• เมื่อพ่อแม่พูดบั่นทอนใจ...เราจะรักษาใจอย่างไรดี?

    > ถ้าคุณเคยได้ยินคำพูดจากพ่อแม่ เช่น
    “เธอจะลำบากแน่”
    “เธอคงไม่มีอนาคต”
    “เธอจะไม่มีทางไปถึงฝั่งฝันได้หรอก”

    และคำพูดเหล่านี้ฝังแน่นอยู่ในใจคุณ
    จนทำให้เกิดความกังวล หวั่นไหว สะเทือนความเชื่อมั่น
    อย่าเพิ่งท้อครับ
    คุณไม่ใช่คนเดียวที่เจอแบบนี้ และคุณมีทางรอดที่งดงามกว่าโต้ตอบหรือหลบหนี

    ---

    1. หยุดคาดหวังว่าพ่อแม่จะต้องสมบูรณ์แบบเสมอ

    ในโลกนี้ พ่อแม่หลายคนเป็นพ่อแม่เพราะ “ตามสัญชาตญาณ”
    ไม่ใช่เพราะเข้าใจบทบาทหรือมีสัมมาทิฏฐิ
    พ่อแม่บางคนคาดหวังมากเกินไป บางคนพูดจากความกลัว
    หรือบางคนอาจไม่รู้เลยว่า “คำพูด” ของตัวเองทำร้ายลูกแค่ไหน

    ---

    2. เปลี่ยนจากความน้อยใจ → เป็นแรงใจให้เริ่มยกครอบครัวขึ้น

    พระพุทธเจ้าตรัสว่า

    > “การตอบแทนบุญคุณพ่อแม่อย่างแท้จริง
    คือการช่วยให้ท่านมีความเห็นถูก (สัมมาทิฏฐิ)”

    หากเรารู้ธรรมะก่อนท่าน มีความเข้าใจถูกก่อนท่าน
    เรามีสิทธิ์เป็น ผู้นำทางจิตวิญญาณในครอบครัว
    ไม่ใช่เพราะท่านอ่อนแอ แต่เพราะเรา “มีกำลังใจจะเริ่มก่อน”

    ---

    3. หยุดดูถูกตัวเองว่าเป็น ‘เหยื่อ’ แล้วตั้งใจจะเป็น ‘ผู้เปลี่ยน’

    ทุกครั้งที่โดนคำพูดลบๆ ให้ย้อนมามองที่ใจ
    อย่าคิดแค่ “ทำไมพ่อแม่ถึงพูดแบบนี้กับเรา”
    แต่ให้ถามใหม่ว่า

    > “เราจะรักษาความดีในใจตัวเองไว้ได้ไหม?”
    “เราจะเป็นคนดับไฟด้วยน้ำเย็นได้หรือเปล่า?”

    อย่ารอให้เขาหยุดพูดก่อนถึงจะใจดี
    แต่ให้เริ่มใจดีก่อน แม้เขายังพูดไม่ดี

    ---

    4. สร้างใจให้สตรอง ด้วยธรรมะที่เป็นของจริงในใจ

    ไม่ต้องท่องศีลห้า ไม่ต้องท่องบทเมตตา
    แต่ ขอแค่มีธรรมะในใจจริงๆ
    คือ มีเจตนาจะไม่โต้ตอบด้วยโทสะ
    มีสติรู้ทันว่ากำลังจะโกรธ แล้วกลับมาสงบ
    มีเมตตาเพียงพอจะไม่ตอกกลับ

    ถ้าทำได้บ่อยๆ คุณจะกลายเป็นคนที่มีสกิลสูงขึ้นเรื่อยๆ
    ในการรับมือกับไฟ ด้วยน้ำ

    ---

    5. จงภูมิใจในบทบาท “ผู้เริ่มต้น”

    แม้จะเหนื่อยบ้าง แต่คุณคือคนที่ “เริ่มทำให้บ้านมีธรรมะ”
    คุณอาจจะยังไม่ทำให้เขาเปลี่ยนได้วันนี้
    แต่คุณกำลังสร้างคลื่นเล็กๆ ที่อาจเปลี่ยนทั้งครอบครัวในวันหน้า

    > เพราะคำพูดของพ่อแม่ ไม่ใช่คำทำนายชีวิตคุณ
    แต่ ใจของคุณต่างหาก ที่กำลังออกแบบชีวิตใหม่…ทุกวัน

    ---

    จงอย่ารอให้พ่อแม่เปลี่ยนก่อน
    แต่ให้ตัวคุณเป็นแสงแรกที่เริ่มสว่าง…เพื่อทั้งตัวคุณ และเขา

