• Meta เปิดตัว “Ghost Posts” บน Threads — แชร์ได้แบบไม่ต้องกลัวถูกจดจำ

    Meta เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่บนแอป Threads ที่ชื่อว่า “Ghost Posts” ซึ่งเป็นโพสต์ที่หายไปอัตโนมัติภายใน 24 ชั่วโมงหลังจากเผยแพร่ โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้ใช้สามารถแชร์ความคิดแบบสดใหม่โดยไม่ต้องกังวลเรื่องความถาวรหรือภาพลักษณ์

    Ghost Posts เป็นฟีเจอร์ที่คล้ายกับ “Stories” บน Instagram และ Facebook แต่ถูกออกแบบมาให้ใช้ใน Threads ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่เน้นการสนทนาแบบข้อความ ผู้ใช้สามารถเปิดใช้งานฟีเจอร์นี้ได้โดยกดไอคอนรูปผีในหน้าสร้างโพสต์

    โพสต์ที่เป็น Ghost จะปรากฏในฟีดเป็นฟองข้อความสีเทาแบบจุดไข่ปลา เพื่อแยกจากโพสต์ปกติ และจะถูกลบอัตโนมัติหลัง 24 ชั่วโมง โดยไม่ต้องให้ผู้ใช้ลบเอง

    ที่สำคัญคือ การตอบกลับโพสต์แบบ Ghost จะถูกส่งไปยังกล่องข้อความของผู้โพสต์เท่านั้น ไม่แสดงต่อสาธารณะ ทำให้ผู้ใช้สามารถพูดคุยแบบส่วนตัวได้มากขึ้น

    Meta ระบุว่า ฟีเจอร์นี้ช่วยให้ผู้ใช้ “แชร์ความคิดแบบไม่ต้องกลัวว่าจะถูกจดจำหรือถูกตัดสิน” และเป็นการส่งเสริมการใช้งาน Threads ให้หลากหลายขึ้น

    Ghost Posts คืออะไร
    โพสต์ที่หายไปอัตโนมัติภายใน 24 ชั่วโมง
    ใช้ไอคอนรูปผีเพื่อเปิดใช้งานในหน้าสร้างโพสต์
    แสดงเป็นฟองข้อความสีเทาแบบ dotted bubble

    การตอบกลับแบบส่วนตัว
    คอมเมนต์จะถูกส่งไปยังกล่องข้อความของผู้โพสต์
    ไม่แสดงต่อสาธารณะหรือในฟีด

    เป้าหมายของฟีเจอร์
    ส่งเสริมการแชร์ความคิดแบบไม่ต้องกลัวผลกระทบ
    ลดแรงกดดันจากการโพสต์แบบถาวร
    เพิ่มความหลากหลายในการใช้งาน Threads

    คำเตือนสำหรับผู้ใช้
    แม้โพสต์จะหายไป แต่อาจถูกแคปหน้าจอหรือบันทึกโดยผู้อื่น
    ไม่ควรใช้ Ghost Posts เพื่อแชร์ข้อมูลส่วนตัวหรือเนื้อหาละเมิด
    การตอบกลับแบบส่วนตัวอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดหากไม่ระวัง

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/28/meta-launches-039ghost-posts039-that-disappear-after-24-hours-on-threads
    👻 Meta เปิดตัว “Ghost Posts” บน Threads — แชร์ได้แบบไม่ต้องกลัวถูกจดจำ Meta เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่บนแอป Threads ที่ชื่อว่า “Ghost Posts” ซึ่งเป็นโพสต์ที่หายไปอัตโนมัติภายใน 24 ชั่วโมงหลังจากเผยแพร่ โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้ใช้สามารถแชร์ความคิดแบบสดใหม่โดยไม่ต้องกังวลเรื่องความถาวรหรือภาพลักษณ์ Ghost Posts เป็นฟีเจอร์ที่คล้ายกับ “Stories” บน Instagram และ Facebook แต่ถูกออกแบบมาให้ใช้ใน Threads ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มที่เน้นการสนทนาแบบข้อความ ผู้ใช้สามารถเปิดใช้งานฟีเจอร์นี้ได้โดยกดไอคอนรูปผีในหน้าสร้างโพสต์ โพสต์ที่เป็น Ghost จะปรากฏในฟีดเป็นฟองข้อความสีเทาแบบจุดไข่ปลา เพื่อแยกจากโพสต์ปกติ และจะถูกลบอัตโนมัติหลัง 24 ชั่วโมง โดยไม่ต้องให้ผู้ใช้ลบเอง ที่สำคัญคือ การตอบกลับโพสต์แบบ Ghost จะถูกส่งไปยังกล่องข้อความของผู้โพสต์เท่านั้น ไม่แสดงต่อสาธารณะ ทำให้ผู้ใช้สามารถพูดคุยแบบส่วนตัวได้มากขึ้น Meta ระบุว่า ฟีเจอร์นี้ช่วยให้ผู้ใช้ “แชร์ความคิดแบบไม่ต้องกลัวว่าจะถูกจดจำหรือถูกตัดสิน” และเป็นการส่งเสริมการใช้งาน Threads ให้หลากหลายขึ้น ✅ Ghost Posts คืออะไร ➡️ โพสต์ที่หายไปอัตโนมัติภายใน 24 ชั่วโมง ➡️ ใช้ไอคอนรูปผีเพื่อเปิดใช้งานในหน้าสร้างโพสต์ ➡️ แสดงเป็นฟองข้อความสีเทาแบบ dotted bubble ✅ การตอบกลับแบบส่วนตัว ➡️ คอมเมนต์จะถูกส่งไปยังกล่องข้อความของผู้โพสต์ ➡️ ไม่แสดงต่อสาธารณะหรือในฟีด ✅ เป้าหมายของฟีเจอร์ ➡️ ส่งเสริมการแชร์ความคิดแบบไม่ต้องกลัวผลกระทบ ➡️ ลดแรงกดดันจากการโพสต์แบบถาวร ➡️ เพิ่มความหลากหลายในการใช้งาน Threads ‼️ คำเตือนสำหรับผู้ใช้ ⛔ แม้โพสต์จะหายไป แต่อาจถูกแคปหน้าจอหรือบันทึกโดยผู้อื่น ⛔ ไม่ควรใช้ Ghost Posts เพื่อแชร์ข้อมูลส่วนตัวหรือเนื้อหาละเมิด ⛔ การตอบกลับแบบส่วนตัวอาจทำให้เกิดความเข้าใจผิดหากไม่ระวัง https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/10/28/meta-launches-039ghost-posts039-that-disappear-after-24-hours-on-threads
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Meta launches 'ghost posts' that disappear after 24 hours on Threads
    (Reuters) -Social media giant Meta launched on Monday posts that are automatically archived 24 hours after being uploaded, dubbed "ghost posts," on its Threads app, mimicking a popular feature available on its other platforms.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 29 มุมมอง 0 รีวิว
  • สหรัฐฯ–จีนบรรลุกรอบข้อตกลงการค้า – อาจหลีกเลี่ยงภาษี 100% และควบคุมแร่หายาก

    ลองนึกภาพว่าคุณกำลังจะซื้อพัดลม CPU หรือเมนบอร์ดจากจีน แล้วจู่ๆ ราคาพุ่งขึ้น 100% เพราะภาษีนำเข้า – นั่นคือสิ่งที่อาจเกิดขึ้นถ้าสหรัฐฯ เดินหน้าขึ้นภาษีตามแผนเดิม แต่ตอนนี้มีข่าวดีว่าอาจไม่ต้องเจอเหตุการณ์นั้นแล้ว

    สหรัฐฯ และจีนกำลังเจรจาข้อตกลงการค้าใหม่ ซึ่งจะช่วยหลีกเลี่ยงการขึ้นภาษี 100% สำหรับสินค้าจากจีน เช่น เคส, คูลเลอร์, จอภาพ และเมนบอร์ดระดับเริ่มต้น ที่ยังผลิตโดยจีนเป็นหลัก แม้ว่า GPU และ CPU จะเริ่มกระจายการผลิตไปยังประเทศอื่นแล้ว

    อีกประเด็นสำคัญคือ “แร่หายาก” เช่น นีโอไดเมียม, เซอเรียม, แลนทานัม และดิสโพรเซียม ที่ใช้ในพัดลม, ฮาร์ดดิสก์, มอเตอร์ และวัสดุขัดเงา ซึ่งจีนควบคุมการส่งออกอย่างเข้มงวดตั้งแต่เดือนตุลาคม โดยขยายข้อกำหนดการขอใบอนุญาตไปถึงสารประกอบและแม่เหล็ก ไม่ใช่แค่แร่ดิบ

    ข้อตกลงใหม่นี้อาจช่วยให้จีน “ผ่อนปรน” การควบคุมแร่หายากชั่วคราว และลดแรงกดดันต่อผู้ผลิตชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ทั่วโลก โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดกำลังเตรียมเปิดตัวฮาร์ดแวร์ใหม่ปลายปี

    อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงยังไม่เสร็จสมบูรณ์ ต้องรอการอนุมัติจากประธานาธิบดีทรัมป์และผู้นำจีน สี จิ้นผิง ในการประชุมระดับสูงที่จะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้

    ข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ–จีน
    อยู่ในขั้นตอนสุดท้ายก่อนการอนุมัติ
    อาจช่วยหลีกเลี่ยงภาษี 100% สำหรับสินค้าจีน
    รวมถึงเคส, คูลเลอร์, จอภาพ และเมนบอร์ดระดับเริ่มต้น

    การควบคุมแร่หายากของจีน
    ขยายข้อกำหนดการขอใบอนุญาตไปถึงสารประกอบและแม่เหล็ก
    ส่งผลต่อพัดลม, ฮาร์ดดิสก์, มอเตอร์ และวัสดุขัดเงา
    จีนอาจผ่อนปรนการควบคุมชั่วคราวตามข้อตกลง

    ความสำคัญของแร่หายาก
    ใช้ในอุปกรณ์เทคโนโลยี เช่น พัดลม CPU, HDD, PSU
    จีนครองตลาดการแปรรูปแร่หายากกว่า 80%
    ไม่มีทางเลือกอื่นในระยะสั้นสำหรับผู้ผลิตทั่วโลก

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/us-china-trade-framework-could-avoid-tariffs-and-rare-earth-curbs
    🌐 สหรัฐฯ–จีนบรรลุกรอบข้อตกลงการค้า – อาจหลีกเลี่ยงภาษี 100% และควบคุมแร่หายาก ลองนึกภาพว่าคุณกำลังจะซื้อพัดลม CPU หรือเมนบอร์ดจากจีน แล้วจู่ๆ ราคาพุ่งขึ้น 100% เพราะภาษีนำเข้า – นั่นคือสิ่งที่อาจเกิดขึ้นถ้าสหรัฐฯ เดินหน้าขึ้นภาษีตามแผนเดิม แต่ตอนนี้มีข่าวดีว่าอาจไม่ต้องเจอเหตุการณ์นั้นแล้ว สหรัฐฯ และจีนกำลังเจรจาข้อตกลงการค้าใหม่ ซึ่งจะช่วยหลีกเลี่ยงการขึ้นภาษี 100% สำหรับสินค้าจากจีน เช่น เคส, คูลเลอร์, จอภาพ และเมนบอร์ดระดับเริ่มต้น ที่ยังผลิตโดยจีนเป็นหลัก แม้ว่า GPU และ CPU จะเริ่มกระจายการผลิตไปยังประเทศอื่นแล้ว อีกประเด็นสำคัญคือ “แร่หายาก” เช่น นีโอไดเมียม, เซอเรียม, แลนทานัม และดิสโพรเซียม ที่ใช้ในพัดลม, ฮาร์ดดิสก์, มอเตอร์ และวัสดุขัดเงา ซึ่งจีนควบคุมการส่งออกอย่างเข้มงวดตั้งแต่เดือนตุลาคม โดยขยายข้อกำหนดการขอใบอนุญาตไปถึงสารประกอบและแม่เหล็ก ไม่ใช่แค่แร่ดิบ ข้อตกลงใหม่นี้อาจช่วยให้จีน “ผ่อนปรน” การควบคุมแร่หายากชั่วคราว และลดแรงกดดันต่อผู้ผลิตชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ทั่วโลก โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดกำลังเตรียมเปิดตัวฮาร์ดแวร์ใหม่ปลายปี อย่างไรก็ตาม ข้อตกลงยังไม่เสร็จสมบูรณ์ ต้องรอการอนุมัติจากประธานาธิบดีทรัมป์และผู้นำจีน สี จิ้นผิง ในการประชุมระดับสูงที่จะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ ✅ ข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ–จีน ➡️ อยู่ในขั้นตอนสุดท้ายก่อนการอนุมัติ ➡️ อาจช่วยหลีกเลี่ยงภาษี 100% สำหรับสินค้าจีน ➡️ รวมถึงเคส, คูลเลอร์, จอภาพ และเมนบอร์ดระดับเริ่มต้น ✅ การควบคุมแร่หายากของจีน ➡️ ขยายข้อกำหนดการขอใบอนุญาตไปถึงสารประกอบและแม่เหล็ก ➡️ ส่งผลต่อพัดลม, ฮาร์ดดิสก์, มอเตอร์ และวัสดุขัดเงา ➡️ จีนอาจผ่อนปรนการควบคุมชั่วคราวตามข้อตกลง ✅ ความสำคัญของแร่หายาก ➡️ ใช้ในอุปกรณ์เทคโนโลยี เช่น พัดลม CPU, HDD, PSU ➡️ จีนครองตลาดการแปรรูปแร่หายากกว่า 80% ➡️ ไม่มีทางเลือกอื่นในระยะสั้นสำหรับผู้ผลิตทั่วโลก https://www.tomshardware.com/tech-industry/us-china-trade-framework-could-avoid-tariffs-and-rare-earth-curbs
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    US–China reach trade framework that could avert 100% tariffs and pause rare-earth curbs — development comes as Trump and Xi prepare to meet this week
    US and Chinese trade negotiators say they’ve reached a framework agreement that, if approved by both governments this week, would roll back proposed 100% tariffs on Chinese imports and pause Beijing’s escalating export restrictions on rare-earth materials.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 69 มุมมอง 0 รีวิว
  • Nike เปิดตัวรองเท้า “Powered Footwear” รุ่นแรกของโลก – เดินหรือวิ่งได้ไกลขึ้นโดยไม่เหนื่อย

    Nike ร่วมมือกับบริษัทหุ่นยนต์ Dephy เปิดตัว Project Amplify ซึ่งเป็นระบบรองเท้าแบบใหม่ที่ผสานรองเท้าวิ่งระดับสูงเข้ากับ “ขาเหล็ก” แบบหุ่นยนต์ โดยมีมอเตอร์, สายพานขับเคลื่อน และแบตเตอรี่แบบสวมที่ข้อเท้า ช่วยให้ผู้ใช้เดินหรือวิ่งได้เร็วขึ้นและไกลขึ้นโดยใช้แรงน้อยลง

    แนวคิดนี้คล้ายกับ e-bike ที่ช่วยให้ปั่นจักรยานได้ง่ายขึ้น โดย Nike ตั้งเป้าให้รองเท้านี้ช่วยคนทั่วไปที่วิ่งช้า (เช่น pace 10–12 นาทีต่อไมล์) ไม่ใช่นักกีฬามืออาชีพ

    ระบบหุ่นยนต์สามารถถอดออกได้ ทำให้รองเท้ากลับมาเป็นรองเท้าวิ่งธรรมดาได้เช่นกัน

    จุดเด่นของ Project Amplify
    รองเท้าวิ่งผสานกับขาเหล็กหุ่นยนต์
    มีมอเตอร์, สายพาน, และแบตเตอรี่ข้อเท้า
    ช่วยลดแรงที่ใช้ในการเดินหรือวิ่ง
    ถอดระบบหุ่นยนต์ออกได้ ใช้เป็นรองเท้าธรรมดา

    เป้าหมายของ Nike
    ช่วยคนทั่วไปเดินหรือวิ่งได้ไกลขึ้น
    ลดความเหนื่อยจากการเดินทางหรือออกกำลังกาย
    เปรียบเทียบกับ e-bike ที่ช่วยให้ปั่นง่ายขึ้น

    ความเป็นไปได้ในอนาคต
    Nike ตั้งใจจะวางขายในวงกว้างในอีกไม่กี่ปี
    อาจกลายเป็นเทรนด์ใหม่ของ wearable robotics
    คล้ายกับ exoskeleton ที่ใช้ในโรงงาน เช่น Hyundai

    https://www.techradar.com/vehicle-tech/hybrid-electric-vehicles/fancy-an-e-bike-for-your-feet-these-radical-nike-robo-shoes-are-the-worlds-first-powered-footwear
    👟 Nike เปิดตัวรองเท้า “Powered Footwear” รุ่นแรกของโลก – เดินหรือวิ่งได้ไกลขึ้นโดยไม่เหนื่อย Nike ร่วมมือกับบริษัทหุ่นยนต์ Dephy เปิดตัว Project Amplify ซึ่งเป็นระบบรองเท้าแบบใหม่ที่ผสานรองเท้าวิ่งระดับสูงเข้ากับ “ขาเหล็ก” แบบหุ่นยนต์ โดยมีมอเตอร์, สายพานขับเคลื่อน และแบตเตอรี่แบบสวมที่ข้อเท้า ช่วยให้ผู้ใช้เดินหรือวิ่งได้เร็วขึ้นและไกลขึ้นโดยใช้แรงน้อยลง แนวคิดนี้คล้ายกับ e-bike ที่ช่วยให้ปั่นจักรยานได้ง่ายขึ้น โดย Nike ตั้งเป้าให้รองเท้านี้ช่วยคนทั่วไปที่วิ่งช้า (เช่น pace 10–12 นาทีต่อไมล์) ไม่ใช่นักกีฬามืออาชีพ ระบบหุ่นยนต์สามารถถอดออกได้ ทำให้รองเท้ากลับมาเป็นรองเท้าวิ่งธรรมดาได้เช่นกัน ✅ จุดเด่นของ Project Amplify ➡️ รองเท้าวิ่งผสานกับขาเหล็กหุ่นยนต์ ➡️ มีมอเตอร์, สายพาน, และแบตเตอรี่ข้อเท้า ➡️ ช่วยลดแรงที่ใช้ในการเดินหรือวิ่ง ➡️ ถอดระบบหุ่นยนต์ออกได้ ใช้เป็นรองเท้าธรรมดา ✅ เป้าหมายของ Nike ➡️ ช่วยคนทั่วไปเดินหรือวิ่งได้ไกลขึ้น ➡️ ลดความเหนื่อยจากการเดินทางหรือออกกำลังกาย ➡️ เปรียบเทียบกับ e-bike ที่ช่วยให้ปั่นง่ายขึ้น ✅ ความเป็นไปได้ในอนาคต ➡️ Nike ตั้งใจจะวางขายในวงกว้างในอีกไม่กี่ปี ➡️ อาจกลายเป็นเทรนด์ใหม่ของ wearable robotics ➡️ คล้ายกับ exoskeleton ที่ใช้ในโรงงาน เช่น Hyundai https://www.techradar.com/vehicle-tech/hybrid-electric-vehicles/fancy-an-e-bike-for-your-feet-these-radical-nike-robo-shoes-are-the-worlds-first-powered-footwear
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 89 มุมมอง 0 รีวิว
  • สหรัฐฯ ปิดเว็บไซต์ร้องเรียนสิทธิมนุษยชนของกองกำลังต่างชาติที่ได้รับอาวุธจากอเมริกา

    รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ยุติการให้บริการเว็บไซต์ที่เคยเปิดให้ประชาชนทั่วโลกสามารถร้องเรียนการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยกองกำลังต่างชาติที่ได้รับการสนับสนุนด้านอาวุธจากสหรัฐฯ เว็บไซต์นี้เคยเป็นช่องทางสำคัญในการตรวจสอบการใช้อาวุธของสหรัฐฯ ว่าถูกนำไปใช้ในทางที่ละเมิดสิทธิหรือไม่ โดยเฉพาะในประเทศที่มีความขัดแย้งหรือการปราบปรามประชาชน

    การปิดเว็บไซต์ดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงที่รัฐบาลสหรัฐฯ เพิ่มการสนับสนุนทางทหารแก่พันธมิตรหลายประเทศ เช่น อิสราเอล, ยูเครน และฟิลิปปินส์ ซึ่งบางประเทศถูกวิจารณ์ว่ามีประวัติการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างต่อเนื่อง

    นักสิทธิมนุษยชนและองค์กรระหว่างประเทศแสดงความกังวลว่า การปิดเว็บไซต์นี้อาจลดความโปร่งใสในการตรวจสอบการใช้อาวุธ และเปิดช่องให้เกิดการละเมิดโดยไม่มีการตรวจสอบหรือรับผิดชอบ

    การเปลี่ยนแปลงจากรัฐบาลสหรัฐฯ
    ปิดเว็บไซต์สำหรับร้องเรียนการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยกองกำลังต่างชาติ
    เว็บไซต์เคยเปิดให้ประชาชนทั่วโลกส่งข้อมูลการละเมิดที่เกี่ยวข้องกับอาวุธสหรัฐฯ
    เป็นส่วนหนึ่งของระบบตรวจสอบการใช้ความช่วยเหลือทางทหาร

    บริบททางการเมือง
    เกิดขึ้นในช่วงที่สหรัฐฯ เพิ่มการสนับสนุนอาวุธแก่พันธมิตร
    ประเทศที่ได้รับอาวุธบางแห่งมีประวัติละเมิดสิทธิมนุษยชน
    การปิดเว็บไซต์อาจลดแรงกดดันต่อพันธมิตรของสหรัฐฯ

    ความเห็นจากนักสิทธิมนุษยชน
    กังวลเรื่องความโปร่งใสในการใช้อาวุธ
    การไม่มีช่องทางร้องเรียนอาจทำให้เหยื่อไม่มีที่พึ่ง
    อาจส่งผลต่อภาพลักษณ์ของสหรัฐฯ ในฐานะผู้สนับสนุนสิทธิมนุษยชน

    คำเตือนเกี่ยวกับผลกระทบ
    การปิดเว็บไซต์อาจทำให้การละเมิดสิทธิมนุษยชนไม่ถูกเปิดเผย
    อาจลดแรงจูงใจในการตรวจสอบการใช้อาวุธของพันธมิตร
    เหยื่อในประเทศที่มีการปราบปรามอาจไม่มีช่องทางร้องเรียน

