม่ด้วยภาษา Rust ซึ่งปลอดภัยกว่าและมีประสิทธิภาพสูงกว่า

    Greenboot ทำงานร่วมกับ systemd โดยรันสคริปต์ตรวจสอบในโฟลเดอร์ต่างๆ เช่น required.d, red.d, และ green.d หากสคริปต์สำคัญล้มเหลว ระบบจะรีบูตและอาจย้อนกลับไปยังเวอร์ชันก่อนหน้าเพื่อความเสถียร

    การรีไรต์ครั้งนี้ไม่ใช่แค่เปลี่ยนภาษา แต่เป็นการขยายการรองรับจาก rpm-ostree ไปยัง bootc ซึ่งเป็นระบบใหม่ที่เน้นความปลอดภัยและการอัปเดตแบบ atomic ใน Fedora IoT

    Greenboot ถูกรีไรต์จาก Bash เป็น Rust โดยทีมงาน Red Hat2
    โครงการเริ่มต้นในปี 2018 จาก Google Summer of Code
    เวอร์ชันใหม่ชื่อ “Greenboot-RS” จะรวมอยู่ใน Fedora 43

    Greenboot ทำหน้าที่ตรวจสอบสุขภาพระบบทุกครั้งที่บูต
    รันสคริปต์ใน /etc/greenboot/check/required.d/ หากล้มเหลวจะรีบูต
    หากล้มเหลวหลายครั้งจะรันสคริปต์ใน red.d และย้อนกลับไปยัง deployment ก่อนหน้า

    เมื่อระบบผ่านการตรวจสอบ จะรันสคริปต์ใน green.d และตั้ง GRUB ว่า boot สำเร็จ
    ใช้ GRUB environment variable เพื่อบันทึกสถานะการบูต
    แสดงข้อความ “Boot Status is GREEN – Health Check SUCCESS” ใน MOTD

    การเปลี่ยนมาใช้ Rust ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและลดช่องโหว่ด้านหน่วยความจำ
    Rust เป็นภาษา memory-safe ที่ช่วยลดบั๊กประเภท buffer overflow และ use-after-free
    เป็นแนวโน้มเดียวกับโครงการอื่น เช่น sudo-rs และ systemd-rs

    Greenboot-RS รองรับทั้ง rpm-ostree และ bootc systems
    bootc เป็นระบบใหม่ที่เน้นการอัปเดตแบบปลอดภัยและย้อนกลับได้
    ช่วยให้ Fedora IoT มีความเสถียรและปลอดภัยมากขึ้น

    การอัปเกรดจาก Greenboot เดิมเป็น Greenboot-RS จะเป็นไปอย่างราบรื่น
    ผู้ใช้สามารถใช้คำสั่ง rpm-ostree upgrade หรือ bootc upgrade ได้ทันที
    ไม่มีผลกระทบต่อผู้ใช้เดิม

    การเปลี่ยนภาษาอาจทำให้เกิดบั๊กใหม่หรือปัญหาความเข้ากันได้
    แม้จะพยายามรักษาฟังก์ชันเดิม แต่การเขียนใหม่อาจมีพฤติกรรมต่างออกไป
    ต้องมีการทดสอบอย่างละเอียดก่อนใช้งานในระบบจริง

    ผู้ดูแลระบบต้องเข้าใจการทำงานของ Greenboot-RS เพื่อแก้ไขปัญหาได้ทันที
    หากสคริปต์ใน required.d ล้มเหลว ระบบจะรีบูตซ้ำ อาจทำให้เข้าใช้งานไม่ได้
    ต้องรู้วิธีตรวจสอบ MOTD และ GRUB variable เพื่อวิเคราะห์ปัญหา

    การใช้ bootc ยังเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ต้องเรียนรู้เพิ่มเติม
    ผู้ใช้ที่คุ้นเคยกับ rpm-ostree อาจต้องปรับตัวกับแนวคิดของ bootc
    การจัดการ deployment และ rollback อาจซับซ้อนขึ้น

    https://www.neowin.net/news/another-linux-utility-is-being-rewritten-in-rust/
    🛠️ เรื่องเล่าจากโลก Linux: เมื่อ “Greenboot” เปลี่ยนภาษาเพื่อความปลอดภัยที่เหนือกว่า ลองจินตนาการว่าคุณอัปเดตระบบปฏิบัติการแล้วเครื่องบูตไม่ขึ้น—Greenboot คือเครื่องมือที่ช่วยตรวจสอบสุขภาพระบบทุกครั้งที่บูต เพื่อป้องกันเหตุการณ์แบบนั้น โดยเดิมทีเขียนด้วย Bash แต่ตอนนี้ Red Hat กำลังรีไรต์ใหม่ด้วยภาษา Rust ซึ่งปลอดภัยกว่าและมีประสิทธิภาพสูงกว่า Greenboot ทำงานร่วมกับ systemd โดยรันสคริปต์ตรวจสอบในโฟลเดอร์ต่างๆ เช่น required.d, red.d, และ green.d หากสคริปต์สำคัญล้มเหลว ระบบจะรีบูตและอาจย้อนกลับไปยังเวอร์ชันก่อนหน้าเพื่อความเสถียร การรีไรต์ครั้งนี้ไม่ใช่แค่เปลี่ยนภาษา แต่เป็นการขยายการรองรับจาก rpm-ostree ไปยัง bootc ซึ่งเป็นระบบใหม่ที่เน้นความปลอดภัยและการอัปเดตแบบ atomic ใน Fedora IoT ✅ Greenboot ถูกรีไรต์จาก Bash เป็น Rust โดยทีมงาน Red Hat2 ➡️ โครงการเริ่มต้นในปี 2018 จาก Google Summer of Code ➡️ เวอร์ชันใหม่ชื่อ “Greenboot-RS” จะรวมอยู่ใน Fedora 43 ✅ Greenboot ทำหน้าที่ตรวจสอบสุขภาพระบบทุกครั้งที่บูต ➡️ รันสคริปต์ใน /etc/greenboot/check/required.d/ หากล้มเหลวจะรีบูต ➡️ หากล้มเหลวหลายครั้งจะรันสคริปต์ใน red.d และย้อนกลับไปยัง deployment ก่อนหน้า ✅ เมื่อระบบผ่านการตรวจสอบ จะรันสคริปต์ใน green.d และตั้ง GRUB ว่า boot สำเร็จ ➡️ ใช้ GRUB environment variable เพื่อบันทึกสถานะการบูต ➡️ แสดงข้อความ “Boot Status is GREEN – Health Check SUCCESS” ใน MOTD ✅ การเปลี่ยนมาใช้ Rust ช่วยเพิ่มความปลอดภัยและลดช่องโหว่ด้านหน่วยความจำ ➡️ Rust เป็นภาษา memory-safe ที่ช่วยลดบั๊กประเภท buffer overflow และ use-after-free ➡️ เป็นแนวโน้มเดียวกับโครงการอื่น เช่น sudo-rs และ systemd-rs ✅ Greenboot-RS รองรับทั้ง rpm-ostree และ bootc systems ➡️ bootc เป็นระบบใหม่ที่เน้นการอัปเดตแบบปลอดภัยและย้อนกลับได้ ➡️ ช่วยให้ Fedora IoT มีความเสถียรและปลอดภัยมากขึ้น ✅ การอัปเกรดจาก Greenboot เดิมเป็น Greenboot-RS จะเป็นไปอย่างราบรื่น ➡️ ผู้ใช้สามารถใช้คำสั่ง rpm-ostree upgrade หรือ bootc upgrade ได้ทันที ➡️ ไม่มีผลกระทบต่อผู้ใช้เดิม ‼️ การเปลี่ยนภาษาอาจทำให้เกิดบั๊กใหม่หรือปัญหาความเข้ากันได้ ⛔ แม้จะพยายามรักษาฟังก์ชันเดิม แต่การเขียนใหม่อาจมีพฤติกรรมต่างออกไป ⛔ ต้องมีการทดสอบอย่างละเอียดก่อนใช้งานในระบบจริง ‼️ ผู้ดูแลระบบต้องเข้าใจการทำงานของ Greenboot-RS เพื่อแก้ไขปัญหาได้ทันที ⛔ หากสคริปต์ใน required.d ล้มเหลว ระบบจะรีบูตซ้ำ อาจทำให้เข้าใช้งานไม่ได้ ⛔ ต้องรู้วิธีตรวจสอบ MOTD และ GRUB variable เพื่อวิเคราะห์ปัญหา ‼️ การใช้ bootc ยังเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่ต้องเรียนรู้เพิ่มเติม ⛔ ผู้ใช้ที่คุ้นเคยกับ rpm-ostree อาจต้องปรับตัวกับแนวคิดของ bootc ⛔ การจัดการ deployment และ rollback อาจซับซ้อนขึ้น https://www.neowin.net/news/another-linux-utility-is-being-rewritten-in-rust/
    WWW.NEOWIN.NET
    Another Linux utility is being rewritten in Rust
    Rust continues to shine in the Linux world, with yet another core utility now being rewritten in the language.
    0 Comments 0 Shares 140 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากข่าว: เมื่อ AI อาจกลืนงานบริการลูกค้า
    ลองจินตนาการว่าโทรหาฝ่ายบริการลูกค้า แล้วไม่มีเสียงมนุษย์ตอบรับอีกต่อไป—มีเพียง AI ที่ตอบกลับอย่างรวดเร็ว ไม่ผิดพลาด และไม่รู้สึกอะไรเลยแม้จะถูกต่อว่า นี่คือภาพอนาคตที่ Sam Altman วาดไว้ในการประชุมที่ Federal Reserve Board

    เขาเตือนว่า AI อาจ “ลบล้าง” หมวดงานบางประเภทไปโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะงานบริการลูกค้า เพราะ AI สามารถทำงานได้เร็วกว่า ไม่ต้องโอนสาย ไม่ต้องรอคิว และไม่ทำผิดพลาด

    แต่ในโลกจริง มันยังไม่สมบูรณ์แบบนัก ตัวอย่างเช่น Klarna ที่เคยใช้ AI chatbot ดูแลลูกค้า 2 ใน 3 ของการสนทนา ก็ยังต้องกลับมาจ้างมนุษย์ เพราะคุณภาพของ AI ยังไม่ดีพอ และลูกค้าก็ยังต้องการ “ความเป็นมนุษย์” ในการสื่อสาร

    นอกจากนี้ Altman ยังยอมรับว่า แม้ AI อย่าง ChatGPT จะวินิจฉัยโรคได้ดีกว่าหมอหลายคน แต่เขาเองก็ยังไม่กล้าให้ AI ดูแลสุขภาพโดยไม่มีหมอร่วมด้วย

    และที่น่ากังวลกว่านั้นคือความสามารถของ AI ในการปลอมเสียงได้อย่างแม่นยำ ซึ่งอาจนำไปสู่การโจรกรรมตัวตนหรือการหลอกลวงทางการเงินได้ง่ายขึ้น

    สาระจากข่าว
    AI อาจแทนที่งานบริการลูกค้าได้โดยสมบูรณ์
    Altman ระบุว่า AI สามารถทำงานได้เร็วและแม่นยำกว่ามนุษย์
    ไม่มีการโอนสายหรือความผิดพลาดแบบมนุษย์

    ตัวอย่างจากบริษัท Klarna
    เคยใช้ AI chatbot ดูแลลูกค้าเป็นหลัก
    กลับมาจ้างมนุษย์เพราะคุณภาพของ AI ยังไม่ดีพอ

    AI ในวงการแพทย์
    ChatGPT สามารถวินิจฉัยโรคได้ดีกว่าหมอหลายคน
    แต่ Altman ยังไม่กล้าใช้ AI โดยไม่มีหมอร่วม

    ความสามารถในการปลอมเสียง
    AI สามารถปลอมเสียงได้อย่างแม่นยำ
    เสี่ยงต่อการโจรกรรมตัวตนและหลอกลวงทางการเงิน

    คำเตือนจากข่าว
    งานบริการลูกค้าเสี่ยงถูกแทนที่
    อาจทำให้คนตกงานจำนวนมากในอนาคต
    ความเป็นมนุษย์ในการบริการอาจหายไป

    AI อาจถูกใช้ในทางที่เป็นภัย
    ปลอมเสียงเพื่อหลอกลวงหรือโจมตีระบบการเงิน
    เสี่ยงต่อการถูกใช้โดยรัฐหรือองค์กรที่ไม่หวังดี

    การพึ่งพา AI มากเกินไป
    อาจทำให้เกิด “automation bias” คือเชื่อ AI มากเกินไป
    ส่งผลต่อการตัดสินใจที่ควรใช้วิจารณญาณของมนุษย์

    https://www.techspot.com/news/108792-openai-ceo-sam-altman-warns-ai-could-wipe.html
    🧠 เรื่องเล่าจากข่าว: เมื่อ AI อาจกลืนงานบริการลูกค้า ลองจินตนาการว่าโทรหาฝ่ายบริการลูกค้า แล้วไม่มีเสียงมนุษย์ตอบรับอีกต่อไป—มีเพียง AI ที่ตอบกลับอย่างรวดเร็ว ไม่ผิดพลาด และไม่รู้สึกอะไรเลยแม้จะถูกต่อว่า นี่คือภาพอนาคตที่ Sam Altman วาดไว้ในการประชุมที่ Federal Reserve Board เขาเตือนว่า AI อาจ “ลบล้าง” หมวดงานบางประเภทไปโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะงานบริการลูกค้า เพราะ AI สามารถทำงานได้เร็วกว่า ไม่ต้องโอนสาย ไม่ต้องรอคิว และไม่ทำผิดพลาด แต่ในโลกจริง มันยังไม่สมบูรณ์แบบนัก ตัวอย่างเช่น Klarna ที่เคยใช้ AI chatbot ดูแลลูกค้า 2 ใน 3 ของการสนทนา ก็ยังต้องกลับมาจ้างมนุษย์ เพราะคุณภาพของ AI ยังไม่ดีพอ และลูกค้าก็ยังต้องการ “ความเป็นมนุษย์” ในการสื่อสาร นอกจากนี้ Altman ยังยอมรับว่า แม้ AI อย่าง ChatGPT จะวินิจฉัยโรคได้ดีกว่าหมอหลายคน แต่เขาเองก็ยังไม่กล้าให้ AI ดูแลสุขภาพโดยไม่มีหมอร่วมด้วย และที่น่ากังวลกว่านั้นคือความสามารถของ AI ในการปลอมเสียงได้อย่างแม่นยำ ซึ่งอาจนำไปสู่การโจรกรรมตัวตนหรือการหลอกลวงทางการเงินได้ง่ายขึ้น ✅ สาระจากข่าว ✅ AI อาจแทนที่งานบริการลูกค้าได้โดยสมบูรณ์ ➡️ Altman ระบุว่า AI สามารถทำงานได้เร็วและแม่นยำกว่ามนุษย์ ➡️ ไม่มีการโอนสายหรือความผิดพลาดแบบมนุษย์ ✅ ตัวอย่างจากบริษัท Klarna ➡️ เคยใช้ AI chatbot ดูแลลูกค้าเป็นหลัก ➡️ กลับมาจ้างมนุษย์เพราะคุณภาพของ AI ยังไม่ดีพอ ✅ AI ในวงการแพทย์ ➡️ ChatGPT สามารถวินิจฉัยโรคได้ดีกว่าหมอหลายคน ➡️ แต่ Altman ยังไม่กล้าใช้ AI โดยไม่มีหมอร่วม ✅ ความสามารถในการปลอมเสียง ➡️ AI สามารถปลอมเสียงได้อย่างแม่นยำ ➡️ เสี่ยงต่อการโจรกรรมตัวตนและหลอกลวงทางการเงิน ‼️ คำเตือนจากข่าว ‼️ งานบริการลูกค้าเสี่ยงถูกแทนที่ ⛔ อาจทำให้คนตกงานจำนวนมากในอนาคต ⛔ ความเป็นมนุษย์ในการบริการอาจหายไป ‼️ AI อาจถูกใช้ในทางที่เป็นภัย ⛔ ปลอมเสียงเพื่อหลอกลวงหรือโจมตีระบบการเงิน ⛔ เสี่ยงต่อการถูกใช้โดยรัฐหรือองค์กรที่ไม่หวังดี ‼️ การพึ่งพา AI มากเกินไป ⛔ อาจทำให้เกิด “automation bias” คือเชื่อ AI มากเกินไป ⛔ ส่งผลต่อการตัดสินใจที่ควรใช้วิจารณญาณของมนุษย์ https://www.techspot.com/news/108792-openai-ceo-sam-altman-warns-ai-could-wipe.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Sam Altman warns AI could wipe out entire job categories, customer support roles most at risk
    Speaking at the Capital Framework for Large Banks conference at the Federal Reserve Board of Governors, Altman addressed one of the most hotly debated issues around generative...
    0 Comments 0 Shares 149 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโลกข้อมูล: เมื่อ “เด็กเนิร์ด” ต้องลุกขึ้นปกป้องสถิติของชาติ