    เมื่อพ่อแม่พูดบั่นทอนใจ...เราจะรักษาใจอย่างไรดี? > ถ้าคุณเคยได้ยินคำพูดจากพ่อแม่ เช่น “เธอจะลำบากแน่” “เธอคงไม่มีอนาคต” “เธอจะไม่มีทางไปถึงฝั่งฝันได้หรอก” และคำพูดเหล่านี้ฝังแน่นอยู่ในใจคุณ จนทำให้เกิดความกังวล หวั่นไหว สะเทือนความเชื่อมั่น อย่าเพิ่งท้อครับ คุณไม่ใช่คนเดียวที่เจอแบบนี้ และคุณมีทางรอดที่งดงามกว่าโต้ตอบหรือหลบหนี --- 1. หยุดคาดหวังว่าพ่อแม่จะต้องสมบูรณ์แบบเสมอ ในโลกนี้ พ่อแม่หลายคนเป็นพ่อแม่เพราะ “ตามสัญชาตญาณ” ไม่ใช่เพราะเข้าใจบทบาทหรือมีสัมมาทิฏฐิ พ่อแม่บางคนคาดหวังมากเกินไป บางคนพูดจากความกลัว หรือบางคนอาจไม่รู้เลยว่า “คำพูด” ของตัวเองทำร้ายลูกแค่ไหน --- 2. เปลี่ยนจากความน้อยใจ → เป็นแรงใจให้เริ่มยกครอบครัวขึ้น พระพุทธเจ้าตรัสว่า > “การตอบแทนบุญคุณพ่อแม่อย่างแท้จริง คือการช่วยให้ท่านมีความเห็นถูก (สัมมาทิฏฐิ)” หากเรารู้ธรรมะก่อนท่าน มีความเข้าใจถูกก่อนท่าน เรามีสิทธิ์เป็น ผู้นำทางจิตวิญญาณในครอบครัว ไม่ใช่เพราะท่านอ่อนแอ แต่เพราะเรา “มีกำลังใจจะเริ่มก่อน” --- 3. หยุดดูถูกตัวเองว่าเป็น ‘เหยื่อ’ แล้วตั้งใจจะเป็น ‘ผู้เปลี่ยน’ ทุกครั้งที่โดนคำพูดลบๆ ให้ย้อนมามองที่ใจ อย่าคิดแค่ “ทำไมพ่อแม่ถึงพูดแบบนี้กับเรา” แต่ให้ถามใหม่ว่า > “เราจะรักษาความดีในใจตัวเองไว้ได้ไหม?” “เราจะเป็นคนดับไฟด้วยน้ำเย็นได้หรือเปล่า?” อย่ารอให้เขาหยุดพูดก่อนถึงจะใจดี แต่ให้เริ่มใจดีก่อน แม้เขายังพูดไม่ดี --- 4. สร้างใจให้สตรอง ด้วยธรรมะที่เป็นของจริงในใจ ไม่ต้องท่องศีลห้า ไม่ต้องท่องบทเมตตา แต่ ขอแค่มีธรรมะในใจจริงๆ คือ มีเจตนาจะไม่โต้ตอบด้วยโทสะ มีสติรู้ทันว่ากำลังจะโกรธ แล้วกลับมาสงบ มีเมตตาเพียงพอจะไม่ตอกกลับ ถ้าทำได้บ่อยๆ คุณจะกลายเป็นคนที่มีสกิลสูงขึ้นเรื่อยๆ ในการรับมือกับไฟ ด้วยน้ำ --- 5. จงภูมิใจในบทบาท “ผู้เริ่มต้น” แม้จะเหนื่อยบ้าง แต่คุณคือคนที่ “เริ่มทำให้บ้านมีธรรมะ” คุณอาจจะยังไม่ทำให้เขาเปลี่ยนได้วันนี้ แต่คุณกำลังสร้างคลื่นเล็กๆ ที่อาจเปลี่ยนทั้งครอบครัวในวันหน้า > เพราะคำพูดของพ่อแม่ ไม่ใช่คำทำนายชีวิตคุณ แต่ ใจของคุณต่างหาก ที่กำลังออกแบบชีวิตใหม่…ทุกวัน --- จงอย่ารอให้พ่อแม่เปลี่ยนก่อน แต่ให้ตัวคุณเป็นแสงแรกที่เริ่มสว่าง…เพื่อทั้งตัวคุณ และเขา —
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 306 มุมมอง 0 รีวิว
  • ความกตัญญู – เครื่องหมายของคนดี

    พระพุทธเจ้าตรัสว่า
    "ความกตัญญูรู้คุณคน เป็นเครื่องหมายของคนดี"

    แต่ "กตัญญู" ไม่ได้หมายถึงแค่การตอบแทนบุญคุณพ่อแม่เท่านั้น
    แต่ยังหมายถึง การจดจำคุณของคนที่เคยช่วยเหลือเรา
    → ใครเคยให้โอกาสเรา → ใครเคยสอนเรา → ใครเคยเป็นสะพานให้เราเดินไปสู่ความสำเร็จ

    ถ้าขาดความกตัญญู → จะกลายเป็นคน หลงตัวเอง

    คิดว่า ทุกอย่างที่ได้มา เป็นเพราะ ความสามารถของตัวเอง ล้วนๆ

    ลืมว่า ทุกก้าวของชีวิต มีใครบางคนเคยช่วยดันให้ขึ้นมา



    ---

    กตัญญู ≠ แค่ตอบแทนพ่อแม่

    ความกตัญญูแบบแท้จริง → คือ "จิตสำนึก" ของคนดี

    รู้ว่า ใครทำดีต่อเรา และ ตอบแทนด้วยความจริงใจ

    ไม่จำเป็นต้องเป็นการให้ทรัพย์สิน → อาจเป็นการให้โอกาส ให้เวลา ให้คำแนะนำ

    จิตสำนึกแบบนี้จะลากพานิสัยดีๆ อื่นๆ ตามมา เช่น

    มี ความเกรงใจ รู้ว่าอะไรควรไม่ควร

    มี ความซื่อสัตย์ กับคนรอบตัว

    มี ความขยันและรับผิดชอบ




    ---

    คนไร้กตัญญู เกิดขึ้นได้ยังไง?