    คำแนะนำเพิ่มเติม
    ควรมีช่องทางอื่นในการตรวจสอบการใช้อาวุธจากสหรัฐฯ
    องค์กรระหว่างประเทศควรเพิ่มบทบาทในการรับเรื่องร้องเรียน
    ประชาชนควรตระหนักถึงความสำคัญของการตรวจสอบความช่วยเหลือทางทหาร

    https://www.bbc.com/news/articles/cqx30vnwd4do
    🇺🇸 สหรัฐฯ ปิดเว็บไซต์ร้องเรียนสิทธิมนุษยชนของกองกำลังต่างชาติที่ได้รับอาวุธจากอเมริกา รัฐบาลสหรัฐฯ ได้ยุติการให้บริการเว็บไซต์ที่เคยเปิดให้ประชาชนทั่วโลกสามารถร้องเรียนการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยกองกำลังต่างชาติที่ได้รับการสนับสนุนด้านอาวุธจากสหรัฐฯ เว็บไซต์นี้เคยเป็นช่องทางสำคัญในการตรวจสอบการใช้อาวุธของสหรัฐฯ ว่าถูกนำไปใช้ในทางที่ละเมิดสิทธิหรือไม่ โดยเฉพาะในประเทศที่มีความขัดแย้งหรือการปราบปรามประชาชน การปิดเว็บไซต์ดังกล่าวเกิดขึ้นในช่วงที่รัฐบาลสหรัฐฯ เพิ่มการสนับสนุนทางทหารแก่พันธมิตรหลายประเทศ เช่น อิสราเอล, ยูเครน และฟิลิปปินส์ ซึ่งบางประเทศถูกวิจารณ์ว่ามีประวัติการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างต่อเนื่อง นักสิทธิมนุษยชนและองค์กรระหว่างประเทศแสดงความกังวลว่า การปิดเว็บไซต์นี้อาจลดความโปร่งใสในการตรวจสอบการใช้อาวุธ และเปิดช่องให้เกิดการละเมิดโดยไม่มีการตรวจสอบหรือรับผิดชอบ ✅ การเปลี่ยนแปลงจากรัฐบาลสหรัฐฯ ➡️ ปิดเว็บไซต์สำหรับร้องเรียนการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยกองกำลังต่างชาติ ➡️ เว็บไซต์เคยเปิดให้ประชาชนทั่วโลกส่งข้อมูลการละเมิดที่เกี่ยวข้องกับอาวุธสหรัฐฯ ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของระบบตรวจสอบการใช้ความช่วยเหลือทางทหาร ✅ บริบททางการเมือง ➡️ เกิดขึ้นในช่วงที่สหรัฐฯ เพิ่มการสนับสนุนอาวุธแก่พันธมิตร ➡️ ประเทศที่ได้รับอาวุธบางแห่งมีประวัติละเมิดสิทธิมนุษยชน ➡️ การปิดเว็บไซต์อาจลดแรงกดดันต่อพันธมิตรของสหรัฐฯ ✅ ความเห็นจากนักสิทธิมนุษยชน ➡️ กังวลเรื่องความโปร่งใสในการใช้อาวุธ ➡️ การไม่มีช่องทางร้องเรียนอาจทำให้เหยื่อไม่มีที่พึ่ง ➡️ อาจส่งผลต่อภาพลักษณ์ของสหรัฐฯ ในฐานะผู้สนับสนุนสิทธิมนุษยชน ‼️ คำเตือนเกี่ยวกับผลกระทบ ⛔ การปิดเว็บไซต์อาจทำให้การละเมิดสิทธิมนุษยชนไม่ถูกเปิดเผย ⛔ อาจลดแรงจูงใจในการตรวจสอบการใช้อาวุธของพันธมิตร ⛔ เหยื่อในประเทศที่มีการปราบปรามอาจไม่มีช่องทางร้องเรียน ‼️ คำแนะนำเพิ่มเติม ⛔ ควรมีช่องทางอื่นในการตรวจสอบการใช้อาวุธจากสหรัฐฯ ⛔ องค์กรระหว่างประเทศควรเพิ่มบทบาทในการรับเรื่องร้องเรียน ⛔ ประชาชนควรตระหนักถึงความสำคัญของการตรวจสอบความช่วยเหลือทางทหาร https://www.bbc.com/news/articles/cqx30vnwd4do
    WWW.BBC.COM
    US axes website for reporting human rights abuses by US-armed foreign forces
    The Human Rights Reporting Gateway acted as a formal "tip line" to the US government.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 79 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Google แฉเครือข่ายรัสเซียปล่อยข่าวเท็จโจมตีโปแลนด์ – ใช้ Portal Kombat ปั่นกระแสหลังเหตุโดรนรุกล้ำอากาศ”

    Google’s Threat Intelligence Group (GTIG) เปิดเผยว่า หลังเหตุการณ์โดรนรุกล้ำอากาศโปแลนด์เมื่อวันที่ 9–10 กันยายน 2025 เครือข่ายข้อมูลเท็จที่สนับสนุนรัสเซียได้เปิดฉากปฏิบัติการข่าวสาร (Information Operations) อย่างหนัก เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจและบิดเบือนข้อเท็จจริง

    เครือข่ายที่ถูกเปิดโปง ได้แก่ Portal Kombat (หรือ Pravda Network), Doppelganger และ NDP (Niezależny Dziennik Polityczny) ซึ่งใช้เว็บไซต์ปลอมและบัญชีโซเชียลมีเดียในการเผยแพร่เนื้อหาที่โจมตี NATO, ปั่นกระแสต่อต้านรัฐบาลโปแลนด์ และลดการสนับสนุนยูเครน

    GTIG ระบุว่าเป้าหมายหลักของแคมเปญนี้มี 4 อย่าง:

    สร้างภาพลักษณ์ดีให้รัสเซีย
    โทษ NATO และโปแลนด์ว่าเป็นผู้ยั่วยุ
    ทำให้ประชาชนโปแลนด์หมดศรัทธาต่อรัฐบาล
    ลดแรงสนับสนุนยูเครนจากนานาชาติ

    Portal Kombat ใช้เว็บไซต์ปลอมหลายแห่งที่มีโครงสร้างคล้ายกัน แต่เจาะกลุ่มเป้าหมายต่างประเทศ เช่น โพสต์ว่าโดรนไม่สามารถมาจากรัสเซียได้ หรือกล่าวหาว่าผู้นำโปแลนด์ใช้เหตุการณ์นี้เพื่อเบี่ยงเบนปัญหาภายใน

    Doppelganger ใช้แบรนด์สื่อปลอม เช่น “Polski Kompas” และ “Deutsche Intelligenz” เพื่อเผยแพร่เนื้อหาที่ดูน่าเชื่อถือ แต่แฝงด้วยการบิดเบือน เช่น กล่าวหาว่าชาวโปแลนด์ไม่เห็นด้วยกับการช่วยยูเครน หรือกล่าวหาว่า NATO สร้างเรื่องขึ้นมา

    NDP ซึ่งเป็นเครือข่ายภาษาโปแลนด์ที่มีมายาวนาน ก็ถูกเปิดโปงว่าใช้บุคคลปลอมเป็นบรรณาธิการ และเผยแพร่บทความที่เรียกการตอบโต้ของโปแลนด์ว่า “อาการคลั่งสงคราม” พร้อมทั้งกล่าวหาว่ารัฐบาลโปแลนด์รู้ล่วงหน้าว่าจะมีโดรนเข้ามา

    GTIG สรุปว่าเครือข่ายเหล่านี้สามารถตอบสนองต่อเหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง และใช้โครงสร้างที่มีอยู่แล้วในการปั่นกระแสอย่างมีประสิทธิภาพ

    เครือข่ายที่ถูกเปิดโปง
    Portal Kombat (Pravda Network) – เว็บไซต์ปลอมหลายแห่ง
    Doppelganger – สื่อปลอมเจาะกลุ่มเป้าหมายเฉพาะประเทศ
    NDP – สื่อภาษาโปแลนด์ที่ใช้บุคคลปลอมเป็นผู้เขียน

    เป้าหมายของแคมเปญข่าวสาร
    สร้างภาพลักษณ์ดีให้รัสเซีย
    โทษ NATO และโปแลนด์ว่าเป็นผู้ยั่วยุ
    ทำให้ประชาชนหมดศรัทธาต่อรัฐบาล
    ลดแรงสนับสนุนยูเครนจากนานาชาติ

    วิธีการที่ใช้
    เว็บไซต์ปลอมที่ดูเหมือนสื่อจริง
    โพสต์โซเชียลมีเดียจากบัญชีปลอม
    การใช้ภาษาท้องถิ่นเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ
    การตอบสนองต่อเหตุการณ์แบบรวดเร็ว

    https://securityonline.info/google-exposes-russian-disinformation-blitz-over-poland-airspace-incursion-using-portal-kombat-network/
    🕵️ “Google แฉเครือข่ายรัสเซียปล่อยข่าวเท็จโจมตีโปแลนด์ – ใช้ Portal Kombat ปั่นกระแสหลังเหตุโดรนรุกล้ำอากาศ” Google’s Threat Intelligence Group (GTIG) เปิดเผยว่า หลังเหตุการณ์โดรนรุกล้ำอากาศโปแลนด์เมื่อวันที่ 9–10 กันยายน 2025 เครือข่ายข้อมูลเท็จที่สนับสนุนรัสเซียได้เปิดฉากปฏิบัติการข่าวสาร (Information Operations) อย่างหนัก เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจและบิดเบือนข้อเท็จจริง เครือข่ายที่ถูกเปิดโปง ได้แก่ Portal Kombat (หรือ Pravda Network), Doppelganger และ NDP (Niezależny Dziennik Polityczny) ซึ่งใช้เว็บไซต์ปลอมและบัญชีโซเชียลมีเดียในการเผยแพร่เนื้อหาที่โจมตี NATO, ปั่นกระแสต่อต้านรัฐบาลโปแลนด์ และลดการสนับสนุนยูเครน GTIG ระบุว่าเป้าหมายหลักของแคมเปญนี้มี 4 อย่าง: 📰 สร้างภาพลักษณ์ดีให้รัสเซีย 📰 โทษ NATO และโปแลนด์ว่าเป็นผู้ยั่วยุ 📰 ทำให้ประชาชนโปแลนด์หมดศรัทธาต่อรัฐบาล 📰 ลดแรงสนับสนุนยูเครนจากนานาชาติ Portal Kombat ใช้เว็บไซต์ปลอมหลายแห่งที่มีโครงสร้างคล้ายกัน แต่เจาะกลุ่มเป้าหมายต่างประเทศ เช่น โพสต์ว่าโดรนไม่สามารถมาจากรัสเซียได้ หรือกล่าวหาว่าผู้นำโปแลนด์ใช้เหตุการณ์นี้เพื่อเบี่ยงเบนปัญหาภายใน Doppelganger ใช้แบรนด์สื่อปลอม เช่น “Polski Kompas” และ “Deutsche Intelligenz” เพื่อเผยแพร่เนื้อหาที่ดูน่าเชื่อถือ แต่แฝงด้วยการบิดเบือน เช่น กล่าวหาว่าชาวโปแลนด์ไม่เห็นด้วยกับการช่วยยูเครน หรือกล่าวหาว่า NATO สร้างเรื่องขึ้นมา NDP ซึ่งเป็นเครือข่ายภาษาโปแลนด์ที่มีมายาวนาน ก็ถูกเปิดโปงว่าใช้บุคคลปลอมเป็นบรรณาธิการ และเผยแพร่บทความที่เรียกการตอบโต้ของโปแลนด์ว่า “อาการคลั่งสงคราม” พร้อมทั้งกล่าวหาว่ารัฐบาลโปแลนด์รู้ล่วงหน้าว่าจะมีโดรนเข้ามา GTIG สรุปว่าเครือข่ายเหล่านี้สามารถตอบสนองต่อเหตุการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ได้ภายในไม่กี่ชั่วโมง และใช้โครงสร้างที่มีอยู่แล้วในการปั่นกระแสอย่างมีประสิทธิภาพ ✅ เครือข่ายที่ถูกเปิดโปง ➡️ Portal Kombat (Pravda Network) – เว็บไซต์ปลอมหลายแห่ง ➡️ Doppelganger – สื่อปลอมเจาะกลุ่มเป้าหมายเฉพาะประเทศ ➡️ NDP – สื่อภาษาโปแลนด์ที่ใช้บุคคลปลอมเป็นผู้เขียน ✅ เป้าหมายของแคมเปญข่าวสาร ➡️ สร้างภาพลักษณ์ดีให้รัสเซีย ➡️ โทษ NATO และโปแลนด์ว่าเป็นผู้ยั่วยุ ➡️ ทำให้ประชาชนหมดศรัทธาต่อรัฐบาล ➡️ ลดแรงสนับสนุนยูเครนจากนานาชาติ ✅ วิธีการที่ใช้ ➡️ เว็บไซต์ปลอมที่ดูเหมือนสื่อจริง ➡️ โพสต์โซเชียลมีเดียจากบัญชีปลอม ➡️ การใช้ภาษาท้องถิ่นเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ ➡️ การตอบสนองต่อเหตุการณ์แบบรวดเร็ว https://securityonline.info/google-exposes-russian-disinformation-blitz-over-poland-airspace-incursion-using-portal-kombat-network/
    SECURITYONLINE.INFO
    Google Exposes Russian Disinformation Blitz Over Poland Airspace Incursion Using Portal Kombat Network
    Google exposed pro-Russia IO campaigns (Portal Kombat, Doppelganger) exploiting a Polish drone incursion to deflect blame from Russia, undermine NATO, and discredit the Polish government.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 193 มุมมอง 0 รีวิว
  • “United 737 MAX ถูกวัตถุตกใส่กลางอากาศที่ระดับ 36,000 ฟุต — อาจเป็นเศษดาวเทียมหรืออุกกาบาต” — เมื่อการบินพาณิชย์เผชิญเหตุการณ์ที่อาจไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน

    เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2025 เครื่องบิน United Airlines รุ่น 737 MAX ที่บินจากเดนเวอร์ไปลอสแอนเจลิส ถูกวัตถุตกใส่กลางอากาศที่ระดับความสูง 36,000 ฟุตเหนือรัฐโคโลราโด ส่งผลให้กระจกหน้าห้องนักบินและโครงสร้างบางส่วนได้รับความเสียหาย

    ภาพถ่ายที่มีลายน้ำซึ่งเผยแพร่หลังเหตุการณ์แสดงให้เห็นรอยร้าวบนกระจกและแขนของนักบินที่มีรอยขีดข่วนเล็กน้อย กัปตันของเที่ยวบินระบุว่าวัตถุดังกล่าวอาจเป็น “space debris” หรือเศษซากจากดาวเทียมหรือจรวด แต่บางรายงานก็เสนอว่าอาจเป็นอุกกาบาต

    แม้จะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด เครื่องบินสามารถเบี่ยงเส้นทางไปลงจอดที่เมืองซอลต์เลกซิตีได้อย่างปลอดภัย โดยไม่มีผู้โดยสารได้รับบาดเจ็บ และไม่มีการสูญเสียแรงดันในห้องโดยสาร เนื่องจากกระจกที่เสียหายเป็นเพียงชั้นนอกเท่านั้น

    นักบินลดระดับลงมาเหลือ 26,000 ฟุตเพื่อบรรเทาความต่างแรงดัน และผู้โดยสารประมาณ 130 คนถูกเปลี่ยนไปขึ้นเครื่องลำใหม่เพื่อเดินทางต่อ

    จนถึงขณะนี้ FAA และสายการบินยังไม่ออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการ แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านการบินมองว่าเหตุการณ์นี้ “หายากมาก” และอาจเป็นครั้งแรกที่เกิดขึ้นกับเที่ยวบินพาณิชย์

    United 737 MAX ถูกวัตถุตกใส่ที่ระดับ 36,000 ฟุตเหนือโคโลราโด
    เกิดขึ้นหลังออกจากเดนเวอร์มุ่งหน้าลอสแอนเจลิส

    กระจกหน้าห้องนักบินและโครงสร้างบางส่วนได้รับความเสียหาย
    มีภาพแสดงรอยร้าวและแขนนักบินที่มีรอยขีดข่วน

    กัปตันระบุว่าอาจเป็น “space debris” หรือเศษดาวเทียม
    บางรายงานเสนอว่าอาจเป็นอุกกาบาต

    เครื่องบินเบี่ยงเส้นทางไปลงจอดที่ซอลต์เลกซิตี
    ไม่มีผู้โดยสารได้รับบาดเจ็บ

    ไม่มีการสูญเสียแรงดันในห้องโดยสาร
    กระจกที่เสียหายเป็นเพียงชั้นนอก

    นักบินลดระดับลงเหลือ 26,000 ฟุตเพื่อความปลอดภัย
    ลดแรงดันบนกระจกที่เหลือ

    ผู้โดยสารประมาณ 130 คนถูกเปลี่ยนไปขึ้นเครื่องลำใหม่
    เดินทางต่อเพื่อจบเที่ยวบิน 90 นาที

    https://avbrief.com/united-max-hit-by-falling-object-at-36000-feet/
    ✈️ “United 737 MAX ถูกวัตถุตกใส่กลางอากาศที่ระดับ 36,000 ฟุต — อาจเป็นเศษดาวเทียมหรืออุกกาบาต” — เมื่อการบินพาณิชย์เผชิญเหตุการณ์ที่อาจไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เมื่อวันที่ 17 ตุลาคม 2025 เครื่องบิน United Airlines รุ่น 737 MAX ที่บินจากเดนเวอร์ไปลอสแอนเจลิส ถูกวัตถุตกใส่กลางอากาศที่ระดับความสูง 36,000 ฟุตเหนือรัฐโคโลราโด ส่งผลให้กระจกหน้าห้องนักบินและโครงสร้างบางส่วนได้รับความเสียหาย ภาพถ่ายที่มีลายน้ำซึ่งเผยแพร่หลังเหตุการณ์แสดงให้เห็นรอยร้าวบนกระจกและแขนของนักบินที่มีรอยขีดข่วนเล็กน้อย กัปตันของเที่ยวบินระบุว่าวัตถุดังกล่าวอาจเป็น “space debris” หรือเศษซากจากดาวเทียมหรือจรวด แต่บางรายงานก็เสนอว่าอาจเป็นอุกกาบาต แม้จะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด เครื่องบินสามารถเบี่ยงเส้นทางไปลงจอดที่เมืองซอลต์เลกซิตีได้อย่างปลอดภัย โดยไม่มีผู้โดยสารได้รับบาดเจ็บ และไม่มีการสูญเสียแรงดันในห้องโดยสาร เนื่องจากกระจกที่เสียหายเป็นเพียงชั้นนอกเท่านั้น นักบินลดระดับลงมาเหลือ 26,000 ฟุตเพื่อบรรเทาความต่างแรงดัน และผู้โดยสารประมาณ 130 คนถูกเปลี่ยนไปขึ้นเครื่องลำใหม่เพื่อเดินทางต่อ จนถึงขณะนี้ FAA และสายการบินยังไม่ออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการ แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านการบินมองว่าเหตุการณ์นี้ “หายากมาก” และอาจเป็นครั้งแรกที่เกิดขึ้นกับเที่ยวบินพาณิชย์ ✅ United 737 MAX ถูกวัตถุตกใส่ที่ระดับ 36,000 ฟุตเหนือโคโลราโด ➡️ เกิดขึ้นหลังออกจากเดนเวอร์มุ่งหน้าลอสแอนเจลิส ✅ กระจกหน้าห้องนักบินและโครงสร้างบางส่วนได้รับความเสียหาย ➡️ มีภาพแสดงรอยร้าวและแขนนักบินที่มีรอยขีดข่วน ✅ กัปตันระบุว่าอาจเป็น “space debris” หรือเศษดาวเทียม ➡️ บางรายงานเสนอว่าอาจเป็นอุกกาบาต ✅ เครื่องบินเบี่ยงเส้นทางไปลงจอดที่ซอลต์เลกซิตี ➡️ ไม่มีผู้โดยสารได้รับบาดเจ็บ ✅ ไม่มีการสูญเสียแรงดันในห้องโดยสาร ➡️ กระจกที่เสียหายเป็นเพียงชั้นนอก ✅ นักบินลดระดับลงเหลือ 26,000 ฟุตเพื่อความปลอดภัย ➡️ ลดแรงดันบนกระจกที่เหลือ ✅ ผู้โดยสารประมาณ 130 คนถูกเปลี่ยนไปขึ้นเครื่องลำใหม่ ➡️ เดินทางต่อเพื่อจบเที่ยวบิน 90 นาที https://avbrief.com/united-max-hit-by-falling-object-at-36000-feet/
    AVBRIEF.COM
    United MAX Hit by Falling Object at 36,000 Feet - AvBrief.com
    Object may have been a piece of a weather balloon
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 112 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Frore LiquidJet: แผ่นระบายความร้อนยุคใหม่เพื่อ AI GPU พลังสูง” — รับมือความร้อนระดับ 4,400W ด้วยเทคโนโลยีไมโครเจ็ต 3D

    Frore Systems เปิดตัว LiquidJet แผ่นระบายความร้อนแบบ coldplate รุ่นใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับ GPU สำหรับงาน AI ที่มีอัตราการใช้พลังงานสูงมาก เช่น Nvidia Blackwell Ultra และ Feynman ที่มี TDP สูงสุดถึง 4,400W

    LiquidJet ใช้โครงสร้างไมโครเจ็ตแบบ 3D short-loop jet-channel ซึ่งช่วยเพิ่มความหนาแน่นของพลังงานที่จุดร้อน (hotspot) ได้ถึง 600 W/cm² และลดการสูญเสียแรงดันถึง 4 เท่าเมื่อเทียบกับ coldplate แบบเดิม ทำให้สามารถรักษาอุณหภูมิและประสิทธิภาพของ GPU ได้แม้ในสภาวะโหลดเต็ม

    เทคโนโลยีนี้ใช้กระบวนการผลิตแบบเดียวกับเซมิคอนดักเตอร์ เช่น การกัดและเชื่อมแผ่นโลหะระดับไมครอน เพื่อให้สามารถปรับโครงสร้างของเจ็ตให้เหมาะกับแผนที่ความร้อนของแต่ละชิปได้อย่างแม่นยำ

    LiquidJet ยังสามารถปรับใช้กับ GPU รุ่นถัดไป เช่น Rubin (1,800W), Rubin Ultra (3,600W) และ Feynman (4,400W) โดยไม่ต้องเปลี่ยนโครงสร้างระบบระบายความร้อนทั้งหมด

    นอกจากการลดอุณหภูมิแล้ว ระบบนี้ยังช่วยให้ GPU ทำงานที่ความถี่สูงขึ้นโดยไม่เพิ่มพลังงาน รวมถึงลดการใช้พลังงานของปั๊มน้ำ ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพโดยรวมของศูนย์ข้อมูล

    ข้อมูลในข่าว
    Frore เปิดตัว LiquidJet coldplate สำหรับ GPU ที่ใช้พลังงานสูงถึง 4,400W
    ใช้โครงสร้าง 3D short-loop jet-channel เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายความร้อน
    รองรับ hotspot power density สูงถึง 600 W/cm²
    ลดแรงดันตกจาก 0.94 psi เหลือ 0.24 psi
    ใช้กระบวนการผลิตแบบเซมิคอนดักเตอร์ เช่น การกัดและเชื่อมแผ่นโลหะ
    ปรับโครงสร้างเจ็ตให้เหมาะกับ hotspot map ของแต่ละชิป
    รองรับ GPU รุ่นถัดไป เช่น Rubin, Rubin Ultra และ Feynman
    ช่วยให้ GPU ทำงานที่ความถี่สูงขึ้นโดยไม่เพิ่มพลังงาน
    ลดการใช้พลังงานของปั๊มน้ำ เพิ่ม PUE และลด TCO
    พร้อมใช้งานกับระบบ Blackwell Ultra และสามารถติดตั้งแบบ drop-in