    หลังจากที่ข้อมูลจากหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ เช่น Census Bureau และ CDC ถูกลบหรือแก้ไขโดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้า นักวิจัยจากหลายสาขา — นักสถิติ, นักประชากรศาสตร์, นักวิทยาการคอมพิวเตอร์ — ได้รวมตัวกันเพื่อ:
    - ดาวน์โหลดข้อมูลก่อนที่มันจะหายไป
    - สำรองข้อมูลที่เสี่ยงต่อการถูกลบ
    - สร้างเว็บไซต์ mirror และระบบติดตามการเปลี่ยนแปลง
    - ฟื้นฟูคณะกรรมการที่ปรึกษาทางวิทยาศาสตร์ของ Census Bureau แม้จะไม่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการ

    ตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น:
    - เว็บไซต์ data.cdc.gov ถูกปิดชั่วคราวในเดือนกุมภาพันธ์
    - แบบสอบถามจาก National Survey of Children’s Health ถูกแก้ไขโดยลบคำถามเรื่องการเลือกปฏิบัติตามเพศหรืออัตลักษณ์ทางเพศ
    - คำว่า “gender” ถูกเปลี่ยนเป็น “sex” ในหลายชุดข้อมูลโดยไม่มีการบันทึกการเปลี่ยนแปลง

    กลุ่มที่เข้าร่วมในภารกิจนี้ ได้แก่:
    - Federation of American Scientists (dataindex.com)
    - University of Chicago Library (Data Mirror)
    - Data Rescue Project
    - Federal Data Forum
    - American Statistical Association

    ข้อมูลจากหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ ถูกลบหรือแก้ไขตั้งแต่ต้นปี 2025
    เช่น ข้อมูลด้านสุขภาพ, เพศ, อัตลักษณ์ทางเพศ, ภูมิอากาศ และความหลากหลาย

    นักวิจัยรวมตัวกันเพื่อกู้ข้อมูลและสร้างระบบสำรอง
    เช่น mirror site, ระบบติดตามการเปลี่ยนแปลง และการดาวน์โหลดล่วงหน้า

    เว็บไซต์ data.cdc.gov ถูกปิดชั่วคราวในเดือนกุมภาพันธ์
    กลับมาเปิดอีกครั้งหลังจากผู้ใช้รายงานปัญหา

    แบบสอบถามจาก National Survey of Children’s Health ถูกแก้ไขโดยลบคำถามสำคัญ
    เช่น คำถามเรื่องการเลือกปฏิบัติตามอัตลักษณ์ทางเพศ

    คำว่า “gender” ถูกเปลี่ยนเป็น “sex” ในหลายชุดข้อมูล
    เกือบครึ่งของ 232 ชุดข้อมูลด้านสาธารณสุขถูกแก้ไขโดยไม่มีบันทึก

    กลุ่มนักวิจัยสร้างระบบสำรองข้อมูล เช่น Data Mirror และ Data Rescue Project
    เพื่อให้ข้อมูลยังคงเข้าถึงได้แม้ถูกลบจากเว็บไซต์ทางการ

    คณะกรรมการที่ปรึกษาทางวิทยาศาสตร์ของ Census Bureau ถูกฟื้นฟูโดยกลุ่มภายนอก
    แม้ไม่ได้รับการรับรองจากกระทรวงพาณิชย์ แต่ยังส่งคำแนะนำให้หน่วยงาน

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/25/why-are-data-nerds-racing-to-save-us-government-statistics
    🎙️ เรื่องเล่าจากโลกข้อมูล: เมื่อ “เด็กเนิร์ด” ต้องลุกขึ้นปกป้องสถิติของชาติ หลังจากที่ข้อมูลจากหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ เช่น Census Bureau และ CDC ถูกลบหรือแก้ไขโดยไม่มีการแจ้งล่วงหน้า นักวิจัยจากหลายสาขา — นักสถิติ, นักประชากรศาสตร์, นักวิทยาการคอมพิวเตอร์ — ได้รวมตัวกันเพื่อ: - ดาวน์โหลดข้อมูลก่อนที่มันจะหายไป - สำรองข้อมูลที่เสี่ยงต่อการถูกลบ - สร้างเว็บไซต์ mirror และระบบติดตามการเปลี่ยนแปลง - ฟื้นฟูคณะกรรมการที่ปรึกษาทางวิทยาศาสตร์ของ Census Bureau แม้จะไม่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการ ตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น: - เว็บไซต์ data.cdc.gov ถูกปิดชั่วคราวในเดือนกุมภาพันธ์ - แบบสอบถามจาก National Survey of Children’s Health ถูกแก้ไขโดยลบคำถามเรื่องการเลือกปฏิบัติตามเพศหรืออัตลักษณ์ทางเพศ - คำว่า “gender” ถูกเปลี่ยนเป็น “sex” ในหลายชุดข้อมูลโดยไม่มีการบันทึกการเปลี่ยนแปลง กลุ่มที่เข้าร่วมในภารกิจนี้ ได้แก่: - Federation of American Scientists (dataindex.com) - University of Chicago Library (Data Mirror) - Data Rescue Project - Federal Data Forum - American Statistical Association ✅ ข้อมูลจากหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ ถูกลบหรือแก้ไขตั้งแต่ต้นปี 2025 ➡️ เช่น ข้อมูลด้านสุขภาพ, เพศ, อัตลักษณ์ทางเพศ, ภูมิอากาศ และความหลากหลาย ✅ นักวิจัยรวมตัวกันเพื่อกู้ข้อมูลและสร้างระบบสำรอง ➡️ เช่น mirror site, ระบบติดตามการเปลี่ยนแปลง และการดาวน์โหลดล่วงหน้า ✅ เว็บไซต์ data.cdc.gov ถูกปิดชั่วคราวในเดือนกุมภาพันธ์ ➡️ กลับมาเปิดอีกครั้งหลังจากผู้ใช้รายงานปัญหา ✅ แบบสอบถามจาก National Survey of Children’s Health ถูกแก้ไขโดยลบคำถามสำคัญ ➡️ เช่น คำถามเรื่องการเลือกปฏิบัติตามอัตลักษณ์ทางเพศ ✅ คำว่า “gender” ถูกเปลี่ยนเป็น “sex” ในหลายชุดข้อมูล ➡️ เกือบครึ่งของ 232 ชุดข้อมูลด้านสาธารณสุขถูกแก้ไขโดยไม่มีบันทึก ✅ กลุ่มนักวิจัยสร้างระบบสำรองข้อมูล เช่น Data Mirror และ Data Rescue Project ➡️ เพื่อให้ข้อมูลยังคงเข้าถึงได้แม้ถูกลบจากเว็บไซต์ทางการ ✅ คณะกรรมการที่ปรึกษาทางวิทยาศาสตร์ของ Census Bureau ถูกฟื้นฟูโดยกลุ่มภายนอก ➡️ แม้ไม่ได้รับการรับรองจากกระทรวงพาณิชย์ แต่ยังส่งคำแนะนำให้หน่วยงาน https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/07/25/why-are-data-nerds-racing-to-save-us-government-statistics
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Why are data nerds racing to save US government statistics?
    After watching data sets be altered or disappear from US government websites in unprecedented ways after President Donald Trump began his second term, an army of outside statisticians, demographers and computer scientists have joined forces to capture, preserve and share data sets, sometimes clandestinely.
    0 Comments 0 Shares 169 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากบ้านที่ไม่ฉลาดอีกต่อไป: เมื่อ Google Home กลายเป็นระบบที่ผู้ใช้ต้อง “รีเซ็ตทั้งบ้าน” ทุก 48 ชั่วโมง

    ผู้ใช้ Reddit และ Google Support Forum หลายรายรายงานว่า:
    - Nest Hub ไม่สามารถระบุห้องหรืออุปกรณ์ได้
    - คำสั่งเสียงถูกส่งไปยังอุปกรณ์ผิด
    - กลุ่มอุปกรณ์หายไปจากระบบ
    - ต้องถอดปลั๊กทุกอุปกรณ์แล้วเสียบใหม่ทุก 2 วันเพื่อให้ระบบกลับมาใช้ได้

    โพสต์หนึ่งใน Reddit ชื่อ “The Enshittification of Google Home” ได้รับเกือบ 500 upvotes ภายใน 19 ชั่วโมง และมีผู้ร่วมแชร์ประสบการณ์จำนวนมาก — ทั้งหมดสะท้อนว่า Google Home กลายเป็นระบบที่ไม่เสถียรและขาดการดูแล

    ผู้ใช้บางคนตั้งข้อสงสัยว่า Google อาจ “ปล่อยให้ระบบเสื่อม” เพื่อผลักดันให้ผู้ใช้เปลี่ยนไปใช้อุปกรณ์รุ่นใหม่ที่ใช้ Gemini AI

    ปัญหานี้ไม่ได้เกิดกับ Google เท่านั้น:
    - Apple autocorrect เริ่มแก้คำผิดบ่อยขึ้น เช่น “bomb” กลายเป็น “Bob”
    - Amazon Alexa ลืมอุปกรณ์หรือไม่ตอบคำสั่งพื้นฐาน
    - ผู้ใช้ต้องหาทางแก้เอง เช่นใช้ระบบ homebrew หรือ workaround

    ผู้ใช้ Google Home รายงานปัญหาจำนวนมาก เช่นอุปกรณ์หาย, คำสั่งผิด, และระบบไม่เสถียร
    ต้องรีเซ็ตระบบทั้งบ้านทุก 48 ชั่วโมงเพื่อให้กลับมาใช้งานได้

    โพสต์ใน Reddit เรื่อง “enshittification” ได้รับความสนใจสูงและมีผู้ร่วมแชร์ประสบการณ์จำนวนมาก
    สะท้อนว่าปัญหาไม่ได้เกิดกับผู้ใช้บางราย แต่เป็นปัญหาเชิงระบบ

    Google ตอบกลับด้วยข้อความทั่วไป เช่น “เรากำลังตรวจสอบ” โดยไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจน
    ทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่าไม่มีการแก้ไขจริง

    ผู้ใช้บางคนสงสัยว่า Google อาจปล่อยให้ระบบเสื่อมเพื่อผลักดันอุปกรณ์ Gemini
    เป็นการสร้างแรงจูงใจให้เปลี่ยนไปใช้อุปกรณ์ใหม่

    ปัญหานี้เกิดกับบริษัทเทคโนโลยีหลายราย เช่น Apple และ Amazon
    แสดงถึงการเสื่อมถอยของมาตรฐานในวงการสมาร์ตโฮม

    ผู้ใช้เริ่มหันไปใช้ระบบ homebrew หรือ workaround เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา
    เช่นใช้ Home Assistant หรือระบบควบคุมแบบ local

    https://www.techspot.com/news/108767-redditors-fed-up-google-home-growing-list-glitches.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากบ้านที่ไม่ฉลาดอีกต่อไป: เมื่อ Google Home กลายเป็นระบบที่ผู้ใช้ต้อง “รีเซ็ตทั้งบ้าน” ทุก 48 ชั่วโมง ผู้ใช้ Reddit และ Google Support Forum หลายรายรายงานว่า: - Nest Hub ไม่สามารถระบุห้องหรืออุปกรณ์ได้ - คำสั่งเสียงถูกส่งไปยังอุปกรณ์ผิด - กลุ่มอุปกรณ์หายไปจากระบบ - ต้องถอดปลั๊กทุกอุปกรณ์แล้วเสียบใหม่ทุก 2 วันเพื่อให้ระบบกลับมาใช้ได้ โพสต์หนึ่งใน Reddit ชื่อ “The Enshittification of Google Home” ได้รับเกือบ 500 upvotes ภายใน 19 ชั่วโมง และมีผู้ร่วมแชร์ประสบการณ์จำนวนมาก — ทั้งหมดสะท้อนว่า Google Home กลายเป็นระบบที่ไม่เสถียรและขาดการดูแล ผู้ใช้บางคนตั้งข้อสงสัยว่า Google อาจ “ปล่อยให้ระบบเสื่อม” เพื่อผลักดันให้ผู้ใช้เปลี่ยนไปใช้อุปกรณ์รุ่นใหม่ที่ใช้ Gemini AI ปัญหานี้ไม่ได้เกิดกับ Google เท่านั้น: - Apple autocorrect เริ่มแก้คำผิดบ่อยขึ้น เช่น “bomb” กลายเป็น “Bob” - Amazon Alexa ลืมอุปกรณ์หรือไม่ตอบคำสั่งพื้นฐาน - ผู้ใช้ต้องหาทางแก้เอง เช่นใช้ระบบ homebrew หรือ workaround ✅ ผู้ใช้ Google Home รายงานปัญหาจำนวนมาก เช่นอุปกรณ์หาย, คำสั่งผิด, และระบบไม่เสถียร ➡️ ต้องรีเซ็ตระบบทั้งบ้านทุก 48 ชั่วโมงเพื่อให้กลับมาใช้งานได้ ✅ โพสต์ใน Reddit เรื่อง “enshittification” ได้รับความสนใจสูงและมีผู้ร่วมแชร์ประสบการณ์จำนวนมาก ➡️ สะท้อนว่าปัญหาไม่ได้เกิดกับผู้ใช้บางราย แต่เป็นปัญหาเชิงระบบ ✅ Google ตอบกลับด้วยข้อความทั่วไป เช่น “เรากำลังตรวจสอบ” โดยไม่มีคำอธิบายที่ชัดเจน ➡️ ทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่าไม่มีการแก้ไขจริง ✅ ผู้ใช้บางคนสงสัยว่า Google อาจปล่อยให้ระบบเสื่อมเพื่อผลักดันอุปกรณ์ Gemini ➡️ เป็นการสร้างแรงจูงใจให้เปลี่ยนไปใช้อุปกรณ์ใหม่ ✅ ปัญหานี้เกิดกับบริษัทเทคโนโลยีหลายราย เช่น Apple และ Amazon ➡️ แสดงถึงการเสื่อมถอยของมาตรฐานในวงการสมาร์ตโฮม ✅ ผู้ใช้เริ่มหันไปใช้ระบบ homebrew หรือ workaround เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา ➡️ เช่นใช้ Home Assistant หรือระบบควบคุมแบบ local https://www.techspot.com/news/108767-redditors-fed-up-google-home-growing-list-glitches.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Smart home, dumb problems: The enshittification of Google Home is real
    If your Nest Hub decided this week that your living room no longer exists, or your Google speaker insists on playing Spotify on every device in the...
    0 Comments 0 Shares 155 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากคีย์ที่หมดอายุ: เมื่อการบูตอย่างปลอดภัยกลายเป็นอุปสรรคของผู้ใช้ Linux