    คนไร้กตัญญูไม่ได้เกิดมาเป็นแบบนี้ แต่ "ถูกสร้างขึ้นมา"

    ตอนเด็ก ไม่ถูกสอนให้ขอบคุณใคร

    ตอนเด็ก ไม่เคยต้องช่วยเหลือหรือรับใช้พ่อแม่เลย

    ตอนเด็ก ไม่เคยต้องไหว้ครูแบบจริงใจ


    ผลลัพธ์ของการไม่สอนเรื่องกตัญญู

    โตขึ้น เป็นคนหลงตัวเอง → คิดว่า ทุกอย่างต้องเป็นของตนเองโดยอัตโนมัติ

    เชื่อว่า พ่อแม่มีหน้าที่ต้องให้ → แต่ ตัวเองไม่มีหน้าที่ต้องตอบแทน

    เชื่อว่า ครูมีหน้าที่สอน → ไม่จำเป็นต้องเคารพหรือเห็นคุณค่า

    คิดว่า ใครช่วยเหลือตัวเองก็เพราะเขาอยากทำเอง → ไม่มีความซาบซึ้ง


    สุดท้าย... พวกนี้มักเป็นคนที่โดดเดี่ยวตอนแก่

    เพราะเขาไม่เคยสร้างความสัมพันธ์บนพื้นฐานของความรู้คุณ

    คนรอบตัว ค่อยๆ หายไป เพราะเขา มองทุกคนเป็นแค่เครื่องมือ



    ---

    วิธีสอน "กตัญญู" ให้เกิดขึ้นจริง

    1. ฝึกให้เด็ก "ขอบคุณ" ตั้งแต่เล็ก

    "ขอบคุณ" เมื่อมีใครหยิบของให้

    "ขอบคุณ" เมื่อมีคนสอนอะไรให้

    "ขอบคุณ" เมื่อมีใครทำดีกับเรา


    2. ฝึกให้เด็กรับผิดชอบบางอย่างเพื่อพ่อแม่

    ให้ช่วย ทำงานบ้านเล็กๆ น้อยๆ

    ให้เข้าใจว่า "ครอบครัวไม่ใช่โรงแรม"

    ให้รู้ว่า "การช่วยพ่อแม่" คือการตอบแทนบุญคุณง่ายที่สุด


    3. ทำให้เด็กเห็นว่า "ใครๆ ก็อยากได้รับการเห็นคุณค่า"

    ให้เขาเห็นว่า "คนที่ได้รับคำขอบคุณ ยิ้มได้เสมอ"

    ให้เขาเข้าใจว่า "คำพูดดีๆ ทำให้คนอยากช่วยต่อไป"


    4. พ่อแม่ต้องทำเป็นตัวอย่าง

    ถ้าพ่อแม่ ไม่เคยพูดขอบคุณกันเอง

    ถ้าพ่อแม่ ไม่เคยทำอะไรให้ปู่ย่าตายายเลย

    ลูก จะซึมซับความไม่กตัญญูไปโดยอัตโนมัติ



    ---

    ความกตัญญู = ความสำเร็จในชีวิต

    "กตัญญูรู้คุณคน" เป็นรากฐานของความสำเร็จ
    เพราะ...
    1️⃣ คนที่รู้คุณคน → มักได้รับโอกาสจากผู้ใหญ่เสมอ
    2️⃣ คนที่กตัญญู → ทำให้ใครๆ ก็อยากช่วยต่อไป
    3️⃣ คนที่ไม่ลืมบุญคุณ → มักเป็นที่รัก และไม่ถูกทอดทิ้ง

    แต่คนที่ไร้กตัญญู → มักพบจุดจบที่เลวร้าย

    พอหมดประโยชน์ → คนรอบตัวจะค่อยๆ หายไป

    ถึงเวลาต้องการความช่วยเหลือ → ไม่มีใครอยากช่วย

    สุดท้าย ต้องอยู่คนเดียว เพราะสร้างแต่หนี้บุญคุณที่ไม่ได้ชำระ



    ---

    สรุป

    กตัญญู = จิตสำนึกของคนดี
    กตัญญู = การสร้างรากฐานนิสัยที่ดีทั้งหมด
    กตัญญู = กุญแจสำคัญของความสำเร็จ
    กตัญญู = ไม่ปล่อยให้ตัวเองเป็นคนไร้ค่าในสายตาผู้อื่น

    อยากให้ลูกเป็นคนดี?
    อยากให้ตัวเองมีอนาคตที่ดี?
    อยากให้ชีวิตไม่ลำบากในบั้นปลาย?

    สอนให้กตัญญูตั้งแต่วันนี้!