    คำเตือนจากข้อมูลข่าว
    GPU ยุคใหม่มีอัตราการใช้พลังงานสูงมาก อาจเกินขีดจำกัดของระบบระบายความร้อนเดิม
    การผลิต coldplate แบบ 3D ต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูงและต้นทุนสูง
    การปรับโครงสร้างเจ็ตให้เหมาะกับแต่ละชิปต้องใช้ข้อมูลความร้อนที่แม่นยำ
    หากไม่ใช้ระบบระบายความร้อนที่เหมาะสม อาจทำให้ GPU ทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ
    การเปลี่ยนมาใช้ LiquidJet อาจต้องปรับระบบปั๊มน้ำและการติดตั้งใหม่
    ความร้อนที่สูงขึ้นในศูนย์ข้อมูลอาจส่งผลต่ออุปกรณ์อื่นและโครงสร้างพื้นฐาน

    https://www.tomshardware.com/pc-components/liquid-cooling/frores-new-liquidjet-coldplates-are-equipped-to-handle-the-spiralling-power-demands-of-future-ai-gpus-built-to-handle-up-to-4-4kw-tdps-solution-could-be-deployed-in-power-hungry-feynman-data-centers
    💧 “Frore LiquidJet: แผ่นระบายความร้อนยุคใหม่เพื่อ AI GPU พลังสูง” — รับมือความร้อนระดับ 4,400W ด้วยเทคโนโลยีไมโครเจ็ต 3D Frore Systems เปิดตัว LiquidJet แผ่นระบายความร้อนแบบ coldplate รุ่นใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อรองรับ GPU สำหรับงาน AI ที่มีอัตราการใช้พลังงานสูงมาก เช่น Nvidia Blackwell Ultra และ Feynman ที่มี TDP สูงสุดถึง 4,400W LiquidJet ใช้โครงสร้างไมโครเจ็ตแบบ 3D short-loop jet-channel ซึ่งช่วยเพิ่มความหนาแน่นของพลังงานที่จุดร้อน (hotspot) ได้ถึง 600 W/cm² และลดการสูญเสียแรงดันถึง 4 เท่าเมื่อเทียบกับ coldplate แบบเดิม ทำให้สามารถรักษาอุณหภูมิและประสิทธิภาพของ GPU ได้แม้ในสภาวะโหลดเต็ม เทคโนโลยีนี้ใช้กระบวนการผลิตแบบเดียวกับเซมิคอนดักเตอร์ เช่น การกัดและเชื่อมแผ่นโลหะระดับไมครอน เพื่อให้สามารถปรับโครงสร้างของเจ็ตให้เหมาะกับแผนที่ความร้อนของแต่ละชิปได้อย่างแม่นยำ LiquidJet ยังสามารถปรับใช้กับ GPU รุ่นถัดไป เช่น Rubin (1,800W), Rubin Ultra (3,600W) และ Feynman (4,400W) โดยไม่ต้องเปลี่ยนโครงสร้างระบบระบายความร้อนทั้งหมด นอกจากการลดอุณหภูมิแล้ว ระบบนี้ยังช่วยให้ GPU ทำงานที่ความถี่สูงขึ้นโดยไม่เพิ่มพลังงาน รวมถึงลดการใช้พลังงานของปั๊มน้ำ ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่ายและเพิ่มประสิทธิภาพโดยรวมของศูนย์ข้อมูล ✅ ข้อมูลในข่าว ➡️ Frore เปิดตัว LiquidJet coldplate สำหรับ GPU ที่ใช้พลังงานสูงถึง 4,400W ➡️ ใช้โครงสร้าง 3D short-loop jet-channel เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการระบายความร้อน ➡️ รองรับ hotspot power density สูงถึง 600 W/cm² ➡️ ลดแรงดันตกจาก 0.94 psi เหลือ 0.24 psi ➡️ ใช้กระบวนการผลิตแบบเซมิคอนดักเตอร์ เช่น การกัดและเชื่อมแผ่นโลหะ ➡️ ปรับโครงสร้างเจ็ตให้เหมาะกับ hotspot map ของแต่ละชิป ➡️ รองรับ GPU รุ่นถัดไป เช่น Rubin, Rubin Ultra และ Feynman ➡️ ช่วยให้ GPU ทำงานที่ความถี่สูงขึ้นโดยไม่เพิ่มพลังงาน ➡️ ลดการใช้พลังงานของปั๊มน้ำ เพิ่ม PUE และลด TCO ➡️ พร้อมใช้งานกับระบบ Blackwell Ultra และสามารถติดตั้งแบบ drop-in ‼️ คำเตือนจากข้อมูลข่าว ⛔ GPU ยุคใหม่มีอัตราการใช้พลังงานสูงมาก อาจเกินขีดจำกัดของระบบระบายความร้อนเดิม ⛔ การผลิต coldplate แบบ 3D ต้องใช้เทคโนโลยีขั้นสูงและต้นทุนสูง ⛔ การปรับโครงสร้างเจ็ตให้เหมาะกับแต่ละชิปต้องใช้ข้อมูลความร้อนที่แม่นยำ ⛔ หากไม่ใช้ระบบระบายความร้อนที่เหมาะสม อาจทำให้ GPU ทำงานไม่เต็มประสิทธิภาพ ⛔ การเปลี่ยนมาใช้ LiquidJet อาจต้องปรับระบบปั๊มน้ำและการติดตั้งใหม่ ⛔ ความร้อนที่สูงขึ้นในศูนย์ข้อมูลอาจส่งผลต่ออุปกรณ์อื่นและโครงสร้างพื้นฐาน https://www.tomshardware.com/pc-components/liquid-cooling/frores-new-liquidjet-coldplates-are-equipped-to-handle-the-spiralling-power-demands-of-future-ai-gpus-built-to-handle-up-to-4-4kw-tdps-solution-could-be-deployed-in-power-hungry-feynman-data-centers
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 211 มุมมอง 0 รีวิว
  • “AI เขียนรีวิวพนักงานและอีเมลเลิกจ้างแทนผู้จัดการ — เมื่อความเห็นอกเห็นใจถูกแทนที่ด้วยความแม่นยำเชิงกล”

    ผลสำรวจล่าสุดจาก ZeroBounce เผยให้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวัฒนธรรมองค์กรของสหรัฐฯ โดยเฉพาะการสื่อสารภายในที่เริ่มพึ่งพา AI อย่างจริงจัง ไม่ใช่แค่ช่วยเขียนอีเมลทั่วไป แต่รวมถึงการร่างรีวิวประเมินผลพนักงาน และแม้แต่ข้อความเลิกจ้าง

    กว่า 41% ของผู้จัดการยอมรับว่าเคยใช้ AI ในการเขียนหรือปรับแต่งรีวิวพนักงาน และ 17% ยอมรับว่าเคยใช้ AI ในการร่างอีเมลเลิกจ้าง ซึ่งทำให้เกิดคำถามด้านจริยธรรมและความเห็นอกเห็นใจในที่ทำงาน เพราะพนักงานจำนวนมากรู้สึกว่าเนื้อหาที่ได้รับนั้น “เย็นชา” และ “ไม่มีความเป็นมนุษย์”

    ในฝั่งพนักงานเอง 24% ใช้ AI เป็นประจำในการเขียนหรือแก้ไขอีเมล โดยเฉพาะในสายงานเทคโนโลยี และ 35% เคยใช้ AI ในการร่างข้อความที่มีความอ่อนไหว เช่น การขอเลื่อนงาน การแจ้งปัญหา หรือการตอบกลับหัวหน้า บางคนถึงขั้นรู้สึกว่า “เขียนเองไม่เป็นแล้ว” หากไม่มี AI ช่วย

    ที่น่าตกใจคือ 26% ของพนักงานสงสัยว่ารีวิวประเมินผลที่ได้รับนั้นเขียนโดย AI และ 16% ของผู้ที่ถูกเลิกจ้างเชื่อว่าอีเมลแจ้งเลิกจ้างนั้นไม่ได้เขียนโดยมนุษย์ โดย 20% ยอมรับว่า “ร้องไห้” เมื่ออ่านข้อความที่ไร้ความรู้สึกนั้น

    แม้ผู้จัดการบางคนจะมองว่า AI ช่วยให้การสื่อสารชัดเจนขึ้น แต่พนักงานจำนวนมากกลับรู้สึกว่า “ความจริงใจหายไป” และการใช้ภาษาที่เหมือนกันทุกข้อความทำให้รู้สึกว่าองค์กรไม่เห็นคุณค่าของแต่ละคน

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    41% ของผู้จัดการใช้ AI เขียนหรือปรับแต่งรีวิวประเมินผลพนักงาน
    17% ของผู้จัดการใช้ AI เขียนอีเมลเลิกจ้าง
    24% ของพนักงานใช้ AI เป็นประจำในการเขียนหรือแก้ไขอีเมล
    35% เคยใช้ AI ในการร่างข้อความที่มีความอ่อนไหว
    26% สงสัยว่ารีวิวที่ได้รับเขียนโดย AI
    16% ของผู้ถูกเลิกจ้างเชื่อว่าอีเมลแจ้งเลิกจ้างเขียนโดย AI
    20% ของผู้ถูกเลิกจ้างร้องไห้เมื่ออ่านข้อความที่ไร้ความรู้สึก
    พนักงานบางคนรู้สึกว่าไม่สามารถเขียนข้อความเองได้หากไม่มี AI
    ผู้จัดการส่วนใหญ่มั่นใจว่าใช้ AI ได้ดีกว่าพนักงาน

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    AI ช่วยลดแรงกดดันในการเขียนข้อความในที่ทำงาน โดยเฉพาะในบริบทที่เป็นทางการ
    การใช้ AI ในการสื่อสารภายในองค์กรเริ่มกลายเป็นเรื่องปกติในหลายอุตสาหกรรม
    การเขียนข้อความเลิกจ้างด้วย AI อาจลดความเครียดของผู้จัดการ แต่เพิ่มความเจ็บปวดให้พนักงาน
    การใช้ภาษาที่เหมือนกันทุกข้อความทำให้พนักงานรู้สึกว่าองค์กรไม่ใส่ใจ
    หลายองค์กรเริ่มตั้งนโยบายให้มีการตรวจสอบและปรับแต่งข้อความจาก AI ก่อนส่งจริง

    https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/huge-numbers-of-managers-admit-to-using-ai-to-convincingly-draft-or-revise-performance-reviews-and-i-fear-it-will-only-accelerate-the-death-of-traditional-hr
    🤖 “AI เขียนรีวิวพนักงานและอีเมลเลิกจ้างแทนผู้จัดการ — เมื่อความเห็นอกเห็นใจถูกแทนที่ด้วยความแม่นยำเชิงกล” ผลสำรวจล่าสุดจาก ZeroBounce เผยให้เห็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวัฒนธรรมองค์กรของสหรัฐฯ โดยเฉพาะการสื่อสารภายในที่เริ่มพึ่งพา AI อย่างจริงจัง ไม่ใช่แค่ช่วยเขียนอีเมลทั่วไป แต่รวมถึงการร่างรีวิวประเมินผลพนักงาน และแม้แต่ข้อความเลิกจ้าง กว่า 41% ของผู้จัดการยอมรับว่าเคยใช้ AI ในการเขียนหรือปรับแต่งรีวิวพนักงาน และ 17% ยอมรับว่าเคยใช้ AI ในการร่างอีเมลเลิกจ้าง ซึ่งทำให้เกิดคำถามด้านจริยธรรมและความเห็นอกเห็นใจในที่ทำงาน เพราะพนักงานจำนวนมากรู้สึกว่าเนื้อหาที่ได้รับนั้น “เย็นชา” และ “ไม่มีความเป็นมนุษย์” ในฝั่งพนักงานเอง 24% ใช้ AI เป็นประจำในการเขียนหรือแก้ไขอีเมล โดยเฉพาะในสายงานเทคโนโลยี และ 35% เคยใช้ AI ในการร่างข้อความที่มีความอ่อนไหว เช่น การขอเลื่อนงาน การแจ้งปัญหา หรือการตอบกลับหัวหน้า บางคนถึงขั้นรู้สึกว่า “เขียนเองไม่เป็นแล้ว” หากไม่มี AI ช่วย ที่น่าตกใจคือ 26% ของพนักงานสงสัยว่ารีวิวประเมินผลที่ได้รับนั้นเขียนโดย AI และ 16% ของผู้ที่ถูกเลิกจ้างเชื่อว่าอีเมลแจ้งเลิกจ้างนั้นไม่ได้เขียนโดยมนุษย์ โดย 20% ยอมรับว่า “ร้องไห้” เมื่ออ่านข้อความที่ไร้ความรู้สึกนั้น แม้ผู้จัดการบางคนจะมองว่า AI ช่วยให้การสื่อสารชัดเจนขึ้น แต่พนักงานจำนวนมากกลับรู้สึกว่า “ความจริงใจหายไป” และการใช้ภาษาที่เหมือนกันทุกข้อความทำให้รู้สึกว่าองค์กรไม่เห็นคุณค่าของแต่ละคน ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ 41% ของผู้จัดการใช้ AI เขียนหรือปรับแต่งรีวิวประเมินผลพนักงาน ➡️ 17% ของผู้จัดการใช้ AI เขียนอีเมลเลิกจ้าง ➡️ 24% ของพนักงานใช้ AI เป็นประจำในการเขียนหรือแก้ไขอีเมล ➡️ 35% เคยใช้ AI ในการร่างข้อความที่มีความอ่อนไหว ➡️ 26% สงสัยว่ารีวิวที่ได้รับเขียนโดย AI ➡️ 16% ของผู้ถูกเลิกจ้างเชื่อว่าอีเมลแจ้งเลิกจ้างเขียนโดย AI ➡️ 20% ของผู้ถูกเลิกจ้างร้องไห้เมื่ออ่านข้อความที่ไร้ความรู้สึก ➡️ พนักงานบางคนรู้สึกว่าไม่สามารถเขียนข้อความเองได้หากไม่มี AI ➡️ ผู้จัดการส่วนใหญ่มั่นใจว่าใช้ AI ได้ดีกว่าพนักงาน ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ AI ช่วยลดแรงกดดันในการเขียนข้อความในที่ทำงาน โดยเฉพาะในบริบทที่เป็นทางการ ➡️ การใช้ AI ในการสื่อสารภายในองค์กรเริ่มกลายเป็นเรื่องปกติในหลายอุตสาหกรรม ➡️ การเขียนข้อความเลิกจ้างด้วย AI อาจลดความเครียดของผู้จัดการ แต่เพิ่มความเจ็บปวดให้พนักงาน ➡️ การใช้ภาษาที่เหมือนกันทุกข้อความทำให้พนักงานรู้สึกว่าองค์กรไม่ใส่ใจ ➡️ หลายองค์กรเริ่มตั้งนโยบายให้มีการตรวจสอบและปรับแต่งข้อความจาก AI ก่อนส่งจริง https://www.techradar.com/ai-platforms-assistants/huge-numbers-of-managers-admit-to-using-ai-to-convincingly-draft-or-revise-performance-reviews-and-i-fear-it-will-only-accelerate-the-death-of-traditional-hr
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 283 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ผู้ใช้แอปสนใจแค่ 20% — แต่ละคนเลือกส่วนที่ต่างกัน และนั่นคือโอกาสทองของนักพัฒนา”

    Ibrahim Diallo เล่าเรื่องราวส่วนตัวที่เริ่มจากการลบไฟล์ .ini ตอนเด็กจนทำให้คอมพัง และต้องติดตั้ง Windows ใหม่ทุกครั้ง ซึ่งทำให้เขาเรียนรู้ว่า แม้โปรแกรมจะมีฟีเจอร์มากมาย แต่ผู้ใช้แต่ละคนกลับใช้แค่บางส่วนเท่านั้น เช่น เขาเคยใช้ Excel แค่เพื่อสร้างตารางแล้วก็อปไปใส่ Word เพราะไม่รู้วิธีสร้างตารางใน Word โดยตรง

    จากประสบการณ์นี้ เขาเสนอแนวคิดว่า “ผู้ใช้ส่วนใหญ่จะใช้แค่ 20% ของฟีเจอร์ในแอปพลิเคชัน” แต่ที่สำคัญคือ “แต่ละคนใช้ 20% ที่ต่างกัน” เช่น คนหนึ่งใช้ Excel เพื่อทำบัญชีส่วนตัว อีกคนใช้เพื่อทำ pivot table และอีกคนใช้แค่เพื่อวางตารางใน Word

    เมื่อแอปมีฟีเจอร์มากขึ้น ผู้ใช้บางกลุ่มกลับรู้สึกว่าแอป “บวม” และทำงานช้าลง เพราะฟีเจอร์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับตนเองกลายเป็นสิ่งรบกวน workflow เดิม นี่คือจุดที่ผู้ใช้เริ่มมองหาแอปทางเลือกที่ตอบโจทย์เฉพาะของตนได้ดีกว่า

    เขายกตัวอย่าง Kagi ซึ่งเป็น search engine แบบเสียเงินที่เกิดขึ้นจากความไม่พอใจของผู้ใช้ Google ที่ต้องการผลลัพธ์แบบตรงคำมากกว่า “คำที่เกี่ยวข้อง” แม้จะเป็นแค่ 1% ของผู้ใช้ แต่ก็ยังเป็นตลาดที่ใหญ่มาก และ Kagi เลือกที่จะเป็น “20% ที่ดีที่สุด” สำหรับกลุ่มนั้น

    แนวคิดนี้ยังใช้ได้กับแอปอื่น ๆ เช่น Figma ที่ไม่ต้องแข่งกับ Adobe ทั้งชุด แต่แค่ทำ collaborative design ได้ดีกว่า หรือ Notion ที่ไม่ต้องเป็น word processor หรือ database ที่ดีที่สุด แต่เป็นเครื่องมือลูกผสมที่ตอบโจทย์ทีมงานได้ดี

    สุดท้าย เขาเสนอว่า นักพัฒนาไม่ควรพยายามทำแอปที่ “ทำทุกอย่างให้ทุกคน” แต่ควรสร้างระบบที่ให้ผู้ใช้ปรับแต่งได้เอง เช่น VS Code ที่เริ่มจาก text editor ธรรมดา แล้วให้ผู้ใช้ติดตั้ง extension เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะกับตนเอง

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ผู้ใช้ส่วนใหญ่ใช้แค่ 20% ของฟีเจอร์ในแอปพลิเคชัน
    แต่ละคนใช้ 20% ที่ต่างกัน เช่น Excel เพื่อบัญชี, pivot table, หรือแค่สร้างตาราง
    แอปที่มีฟีเจอร์มากเกินไปอาจทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่าแอป “บวม” และช้าลง
    Kagi เป็น search engine ที่เกิดจากกลุ่มผู้ใช้ที่ไม่พอใจ Google Search
    Kagi เลือกเป็น “20% ที่ดีที่สุด” สำหรับกลุ่ม power user
    Figma และ Notion เป็นตัวอย่างของแอปที่เน้นเฉพาะกลุ่ม ไม่ต้องแข่งแบบครอบคลุม
    VS Code ให้ผู้ใช้ปรับแต่งผ่าน extension เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมเฉพาะตัว
    แนวคิดนี้ช่วยให้นักพัฒนาไม่ต้องทำทุกอย่าง แต่ทำให้แต่ละฟีเจอร์ “ดีจริง” สำหรับกลุ่มเป้าหมาย

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    หลักการ 80/20 หรือ Pareto Principle ถูกใช้ในหลายวงการ เช่น ธุรกิจ, การตลาด, และ UX
    แอปที่เน้น modular design เช่น Obsidian หรือ Slack ก็ใช้แนวคิดนี้ในการพัฒนา
    Open-source software เช่น Blender หรือ FFmpeg มักถูกปรับแต่งให้เหมาะกับ workflow เฉพาะ
    การให้ผู้ใช้ปรับแต่งเองช่วยลดแรงต้านจากฟีเจอร์ที่ไม่จำเป็น
    การสร้าง “core ที่เบา” แล้วให้ผู้ใช้เสริมเอง เป็นแนวทางที่ยั่งยืนและขยายได้ง่าย

    https://idiallo.com/blog/users-only-care-about-20-percent
    🧩 “ผู้ใช้แอปสนใจแค่ 20% — แต่ละคนเลือกส่วนที่ต่างกัน และนั่นคือโอกาสทองของนักพัฒนา” Ibrahim Diallo เล่าเรื่องราวส่วนตัวที่เริ่มจากการลบไฟล์ .ini ตอนเด็กจนทำให้คอมพัง และต้องติดตั้ง Windows ใหม่ทุกครั้ง ซึ่งทำให้เขาเรียนรู้ว่า แม้โปรแกรมจะมีฟีเจอร์มากมาย แต่ผู้ใช้แต่ละคนกลับใช้แค่บางส่วนเท่านั้น เช่น เขาเคยใช้ Excel แค่เพื่อสร้างตารางแล้วก็อปไปใส่ Word เพราะไม่รู้วิธีสร้างตารางใน Word โดยตรง จากประสบการณ์นี้ เขาเสนอแนวคิดว่า “ผู้ใช้ส่วนใหญ่จะใช้แค่ 20% ของฟีเจอร์ในแอปพลิเคชัน” แต่ที่สำคัญคือ “แต่ละคนใช้ 20% ที่ต่างกัน” เช่น คนหนึ่งใช้ Excel เพื่อทำบัญชีส่วนตัว อีกคนใช้เพื่อทำ pivot table และอีกคนใช้แค่เพื่อวางตารางใน Word เมื่อแอปมีฟีเจอร์มากขึ้น ผู้ใช้บางกลุ่มกลับรู้สึกว่าแอป “บวม” และทำงานช้าลง เพราะฟีเจอร์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับตนเองกลายเป็นสิ่งรบกวน workflow เดิม นี่คือจุดที่ผู้ใช้เริ่มมองหาแอปทางเลือกที่ตอบโจทย์เฉพาะของตนได้ดีกว่า เขายกตัวอย่าง Kagi ซึ่งเป็น search engine แบบเสียเงินที่เกิดขึ้นจากความไม่พอใจของผู้ใช้ Google ที่ต้องการผลลัพธ์แบบตรงคำมากกว่า “คำที่เกี่ยวข้อง” แม้จะเป็นแค่ 1% ของผู้ใช้ แต่ก็ยังเป็นตลาดที่ใหญ่มาก และ Kagi เลือกที่จะเป็น “20% ที่ดีที่สุด” สำหรับกลุ่มนั้น แนวคิดนี้ยังใช้ได้กับแอปอื่น ๆ เช่น Figma ที่ไม่ต้องแข่งกับ Adobe ทั้งชุด แต่แค่ทำ collaborative design ได้ดีกว่า หรือ Notion ที่ไม่ต้องเป็น word processor หรือ database ที่ดีที่สุด แต่เป็นเครื่องมือลูกผสมที่ตอบโจทย์ทีมงานได้ดี สุดท้าย เขาเสนอว่า นักพัฒนาไม่ควรพยายามทำแอปที่ “ทำทุกอย่างให้ทุกคน” แต่ควรสร้างระบบที่ให้ผู้ใช้ปรับแต่งได้เอง เช่น VS Code ที่เริ่มจาก text editor ธรรมดา แล้วให้ผู้ใช้ติดตั้ง extension เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะกับตนเอง ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ผู้ใช้ส่วนใหญ่ใช้แค่ 20% ของฟีเจอร์ในแอปพลิเคชัน ➡️ แต่ละคนใช้ 20% ที่ต่างกัน เช่น Excel เพื่อบัญชี, pivot table, หรือแค่สร้างตาราง ➡️ แอปที่มีฟีเจอร์มากเกินไปอาจทำให้ผู้ใช้รู้สึกว่าแอป “บวม” และช้าลง ➡️ Kagi เป็น search engine ที่เกิดจากกลุ่มผู้ใช้ที่ไม่พอใจ Google Search ➡️ Kagi เลือกเป็น “20% ที่ดีที่สุด” สำหรับกลุ่ม power user ➡️ Figma และ Notion เป็นตัวอย่างของแอปที่เน้นเฉพาะกลุ่ม ไม่ต้องแข่งแบบครอบคลุม ➡️ VS Code ให้ผู้ใช้ปรับแต่งผ่าน extension เพื่อสร้างสภาพแวดล้อมเฉพาะตัว ➡️ แนวคิดนี้ช่วยให้นักพัฒนาไม่ต้องทำทุกอย่าง แต่ทำให้แต่ละฟีเจอร์ “ดีจริง” สำหรับกลุ่มเป้าหมาย ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ หลักการ 80/20 หรือ Pareto Principle ถูกใช้ในหลายวงการ เช่น ธุรกิจ, การตลาด, และ UX ➡️ แอปที่เน้น modular design เช่น Obsidian หรือ Slack ก็ใช้แนวคิดนี้ในการพัฒนา ➡️ Open-source software เช่น Blender หรือ FFmpeg มักถูกปรับแต่งให้เหมาะกับ workflow เฉพาะ ➡️ การให้ผู้ใช้ปรับแต่งเองช่วยลดแรงต้านจากฟีเจอร์ที่ไม่จำเป็น ➡️ การสร้าง “core ที่เบา” แล้วให้ผู้ใช้เสริมเอง เป็นแนวทางที่ยั่งยืนและขยายได้ง่าย https://idiallo.com/blog/users-only-care-about-20-percent
    IDIALLO.COM
    Users Only Care About 20% of Your Application
    I often destroyed our home computer when I was a kid. Armed with only 2GB of storage, I'd constantly hunt for files to delete to save space. But I learned the hard way that .ini files are actually imp
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 241 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Phone Farm Box: ฟาร์ม iPhone 420 เครื่องในตู้เดียว — เครื่องมือทดสอบแอปหรืออาวุธลับโกงโฆษณา?”