    Secure Boot เป็นฟีเจอร์ในระบบ UEFI ที่ช่วยให้เครื่องบูตเฉพาะซอฟต์แวร์ที่ได้รับการเซ็นรับรองจากผู้ผลิต — โดย Microsoft เป็นผู้เซ็น bootloader สำหรับ Linux หลายดิสโทรผ่านระบบ “shim” เพื่อให้สามารถใช้งาน Secure Boot ได้

    แต่ในเดือนกันยายนนี้:
    - คีย์ที่ใช้เซ็น bootloader จะหมดอายุ
    - คีย์ใหม่ถูกออกตั้งแต่ปี 2023 แต่ยังไม่ถูกติดตั้งในอุปกรณ์ส่วนใหญ่
    - การติดตั้งคีย์ใหม่ต้องอัปเดตเฟิร์มแวร์หรือฐานข้อมูล KEK ซึ่งผู้ผลิตอาจไม่ทำ

    ผลคือ:
    - Linux บางดิสโทรอาจไม่สามารถใช้ Secure Boot ได้
    - ผู้ใช้ต้องปิด Secure Boot หรือเซ็นคีย์เอง
    - อุปกรณ์บางรุ่นอาจไม่สามารถบูต Linux ได้เลย หากไม่มีการอัปเดตจากผู้ผลิต

    Microsoft จะหยุดใช้คีย์เดิมในการเซ็น bootloader สำหรับ Secure Boot วันที่ 11 กันยายน 2025
    ส่งผลต่อระบบปฏิบัติการที่ใช้ shim เช่น Ubuntu, Fedora, FreeBSD

    คีย์ใหม่ถูกออกตั้งแต่ปี 2023 แต่ยังไม่ถูกติดตั้งในอุปกรณ์ส่วนใหญ่
    ต้องอัปเดตเฟิร์มแวร์หรือฐานข้อมูล KEK เพื่อรองรับ

    ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ต้องออกอัปเดตเฟิร์มแวร์เพื่อรองรับคีย์ใหม่
    แต่หลายรายอาจไม่สนใจ เพราะผู้ใช้ Linux เป็นส่วนน้อย

    Secure Boot ใช้ฐานข้อมูล db, dbx, KEK และ PK ที่ถูกล็อกไว้ใน NV-RAM
    ต้องใช้คีย์ที่ถูกต้องในการอัปเดตหรือปิดฟีเจอร์

    ดิสโทรบางรายเลือกไม่รองรับ Secure Boot เช่น NetBSD, OpenBSD
    ส่วน Linux และ FreeBSD ใช้ shim ที่เซ็นโดย Microsoft

    ผู้ใช้สามารถปิด Secure Boot หรือเซ็นคีย์เองได้
    แต่ต้องมีความรู้ด้าน UEFI และการจัดการคีย์

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/microsoft-signing-key-required-for-secure-boot-uefi-bootloader-expires-in-september-which-could-be-problematic-for-linux-users
    🎙️ เรื่องเล่าจากคีย์ที่หมดอายุ: เมื่อการบูตอย่างปลอดภัยกลายเป็นอุปสรรคของผู้ใช้ Linux Secure Boot เป็นฟีเจอร์ในระบบ UEFI ที่ช่วยให้เครื่องบูตเฉพาะซอฟต์แวร์ที่ได้รับการเซ็นรับรองจากผู้ผลิต — โดย Microsoft เป็นผู้เซ็น bootloader สำหรับ Linux หลายดิสโทรผ่านระบบ “shim” เพื่อให้สามารถใช้งาน Secure Boot ได้ แต่ในเดือนกันยายนนี้: - คีย์ที่ใช้เซ็น bootloader จะหมดอายุ - คีย์ใหม่ถูกออกตั้งแต่ปี 2023 แต่ยังไม่ถูกติดตั้งในอุปกรณ์ส่วนใหญ่ - การติดตั้งคีย์ใหม่ต้องอัปเดตเฟิร์มแวร์หรือฐานข้อมูล KEK ซึ่งผู้ผลิตอาจไม่ทำ ผลคือ: - Linux บางดิสโทรอาจไม่สามารถใช้ Secure Boot ได้ - ผู้ใช้ต้องปิด Secure Boot หรือเซ็นคีย์เอง - อุปกรณ์บางรุ่นอาจไม่สามารถบูต Linux ได้เลย หากไม่มีการอัปเดตจากผู้ผลิต ✅ Microsoft จะหยุดใช้คีย์เดิมในการเซ็น bootloader สำหรับ Secure Boot วันที่ 11 กันยายน 2025 ➡️ ส่งผลต่อระบบปฏิบัติการที่ใช้ shim เช่น Ubuntu, Fedora, FreeBSD ✅ คีย์ใหม่ถูกออกตั้งแต่ปี 2023 แต่ยังไม่ถูกติดตั้งในอุปกรณ์ส่วนใหญ่ ➡️ ต้องอัปเดตเฟิร์มแวร์หรือฐานข้อมูล KEK เพื่อรองรับ ✅ ผู้ผลิตฮาร์ดแวร์ต้องออกอัปเดตเฟิร์มแวร์เพื่อรองรับคีย์ใหม่ ➡️ แต่หลายรายอาจไม่สนใจ เพราะผู้ใช้ Linux เป็นส่วนน้อย ✅ Secure Boot ใช้ฐานข้อมูล db, dbx, KEK และ PK ที่ถูกล็อกไว้ใน NV-RAM ➡️ ต้องใช้คีย์ที่ถูกต้องในการอัปเดตหรือปิดฟีเจอร์ ✅ ดิสโทรบางรายเลือกไม่รองรับ Secure Boot เช่น NetBSD, OpenBSD ➡️ ส่วน Linux และ FreeBSD ใช้ shim ที่เซ็นโดย Microsoft ✅ ผู้ใช้สามารถปิด Secure Boot หรือเซ็นคีย์เองได้ ➡️ แต่ต้องมีความรู้ด้าน UEFI และการจัดการคีย์ https://www.tomshardware.com/tech-industry/cyber-security/microsoft-signing-key-required-for-secure-boot-uefi-bootloader-expires-in-september-which-could-be-problematic-for-linux-users
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Microsoft's Secure Boot UEFI bootloader signing key expires in September, posing problems for Linux users
    A new key was issued in 2023, but it might not be well-supported ahead of the original key's expiration.
    0 Comments 0 Shares 148 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากเส้นสั่น: เมื่อภาพนิ่งกลายเป็นภาพเคลื่อนไหวด้วยฟิลเตอร์ SVG

    Camillo ได้แรงบันดาลใจจากสารคดี ARTE ที่ใช้ภาพประกอบแบบเรียบง่าย แต่มี “การสั่นเบา ๆ” ที่ทำให้ดูเหมือนภาพเคลื่อนไหวแบบวาดมือ เขาจึงทดลองสร้างเอฟเฟกต์นี้ขึ้นมาโดยไม่ต้องวาดหลายเฟรม แต่ใช้เทคนิคการบิดเบือนภาพผ่านฟิลเตอร์ SVG แทน

    หลักการมี 2 ส่วน:
    1️⃣. Distortion: ทำให้ขอบของภาพไม่เรียบตรง แต่มีความสั่นแบบสุ่ม
    2️⃣. Animation: เปลี่ยนค่าการสั่นทุก ๆ 100–200 ms เพื่อให้เกิดการเคลื่อนไหวต่อเนื่อง

    โดยใช้ฟิลเตอร์ SVG 2 ตัว:

     feTurbulence: สร้าง noise texture แบบ procedural

     feDisplacementMap: ใช้ noise นั้นเพื่อบิดเบือนพิกเซลของภาพ

    จากนั้นใช้ JavaScript เปลี่ยนค่าพารามิเตอร์ เช่น baseFrequency และ scale เพื่อให้เกิดการสั่นแบบมีชีวิตชีวา

    เอฟเฟกต์ “boiling” คือการทำให้ภาพนิ่งดูเหมือนเคลื่อนไหวด้วยการสั่นเบา ๆ
    ใช้ในงานอนิเมชันเพื่อให้ฉากนิ่งดูมีชีวิต เช่นตัวละครยืนเฉย ๆ

    เทคนิคดั้งเดิมคือวาดหลายเฟรมด้วยมือแล้ววนซ้ำ
    แต่ในเว็บสามารถใช้ SVG filter แทนได้โดยไม่ต้องวาดหลายภาพ

    ใช้ฟิลเตอร์ feTurbulence เพื่อสร้าง noise และ feDisplacementMap เพื่อบิดภาพ
    noise จะบิดพิกเซลของภาพให้ดูเหมือนเส้นสั่น

    JavaScript ใช้เปลี่ยนค่าพารามิเตอร์ทุก 100ms เพื่อให้เกิดการเคลื่อนไหว
    เช่นปรับ baseFrequency แบบสุ่มเล็กน้อยในแต่ละเฟรม

    มีเดโมให้ทดลองปรับค่าต่าง ๆ เช่น scale, frequency, และ animation intensity
    สามารถควบคุมระดับการสั่นได้ตั้งแต่เบา ๆ ไปจนถึงสั่นแรงจนภาพบิดเบี้ยว

    เทคนิคนี้ใช้ได้ทั้งกับภาพ SVG และภาพ raster (.jpg, .png)
    ทำให้สามารถนำไปใช้กับภาพประกอบทั่วไปได้หลากหลาย

    https://camillovisini.com/coding/simulating-hand-drawn-motion-with-svg-filters
    🎙️ เรื่องเล่าจากเส้นสั่น: เมื่อภาพนิ่งกลายเป็นภาพเคลื่อนไหวด้วยฟิลเตอร์ SVG Camillo ได้แรงบันดาลใจจากสารคดี ARTE ที่ใช้ภาพประกอบแบบเรียบง่าย แต่มี “การสั่นเบา ๆ” ที่ทำให้ดูเหมือนภาพเคลื่อนไหวแบบวาดมือ เขาจึงทดลองสร้างเอฟเฟกต์นี้ขึ้นมาโดยไม่ต้องวาดหลายเฟรม แต่ใช้เทคนิคการบิดเบือนภาพผ่านฟิลเตอร์ SVG แทน หลักการมี 2 ส่วน: 1️⃣. Distortion: ทำให้ขอบของภาพไม่เรียบตรง แต่มีความสั่นแบบสุ่ม 2️⃣. Animation: เปลี่ยนค่าการสั่นทุก ๆ 100–200 ms เพื่อให้เกิดการเคลื่อนไหวต่อเนื่อง โดยใช้ฟิลเตอร์ SVG 2 ตัว: ✅ feTurbulence: สร้าง noise texture แบบ procedural ✅ feDisplacementMap: ใช้ noise นั้นเพื่อบิดเบือนพิกเซลของภาพ จากนั้นใช้ JavaScript เปลี่ยนค่าพารามิเตอร์ เช่น baseFrequency และ scale เพื่อให้เกิดการสั่นแบบมีชีวิตชีวา ✅ เอฟเฟกต์ “boiling” คือการทำให้ภาพนิ่งดูเหมือนเคลื่อนไหวด้วยการสั่นเบา ๆ ➡️ ใช้ในงานอนิเมชันเพื่อให้ฉากนิ่งดูมีชีวิต เช่นตัวละครยืนเฉย ๆ ✅ เทคนิคดั้งเดิมคือวาดหลายเฟรมด้วยมือแล้ววนซ้ำ ➡️ แต่ในเว็บสามารถใช้ SVG filter แทนได้โดยไม่ต้องวาดหลายภาพ ✅ ใช้ฟิลเตอร์ feTurbulence เพื่อสร้าง noise และ feDisplacementMap เพื่อบิดภาพ ➡️ noise จะบิดพิกเซลของภาพให้ดูเหมือนเส้นสั่น ✅ JavaScript ใช้เปลี่ยนค่าพารามิเตอร์ทุก 100ms เพื่อให้เกิดการเคลื่อนไหว ➡️ เช่นปรับ baseFrequency แบบสุ่มเล็กน้อยในแต่ละเฟรม ✅ มีเดโมให้ทดลองปรับค่าต่าง ๆ เช่น scale, frequency, และ animation intensity ➡️ สามารถควบคุมระดับการสั่นได้ตั้งแต่เบา ๆ ไปจนถึงสั่นแรงจนภาพบิดเบี้ยว ✅ เทคนิคนี้ใช้ได้ทั้งกับภาพ SVG และภาพ raster (.jpg, .png) ➡️ ทำให้สามารถนำไปใช้กับภาพประกอบทั่วไปได้หลากหลาย https://camillovisini.com/coding/simulating-hand-drawn-motion-with-svg-filters
    CAMILLOVISINI.COM
    Simulating Hand-Drawn Motion with SVG Filters
    A practical guide to implementing the boiling line animation effect using SVG filter primitives and JavaScript - Blog post by Camillo Visini
    0 Comments 0 Shares 137 Views 0 Reviews
  • เรื่องเล่าจากโลก Open Source: เมื่อ Linux เวอร์ชันแรงสุดจาก Intel ถูกปลดจากสายพาน

    Clear Linux เป็นระบบปฏิบัติการที่ Intel ออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อเร่ง performance แบบ out-of-the-box โดยมีฟีเจอร์ระดับสูงที่ระบบอื่นไม่กล้าใช้ เช่น:
    - ใช้ compiler flags แบบ aggressive (ทั้ง GCC และ Clang)
    - ทำ PGO (Profile-Guided Optimization) และ LTO (Link-Time Optimization) ทั่วทั้งระบบ
    - kernel ถูกปรับแต่งเพื่อใช้ CPU แบบ multi-threading เต็มที่
    - ปรับใช้งาน AVX2, AVX-512 และเทคโนโลยีอย่าง Optane ตั้งแต่วันแรก
    - มี clr-boot-manager สำหรับอัปเดต kernel แบบเร็ว

    ผลลัพธ์คือ Clear Linux มักจะชนะ benchmark ด้านประสิทธิภาพทั้งในงาน build, render และ scientific computing — แม้ใช้บน AMD ก็ตาม!