    📌 ความกตัญญู – เครื่องหมายของคนดี 🟢 พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ความกตัญญูรู้คุณคน เป็นเครื่องหมายของคนดี" แต่ "กตัญญู" ไม่ได้หมายถึงแค่การตอบแทนบุญคุณพ่อแม่เท่านั้น แต่ยังหมายถึง การจดจำคุณของคนที่เคยช่วยเหลือเรา → ใครเคยให้โอกาสเรา → ใครเคยสอนเรา → ใครเคยเป็นสะพานให้เราเดินไปสู่ความสำเร็จ 🛑 ถ้าขาดความกตัญญู → จะกลายเป็นคน หลงตัวเอง คิดว่า ทุกอย่างที่ได้มา เป็นเพราะ ความสามารถของตัวเอง ล้วนๆ ลืมว่า ทุกก้าวของชีวิต มีใครบางคนเคยช่วยดันให้ขึ้นมา --- 📌 กตัญญู ≠ แค่ตอบแทนพ่อแม่ ✅ ความกตัญญูแบบแท้จริง → คือ "จิตสำนึก" ของคนดี รู้ว่า ใครทำดีต่อเรา และ ตอบแทนด้วยความจริงใจ ไม่จำเป็นต้องเป็นการให้ทรัพย์สิน → อาจเป็นการให้โอกาส ให้เวลา ให้คำแนะนำ จิตสำนึกแบบนี้จะลากพานิสัยดีๆ อื่นๆ ตามมา เช่น มี ความเกรงใจ รู้ว่าอะไรควรไม่ควร มี ความซื่อสัตย์ กับคนรอบตัว มี ความขยันและรับผิดชอบ --- 📌 คนไร้กตัญญู เกิดขึ้นได้ยังไง? 🛑 คนไร้กตัญญูไม่ได้เกิดมาเป็นแบบนี้ แต่ "ถูกสร้างขึ้นมา" ตอนเด็ก ไม่ถูกสอนให้ขอบคุณใคร ตอนเด็ก ไม่เคยต้องช่วยเหลือหรือรับใช้พ่อแม่เลย ตอนเด็ก ไม่เคยต้องไหว้ครูแบบจริงใจ 👎 ผลลัพธ์ของการไม่สอนเรื่องกตัญญู โตขึ้น เป็นคนหลงตัวเอง → คิดว่า ทุกอย่างต้องเป็นของตนเองโดยอัตโนมัติ เชื่อว่า พ่อแม่มีหน้าที่ต้องให้ → แต่ ตัวเองไม่มีหน้าที่ต้องตอบแทน เชื่อว่า ครูมีหน้าที่สอน → ไม่จำเป็นต้องเคารพหรือเห็นคุณค่า คิดว่า ใครช่วยเหลือตัวเองก็เพราะเขาอยากทำเอง → ไม่มีความซาบซึ้ง 🚨 สุดท้าย... พวกนี้มักเป็นคนที่โดดเดี่ยวตอนแก่ เพราะเขาไม่เคยสร้างความสัมพันธ์บนพื้นฐานของความรู้คุณ คนรอบตัว ค่อยๆ หายไป เพราะเขา มองทุกคนเป็นแค่เครื่องมือ --- 📌 วิธีสอน "กตัญญู" ให้เกิดขึ้นจริง ✅ 1. ฝึกให้เด็ก "ขอบคุณ" ตั้งแต่เล็ก "ขอบคุณ" เมื่อมีใครหยิบของให้ "ขอบคุณ" เมื่อมีคนสอนอะไรให้ "ขอบคุณ" เมื่อมีใครทำดีกับเรา ✅ 2. ฝึกให้เด็กรับผิดชอบบางอย่างเพื่อพ่อแม่ ให้ช่วย ทำงานบ้านเล็กๆ น้อยๆ ให้เข้าใจว่า "ครอบครัวไม่ใช่โรงแรม" ให้รู้ว่า "การช่วยพ่อแม่" คือการตอบแทนบุญคุณง่ายที่สุด ✅ 3. ทำให้เด็กเห็นว่า "ใครๆ ก็อยากได้รับการเห็นคุณค่า" ให้เขาเห็นว่า "คนที่ได้รับคำขอบคุณ ยิ้มได้เสมอ" ให้เขาเข้าใจว่า "คำพูดดีๆ ทำให้คนอยากช่วยต่อไป" ✅ 4. พ่อแม่ต้องทำเป็นตัวอย่าง ถ้าพ่อแม่ ไม่เคยพูดขอบคุณกันเอง ถ้าพ่อแม่ ไม่เคยทำอะไรให้ปู่ย่าตายายเลย ลูก จะซึมซับความไม่กตัญญูไปโดยอัตโนมัติ --- 📌 ความกตัญญู = ความสำเร็จในชีวิต 🌟 "กตัญญูรู้คุณคน" เป็นรากฐานของความสำเร็จ เพราะ... 1️⃣ คนที่รู้คุณคน → มักได้รับโอกาสจากผู้ใหญ่เสมอ 2️⃣ คนที่กตัญญู → ทำให้ใครๆ ก็อยากช่วยต่อไป 3️⃣ คนที่ไม่ลืมบุญคุณ → มักเป็นที่รัก และไม่ถูกทอดทิ้ง 🛑 แต่คนที่ไร้กตัญญู → มักพบจุดจบที่เลวร้าย พอหมดประโยชน์ → คนรอบตัวจะค่อยๆ หายไป ถึงเวลาต้องการความช่วยเหลือ → ไม่มีใครอยากช่วย สุดท้าย ต้องอยู่คนเดียว เพราะสร้างแต่หนี้บุญคุณที่ไม่ได้ชำระ --- 📌 สรุป 👉 กตัญญู = จิตสำนึกของคนดี 👉 กตัญญู = การสร้างรากฐานนิสัยที่ดีทั้งหมด 👉 กตัญญู = กุญแจสำคัญของความสำเร็จ 👉 กตัญญู = ไม่ปล่อยให้ตัวเองเป็นคนไร้ค่าในสายตาผู้อื่น 📍 อยากให้ลูกเป็นคนดี? 📍 อยากให้ตัวเองมีอนาคตที่ดี? 📍 อยากให้ชีวิตไม่ลำบากในบั้นปลาย? 👉 สอนให้กตัญญูตั้งแต่วันนี้!
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 444 มุมมอง 0 รีวิว
  • #รวมคำสอนผิด คน…ธรรม (จะแน่วแน่แก้ไขในสิ่งผิด...)