    ในยุคที่มือถือกลายเป็นศูนย์กลางของทุกอย่าง ตั้งแต่การสื่อสารไปจนถึงการทำเงิน มีเทคโนโลยีหนึ่งที่กำลังถูกพูดถึงมากขึ้นเรื่อย ๆ นั่นคือ “Phone Farm Box” — กล่องที่สามารถจัดการ iPhone ได้ทีละ 20 เครื่อง และเมื่อวางเรียงในตู้เซิร์ฟเวอร์ขนาด 42U ก็สามารถควบคุม iPhone ได้ถึง 420 เครื่องพร้อมกัน

    ระบบนี้ไม่ใช่แค่การเสียบมือถือหลายเครื่องไว้เฉย ๆ แต่มีซอฟต์แวร์ควบคุมจาก PC ที่สามารถสั่งงานผ่าน API ได้หลากหลาย เช่น HTTP, WebSocket, Python, OCR, การคลิก, การเลื่อนหน้าจอ และแม้แต่การจำลองคีย์บอร์ดและเมาส์แบบเรียลไทม์ ทำให้สามารถควบคุมมือถือทั้งหมดได้พร้อมกันแบบอัตโนมัติ

    Phone Farm Box ถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานในงานที่ต้องการทดสอบแอปจำนวนมาก เช่น QA, การเก็บข้อมูลประสิทธิภาพ หรือการจำลองการใช้งานจริงในหลายอุปกรณ์พร้อมกัน แต่ในอีกด้านหนึ่ง เทคโนโลยีนี้ก็สามารถถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด เช่น การโกงระบบโฆษณา (ad fraud) ด้วยการสร้างคลิกปลอม, การติดตั้งแอปซ้ำ ๆ หรือการสร้าง engagement ปลอมในโซเชียลมีเดีย

    ตัวเครื่องรองรับ iPhone ตั้งแต่รุ่น 6s ขึ้นไป โดยไม่มีกล้อง, ไม่มี SIM, ไม่สามารถล้างเครื่อง และไม่สามารถใช้บริการ iCloud ได้ ซึ่งทำให้เหมาะกับการใช้งานแบบเฉพาะทางมากกว่าการใช้งานทั่วไป

    ราคาของกล่องเปล่าอยู่ที่ประมาณ $700 และหากรวม iPhone ทั้ง 20 เครื่องจะอยู่ที่ $1,900 โดยจัดส่งเฉพาะในสหรัฐฯ และไม่สามารถคืนสินค้าได้หากเป็นแบบสั่งผลิตพิเศษ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    Phone Farm Box สามารถควบคุม iPhone ได้ถึง 420 เครื่องในตู้ 42U
    ใช้ซอฟต์แวร์ PC ควบคุมผ่าน API เช่น HTTP, Python, OCR และอื่น ๆ
    รองรับการควบคุมแบบ batch เช่น คลิก, เลื่อน, พิมพ์, โอนไฟล์ และ copy-paste
    รองรับ iPhone ตั้งแต่รุ่น 6s ขึ้นไป ที่ใช้ iOS 13.4 หรือใหม่กว่า
    iPhone ที่ใช้ไม่มีกล้อง, ไม่มี SIM, ไม่สามารถล้างเครื่อง และไม่ใช้ iCloud
    ใช้สายไฟจาก chassis แทนแบตเตอรี่เพื่อความปลอดภัยและเสถียร
    เหมาะสำหรับงาน QA, ทดสอบแอป, เก็บข้อมูล และการจำลองการใช้งาน
    ราคากล่องเปล่า $700 และแบบรวมเครื่อง $1,900 จัดส่งเฉพาะในสหรัฐฯ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Phone farm เป็นเทคนิคที่ใช้มือถือหลายเครื่องเพื่อสร้างรายได้จากแอป, โฆษณา, หรือคลิกปลอม
    การควบคุมแบบอัตโนมัติช่วยลดแรงงานและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานซ้ำ ๆ
    มีการใช้ phone farm เพื่อโกงระบบติดตั้งแอป, เพิ่มยอดวิว, หรือสร้าง engagement ปลอม
    การใช้ SDK ที่แอบส่งข้อมูลจากแอปสามารถรวมเข้ากับระบบนี้ได้ง่าย
    การจัดการความร้อนและพลังงานเป็นสิ่งสำคัญในการใช้งาน phone farm ระยะยาว

    https://www.techradar.com/pro/you-can-run-420-apple-iphone-smartphones-using-a-42u-rack-full-of-these-phone-farm-boxes-who-needs-power-pcs-when-you-can-recycle-old-mobiles
    📦 “Phone Farm Box: ฟาร์ม iPhone 420 เครื่องในตู้เดียว — เครื่องมือทดสอบแอปหรืออาวุธลับโกงโฆษณา?” ในยุคที่มือถือกลายเป็นศูนย์กลางของทุกอย่าง ตั้งแต่การสื่อสารไปจนถึงการทำเงิน มีเทคโนโลยีหนึ่งที่กำลังถูกพูดถึงมากขึ้นเรื่อย ๆ นั่นคือ “Phone Farm Box” — กล่องที่สามารถจัดการ iPhone ได้ทีละ 20 เครื่อง และเมื่อวางเรียงในตู้เซิร์ฟเวอร์ขนาด 42U ก็สามารถควบคุม iPhone ได้ถึง 420 เครื่องพร้อมกัน ระบบนี้ไม่ใช่แค่การเสียบมือถือหลายเครื่องไว้เฉย ๆ แต่มีซอฟต์แวร์ควบคุมจาก PC ที่สามารถสั่งงานผ่าน API ได้หลากหลาย เช่น HTTP, WebSocket, Python, OCR, การคลิก, การเลื่อนหน้าจอ และแม้แต่การจำลองคีย์บอร์ดและเมาส์แบบเรียลไทม์ ทำให้สามารถควบคุมมือถือทั้งหมดได้พร้อมกันแบบอัตโนมัติ Phone Farm Box ถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานในงานที่ต้องการทดสอบแอปจำนวนมาก เช่น QA, การเก็บข้อมูลประสิทธิภาพ หรือการจำลองการใช้งานจริงในหลายอุปกรณ์พร้อมกัน แต่ในอีกด้านหนึ่ง เทคโนโลยีนี้ก็สามารถถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด เช่น การโกงระบบโฆษณา (ad fraud) ด้วยการสร้างคลิกปลอม, การติดตั้งแอปซ้ำ ๆ หรือการสร้าง engagement ปลอมในโซเชียลมีเดีย ตัวเครื่องรองรับ iPhone ตั้งแต่รุ่น 6s ขึ้นไป โดยไม่มีกล้อง, ไม่มี SIM, ไม่สามารถล้างเครื่อง และไม่สามารถใช้บริการ iCloud ได้ ซึ่งทำให้เหมาะกับการใช้งานแบบเฉพาะทางมากกว่าการใช้งานทั่วไป ราคาของกล่องเปล่าอยู่ที่ประมาณ $700 และหากรวม iPhone ทั้ง 20 เครื่องจะอยู่ที่ $1,900 โดยจัดส่งเฉพาะในสหรัฐฯ และไม่สามารถคืนสินค้าได้หากเป็นแบบสั่งผลิตพิเศษ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ Phone Farm Box สามารถควบคุม iPhone ได้ถึง 420 เครื่องในตู้ 42U ➡️ ใช้ซอฟต์แวร์ PC ควบคุมผ่าน API เช่น HTTP, Python, OCR และอื่น ๆ ➡️ รองรับการควบคุมแบบ batch เช่น คลิก, เลื่อน, พิมพ์, โอนไฟล์ และ copy-paste ➡️ รองรับ iPhone ตั้งแต่รุ่น 6s ขึ้นไป ที่ใช้ iOS 13.4 หรือใหม่กว่า ➡️ iPhone ที่ใช้ไม่มีกล้อง, ไม่มี SIM, ไม่สามารถล้างเครื่อง และไม่ใช้ iCloud ➡️ ใช้สายไฟจาก chassis แทนแบตเตอรี่เพื่อความปลอดภัยและเสถียร ➡️ เหมาะสำหรับงาน QA, ทดสอบแอป, เก็บข้อมูล และการจำลองการใช้งาน ➡️ ราคากล่องเปล่า $700 และแบบรวมเครื่อง $1,900 จัดส่งเฉพาะในสหรัฐฯ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Phone farm เป็นเทคนิคที่ใช้มือถือหลายเครื่องเพื่อสร้างรายได้จากแอป, โฆษณา, หรือคลิกปลอม ➡️ การควบคุมแบบอัตโนมัติช่วยลดแรงงานและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานซ้ำ ๆ ➡️ มีการใช้ phone farm เพื่อโกงระบบติดตั้งแอป, เพิ่มยอดวิว, หรือสร้าง engagement ปลอม ➡️ การใช้ SDK ที่แอบส่งข้อมูลจากแอปสามารถรวมเข้ากับระบบนี้ได้ง่าย ➡️ การจัดการความร้อนและพลังงานเป็นสิ่งสำคัญในการใช้งาน phone farm ระยะยาว https://www.techradar.com/pro/you-can-run-420-apple-iphone-smartphones-using-a-42u-rack-full-of-these-phone-farm-boxes-who-needs-power-pcs-when-you-can-recycle-old-mobiles
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 280 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ICY DOCK เปิดตัว CP154 อะแดปเตอร์แปลง M.2 NVMe เป็น E1.S — ทางเลือกใหม่สำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ที่ต้องการความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพ”

    ICY DOCK เปิดตัวผลิตภัณฑ์แนวคิดใหม่ชื่อว่า CP154 ซึ่งเป็นอะแดปเตอร์แบบ full-metal ที่สามารถแปลง SSD แบบ M.2 NVMe (ขนาด 2230/2242/2260/2280) ให้กลายเป็น SSD แบบ E1.S ขนาด 9.5 มม. ได้อย่างสมบูรณ์ โดยรองรับมาตรฐาน SFF-TA-1006 และ SFF-TA-1002 อย่างเต็มรูปแบบ

    จุดเด่นของ CP154 คือการออกแบบให้สามารถใช้งานร่วมกับระบบเซิร์ฟเวอร์ระดับองค์กรที่ใช้ถาด E1.S แบบ hot-swap ได้ทันที โดยไม่ต้องปรับแต่งเพิ่มเติม เหมาะสำหรับวิศวกรระบบ, ผู้ประกอบระบบภาคสนาม และทีม IT ที่ต้องการนำ SSD แบบ M.2 ที่มีอยู่แล้วมาใช้งานในโครงสร้าง E1.S ที่มีความเสถียรและประสิทธิภาพสูง

    นอกจากนี้ CP154 ยังมีการออกแบบภายในที่ใช้ bridge connector เพื่อลดแรงกดบนขอบคอนเนกเตอร์ของ M.2 ซึ่งช่วยยืดอายุการใช้งานของ SSD ได้มากขึ้น โดยเฉพาะในระบบที่มีการถอดเปลี่ยนบ่อย เช่น edge server หรือแพลตฟอร์มทดสอบ AI/ML

    โครงสร้างโลหะของอะแดปเตอร์ยังช่วยในการระบายความร้อนแบบ passive และป้องกันคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (EMI) ได้ดี ทำให้เหมาะกับการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่ต้องการความเสถียรสูง

    แม้จะเป็นอุปกรณ์ที่ดูเรียบง่าย แต่ CP154 ถือเป็นตัวช่วยสำคัญในการเชื่อมต่อระหว่างโลกของ consumer-grade SSD กับระบบ enterprise-grade ที่ต้องการความยืดหยุ่นในการจัดการและทดสอบระบบ

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    ICY DOCK เปิดตัวอะแดปเตอร์ CP154 สำหรับแปลง M.2 NVMe SSD เป็น E1.S SSD
    รองรับขนาด M.2 2230/2242/2260/2280 และความสูง 9.5 มม. ตามมาตรฐาน SFF-TA-1006
    ใช้ bridge connector ภายในเพื่อลดแรงกดบนขอบคอนเนกเตอร์ของ M.2
    รองรับ PCIe Gen 3/4/5 และความเร็วสูงสุดถึง 128 Gbps
    โครงสร้างโลหะช่วยระบายความร้อนและป้องกัน EMI
    เหมาะสำหรับดาต้าเซ็นเตอร์, edge systems และแพลตฟอร์มทดสอบ AI/ML
    ใช้งานร่วมกับถาด E1.S แบบ hot-swap และโครงสร้างเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้มาตรฐาน SFF
    ช่วยให้สามารถนำ SSD แบบ M.2 มาใช้ในระบบ E1.S ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
    เพิ่มความยืดหยุ่นในการจัดการและทดสอบระบบสำหรับ OEM และวิศวกรระบบ

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    E1.S เป็นฟอร์มแฟกเตอร์ใหม่ที่ Intel และกลุ่ม OCP ผลักดันให้ใช้แทน U.2/U.3 ในดาต้าเซ็นเตอร์
    SSD แบบ M.2 มีราคาถูกและหาง่ายกว่ารุ่น enterprise-grade ทำให้เหมาะกับการทดสอบหรือใช้งานชั่วคราว
    Bridge connector ช่วยลดการสึกหรอของขอบคอนเนกเตอร์ ซึ่งเป็นจุดอ่อนของ M.2 ในการใช้งานระยะยาว
    Passive cooling มีข้อดีคือไม่มีเสียงรบกวนและไม่มีชิ้นส่วนที่สึกหรอ
    อะแดปเตอร์แบบนี้ช่วยให้สามารถใช้ SSD ที่มีอยู่แล้วในระบบใหม่ได้โดยไม่ต้องซื้อใหม่ทั้งหมด

    https://www.techpowerup.com/341352/icy-dock-unveils-cp154-concept-adapter-for-m-2-nvme-to-e1-s-ssd-conversion
    🔧 “ICY DOCK เปิดตัว CP154 อะแดปเตอร์แปลง M.2 NVMe เป็น E1.S — ทางเลือกใหม่สำหรับดาต้าเซ็นเตอร์ที่ต้องการความยืดหยุ่นและประสิทธิภาพ” ICY DOCK เปิดตัวผลิตภัณฑ์แนวคิดใหม่ชื่อว่า CP154 ซึ่งเป็นอะแดปเตอร์แบบ full-metal ที่สามารถแปลง SSD แบบ M.2 NVMe (ขนาด 2230/2242/2260/2280) ให้กลายเป็น SSD แบบ E1.S ขนาด 9.5 มม. ได้อย่างสมบูรณ์ โดยรองรับมาตรฐาน SFF-TA-1006 และ SFF-TA-1002 อย่างเต็มรูปแบบ จุดเด่นของ CP154 คือการออกแบบให้สามารถใช้งานร่วมกับระบบเซิร์ฟเวอร์ระดับองค์กรที่ใช้ถาด E1.S แบบ hot-swap ได้ทันที โดยไม่ต้องปรับแต่งเพิ่มเติม เหมาะสำหรับวิศวกรระบบ, ผู้ประกอบระบบภาคสนาม และทีม IT ที่ต้องการนำ SSD แบบ M.2 ที่มีอยู่แล้วมาใช้งานในโครงสร้าง E1.S ที่มีความเสถียรและประสิทธิภาพสูง นอกจากนี้ CP154 ยังมีการออกแบบภายในที่ใช้ bridge connector เพื่อลดแรงกดบนขอบคอนเนกเตอร์ของ M.2 ซึ่งช่วยยืดอายุการใช้งานของ SSD ได้มากขึ้น โดยเฉพาะในระบบที่มีการถอดเปลี่ยนบ่อย เช่น edge server หรือแพลตฟอร์มทดสอบ AI/ML โครงสร้างโลหะของอะแดปเตอร์ยังช่วยในการระบายความร้อนแบบ passive และป้องกันคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (EMI) ได้ดี ทำให้เหมาะกับการใช้งานในสภาพแวดล้อมที่ต้องการความเสถียรสูง แม้จะเป็นอุปกรณ์ที่ดูเรียบง่าย แต่ CP154 ถือเป็นตัวช่วยสำคัญในการเชื่อมต่อระหว่างโลกของ consumer-grade SSD กับระบบ enterprise-grade ที่ต้องการความยืดหยุ่นในการจัดการและทดสอบระบบ ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ ICY DOCK เปิดตัวอะแดปเตอร์ CP154 สำหรับแปลง M.2 NVMe SSD เป็น E1.S SSD ➡️ รองรับขนาด M.2 2230/2242/2260/2280 และความสูง 9.5 มม. ตามมาตรฐาน SFF-TA-1006 ➡️ ใช้ bridge connector ภายในเพื่อลดแรงกดบนขอบคอนเนกเตอร์ของ M.2 ➡️ รองรับ PCIe Gen 3/4/5 และความเร็วสูงสุดถึง 128 Gbps ➡️ โครงสร้างโลหะช่วยระบายความร้อนและป้องกัน EMI ➡️ เหมาะสำหรับดาต้าเซ็นเตอร์, edge systems และแพลตฟอร์มทดสอบ AI/ML ➡️ ใช้งานร่วมกับถาด E1.S แบบ hot-swap และโครงสร้างเซิร์ฟเวอร์ที่ใช้มาตรฐาน SFF ➡️ ช่วยให้สามารถนำ SSD แบบ M.2 มาใช้ในระบบ E1.S ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ➡️ เพิ่มความยืดหยุ่นในการจัดการและทดสอบระบบสำหรับ OEM และวิศวกรระบบ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ E1.S เป็นฟอร์มแฟกเตอร์ใหม่ที่ Intel และกลุ่ม OCP ผลักดันให้ใช้แทน U.2/U.3 ในดาต้าเซ็นเตอร์ ➡️ SSD แบบ M.2 มีราคาถูกและหาง่ายกว่ารุ่น enterprise-grade ทำให้เหมาะกับการทดสอบหรือใช้งานชั่วคราว ➡️ Bridge connector ช่วยลดการสึกหรอของขอบคอนเนกเตอร์ ซึ่งเป็นจุดอ่อนของ M.2 ในการใช้งานระยะยาว ➡️ Passive cooling มีข้อดีคือไม่มีเสียงรบกวนและไม่มีชิ้นส่วนที่สึกหรอ ➡️ อะแดปเตอร์แบบนี้ช่วยให้สามารถใช้ SSD ที่มีอยู่แล้วในระบบใหม่ได้โดยไม่ต้องซื้อใหม่ทั้งหมด https://www.techpowerup.com/341352/icy-dock-unveils-cp154-concept-adapter-for-m-2-nvme-to-e1-s-ssd-conversion
    WWW.TECHPOWERUP.COM
    Icy Dock Unveils CP154 Concept Adapter for M.2 NVMe to E1.S SSD Conversion
    The ICY DOCK CP154 is a full-metal converter that transforms a standard M.2 NVMe SSD (2230/2242/2260/2280) into a 9.5 mm E1.S SSD form factor with full SFF-TA-1006 interface compliance. Designed to bridge the gap between affordable M.2 storage and enterprise-grade E1.S systems, CP154 enables system ...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 180 มุมมอง 0 รีวิว
  • “C-200 มีดเชฟอัลตราโซนิกตัวแรกของโลก — ตัดง่ายขึ้น 50% ด้วยแรงสั่น 40,000 ครั้งต่อวินาที”

    Seattle Ultrasonics บริษัทสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีครัวจากสหรัฐฯ ได้เปิดตัว C-200 มีดเชฟอัลตราโซนิกตัวแรกของโลกสำหรับผู้ใช้ทั่วไป โดยใช้เทคโนโลยีแรงสั่นสะเทือนระดับอุตสาหกรรมที่ถูกย่อส่วนให้พอดีกับด้ามมีด เมื่อเปิดใช้งาน ใบมีดจะสั่นด้วยความถี่กว่า 40,000 ครั้งต่อวินาที ทำให้ลดแรงต้านจากอาหารลงได้ถึง 50% และลดการติดของอาหารบนใบมีดอย่างเห็นได้ชัด

    ตัวใบมีดผลิตจากเหล็กญี่ปุ่นแบบสามชั้น (san mai) ชนิด AUS-10 ที่ผ่านการชุบแข็งถึงระดับ 60HRC ทำให้คมและทนทานแม้ไม่ได้เปิดโหมดอัลตราโซนิก โดยออกแบบให้เหมาะกับทั้งผู้ใช้ถนัดซ้ายและขวา ใช้ได้กับเทคนิคการหั่นทั่วไป เช่น การสับกระเทียม การหั่นแบบโยก หรือการตัดวัตถุดิบที่เปียกและลื่นอย่างมะเขือเทศหรือปลา

    เมื่อเปิดใช้งาน ใบมีดสามารถเปลี่ยนของเหลวให้กลายเป็นละอองฝอยได้ เช่น น้ำมะนาวที่ปลายมีดจะถูกแปรสภาพเป็นละอองละเอียดโดยไม่ผ่านความร้อน ซึ่งสามารถใช้ตกแต่งอาหารหรือเครื่องดื่มได้อย่างน่าสนใจ

    C-200 มาพร้อมระบบชาร์จ USB-C และรองรับการชาร์จแบบไร้สายผ่านแท่นไม้สักที่ออกแบบมาให้วางบนเคาน์เตอร์หรือแขวนผนังได้โดยไม่ต้องเจาะหรือเดินสายไฟ มีดรุ่นนี้กันน้ำระดับ IP65 สามารถล้างด้วยมือได้เหมือนมีดทั่วไป และเปิดให้พรีออเดอร์แล้วในราคา $399 โดยจะเริ่มจัดส่งในเดือนมกราคม 2026

    ข้อมูลสำคัญจากข่าว
    C-200 เป็นมีดเชฟอัลตราโซนิกตัวแรกของโลกสำหรับผู้ใช้ทั่วไป
    ใบมีดสั่นด้วยความถี่ 40,000 ครั้งต่อวินาที ลดแรงต้านลง 50%
    ผลิตจากเหล็กญี่ปุ่น AUS-10 แบบ san mai แข็งระดับ 60HRC
    ออกแบบให้ใช้ได้ทั้งมือซ้ายและขวา รองรับเทคนิคการหั่นทั่วไป

    ฟีเจอร์เสริมและการใช้งาน
    สามารถเปลี่ยนของเหลวเป็นละอองฝอยโดยไม่ใช้ความร้อน
    กันน้ำระดับ IP65 ล้างมือได้เหมือนมีดทั่วไป
    ชาร์จผ่าน USB-C หรือแท่นชาร์จไร้สายแบบไม้สัก
    ราคาเปิดตัว $399 พร้อมจัดส่งเดือนมกราคม 2026