    แต่ด้วยนโยบายลดต้นทุนของ Intel บริษัทเริ่มตัดคนและทีม software ออกจำนวนมาก — ส่งผลให้ Clear Linux ถูก “พักถาวร” โดยไม่มีแพตช์ความปลอดภัยหรืออัปเดตใหม่อีก

    นักพัฒนา Linux หลายคนแสดงความเสียดาย เพราะฟีเจอร์และแนวคิดของ Clear Linux เริ่มถูกนำไปใช้ใน distro อื่น ๆ แล้ว เช่น CachyOS และบางส่วนใน Arch-based รุ่นใหม่

    Intel ประกาศหยุดพัฒนา Clear Linux อย่างเป็นทางการ
    ไม่มีแพตช์ ไม่มีอัปเดตความปลอดภัย และ archive repo บน GitHub เป็นแบบ read-only

    Clear Linux มีจุดเด่นคือเร่ง performance ตั้งแต่แกนระบบ
    ใช้ toolchain ใหม่สุด, flags รุนแรง, และ optimization เชิงลึก เช่น PGO/LTO

    ทำงานดีทั้งบน Intel และ AMD แม้จะออกแบบมาเพื่อ Intel โดยตรง
    เป็น distro เดียวที่ “แรงสุด” ในหลาย benchmark แบบไม่ต้องปรับแต่งเอง

    ฟีเจอร์เด่นคือ clr-boot-manager และระบบจัดการ kernel ที่เร็วมาก
    เหมาะกับ developer และงาน HPC ที่ต้องใช้ kernel ใหม่อยู่ตลอด

    ระบบใช้ได้ดีใน workload ที่เน้น CPU, I/O, memory และ multithreading
    เป็นที่นิยมในกลุ่มนักพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ เช่น AI และการ render แบบหนัก ๆ

    Intel จะยังคงสนับสนุน Linux ผ่าน upstream และ distro หลักอื่น ๆ
    เช่น Fedora, Ubuntu หรือโครงการ kernel โดยตรง

    CachyOS และ distro อื่น ๆ เริ่มนำ optimization ของ Clear Linux ไปใช้งาน
    แสดงว่าเทคโนโลยียังมีชีวิตอยู่ใน ecosystem แม้ต้นฉบับจะเลิกทำแล้ว

    ผู้ใช้ Clear Linux ควรวางแผนย้ายออกทันที
    หากไม่ย้ายจะมีความเสี่ยงเรื่องความปลอดภัย เพราะไม่มีแพตช์ใหม่

    ระบบที่ยัง deploy ด้วย Clear Linux อาจเจอปัญหาความเข้ากันในอนาคต
    library หรือ driver ใหม่อาจไม่รองรับ โดยไม่มีทีมดูแลให้

    ฟีเจอร์ที่ใช้เทคโนโลยี Intel โดยตรง เช่น AVX-512 อาจใช้งานยากขึ้นใน distro อื่น
    ต้องปรับแต่งเองหรือเขียน config เพื่อให้ทำงานแบบที่ Clear Linux เคยทำ

    การหยุดพัฒนาอาจเป็นสัญญาณว่า Intel ลดบทบาทในด้าน software ecosystem
    ส่งผลต่อความเร็วของ innovation ด้าน HPC และ AI บน Linux

    https://www.tomshardware.com/software/linux/intel-axes-clear-linux-the-fastest-distribution-on-the-market-company-ends-support-effective-immediately
    🎙️ เรื่องเล่าจากโลก Open Source: เมื่อ Linux เวอร์ชันแรงสุดจาก Intel ถูกปลดจากสายพาน Clear Linux เป็นระบบปฏิบัติการที่ Intel ออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อเร่ง performance แบบ out-of-the-box โดยมีฟีเจอร์ระดับสูงที่ระบบอื่นไม่กล้าใช้ เช่น: - ใช้ compiler flags แบบ aggressive (ทั้ง GCC และ Clang) - ทำ PGO (Profile-Guided Optimization) และ LTO (Link-Time Optimization) ทั่วทั้งระบบ - kernel ถูกปรับแต่งเพื่อใช้ CPU แบบ multi-threading เต็มที่ - ปรับใช้งาน AVX2, AVX-512 และเทคโนโลยีอย่าง Optane ตั้งแต่วันแรก - มี clr-boot-manager สำหรับอัปเดต kernel แบบเร็ว ผลลัพธ์คือ Clear Linux มักจะชนะ benchmark ด้านประสิทธิภาพทั้งในงาน build, render และ scientific computing — แม้ใช้บน AMD ก็ตาม! แต่ด้วยนโยบายลดต้นทุนของ Intel บริษัทเริ่มตัดคนและทีม software ออกจำนวนมาก — ส่งผลให้ Clear Linux ถูก “พักถาวร” โดยไม่มีแพตช์ความปลอดภัยหรืออัปเดตใหม่อีก นักพัฒนา Linux หลายคนแสดงความเสียดาย เพราะฟีเจอร์และแนวคิดของ Clear Linux เริ่มถูกนำไปใช้ใน distro อื่น ๆ แล้ว เช่น CachyOS และบางส่วนใน Arch-based รุ่นใหม่ ✅ Intel ประกาศหยุดพัฒนา Clear Linux อย่างเป็นทางการ ➡️ ไม่มีแพตช์ ไม่มีอัปเดตความปลอดภัย และ archive repo บน GitHub เป็นแบบ read-only ✅ Clear Linux มีจุดเด่นคือเร่ง performance ตั้งแต่แกนระบบ ➡️ ใช้ toolchain ใหม่สุด, flags รุนแรง, และ optimization เชิงลึก เช่น PGO/LTO ✅ ทำงานดีทั้งบน Intel และ AMD แม้จะออกแบบมาเพื่อ Intel โดยตรง ➡️ เป็น distro เดียวที่ “แรงสุด” ในหลาย benchmark แบบไม่ต้องปรับแต่งเอง ✅ ฟีเจอร์เด่นคือ clr-boot-manager และระบบจัดการ kernel ที่เร็วมาก ➡️ เหมาะกับ developer และงาน HPC ที่ต้องใช้ kernel ใหม่อยู่ตลอด ✅ ระบบใช้ได้ดีใน workload ที่เน้น CPU, I/O, memory และ multithreading ➡️ เป็นที่นิยมในกลุ่มนักพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ เช่น AI และการ render แบบหนัก ๆ ✅ Intel จะยังคงสนับสนุน Linux ผ่าน upstream และ distro หลักอื่น ๆ ➡️ เช่น Fedora, Ubuntu หรือโครงการ kernel โดยตรง ✅ CachyOS และ distro อื่น ๆ เริ่มนำ optimization ของ Clear Linux ไปใช้งาน ➡️ แสดงว่าเทคโนโลยียังมีชีวิตอยู่ใน ecosystem แม้ต้นฉบับจะเลิกทำแล้ว ‼️ ผู้ใช้ Clear Linux ควรวางแผนย้ายออกทันที ⛔ หากไม่ย้ายจะมีความเสี่ยงเรื่องความปลอดภัย เพราะไม่มีแพตช์ใหม่ ‼️ ระบบที่ยัง deploy ด้วย Clear Linux อาจเจอปัญหาความเข้ากันในอนาคต ⛔ library หรือ driver ใหม่อาจไม่รองรับ โดยไม่มีทีมดูแลให้ ‼️ ฟีเจอร์ที่ใช้เทคโนโลยี Intel โดยตรง เช่น AVX-512 อาจใช้งานยากขึ้นใน distro อื่น ⛔ ต้องปรับแต่งเองหรือเขียน config เพื่อให้ทำงานแบบที่ Clear Linux เคยทำ ‼️ การหยุดพัฒนาอาจเป็นสัญญาณว่า Intel ลดบทบาทในด้าน software ecosystem ⛔ ส่งผลต่อความเร็วของ innovation ด้าน HPC และ AI บน Linux https://www.tomshardware.com/software/linux/intel-axes-clear-linux-the-fastest-distribution-on-the-market-company-ends-support-effective-immediately
    0 Comments 0 Shares 212 Views 0 Reviews
  • สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐ ยืนยันว่า “กระบวนการอย่างเป็นทางการ” เพื่อระบุตัวผู้ที่จะมาแทนที่เจอโรม พาวเวลล์ ในตำแหน่งประธานเฟด(FED) ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
    สก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐ ยืนยันว่า “กระบวนการอย่างเป็นทางการ” เพื่อระบุตัวผู้ที่จะมาแทนที่เจอโรม พาวเวลล์ ในตำแหน่งประธานเฟด(FED) ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
    0 Comments 0 Shares 180 Views 0 Reviews
  • อีลอน มัสก์ ยื่นเอกสารต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งกลาง (FEC - Federal Election Commission) เพื่อก่อตั้ง “พรรคอเมริกา” (AMERICA PARTY) อย่างเป็นทางการแล้ว

    โดยระบุให้ เลขที่ 1 Rocket Road เป็นสำนักงานใหญ่ และชื่อของเขาเองเป็นผู้สมัครเพียงคนเดียวที่พรรคสนับสนุน

    ไวภาฟ ทาเนจา (Vaibhav Taneja) CFO ของ Telsa เป็นเหรัญญิก

    เอกสารนี้หมายความว่าอีลอนสามารถระดมและใช้จ่ายเงินเพื่อสนับสนุนการลงสมัครหรือกิจกรรมทางการเมืองของเขาได้อย่างถูกกฎหมาย
    อีลอน มัสก์ ยื่นเอกสารต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งกลาง (FEC - Federal Election Commission) เพื่อก่อตั้ง “พรรคอเมริกา” (AMERICA PARTY) อย่างเป็นทางการแล้ว โดยระบุให้ เลขที่ 1 Rocket Road เป็นสำนักงานใหญ่ และชื่อของเขาเองเป็นผู้สมัครเพียงคนเดียวที่พรรคสนับสนุน ไวภาฟ ทาเนจา (Vaibhav Taneja) CFO ของ Telsa เป็นเหรัญญิก เอกสารนี้หมายความว่าอีลอนสามารถระดมและใช้จ่ายเงินเพื่อสนับสนุนการลงสมัครหรือกิจกรรมทางการเมืองของเขาได้อย่างถูกกฎหมาย
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 196 Views 0 Reviews
  • openSUSE Tumbleweed เป็นดิสโทรแนว rolling release นะครับ — นั่นคือไม่ต้องรอเวอร์ชันใหม่รายปีเหมือน Ubuntu หรือ Fedora แต่มีของใหม่ไหลมาเรื่อย ๆ เดือนมิถุนายนนี้คือรอบใหญ่ที่แฟน KDE รอคอย เพราะได้อัปเกรดเป็น KDE Plasma 6.4 ตัวเต็ม พร้อม UI ลื่นขึ้น ดีไซน์ใหม่ และมีฟีเจอร์ที่คอ productivity น่าจะชอบ:

    - ระบบ จัดหน้าต่างแบบ Tiling (เหมือน BSPWM หรือ Win+Arrow ใน Windows)
    - ปรับระบบแจ้งเตือนใหม่: ติดตั้งอัปเดตตรงจากโนติ, มี Do Not Disturb เต็มจอ, บอกเมื่อ mute ไมค์
    - KRunner รองรับโค้ดสีแบบเห็นภาพ
    - System Monitor เพิ่มกราฟ GPU
    - Spectacle ถ่ายภาพหน้าจอแบบใหม่
    - Accessibility ดีขึ้นทั้งทางแป้นพิมพ์และ Wayland

    แต่ไม่ได้มีแค่ Plasma — ด้านล่างยังมีของใหม่อีก:

    - Linux kernel 6.15 → 6.15.3 → รองรับ PCIe hotplug, Wi-Fi ชิปใหม่ และ I/O scheduler ที่ดีขึ้น
    - GCC 15 เพิ่มภาษา Modula-2, COBOL (!), และประสิทธิภาพดีขึ้น
    - Mesa 25.1.3 แก้ปัญหาเกม DOOM: The Dark Ages กับไดรเวอร์
    - PipeWire 1.4.6 ลดดีเลย์เสียง, แก้ ALSA crash
    - Python 3.13.5 และ 3.11 (ความปลอดภัย+เสถียรภาพ), พร้อมบอกลา Python 2.7