    1. พระอรหันต์ฆ่าตัวตาย ทำการุณยฆาต
    ที่ถูกคือ>> พระอรหันต์ไม่ฆ่าตัวตาย
    สมดังคำที่พระสารีบุตรกล่าวว่า
    เราไม่ยินดีความตาย
    ไม่ปรารถนาความเป็น
    แต่เรารอเวลาแตกดับ (ปรินิพพาน)
    เหมือนลูกจ้างรอค่าจ้างฉะนั้น.
    และการุณยฆาตไม่ใช่การฆ่าตัวเอง

    2. พระพุทธเจ้าไม่เคยใช้กุศโลบาย
    ที่ถูกคือ>> พระพุทธเจ้าเป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ด้วยอุบายเครื่องแนะนำอย่างวิจิตร มีอาฬวกยักษ์เป็นต้น. แม้คำสอนทั้งหมดก็มีอุบายสอน เช่นอุบายเครื่องสงบจิต.

    3. พุทธคุณในพระเครื่องไม่มี
    ที่ถูกคือ>> พุทธคุณในพระเครื่องมีทั้งมีและไม่มี ที่มีเพราะเหตุปัจจัยถึงพร้อม คือ ผู้สวดพระปริตรมีศีล ไม่มีความโลภอยากได้ลาภสักการะ สวดด้วยความอนุเคราะห์ ด้วยศรัทธา บาลีไม่ผิดเพี้ยน ย่อมมีอานุภาพ/ ส่วนที่ไม่มีอานุภาพก็ตรงกันข้ามกัน (ตัวอย่างตั่ง(ที่นั่ง)ที่พระองคุลิมาลนั่งทำสัจกิริยา ก็มีอานุภาพตลอดกัป)

    4. พระปริตรป้องกันภัยไม่ได้
    พระปริตรขัดกับหลักกรรมและสุขทุกข์ไม่มีใครบันดาล
    ที่ถูกคือ >> กรรมและสุขทุกข์ไม่มีใครบันดาลนั้นหมายความว่า “สุขทุกข์ไม่ได้เกิดจากพระผู้สร้าง เช่นพระอิศวรนิรมิต” / พระพุทธเจ้าทรงปฏิเสธพระผู้สร้าง เพราะศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งเหตุและปัจจัย ไม่ได้เกิดขึ้นเองลอยๆหรือใครบันดาล >> พระปริตรเป็นกุศลกรรม ไม่ใช่ใครบันดาล แต่เกิดจากกรรมในปัจจุบัน ที่บุคคลนั้นได้กล่าวสัจจกิริยา หรือ สวดพระปริตร ซึ่งเป็นกุศลที่ให้ผลในปัจจุบัน ตามหลักแห่งกรรม เป็น ทิฐธรรมเวทนียกรรม
    >> และพระปริตรก็มีเหตุปัจจัยอื่นเป็นตัวแปรที่ให้ผลไม่ได้ทุกคน จึงแทนโรงพยาบาลไม่ได้ แต่ผู้มีศรัทธา ไม่ทำกรรมหนัก ไม่สวดด้วยกิเลส และยังไม่หมดอายุขัย พระปริตรย่อมช่วยได้.

    5. สร้างศาลาใหญ่ไว้ให้หมานอนเกาขี้กาก ที่ถูกคือ ทำบุญในศาสนาของพระพุทธเจ้าผู้มีคุณหาประมาณมิได้ ไม่ควรกำหนดว่าเท่านั้นเท่านี้ มีตัวอย่างพระลกุณฏกะ ในอดีตท่านแนะนำชาวบ้านให้สร้างเจดีย์จากใหญ่ให้เหลือเล็กลง ด้วยวิบากกรรมนั้นท่านจึงเกิดมาตัวเล็กเตี้ยเหมือนสามเณร

    6. บวชพระ, บวชตามประเพณี, บวชหน้าไฟ ไม่เป็นการทดแทนบุญคุณพ่อแม่ ที่ถูกคือ>> การบวชแม้ไม่ใช่การทดแทนคุณพ่อแม่สูงสุด แต่ก็เป็นการทดแทนคุณได้ เพราะการบวชทำให้พ่อแม่เกิดกุศลจิต พ่อแม่ได้ทำบุญใส่บาตรพระลูกชายเป็นต้น การทำให้พ่อแม่เกิดกุศลจิตได้ เป็นการทดแทนคุณอย่างหนึ่ง

    7. สัมภเวสี คือช่วงรออัตภาพการเกิด คือเวลาที่กายแตกตายแต่สี่ขันธ์ยังยึดรูปอยู่ยังรู้อยู่เรียกช่วงนี้ว่าสัมภเวสี ที่ถูกคือ >> สัมภเวสี คือ ผู้ที่แสวงหาที่เกิด, ผู้ที่ยังต้องเกิด คือ พระเสขะและปุถุชน ยกเว้นพระอรหันต์ เพราะยังละภวสังโยชน์ยังไม่ได้.
    สัมภเวสี ตามนัยแห่งกำเนิด 4 คือ
    1. เกิดในไข่ (ขณะอยู่ในไข่ เรียกสัมภเวสี ออกจากไข่ได้แล้วเรียกว่าภูต คือเกิดแล้ว)
    2. เกิดในครรภ์ (ขณะอยู่ในรก เรียกสัมภเวสี คลอดออกมาแล้วเรียกว่าภูต คือเกิดแล้ว)
    3. เกิดในเถ้าไคล และ 4. เกิดแบบผุดเกิด
    (ขณะแห่งปฐมจิต เรียกสัมภเวสี
    ขณะแห่งจิตดวงที่สอง ชื่อว่าภูต คือเกิดแล้ว)
    มาใน : อรรถกถาเมตตสูตร