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    เทคโนโลยีอัลตราโซนิกเคยใช้ในอุตสาหกรรมตัดวัสดุ เช่น พลาสติกและโลหะ
    Scott Heimendinger ผู้ก่อตั้งบริษัท เคยเป็นหัวหน้าฝ่ายเทคโนโลยีอาหารของ Modernist Cuisine
    การสั่นระดับไมโครช่วยลดแรงเสียดทานและเพิ่มความแม่นยำในการตัด
    มีดอัลตราโซนิกอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงในครัวเรือนยุคใหม่

    https://seattleultrasonics.com/
    🔪 “C-200 มีดเชฟอัลตราโซนิกตัวแรกของโลก — ตัดง่ายขึ้น 50% ด้วยแรงสั่น 40,000 ครั้งต่อวินาที” Seattle Ultrasonics บริษัทสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีครัวจากสหรัฐฯ ได้เปิดตัว C-200 มีดเชฟอัลตราโซนิกตัวแรกของโลกสำหรับผู้ใช้ทั่วไป โดยใช้เทคโนโลยีแรงสั่นสะเทือนระดับอุตสาหกรรมที่ถูกย่อส่วนให้พอดีกับด้ามมีด เมื่อเปิดใช้งาน ใบมีดจะสั่นด้วยความถี่กว่า 40,000 ครั้งต่อวินาที ทำให้ลดแรงต้านจากอาหารลงได้ถึง 50% และลดการติดของอาหารบนใบมีดอย่างเห็นได้ชัด ตัวใบมีดผลิตจากเหล็กญี่ปุ่นแบบสามชั้น (san mai) ชนิด AUS-10 ที่ผ่านการชุบแข็งถึงระดับ 60HRC ทำให้คมและทนทานแม้ไม่ได้เปิดโหมดอัลตราโซนิก โดยออกแบบให้เหมาะกับทั้งผู้ใช้ถนัดซ้ายและขวา ใช้ได้กับเทคนิคการหั่นทั่วไป เช่น การสับกระเทียม การหั่นแบบโยก หรือการตัดวัตถุดิบที่เปียกและลื่นอย่างมะเขือเทศหรือปลา เมื่อเปิดใช้งาน ใบมีดสามารถเปลี่ยนของเหลวให้กลายเป็นละอองฝอยได้ เช่น น้ำมะนาวที่ปลายมีดจะถูกแปรสภาพเป็นละอองละเอียดโดยไม่ผ่านความร้อน ซึ่งสามารถใช้ตกแต่งอาหารหรือเครื่องดื่มได้อย่างน่าสนใจ C-200 มาพร้อมระบบชาร์จ USB-C และรองรับการชาร์จแบบไร้สายผ่านแท่นไม้สักที่ออกแบบมาให้วางบนเคาน์เตอร์หรือแขวนผนังได้โดยไม่ต้องเจาะหรือเดินสายไฟ มีดรุ่นนี้กันน้ำระดับ IP65 สามารถล้างด้วยมือได้เหมือนมีดทั่วไป และเปิดให้พรีออเดอร์แล้วในราคา $399 โดยจะเริ่มจัดส่งในเดือนมกราคม 2026 ✅ ข้อมูลสำคัญจากข่าว ➡️ C-200 เป็นมีดเชฟอัลตราโซนิกตัวแรกของโลกสำหรับผู้ใช้ทั่วไป ➡️ ใบมีดสั่นด้วยความถี่ 40,000 ครั้งต่อวินาที ลดแรงต้านลง 50% ➡️ ผลิตจากเหล็กญี่ปุ่น AUS-10 แบบ san mai แข็งระดับ 60HRC ➡️ ออกแบบให้ใช้ได้ทั้งมือซ้ายและขวา รองรับเทคนิคการหั่นทั่วไป ✅ ฟีเจอร์เสริมและการใช้งาน ➡️ สามารถเปลี่ยนของเหลวเป็นละอองฝอยโดยไม่ใช้ความร้อน ➡️ กันน้ำระดับ IP65 ล้างมือได้เหมือนมีดทั่วไป ➡️ ชาร์จผ่าน USB-C หรือแท่นชาร์จไร้สายแบบไม้สัก ➡️ ราคาเปิดตัว $399 พร้อมจัดส่งเดือนมกราคม 2026 ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ เทคโนโลยีอัลตราโซนิกเคยใช้ในอุตสาหกรรมตัดวัสดุ เช่น พลาสติกและโลหะ ➡️ Scott Heimendinger ผู้ก่อตั้งบริษัท เคยเป็นหัวหน้าฝ่ายเทคโนโลยีอาหารของ Modernist Cuisine ➡️ การสั่นระดับไมโครช่วยลดแรงเสียดทานและเพิ่มความแม่นยำในการตัด ➡️ มีดอัลตราโซนิกอาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงในครัวเรือนยุคใหม่ https://seattleultrasonics.com/
    SEATTLEULTRASONICS.COM
    Seattle Ultrasonics
    Discover Seattle Ultrasonics, a startup founded by culinary technologist Scott Heimendinger. We're on a mission to make happy home cooks, and we're starting by building a better knife.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 239 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจาก James Watt ถึง Porsche Turbo S: เมื่อหน่วยวัดพลังกลกลายเป็นเรื่องที่ต้องแปลก่อนเข้าใจ

    แรงม้า (horsepower) เป็นหน่วยวัดพลังงานที่ James Watt คิดค้นขึ้นในศตวรรษที่ 18 เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพของเครื่องจักรไอน้ำกับแรงของม้า โดยนิยามว่า 1 แรงม้าเท่ากับ 550 ฟุต-ปอนด์ต่อวินาที ซึ่งกลายเป็นมาตรฐานในสหรัฐฯ

    แต่ในยุโรปกลับใช้ระบบเมตริก โดยนิยาม “แรงม้าเมตริก” หรือ PS (Pferdestärke ในเยอรมัน) และ CV (Cavalli Vapore ในอิตาลี) ว่าเท่ากับ 735.5 วัตต์ ขณะที่แรงม้าแบบอเมริกันเท่ากับ 745.7 วัตต์ ทำให้แรงม้าเมตริกต่ำกว่าประมาณ 1.4% ดังนั้นรถที่มี 100 PS จะเท่ากับประมาณ 98.6 hp แบบอเมริกัน

    ความต่างนี้สร้างความสับสนให้กับผู้ซื้อรถข้ามประเทศ เช่น Bugatti Veyron ที่เปิดตัวด้วยแรงม้า 1,000 PS แต่ในสหรัฐฯ ต้องระบุว่า 986 hp หรือ McLaren 765LT ที่ชื่อรุ่นอิงจาก 765 PS แต่ในอเมริกามีแรงม้าเพียง 755 hp

    เพื่อแก้ปัญหานี้ ผู้ผลิตรถยนต์เริ่มระบุพลังงานในหน่วยกิโลวัตต์ (kW) ซึ่งเป็นมาตรฐานสากล โดย 1 kW เท่ากับ 1,000 วัตต์ หรือประมาณ 1.341 hp และ 1.36 PS เช่น Porsche 911 Turbo S ที่ระบุว่า 478 kW, 641 hp และ 650 PS—ทั้งหมดคือค่าพลังงานเดียวกันแต่ต่างหน่วย

    ในรถยนต์ไฟฟ้า หน่วย kW กลายเป็นมาตรฐานหลัก เช่นมอเตอร์ 100 kW จะให้แรงม้า 134 hp หรือ 136 PS ซึ่งช่วยให้เปรียบเทียบได้ง่ายขึ้นระหว่างตลาดต่างประเทศ

    อย่างไรก็ตาม แม้แรงม้าจะเป็นตัวเลขที่คนชอบพูดถึง แต่ประสิทธิภาพของรถยังขึ้นอยู่กับแรงบิด (torque), น้ำหนัก, อัตราทดเกียร์ และแอโรไดนามิก ซึ่งมีผลต่อการเร่งและการขับขี่มากกว่าแรงม้าเพียงอย่างเดียว

    ความแตกต่างของหน่วยแรงม้า
    แรงม้าแบบอเมริกัน (hp) = 745.7 วัตต์
    แรงม้าเมตริก (PS/CV) = 735.5 วัตต์
    PS ต่ำกว่า hp ประมาณ 1.4%

    ตัวอย่างรถที่ใช้หน่วยต่างกัน
    Bugatti Veyron: 1,000 PS = 986 hp
    McLaren 765LT: 765 PS = 755 hp
    Porsche 911 Turbo S: 478 kW = 641 hp = 650 PS

    การใช้หน่วยกิโลวัตต์ (kW)
    1 kW = 1.341 hp และ 1.36 PS
    รถไฟฟ้าใช้ kW เป็นมาตรฐาน เช่น 100 kW = 134 hp
    ช่วยให้เปรียบเทียบข้ามประเทศได้ง่ายขึ้น

    ปัจจัยอื่นที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพรถ
    แรงบิด (torque) มีผลต่อการเร่งมากกว่าแรงม้า
    น้ำหนักรถและอัตราทดเกียร์มีผลต่อความเร็ว
    แอโรไดนามิกช่วยลดแรงต้านและเพิ่มประสิทธิภาพ

    https://www.slashgear.com/1958204/confusing-difference-between-american-european-horsepower/
    🎙️ เรื่องเล่าจาก James Watt ถึง Porsche Turbo S: เมื่อหน่วยวัดพลังกลกลายเป็นเรื่องที่ต้องแปลก่อนเข้าใจ แรงม้า (horsepower) เป็นหน่วยวัดพลังงานที่ James Watt คิดค้นขึ้นในศตวรรษที่ 18 เพื่อเปรียบเทียบประสิทธิภาพของเครื่องจักรไอน้ำกับแรงของม้า โดยนิยามว่า 1 แรงม้าเท่ากับ 550 ฟุต-ปอนด์ต่อวินาที ซึ่งกลายเป็นมาตรฐานในสหรัฐฯ แต่ในยุโรปกลับใช้ระบบเมตริก โดยนิยาม “แรงม้าเมตริก” หรือ PS (Pferdestärke ในเยอรมัน) และ CV (Cavalli Vapore ในอิตาลี) ว่าเท่ากับ 735.5 วัตต์ ขณะที่แรงม้าแบบอเมริกันเท่ากับ 745.7 วัตต์ ทำให้แรงม้าเมตริกต่ำกว่าประมาณ 1.4% ดังนั้นรถที่มี 100 PS จะเท่ากับประมาณ 98.6 hp แบบอเมริกัน ความต่างนี้สร้างความสับสนให้กับผู้ซื้อรถข้ามประเทศ เช่น Bugatti Veyron ที่เปิดตัวด้วยแรงม้า 1,000 PS แต่ในสหรัฐฯ ต้องระบุว่า 986 hp หรือ McLaren 765LT ที่ชื่อรุ่นอิงจาก 765 PS แต่ในอเมริกามีแรงม้าเพียง 755 hp เพื่อแก้ปัญหานี้ ผู้ผลิตรถยนต์เริ่มระบุพลังงานในหน่วยกิโลวัตต์ (kW) ซึ่งเป็นมาตรฐานสากล โดย 1 kW เท่ากับ 1,000 วัตต์ หรือประมาณ 1.341 hp และ 1.36 PS เช่น Porsche 911 Turbo S ที่ระบุว่า 478 kW, 641 hp และ 650 PS—ทั้งหมดคือค่าพลังงานเดียวกันแต่ต่างหน่วย ในรถยนต์ไฟฟ้า หน่วย kW กลายเป็นมาตรฐานหลัก เช่นมอเตอร์ 100 kW จะให้แรงม้า 134 hp หรือ 136 PS ซึ่งช่วยให้เปรียบเทียบได้ง่ายขึ้นระหว่างตลาดต่างประเทศ อย่างไรก็ตาม แม้แรงม้าจะเป็นตัวเลขที่คนชอบพูดถึง แต่ประสิทธิภาพของรถยังขึ้นอยู่กับแรงบิด (torque), น้ำหนัก, อัตราทดเกียร์ และแอโรไดนามิก ซึ่งมีผลต่อการเร่งและการขับขี่มากกว่าแรงม้าเพียงอย่างเดียว ✅ ความแตกต่างของหน่วยแรงม้า ➡️ แรงม้าแบบอเมริกัน (hp) = 745.7 วัตต์ ➡️ แรงม้าเมตริก (PS/CV) = 735.5 วัตต์ ➡️ PS ต่ำกว่า hp ประมาณ 1.4% ✅ ตัวอย่างรถที่ใช้หน่วยต่างกัน ➡️ Bugatti Veyron: 1,000 PS = 986 hp ➡️ McLaren 765LT: 765 PS = 755 hp ➡️ Porsche 911 Turbo S: 478 kW = 641 hp = 650 PS ✅ การใช้หน่วยกิโลวัตต์ (kW) ➡️ 1 kW = 1.341 hp และ 1.36 PS ➡️ รถไฟฟ้าใช้ kW เป็นมาตรฐาน เช่น 100 kW = 134 hp ➡️ ช่วยให้เปรียบเทียบข้ามประเทศได้ง่ายขึ้น ✅ ปัจจัยอื่นที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพรถ ➡️ แรงบิด (torque) มีผลต่อการเร่งมากกว่าแรงม้า ➡️ น้ำหนักรถและอัตราทดเกียร์มีผลต่อความเร็ว ➡️ แอโรไดนามิกช่วยลดแรงต้านและเพิ่มประสิทธิภาพ https://www.slashgear.com/1958204/confusing-difference-between-american-european-horsepower/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    The Confusing Difference Between American And European Horsepower - SlashGear
    Thanks to differences to the metric and imperial system of measurements, horsepower doesn't mean the exact same thing in all parts of the world.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 304 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากเบื้องหลังการปิดข่าว: เมื่อการไม่เปิดเผยเหตุการณ์ไซเบอร์กลายเป็นกลยุทธ์องค์กร

    จากรายงานล่าสุดของ Bitdefender และการสัมภาษณ์โดย CSO Online พบว่า 69% ของ CISO ถูกขอให้ปิดข่าวการถูกโจมตีทางไซเบอร์โดยผู้บริหารขององค์กร ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 42% เมื่อสองปีก่อน สาเหตุหลักคือความกลัวผลกระทบต่อชื่อเสียงและราคาหุ้น มากกว่าการปฏิบัติตามกฎหมายหรือมาตรฐานความปลอดภัย

    รูปแบบการโจมตีที่เปลี่ยนไปก็มีส่วน—จาก ransomware ที่เคยบังคับให้เปิดเผยข้อมูล สู่การขโมยข้อมูลแบบเงียบ ๆ โดยไม่กระทบผู้ใช้ปลายทาง เช่น กลุ่ม RedCurl ที่เจาะ hypervisor โดยไม่แตะระบบที่ผู้ใช้เห็น ทำให้การเจรจาเป็นไปแบบลับ ๆ และลดแรงกดดันในการเปิดเผย

    CISO หลายคนเล่าว่าถูกกดดันให้ “ไม่แจ้งคณะกรรมการตรวจสอบ” หรือ “แต่งเรื่องให้ดูดีในเอกสาร SEC” แม้จะมีเหตุการณ์อย่างการขโมยข้อมูล 500GB, การใช้สิทธิ์ผู้ดูแลระบบในทางที่ผิด, หรือการโอนเงินผิดกว่า €50 ล้านผ่านช่องโหว่ใน SAP

    แม้จะมีข้อบังคับจาก GDPR, DORA, NIS2 และกฎหมายตลาดทุนที่กำหนดให้ต้องเปิดเผยเหตุการณ์ไซเบอร์อย่างทันท่วงที แต่ CISO กลับถูกบีบให้หลีกเลี่ยงการรายงาน—ทั้งจากแรงกดดันภายในและความกลัวผลกระทบต่ออาชีพของตนเอง

    Caroline Morgan จาก CM Law เตือนว่า “การปิดข่าวไม่ใช่การหลีกเลี่ยงปัญหา แต่เป็นการเพิ่มความเสียหาย” เพราะหากถูกตรวจพบ องค์กรอาจถูกปรับหนัก เสียความเชื่อมั่น และผู้บริหารอาจถูกฟ้องหรือดำเนินคดีได้

    สถิติและแนวโน้มการปิดข่าวไซเบอร์
    69% ของ CISO ถูกขอให้ปิดข่าวการโจมตี เพิ่มจาก 42% ในสองปี
    การโจมตีแบบขโมยข้อมูลเงียบ ๆ ทำให้เหตุการณ์ดูไม่รุนแรง
    การเจรจาแบบลับ ๆ ลดแรงกดดันในการเปิดเผย

    ตัวอย่างเหตุการณ์ที่ถูกปิดข่าว
    ขโมยข้อมูลวิศวกรรม 500GB โดย insider ขายบน dark web
    ผู้ดูแลระบบใช้สิทธิ์ข่มขู่และเข้าถึงบัญชีผู้บริหาร
    โอนเงินผิดกว่า €50 ล้าน ผ่านช่องโหว่ใน SAP
    บัญชี super admin ถูก CrowdStrike แจ้งเตือน แต่ไม่มีการแก้ไข
    CISO ถูกติดสินบนด้วยทริปหรูเพื่อแลกกับสัญญา

    แรงกดดันจากผู้บริหารและโครงสร้างองค์กร
    CIO และ CFO เป็นผู้ตัดสินใจว่าจะเปิดเผยหรือไม่ โดยไม่ปรึกษา CISO
    เหตุการณ์มักถูกเลื่อนการแจ้งก่อนประชุมผู้ถือหุ้นหรือรายงานผลประกอบการ
    CISO ที่ไม่ยอมปิดข่าวมักถูกลดบทบาทหรือให้ออกจากงาน

    ข้อกฎหมายและคำเตือนจากผู้เชี่ยวชาญ
    GDPR, DORA, NIS2 และกฎหมายตลาดทุนกำหนดให้ต้องเปิดเผยทันที
    การปิดข่าวอาจนำไปสู่การปรับ, สูญเสียความเชื่อมั่น, และฟ้องร้อง
    อดีต CISO ของ Uber ถูกตัดสินว่ามีความผิดจากการปิดข่าวการโจมตีในปี 2016

    https://www.csoonline.com/article/4050232/pressure-on-cisos-to-stay-silent-about-security-incidents-growing.html
    🎙️ เรื่องเล่าจากเบื้องหลังการปิดข่าว: เมื่อการไม่เปิดเผยเหตุการณ์ไซเบอร์กลายเป็นกลยุทธ์องค์กร จากรายงานล่าสุดของ Bitdefender และการสัมภาษณ์โดย CSO Online พบว่า 69% ของ CISO ถูกขอให้ปิดข่าวการถูกโจมตีทางไซเบอร์โดยผู้บริหารขององค์กร ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 42% เมื่อสองปีก่อน สาเหตุหลักคือความกลัวผลกระทบต่อชื่อเสียงและราคาหุ้น มากกว่าการปฏิบัติตามกฎหมายหรือมาตรฐานความปลอดภัย รูปแบบการโจมตีที่เปลี่ยนไปก็มีส่วน—จาก ransomware ที่เคยบังคับให้เปิดเผยข้อมูล สู่การขโมยข้อมูลแบบเงียบ ๆ โดยไม่กระทบผู้ใช้ปลายทาง เช่น กลุ่ม RedCurl ที่เจาะ hypervisor โดยไม่แตะระบบที่ผู้ใช้เห็น ทำให้การเจรจาเป็นไปแบบลับ ๆ และลดแรงกดดันในการเปิดเผย CISO หลายคนเล่าว่าถูกกดดันให้ “ไม่แจ้งคณะกรรมการตรวจสอบ” หรือ “แต่งเรื่องให้ดูดีในเอกสาร SEC” แม้จะมีเหตุการณ์อย่างการขโมยข้อมูล 500GB, การใช้สิทธิ์ผู้ดูแลระบบในทางที่ผิด, หรือการโอนเงินผิดกว่า €50 ล้านผ่านช่องโหว่ใน SAP แม้จะมีข้อบังคับจาก GDPR, DORA, NIS2 และกฎหมายตลาดทุนที่กำหนดให้ต้องเปิดเผยเหตุการณ์ไซเบอร์อย่างทันท่วงที แต่ CISO กลับถูกบีบให้หลีกเลี่ยงการรายงาน—ทั้งจากแรงกดดันภายในและความกลัวผลกระทบต่ออาชีพของตนเอง Caroline Morgan จาก CM Law เตือนว่า “การปิดข่าวไม่ใช่การหลีกเลี่ยงปัญหา แต่เป็นการเพิ่มความเสียหาย” เพราะหากถูกตรวจพบ องค์กรอาจถูกปรับหนัก เสียความเชื่อมั่น และผู้บริหารอาจถูกฟ้องหรือดำเนินคดีได้ ✅ สถิติและแนวโน้มการปิดข่าวไซเบอร์ ➡️ 69% ของ CISO ถูกขอให้ปิดข่าวการโจมตี เพิ่มจาก 42% ในสองปี ➡️ การโจมตีแบบขโมยข้อมูลเงียบ ๆ ทำให้เหตุการณ์ดูไม่รุนแรง ➡️ การเจรจาแบบลับ ๆ ลดแรงกดดันในการเปิดเผย ✅ ตัวอย่างเหตุการณ์ที่ถูกปิดข่าว ➡️ ขโมยข้อมูลวิศวกรรม 500GB โดย insider ขายบน dark web ➡️ ผู้ดูแลระบบใช้สิทธิ์ข่มขู่และเข้าถึงบัญชีผู้บริหาร ➡️ โอนเงินผิดกว่า €50 ล้าน ผ่านช่องโหว่ใน SAP ➡️ บัญชี super admin ถูก CrowdStrike แจ้งเตือน แต่ไม่มีการแก้ไข ➡️ CISO ถูกติดสินบนด้วยทริปหรูเพื่อแลกกับสัญญา ✅ แรงกดดันจากผู้บริหารและโครงสร้างองค์กร ➡️ CIO และ CFO เป็นผู้ตัดสินใจว่าจะเปิดเผยหรือไม่ โดยไม่ปรึกษา CISO ➡️ เหตุการณ์มักถูกเลื่อนการแจ้งก่อนประชุมผู้ถือหุ้นหรือรายงานผลประกอบการ ➡️ CISO ที่ไม่ยอมปิดข่าวมักถูกลดบทบาทหรือให้ออกจากงาน ✅ ข้อกฎหมายและคำเตือนจากผู้เชี่ยวชาญ ➡️ GDPR, DORA, NIS2 และกฎหมายตลาดทุนกำหนดให้ต้องเปิดเผยทันที ➡️ การปิดข่าวอาจนำไปสู่การปรับ, สูญเสียความเชื่อมั่น, และฟ้องร้อง ➡️ อดีต CISO ของ Uber ถูกตัดสินว่ามีความผิดจากการปิดข่าวการโจมตีในปี 2016 https://www.csoonline.com/article/4050232/pressure-on-cisos-to-stay-silent-about-security-incidents-growing.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Pressure on CISOs to stay silent about security incidents growing
    A recent survey found that 69% of CISOs have been told to keep quiet about breaches by their employers, up from 42% just two years ago.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 376 มุมมอง 0 รีวิว
  • เรื่องเล่าจากแป้นพิมพ์: เมื่อ Return ไม่ได้แค่ “ขึ้นบรรทัดใหม่” แต่เป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนยุค

    ในจินตนาการของคนทั่วไป การเปลี่ยนจากเครื่องพิมพ์ดีดไปสู่คอมพิวเตอร์ดูเหมือนจะเรียบง่าย—แค่เอาจอและ CPU มาต่อกับแป้นพิมพ์ก็จบ แต่ความจริงนั้นซับซ้อนกว่ามาก และไม่มีปุ่มไหนสะท้อนการเปลี่ยนผ่านนี้ได้ดีเท่ากับ “Return”

    เริ่มจากเครื่องพิมพ์ดีดในยุค 1870s ที่ไม่มีแม้แต่ปุ่ม 0 หรือ 1 เพราะถูกตัดออกเพื่อลดต้นทุน ผู้ใช้ต้องพิมพ์ O แทน 0 และ l แทน 1 หรือแม้แต่ใช้ดินสอเติมสัญลักษณ์ที่ขาดหายไป การพิมพ์ซ้อนทับเพื่อสร้างสัญลักษณ์ใหม่กลายเป็นศิลปะที่เรียกว่า “concrete poetry”