    และที่สำคัญมาก — มีการอุดช่องโหว่ความปลอดภัย (CVE) หลายตัวใน Firefox, Python, libssh, ClamAV, gdm ฯลฯ เรียกได้ว่าเป็น “เดือนที่ควรอัปเดตทันที” เลยครับ

    https://www.neowin.net/news/opensuse-tumbleweeds-june-update-brings-kde-plasma-64-and-critical-security-fixes/
    openSUSE Tumbleweed เป็นดิสโทรแนว rolling release นะครับ — นั่นคือไม่ต้องรอเวอร์ชันใหม่รายปีเหมือน Ubuntu หรือ Fedora แต่มีของใหม่ไหลมาเรื่อย ๆ เดือนมิถุนายนนี้คือรอบใหญ่ที่แฟน KDE รอคอย เพราะได้อัปเกรดเป็น KDE Plasma 6.4 ตัวเต็ม พร้อม UI ลื่นขึ้น ดีไซน์ใหม่ และมีฟีเจอร์ที่คอ productivity น่าจะชอบ: - ระบบ จัดหน้าต่างแบบ Tiling (เหมือน BSPWM หรือ Win+Arrow ใน Windows) - ปรับระบบแจ้งเตือนใหม่: ติดตั้งอัปเดตตรงจากโนติ, มี Do Not Disturb เต็มจอ, บอกเมื่อ mute ไมค์ - KRunner รองรับโค้ดสีแบบเห็นภาพ - System Monitor เพิ่มกราฟ GPU - Spectacle ถ่ายภาพหน้าจอแบบใหม่ - Accessibility ดีขึ้นทั้งทางแป้นพิมพ์และ Wayland แต่ไม่ได้มีแค่ Plasma — ด้านล่างยังมีของใหม่อีก: - Linux kernel 6.15 → 6.15.3 → รองรับ PCIe hotplug, Wi-Fi ชิปใหม่ และ I/O scheduler ที่ดีขึ้น - GCC 15 เพิ่มภาษา Modula-2, COBOL (!), และประสิทธิภาพดีขึ้น - Mesa 25.1.3 แก้ปัญหาเกม DOOM: The Dark Ages กับไดรเวอร์ - PipeWire 1.4.6 ลดดีเลย์เสียง, แก้ ALSA crash - Python 3.13.5 และ 3.11 (ความปลอดภัย+เสถียรภาพ), พร้อมบอกลา Python 2.7 และที่สำคัญมาก — มีการอุดช่องโหว่ความปลอดภัย (CVE) หลายตัวใน Firefox, Python, libssh, ClamAV, gdm ฯลฯ เรียกได้ว่าเป็น “เดือนที่ควรอัปเดตทันที” เลยครับ https://www.neowin.net/news/opensuse-tumbleweeds-june-update-brings-kde-plasma-64-and-critical-security-fixes/
    WWW.NEOWIN.NET
    openSUSE Tumbleweed's June update brings KDE Plasma 6.4 and critical security fixes
    If you're looking to try out the new KDE Plasma 6.4, you can check out openSUSE Tumbleweed, as it was one of many bleeding-edge updates the distribution got in June.
    0 Comments 0 Shares 232 Views 0 Reviews
  • https://youtu.be/Ix53J2aMN2c?si=OWfed5Bfyizwm-B8
    https://youtu.be/Ix53J2aMN2c?si=OWfed5Bfyizwm-B8
    0 Comments 0 Shares 64 Views 0 Reviews
  • ถ้าใครเคยทำงานคลังสินค้าหรือดูคลิปใน TikTok จะรู้เลยว่างาน “โหลดของขึ้นรถ” คือสุดยอดของความเหนื่อย — ต้องยกกล่องหนัก ๆ ท่ามกลางความร้อน (ในรถไม่มีแอร์), ท่าทางที่ผิดหลักสรีระ และต้องทำให้เร็วมาก

    ที่ผ่านมาแม้คลังสินค้าจะเริ่มอัตโนมัติแล้ว แต่ขั้นตอนนี้กลับ “ยังต้องใช้แรงงานคน” อยู่เป็นด่านสุดท้าย — จนกระทั่งหุ่นยนต์ยุคใหม่เริ่มฉลาดพอจะรับหน้าที่แทน

    ตอนนี้มี 4 บริษัทที่พาหุ่นยนต์เข้าสนามจริง:
    - Ambi Robotics: มีหุ่นยนต์ AmbiStack ใช้ AI วิเคราะห์ “กล่องที่ไม่รู้จักมาก่อน” แล้วเรียงลงพาเลตแบบอัตโนมัติ โดยคำนึงถึงน้ำหนัก, ความเปราะ, จุดถ่วง — แถมเรียนรู้จากประสบการณ์จริงได้เรื่อย ๆ
    - Boston Dynamics: ส่ง Stretch ลงสนาม มันมีแขนดูดทรงพลัง เก็บกล่องหลากชนิดได้แม้มีรอยขาด แถมมีกล้อง LiDAR ให้มองเห็นรอบตัว และเรียกคนช่วยเมื่อเกิดปัญหา
    - FedEx + Dexterity AI: ทดลอง DexR หุ่นสองแขนที่ใช้ AI คิดผังการวางกล่องแบบ “สร้างกำแพง” ภายในครึ่งวินาที แล้วขยับแขนให้กล่องแน่นสุด ๆ โดยไม่ชนกัน
    - Walmart: ใช้ “FoxBots” รถยกพาเลตอัตโนมัติที่สามารถขนกล่องซ้อนสองชั้นกว่า 60 ชุดต่อชั่วโมง

    แรงงานคนจึงเริ่ม “เปลี่ยนบทบาท” มาเป็นผู้ดูแลหุ่นแทน — คอยตรวจสอบ, แก้ปัญหา และปรับปรุงการทำงาน เป็นสัญญาณว่า…อาจไม่มี “คนยกของ” อีกต่อไปในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า

    https://www.techspot.com/news/108425-robots-transforming-warehouse-automation-ending-back-breaking-truck.html
    ถ้าใครเคยทำงานคลังสินค้าหรือดูคลิปใน TikTok จะรู้เลยว่างาน “โหลดของขึ้นรถ” คือสุดยอดของความเหนื่อย — ต้องยกกล่องหนัก ๆ ท่ามกลางความร้อน (ในรถไม่มีแอร์), ท่าทางที่ผิดหลักสรีระ และต้องทำให้เร็วมาก ที่ผ่านมาแม้คลังสินค้าจะเริ่มอัตโนมัติแล้ว แต่ขั้นตอนนี้กลับ “ยังต้องใช้แรงงานคน” อยู่เป็นด่านสุดท้าย — จนกระทั่งหุ่นยนต์ยุคใหม่เริ่มฉลาดพอจะรับหน้าที่แทน ตอนนี้มี 4 บริษัทที่พาหุ่นยนต์เข้าสนามจริง: - Ambi Robotics: มีหุ่นยนต์ AmbiStack ใช้ AI วิเคราะห์ “กล่องที่ไม่รู้จักมาก่อน” แล้วเรียงลงพาเลตแบบอัตโนมัติ โดยคำนึงถึงน้ำหนัก, ความเปราะ, จุดถ่วง — แถมเรียนรู้จากประสบการณ์จริงได้เรื่อย ๆ - Boston Dynamics: ส่ง Stretch ลงสนาม มันมีแขนดูดทรงพลัง เก็บกล่องหลากชนิดได้แม้มีรอยขาด แถมมีกล้อง LiDAR ให้มองเห็นรอบตัว และเรียกคนช่วยเมื่อเกิดปัญหา - FedEx + Dexterity AI: ทดลอง DexR หุ่นสองแขนที่ใช้ AI คิดผังการวางกล่องแบบ “สร้างกำแพง” ภายในครึ่งวินาที แล้วขยับแขนให้กล่องแน่นสุด ๆ โดยไม่ชนกัน - Walmart: ใช้ “FoxBots” รถยกพาเลตอัตโนมัติที่สามารถขนกล่องซ้อนสองชั้นกว่า 60 ชุดต่อชั่วโมง แรงงานคนจึงเริ่ม “เปลี่ยนบทบาท” มาเป็นผู้ดูแลหุ่นแทน — คอยตรวจสอบ, แก้ปัญหา และปรับปรุงการทำงาน เป็นสัญญาณว่า…อาจไม่มี “คนยกของ” อีกต่อไปในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า https://www.techspot.com/news/108425-robots-transforming-warehouse-automation-ending-back-breaking-truck.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Robots are transforming warehouse automation and ending back-breaking truck loading
    The last stronghold of human labor in warehouses – the grueling job of loading and unloading trucks – is rapidly giving way to a new generation of...
    0 Comments 0 Shares 190 Views 0 Reviews
  • ทองคำ Sideway รอ Dot Plot ของ FED ตอน ตี 1
    .
    คำเดียวเลย อึดอัด...!!!
    .
    ทองคำ Sideway รอ Dot Plot ของ FED ตอน ตี 1 . คำเดียวเลย อึดอัด...!!! . 🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣🤣
    0 Comments 0 Shares 82 Views 0 Reviews
  • ข้อร้องเรียนต่อ FTC: แชทบอท "บำบัด" ของ Character.AI และ Meta
    กลุ่มสิทธิด้านสุขภาพจิตและสิทธิทางดิจิทัลได้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อ FTC (Federal Trade Commission) เกี่ยวกับแชทบอทของ Character.AI และ Meta ที่อ้างว่าให้คำปรึกษาด้านสุขภาพจิตโดยไม่มีใบอนุญาต ซึ่งอาจเป็นการละเมิดกฎหมายและก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อผู้ใช้.

    รายละเอียดข้อร้องเรียน
    Character.AI และ Meta AI Studio ถูกกล่าวหาว่าให้คำปรึกษาด้านสุขภาพจิตโดยไม่มีใบอนุญาต ซึ่งอาจเข้าข่ายการแอบอ้างเป็นผู้เชี่ยวชาญ.
    แชทบอทบางตัวอ้างว่าเป็นนักบำบัดที่ได้รับใบอนุญาต เช่น "Therapist: I'm a licensed CBT therapist" ซึ่งมีการแลกเปลี่ยนข้อความกว่า 46 ล้านครั้ง.
    Meta มีแชทบอทที่ชื่อ "therapy: your trusted ear, always here" ซึ่งมีการโต้ตอบกว่า 2 ล้านครั้ง.
    FTC ได้รับการร้องเรียนจากองค์กรต่างๆ เช่น Consumer Federation of America (CFA), AI Now Institute, Tech Justice Law Project และอื่นๆ.

    ผลกระทบและข้อควรระวัง
    แชทบอทอาจให้คำแนะนำที่ผิดพลาดหรือไม่เหมาะสม เนื่องจากไม่มีการควบคุมโดยผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับใบอนุญาต.
    ข้อมูลที่ผู้ใช้ป้อนอาจถูกนำไปใช้เพื่อการโฆษณาหรือขายให้บริษัทอื่น แม้ว่าจะมีการรับรองว่าข้อมูลจะถูกเก็บเป็นความลับ.
    แชทบอทอาจทำให้ผู้ใช้เข้าใจผิดว่ากำลังพูดคุยกับนักบำบัดที่มีใบอนุญาต ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพจิตของผู้ใช้.

    แนวทางป้องกันสำหรับผู้ใช้
    ตรวจสอบแหล่งที่มาของคำแนะนำด้านสุขภาพจิต และหลีกเลี่ยงการพึ่งพา AI ในการตัดสินใจที่สำคัญ.
    ใช้บริการจากนักบำบัดที่ได้รับใบอนุญาตจริง แทนการใช้แชทบอทที่ไม่มีการรับรอง.
    ติดตามการดำเนินการของ FTC และหน่วยงานกำกับดูแล เพื่อดูว่ามีมาตรการควบคุมเพิ่มเติมหรือไม่.

    ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการกำกับดูแล AI
    FTC กำลังพิจารณากฎระเบียบใหม่เกี่ยวกับ AI เพื่อป้องกันการใช้เทคโนโลยีในทางที่ผิด.
    Senator Cory Booker และสมาชิกวุฒิสภาอีก 3 คน ได้ส่งจดหมายถึง Meta เพื่อสอบถามเกี่ยวกับแชทบอทที่อ้างว่าเป็นนักบำบัด.
    Character.AI กำลังเผชิญกับคดีความจากแม่ของเด็กวัย 14 ปี ที่ฆ่าตัวตายหลังจากมีความผูกพันทางอารมณ์กับแชทบอทที่จำลองบุคลิกของ Daenerys Targaryen จาก Game of Thrones.

    https://www.techspot.com/news/108325-meta-characterai-therapy-chatbots-spark-ftc-complaint-over.html
    ข้อร้องเรียนต่อ FTC: แชทบอท "บำบัด" ของ Character.AI และ Meta กลุ่มสิทธิด้านสุขภาพจิตและสิทธิทางดิจิทัลได้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อ FTC (Federal Trade Commission) เกี่ยวกับแชทบอทของ Character.AI และ Meta ที่อ้างว่าให้คำปรึกษาด้านสุขภาพจิตโดยไม่มีใบอนุญาต ซึ่งอาจเป็นการละเมิดกฎหมายและก่อให้เกิดความเสี่ยงต่อผู้ใช้. รายละเอียดข้อร้องเรียน ✅ Character.AI และ Meta AI Studio ถูกกล่าวหาว่าให้คำปรึกษาด้านสุขภาพจิตโดยไม่มีใบอนุญาต ซึ่งอาจเข้าข่ายการแอบอ้างเป็นผู้เชี่ยวชาญ. ✅ แชทบอทบางตัวอ้างว่าเป็นนักบำบัดที่ได้รับใบอนุญาต เช่น "Therapist: I'm a licensed CBT therapist" ซึ่งมีการแลกเปลี่ยนข้อความกว่า 46 ล้านครั้ง. ✅ Meta มีแชทบอทที่ชื่อ "therapy: your trusted ear, always here" ซึ่งมีการโต้ตอบกว่า 2 ล้านครั้ง. ✅ FTC ได้รับการร้องเรียนจากองค์กรต่างๆ เช่น Consumer Federation of America (CFA), AI Now Institute, Tech Justice Law Project และอื่นๆ. ผลกระทบและข้อควรระวัง ‼️ แชทบอทอาจให้คำแนะนำที่ผิดพลาดหรือไม่เหมาะสม เนื่องจากไม่มีการควบคุมโดยผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับใบอนุญาต. ‼️ ข้อมูลที่ผู้ใช้ป้อนอาจถูกนำไปใช้เพื่อการโฆษณาหรือขายให้บริษัทอื่น แม้ว่าจะมีการรับรองว่าข้อมูลจะถูกเก็บเป็นความลับ. ‼️ แชทบอทอาจทำให้ผู้ใช้เข้าใจผิดว่ากำลังพูดคุยกับนักบำบัดที่มีใบอนุญาต ซึ่งอาจส่งผลต่อสุขภาพจิตของผู้ใช้. แนวทางป้องกันสำหรับผู้ใช้ ✅ ตรวจสอบแหล่งที่มาของคำแนะนำด้านสุขภาพจิต และหลีกเลี่ยงการพึ่งพา AI ในการตัดสินใจที่สำคัญ. ✅ ใช้บริการจากนักบำบัดที่ได้รับใบอนุญาตจริง แทนการใช้แชทบอทที่ไม่มีการรับรอง. ✅ ติดตามการดำเนินการของ FTC และหน่วยงานกำกับดูแล เพื่อดูว่ามีมาตรการควบคุมเพิ่มเติมหรือไม่. ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการกำกับดูแล AI ✅ FTC กำลังพิจารณากฎระเบียบใหม่เกี่ยวกับ AI เพื่อป้องกันการใช้เทคโนโลยีในทางที่ผิด. ✅ Senator Cory Booker และสมาชิกวุฒิสภาอีก 3 คน ได้ส่งจดหมายถึง Meta เพื่อสอบถามเกี่ยวกับแชทบอทที่อ้างว่าเป็นนักบำบัด. ‼️ Character.AI กำลังเผชิญกับคดีความจากแม่ของเด็กวัย 14 ปี ที่ฆ่าตัวตายหลังจากมีความผูกพันทางอารมณ์กับแชทบอทที่จำลองบุคลิกของ Daenerys Targaryen จาก Game of Thrones. https://www.techspot.com/news/108325-meta-characterai-therapy-chatbots-spark-ftc-complaint-over.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Character.AI and Meta "therapy" chatbots spark FTC complaint over unlicensed mental health advice
    The complaint, which has also been submitted to Attorneys General and Mental Health Licensing Boards of all 50 states and the District of Columbia, claims the AI...
    0 Comments 0 Shares 268 Views 0 Reviews
  • FAA เตรียมยกเลิกการใช้แผ่นดิสก์และ Windows 95 ในระบบควบคุมการจราจรทางอากาศ
    Federal Aviation Administration (FAA) กำลังดำเนินโครงการ ปรับปรุงระบบควบคุมการจราจรทางอากาศ (ATC) ของสหรัฐฯ เพื่อ ยกเลิกการใช้แผ่นดิสก์และระบบปฏิบัติการ Windows 95 ซึ่งยังคงถูกใช้งานในหลายศูนย์ควบคุมทั่วประเทศ

    ปัจจุบัน FAA ยังคงใช้แผ่นดิสก์และกระดาษในการจัดการข้อมูลเที่ยวบิน ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ล้าสมัยและ เสี่ยงต่อความล้มเหลวของระบบ แม้ว่าจะช่วยให้รอดพ้นจากเหตุการณ์ CrowdStrike outage ที่ส่งผลกระทบทั่วโลก แต่ FAA ยอมรับว่าระบบปัจจุบันไม่สามารถรองรับอนาคตได้

    ข้อมูลจากข่าว
    - FAA เตรียมยกเลิกการใช้แผ่นดิสก์และ Windows 95 ในระบบควบคุมการจราจรทางอากาศ
    - ปัจจุบัน ATC ยังคงใช้กระดาษและแผ่นดิสก์ในการจัดการข้อมูลเที่ยวบิน
    - FAA ยอมรับว่าระบบปัจจุบันไม่สามารถรองรับอนาคตได้
    - โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนจากทุกฝ่าย เนื่องจากเป็นโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ
    - FAA ได้เปิดรับข้อเสนอจากบริษัทเทคโนโลยีเพื่อช่วยปรับปรุงระบบ

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - การอัปเกรดระบบ ATC ไม่สามารถทำได้ทันที เนื่องจากบางระบบต้องทำงานตลอดเวลา
    - ต้องมั่นใจว่าระบบใหม่มีความปลอดภัยสูงและสามารถป้องกันการแฮกได้
    - FAA ยังไม่ได้เปิดเผยงบประมาณที่ใช้ในการอัปเกรดระบบ
    - ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมมองว่าแผนการปรับปรุงภายใน 4 ปีอาจไม่เป็นไปตามกำหนด

    การปรับปรุงระบบ ATC อาจช่วยให้การจัดการเที่ยวบินมีประสิทธิภาพมากขึ้น และ ลดความเสี่ยงจากระบบที่ล้าสมัย อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อความปลอดภัยและความต่อเนื่องของบริการอย่างไร

    https://www.tomshardware.com/pc-components/storage/the-faa-seeks-to-eliminate-floppy-disk-usage-in-air-traffic-control-systems
    ✈️ FAA เตรียมยกเลิกการใช้แผ่นดิสก์และ Windows 95 ในระบบควบคุมการจราจรทางอากาศ Federal Aviation Administration (FAA) กำลังดำเนินโครงการ ปรับปรุงระบบควบคุมการจราจรทางอากาศ (ATC) ของสหรัฐฯ เพื่อ ยกเลิกการใช้แผ่นดิสก์และระบบปฏิบัติการ Windows 95 ซึ่งยังคงถูกใช้งานในหลายศูนย์ควบคุมทั่วประเทศ ปัจจุบัน FAA ยังคงใช้แผ่นดิสก์และกระดาษในการจัดการข้อมูลเที่ยวบิน ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ล้าสมัยและ เสี่ยงต่อความล้มเหลวของระบบ แม้ว่าจะช่วยให้รอดพ้นจากเหตุการณ์ CrowdStrike outage ที่ส่งผลกระทบทั่วโลก แต่ FAA ยอมรับว่าระบบปัจจุบันไม่สามารถรองรับอนาคตได้ ✅ ข้อมูลจากข่าว - FAA เตรียมยกเลิกการใช้แผ่นดิสก์และ Windows 95 ในระบบควบคุมการจราจรทางอากาศ - ปัจจุบัน ATC ยังคงใช้กระดาษและแผ่นดิสก์ในการจัดการข้อมูลเที่ยวบิน - FAA ยอมรับว่าระบบปัจจุบันไม่สามารถรองรับอนาคตได้ - โครงการนี้ได้รับการสนับสนุนจากทุกฝ่าย เนื่องจากเป็นโครงการโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ - FAA ได้เปิดรับข้อเสนอจากบริษัทเทคโนโลยีเพื่อช่วยปรับปรุงระบบ ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - การอัปเกรดระบบ ATC ไม่สามารถทำได้ทันที เนื่องจากบางระบบต้องทำงานตลอดเวลา - ต้องมั่นใจว่าระบบใหม่มีความปลอดภัยสูงและสามารถป้องกันการแฮกได้ - FAA ยังไม่ได้เปิดเผยงบประมาณที่ใช้ในการอัปเกรดระบบ - ผู้เชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมมองว่าแผนการปรับปรุงภายใน 4 ปีอาจไม่เป็นไปตามกำหนด การปรับปรุงระบบ ATC อาจช่วยให้การจัดการเที่ยวบินมีประสิทธิภาพมากขึ้น และ ลดความเสี่ยงจากระบบที่ล้าสมัย อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามว่าการเปลี่ยนแปลงนี้จะส่งผลต่อความปลอดภัยและความต่อเนื่องของบริการอย่างไร https://www.tomshardware.com/pc-components/storage/the-faa-seeks-to-eliminate-floppy-disk-usage-in-air-traffic-control-systems
    0 Comments 0 Shares 234 Views 0 Reviews
  • ช่องโหว่ความปลอดภัยในระบบ Linux อาจทำให้รหัสผ่านรั่วไหล
    นักวิจัยด้านความปลอดภัยจาก Qualys ได้ค้นพบ ช่องโหว่ด้านความปลอดภัยสองรายการ ในระบบ Linux ซึ่งอาจทำให้ แฮกเกอร์สามารถเข้าถึงข้อมูลสำคัญ เช่น รหัสผ่าน ได้

    ช่องโหว่แรกพบใน Apport ซึ่งเป็น core dump-handler ของ Ubuntu และถูกติดตามภายใต้รหัส CVE-2025-5054 ช่องโหว่ที่สองพบใน core dump-handler ของ Red Hat Enterprise Linux 9 และ 10 รวมถึง Fedora และถูกติดตามภายใต้รหัส CVE-2025-4598

    ช่องโหว่เหล่านี้เป็น race condition bugs ซึ่งช่วยให้ แฮกเกอร์สามารถเข้าถึงข้อมูลที่ถูกบันทึกใน core dump โดยอาจมี รหัสผ่านหรือข้อมูลสำคัญอื่น ๆ

    ข้อมูลจากข่าว
    - Qualys พบช่องโหว่ด้านความปลอดภัยสองรายการในระบบ Linux
    - ช่องโหว่แรก (CVE-2025-5054) อยู่ใน Apport ของ Ubuntu
    - ช่องโหว่ที่สอง (CVE-2025-4598) อยู่ใน core dump-handler ของ Red Hat และ Fedora
    - ช่องโหว่เหล่านี้เป็น race condition bugs ที่ช่วยให้แฮกเกอร์เข้าถึงข้อมูลสำคัญ
    - Debian ไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากไม่มี core dump-handler เป็นค่าเริ่มต้น

    คำเตือนที่ควรพิจารณา
    - แฮกเกอร์สามารถใช้ช่องโหว่นี้เพื่อเข้าถึงรหัสผ่านและข้อมูลสำคัญของระบบ
    - Ubuntu 24.04 และทุกเวอร์ชันตั้งแต่ 16.04 ได้รับผลกระทบจากช่องโหว่ CVE-2025-5054
    - Fedora 40/41 และ Red Hat Enterprise Linux 9 และ 10 ได้รับผลกระทบจากช่องโหว่ CVE-2025-4598
    - ผู้ดูแลระบบควรตรวจสอบการตั้งค่าความปลอดภัยของ core dumps และใช้มาตรการป้องกันเพิ่มเติม

    Qualys ได้พัฒนา proof-of-concept (PoC) สำหรับช่องโหว่เหล่านี้ และแนะนำให้ ผู้ดูแลระบบทำให้ core dumps ถูกจัดเก็บอย่างปลอดภัย รวมถึง ใช้การตรวจสอบ PID ที่เข้มงวด และจำกัดการเข้าถึงไฟล์ SUID/SGID core

    https://www.techradar.com/pro/security/key-linux-systems-may-have-security-flaws-which-allow-password-theft
    🔒 ช่องโหว่ความปลอดภัยในระบบ Linux อาจทำให้รหัสผ่านรั่วไหล นักวิจัยด้านความปลอดภัยจาก Qualys ได้ค้นพบ ช่องโหว่ด้านความปลอดภัยสองรายการ ในระบบ Linux ซึ่งอาจทำให้ แฮกเกอร์สามารถเข้าถึงข้อมูลสำคัญ เช่น รหัสผ่าน ได้ ช่องโหว่แรกพบใน Apport ซึ่งเป็น core dump-handler ของ Ubuntu และถูกติดตามภายใต้รหัส CVE-2025-5054 ช่องโหว่ที่สองพบใน core dump-handler ของ Red Hat Enterprise Linux 9 และ 10 รวมถึง Fedora และถูกติดตามภายใต้รหัส CVE-2025-4598 ช่องโหว่เหล่านี้เป็น race condition bugs ซึ่งช่วยให้ แฮกเกอร์สามารถเข้าถึงข้อมูลที่ถูกบันทึกใน core dump โดยอาจมี รหัสผ่านหรือข้อมูลสำคัญอื่น ๆ ✅ ข้อมูลจากข่าว - Qualys พบช่องโหว่ด้านความปลอดภัยสองรายการในระบบ Linux - ช่องโหว่แรก (CVE-2025-5054) อยู่ใน Apport ของ Ubuntu - ช่องโหว่ที่สอง (CVE-2025-4598) อยู่ใน core dump-handler ของ Red Hat และ Fedora - ช่องโหว่เหล่านี้เป็น race condition bugs ที่ช่วยให้แฮกเกอร์เข้าถึงข้อมูลสำคัญ - Debian ไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากไม่มี core dump-handler เป็นค่าเริ่มต้น ‼️ คำเตือนที่ควรพิจารณา - แฮกเกอร์สามารถใช้ช่องโหว่นี้เพื่อเข้าถึงรหัสผ่านและข้อมูลสำคัญของระบบ - Ubuntu 24.04 และทุกเวอร์ชันตั้งแต่ 16.04 ได้รับผลกระทบจากช่องโหว่ CVE-2025-5054 - Fedora 40/41 และ Red Hat Enterprise Linux 9 และ 10 ได้รับผลกระทบจากช่องโหว่ CVE-2025-4598 - ผู้ดูแลระบบควรตรวจสอบการตั้งค่าความปลอดภัยของ core dumps และใช้มาตรการป้องกันเพิ่มเติม Qualys ได้พัฒนา proof-of-concept (PoC) สำหรับช่องโหว่เหล่านี้ และแนะนำให้ ผู้ดูแลระบบทำให้ core dumps ถูกจัดเก็บอย่างปลอดภัย รวมถึง ใช้การตรวจสอบ PID ที่เข้มงวด และจำกัดการเข้าถึงไฟล์ SUID/SGID core https://www.techradar.com/pro/security/key-linux-systems-may-have-security-flaws-which-allow-password-theft
    0 Comments 0 Shares 210 Views 0 Reviews
  • ภาพหาดูยากของโดรนเจอเรเนียม (Geran-2) ของรัสเซีย ขณะบินเข้าไปโจมตีฐานทัพทหารของกองทัพยูเครนในเขตโนโวเฟโดรีฟกา (Novofedorivka) ซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมือง Pokrovsk
    ภาพหาดูยากของโดรนเจอเรเนียม (Geran-2) ของรัสเซีย ขณะบินเข้าไปโจมตีฐานทัพทหารของกองทัพยูเครนในเขตโนโวเฟโดรีฟกา (Novofedorivka) ซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมือง Pokrovsk
    Like
    1
    0 Comments 0 Shares 222 Views 0 Reviews
  • รัสเซียยังคงได้รับชิป Intel และ AMD ผ่านช่องทางเลี่ยงมาตรการคว่ำบาตร

    แม้ว่าสหรัฐฯ จะออกมาตรการคว่ำบาตรเพื่อจำกัดการส่งออกชิปไปยังรัสเซียหลังการรุกรานยูเครน แต่รายงานล่าสุดพบว่าชิปยังคงไหลเข้าสู่รัสเซียผ่านเครือข่ายช่องทางที่ไม่เป็นทางการ โดยมี ฮ่องกง, มาเลเซีย และอินเดีย เป็นศูนย์กลางสำคัญในการนำเข้าชิป

    รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับการนำเข้าชิปของรัสเซีย
    ข้อมูลจาก Federal Customs Service (FCS) ของรัสเซียเผยว่า การนำเข้า CPU Intel ลดลง 95% ในปีที่ผ่านมา
    - ลดลงจาก 537,000 หน่วยในปี 2023 เหลือเพียง 37,000 หน่วย

    การนำเข้า CPU AMD ลดลง 81% ในช่วงเวลาเดียวกัน
    - แสดงให้เห็นว่า มาตรการคว่ำบาตรส่งผลกระทบต่อการนำเข้าชิปโดยตรง

    อย่างไรก็ตาม บริษัทเทคโนโลยีในรัสเซียรายงานว่าการจัดหาชิปยังคงดำเนินต่อไปและเพิ่มขึ้น
    - Rikor รายงานว่าซื้อ CPU กว่า 120,000 หน่วยในปีที่ผ่านมา เพิ่มขึ้น 30% จากปีก่อน

    ฮ่องกงเป็นศูนย์กลางสำคัญในการนำเข้าชิป โดยมีที่อยู่หนึ่งที่จัดการการนำเข้าชิปมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์
    - นอกจากนี้ มาเลเซียและอินเดียยังมีบทบาทสำคัญในการส่งชิปไปยังรัสเซีย

    ชิปบางส่วนถูกนำเข้าโดยไม่มีการระบุว่าเป็น "โปรเซสเซอร์" บนเอกสารการจัดส่ง
    - ทำให้ สามารถหลีกเลี่ยงการตรวจสอบจากหน่วยงานศุลกากรได้

    ราคาชิปในรัสเซียคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 10-12% ในปี 2025
    - เนื่องจาก อัตราเงินเฟ้อและความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน

    https://www.techspot.com/news/108053-russia-swimming-new-intel-amd-chips-thanks-sanction.html
    รัสเซียยังคงได้รับชิป Intel และ AMD ผ่านช่องทางเลี่ยงมาตรการคว่ำบาตร แม้ว่าสหรัฐฯ จะออกมาตรการคว่ำบาตรเพื่อจำกัดการส่งออกชิปไปยังรัสเซียหลังการรุกรานยูเครน แต่รายงานล่าสุดพบว่าชิปยังคงไหลเข้าสู่รัสเซียผ่านเครือข่ายช่องทางที่ไม่เป็นทางการ โดยมี ฮ่องกง, มาเลเซีย และอินเดีย เป็นศูนย์กลางสำคัญในการนำเข้าชิป 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับการนำเข้าชิปของรัสเซีย ✅ ข้อมูลจาก Federal Customs Service (FCS) ของรัสเซียเผยว่า การนำเข้า CPU Intel ลดลง 95% ในปีที่ผ่านมา - ลดลงจาก 537,000 หน่วยในปี 2023 เหลือเพียง 37,000 หน่วย ✅ การนำเข้า CPU AMD ลดลง 81% ในช่วงเวลาเดียวกัน - แสดงให้เห็นว่า มาตรการคว่ำบาตรส่งผลกระทบต่อการนำเข้าชิปโดยตรง ✅ อย่างไรก็ตาม บริษัทเทคโนโลยีในรัสเซียรายงานว่าการจัดหาชิปยังคงดำเนินต่อไปและเพิ่มขึ้น - Rikor รายงานว่าซื้อ CPU กว่า 120,000 หน่วยในปีที่ผ่านมา เพิ่มขึ้น 30% จากปีก่อน ✅ ฮ่องกงเป็นศูนย์กลางสำคัญในการนำเข้าชิป โดยมีที่อยู่หนึ่งที่จัดการการนำเข้าชิปมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์ - นอกจากนี้ มาเลเซียและอินเดียยังมีบทบาทสำคัญในการส่งชิปไปยังรัสเซีย ✅ ชิปบางส่วนถูกนำเข้าโดยไม่มีการระบุว่าเป็น "โปรเซสเซอร์" บนเอกสารการจัดส่ง - ทำให้ สามารถหลีกเลี่ยงการตรวจสอบจากหน่วยงานศุลกากรได้ ✅ ราคาชิปในรัสเซียคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 10-12% ในปี 2025 - เนื่องจาก อัตราเงินเฟ้อและความตึงเครียดทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน https://www.techspot.com/news/108053-russia-swimming-new-intel-amd-chips-thanks-sanction.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Russia is still swimming in new Intel and AMD chips thanks to sanction "workarounds"
    Russia's official customs data suggests the country's once-thriving market for US-made processors has nearly disappeared. Figures from the Federal Customs Service (FCS), reported by Russian publication Kommersant,...
    0 Comments 0 Shares 276 Views 0 Reviews
  • Fedora 43 เตรียมยกเลิกการรองรับ X11 และเปลี่ยนไปใช้ Wayland อย่างเต็มรูปแบบ

    Fedora ประกาศว่า Fedora 43 GNOME Desktop จะยกเลิกการรองรับ X11 และเปลี่ยนไปใช้ Wayland เท่านั้น โดยการตัดสินใจนี้ได้รับการอนุมัติจาก Fedora Engineering and Steering Committee (FESCo) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแนวทางที่ GNOME กำลังดำเนินการ

    รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของ Fedora 43
    Fedora 43 จะเป็น Wayland-only และยกเลิกการรองรับ X11 อย่างสมบูรณ์
    - ผู้ใช้ที่ยังใช้ X11 จะถูกย้ายไปใช้ Wayland โดยอัตโนมัติ

    X11 packages จะถูกนำออกจาก Fedora repositories
    - ทำให้ ผู้ใช้ไม่สามารถติดตั้ง X11 ได้อีกต่อไป

    GNOME 50 คาดว่าจะยกเลิกการรองรับ X11 เช่นกัน
    - อาจมีการเปลี่ยนแปลงเร็วขึ้นใน GNOME 49 หากมีฉันทามติ

    XWayland ยังคงได้รับการรองรับเพื่อให้สามารถรันแอปพลิเคชัน X11 บน Wayland ได้
    - เป็นข่าวดีสำหรับ ผู้ใช้ที่ยังต้องการใช้แอปที่ไม่รองรับ Wayland โดยตรง

    Fedora เป็นหนึ่งในดิสโทรแรกที่เปลี่ยนไปใช้ Wayland เป็นค่าเริ่มต้นตั้งแต่ Fedora 25 ในปี 2016
    - Canonical ก็เปลี่ยน Ubuntu ไปใช้ Wayland เช่นกัน

    https://www.neowin.net/news/fedora-43-gnome-desktop-to-remove-support-for-x11-sessions/
    Fedora 43 เตรียมยกเลิกการรองรับ X11 และเปลี่ยนไปใช้ Wayland อย่างเต็มรูปแบบ Fedora ประกาศว่า Fedora 43 GNOME Desktop จะยกเลิกการรองรับ X11 และเปลี่ยนไปใช้ Wayland เท่านั้น โดยการตัดสินใจนี้ได้รับการอนุมัติจาก Fedora Engineering and Steering Committee (FESCo) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแนวทางที่ GNOME กำลังดำเนินการ 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของ Fedora 43 ✅ Fedora 43 จะเป็น Wayland-only และยกเลิกการรองรับ X11 อย่างสมบูรณ์ - ผู้ใช้ที่ยังใช้ X11 จะถูกย้ายไปใช้ Wayland โดยอัตโนมัติ ✅ X11 packages จะถูกนำออกจาก Fedora repositories - ทำให้ ผู้ใช้ไม่สามารถติดตั้ง X11 ได้อีกต่อไป ✅ GNOME 50 คาดว่าจะยกเลิกการรองรับ X11 เช่นกัน - อาจมีการเปลี่ยนแปลงเร็วขึ้นใน GNOME 49 หากมีฉันทามติ ✅ XWayland ยังคงได้รับการรองรับเพื่อให้สามารถรันแอปพลิเคชัน X11 บน Wayland ได้ - เป็นข่าวดีสำหรับ ผู้ใช้ที่ยังต้องการใช้แอปที่ไม่รองรับ Wayland โดยตรง ✅ Fedora เป็นหนึ่งในดิสโทรแรกที่เปลี่ยนไปใช้ Wayland เป็นค่าเริ่มต้นตั้งแต่ Fedora 25 ในปี 2016 - Canonical ก็เปลี่ยน Ubuntu ไปใช้ Wayland เช่นกัน https://www.neowin.net/news/fedora-43-gnome-desktop-to-remove-support-for-x11-sessions/
    WWW.NEOWIN.NET
    Fedora 43 GNOME desktop to remove support for X11 sessions
    The Fedora project has decided to retire X11 sessions for the GNOME version in Fedora 43 in favor of Wayland.
    0 Comments 0 Shares 202 Views 0 Reviews
  • การค้นพบโรคเบาหวานชนิดที่ 5: โรคที่การกินน้อยไม่ได้ช่วย

    ที่ประชุม World Diabetes Congress 2025 ของ International Diabetes Federation (IDF) ได้ประกาศให้ โรคเบาหวานชนิดที่ 5 (Type 5 Diabetes) เป็นโรคที่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับ ภาวะขาดสารอาหาร และแตกต่างจากเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มักเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการกิน

    ความแตกต่างระหว่างโรคเบาหวานชนิดที่ 5 และชนิดที่ 2
    สาเหตุของโรค
    - เบาหวานชนิดที่ 5 เกิดจาก ภาวะขาดสารอาหารในวัยเด็ก ทำให้ตับอ่อนพัฒนาไม่สมบูรณ์ ส่งผลให้ร่างกายขาดอินซูลินอย่างรุนแรง
    - เบาหวานชนิดที่ 2 เกิดจาก พฤติกรรมการกินและไลฟ์สไตล์ที่ไม่ดี เช่น การบริโภคน้ำตาลสูงและขาดการออกกำลังกาย ทำให้เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน

    กลไกของโรค
    - เบาหวานชนิดที่ 5 เป็น ภาวะขาดอินซูลิน (Severe Insulin-Deficient Diabetes - SIDD) แต่ไม่ดื้อต่ออินซูลิน
    - เบาหวานชนิดที่ 2 เป็น ภาวะดื้อต่ออินซูลิน ทำให้ร่างกายต้องผลิตอินซูลินมากขึ้นเพื่อควบคุมระดับน้ำตาล

    กลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบ
    - เบาหวานชนิดที่ 5 พบมากใน ประเทศที่มีรายได้ต่ำและปานกลาง เช่น เอเชียและแอฟริกา
    - เบาหวานชนิดที่ 2 พบมากใน ประเทศที่พัฒนาแล้ว โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีภาวะน้ำหนักเกิน

    แนวทางการรักษา
    - เบาหวานชนิดที่ 5 สามารถรักษาได้ด้วย ยารับประทาน และไม่จำเป็นต้องฉีดอินซูลินเสมอไป
    - เบาหวานชนิดที่ 2 มักต้องใช้ การควบคุมอาหาร, การออกกำลังกาย และบางครั้งต้องใช้ยาเพื่อช่วยลดภาวะดื้อต่ออินซูลิน

    รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับโรคเบาหวานชนิดที่ 5
    IDF ตั้งคณะทำงานพิเศษเพื่อกำหนดแนวทางการวินิจฉัยและรักษาโรคเบาหวานชนิดที่ 5
    - นำโดย Dr. Meredith Hawkins จาก Albert Einstein College of Medicine และ Dr. Nihal Thomas จาก Christian Medical College ในอินเดีย

    โรคนี้ส่งผลกระทบต่อประชากร 20-25 ล้านคนทั่วโลก โดยเฉพาะในเอเชียและแอฟริกา
    - มักพบใน ประเทศที่มีรายได้ต่ำและปานกลาง ซึ่งประชากรมีภาวะขาดสารอาหาร

    ข้อมูลจาก IDF Diabetes Atlas 2025 ระบุว่า 1 ใน 9 ของผู้ใหญ่ทั่วโลกมีโรคเบาหวาน
    - คาดว่า ภายในปี 2050 ตัวเลขนี้จะเพิ่มเป็น 1 ใน 8 หรือประมาณ 853 ล้านคน

    เบาหวานชนิดที่ 5 เกิดจากภาวะขาดสารอาหารในวัยเด็ก ทำให้ตับอ่อนพัฒนาไม่สมบูรณ์
    - ส่งผลให้ เกิดภาวะขาดอินซูลินอย่างรุนแรง (Severe Insulin-Deficient Diabetes - SIDD)

    ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 5 ไม่จำเป็นต้องฉีดอินซูลินเสมอไป
    - สามารถควบคุมโรคด้วยยารับประทาน ซึ่งช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในประเทศที่มีทรัพยากรจำกัด

    โรคนี้เคยถูกเข้าใจผิดว่าเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ทำให้การรักษาไม่ได้ผล
    - การรักษาแบบเดิม ที่เน้นลดภาวะดื้อต่ออินซูลินอาจไม่เหมาะสมกับผู้ป่วยกลุ่มนี้

    การขาดความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวานชนิดที่ 5 อาจทำให้ผู้ป่วยไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสม
    - IDF ต้องผลักดันให้มีการวิจัยและการให้ความรู้แก่บุคลากรทางการแพทย์

    https://www.neowin.net/news/type-2-vs-type-5-a-new-diabetes-type-is-official-where-eating-less-does-not-help/
    การค้นพบโรคเบาหวานชนิดที่ 5: โรคที่การกินน้อยไม่ได้ช่วย ที่ประชุม World Diabetes Congress 2025 ของ International Diabetes Federation (IDF) ได้ประกาศให้ โรคเบาหวานชนิดที่ 5 (Type 5 Diabetes) เป็นโรคที่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับ ภาวะขาดสารอาหาร และแตกต่างจากเบาหวานชนิดที่ 2 ที่มักเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมการกิน 🔍 ความแตกต่างระหว่างโรคเบาหวานชนิดที่ 5 และชนิดที่ 2 ✅ สาเหตุของโรค - เบาหวานชนิดที่ 5 เกิดจาก ภาวะขาดสารอาหารในวัยเด็ก ทำให้ตับอ่อนพัฒนาไม่สมบูรณ์ ส่งผลให้ร่างกายขาดอินซูลินอย่างรุนแรง - เบาหวานชนิดที่ 2 เกิดจาก พฤติกรรมการกินและไลฟ์สไตล์ที่ไม่ดี เช่น การบริโภคน้ำตาลสูงและขาดการออกกำลังกาย ทำให้เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน ✅ กลไกของโรค - เบาหวานชนิดที่ 5 เป็น ภาวะขาดอินซูลิน (Severe Insulin-Deficient Diabetes - SIDD) แต่ไม่ดื้อต่ออินซูลิน - เบาหวานชนิดที่ 2 เป็น ภาวะดื้อต่ออินซูลิน ทำให้ร่างกายต้องผลิตอินซูลินมากขึ้นเพื่อควบคุมระดับน้ำตาล ✅ กลุ่มผู้ป่วยที่ได้รับผลกระทบ - เบาหวานชนิดที่ 5 พบมากใน ประเทศที่มีรายได้ต่ำและปานกลาง เช่น เอเชียและแอฟริกา - เบาหวานชนิดที่ 2 พบมากใน ประเทศที่พัฒนาแล้ว โดยเฉพาะในกลุ่มที่มีภาวะน้ำหนักเกิน ✅ แนวทางการรักษา - เบาหวานชนิดที่ 5 สามารถรักษาได้ด้วย ยารับประทาน และไม่จำเป็นต้องฉีดอินซูลินเสมอไป - เบาหวานชนิดที่ 2 มักต้องใช้ การควบคุมอาหาร, การออกกำลังกาย และบางครั้งต้องใช้ยาเพื่อช่วยลดภาวะดื้อต่ออินซูลิน 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับโรคเบาหวานชนิดที่ 5 ✅ IDF ตั้งคณะทำงานพิเศษเพื่อกำหนดแนวทางการวินิจฉัยและรักษาโรคเบาหวานชนิดที่ 5 - นำโดย Dr. Meredith Hawkins จาก Albert Einstein College of Medicine และ Dr. Nihal Thomas จาก Christian Medical College ในอินเดีย ✅ โรคนี้ส่งผลกระทบต่อประชากร 20-25 ล้านคนทั่วโลก โดยเฉพาะในเอเชียและแอฟริกา - มักพบใน ประเทศที่มีรายได้ต่ำและปานกลาง ซึ่งประชากรมีภาวะขาดสารอาหาร ✅ ข้อมูลจาก IDF Diabetes Atlas 2025 ระบุว่า 1 ใน 9 ของผู้ใหญ่ทั่วโลกมีโรคเบาหวาน - คาดว่า ภายในปี 2050 ตัวเลขนี้จะเพิ่มเป็น 1 ใน 8 หรือประมาณ 853 ล้านคน ✅ เบาหวานชนิดที่ 5 เกิดจากภาวะขาดสารอาหารในวัยเด็ก ทำให้ตับอ่อนพัฒนาไม่สมบูรณ์ - ส่งผลให้ เกิดภาวะขาดอินซูลินอย่างรุนแรง (Severe Insulin-Deficient Diabetes - SIDD) ✅ ผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่ 5 ไม่จำเป็นต้องฉีดอินซูลินเสมอไป - สามารถควบคุมโรคด้วยยารับประทาน ซึ่งช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในประเทศที่มีทรัพยากรจำกัด ‼️ โรคนี้เคยถูกเข้าใจผิดว่าเป็นเบาหวานชนิดที่ 2 ทำให้การรักษาไม่ได้ผล - การรักษาแบบเดิม ที่เน้นลดภาวะดื้อต่ออินซูลินอาจไม่เหมาะสมกับผู้ป่วยกลุ่มนี้ ‼️ การขาดความรู้เกี่ยวกับโรคเบาหวานชนิดที่ 5 อาจทำให้ผู้ป่วยไม่ได้รับการดูแลที่เหมาะสม - IDF ต้องผลักดันให้มีการวิจัยและการให้ความรู้แก่บุคลากรทางการแพทย์ https://www.neowin.net/news/type-2-vs-type-5-a-new-diabetes-type-is-official-where-eating-less-does-not-help/
    WWW.NEOWIN.NET
    Type 2 vs Type 5. A new diabetes type is official where eating less does not help
    Science has officially recognized a new type of diabetes called type 5 diabetes. It is different from type 2 and eating less does not actually help.
    0 Comments 0 Shares 496 Views 0 Reviews
  • Amazon Prime Air ขยายรายการสินค้าที่สามารถจัดส่งด้วยโดรน พร้อมใช้โดรนรุ่นใหม่เพื่อเพิ่มความเร็วในการจัดส่ง

    Amazon ได้รับการอนุมัติจาก FAA (Federal Aviation Administration) ให้สามารถจัดส่งสินค้าหลากหลายประเภทผ่านบริการ Prime Air ซึ่งรวมถึง อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน เช่น iPhone, AirPods, AirTags และ Ring Doorbells

    รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับการขยายบริการของ Amazon Prime Air
    FAA อนุมัติให้ Amazon สามารถจัดส่งสินค้าหลากหลายประเภทผ่านโดรน
    - รวมถึง สมาร์ทโฟน, อุปกรณ์เสริม และเครื่องวัดอุณหภูมิอาหาร

    Amazon ใช้โดรน MK30 รุ่นใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดส่ง
    - ลูกค้า ไม่ต้องออกไปวาง QR Code บนพื้นเพื่อรับสินค้าอีกต่อไป

    ระบบแจ้งเวลาจัดส่งที่แม่นยำขึ้น
    - Amazon แจ้งเวลาจัดส่งภายใน 5 นาทีหลังจากสั่งซื้อสินค้า

    บริการ Prime Air เริ่มต้นในปี 2022 แต่ยังขยายพื้นที่ให้บริการอย่างช้า ๆ
    - ปัจจุบัน ให้บริการเฉพาะใน College Station, Texas และ West Valley, Phoenix

    ลูกค้าต้องเลือกตัวเลือก "Drone Delivery" ในขั้นตอนการสั่งซื้อ
    - สินค้าที่สามารถจัดส่งด้วยโดรน ต้องมีน้ำหนักไม่เกิน 5 ปอนด์

    https://www.neowin.net/news/amazon-prime-air-expands-its-delivery-list-and-uses-a-new-drone-for-faster-deliveries/
    Amazon Prime Air ขยายรายการสินค้าที่สามารถจัดส่งด้วยโดรน พร้อมใช้โดรนรุ่นใหม่เพื่อเพิ่มความเร็วในการจัดส่ง Amazon ได้รับการอนุมัติจาก FAA (Federal Aviation Administration) ให้สามารถจัดส่งสินค้าหลากหลายประเภทผ่านบริการ Prime Air ซึ่งรวมถึง อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่มีแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน เช่น iPhone, AirPods, AirTags และ Ring Doorbells 🔍 รายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับการขยายบริการของ Amazon Prime Air ✅ FAA อนุมัติให้ Amazon สามารถจัดส่งสินค้าหลากหลายประเภทผ่านโดรน - รวมถึง สมาร์ทโฟน, อุปกรณ์เสริม และเครื่องวัดอุณหภูมิอาหาร ✅ Amazon ใช้โดรน MK30 รุ่นใหม่เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดส่ง - ลูกค้า ไม่ต้องออกไปวาง QR Code บนพื้นเพื่อรับสินค้าอีกต่อไป ✅ ระบบแจ้งเวลาจัดส่งที่แม่นยำขึ้น - Amazon แจ้งเวลาจัดส่งภายใน 5 นาทีหลังจากสั่งซื้อสินค้า ✅ บริการ Prime Air เริ่มต้นในปี 2022 แต่ยังขยายพื้นที่ให้บริการอย่างช้า ๆ - ปัจจุบัน ให้บริการเฉพาะใน College Station, Texas และ West Valley, Phoenix ✅ ลูกค้าต้องเลือกตัวเลือก "Drone Delivery" ในขั้นตอนการสั่งซื้อ - สินค้าที่สามารถจัดส่งด้วยโดรน ต้องมีน้ำหนักไม่เกิน 5 ปอนด์ https://www.neowin.net/news/amazon-prime-air-expands-its-delivery-list-and-uses-a-new-drone-for-faster-deliveries/
    WWW.NEOWIN.NET
    Amazon Prime Air expands its delivery list and uses a new drone for faster deliveries
    Amazon Prime Air can now deliver popular electronic items weighing 5 pounds or less via drones, but only in these cities.
    0 Comments 0 Shares 260 Views 0 Reviews
  • นักวิทย์ซินโครตรอนร่วมมือบริษัทเอกชนพัฒนายาสีฟันสมุนไพรป้องกันฟันผุ-ลดการเสียวฟัน

    นักวิทยาศาสตร์สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) ร่วมมือบริษัทเอกชน พัฒนายาสีฟันสมุนไพรป้องกันผุ-ลดการเสียวฟัน โดยมีส่วนผสมของเปปไทด์จากข้าวไรซ์เบอร์รี่ ล่าสุดคว้า 2 เหรียญรางวัลจากงานแสดงนวัตกรรม ณ นครเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ พร้อมรางวัลพิเศษจาก French Federation of Inventors

    นครราชสีมา - ดร.ศิริวรรณ ณะวงษ์ หัวหน้าส่วนวิจัยด้านอาหารและการเกษตร สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน กล่าวว่า “สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอนได้มีส่วนร่วมกับ บริษัท ไลอ้อน (ประเทศไทย) จำกัด พัฒนายาสีฟันสมุนไพร 2 สูตร ได้แก่ ยาสีฟัน Nature’s Touch ที่เสริมสร้างเคลือบฟันและป้องกันฟันผุด้วยกรดอะมิโนและเปปไทด์จากรำข้าวไรซ์เบอร์รี่ และยาสีฟัน Hi-Herb ที่ป้องกันการเสียวฟันด้วยกรดอะมิโนและเปปไทด์จากรำข้าวไรซ์เบอร์รี่ โดยได้ใช้เทคนิคแสงซินโครตรอนศึกษาประสิทธิภาพของยาสีฟันทั้งสองสูตร”

    “ในการศึกษาประสิทธิภาพยาสีฟัน Nature’s Touch ที่เสริมสร้างเคลือบฟันและป้องกันฟันผุนั้น ทีมวิจัยได้ใช้เทคนิคอินฟราเรดสเปกโตรสโกปีจากแสงซินโครตรอนติดตามการทำงานของกรดอะมิโนและเปปไทด์ในการยึดติดกับฟันหลังจากการแปรงฟัน ส่วนการศึกษาประสิทธิภาพยาสีฟัน Hi-Herb ที่ป้องกันการเสียวฟันนั้น ทีมวิจัยใช้ 3 เทคนิคแสงซินโครตรอน ได้แก่ เทคนิคอินฟราเรดสเปกโตรสโกปี เทคนิคการกระเจิงรังสีเอกซ์ (SAXS/WAXS) และเทคนิคเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (XTM) เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของยาสีฟันสูตรป้องกันการเสียวฟัน โดยติดตามการเรียงตัวของกรดอะมิโนและเปปไทด์ที่เข้าไปในรูฟันเพื่อช่วยป้องกันการเสียวฟัน”

    “งานวิจัยนี้เป็นตัวอย่างหนึ่งของการใช้ประโยชน์แสงซินโครตรอนเพื่อวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งล่าสุดยังได้รับรางวัลจากประกวดภายในงาน The 50th Geneva International Exhibition of Inventions 2025 ที่จัดขึ้นเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ณ ศูนย์การประชุม Palexpo นครเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ โดยยาสีฟันสูตรเสริมสร้างเคลือบฟันและป้องกันฟันผุได้รับเหรียญเงินจากการประกวดหลักภายในงาน และได้รับรางวัลพิเศษจากสาธารณรัฐฝรั่งเศส โดย French Federation of Inventors และยาสีฟันสูตรป้องกันการเสียวฟันได้รับรางวัลเหรียญทองแดงจากการประกวดหลักภายในงาน นอกจากนี้ทั้งสองผลงานจากยังได้รับประกาศนียบัตรจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ซึ่งมีพิธีมอบภายในงานจัดแสดงนวัตกรรมที่สวิตเซอร์แลนด์ด้วย" ดร.ศิริวรรณ ณะวงษ์ กล่าวสรุป

    สำหรับผู้ประกอบการผู้สนใจในการใช้ประโยชน์แสงซินโครตรอนเพื่อส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจ สามารถติดต่อได้ที่ ส่วนบริการอุตสาหกรรมและสังคม ฝ่ายยุทธศาสตร์องค์กร สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน) โทร.08 9949 7313 หรือ อีเมล bds@slri.or.th
    นักวิทย์ซินโครตรอนร่วมมือบริษัทเอกชนพัฒนายาสีฟันสมุนไพรป้องกันฟันผุ-ลดการเสียวฟัน นักวิทยาศาสตร์สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (อว.) ร่วมมือบริษัทเอกชน พัฒนายาสีฟันสมุนไพรป้องกันผุ-ลดการเสียวฟัน โดยมีส่วนผสมของเปปไทด์จากข้าวไรซ์เบอร์รี่ ล่าสุดคว้า 2 เหรียญรางวัลจากงานแสดงนวัตกรรม ณ นครเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ พร้อมรางวัลพิเศษจาก French Federation of Inventors นครราชสีมา - ดร.ศิริวรรณ ณะวงษ์ หัวหน้าส่วนวิจัยด้านอาหารและการเกษตร สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน กล่าวว่า “สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอนได้มีส่วนร่วมกับ บริษัท ไลอ้อน (ประเทศไทย) จำกัด พัฒนายาสีฟันสมุนไพร 2 สูตร ได้แก่ ยาสีฟัน Nature’s Touch ที่เสริมสร้างเคลือบฟันและป้องกันฟันผุด้วยกรดอะมิโนและเปปไทด์จากรำข้าวไรซ์เบอร์รี่ และยาสีฟัน Hi-Herb ที่ป้องกันการเสียวฟันด้วยกรดอะมิโนและเปปไทด์จากรำข้าวไรซ์เบอร์รี่ โดยได้ใช้เทคนิคแสงซินโครตรอนศึกษาประสิทธิภาพของยาสีฟันทั้งสองสูตร” “ในการศึกษาประสิทธิภาพยาสีฟัน Nature’s Touch ที่เสริมสร้างเคลือบฟันและป้องกันฟันผุนั้น ทีมวิจัยได้ใช้เทคนิคอินฟราเรดสเปกโตรสโกปีจากแสงซินโครตรอนติดตามการทำงานของกรดอะมิโนและเปปไทด์ในการยึดติดกับฟันหลังจากการแปรงฟัน ส่วนการศึกษาประสิทธิภาพยาสีฟัน Hi-Herb ที่ป้องกันการเสียวฟันนั้น ทีมวิจัยใช้ 3 เทคนิคแสงซินโครตรอน ได้แก่ เทคนิคอินฟราเรดสเปกโตรสโกปี เทคนิคการกระเจิงรังสีเอกซ์ (SAXS/WAXS) และเทคนิคเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (XTM) เพื่อศึกษาประสิทธิภาพของยาสีฟันสูตรป้องกันการเสียวฟัน โดยติดตามการเรียงตัวของกรดอะมิโนและเปปไทด์ที่เข้าไปในรูฟันเพื่อช่วยป้องกันการเสียวฟัน” “งานวิจัยนี้เป็นตัวอย่างหนึ่งของการใช้ประโยชน์แสงซินโครตรอนเพื่อวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งล่าสุดยังได้รับรางวัลจากประกวดภายในงาน The 50th Geneva International Exhibition of Inventions 2025 ที่จัดขึ้นเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ณ ศูนย์การประชุม Palexpo นครเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ โดยยาสีฟันสูตรเสริมสร้างเคลือบฟันและป้องกันฟันผุได้รับเหรียญเงินจากการประกวดหลักภายในงาน และได้รับรางวัลพิเศษจากสาธารณรัฐฝรั่งเศส โดย French Federation of Inventors และยาสีฟันสูตรป้องกันการเสียวฟันได้รับรางวัลเหรียญทองแดงจากการประกวดหลักภายในงาน นอกจากนี้ทั้งสองผลงานจากยังได้รับประกาศนียบัตรจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) ซึ่งมีพิธีมอบภายในงานจัดแสดงนวัตกรรมที่สวิตเซอร์แลนด์ด้วย" ดร.ศิริวรรณ ณะวงษ์ กล่าวสรุป สำหรับผู้ประกอบการผู้สนใจในการใช้ประโยชน์แสงซินโครตรอนเพื่อส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจ สามารถติดต่อได้ที่ ส่วนบริการอุตสาหกรรมและสังคม ฝ่ายยุทธศาสตร์องค์กร สถาบันวิจัยแสงซินโครตรอน (องค์การมหาชน) โทร.08 9949 7313 หรือ อีเมล bds@slri.or.th
    0 Comments 0 Shares 340 Views 0 Reviews
More Results