    8. อมตะธาตุยึดขันธ์ห้า
    ที่ถูกคือ>> อมตะธาตุยึดขันธ์๕ไม่ได้
    เพราะอมตะธาตุคือนิพพาน

    9. โสดาปัตติมรรค ละสังโยชน์ข้อแรก
    โสดาปัตติผล ละสังโยชน์อีกสองข้อ
    ที่ถูกคือ>> โสดาปัตติมัคคจิต เป็นจิตที่ประหาณจิตโลภที่เป็นทิฏฐิสัมปยุตต ๔ ดวง และโมหมูลจิตที่เป็นวิจิกิจฉาสัมปยุตต ๑ ดวง อย่างเด็ดขาด เป็นสมุจเฉทประหาณ รวมประหาณ อกุศลจิต ๕ ดวง เด็ดขาด /โสดาปัตติผลจิต เป็นจิตที่เกิดขึ้นเพื่อเสวยสุขจากการที่โสดาปัตติมรรคญาณได้ทำการประหาณแล้ว

    10. ลอยกระทง ไปขอขมาทำไมแม่น้ำ ไปทะเลาะกับแม่น้ำเหรอจึงต้องขอขมา / วันลอยกระทงตามหลักคำสอนพระพุทธเจ้าคือวันดอกโกมุทบาน
    ที่ถูกคือ>> การรู้คุณแม่น้ำถือว่าเป็นผู้รู้คุณในสรรพสิ่ง สมดังคำที่พระองค์ตรัสว่า "บุคคลนั่งหรือนอนที่ร่มเงาของต้นไม้ใด ไม่พึงหักรานกิ่งของต้นไม้นั้น เพราะผู้ประทุษร้ายมิตรเป็นคนเลวทราม" ดังนั้นสิ่งที่มีอุปการะแก่ชีวิตเราล้วนมีคุณเพียงแค่เราจะเห็นคุณนั้นหรือไม่ ส่วนน้ำนั้นคนโบราณเห็นว่าใช้น้ำมาทั้งปี ทำไร่ ทำนา ใช้ชำระกายทั้งดื่มกิน เขาก็ระลึกรู้คุณเป็นพิเศษ ก็ถือได้ว่าเขาเป็นคนดีเลยทีเดียว
    / และวันลอยกระทงตามหลักคำสอนพระพุทธเจ้าคือวันดอกโกมุทบาน ไม่ควรกล่าวอ้างอย่างนั้น เพราะดอกโกมุทบานเป็นเพียงคำขยายของพระจันทร์ เพราะวันนั้นเป็นวันพระจันทร์เต็มดวงในฤดูฝน ดอกโกมุทบานก็บานทั้งฤดูอยู่แล้ว ดอกโกมุทบานเป็นเพียงผู้ร่วมงาน ประธานคือพระจันทร์เต็มดวง ดังนั้นจึงไม่ควรเอาแขกร่วมงานมาตั้งชื้อวัน

    11. ใครแย้งว่าสอนผิด จะอ้างว่าเขาอิจฉาริษยา
    ที่ถูกคือ>> ผู้ชี้โทษ ไม่ใช่เพราะอิจฉาริษยา แต่เป็นการติเตียนตามธรรม เพื่อปกป้องพระพุทธศาสนาไม่ให้ใครมาบิดเบือน / ทราบว่าที่คุณพูดเอามาจากสักกปัญหาสูตร
    ท้าวสักกะได้ทูลถามพระพุทธเจ้าว่า “ทำไมสัตว์ทั้งหลายมีความปรารถนาไม่มีเวร ไม่ถูกเบียดเบียนฯลฯ แต่เพราะอะไรพวกเขาจึงยังคงมีเวร ถูกเบียดเบียนอยู่”
    พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ”เพราะมีอิสสา(ความริษยา) และมัจฉริยะ(ความตระหนี่) สัตว์ทั้งหลายจึงจองเวรกัน เบียดเบียนกัน ซึ่งท่านใช้สูตรนี้มาสอนลูกศิษย์ และลูกศิษย์ก็เที่ยวไปว่าคนเห็นต่างว่าอิจฉาริษยาอาจารย์เขา /ทำไมคุณไม่ใช้สูตรผู้ชี้โทษคือผู้ชี้ขุมทรัพย์มาสอน.

    ที่สอนถูกก็มี ผิดก็ควรแก้ไข
    หวังว่าท่านจะระวังในการสอนมากขึ้น

    #แค่ผ่านตา แต่ก็อดไม่ได้ที่จะต้องชี้แจง
    >> ผู้เขียน : โลก กะ ธรรม กับม่อน

    Credit : เปรมวดี ก๋งชิน
    #รวมคำสอนผิด คน…ธรรม (จะแน่วแน่แก้ไขในสิ่งผิด...) 1. พระอรหันต์ฆ่าตัวตาย ทำการุณยฆาต❌ ที่ถูกคือ>> พระอรหันต์ไม่ฆ่าตัวตาย สมดังคำที่พระสารีบุตรกล่าวว่า เราไม่ยินดีความตาย ไม่ปรารถนาความเป็น แต่เรารอเวลาแตกดับ (ปรินิพพาน) เหมือนลูกจ้างรอค่าจ้างฉะนั้น. และการุณยฆาตไม่ใช่การฆ่าตัวเอง 2. พระพุทธเจ้าไม่เคยใช้กุศโลบาย❌ ที่ถูกคือ>> พระพุทธเจ้าเป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ด้วยอุบายเครื่องแนะนำอย่างวิจิตร มีอาฬวกยักษ์เป็นต้น. แม้คำสอนทั้งหมดก็มีอุบายสอน เช่นอุบายเครื่องสงบจิต. 3. พุทธคุณในพระเครื่องไม่มี❌ ที่ถูกคือ>> พุทธคุณในพระเครื่องมีทั้งมีและไม่มี ที่มีเพราะเหตุปัจจัยถึงพร้อม คือ ผู้สวดพระปริตรมีศีล ไม่มีความโลภอยากได้ลาภสักการะ สวดด้วยความอนุเคราะห์ ด้วยศรัทธา บาลีไม่ผิดเพี้ยน ย่อมมีอานุภาพ/ ส่วนที่ไม่มีอานุภาพก็ตรงกันข้ามกัน (ตัวอย่างตั่ง(ที่นั่ง)ที่พระองคุลิมาลนั่งทำสัจกิริยา ก็มีอานุภาพตลอดกัป) 4. พระปริตรป้องกันภัยไม่ได้ พระปริตรขัดกับหลักกรรมและสุขทุกข์ไม่มีใครบันดาล❌ ที่ถูกคือ >> กรรมและสุขทุกข์ไม่มีใครบันดาลนั้นหมายความว่า “สุขทุกข์ไม่ได้เกิดจากพระผู้สร้าง เช่นพระอิศวรนิรมิต” / พระพุทธเจ้าทรงปฏิเสธพระผู้สร้าง เพราะศาสนาพุทธเป็นศาสนาแห่งเหตุและปัจจัย ไม่ได้เกิดขึ้นเองลอยๆหรือใครบันดาล >> พระปริตรเป็นกุศลกรรม ไม่ใช่ใครบันดาล แต่เกิดจากกรรมในปัจจุบัน ที่บุคคลนั้นได้กล่าวสัจจกิริยา หรือ สวดพระปริตร ซึ่งเป็นกุศลที่ให้ผลในปัจจุบัน ตามหลักแห่งกรรม เป็น ทิฐธรรมเวทนียกรรม >> และพระปริตรก็มีเหตุปัจจัยอื่นเป็นตัวแปรที่ให้ผลไม่ได้ทุกคน จึงแทนโรงพยาบาลไม่ได้ แต่ผู้มีศรัทธา ไม่ทำกรรมหนัก ไม่สวดด้วยกิเลส และยังไม่หมดอายุขัย พระปริตรย่อมช่วยได้. 5. สร้างศาลาใหญ่ไว้ให้หมานอนเกาขี้กาก❌ ที่ถูกคือ ทำบุญในศาสนาของพระพุทธเจ้าผู้มีคุณหาประมาณมิได้ ไม่ควรกำหนดว่าเท่านั้นเท่านี้ มีตัวอย่างพระลกุณฏกะ ในอดีตท่านแนะนำชาวบ้านให้สร้างเจดีย์จากใหญ่ให้เหลือเล็กลง ด้วยวิบากกรรมนั้นท่านจึงเกิดมาตัวเล็กเตี้ยเหมือนสามเณร 6. บวชพระ, บวชตามประเพณี, บวชหน้าไฟ ไม่เป็นการทดแทนบุญคุณพ่อแม่❌ ที่ถูกคือ>> การบวชแม้ไม่ใช่การทดแทนคุณพ่อแม่สูงสุด แต่ก็เป็นการทดแทนคุณได้ เพราะการบวชทำให้พ่อแม่เกิดกุศลจิต พ่อแม่ได้ทำบุญใส่บาตรพระลูกชายเป็นต้น การทำให้พ่อแม่เกิดกุศลจิตได้ เป็นการทดแทนคุณอย่างหนึ่ง 7. สัมภเวสี คือช่วงรออัตภาพการเกิด คือเวลาที่กายแตกตายแต่สี่ขันธ์ยังยึดรูปอยู่ยังรู้อยู่เรียกช่วงนี้ว่าสัมภเวสี❌ ที่ถูกคือ >> สัมภเวสี คือ ผู้ที่แสวงหาที่เกิด, ผู้ที่ยังต้องเกิด คือ พระเสขะและปุถุชน ยกเว้นพระอรหันต์ เพราะยังละภวสังโยชน์ยังไม่ได้. 👉 สัมภเวสี ตามนัยแห่งกำเนิด 4 คือ 1. เกิดในไข่ (ขณะอยู่ในไข่ เรียกสัมภเวสี ออกจากไข่ได้แล้วเรียกว่าภูต คือเกิดแล้ว) 2. เกิดในครรภ์ (ขณะอยู่ในรก เรียกสัมภเวสี คลอดออกมาแล้วเรียกว่าภูต คือเกิดแล้ว) 3. เกิดในเถ้าไคล และ 4. เกิดแบบผุดเกิด (ขณะแห่งปฐมจิต เรียกสัมภเวสี ขณะแห่งจิตดวงที่สอง ชื่อว่าภูต คือเกิดแล้ว) มาใน : อรรถกถาเมตตสูตร 8. อมตะธาตุยึดขันธ์ห้า❌ ที่ถูกคือ>> อมตะธาตุยึดขันธ์๕ไม่ได้ เพราะอมตะธาตุคือนิพพาน 9. โสดาปัตติมรรค ละสังโยชน์ข้อแรก โสดาปัตติผล ละสังโยชน์อีกสองข้อ❌ ที่ถูกคือ>> โสดาปัตติมัคคจิต เป็นจิตที่ประหาณจิตโลภที่เป็นทิฏฐิสัมปยุตต ๔ ดวง และโมหมูลจิตที่เป็นวิจิกิจฉาสัมปยุตต ๑ ดวง อย่างเด็ดขาด เป็นสมุจเฉทประหาณ รวมประหาณ อกุศลจิต ๕ ดวง เด็ดขาด /โสดาปัตติผลจิต เป็นจิตที่เกิดขึ้นเพื่อเสวยสุขจากการที่โสดาปัตติมรรคญาณได้ทำการประหาณแล้ว 10. ลอยกระทง ไปขอขมาทำไมแม่น้ำ ไปทะเลาะกับแม่น้ำเหรอจึงต้องขอขมา / วันลอยกระทงตามหลักคำสอนพระพุทธเจ้าคือวันดอกโกมุทบาน❌ ที่ถูกคือ>> การรู้คุณแม่น้ำถือว่าเป็นผู้รู้คุณในสรรพสิ่ง สมดังคำที่พระองค์ตรัสว่า "บุคคลนั่งหรือนอนที่ร่มเงาของต้นไม้ใด ไม่พึงหักรานกิ่งของต้นไม้นั้น เพราะผู้ประทุษร้ายมิตรเป็นคนเลวทราม" ดังนั้นสิ่งที่มีอุปการะแก่ชีวิตเราล้วนมีคุณเพียงแค่เราจะเห็นคุณนั้นหรือไม่ ส่วนน้ำนั้นคนโบราณเห็นว่าใช้น้ำมาทั้งปี ทำไร่ ทำนา ใช้ชำระกายทั้งดื่มกิน เขาก็ระลึกรู้คุณเป็นพิเศษ ก็ถือได้ว่าเขาเป็นคนดีเลยทีเดียว / และวันลอยกระทงตามหลักคำสอนพระพุทธเจ้าคือวันดอกโกมุทบาน❌ ไม่ควรกล่าวอ้างอย่างนั้น เพราะดอกโกมุทบานเป็นเพียงคำขยายของพระจันทร์ เพราะวันนั้นเป็นวันพระจันทร์เต็มดวงในฤดูฝน ดอกโกมุทบานก็บานทั้งฤดูอยู่แล้ว ดอกโกมุทบานเป็นเพียงผู้ร่วมงาน ประธานคือพระจันทร์เต็มดวง ดังนั้นจึงไม่ควรเอาแขกร่วมงานมาตั้งชื้อวัน 11. ใครแย้งว่าสอนผิด จะอ้างว่าเขาอิจฉาริษยา❌ ที่ถูกคือ>> ผู้ชี้โทษ ไม่ใช่เพราะอิจฉาริษยา แต่เป็นการติเตียนตามธรรม เพื่อปกป้องพระพุทธศาสนาไม่ให้ใครมาบิดเบือน / ทราบว่าที่คุณพูดเอามาจากสักกปัญหาสูตร ท้าวสักกะได้ทูลถามพระพุทธเจ้าว่า “ทำไมสัตว์ทั้งหลายมีความปรารถนาไม่มีเวร ไม่ถูกเบียดเบียนฯลฯ แต่เพราะอะไรพวกเขาจึงยังคงมีเวร ถูกเบียดเบียนอยู่” พระผู้มีพระภาคตรัสตอบว่า ”เพราะมีอิสสา(ความริษยา) และมัจฉริยะ(ความตระหนี่) สัตว์ทั้งหลายจึงจองเวรกัน เบียดเบียนกัน ซึ่งท่านใช้สูตรนี้มาสอนลูกศิษย์ และลูกศิษย์ก็เที่ยวไปว่าคนเห็นต่างว่าอิจฉาริษยาอาจารย์เขา /ทำไมคุณไม่ใช้สูตรผู้ชี้โทษคือผู้ชี้ขุมทรัพย์มาสอน. ✍️ที่สอนถูกก็มี ผิดก็ควรแก้ไข หวังว่าท่านจะระวังในการสอนมากขึ้น #แค่ผ่านตา แต่ก็อดไม่ได้ที่จะต้องชี้แจง >> ผู้เขียน : โลก กะ ธรรม กับม่อน Credit : เปรมวดี ก๋งชิน
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1322 มุมมอง 0 รีวิว
  • #หลวงตามหาบัว_ญาณสัมปันโน #วัดป่าบ้านตาด #บุญคุณพ่อแม่ #อย่าลืมบุญคุณพ่อแม่นะ #สิ้นโลกเหลือธรรม #แชร์เป็นธรรมทาน #เผยแผ่เป็นธรรมทาน #เปิดสาธารณะ #ตามรอยพระศาสดา #กราบพ่อแม่ครูบาอาจารย์ผู้งามในธรรม #ศิษย์หลวงปู่
    #หลวงตามหาบัว_ญาณสัมปันโน #วัดป่าบ้านตาด #บุญคุณพ่อแม่ #อย่าลืมบุญคุณพ่อแม่นะ #สิ้นโลกเหลือธรรม #แชร์เป็นธรรมทาน #เผยแผ่เป็นธรรมทาน #เปิดสาธารณะ #ตามรอยพระศาสดา #กราบพ่อแม่ครูบาอาจารย์ผู้งามในธรรม #ศิษย์หลวงปู่
    Love
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1228 มุมมอง 60 0 รีวิว