    คันโยก “carriage return” คือกลไกที่พากระดาษขึ้นบรรทัดใหม่และเลื่อนหัวพิมพ์กลับไปทางซ้าย แต่เมื่อเครื่องพิมพ์ดีดไฟฟ้าเข้ามาในยุค 1940s–1950s คันโยกนี้ก็กลายเป็นปุ่ม “Return” ที่กดง่ายขึ้นถึง 425 เท่า

    จากนั้น teletypes ก็เข้ามาแทนที่ Morse code โดยใช้แป้นพิมพ์ QWERTY ส่งข้อความผ่านสายไฟ แต่การเลื่อนหัวพิมพ์กลับไปทางซ้าย (Carriage Return) ใช้เวลานานกว่าการขึ้นบรรทัดใหม่ (Line Feed) จึงต้องแยกเป็นสองรหัส—CR และ LF—ซึ่งกลายเป็นปัญหาที่นักพัฒนายังเจอในทุกวันนี้

    เมื่อ word processor เข้ามาในยุค 1970s–1980s การพิมพ์กลายเป็นข้อมูลที่แก้ไขได้ การขึ้นบรรทัดใหม่จึงไม่ใช่เรื่องของกลไกอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องของ “text reflow” ที่ต้องปรับอัตโนมัติเมื่อมีการแก้ไขข้อความ Return จึงกลายเป็นปุ่มที่ใช้เฉพาะการขึ้นย่อหน้า ส่วนการขึ้นบรรทัดใหม่ต้องใช้ soft return, hard return หรือแม้แต่ modifier key

    เมื่อคอมพิวเตอร์เริ่มมีหน้าจอและฟอร์มให้กรอกข้อมูล ปุ่ม Return ก็ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น Enter เพื่อสื่อถึงการ “ส่งข้อมูล” ไม่ใช่แค่ “ขึ้นบรรทัดใหม่” และนั่นคือจุดเริ่มต้นของความสับสนที่ยังอยู่จนถึงทุกวันนี้

    จุดกำเนิดของ Return บนเครื่องพิมพ์ดีด
    เริ่มจากคันโยกที่เลื่อนหัวพิมพ์กลับไปทางซ้ายและขึ้นบรรทัดใหม่
    กลายเป็นปุ่ม “Return” เมื่อเครื่องพิมพ์ดีดไฟฟ้าเข้ามา
    ลดแรงที่ต้องใช้ในการพิมพ์ลงอย่างมหาศาล

    การแยก CR และ LF บน teletypes
    Carriage Return (CR) เลื่อนหัวพิมพ์กลับไปทางซ้าย
    Line Feed (LF) ขึ้นบรรทัดใหม่
    ถูกแยกเป็นสองรหัสเพื่อให้ระบบทันกับความเร็วในการส่งข้อมูล

    การเปลี่ยนแปลงในยุค word processor
    Return ใช้เฉพาะการขึ้นย่อหน้า
    การขึ้นบรรทัดใหม่ต้องใช้ soft return หรือ modifier key
    เกิดแนวคิด “text reflow” ที่ปรับข้อความอัตโนมัติ

    การเปลี่ยนชื่อเป็น Enter บนคอมพิวเตอร์
    ใช้ Enter เพื่อสื่อถึงการ “ส่งข้อมูล” หรือ “ยืนยันคำสั่ง”
    IBM และ Apple เลือกใช้ชื่อแตกต่างกัน: IBM ใช้ Enter, Apple ใช้ Return
    ปุ่มเดียวกันมีความหมายต่างกันตามบริบทของซอฟต์แวร์

    ความซับซ้อนของแป้นพิมพ์ยุคใหม่
    ปุ่มเดียวอาจมีหลายหน้าที่ เช่น Return, Enter, Execute, New Line
    Modifier key เช่น Shift, Ctrl, Alt เปลี่ยนพฤติกรรมของปุ่ม
    การออกแบบแป้นพิมพ์ต้องรองรับหลายบริบทและหลายภาษา

    https://aresluna.org/the-day-return-became-enter/
    🎙️ เรื่องเล่าจากแป้นพิมพ์: เมื่อ Return ไม่ได้แค่ “ขึ้นบรรทัดใหม่” แต่เป็นสัญลักษณ์ของการเปลี่ยนยุค ในจินตนาการของคนทั่วไป การเปลี่ยนจากเครื่องพิมพ์ดีดไปสู่คอมพิวเตอร์ดูเหมือนจะเรียบง่าย—แค่เอาจอและ CPU มาต่อกับแป้นพิมพ์ก็จบ แต่ความจริงนั้นซับซ้อนกว่ามาก และไม่มีปุ่มไหนสะท้อนการเปลี่ยนผ่านนี้ได้ดีเท่ากับ “Return” เริ่มจากเครื่องพิมพ์ดีดในยุค 1870s ที่ไม่มีแม้แต่ปุ่ม 0 หรือ 1 เพราะถูกตัดออกเพื่อลดต้นทุน ผู้ใช้ต้องพิมพ์ O แทน 0 และ l แทน 1 หรือแม้แต่ใช้ดินสอเติมสัญลักษณ์ที่ขาดหายไป การพิมพ์ซ้อนทับเพื่อสร้างสัญลักษณ์ใหม่กลายเป็นศิลปะที่เรียกว่า “concrete poetry” คันโยก “carriage return” คือกลไกที่พากระดาษขึ้นบรรทัดใหม่และเลื่อนหัวพิมพ์กลับไปทางซ้าย แต่เมื่อเครื่องพิมพ์ดีดไฟฟ้าเข้ามาในยุค 1940s–1950s คันโยกนี้ก็กลายเป็นปุ่ม “Return” ที่กดง่ายขึ้นถึง 425 เท่า จากนั้น teletypes ก็เข้ามาแทนที่ Morse code โดยใช้แป้นพิมพ์ QWERTY ส่งข้อความผ่านสายไฟ แต่การเลื่อนหัวพิมพ์กลับไปทางซ้าย (Carriage Return) ใช้เวลานานกว่าการขึ้นบรรทัดใหม่ (Line Feed) จึงต้องแยกเป็นสองรหัส—CR และ LF—ซึ่งกลายเป็นปัญหาที่นักพัฒนายังเจอในทุกวันนี้ เมื่อ word processor เข้ามาในยุค 1970s–1980s การพิมพ์กลายเป็นข้อมูลที่แก้ไขได้ การขึ้นบรรทัดใหม่จึงไม่ใช่เรื่องของกลไกอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องของ “text reflow” ที่ต้องปรับอัตโนมัติเมื่อมีการแก้ไขข้อความ Return จึงกลายเป็นปุ่มที่ใช้เฉพาะการขึ้นย่อหน้า ส่วนการขึ้นบรรทัดใหม่ต้องใช้ soft return, hard return หรือแม้แต่ modifier key เมื่อคอมพิวเตอร์เริ่มมีหน้าจอและฟอร์มให้กรอกข้อมูล ปุ่ม Return ก็ถูกเปลี่ยนชื่อเป็น Enter เพื่อสื่อถึงการ “ส่งข้อมูล” ไม่ใช่แค่ “ขึ้นบรรทัดใหม่” และนั่นคือจุดเริ่มต้นของความสับสนที่ยังอยู่จนถึงทุกวันนี้ ✅ จุดกำเนิดของ Return บนเครื่องพิมพ์ดีด ➡️ เริ่มจากคันโยกที่เลื่อนหัวพิมพ์กลับไปทางซ้ายและขึ้นบรรทัดใหม่ ➡️ กลายเป็นปุ่ม “Return” เมื่อเครื่องพิมพ์ดีดไฟฟ้าเข้ามา ➡️ ลดแรงที่ต้องใช้ในการพิมพ์ลงอย่างมหาศาล ✅ การแยก CR และ LF บน teletypes ➡️ Carriage Return (CR) เลื่อนหัวพิมพ์กลับไปทางซ้าย ➡️ Line Feed (LF) ขึ้นบรรทัดใหม่ ➡️ ถูกแยกเป็นสองรหัสเพื่อให้ระบบทันกับความเร็วในการส่งข้อมูล ✅ การเปลี่ยนแปลงในยุค word processor ➡️ Return ใช้เฉพาะการขึ้นย่อหน้า ➡️ การขึ้นบรรทัดใหม่ต้องใช้ soft return หรือ modifier key ➡️ เกิดแนวคิด “text reflow” ที่ปรับข้อความอัตโนมัติ ✅ การเปลี่ยนชื่อเป็น Enter บนคอมพิวเตอร์ ➡️ ใช้ Enter เพื่อสื่อถึงการ “ส่งข้อมูล” หรือ “ยืนยันคำสั่ง” ➡️ IBM และ Apple เลือกใช้ชื่อแตกต่างกัน: IBM ใช้ Enter, Apple ใช้ Return ➡️ ปุ่มเดียวกันมีความหมายต่างกันตามบริบทของซอฟต์แวร์ ✅ ความซับซ้อนของแป้นพิมพ์ยุคใหม่ ➡️ ปุ่มเดียวอาจมีหลายหน้าที่ เช่น Return, Enter, Execute, New Line ➡️ Modifier key เช่น Shift, Ctrl, Alt เปลี่ยนพฤติกรรมของปุ่ม ➡️ การออกแบบแป้นพิมพ์ต้องรองรับหลายบริบทและหลายภาษา https://aresluna.org/the-day-return-became-enter/
    ARESLUNA.ORG
    The day Return became Enter
    A deep dive into the convoluted and fascinating story of one of the most important keys on the keyboard
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 255 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลดแรงสุดๆ
    ทัวร์ยุโรปตะวันออก 8 วัน 6 คืน
    เหลือเพียง 57,777 บาท (จากปกติ 75,555.-)
    เดินทาง 18-25 ต.ค. 68 เหลือเพียง 6 ที่นั่งสุดท้ายเท่านั้น

    ไฮไลท์ทริป
    เวียนนา – พระราชวังฮอฟบวร์ก – มหาวิหารเซนต์สตีเฟน
    เชสกี้ ครุมลอฟ – ปราก – สะพานชาร์ลส์ – หอนาฬิกาดาราศาสตร์
    นูเรมเบิร์ก – ไฮเดลเบิร์ก – สะพาน Karl Theodor
    สตราสบูร์ก – จัตุรัสเกลแบร์ – กอลมาร์ เมืองในฝัน
    ซูริค – น้ำตกไรน์ – ถนนช้อปปิ้งบานโฮฟซตราสเซอ

    เดินทางโดย : AI-แอร์อินเดีย
    ที่นั่งมีจำนวนจำกัด จองก่อนใคร โอกาสสุดท้าย!

    #โปรไฟไหม้ #ทัวร์ยุโรป #ลดราคา #eTravelWay #ทัวร์หลุดจอง #เที่ยวคุ้ม #เที่ยวต่างประเทศ
    ✨ลดแรงสุดๆ ✨ ทัวร์ยุโรปตะวันออก 8 วัน 6 คืน 🌍 เหลือเพียง 💥57,777 บาท💥 (จากปกติ 75,555.-) เดินทาง 18-25 ต.ค. 68 ✈️ เหลือเพียง 6 ที่นั่งสุดท้ายเท่านั้น‼️ 📌 ไฮไลท์ทริป 🇦🇹 เวียนนา – พระราชวังฮอฟบวร์ก – มหาวิหารเซนต์สตีเฟน 🇨🇿 เชสกี้ ครุมลอฟ – ปราก – สะพานชาร์ลส์ – หอนาฬิกาดาราศาสตร์ 🇩🇪 นูเรมเบิร์ก – ไฮเดลเบิร์ก – สะพาน Karl Theodor 🇫🇷 สตราสบูร์ก – จัตุรัสเกลแบร์ – กอลมาร์ เมืองในฝัน 🇨🇭 ซูริค – น้ำตกไรน์ – ถนนช้อปปิ้งบานโฮฟซตราสเซอ เดินทางโดย : 🛫 AI-แอร์อินเดีย ที่นั่งมีจำนวนจำกัด จองก่อนใคร 👉 โอกาสสุดท้าย! #โปรไฟไหม้ #ทัวร์ยุโรป #ลดราคา #eTravelWay #ทัวร์หลุดจอง #เที่ยวคุ้ม #เที่ยวต่างประเทศ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 382 มุมมอง 0 รีวิว
  • เมื่อ BIOS กลายเป็นตัวจุดไฟ – เบื้องหลังปัญหา AM5 socket ไหม้

    ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ผู้ใช้ Ryzen 9000 โดยเฉพาะรุ่น 9800X3D เริ่มรายงานปัญหาซีพียู “ไหม้” หรือ “burnout” บนเมนบอร์ด AM5 ของ ASRock จนเกิดความเสียหายทางกายภาพกับตัว socket และทำให้ซีพียูใช้งานไม่ได้

    AMD ได้ออกมาให้ข้อมูลว่า สาเหตุหลักเกิดจาก BIOS ที่ไม่เป็นไปตามค่าที่ AMD แนะนำ โดยเฉพาะจาก ODM (Original Design Manufacturer) ที่ปรับแต่งค่า PBO (Precision Boost Overdrive), EDC, TDC และ “shadow voltage” เกินขอบเขตที่ปลอดภัย แม้จะเป็นการปรับเล็กน้อยก็สามารถทำให้เกิดความร้อนสะสมจน socket เสียหายได้

    ASRock ได้ออก BIOS เวอร์ชัน 3.25 และ 3.30 เพื่อแก้ไขปัญหา โดยลดค่าการจ่ายไฟและปรับการฝึกหน่วยความจำ DDR5 ให้เสถียรมากขึ้น ซึ่งช่วยลดจำนวนเคสที่เกิด burnout ได้อย่างชัดเจน แต่ยังมีผู้ใช้บางรายที่พบปัญหาอยู่

    นอกจากนี้ยังพบว่า การเปิดใช้ EXPO (โปรไฟล์โอเวอร์คล็อกแรมของ AMD) บนเมนบอร์ด ASRock อาจทำให้ PBO ทำงานรุนแรงขึ้น แม้ในระบบที่ใช้แรมแบบ stock ก็ยังพบปัญหา ทำให้หลายคนเลือกปิดฟีเจอร์นี้เพื่อความปลอดภัย

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    AMD ยืนยันปัญหา AM5 socket burnout เกิดจาก BIOS ที่ไม่เป็นไปตามค่าที่แนะนำ
    เมนบอร์ด ASRock เป็นผู้ได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยเฉพาะกับ Ryzen 9800X3D
    ปัญหาเกิดจากการปรับแต่งค่า PBO, EDC, TDC และ shadow voltage เกินขอบเขต
    ASRock ออก BIOS เวอร์ชัน 3.25 และ 3.30 เพื่อแก้ไขปัญหา
    BIOS ใหม่ลดแรงดันไฟฟ้าและปรับการฝึกหน่วยความจำให้เสถียรขึ้น
    AMD แนะนำให้ผู้ใช้ทุกคนอัปเดต BIOS เป็นเวอร์ชันล่าสุด
    ปัญหาลดลงอย่างชัดเจนหลัง BIOS ใหม่ แต่ยังไม่หมดไปทั้งหมด
    Reddit มีการตั้ง megathread เพื่อรวบรวมเคสที่เกิดปัญหา
    AMD ทำงานร่วมกับพันธมิตรเพื่อแก้ไขปัญหาในระยะยาว
    ผู้ใช้บางรายพบว่า CPU ที่เคย “ตาย” กลับมาใช้งานได้เมื่อเปลี่ยนเมนบอร์ด

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    ASRock ยอมรับว่า EXPO และ auto PBO บน BIOS เดิมมีความรุนแรงเกินไป
    AGESA คือชุดคำสั่งที่ AMD ให้กับผู้ผลิตเมนบอร์ดเพื่อควบคุมการทำงานของ CPU
    การฝึกหน่วยความจำ DDR5 ที่ไม่เสถียรอาจทำให้ VSOC ต่ำเกินไป
    เมนบอร์ดจากแบรนด์อื่น เช่น Asus, MSI, Gigabyte พบปัญหาน้อยกว่ามาก
    การ rollback BIOS ไปเวอร์ชันก่อนหน้าอาจช่วยให้ CPU ที่ “bricked” กลับมาใช้งานได้
    AMD เคยออกคำเตือนเรื่อง BIOS ไม่ตรงมาตรฐานมาแล้วหลายครั้งในอดีต

    https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/amd-comments-on-burning-am5-socket-chipmaker-blames-motherboard-vendors-for-not-following-official-bios-guidelines
    🎙️ เมื่อ BIOS กลายเป็นตัวจุดไฟ – เบื้องหลังปัญหา AM5 socket ไหม้ ในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ผู้ใช้ Ryzen 9000 โดยเฉพาะรุ่น 9800X3D เริ่มรายงานปัญหาซีพียู “ไหม้” หรือ “burnout” บนเมนบอร์ด AM5 ของ ASRock จนเกิดความเสียหายทางกายภาพกับตัว socket และทำให้ซีพียูใช้งานไม่ได้ AMD ได้ออกมาให้ข้อมูลว่า สาเหตุหลักเกิดจาก BIOS ที่ไม่เป็นไปตามค่าที่ AMD แนะนำ โดยเฉพาะจาก ODM (Original Design Manufacturer) ที่ปรับแต่งค่า PBO (Precision Boost Overdrive), EDC, TDC และ “shadow voltage” เกินขอบเขตที่ปลอดภัย แม้จะเป็นการปรับเล็กน้อยก็สามารถทำให้เกิดความร้อนสะสมจน socket เสียหายได้ ASRock ได้ออก BIOS เวอร์ชัน 3.25 และ 3.30 เพื่อแก้ไขปัญหา โดยลดค่าการจ่ายไฟและปรับการฝึกหน่วยความจำ DDR5 ให้เสถียรมากขึ้น ซึ่งช่วยลดจำนวนเคสที่เกิด burnout ได้อย่างชัดเจน แต่ยังมีผู้ใช้บางรายที่พบปัญหาอยู่ นอกจากนี้ยังพบว่า การเปิดใช้ EXPO (โปรไฟล์โอเวอร์คล็อกแรมของ AMD) บนเมนบอร์ด ASRock อาจทำให้ PBO ทำงานรุนแรงขึ้น แม้ในระบบที่ใช้แรมแบบ stock ก็ยังพบปัญหา ทำให้หลายคนเลือกปิดฟีเจอร์นี้เพื่อความปลอดภัย 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ AMD ยืนยันปัญหา AM5 socket burnout เกิดจาก BIOS ที่ไม่เป็นไปตามค่าที่แนะนำ ➡️ เมนบอร์ด ASRock เป็นผู้ได้รับผลกระทบมากที่สุด โดยเฉพาะกับ Ryzen 9800X3D ➡️ ปัญหาเกิดจากการปรับแต่งค่า PBO, EDC, TDC และ shadow voltage เกินขอบเขต ➡️ ASRock ออก BIOS เวอร์ชัน 3.25 และ 3.30 เพื่อแก้ไขปัญหา ➡️ BIOS ใหม่ลดแรงดันไฟฟ้าและปรับการฝึกหน่วยความจำให้เสถียรขึ้น ➡️ AMD แนะนำให้ผู้ใช้ทุกคนอัปเดต BIOS เป็นเวอร์ชันล่าสุด ➡️ ปัญหาลดลงอย่างชัดเจนหลัง BIOS ใหม่ แต่ยังไม่หมดไปทั้งหมด ➡️ Reddit มีการตั้ง megathread เพื่อรวบรวมเคสที่เกิดปัญหา ➡️ AMD ทำงานร่วมกับพันธมิตรเพื่อแก้ไขปัญหาในระยะยาว ➡️ ผู้ใช้บางรายพบว่า CPU ที่เคย “ตาย” กลับมาใช้งานได้เมื่อเปลี่ยนเมนบอร์ด ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ ASRock ยอมรับว่า EXPO และ auto PBO บน BIOS เดิมมีความรุนแรงเกินไป ➡️ AGESA คือชุดคำสั่งที่ AMD ให้กับผู้ผลิตเมนบอร์ดเพื่อควบคุมการทำงานของ CPU ➡️ การฝึกหน่วยความจำ DDR5 ที่ไม่เสถียรอาจทำให้ VSOC ต่ำเกินไป ➡️ เมนบอร์ดจากแบรนด์อื่น เช่น Asus, MSI, Gigabyte พบปัญหาน้อยกว่ามาก ➡️ การ rollback BIOS ไปเวอร์ชันก่อนหน้าอาจช่วยให้ CPU ที่ “bricked” กลับมาใช้งานได้ ➡️ AMD เคยออกคำเตือนเรื่อง BIOS ไม่ตรงมาตรฐานมาแล้วหลายครั้งในอดีต https://www.tomshardware.com/pc-components/cpus/amd-comments-on-burning-am5-socket-chipmaker-blames-motherboard-vendors-for-not-following-official-bios-guidelines
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    AMD comments on burning AM5 sockets — chipmaker blames motherboard vendors for not following official BIOS guidelines
    AMD provides an official response to the latest AM5 burnout/failure issues primarily affecting ASRock motherboards.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 277 มุมมอง 0 รีวิว
  • พลโทอมฤต บุญสุยา แม่ทัพภาคที่ 1 สรุปผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาคไทย-กัมพูชา(RBC) ในระดับแม่ทัพ ทั้ง 2 ฝ่าย ตกลงด้วยดี ตอบรับ 13 ข้อตกลงหยุดยิง จากการประชุม GBC ที่ผ่านมา และเห็นชอบเพิ่ม 3 ประเด็น จากที่ ไทยเสนอ 4 ประเด็น คือ 1.ร่วมมือกำจัดทุ่นระเบิด 2.แก้ปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์ 3.ตั้งชุดประสานงาน Coordination Group(CG) และคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่น เพื่อเป็นกลไกรองรับคณะ RBC แก้ปัญหาระดับพื้นที่ และ 4.ในการแก้ปัญหาละเมิด MOU43 กัมพูชาขอให้ใช้กลไกอื่น เพราะไม่ได้อยู่ในอำนาจของ RBC โดยไทยยืนยันเสนอให้กัมพูชาทราบว่าเป็นพื้นที่ที่สำคัญ และแจ้งเจตนารมณ์ของไทยในการแก้ปัญหา

    -พูดสาธารณะคนก็รู้หมด
    -เข้าใจผิดชิงปิดสภา
    -ไม่ได้ใช้คำเจาะจงสถาบัน
    -นิลมังกรลดแรงระเบิด
    พลโทอมฤต บุญสุยา แม่ทัพภาคที่ 1 สรุปผลการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาคไทย-กัมพูชา(RBC) ในระดับแม่ทัพ ทั้ง 2 ฝ่าย ตกลงด้วยดี ตอบรับ 13 ข้อตกลงหยุดยิง จากการประชุม GBC ที่ผ่านมา และเห็นชอบเพิ่ม 3 ประเด็น จากที่ ไทยเสนอ 4 ประเด็น คือ 1.ร่วมมือกำจัดทุ่นระเบิด 2.แก้ปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ โดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์ 3.ตั้งชุดประสานงาน Coordination Group(CG) และคณะกรรมการชายแดนส่วนท้องถิ่น เพื่อเป็นกลไกรองรับคณะ RBC แก้ปัญหาระดับพื้นที่ และ 4.ในการแก้ปัญหาละเมิด MOU43 กัมพูชาขอให้ใช้กลไกอื่น เพราะไม่ได้อยู่ในอำนาจของ RBC โดยไทยยืนยันเสนอให้กัมพูชาทราบว่าเป็นพื้นที่ที่สำคัญ และแจ้งเจตนารมณ์ของไทยในการแก้ปัญหา -พูดสาธารณะคนก็รู้หมด -เข้าใจผิดชิงปิดสภา -ไม่ได้ใช้คำเจาะจงสถาบัน -นิลมังกรลดแรงระเบิด
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 633 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • เมื่อเบอร์ลินเสนอขอ “ดูแล” Chrome – และอาจเปลี่ยนเบราว์เซอร์ให้กลายเป็นเครื่องมือสีเขียว

    ในวันที่ 21 สิงหาคม 2025 Ecosia บริษัทไม่แสวงหากำไรจากเยอรมนีที่รู้จักกันดีในฐานะเสิร์ชเอนจินสายสิ่งแวดล้อม ได้เสนอแนวคิดที่ไม่ธรรมดา: ขอรับหน้าที่ดูแล Google Chrome เป็นเวลา 10 ปี โดยไม่ขอซื้อ แต่ขอ “บริหารจัดการ” แทน

    ข้อเสนอของ Ecosia คือให้ Google แยก Chrome ออกเป็นมูลนิธิที่ยังคงถือสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาไว้ แต่ให้ Ecosia รับผิดชอบการดำเนินงานทั้งหมด โดย Ecosiaจะนำกำไรจาก Chrome ประมาณ 60% ไปลงทุนในโครงการด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การปลูกป่า การพัฒนา AI สีเขียว และการฟ้องร้องผู้ก่อมลพิษ ส่วนอีก 40% จะคืนให้ Google เป็นค่าตอบแทน

    ข้อเสนอนี้เกิดขึ้นในช่วงที่กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ กำลังพิจารณาให้ Google แยก Chrome ออกจากธุรกิจหลัก หลังจากถูกตัดสินว่าผูกขาดตลาดค้นหา Ecosiaจึงเสนอแนวทางที่ไม่ใช่การขาย แต่เป็นการดูแลแบบมีเป้าหมายเพื่อสาธารณะ

    ก่อนหน้านี้ Perplexity AI เคยเสนอซื้อ Chrome ด้วยเงินสด $34.5 พันล้าน แม้จะมีมูลค่าต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ แต่ก็สะท้อนถึงความสนใจใน Chrome ที่มีผู้ใช้งานหลายพันล้านคนทั่วโลก

    แม้ข้อเสนอของ Ecosia จะดู “ฟรี” แต่พวกเขาคาดว่า Chrome จะสร้างรายได้ถึง $1 ล้านล้านใน 10 ปี ซึ่งหมายความว่า Ecosia จะบริหารเงินกว่า $600 พันล้านเพื่อสิ่งแวดล้อม และ Google จะได้รับคืน $400 พันล้าน โดยไม่ต้องบริหารเอง

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    Ecosia เสนอรับหน้าที่ดูแล Google Chrome เป็นเวลา 10 ปี โดยไม่ขอซื้อ
    Google จะยังคงถือสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาและสามารถเป็น search engine เริ่มต้นได้
    Ecosia จะนำกำไร 60% ไปลงทุนในโครงการสิ่งแวดล้อม และคืน 40% ให้ Google
    ข้อเสนอเกิดขึ้นหลัง DOJ สหรัฐฯ พิจารณาให้ Google แยก Chrome ออกจากธุรกิจหลัก
    Ecosia คาดว่า Chrome จะสร้างรายได้ $1 ล้านล้านใน 10 ปี
    โครงการสิ่งแวดล้อมที่เสนอรวมถึงการปลูกป่า, พัฒนา AI สีเขียว และฟ้องร้องผู้ก่อมลพิษ
    Google ยังไม่ตอบรับหรือปฏิเสธข้อเสนออย่างเป็นทางการ
    Ecosia มีความสัมพันธ์กับ Google อยู่แล้วผ่านการใช้ search engine และ revenue sharing
    ข้อเสนอของ Ecosia ถูกมองว่าเป็นทางเลือกที่ไม่ใช่เชิงพาณิชย์ แต่เน้นผลประโยชน์สาธารณะ
    หากครบ 10 ปี อาจมีการเปลี่ยนผู้ดูแลหรือทบทวนใหม่

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    Perplexity AI เคยเสนอซื้อ Chrome ด้วยเงินสด $34.5 พันล้าน แม้จะต่ำกว่าคาด
    OpenAI ก็แสดงความสนใจในการซื้อ Chrome หากมีการเปิดขาย
    Ecosia ก่อตั้งในปี 2009 และลงทุนในโครงการสิ่งแวดล้อมในกว่า 35 ประเทศ
    นักวิเคราะห์คาดว่า Chrome อาจมีมูลค่าหลายแสนล้านดอลลาร์หากเปิดประมูล
    การเปลี่ยน Chrome เป็นมูลนิธิอาจช่วยลดแรงกดดันด้านกฎหมายต่อตัว Google

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/21/germany039s-ecosia-proposes-stewardship-to-run-google-chrome
    🎙️ เมื่อเบอร์ลินเสนอขอ “ดูแล” Chrome – และอาจเปลี่ยนเบราว์เซอร์ให้กลายเป็นเครื่องมือสีเขียว ในวันที่ 21 สิงหาคม 2025 Ecosia บริษัทไม่แสวงหากำไรจากเยอรมนีที่รู้จักกันดีในฐานะเสิร์ชเอนจินสายสิ่งแวดล้อม ได้เสนอแนวคิดที่ไม่ธรรมดา: ขอรับหน้าที่ดูแล Google Chrome เป็นเวลา 10 ปี โดยไม่ขอซื้อ แต่ขอ “บริหารจัดการ” แทน ข้อเสนอของ Ecosia คือให้ Google แยก Chrome ออกเป็นมูลนิธิที่ยังคงถือสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาไว้ แต่ให้ Ecosia รับผิดชอบการดำเนินงานทั้งหมด โดย Ecosiaจะนำกำไรจาก Chrome ประมาณ 60% ไปลงทุนในโครงการด้านสิ่งแวดล้อม เช่น การปลูกป่า การพัฒนา AI สีเขียว และการฟ้องร้องผู้ก่อมลพิษ ส่วนอีก 40% จะคืนให้ Google เป็นค่าตอบแทน ข้อเสนอนี้เกิดขึ้นในช่วงที่กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ กำลังพิจารณาให้ Google แยก Chrome ออกจากธุรกิจหลัก หลังจากถูกตัดสินว่าผูกขาดตลาดค้นหา Ecosiaจึงเสนอแนวทางที่ไม่ใช่การขาย แต่เป็นการดูแลแบบมีเป้าหมายเพื่อสาธารณะ ก่อนหน้านี้ Perplexity AI เคยเสนอซื้อ Chrome ด้วยเงินสด $34.5 พันล้าน แม้จะมีมูลค่าต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้ แต่ก็สะท้อนถึงความสนใจใน Chrome ที่มีผู้ใช้งานหลายพันล้านคนทั่วโลก แม้ข้อเสนอของ Ecosia จะดู “ฟรี” แต่พวกเขาคาดว่า Chrome จะสร้างรายได้ถึง $1 ล้านล้านใน 10 ปี ซึ่งหมายความว่า Ecosia จะบริหารเงินกว่า $600 พันล้านเพื่อสิ่งแวดล้อม และ Google จะได้รับคืน $400 พันล้าน โดยไม่ต้องบริหารเอง 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ Ecosia เสนอรับหน้าที่ดูแล Google Chrome เป็นเวลา 10 ปี โดยไม่ขอซื้อ ➡️ Google จะยังคงถือสิทธิ์ในทรัพย์สินทางปัญญาและสามารถเป็น search engine เริ่มต้นได้ ➡️ Ecosia จะนำกำไร 60% ไปลงทุนในโครงการสิ่งแวดล้อม และคืน 40% ให้ Google ➡️ ข้อเสนอเกิดขึ้นหลัง DOJ สหรัฐฯ พิจารณาให้ Google แยก Chrome ออกจากธุรกิจหลัก ➡️ Ecosia คาดว่า Chrome จะสร้างรายได้ $1 ล้านล้านใน 10 ปี ➡️ โครงการสิ่งแวดล้อมที่เสนอรวมถึงการปลูกป่า, พัฒนา AI สีเขียว และฟ้องร้องผู้ก่อมลพิษ ➡️ Google ยังไม่ตอบรับหรือปฏิเสธข้อเสนออย่างเป็นทางการ ➡️ Ecosia มีความสัมพันธ์กับ Google อยู่แล้วผ่านการใช้ search engine และ revenue sharing ➡️ ข้อเสนอของ Ecosia ถูกมองว่าเป็นทางเลือกที่ไม่ใช่เชิงพาณิชย์ แต่เน้นผลประโยชน์สาธารณะ ➡️ หากครบ 10 ปี อาจมีการเปลี่ยนผู้ดูแลหรือทบทวนใหม่ ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ Perplexity AI เคยเสนอซื้อ Chrome ด้วยเงินสด $34.5 พันล้าน แม้จะต่ำกว่าคาด ➡️ OpenAI ก็แสดงความสนใจในการซื้อ Chrome หากมีการเปิดขาย ➡️ Ecosia ก่อตั้งในปี 2009 และลงทุนในโครงการสิ่งแวดล้อมในกว่า 35 ประเทศ ➡️ นักวิเคราะห์คาดว่า Chrome อาจมีมูลค่าหลายแสนล้านดอลลาร์หากเปิดประมูล ➡️ การเปลี่ยน Chrome เป็นมูลนิธิอาจช่วยลดแรงกดดันด้านกฎหมายต่อตัว Google https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/21/germany039s-ecosia-proposes-stewardship-to-run-google-chrome
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Germany's Ecosia proposes stewardship to run Google Chrome
    STOCKHOLM (Reuters) -Germany's Ecosia, a nonprofit search engine, said on Thursday it has submitted a proposal to assume a 10-year stewardship of Alphabet's Google Chrome web browser.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 344 มุมมอง 0 รีวิว
  • AI ไม่ได้ช่วยทุกคน – เมื่อองค์กรลงทุนใน Generative AI แล้วไม่เห็นผล

    แม้ว่า Generative AI จะถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางในวงการธุรกิจ แต่รายงานล่าสุดจาก MIT พบว่า 95% ของโครงการนำ AI ไปใช้ในองค์กรไม่สามารถสร้างผลกระทบที่วัดได้ต่อกำไรหรือรายได้เลย

    รายงานนี้อ้างอิงจากการสัมภาษณ์ผู้บริหาร 150 คน, สำรวจพนักงาน 350 คน และวิเคราะห์การใช้งาน AI จริงกว่า 300 กรณี พบว่าโครงการส่วนใหญ่ “ล้มเหลว” ไม่ใช่เพราะโมเดล AI ทำงานผิดพลาด แต่เพราะ AI ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับกระบวนการทำงานที่มีอยู่แล้วในองค์กรได้

    องค์กรส่วนใหญ่ใช้ AI แบบทั่วไป เช่น ChatGPT โดยไม่ปรับให้เข้ากับบริบทเฉพาะของตน ทำให้เกิดช่องว่างการเรียนรู้ระหว่างเครื่องมือกับผู้ใช้ และโครงการก็หยุดชะงักในที่สุด

    ในทางกลับกัน โครงการที่ประสบความสำเร็จ (เพียง 5%) มักจะเลือก “ปัญหาเดียว” ที่ชัดเจน เช่น การจัดการเอกสาร หรือการตอบอีเมล แล้วใช้ AI แบบเฉพาะทางร่วมกับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญ

    MIT ยังพบว่า AI มีประโยชน์สูงสุดในงานหลังบ้าน เช่น การจัดการข้อมูล, การลดการจ้างงานภายนอก และการทำงานซ้ำ ๆ แต่กว่า 50% ของงบประมาณ AI กลับถูกใช้ในงานขายและการตลาด ซึ่งยังต้องพึ่งพามนุษย์เป็นหลัก

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    MIT พบว่า 95% ของโครงการนำ Generative AI ไปใช้ในองค์กรไม่มีผลต่อกำไรหรือรายได้
    รายงานอ้างอิงจากการสัมภาษณ์ 150 คน, สำรวจ 350 คน และวิเคราะห์ 300 กรณี
    สาเหตุหลักคือ AI ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับกระบวนการทำงานขององค์กร
    โครงการที่ประสบความสำเร็จมักเลือกปัญหาเดียวและใช้เครื่องมือเฉพาะทาง
    AI มีประโยชน์สูงสุดในงานหลังบ้าน เช่น การจัดการข้อมูลและงานซ้ำ ๆ
    กว่า 50% ของงบประมาณ AI ถูกใช้ในงานขายและการตลาด ซึ่งไม่เหมาะกับ AI
    โครงการที่ใช้ผู้ให้บริการ AI เฉพาะทางมีอัตราความสำเร็จ 2 ใน 3
    โครงการที่พัฒนา AI ภายในองค์กรมีอัตราความสำเร็จเพียง 1 ใน 3
    องค์กรในอุตสาหกรรมที่มีการกำกับดูแลสูง เช่น การเงินและสุขภาพ มักเลือกพัฒนา AI เอง
    AI ส่งผลต่อแรงงานโดยทำให้ตำแหน่งงานที่ว่างไม่ถูกแทนที่ โดยเฉพาะงานระดับต้น

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ NANDA ของ MIT ชื่อว่า “The GenAI Divide”
    บริษัทที่ประสบความสำเร็จมักเป็นสตาร์ตอัปที่มีทีมเล็กและเป้าหมายชัดเจน
    การใช้ AI ในงานขายอาจไม่เหมาะ เพราะผู้ซื้อยังเป็นมนุษย์ที่ต้องการปฏิสัมพันธ์
    การใช้ AI ในงานหลังบ้านช่วยลดต้นทุนจากการจ้างงานภายนอกและเอเจนซี่
    การไม่แทนที่ตำแหน่งงานที่ว่างอาจเป็นสัญญาณของการลดแรงงานในระยะยาว
    CEO หลายคนเตือนว่า AI อาจแทนที่งานระดับต้นถึง 50% ภายใน 5 ปี

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/95-percent-of-generative-ai-implementations-in-enterprise-have-no-measurable-impact-on-p-and-l-says-mit-flawed-integration-key-reason-why-ai-projects-underperform
    🧠 AI ไม่ได้ช่วยทุกคน – เมื่อองค์กรลงทุนใน Generative AI แล้วไม่เห็นผล แม้ว่า Generative AI จะถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางในวงการธุรกิจ แต่รายงานล่าสุดจาก MIT พบว่า 95% ของโครงการนำ AI ไปใช้ในองค์กรไม่สามารถสร้างผลกระทบที่วัดได้ต่อกำไรหรือรายได้เลย รายงานนี้อ้างอิงจากการสัมภาษณ์ผู้บริหาร 150 คน, สำรวจพนักงาน 350 คน และวิเคราะห์การใช้งาน AI จริงกว่า 300 กรณี พบว่าโครงการส่วนใหญ่ “ล้มเหลว” ไม่ใช่เพราะโมเดล AI ทำงานผิดพลาด แต่เพราะ AI ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับกระบวนการทำงานที่มีอยู่แล้วในองค์กรได้ องค์กรส่วนใหญ่ใช้ AI แบบทั่วไป เช่น ChatGPT โดยไม่ปรับให้เข้ากับบริบทเฉพาะของตน ทำให้เกิดช่องว่างการเรียนรู้ระหว่างเครื่องมือกับผู้ใช้ และโครงการก็หยุดชะงักในที่สุด ในทางกลับกัน โครงการที่ประสบความสำเร็จ (เพียง 5%) มักจะเลือก “ปัญหาเดียว” ที่ชัดเจน เช่น การจัดการเอกสาร หรือการตอบอีเมล แล้วใช้ AI แบบเฉพาะทางร่วมกับพันธมิตรที่มีความเชี่ยวชาญ MIT ยังพบว่า AI มีประโยชน์สูงสุดในงานหลังบ้าน เช่น การจัดการข้อมูล, การลดการจ้างงานภายนอก และการทำงานซ้ำ ๆ แต่กว่า 50% ของงบประมาณ AI กลับถูกใช้ในงานขายและการตลาด ซึ่งยังต้องพึ่งพามนุษย์เป็นหลัก 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ MIT พบว่า 95% ของโครงการนำ Generative AI ไปใช้ในองค์กรไม่มีผลต่อกำไรหรือรายได้ ➡️ รายงานอ้างอิงจากการสัมภาษณ์ 150 คน, สำรวจ 350 คน และวิเคราะห์ 300 กรณี ➡️ สาเหตุหลักคือ AI ไม่สามารถปรับตัวเข้ากับกระบวนการทำงานขององค์กร ➡️ โครงการที่ประสบความสำเร็จมักเลือกปัญหาเดียวและใช้เครื่องมือเฉพาะทาง ➡️ AI มีประโยชน์สูงสุดในงานหลังบ้าน เช่น การจัดการข้อมูลและงานซ้ำ ๆ ➡️ กว่า 50% ของงบประมาณ AI ถูกใช้ในงานขายและการตลาด ซึ่งไม่เหมาะกับ AI ➡️ โครงการที่ใช้ผู้ให้บริการ AI เฉพาะทางมีอัตราความสำเร็จ 2 ใน 3 ➡️ โครงการที่พัฒนา AI ภายในองค์กรมีอัตราความสำเร็จเพียง 1 ใน 3 ➡️ องค์กรในอุตสาหกรรมที่มีการกำกับดูแลสูง เช่น การเงินและสุขภาพ มักเลือกพัฒนา AI เอง ➡️ AI ส่งผลต่อแรงงานโดยทำให้ตำแหน่งงานที่ว่างไม่ถูกแทนที่ โดยเฉพาะงานระดับต้น ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ รายงานนี้เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ NANDA ของ MIT ชื่อว่า “The GenAI Divide” ➡️ บริษัทที่ประสบความสำเร็จมักเป็นสตาร์ตอัปที่มีทีมเล็กและเป้าหมายชัดเจน ➡️ การใช้ AI ในงานขายอาจไม่เหมาะ เพราะผู้ซื้อยังเป็นมนุษย์ที่ต้องการปฏิสัมพันธ์ ➡️ การใช้ AI ในงานหลังบ้านช่วยลดต้นทุนจากการจ้างงานภายนอกและเอเจนซี่ ➡️ การไม่แทนที่ตำแหน่งงานที่ว่างอาจเป็นสัญญาณของการลดแรงงานในระยะยาว ➡️ CEO หลายคนเตือนว่า AI อาจแทนที่งานระดับต้นถึง 50% ภายใน 5 ปี https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/95-percent-of-generative-ai-implementations-in-enterprise-have-no-measurable-impact-on-p-and-l-says-mit-flawed-integration-key-reason-why-ai-projects-underperform
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    95% of generative AI implementations in enterprise 'have no measurable impact on P&L', says MIT — flawed integration cited as why AI projects underperform
    AI is a powerful tool, but only if used correctly. | The study shows that AI tools must adjust to the organization’s processes for it to work effectively.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 253 มุมมอง 0 รีวิว
  • ปีกเดียวเปลี่ยนโลก – เมื่อไฮโดรเจนกลายเป็นเชื้อเพลิงแห่งอนาคต

    ในเดือนสิงหาคม 2025 บริษัทเทคโนโลยีจากฝรั่งเศส SHZ Advanced Technologies ประกาศความร่วมมือกับ JetZero สตาร์ตอัปด้านอากาศยานจากแคลิฟอร์เนีย เพื่อพัฒนาเครื่องบินพลังงานไฮโดรเจนแบบ “blended wing-body” หรือ “ปีกผสมลำตัว” ซึ่งมีดีไซน์คล้ายตัว V ที่ทั้งลำตัวและปีกทำหน้าที่ร่วมกันในการสร้างแรงยก

    เป้าหมายของโครงการคือการลดการปล่อยคาร์บอนให้เป็นศูนย์ โดยใช้ไฮโดรเจนเหลวเป็นเชื้อเพลิง ซึ่งมีพลังงานต่อมวลสูงแต่ต้องเก็บในอุณหภูมิ -253°C และใช้พื้นที่มากกว่าน้ำมันเชื้อเพลิงทั่วไป

    SHZ พัฒนาเทคโนโลยีถังเก็บไฮโดรเจนที่ไม่ใช้รูปทรงกระบอกแบบเดิม ทำให้สามารถฝังเข้าไปในโครงสร้างของเครื่องบิน Z4 ได้โดยไม่เสียพื้นที่ผู้โดยสาร JetZero ระบุว่าเครื่องบินต้นแบบขนาด 250 ที่นั่งจะพร้อมบินในปี 2027 ภายใต้การสนับสนุนจาก NASA

    แม้ว่า Airbus จะชะลอแผนการผลิตเครื่องบินไฮโดรเจน และ Boeing ยังไม่มั่นใจในความคุ้มค่าทางพาณิชย์ แต่ JetZero และ SHZ ยังคงเดินหน้าด้วยความเชื่อมั่นว่า “ดีไซน์ใหม่ + เชื้อเพลิงใหม่” คือคำตอบของการบินแห่งอนาคต

    สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ
    SHZ Advanced Technologies จากฝรั่งเศสร่วมมือกับ JetZero เพื่อพัฒนาเครื่องบินพลังงานไฮโดรเจน
    เครื่องบินใช้ดีไซน์ blended wing-body ที่ลดแรงเสียดทานและเพิ่มประสิทธิภาพ
    โครงการอยู่ภายใต้การสนับสนุนจาก NASA เพื่อออกแบบระบบจัดเก็บและจ่ายไฮโดรเจนเหลว
    ไฮโดรเจนมีพลังงานต่อมวลสูง แต่ต้องเก็บในอุณหภูมิ -253°C และใช้พื้นที่มาก
    SHZ พัฒนาถังเก็บไฮโดรเจนแบบใหม่ที่ไม่ใช้รูปทรงกระบอก
    เครื่องบินรุ่น Z4 จะมีที่นั่ง 250 ที่นั่ง และต้นแบบจะพร้อมบินในปี 2027
    JetZero ได้รับการสนับสนุนจาก United Airlines และมีเป้าหมายลดการปล่อยคาร์บอนครึ่งหนึ่ง
    Airbus ชะลอแผนเครื่องบินไฮโดรเจน และยกเลิกเป้าหมายปี 2035
    Boeing ยังไม่มั่นใจในความคุ้มค่าทางพาณิชย์ของการบินด้วยไฮโดรเจน
    ดีไซน์ blended wing-body เคยใช้ใน B-2 bomber และโครงการ X-48 ของ NASA

    ข้อมูลเสริมจากภายนอก
    EasyJet เป็นสายการบินยุโรปรายแรกที่ร่วมมือกับ JetZero เพื่อหาแนวทางลดคาร์บอน
    การบินด้วยไฮโดรเจนสามารถลดการปล่อย CO₂ ได้ถึง 100% หากใช้ไฮโดรเจนสีเขียว
    เทคโนโลยีถังเก็บไฮโดรเจนแบบแบนช่วยลดน้ำหนักและเพิ่มพื้นที่ใช้งาน
    การออกแบบ blended wing-body ยังช่วยลดเสียงรบกวนและเพิ่มความเสถียรในการบิน
    NASA มีแผนสนับสนุนการบินพลังงานสะอาดผ่านโครงการ Sustainable Flight National Partnership
    ตลาดเครื่องบินพลังงานไฮโดรเจนคาดว่าจะมีมูลค่ามากกว่า $100 พันล้านภายในปี 2040

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/20/french-firm-teams-up-with-jetzero-on-hydrogen-powered-flight
    ✈️ ปีกเดียวเปลี่ยนโลก – เมื่อไฮโดรเจนกลายเป็นเชื้อเพลิงแห่งอนาคต ในเดือนสิงหาคม 2025 บริษัทเทคโนโลยีจากฝรั่งเศส SHZ Advanced Technologies ประกาศความร่วมมือกับ JetZero สตาร์ตอัปด้านอากาศยานจากแคลิฟอร์เนีย เพื่อพัฒนาเครื่องบินพลังงานไฮโดรเจนแบบ “blended wing-body” หรือ “ปีกผสมลำตัว” ซึ่งมีดีไซน์คล้ายตัว V ที่ทั้งลำตัวและปีกทำหน้าที่ร่วมกันในการสร้างแรงยก เป้าหมายของโครงการคือการลดการปล่อยคาร์บอนให้เป็นศูนย์ โดยใช้ไฮโดรเจนเหลวเป็นเชื้อเพลิง ซึ่งมีพลังงานต่อมวลสูงแต่ต้องเก็บในอุณหภูมิ -253°C และใช้พื้นที่มากกว่าน้ำมันเชื้อเพลิงทั่วไป SHZ พัฒนาเทคโนโลยีถังเก็บไฮโดรเจนที่ไม่ใช้รูปทรงกระบอกแบบเดิม ทำให้สามารถฝังเข้าไปในโครงสร้างของเครื่องบิน Z4 ได้โดยไม่เสียพื้นที่ผู้โดยสาร JetZero ระบุว่าเครื่องบินต้นแบบขนาด 250 ที่นั่งจะพร้อมบินในปี 2027 ภายใต้การสนับสนุนจาก NASA แม้ว่า Airbus จะชะลอแผนการผลิตเครื่องบินไฮโดรเจน และ Boeing ยังไม่มั่นใจในความคุ้มค่าทางพาณิชย์ แต่ JetZero และ SHZ ยังคงเดินหน้าด้วยความเชื่อมั่นว่า “ดีไซน์ใหม่ + เชื้อเพลิงใหม่” คือคำตอบของการบินแห่งอนาคต 📌 สรุปเนื้อหาเป็นหัวข้อ ➡️ SHZ Advanced Technologies จากฝรั่งเศสร่วมมือกับ JetZero เพื่อพัฒนาเครื่องบินพลังงานไฮโดรเจน ➡️ เครื่องบินใช้ดีไซน์ blended wing-body ที่ลดแรงเสียดทานและเพิ่มประสิทธิภาพ ➡️ โครงการอยู่ภายใต้การสนับสนุนจาก NASA เพื่อออกแบบระบบจัดเก็บและจ่ายไฮโดรเจนเหลว ➡️ ไฮโดรเจนมีพลังงานต่อมวลสูง แต่ต้องเก็บในอุณหภูมิ -253°C และใช้พื้นที่มาก ➡️ SHZ พัฒนาถังเก็บไฮโดรเจนแบบใหม่ที่ไม่ใช้รูปทรงกระบอก ➡️ เครื่องบินรุ่น Z4 จะมีที่นั่ง 250 ที่นั่ง และต้นแบบจะพร้อมบินในปี 2027 ➡️ JetZero ได้รับการสนับสนุนจาก United Airlines และมีเป้าหมายลดการปล่อยคาร์บอนครึ่งหนึ่ง ➡️ Airbus ชะลอแผนเครื่องบินไฮโดรเจน และยกเลิกเป้าหมายปี 2035 ➡️ Boeing ยังไม่มั่นใจในความคุ้มค่าทางพาณิชย์ของการบินด้วยไฮโดรเจน ➡️ ดีไซน์ blended wing-body เคยใช้ใน B-2 bomber และโครงการ X-48 ของ NASA ✅ ข้อมูลเสริมจากภายนอก ➡️ EasyJet เป็นสายการบินยุโรปรายแรกที่ร่วมมือกับ JetZero เพื่อหาแนวทางลดคาร์บอน ➡️ การบินด้วยไฮโดรเจนสามารถลดการปล่อย CO₂ ได้ถึง 100% หากใช้ไฮโดรเจนสีเขียว ➡️ เทคโนโลยีถังเก็บไฮโดรเจนแบบแบนช่วยลดน้ำหนักและเพิ่มพื้นที่ใช้งาน ➡️ การออกแบบ blended wing-body ยังช่วยลดเสียงรบกวนและเพิ่มความเสถียรในการบิน ➡️ NASA มีแผนสนับสนุนการบินพลังงานสะอาดผ่านโครงการ Sustainable Flight National Partnership ➡️ ตลาดเครื่องบินพลังงานไฮโดรเจนคาดว่าจะมีมูลค่ามากกว่า $100 พันล้านภายในปี 2040 https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/08/20/french-firm-teams-up-with-jetzero-on-hydrogen-powered-flight
    WWW.THESTAR.COM.MY
    French firm teams up with JetZero on hydrogen-powered flight
    PARIS (Reuters) -A French technology startup unveiled plans on Wednesday to work with clean-aircraft venture JetZero to explore a potential hydrogen-powered variant of its futuristic all-wing design.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 295 มุมมอง 0 รีวิว
  • ลดแรง 1,000.- หมดเขต 24 ส.ค.68 เท่านั้น!
    เหลือเริ่มต้น 15,988.-

    SHANGHAI - HANGZHOU
    Amazing Studio เที่ยวเต็มวัน 6 วัน 4 คืน
    บินตรง ไทยไลอ้อนแอร์ พักสบาย ช็อปกระจาย
    เดินทาง ต.ค.68

    ไฮไลท์
    หางโจว – เหิงเตี้ยน ฮอลลีวู้ดสตูดิโอจีน
    ย่านการค้าฉิงหลิงซานเหอถู
    พระราชวังฉินซีฮ่องเต้ + เช่าชุดจีนโบราณ
    เมืองจำลองราชวงศ์ซ่ง + โชว์สุดอลังการ
    ล่องเรือหรู The Loius Shanghai
    Starbucks Reserve – หาดไว่ทานเดอะบันด์
    ถนนนานจิง + Pop Mart
    วัดพระหยก – ตลาดเฉินหวังเมี่ยว – ถนนอู่คัง – Outlet สุดคุ้ม

    ดูรายละเอียดเพิ่มเติม
    https://78s.me/ecad2a

    ดูทัวร์จีนทั้งหมดได้ที่
    https://78s.me/30a85f

    LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307
    Facebook: etravelway 78s.me/8a4061
    Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5
    Tiktok : https://78s.me/543eb9
    : etravelway 78s.me/05e8da
    : 0 2116 6395

    #ทัวร์จีน #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #ShanghaiTrip #Hangzhou #HollywoodStudioChina #เที่ยวจีน #ล่องเรือหรู #แอร์เอเชีย #ทัวร์ราคาดี #ช็อปปิ้งจีน
    ✨ ลดแรง 1,000.- หมดเขต 24 ส.ค.68 เท่านั้น! เหลือเริ่มต้น 15,988.- 🎉 SHANGHAI - HANGZHOU 🇨🇳 Amazing Studio เที่ยวเต็มวัน 6 วัน 4 คืน ✈️ บินตรง ไทยไลอ้อนแอร์ พักสบาย ช็อปกระจาย 🛍️ เดินทาง ต.ค.68 🌟 ไฮไลท์ ✔️ หางโจว – เหิงเตี้ยน ฮอลลีวู้ดสตูดิโอจีน 🎬 ✔️ ย่านการค้าฉิงหลิงซานเหอถู 🏮 ✔️ พระราชวังฉินซีฮ่องเต้ + เช่าชุดจีนโบราณ 👘 ✔️ เมืองจำลองราชวงศ์ซ่ง + โชว์สุดอลังการ 🎭 ✔️ ล่องเรือหรู The Loius Shanghai 🚢 ✔️ Starbucks Reserve – หาดไว่ทานเดอะบันด์ 🌆 ✔️ ถนนนานจิง + Pop Mart 🛒 ✔️ วัดพระหยก – ตลาดเฉินหวังเมี่ยว – ถนนอู่คัง – Outlet สุดคุ้ม 🛍️ ดูรายละเอียดเพิ่มเติม https://78s.me/ecad2a ดูทัวร์จีนทั้งหมดได้ที่ https://78s.me/30a85f LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307 Facebook: etravelway 78s.me/8a4061 Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5 Tiktok : https://78s.me/543eb9 📷: etravelway 78s.me/05e8da ☎️: 0 2116 6395 #ทัวร์จีน #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #ShanghaiTrip #Hangzhou #HollywoodStudioChina #เที่ยวจีน #ล่องเรือหรู #แอร์เอเชีย #ทัวร์ราคาดี #ช็อปปิ้งจีน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 643 มุมมอง 0 รีวิว
  • แพ็คเกจสุดพิเศษ ลดแรง!
    สแกนดิเนเวีย & ไอซ์แลนด์ ดินแดนกลาเซียร์
    10 วัน 7 คืน โดยสายการบิน Emirates (EK)

    ลดทันที 2,000 บาท เหลือเพียง 147,900 บาท
    เดินทาง 7 – 16 ตุลาคม 2568

    ไฮไลต์การเดินทาง

    * สต๊อกโฮล์ม ชมเมืองเก่ากัมลา สแตน
    * วงกลมทองคำ – อุทยานซิงเควลลิร์
    * น้ำตกกูลฟอสส์ – น้ำตกเซลยาแลนส์ – น้ำตกสโกการ์
    * หาดทรายดำ – โจกุลซาร์ลอน – Diamond Beach
    * อุทยานแห่งชาติสเกฟตาเฟลล์
    * ภูเขาไฟเคิร์กจูเฟล – หมู่บ้านอาร์นาสตาปิ
    * โคเปนเฮเกน ชมเงือกน้อยและน้ำพุเกฟิออน

    ครบทุกประสบการณ์ธรรมชาติสุดอลังการ + เมืองสวยโรแมนติกของยุโรปเหนือ

    ดูรายละเอียดเพิ่มเติม
    https://78s.me/e6b675

    ดูทัวร์สแกนดิเนเวียทั้งหมดได้ที่
    https://78s.me/c15f96

    LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307
    Facebook: etravelway 78s.me/8a4061
    Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5
    Tiktok : https://78s.me/543eb9
    : etravelway 78s.me/05e8da
    : 0 2116 6395

    #ทัวร์สแกนดิเนเวีย #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #Scandinavia #IcelandTrip #ทัวร์ไอซ์แลนด์ #เที่ยวสแกนดิเนเวีย #Emirates #NordicAdventure #DiamondBeach #IcelandWaterfalls #เที่ยวต่างประเทศ #Travel2025
    ✨ แพ็คเกจสุดพิเศษ ลดแรง! ✨ สแกนดิเนเวีย & ไอซ์แลนด์ ดินแดนกลาเซียร์ ❄️ 10 วัน 7 คืน โดยสายการบิน Emirates (EK) ✈️ 💰 ลดทันที 2,000 บาท เหลือเพียง 147,900 บาท 📅 เดินทาง 7 – 16 ตุลาคม 2568 📍 ไฮไลต์การเดินทาง * สต๊อกโฮล์ม ชมเมืองเก่ากัมลา สแตน 🏰 * วงกลมทองคำ – อุทยานซิงเควลลิร์ 🌋 * น้ำตกกูลฟอสส์ – น้ำตกเซลยาแลนส์ – น้ำตกสโกการ์ 🌊 * หาดทรายดำ – โจกุลซาร์ลอน – Diamond Beach 💎 * อุทยานแห่งชาติสเกฟตาเฟลล์ 🌲 * ภูเขาไฟเคิร์กจูเฟล – หมู่บ้านอาร์นาสตาปิ 🏔️ * โคเปนเฮเกน ชมเงือกน้อยและน้ำพุเกฟิออน 🧜‍♀️ ครบทุกประสบการณ์ธรรมชาติสุดอลังการ + เมืองสวยโรแมนติกของยุโรปเหนือ 🌍 ดูรายละเอียดเพิ่มเติม https://78s.me/e6b675 ดูทัวร์สแกนดิเนเวียทั้งหมดได้ที่ https://78s.me/c15f96 LINE ID: @etravelway 78s.me/d0c307 Facebook: etravelway 78s.me/8a4061 Twitter: @eTravelWay 78s.me/e603f5 Tiktok : https://78s.me/543eb9 📷: etravelway 78s.me/05e8da ☎️: 0 2116 6395 #ทัวร์สแกนดิเนเวีย #แพ็คเกจทัวร์ #จัดกรุ๊ปส่วนตัว #eTravelway #Scandinavia #IcelandTrip #ทัวร์ไอซ์แลนด์ #เที่ยวสแกนดิเนเวีย #Emirates #NordicAdventure #DiamondBeach #IcelandWaterfalls #เที่ยวต่างประเทศ #Travel2025
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 601 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฟื้นคืนชีพฟลอปปี้ดิสก์ในปี 2025: เมื่อความหลงใหลชนะข้อจำกัดของเทคโนโลยี

    ในยุคที่ SSD ขนาดเท่าหัวแม่มือสามารถเก็บข้อมูลได้หลายเทราไบต์ การกลับไปสร้างแผ่นฟลอปปี้ดิสก์อาจฟังดูไร้สาระ แต่สำหรับ Polymatt มันคือความท้าทายและการเคารพต่อยุคบุกเบิกของคอมพิวเตอร์

    เขาเริ่มจากการออกแบบโครงสร้างของแผ่นดิสก์ด้วย Shapr3D และ MakeraCAM แล้วใช้เครื่อง CNC ตัดอะลูมิเนียมเพื่อสร้างโครงที่แม่นยำ จากนั้นใช้เลเซอร์ตัดแผ่น PET film และเคลือบด้วยสารแขวนลอยของผงเหล็กออกไซด์ เพื่อสร้างพื้นผิวแม่เหล็กที่สามารถบันทึกข้อมูลได้

    ขั้นตอนที่ยากที่สุดคือการทำให้สารเคลือบติดแน่นกับแผ่น PET โดยต้องปรับสูตรหลายครั้ง ใช้สาร PVA, แอลกอฮอล์, กลีเซอรีน และสารลดแรงตึงผิว Tween 20 พร้อมทั้งอบด้วยเครื่องพิมพ์ 3D เพื่อให้ความหนาและความเรียบเท่ากัน

    สุดท้ายเขาสามารถประกอบแผ่นดิสก์เข้ากับโครงอะลูมิเนียม ทดสอบในไดรฟ์จริง และสามารถอ่านเขียนข้อมูลได้ แม้จะเป็นระดับพื้นฐาน แต่ถือเป็นความสำเร็จที่น่าทึ่งในยุคที่เทคโนโลยีนี้ถูกประกาศว่า “ตาย” ไปแล้วตั้งแต่ปี 2010

    https://www.techradar.com/pro/security/remember-floppy-disks-this-youtuber-set-out-to-build-his-own-from-scratch-see-how-he-got-on
    🧠 ฟื้นคืนชีพฟลอปปี้ดิสก์ในปี 2025: เมื่อความหลงใหลชนะข้อจำกัดของเทคโนโลยี ในยุคที่ SSD ขนาดเท่าหัวแม่มือสามารถเก็บข้อมูลได้หลายเทราไบต์ การกลับไปสร้างแผ่นฟลอปปี้ดิสก์อาจฟังดูไร้สาระ แต่สำหรับ Polymatt มันคือความท้าทายและการเคารพต่อยุคบุกเบิกของคอมพิวเตอร์ เขาเริ่มจากการออกแบบโครงสร้างของแผ่นดิสก์ด้วย Shapr3D และ MakeraCAM แล้วใช้เครื่อง CNC ตัดอะลูมิเนียมเพื่อสร้างโครงที่แม่นยำ จากนั้นใช้เลเซอร์ตัดแผ่น PET film และเคลือบด้วยสารแขวนลอยของผงเหล็กออกไซด์ เพื่อสร้างพื้นผิวแม่เหล็กที่สามารถบันทึกข้อมูลได้ ขั้นตอนที่ยากที่สุดคือการทำให้สารเคลือบติดแน่นกับแผ่น PET โดยต้องปรับสูตรหลายครั้ง ใช้สาร PVA, แอลกอฮอล์, กลีเซอรีน และสารลดแรงตึงผิว Tween 20 พร้อมทั้งอบด้วยเครื่องพิมพ์ 3D เพื่อให้ความหนาและความเรียบเท่ากัน สุดท้ายเขาสามารถประกอบแผ่นดิสก์เข้ากับโครงอะลูมิเนียม ทดสอบในไดรฟ์จริง และสามารถอ่านเขียนข้อมูลได้ แม้จะเป็นระดับพื้นฐาน แต่ถือเป็นความสำเร็จที่น่าทึ่งในยุคที่เทคโนโลยีนี้ถูกประกาศว่า “ตาย” ไปแล้วตั้งแต่ปี 2010 https://www.techradar.com/pro/security/remember-floppy-disks-this-youtuber-set-out-to-build-his-own-from-scratch-see-how-he-got-on
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 209 มุมมอง 0 รีวิว
  • เล่าให้ฟังใหม่: SpaceX เปิดตัว Grid Fins ขนาดมหึมา — เตรียมจับจรวดที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้วยหอปล่อย

    SpaceX เผยโฉม Grid Fins รุ่นใหม่สำหรับจรวด Super Heavy ซึ่งเป็นบูสเตอร์ของ Starship — จรวดที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นจรวดเดียวที่ออกแบบมาให้ “ถูกจับ” โดยหอปล่อยแทนการลงจอดแบบเดิม

    Grid Fins คือแผงควบคุมการบินที่คล้ายตะแกรงเหล็ก ใช้ในการควบคุมทิศทางระหว่างการกลับสู่พื้นโลก โดย SpaceX ใช้กับ Falcon 9 มานานแล้ว แต่สำหรับ Super Heavy รุ่นใหม่ Grid Fins ถูกออกแบบใหม่ทั้งหมด: ใหญ่ขึ้น 50%, แข็งแรงขึ้น, และลดจำนวนจาก 4 เหลือ 3 ชิ้น เพื่อให้ควบคุมได้แม่นยำขึ้นในมุมตกที่สูงขึ้น

    นอกจากนี้ SpaceX ยังปรับตำแหน่ง Grid Fins ให้ต่ำลง เพื่อให้สอดคล้องกับจุดจับของหอปล่อย และลดความร้อนจากการแยกขั้นตอน (hot staging) โดยชิ้นส่วนควบคุม เช่น shaft และ actuator จะถูกฝังไว้ในถังเชื้อเพลิงของบูสเตอร์

    การออกแบบนี้ไม่เพียงช่วยให้ Super Heavy กลับสู่พื้นโลกอย่างแม่นยำ แต่ยังเตรียมพร้อมสำหรับการ “จับ” ด้วยแขนกลของหอปล่อย แล้วเติมเชื้อเพลิงใหม่เพื่อบินอีกครั้ง — เป็นก้าวสำคัญของการทำให้จรวดสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้อย่างเต็มรูปแบบ

    SpaceX เปิดตัว Grid Fins รุ่นใหม่สำหรับ Super Heavy
    ใหญ่ขึ้น 50% แข็งแรงขึ้น และลดจำนวนจาก 4 เหลือ 3 ชิ้น

    Grid Fins รุ่นใหม่ช่วยให้บูสเตอร์กลับสู่พื้นโลกในมุมตกที่สูงขึ้น
    ลดแรงเสียดทานอากาศและประหยัดเชื้อเพลิง

    ตำแหน่ง Grid Fins ถูกปรับให้ต่ำลงเพื่อให้สอดคล้องกับจุดจับของหอปล่อย
    ลดความร้อนจาก hot staging และเพิ่มความแม่นยำในการจับ

    ชิ้นส่วนควบคุม Grid Fins ถูกฝังไว้ในถังเชื้อเพลิงของบูสเตอร์
    ลดน้ำหนักและเพิ่มความทนทาน

    Super Heavy จะถูกจับด้วยหอปล่อยแทนการลงจอดในทะเล
    เพื่อเติมเชื้อเพลิงและนำกลับมาใช้ใหม่

    Elon Musk เผยว่า Grid Fins ใหม่นี้จะใช้กับ Super Heavy รุ่นที่ 3
    เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนา Starship Flight 10 และรุ่นถัดไป

    https://wccftech.com/spacex-reveals-humongous-grid-fins-to-catch-worlds-largest-rocket-with-the-launch-tower/
    🚀🛠️ เล่าให้ฟังใหม่: SpaceX เปิดตัว Grid Fins ขนาดมหึมา — เตรียมจับจรวดที่ใหญ่ที่สุดในโลกด้วยหอปล่อย SpaceX เผยโฉม Grid Fins รุ่นใหม่สำหรับจรวด Super Heavy ซึ่งเป็นบูสเตอร์ของ Starship — จรวดที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเป็นจรวดเดียวที่ออกแบบมาให้ “ถูกจับ” โดยหอปล่อยแทนการลงจอดแบบเดิม Grid Fins คือแผงควบคุมการบินที่คล้ายตะแกรงเหล็ก ใช้ในการควบคุมทิศทางระหว่างการกลับสู่พื้นโลก โดย SpaceX ใช้กับ Falcon 9 มานานแล้ว แต่สำหรับ Super Heavy รุ่นใหม่ Grid Fins ถูกออกแบบใหม่ทั้งหมด: ใหญ่ขึ้น 50%, แข็งแรงขึ้น, และลดจำนวนจาก 4 เหลือ 3 ชิ้น เพื่อให้ควบคุมได้แม่นยำขึ้นในมุมตกที่สูงขึ้น นอกจากนี้ SpaceX ยังปรับตำแหน่ง Grid Fins ให้ต่ำลง เพื่อให้สอดคล้องกับจุดจับของหอปล่อย และลดความร้อนจากการแยกขั้นตอน (hot staging) โดยชิ้นส่วนควบคุม เช่น shaft และ actuator จะถูกฝังไว้ในถังเชื้อเพลิงของบูสเตอร์ การออกแบบนี้ไม่เพียงช่วยให้ Super Heavy กลับสู่พื้นโลกอย่างแม่นยำ แต่ยังเตรียมพร้อมสำหรับการ “จับ” ด้วยแขนกลของหอปล่อย แล้วเติมเชื้อเพลิงใหม่เพื่อบินอีกครั้ง — เป็นก้าวสำคัญของการทำให้จรวดสามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้อย่างเต็มรูปแบบ ✅ SpaceX เปิดตัว Grid Fins รุ่นใหม่สำหรับ Super Heavy ➡️ ใหญ่ขึ้น 50% แข็งแรงขึ้น และลดจำนวนจาก 4 เหลือ 3 ชิ้น ✅ Grid Fins รุ่นใหม่ช่วยให้บูสเตอร์กลับสู่พื้นโลกในมุมตกที่สูงขึ้น ➡️ ลดแรงเสียดทานอากาศและประหยัดเชื้อเพลิง ✅ ตำแหน่ง Grid Fins ถูกปรับให้ต่ำลงเพื่อให้สอดคล้องกับจุดจับของหอปล่อย ➡️ ลดความร้อนจาก hot staging และเพิ่มความแม่นยำในการจับ ✅ ชิ้นส่วนควบคุม Grid Fins ถูกฝังไว้ในถังเชื้อเพลิงของบูสเตอร์ ➡️ ลดน้ำหนักและเพิ่มความทนทาน ✅ Super Heavy จะถูกจับด้วยหอปล่อยแทนการลงจอดในทะเล ➡️ เพื่อเติมเชื้อเพลิงและนำกลับมาใช้ใหม่ ✅ Elon Musk เผยว่า Grid Fins ใหม่นี้จะใช้กับ Super Heavy รุ่นที่ 3 ➡️ เป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนา Starship Flight 10 และรุ่นถัดไป https://wccftech.com/spacex-reveals-humongous-grid-fins-to-catch-worlds-largest-rocket-with-the-launch-tower/
    WCCFTECH.COM
    SpaceX Reveals Humongous Grid Fins To Catch World's Largest Rocket With The Launch Tower
    SpaceX unveils 50% larger grid fins for Starship Super Heavy, enhancing performance with three fins and other upgrades.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 285 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts