• บทความกฎหมาย EP.27
    เรื่อง การชดใช้ค่าเสียหาย: หลักกฎหมายสู่การเยียวยาที่เป็นธรรม

    การชดใช้ค่าเสียหายคือหัวใจสำคัญของระบบกฎหมายที่มุ่งธำรงไว้ซึ่งความเป็นธรรมและแก้ไขเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการกระทำอันมิชอบ ไม่ว่าจะเป็นการละเมิดสิทธิ หน้าที่ หรือการผิดสัญญาที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น การชดใช้ค่าเสียหายจึงเป็นกลไกในการฟื้นฟูสภาพความเสียหายให้กลับคืนสู่สถานะเดิมหรือใกล้เคียงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยมักจะแสดงออกในรูปของการชำระเงินทดแทน หรือการกระทำอื่นใดที่เป็นการเยียวยาความสูญเสียนั้น ในทางกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หลักการชดใช้ค่าเสียหายถูกกำหนดไว้เพื่อคุ้มครองประโยชน์ของคู่กรณีที่ได้รับความเสียหาย ไม่ว่าจะเป็นความเสียหายทางกายภาพ ทรัพย์สิน ชื่อเสียง หรือแม้กระทั่งความเสียหายทางจิตใจ ซึ่งความเสียหายเหล่านี้ต้องสามารถคำนวณและประเมินค่าได้ การพิจารณาประเภทและขอบเขตของค่าเสียหายนั้นขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงของแต่ละกรณีอย่างละเอียดรอบคอบ รวมถึงเจตนารมณ์ของกฎหมายที่ต้องการให้ผู้ที่ได้รับความเสียหายได้รับการเยียวยาอย่างเหมาะสมและเป็นธรรม การละเมิดซึ่งเป็นบ่อเกิดแห่งหนี้ประเภทหนึ่ง หมายถึงการที่บุคคลใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมาย เป็นเหตุให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิต ร่างกาย อนามัย เสรีภาพ ทรัพย์สิน หรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใด ค่าเสียหายอันเกิดจากการละเมิดอาจรวมถึงค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ค่าขาดไร้ประโยชน์ ค่าเสียหายทางจิตใจ หรือแม้กระทั่งค่าปลงศพและค่าอุปการะเลี้ยงดูในกรณีที่ถึงแก่ความตาย ส่วนการผิดสัญญาเป็นกรณีที่คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงที่ระบุไว้ในสัญญา ก่อให้เกิดความเสียหายแก่อีกฝ่ายหนึ่ง การชดใช้ค่าเสียหายจากการผิดสัญญามักมุ่งเน้นไปที่การชดเชยเพื่อให้ผู้เสียหายอยู่ในฐานะเสมือนว่าสัญญานั้นได้มีการปฏิบัติตามอย่างสมบูรณ์ ซึ่งอาจรวมถึงค่าเสียหายโดยตรงที่เกิดขึ้นจากการผิดสัญญา และค่าเสียหายที่คาดการณ์ได้ว่าจะเกิดขึ้นจากการผิดสัญญานั้นด้วย นอกจากนี้ กฎหมายยังให้ความสำคัญกับการพิสูจน์ความเสียหายและมูลค่าของความเสียหาย เพื่อให้การชดใช้เป็นไปอย่างสมเหตุสมผลและไม่เกินกว่าความเป็นจริง ผู้เสียหายมีภาระในการนำสืบให้ศาลเห็นว่าตนได้รับความเสียหายจริงและมูลค่าของความเสียหายนั้นเป็นเท่าใด ซึ่งต้องอาศัยพยานหลักฐานที่น่าเชื่อถือประกอบการพิจารณา กระบวนการทางกฎหมายจึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการไกล่เกลี่ยและตัดสินข้อพิพาท เพื่อให้ผู้เสียหายได้รับการเยียวยาอย่างถูกต้องตามครรลองของกฎหมาย

    ดังนั้น การชดใช้ค่าเสียหายจึงไม่ใช่เพียงแค่การจ่ายเงิน แต่เป็นการแสดงออกถึงความรับผิดชอบทางกฎหมายและการคืนความเป็นธรรมให้แก่สังคม กฎหมายได้วางหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนเพื่อประเมินและกำหนดค่าเสียหายให้สอดคล้องกับสภาพความจริงและความรุนแรงของความเสียหายที่เกิดขึ้น ทั้งนี้เพื่อให้ผู้เสียหายได้รับการเยียวยาอย่างเต็มที่และสมเหตุสมผล ขณะเดียวกันก็เป็นการสร้างบรรทัดฐานให้ผู้กระทำความผิดตระหนักถึงผลของการกระทำและป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์เช่นว่านั้นขึ้นอีก การทำความเข้าใจหลักการและประเภทของการชดใช้ค่าเสียหายจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ไม่เพียงแต่สำหรับนักกฎหมายเท่านั้น แต่รวมถึงประชาชนทั่วไปด้วย เพื่อที่จะสามารถปกป้องสิทธิของตนเองและเรียกร้องความเป็นธรรมได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายเมื่อเกิดความเสียหายขึ้น การเยียวยาด้วยการชดใช้ค่าเสียหายจึงเป็นกลไกที่จำเป็นในการสร้างสมดุลและธำรงไว้ซึ่งความสงบสุขในสังคม.
    บทความกฎหมาย EP.27 เรื่อง การชดใช้ค่าเสียหาย: หลักกฎหมายสู่การเยียวยาที่เป็นธรรม การชดใช้ค่าเสียหายคือหัวใจสำคัญของระบบกฎหมายที่มุ่งธำรงไว้ซึ่งความเป็นธรรมและแก้ไขเยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นจากการกระทำอันมิชอบ ไม่ว่าจะเป็นการละเมิดสิทธิ หน้าที่ หรือการผิดสัญญาที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลอื่น การชดใช้ค่าเสียหายจึงเป็นกลไกในการฟื้นฟูสภาพความเสียหายให้กลับคืนสู่สถานะเดิมหรือใกล้เคียงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยมักจะแสดงออกในรูปของการชำระเงินทดแทน หรือการกระทำอื่นใดที่เป็นการเยียวยาความสูญเสียนั้น ในทางกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หลักการชดใช้ค่าเสียหายถูกกำหนดไว้เพื่อคุ้มครองประโยชน์ของคู่กรณีที่ได้รับความเสียหาย ไม่ว่าจะเป็นความเสียหายทางกายภาพ ทรัพย์สิน ชื่อเสียง หรือแม้กระทั่งความเสียหายทางจิตใจ ซึ่งความเสียหายเหล่านี้ต้องสามารถคำนวณและประเมินค่าได้ การพิจารณาประเภทและขอบเขตของค่าเสียหายนั้นขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริงของแต่ละกรณีอย่างละเอียดรอบคอบ รวมถึงเจตนารมณ์ของกฎหมายที่ต้องการให้ผู้ที่ได้รับความเสียหายได้รับการเยียวยาอย่างเหมาะสมและเป็นธรรม การละเมิดซึ่งเป็นบ่อเกิดแห่งหนี้ประเภทหนึ่ง หมายถึงการที่บุคคลใดจงใจหรือประมาทเลินเล่อ ทำต่อบุคคลอื่นโดยผิดกฎหมาย เป็นเหตุให้เขาเสียหายถึงแก่ชีวิต ร่างกาย อนามัย เสรีภาพ ทรัพย์สิน หรือสิทธิอย่างหนึ่งอย่างใด ค่าเสียหายอันเกิดจากการละเมิดอาจรวมถึงค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล ค่าขาดไร้ประโยชน์ ค่าเสียหายทางจิตใจ หรือแม้กระทั่งค่าปลงศพและค่าอุปการะเลี้ยงดูในกรณีที่ถึงแก่ความตาย ส่วนการผิดสัญญาเป็นกรณีที่คู่สัญญาฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงที่ระบุไว้ในสัญญา ก่อให้เกิดความเสียหายแก่อีกฝ่ายหนึ่ง การชดใช้ค่าเสียหายจากการผิดสัญญามักมุ่งเน้นไปที่การชดเชยเพื่อให้ผู้เสียหายอยู่ในฐานะเสมือนว่าสัญญานั้นได้มีการปฏิบัติตามอย่างสมบูรณ์ ซึ่งอาจรวมถึงค่าเสียหายโดยตรงที่เกิดขึ้นจากการผิดสัญญา และค่าเสียหายที่คาดการณ์ได้ว่าจะเกิดขึ้นจากการผิดสัญญานั้นด้วย นอกจากนี้ กฎหมายยังให้ความสำคัญกับการพิสูจน์ความเสียหายและมูลค่าของความเสียหาย เพื่อให้การชดใช้เป็นไปอย่างสมเหตุสมผลและไม่เกินกว่าความเป็นจริง ผู้เสียหายมีภาระในการนำสืบให้ศาลเห็นว่าตนได้รับความเสียหายจริงและมูลค่าของความเสียหายนั้นเป็นเท่าใด ซึ่งต้องอาศัยพยานหลักฐานที่น่าเชื่อถือประกอบการพิจารณา กระบวนการทางกฎหมายจึงเป็นเครื่องมือสำคัญในการไกล่เกลี่ยและตัดสินข้อพิพาท เพื่อให้ผู้เสียหายได้รับการเยียวยาอย่างถูกต้องตามครรลองของกฎหมาย ดังนั้น การชดใช้ค่าเสียหายจึงไม่ใช่เพียงแค่การจ่ายเงิน แต่เป็นการแสดงออกถึงความรับผิดชอบทางกฎหมายและการคืนความเป็นธรรมให้แก่สังคม กฎหมายได้วางหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนเพื่อประเมินและกำหนดค่าเสียหายให้สอดคล้องกับสภาพความจริงและความรุนแรงของความเสียหายที่เกิดขึ้น ทั้งนี้เพื่อให้ผู้เสียหายได้รับการเยียวยาอย่างเต็มที่และสมเหตุสมผล ขณะเดียวกันก็เป็นการสร้างบรรทัดฐานให้ผู้กระทำความผิดตระหนักถึงผลของการกระทำและป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์เช่นว่านั้นขึ้นอีก การทำความเข้าใจหลักการและประเภทของการชดใช้ค่าเสียหายจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ไม่เพียงแต่สำหรับนักกฎหมายเท่านั้น แต่รวมถึงประชาชนทั่วไปด้วย เพื่อที่จะสามารถปกป้องสิทธิของตนเองและเรียกร้องความเป็นธรรมได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายเมื่อเกิดความเสียหายขึ้น การเยียวยาด้วยการชดใช้ค่าเสียหายจึงเป็นกลไกที่จำเป็นในการสร้างสมดุลและธำรงไว้ซึ่งความสงบสุขในสังคม.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 3 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข้าวแกงปักษ์ใต้ครัวแม่กิ้มหลง #แพรกษา #สมุทรปราการ #กินอะไรดี #ร้านดีบอกต่อ #อร่อยบอกต่อ #พิกัดของอร่อย #ต้องลอง #อาหาร #eating #food #streetfood #thaifood #thailand #thaitimes #kaiaminute
    ข้าวแกงปักษ์ใต้ครัวแม่กิ้มหลง #แพรกษา #สมุทรปราการ #กินอะไรดี #ร้านดีบอกต่อ #อร่อยบอกต่อ #พิกัดของอร่อย #ต้องลอง #อาหาร #eating #food #streetfood #thaifood #thailand #thaitimes #kaiaminute
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 6 มุมมอง 0 0 รีวิว
  • 🩷 รวมข่าวจาก TechRadar ประจำวัน 🩷
    #20251119 #techradar

    Bulletproof Hosting ถูกตำรวจเนเธอร์แลนด์ปิดล้อม
    มีบริการโฮสติ้งที่ชื่อ CrazyRDP ซึ่งเปิดให้เช่าเซิร์ฟเวอร์แบบไม่ต้องยืนยันตัวตน (ไม่มี KYC, ไม่เก็บ log) ทำให้เหล่าแฮกเกอร์นิยมใช้กันมาก เพราะสามารถซ่อนร่องรอยได้ง่าย ตำรวจเนเธอร์แลนด์จึงเข้ายึดกว่า 250 เซิร์ฟเวอร์ ทำให้บริการนี้ล่มไปชั่วคราว ถึงแม้ยังไม่มีการจับกุม แต่เจ้าหน้าที่กำลังตรวจสอบข้อมูลเพื่อหาตัวผู้ให้บริการและลูกค้า

    Ransomware Kraken ทดสอบเครื่องก่อนเข้ารหัส
    มัลแวร์ชื่อ Kraken มีวิธีโจมตีที่แปลกใหม่ มันจะสร้างไฟล์ทดสอบขึ้นมาแล้วเข้ารหัสเพื่อจับเวลา วัดความเร็วของเครื่อง จากนั้นจึงตัดสินใจว่าจะเข้ารหัสไฟล์ทั้งหมดหรือบางส่วนเพื่อไม่ให้เครื่องช้าจนผู้ใช้สงสัย หลังจากนั้นมันจะลบ backup, shadow copy และทิ้งโน้ตเรียกค่าไถ่ไว้ บางกรณีเรียกเงินถึง 1 ล้านดอลลาร์

    กรอบรูปดิจิทัล Uhale แอบติดตั้งมัลแวร์
    นักวิจัยพบว่ากรอบรูปดิจิทัลยี่ห้อ Uhale มีช่องโหว่ร้ายแรง เมื่อเปิดเครื่องจะดาวน์โหลดไฟล์อันตรายมาติดตั้งเองโดยอัตโนมัติ ทำให้บ้านหรือเครือข่ายผู้ใช้เสี่ยงถูกเจาะ ข้อบกพร่องรวมถึงการจัดการ TrustManager ที่ไม่ปลอดภัย และไฟล์ที่ไม่ได้ตรวจสอบชื่ออย่างเหมาะสม ผู้ใช้จึงควรระวังและเลือกอุปกรณ์จากผู้ผลิตที่เชื่อถือได้

    USB Flash Drive จิ๋วที่เสียบแล้วลืม
    มีการรีวิวแฟลชไดรฟ์ขนาดเล็กมาก ๆ ที่สามารถเสียบกับ MacBook Pro หรือโน้ตบุ๊กแล้วแทบไม่ยื่นออกมาเลย เช่น SanDisk Extreme Fit 1TB ที่เร็วถึง 400MB/s และยังมีรุ่นเล็กกว่านี้อีกหลายยี่ห้อ แม้ความจุไม่มาก แต่ข้อดีคือเล็ก ปลอดภัยจากการกระแทก และราคาถูก

    Gemini 3 ชนะการทดสอบโค้ดจริง
    นักเขียนลองทดสอบ AI สามเจ้า: Gemini 3, ChatGPT 5.1 และ Claude Sonnet 4.5 โดยให้สร้างเกม Thumb Wars แบบง่าย ๆ ผลปรากฏว่า Gemini 3 ทำงานได้ดีที่สุด สร้างเกมที่เล่นได้จริง มีการปรับปรุงกราฟิกและระบบควบคุม ส่วนอีกสองเจ้ายังไม่สมบูรณ์เท่า Gemini

    ข่าวสดวงการ VPN และความเป็นส่วนตัว
    บล็อกสดรายงานความเคลื่อนไหว VPN เช่น โปรโมชัน Black Friday ของ NordVPN, Surfshark และ Proton VPN รวมถึงการถกเถียงเรื่องกฎหมายควบคุมการเข้ารหัสในยุโรป และการพัฒนา Digital ID ในสหราชอาณาจักร ซึ่งทั้งหมดสะท้อนว่าความเป็นส่วนตัวออนไลน์ยังเป็นประเด็นร้อนแรง

    รหัสผ่านยอดนิยมยังคงอ่อนแอ
    รายงานจาก NordPass พบว่าปี 2025 รหัสผ่านที่คนใช้มากที่สุดในสหรัฐคือ “admin” และ “password” ซึ่งง่ายต่อการถูกเจาะ แม้จะมีการใช้ตัวอักษรพิเศษมากขึ้น แต่ส่วนใหญ่ยังเดาง่าย เช่น “P@ssw0rd” หรือ “123456” ทำให้ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ใช้ password manager และตั้งรหัสที่ซับซ้อนกว่านี้

    ลำโพง TRIBIT PocketGo ท้าชน JBL Go 4
    TRIBIT เปิดตัวลำโพงบลูทูธรุ่น PocketGo ขนาดเล็ก กันน้ำ กันฝุ่น และตกจากที่สูงได้ ราคาเพียง 34.99 ดอลลาร์ แต่ให้เสียงดังเกินตัว แถมแบตเตอรี่ใช้งานได้ถึง 20 ชั่วโมง ถือเป็นคู่แข่งตรงของ JBL Go 4 ที่ราคาสูงกว่า

    Microsoft 365 เพิ่ม Copilot Agents
    Microsoft ประกาศเพิ่ม AI Agents เข้าไปใน Word, Excel, PowerPoint และ Outlook โดยผู้ใช้สามารถพิมพ์ prompt ให้ Copilot สร้างเอกสาร สรุปข้อมูล ทำสไลด์ หรือแก้ปัญหาตารางนัดหมายได้ทันที ถือเป็นการยกระดับการทำงานด้วย AI ให้สะดวกขึ้นมาก

    Microsoft เปิดตัว Agent 365
    นอกจาก Copilot Agents แล้ว Microsoft ยังเปิดตัวแพลตฟอร์มใหม่ชื่อ Agent 365 เพื่อให้ผู้ดูแลระบบสามารถจัดการ AI Agents ทั้งหมดในองค์กรได้ง่ายขึ้น เห็นสิทธิ์การเข้าถึง ตรวจสอบพฤติกรรม และเชื่อมต่อกับเครื่องมือความปลอดภัยของ Microsoft เพื่อให้ใช้งานอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ

    ไปตามเจาะข่าวกันได้ที่ : https://www.techradar.com/
    📰🟢🩷 รวมข่าวจาก TechRadar ประจำวัน 🩷🟢📰 #20251119 #techradar 🛡️ Bulletproof Hosting ถูกตำรวจเนเธอร์แลนด์ปิดล้อม มีบริการโฮสติ้งที่ชื่อ CrazyRDP ซึ่งเปิดให้เช่าเซิร์ฟเวอร์แบบไม่ต้องยืนยันตัวตน (ไม่มี KYC, ไม่เก็บ log) ทำให้เหล่าแฮกเกอร์นิยมใช้กันมาก เพราะสามารถซ่อนร่องรอยได้ง่าย ตำรวจเนเธอร์แลนด์จึงเข้ายึดกว่า 250 เซิร์ฟเวอร์ ทำให้บริการนี้ล่มไปชั่วคราว ถึงแม้ยังไม่มีการจับกุม แต่เจ้าหน้าที่กำลังตรวจสอบข้อมูลเพื่อหาตัวผู้ให้บริการและลูกค้า 💻 Ransomware Kraken ทดสอบเครื่องก่อนเข้ารหัส มัลแวร์ชื่อ Kraken มีวิธีโจมตีที่แปลกใหม่ มันจะสร้างไฟล์ทดสอบขึ้นมาแล้วเข้ารหัสเพื่อจับเวลา วัดความเร็วของเครื่อง จากนั้นจึงตัดสินใจว่าจะเข้ารหัสไฟล์ทั้งหมดหรือบางส่วนเพื่อไม่ให้เครื่องช้าจนผู้ใช้สงสัย หลังจากนั้นมันจะลบ backup, shadow copy และทิ้งโน้ตเรียกค่าไถ่ไว้ บางกรณีเรียกเงินถึง 1 ล้านดอลลาร์ 🖼️ กรอบรูปดิจิทัล Uhale แอบติดตั้งมัลแวร์ นักวิจัยพบว่ากรอบรูปดิจิทัลยี่ห้อ Uhale มีช่องโหว่ร้ายแรง เมื่อเปิดเครื่องจะดาวน์โหลดไฟล์อันตรายมาติดตั้งเองโดยอัตโนมัติ ทำให้บ้านหรือเครือข่ายผู้ใช้เสี่ยงถูกเจาะ ข้อบกพร่องรวมถึงการจัดการ TrustManager ที่ไม่ปลอดภัย และไฟล์ที่ไม่ได้ตรวจสอบชื่ออย่างเหมาะสม ผู้ใช้จึงควรระวังและเลือกอุปกรณ์จากผู้ผลิตที่เชื่อถือได้ 💾 USB Flash Drive จิ๋วที่เสียบแล้วลืม มีการรีวิวแฟลชไดรฟ์ขนาดเล็กมาก ๆ ที่สามารถเสียบกับ MacBook Pro หรือโน้ตบุ๊กแล้วแทบไม่ยื่นออกมาเลย เช่น SanDisk Extreme Fit 1TB ที่เร็วถึง 400MB/s และยังมีรุ่นเล็กกว่านี้อีกหลายยี่ห้อ แม้ความจุไม่มาก แต่ข้อดีคือเล็ก ปลอดภัยจากการกระแทก และราคาถูก 🤖 Gemini 3 ชนะการทดสอบโค้ดจริง นักเขียนลองทดสอบ AI สามเจ้า: Gemini 3, ChatGPT 5.1 และ Claude Sonnet 4.5 โดยให้สร้างเกม Thumb Wars แบบง่าย ๆ ผลปรากฏว่า Gemini 3 ทำงานได้ดีที่สุด สร้างเกมที่เล่นได้จริง มีการปรับปรุงกราฟิกและระบบควบคุม ส่วนอีกสองเจ้ายังไม่สมบูรณ์เท่า Gemini 🔐 ข่าวสดวงการ VPN และความเป็นส่วนตัว บล็อกสดรายงานความเคลื่อนไหว VPN เช่น โปรโมชัน Black Friday ของ NordVPN, Surfshark และ Proton VPN รวมถึงการถกเถียงเรื่องกฎหมายควบคุมการเข้ารหัสในยุโรป และการพัฒนา Digital ID ในสหราชอาณาจักร ซึ่งทั้งหมดสะท้อนว่าความเป็นส่วนตัวออนไลน์ยังเป็นประเด็นร้อนแรง 🔑 รหัสผ่านยอดนิยมยังคงอ่อนแอ รายงานจาก NordPass พบว่าปี 2025 รหัสผ่านที่คนใช้มากที่สุดในสหรัฐคือ “admin” และ “password” ซึ่งง่ายต่อการถูกเจาะ แม้จะมีการใช้ตัวอักษรพิเศษมากขึ้น แต่ส่วนใหญ่ยังเดาง่าย เช่น “P@ssw0rd” หรือ “123456” ทำให้ผู้เชี่ยวชาญแนะนำให้ใช้ password manager และตั้งรหัสที่ซับซ้อนกว่านี้ 🔊 ลำโพง TRIBIT PocketGo ท้าชน JBL Go 4 TRIBIT เปิดตัวลำโพงบลูทูธรุ่น PocketGo ขนาดเล็ก กันน้ำ กันฝุ่น และตกจากที่สูงได้ ราคาเพียง 34.99 ดอลลาร์ แต่ให้เสียงดังเกินตัว แถมแบตเตอรี่ใช้งานได้ถึง 20 ชั่วโมง ถือเป็นคู่แข่งตรงของ JBL Go 4 ที่ราคาสูงกว่า 📊 Microsoft 365 เพิ่ม Copilot Agents Microsoft ประกาศเพิ่ม AI Agents เข้าไปใน Word, Excel, PowerPoint และ Outlook โดยผู้ใช้สามารถพิมพ์ prompt ให้ Copilot สร้างเอกสาร สรุปข้อมูล ทำสไลด์ หรือแก้ปัญหาตารางนัดหมายได้ทันที ถือเป็นการยกระดับการทำงานด้วย AI ให้สะดวกขึ้นมาก 🗂️ Microsoft เปิดตัว Agent 365 นอกจาก Copilot Agents แล้ว Microsoft ยังเปิดตัวแพลตฟอร์มใหม่ชื่อ Agent 365 เพื่อให้ผู้ดูแลระบบสามารถจัดการ AI Agents ทั้งหมดในองค์กรได้ง่ายขึ้น เห็นสิทธิ์การเข้าถึง ตรวจสอบพฤติกรรม และเชื่อมต่อกับเครื่องมือความปลอดภัยของ Microsoft เพื่อให้ใช้งานอย่างปลอดภัยและมีประสิทธิภาพ ไปตามเจาะข่าวกันได้ที่ : https://www.techradar.com/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 16 มุมมอง 0 รีวิว
  • “วิกฤติ GPU ราคาประหยัด – เมื่อหน่วยความจำกลายเป็นตัวแปรสำคัญ”

    รายงานล่าสุดเผยว่า AMD และ NVIDIA อาจหยุดการผลิตการ์ดจอระดับเริ่มต้น (Budget GPUs) เนื่องจากต้นทุนหน่วยความจำที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ GDDR6 และ GDDR6X ที่ถูกใช้ในรุ่นใหม่ ๆ ทำให้การ์ดจอราคาถูกไม่สามารถทำกำไรได้อีกต่อไป

    การขาดแคลนหน่วยความจำเกิดจากความต้องการที่สูงในตลาด AI และศูนย์ข้อมูล ซึ่งแข่งขันกับตลาดเกมโดยตรง ส่งผลให้ราคาหน่วยความจำพุ่งขึ้นและกระทบต่อการ์ดจอระดับล่างที่มีมาร์จิ้นกำไรต่ำอยู่แล้ว ผู้ผลิตจึงอาจเลือกที่จะมุ่งไปที่ รุ่นกลางและรุ่นสูง ที่สามารถทำกำไรได้มากกว่า

    หากการ์ดจอราคาประหยัดถูกเลิกผลิตจริง จะส่งผลกระทบต่อ ผู้เล่นเกมระดับ Entry-Level ที่ต้องการอุปกรณ์ราคาย่อมเยาในการเข้าถึงเกม PC โดยเฉพาะในตลาดกำลังพัฒนา ซึ่งอาจทำให้ผู้เล่นใหม่หันไปใช้ เครื่องเกมคอนโซล หรือแม้แต่ เกมบนมือถือ แทนการลงทุนใน PC Gaming

    นักวิเคราะห์เตือนว่าการหายไปของการ์ดจอราคาประหยัดอาจทำให้ ตลาดเกม PC สูญเสียผู้เล่นหน้าใหม่ และสร้างความเหลื่อมล้ำระหว่างผู้เล่นที่สามารถซื้อการ์ดจอระดับสูงกับผู้เล่นที่ไม่สามารถเข้าถึงได้

    สรุปสาระสำคัญ
    AMD และ NVIDIA อาจเลิกผลิต Budget GPUs
    ต้นทุนหน่วยความจำสูงขึ้นจนไม่คุ้มค่าในการผลิต

    หน่วยความจำ GDDR6/GDDR6X ขาดแคลน
    ความต้องการจากตลาด AI และศูนย์ข้อมูลเพิ่มขึ้น

    ผู้ผลิตหันไปโฟกัสรุ่นกลางและรุ่นสูง
    ทำกำไรได้มากกว่ารุ่นราคาประหยัด

    ผลกระทบต่อผู้เล่น Entry-Level
    อาจหันไปใช้คอนโซลหรือเกมมือถือแทน

    ความเสี่ยงต่อการเข้าถึงเกม PC
    ผู้เล่นใหม่อาจไม่สามารถซื้อการ์ดจอได้ในราคาที่เหมาะสม

    ตลาดเกม PC อาจสูญเสียผู้เล่นหน้าใหม่
    สร้างความเหลื่อมล้ำระหว่างผู้เล่นที่เข้าถึงการ์ดจอระดับสูงกับผู้เล่นทั่วไป

    https://wccftech.com/amd-nvidia-could-kill-off-budget-gpus-as-memory-shortages-drive-costs-up/
    📰 “วิกฤติ GPU ราคาประหยัด – เมื่อหน่วยความจำกลายเป็นตัวแปรสำคัญ” รายงานล่าสุดเผยว่า AMD และ NVIDIA อาจหยุดการผลิตการ์ดจอระดับเริ่มต้น (Budget GPUs) เนื่องจากต้นทุนหน่วยความจำที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะ GDDR6 และ GDDR6X ที่ถูกใช้ในรุ่นใหม่ ๆ ทำให้การ์ดจอราคาถูกไม่สามารถทำกำไรได้อีกต่อไป การขาดแคลนหน่วยความจำเกิดจากความต้องการที่สูงในตลาด AI และศูนย์ข้อมูล ซึ่งแข่งขันกับตลาดเกมโดยตรง ส่งผลให้ราคาหน่วยความจำพุ่งขึ้นและกระทบต่อการ์ดจอระดับล่างที่มีมาร์จิ้นกำไรต่ำอยู่แล้ว ผู้ผลิตจึงอาจเลือกที่จะมุ่งไปที่ รุ่นกลางและรุ่นสูง ที่สามารถทำกำไรได้มากกว่า หากการ์ดจอราคาประหยัดถูกเลิกผลิตจริง จะส่งผลกระทบต่อ ผู้เล่นเกมระดับ Entry-Level ที่ต้องการอุปกรณ์ราคาย่อมเยาในการเข้าถึงเกม PC โดยเฉพาะในตลาดกำลังพัฒนา ซึ่งอาจทำให้ผู้เล่นใหม่หันไปใช้ เครื่องเกมคอนโซล หรือแม้แต่ เกมบนมือถือ แทนการลงทุนใน PC Gaming นักวิเคราะห์เตือนว่าการหายไปของการ์ดจอราคาประหยัดอาจทำให้ ตลาดเกม PC สูญเสียผู้เล่นหน้าใหม่ และสร้างความเหลื่อมล้ำระหว่างผู้เล่นที่สามารถซื้อการ์ดจอระดับสูงกับผู้เล่นที่ไม่สามารถเข้าถึงได้ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ AMD และ NVIDIA อาจเลิกผลิต Budget GPUs ➡️ ต้นทุนหน่วยความจำสูงขึ้นจนไม่คุ้มค่าในการผลิต ✅ หน่วยความจำ GDDR6/GDDR6X ขาดแคลน ➡️ ความต้องการจากตลาด AI และศูนย์ข้อมูลเพิ่มขึ้น ✅ ผู้ผลิตหันไปโฟกัสรุ่นกลางและรุ่นสูง ➡️ ทำกำไรได้มากกว่ารุ่นราคาประหยัด ✅ ผลกระทบต่อผู้เล่น Entry-Level ➡️ อาจหันไปใช้คอนโซลหรือเกมมือถือแทน ‼️ ความเสี่ยงต่อการเข้าถึงเกม PC ⛔ ผู้เล่นใหม่อาจไม่สามารถซื้อการ์ดจอได้ในราคาที่เหมาะสม ‼️ ตลาดเกม PC อาจสูญเสียผู้เล่นหน้าใหม่ ⛔ สร้างความเหลื่อมล้ำระหว่างผู้เล่นที่เข้าถึงการ์ดจอระดับสูงกับผู้เล่นทั่วไป https://wccftech.com/amd-nvidia-could-kill-off-budget-gpus-as-memory-shortages-drive-costs-up/
    WCCFTECH.COM
    AMD & NVIDIA Might Kill Off Budget GPUs Soon, And Gamers Won’t Like the Reason
    This isn't good news for PC gamers at all, as a new report suggests that GPU manufacturers may halt production of budget GPUs.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 14 มุมมอง 0 รีวิว
  • “FSR Redstone – เทคโนโลยี Upscaling และ Ray Regeneration รุ่นใหม่จาก AMD”

    AMD ประกาศว่าจะจัดงานเปิดตัว FSR Redstone อย่างเป็นทางการในวันที่ 10 ธันวาคม 2025 โดยยืนยันว่าเทคโนโลยีนี้จะรองรับเฉพาะ Radeon RX 9000 Series เท่านั้น แม้ก่อนหน้านี้มีข่าวลือว่าอาจทำงานได้บนการ์ดจอ Nvidia และ Intel แต่ AMD ยืนยันว่าในช่วงแรกจะจำกัดไว้เฉพาะ RDNA 4 รุ่นล่าสุด

    FSR Redstone ถือเป็นการต่อยอดจาก FSR 4 โดยเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ที่สำคัญ ได้แก่ Neural Radiance Caching และ Ray Regeneration ซึ่งทำหน้าที่คล้ายกับเทคโนโลยีของ Nvidia อย่าง Neural Radiance Fields และ Ray Reconstruction จุดเด่นคือช่วยให้การเรนเดอร์ภาพแบบ Ray Tracing มีความแม่นยำและสมจริงมากขึ้น โดยสามารถทำนายแสงสะท้อนทางอ้อมและสร้างพิกเซลที่ไม่สามารถ traced ได้อย่างถูกต้อง

    นอกจากนี้ AMD ยังวางตำแหน่ง Redstone เป็น แพลตฟอร์ม AI-based graphics ที่รวมการ Upscaling, Frame Generation และ Ray Tracing เข้าด้วยกัน ทำให้เกมที่รองรับสามารถแสดงผลได้ลื่นไหลขึ้นโดยไม่สูญเสียคุณภาพภาพมากนัก ตัวอย่างเช่น Call of Duty: Black Ops 7 ที่เป็นเกมแรกที่นำ Redstone มาใช้งานจริง

    แม้จะมีรายงานว่า Redstone ถูกพัฒนาให้สามารถทำงานแบบ vendor-agnostic ผ่านโครงการ ROCm แต่ AMD ยืนยันว่าในช่วงเปิดตัวจะรองรับเฉพาะ RX 9000 Series เท่านั้น ซึ่งคล้ายกับการเปิดตัว FSR 4 ที่แม้จะมีการรองรับ GPU รุ่นเก่า แต่ก็ไม่ได้ถูกประกาศอย่างเป็นทางการ

    สรุปสาระสำคัญ
    AMD เปิดตัว FSR Redstone วันที่ 10 ธันวาคม 2025
    รองรับเฉพาะ Radeon RX 9000 Series

    ฟีเจอร์ใหม่: Neural Radiance Caching และ Ray Regeneration
    ช่วยปรับปรุงคุณภาพ Ray Tracing ให้สมจริงขึ้น

    Redstone รวมเทคโนโลยี AI-based graphics
    Upscaling, Frame Generation และ Ray Tracing ในแพลตฟอร์มเดียว

    เกมแรกที่รองรับคือ Call of Duty: Black Ops 7
    ใช้งานจริงเพื่อโชว์ศักยภาพของ Redstone

    ข้อจำกัดการใช้งาน
    รองรับเฉพาะ RX 9000 Series ในช่วงแรก ไม่เปิดให้ GPU ค่ายอื่น

    ความเสี่ยงด้านการเข้าถึงผู้ใช้
    ผู้ใช้การ์ดจอรุ่นเก่าอาจไม่ได้รับประโยชน์จาก Redstone

    https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/amd-announces-fsr-redstone-premiere-on-december-10-confirms-technology-will-be-limited-to-the-rx-9000-series
    📰 “FSR Redstone – เทคโนโลยี Upscaling และ Ray Regeneration รุ่นใหม่จาก AMD” AMD ประกาศว่าจะจัดงานเปิดตัว FSR Redstone อย่างเป็นทางการในวันที่ 10 ธันวาคม 2025 โดยยืนยันว่าเทคโนโลยีนี้จะรองรับเฉพาะ Radeon RX 9000 Series เท่านั้น แม้ก่อนหน้านี้มีข่าวลือว่าอาจทำงานได้บนการ์ดจอ Nvidia และ Intel แต่ AMD ยืนยันว่าในช่วงแรกจะจำกัดไว้เฉพาะ RDNA 4 รุ่นล่าสุด FSR Redstone ถือเป็นการต่อยอดจาก FSR 4 โดยเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ที่สำคัญ ได้แก่ Neural Radiance Caching และ Ray Regeneration ซึ่งทำหน้าที่คล้ายกับเทคโนโลยีของ Nvidia อย่าง Neural Radiance Fields และ Ray Reconstruction จุดเด่นคือช่วยให้การเรนเดอร์ภาพแบบ Ray Tracing มีความแม่นยำและสมจริงมากขึ้น โดยสามารถทำนายแสงสะท้อนทางอ้อมและสร้างพิกเซลที่ไม่สามารถ traced ได้อย่างถูกต้อง นอกจากนี้ AMD ยังวางตำแหน่ง Redstone เป็น แพลตฟอร์ม AI-based graphics ที่รวมการ Upscaling, Frame Generation และ Ray Tracing เข้าด้วยกัน ทำให้เกมที่รองรับสามารถแสดงผลได้ลื่นไหลขึ้นโดยไม่สูญเสียคุณภาพภาพมากนัก ตัวอย่างเช่น Call of Duty: Black Ops 7 ที่เป็นเกมแรกที่นำ Redstone มาใช้งานจริง แม้จะมีรายงานว่า Redstone ถูกพัฒนาให้สามารถทำงานแบบ vendor-agnostic ผ่านโครงการ ROCm แต่ AMD ยืนยันว่าในช่วงเปิดตัวจะรองรับเฉพาะ RX 9000 Series เท่านั้น ซึ่งคล้ายกับการเปิดตัว FSR 4 ที่แม้จะมีการรองรับ GPU รุ่นเก่า แต่ก็ไม่ได้ถูกประกาศอย่างเป็นทางการ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ AMD เปิดตัว FSR Redstone วันที่ 10 ธันวาคม 2025 ➡️ รองรับเฉพาะ Radeon RX 9000 Series ✅ ฟีเจอร์ใหม่: Neural Radiance Caching และ Ray Regeneration ➡️ ช่วยปรับปรุงคุณภาพ Ray Tracing ให้สมจริงขึ้น ✅ Redstone รวมเทคโนโลยี AI-based graphics ➡️ Upscaling, Frame Generation และ Ray Tracing ในแพลตฟอร์มเดียว ✅ เกมแรกที่รองรับคือ Call of Duty: Black Ops 7 ➡️ ใช้งานจริงเพื่อโชว์ศักยภาพของ Redstone ‼️ ข้อจำกัดการใช้งาน ⛔ รองรับเฉพาะ RX 9000 Series ในช่วงแรก ไม่เปิดให้ GPU ค่ายอื่น ‼️ ความเสี่ยงด้านการเข้าถึงผู้ใช้ ⛔ ผู้ใช้การ์ดจอรุ่นเก่าอาจไม่ได้รับประโยชน์จาก Redstone https://www.tomshardware.com/pc-components/gpus/amd-announces-fsr-redstone-premiere-on-december-10-confirms-technology-will-be-limited-to-the-rx-9000-series
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 15 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Big-Screen Gaming Anywhere – พลังของ HDMI เชื่อมโลกเกมพกพาสู่จอทีวี”

    เครื่องเกมพกพาในยุคปัจจุบันไม่ได้จำกัดแค่การเล่นคนเดียวบนหน้าจอเล็กอีกต่อไป แต่สามารถเชื่อมต่อกับทีวีผ่าน HDMI เพื่อสร้างประสบการณ์การเล่นเกมบนจอใหญ่ได้ทันที ตัวอย่างเช่น Nintendo Switch และ Switch 2 ที่มาพร้อม Dock เชื่อมต่อ HDMI โดยตรง ทำให้ผู้เล่นสามารถเล่นเกมโปรดในความละเอียดสูงสุดถึง 4K ได้บนทีวีในบ้าน

    นอกจาก Nintendo แล้ว ASUS ROG Ally X ก็มี Dock เสริมที่ช่วยให้เครื่องเกมพกพาเชื่อมต่อกับจอ HDMI ได้เช่นกัน ขณะที่ Steam Deck แม้จะไม่มี Dock เฉพาะ แต่ก็สามารถใช้ Dock ของผู้ผลิตอื่นที่มีพอร์ต HDMI เพื่อเชื่อมต่อกับทีวีได้อย่างยืดหยุ่น และสำหรับบางเครื่อง เช่น Atari Gamestation ก็มีพอร์ต HDMI ติดตั้งมาในตัว ทำให้สามารถเสียบสายแล้วเล่นบนจอใหญ่ได้ทันที

    การเชื่อมต่อผ่าน HDMI ไม่ได้ให้แค่ภาพคมชัด แต่ยังรองรับระบบเสียงขั้นสูงผ่าน HDMI ARC และ eARC ซึ่งสามารถส่งสัญญาณเสียงไปยัง Soundbar หรือเครื่องเสียงหลายลำโพงได้ ทำให้การเล่นเกมมีมิติด้านเสียงที่สมจริงมากขึ้น รองรับระบบเสียง Dolby Atmos และ DTS:X ที่ให้ประสบการณ์ใกล้เคียงโรงภาพยนตร์

    แนวโน้มนี้สะท้อนว่าเครื่องเกมพกพากำลังกลายเป็น Hybrid Console ที่สามารถเล่นได้ทั้งนอกบ้านและในห้องนั่งเล่น โดย HDMI เป็นสะพานเชื่อมสำคัญที่ทำให้ผู้เล่นไม่ต้องเลือกว่าจะเล่นแบบพกพาหรือจอใหญ่ แต่สามารถทำได้ทั้งสองอย่างอย่างไร้รอยต่อ

    สรุปสาระสำคัญ
    Nintendo Switch และ Switch 2
    มาพร้อม Dock เชื่อมต่อ HDMI เล่นเกมบนจอใหญ่ได้ทันที

    ASUS ROG Ally X และ Steam Deck
    ใช้ Dock เสริมที่มี HDMI เพื่อเชื่อมต่อกับทีวี

    Atari Gamestation
    มีพอร์ต HDMI ในตัว รองรับการเชื่อมต่อโดยตรง

    HDMI ARC/eARC
    รองรับเสียง Dolby Atmos และ DTS:X เพิ่มความสมจริง

    ข้อจำกัดของบางเครื่อง
    ต้องใช้ Dock หรืออุปกรณ์เสริมในการเชื่อมต่อ HDMI

    ความเสี่ยงด้านคุณภาพเสียง/ภาพ
    หากใช้สายหรืออุปกรณ์ที่ไม่ได้มาตรฐาน อาจทำให้ประสิทธิภาพลดลง

    https://www.tomshardware.com/video-games/handheld-gaming/big-screen-gaming-anywhere-connecting-portable-consoles-to-hdtvs-with-hdmi-r-technology
    📰 “Big-Screen Gaming Anywhere – พลังของ HDMI เชื่อมโลกเกมพกพาสู่จอทีวี” เครื่องเกมพกพาในยุคปัจจุบันไม่ได้จำกัดแค่การเล่นคนเดียวบนหน้าจอเล็กอีกต่อไป แต่สามารถเชื่อมต่อกับทีวีผ่าน HDMI เพื่อสร้างประสบการณ์การเล่นเกมบนจอใหญ่ได้ทันที ตัวอย่างเช่น Nintendo Switch และ Switch 2 ที่มาพร้อม Dock เชื่อมต่อ HDMI โดยตรง ทำให้ผู้เล่นสามารถเล่นเกมโปรดในความละเอียดสูงสุดถึง 4K ได้บนทีวีในบ้าน นอกจาก Nintendo แล้ว ASUS ROG Ally X ก็มี Dock เสริมที่ช่วยให้เครื่องเกมพกพาเชื่อมต่อกับจอ HDMI ได้เช่นกัน ขณะที่ Steam Deck แม้จะไม่มี Dock เฉพาะ แต่ก็สามารถใช้ Dock ของผู้ผลิตอื่นที่มีพอร์ต HDMI เพื่อเชื่อมต่อกับทีวีได้อย่างยืดหยุ่น และสำหรับบางเครื่อง เช่น Atari Gamestation ก็มีพอร์ต HDMI ติดตั้งมาในตัว ทำให้สามารถเสียบสายแล้วเล่นบนจอใหญ่ได้ทันที การเชื่อมต่อผ่าน HDMI ไม่ได้ให้แค่ภาพคมชัด แต่ยังรองรับระบบเสียงขั้นสูงผ่าน HDMI ARC และ eARC ซึ่งสามารถส่งสัญญาณเสียงไปยัง Soundbar หรือเครื่องเสียงหลายลำโพงได้ ทำให้การเล่นเกมมีมิติด้านเสียงที่สมจริงมากขึ้น รองรับระบบเสียง Dolby Atmos และ DTS:X ที่ให้ประสบการณ์ใกล้เคียงโรงภาพยนตร์ แนวโน้มนี้สะท้อนว่าเครื่องเกมพกพากำลังกลายเป็น Hybrid Console ที่สามารถเล่นได้ทั้งนอกบ้านและในห้องนั่งเล่น โดย HDMI เป็นสะพานเชื่อมสำคัญที่ทำให้ผู้เล่นไม่ต้องเลือกว่าจะเล่นแบบพกพาหรือจอใหญ่ แต่สามารถทำได้ทั้งสองอย่างอย่างไร้รอยต่อ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ Nintendo Switch และ Switch 2 ➡️ มาพร้อม Dock เชื่อมต่อ HDMI เล่นเกมบนจอใหญ่ได้ทันที ✅ ASUS ROG Ally X และ Steam Deck ➡️ ใช้ Dock เสริมที่มี HDMI เพื่อเชื่อมต่อกับทีวี ✅ Atari Gamestation ➡️ มีพอร์ต HDMI ในตัว รองรับการเชื่อมต่อโดยตรง ✅ HDMI ARC/eARC ➡️ รองรับเสียง Dolby Atmos และ DTS:X เพิ่มความสมจริง ‼️ ข้อจำกัดของบางเครื่อง ⛔ ต้องใช้ Dock หรืออุปกรณ์เสริมในการเชื่อมต่อ HDMI ‼️ ความเสี่ยงด้านคุณภาพเสียง/ภาพ ⛔ หากใช้สายหรืออุปกรณ์ที่ไม่ได้มาตรฐาน อาจทำให้ประสิทธิภาพลดลง https://www.tomshardware.com/video-games/handheld-gaming/big-screen-gaming-anywhere-connecting-portable-consoles-to-hdtvs-with-hdmi-r-technology
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Big-Screen Gaming Anywhere: Connecting Portable Consoles to HDTVs with HDMI®Technology
    The latest News,/news,,news, breaking news, comment, reviews and features from the experts at Tom's Hardware
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 13 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Taiwan เปิดการสอบสวนกรณี Wei-Jen Lo อดีตผู้บริหาร TSMC กลับเข้าร่วม Intel”

    ทางการไต้หวันได้เปิดการสอบสวนด้านความมั่นคงแห่งชาติ กรณี Wei-Jen Lo อดีตผู้บริหารฝ่าย R&D ของ TSMC ที่เพิ่งเกษียณหลังทำงานกว่า 21 ปี แต่กลับไปปรากฏตัวที่ Intel ในตำแหน่งรองประธานฝ่าย R&D เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา รายงานจากสื่อท้องถิ่นระบุว่า Lo อาจนำเอกสารทางเทคนิคที่เป็นความลับของ TSMC ไปด้วย ซึ่งเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีการผลิตขั้นสูง เช่น N2, A16, A14 และ post-A14 nodes

    ก่อนออกจาก TSMC Lo เคยมีอำนาจสั่งให้ทีมงานส่งมอบเอกสารภายในที่มีข้อจำกัดด้านการเข้าถึง โดยไม่มีการตั้งข้อสงสัยในตอนนั้น เนื่องจากตำแหน่งของเขาสูงมาก ทำให้คำสั่งดูเหมือนเป็นเรื่องปกติ อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาปรากฏตัวที่ Intel พร้อมรับผิดชอบด้านการพัฒนาอุปกรณ์และโมดูลใหม่ ๆ จึงเกิดข้อกังวลว่าเอกสารเหล่านี้อาจถูกนำไปใช้เพื่อประโยชน์เชิงแข่งขัน

    แม้จะมีข้อกล่าวหา แต่ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า ข้อมูลของ TSMC อาจไม่สามารถนำไปใช้ตรง ๆ กับ Intel ได้ เนื่องจากเทคโนโลยีการผลิตของทั้งสองบริษัทมีความแตกต่างกัน เช่น Intel ใช้ PowerVia และ High-NA EUV ในบางกระบวนการ ขณะที่ TSMC ใช้ Super Power Rail และ Low-NA EUV multipatterning อย่างไรก็ตาม เอกสารเหล่านี้ยังคงมีค่าในเชิงการวิเคราะห์คู่แข่งและกลยุทธ์ทางธุรกิจ

    กรณีนี้สะท้อนถึงความเปราะบางของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ที่การเคลื่อนไหวของผู้บริหารระดับสูงอาจส่งผลกระทบต่อการแข่งขันระดับโลก รัฐบาลไต้หวันกำลังตรวจสอบว่า Lo ละเมิดกฎหมายการถ่ายโอนความลับทางการค้าไปยังต่างประเทศหรือไม่

    สรุปสาระสำคัญ
    Wei-Jen Lo อดีตผู้บริหาร TSMC
    กลับไปทำงานที่ Intel ในตำแหน่ง VP of R&D

    ข้อกล่าวหานำเอกสารลับติดตัวไป
    ครอบคลุมเทคโนโลยี N2, A16, A14 และ post-A14

    ความแตกต่างด้านเทคโนโลยีระหว่าง Intel และ TSMC
    Intel ใช้ PowerVia และ High-NA EUV, TSMC ใช้ Super Power Rail และ Low-NA EUV

    รัฐบาลไต้หวันเปิดการสอบสวนด้านความมั่นคง
    ตรวจสอบการละเมิดกฎหมายการถ่ายโอนความลับทางการค้า

    ความเสี่ยงต่อการแข่งขันระดับโลก
    เอกสารลับอาจถูกใช้เพื่อวิเคราะห์คู่แข่งและกลยุทธ์ธุรกิจ

    การขาดมาตรการป้องกันภายในองค์กร
    TSMC ไม่ได้บังคับใช้ข้อตกลง non-compete กับ Lo ก่อนออกจากบริษัท

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/high-ranking-tsmc-executive-faces-taiwan-legal-investigation-over-murky-return-to-intel-report-alleges-employee-took-technical-documents-with-him
    📰 “Taiwan เปิดการสอบสวนกรณี Wei-Jen Lo อดีตผู้บริหาร TSMC กลับเข้าร่วม Intel” ทางการไต้หวันได้เปิดการสอบสวนด้านความมั่นคงแห่งชาติ กรณี Wei-Jen Lo อดีตผู้บริหารฝ่าย R&D ของ TSMC ที่เพิ่งเกษียณหลังทำงานกว่า 21 ปี แต่กลับไปปรากฏตัวที่ Intel ในตำแหน่งรองประธานฝ่าย R&D เมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา รายงานจากสื่อท้องถิ่นระบุว่า Lo อาจนำเอกสารทางเทคนิคที่เป็นความลับของ TSMC ไปด้วย ซึ่งเกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีการผลิตขั้นสูง เช่น N2, A16, A14 และ post-A14 nodes ก่อนออกจาก TSMC Lo เคยมีอำนาจสั่งให้ทีมงานส่งมอบเอกสารภายในที่มีข้อจำกัดด้านการเข้าถึง โดยไม่มีการตั้งข้อสงสัยในตอนนั้น เนื่องจากตำแหน่งของเขาสูงมาก ทำให้คำสั่งดูเหมือนเป็นเรื่องปกติ อย่างไรก็ตาม เมื่อเขาปรากฏตัวที่ Intel พร้อมรับผิดชอบด้านการพัฒนาอุปกรณ์และโมดูลใหม่ ๆ จึงเกิดข้อกังวลว่าเอกสารเหล่านี้อาจถูกนำไปใช้เพื่อประโยชน์เชิงแข่งขัน แม้จะมีข้อกล่าวหา แต่ผู้เชี่ยวชาญชี้ว่า ข้อมูลของ TSMC อาจไม่สามารถนำไปใช้ตรง ๆ กับ Intel ได้ เนื่องจากเทคโนโลยีการผลิตของทั้งสองบริษัทมีความแตกต่างกัน เช่น Intel ใช้ PowerVia และ High-NA EUV ในบางกระบวนการ ขณะที่ TSMC ใช้ Super Power Rail และ Low-NA EUV multipatterning อย่างไรก็ตาม เอกสารเหล่านี้ยังคงมีค่าในเชิงการวิเคราะห์คู่แข่งและกลยุทธ์ทางธุรกิจ กรณีนี้สะท้อนถึงความเปราะบางของอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ ที่การเคลื่อนไหวของผู้บริหารระดับสูงอาจส่งผลกระทบต่อการแข่งขันระดับโลก รัฐบาลไต้หวันกำลังตรวจสอบว่า Lo ละเมิดกฎหมายการถ่ายโอนความลับทางการค้าไปยังต่างประเทศหรือไม่ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ Wei-Jen Lo อดีตผู้บริหาร TSMC ➡️ กลับไปทำงานที่ Intel ในตำแหน่ง VP of R&D ✅ ข้อกล่าวหานำเอกสารลับติดตัวไป ➡️ ครอบคลุมเทคโนโลยี N2, A16, A14 และ post-A14 ✅ ความแตกต่างด้านเทคโนโลยีระหว่าง Intel และ TSMC ➡️ Intel ใช้ PowerVia และ High-NA EUV, TSMC ใช้ Super Power Rail และ Low-NA EUV ✅ รัฐบาลไต้หวันเปิดการสอบสวนด้านความมั่นคง ➡️ ตรวจสอบการละเมิดกฎหมายการถ่ายโอนความลับทางการค้า ‼️ ความเสี่ยงต่อการแข่งขันระดับโลก ⛔ เอกสารลับอาจถูกใช้เพื่อวิเคราะห์คู่แข่งและกลยุทธ์ธุรกิจ ‼️ การขาดมาตรการป้องกันภายในองค์กร ⛔ TSMC ไม่ได้บังคับใช้ข้อตกลง non-compete กับ Lo ก่อนออกจากบริษัท https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/high-ranking-tsmc-executive-faces-taiwan-legal-investigation-over-murky-return-to-intel-report-alleges-employee-took-technical-documents-with-him
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 15 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Taiwan AI Island – ก้าวสู่ศูนย์กลางคอมพิวต์โลก”

    รัฐบาลไต้หวันได้ประกาศทุ่มงบประมาณกว่า NT$100 พันล้าน (ประมาณ 3.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพื่อผลักดันโครงการระดับชาติในการสร้างเกาะให้เป็นศูนย์กลางด้าน Artificial Intelligence (AI) โดยมีเป้าหมายให้ไต้หวันติดอันดับ Top 5 ของโลกด้านพลังคอมพิวต์ ภายในปี 2028 และสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจสูงถึง NT$15 ล้านล้านภายในปี 2040

    โครงการนี้จะเน้นการวิจัยและพัฒนาในสาขา Silicon Photonics, Quantum Computing และ AI Robotics พร้อมสร้าง AI Data Center แห่งชาติในเมือง Tainan และสนับสนุนการลงทุนจากภาคเอกชน เช่น Foxconn และ Nvidia ที่กำลังสร้างศูนย์ข้อมูลในเมือง Kaohsiung โดยใช้แพลตฟอร์ม Nvidia Blackwell ซึ่งคาดว่าจะมีกำลังไฟฟ้าสูงถึง 100 เมกะวัตต์เมื่อเสร็จสมบูรณ์

    อย่างไรก็ตาม ความทะเยอทะยานนี้กำลังเผชิญกับ ข้อจำกัดด้านพลังงาน เนื่องจากไต้หวันได้ปิดโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งสุดท้ายไปเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา และกำลังผลิตพลังงานหมุนเวียนยังไม่ถึงเป้าหมาย โดยเฉพาะการผลิตไฟฟ้าจากกังหันลมนอกชายฝั่งที่ยังมีปัญหาล่าช้า รวมถึงระบบส่งไฟฟ้าในภาคใต้ที่ยังไม่ทันต่อการขยายตัวของศูนย์ข้อมูล

    เพื่อแก้ปัญหา ไต้หวันและพันธมิตรเทคโนโลยี เช่น Nvidia และ GMI Cloud กำลังผลักดันโครงสร้างพื้นฐานใหม่ เช่น ระบบส่งไฟฟ้าแบบ 800-volt DC busbar และการติดตั้ง GPU รุ่นใหม่กว่า 7,000 ตัว เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานและรองรับงาน AI ที่ซับซ้อนมากขึ้น

    สรุปสาระสำคัญ
    รัฐบาลไต้หวันลงทุน NT$100 พันล้าน (US$3.2 พันล้าน)
    ตั้งเป้าเป็น Top 5 ของโลกด้านพลังคอมพิวต์

    โครงการเน้น R&D ใน Silicon Photonics, Quantum Computing และ AI Robotics
    พร้อมสร้าง AI Data Center ใน Tainan

    Foxconn และ Nvidia ร่วมลงทุนใน Kaohsiung
    ใช้แพลตฟอร์ม Nvidia Blackwell กำลังไฟฟ้า 100 เมกะวัตต์

    GMI Cloud ติดตั้ง 7,000 Blackwell GPUs
    รองรับงาน inference workloads ขนาดใหญ่

    ความท้าทายด้านพลังงาน
    ปิดโรงไฟฟ้านิวเคลียร์, พลังงานหมุนเวียนยังต่ำกว่าเป้า

    ระบบส่งไฟฟ้าในภาคใต้ยังไม่ทันต่อการขยายตัว
    อาจกระทบการเปิดใช้งานศูนย์ข้อมูลใหม่ตามแผน

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/taiwan-announces-3bn-spend-on-ai-island-ambitions
    📰 “Taiwan AI Island – ก้าวสู่ศูนย์กลางคอมพิวต์โลก” รัฐบาลไต้หวันได้ประกาศทุ่มงบประมาณกว่า NT$100 พันล้าน (ประมาณ 3.2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) เพื่อผลักดันโครงการระดับชาติในการสร้างเกาะให้เป็นศูนย์กลางด้าน Artificial Intelligence (AI) โดยมีเป้าหมายให้ไต้หวันติดอันดับ Top 5 ของโลกด้านพลังคอมพิวต์ ภายในปี 2028 และสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจสูงถึง NT$15 ล้านล้านภายในปี 2040 โครงการนี้จะเน้นการวิจัยและพัฒนาในสาขา Silicon Photonics, Quantum Computing และ AI Robotics พร้อมสร้าง AI Data Center แห่งชาติในเมือง Tainan และสนับสนุนการลงทุนจากภาคเอกชน เช่น Foxconn และ Nvidia ที่กำลังสร้างศูนย์ข้อมูลในเมือง Kaohsiung โดยใช้แพลตฟอร์ม Nvidia Blackwell ซึ่งคาดว่าจะมีกำลังไฟฟ้าสูงถึง 100 เมกะวัตต์เมื่อเสร็จสมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม ความทะเยอทะยานนี้กำลังเผชิญกับ ข้อจำกัดด้านพลังงาน เนื่องจากไต้หวันได้ปิดโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แห่งสุดท้ายไปเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา และกำลังผลิตพลังงานหมุนเวียนยังไม่ถึงเป้าหมาย โดยเฉพาะการผลิตไฟฟ้าจากกังหันลมนอกชายฝั่งที่ยังมีปัญหาล่าช้า รวมถึงระบบส่งไฟฟ้าในภาคใต้ที่ยังไม่ทันต่อการขยายตัวของศูนย์ข้อมูล เพื่อแก้ปัญหา ไต้หวันและพันธมิตรเทคโนโลยี เช่น Nvidia และ GMI Cloud กำลังผลักดันโครงสร้างพื้นฐานใหม่ เช่น ระบบส่งไฟฟ้าแบบ 800-volt DC busbar และการติดตั้ง GPU รุ่นใหม่กว่า 7,000 ตัว เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการใช้พลังงานและรองรับงาน AI ที่ซับซ้อนมากขึ้น 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ รัฐบาลไต้หวันลงทุน NT$100 พันล้าน (US$3.2 พันล้าน) ➡️ ตั้งเป้าเป็น Top 5 ของโลกด้านพลังคอมพิวต์ ✅ โครงการเน้น R&D ใน Silicon Photonics, Quantum Computing และ AI Robotics ➡️ พร้อมสร้าง AI Data Center ใน Tainan ✅ Foxconn และ Nvidia ร่วมลงทุนใน Kaohsiung ➡️ ใช้แพลตฟอร์ม Nvidia Blackwell กำลังไฟฟ้า 100 เมกะวัตต์ ✅ GMI Cloud ติดตั้ง 7,000 Blackwell GPUs ➡️ รองรับงาน inference workloads ขนาดใหญ่ ‼️ ความท้าทายด้านพลังงาน ⛔ ปิดโรงไฟฟ้านิวเคลียร์, พลังงานหมุนเวียนยังต่ำกว่าเป้า ‼️ ระบบส่งไฟฟ้าในภาคใต้ยังไม่ทันต่อการขยายตัว ⛔ อาจกระทบการเปิดใช้งานศูนย์ข้อมูลใหม่ตามแผน https://www.tomshardware.com/tech-industry/semiconductors/taiwan-announces-3bn-spend-on-ai-island-ambitions
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 11 มุมมอง 0 รีวิว
  • “สัญญาณความร่วมมือ – Apple และ Broadcom สนใจ Intel Packaging”

    รายงานจาก Tom’s Hardware เปิดเผยว่า Apple และ Broadcom ได้ประกาศตำแหน่งงานใหม่ ที่ต้องการผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี EMIB (Embedded Multi-die Interconnect Bridge) และ 2.5D/3D Packaging ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเฉพาะของ Intel การเคลื่อนไหวนี้ถูกมองว่าเป็นสัญญาณว่า ทั้งสองบริษัทอาจพิจารณาใช้บริการ Intel Foundry ในการบรรจุชิปสำหรับผลิตภัณฑ์ในอนาคต

    แม้ประกาศรับสมัครงานไม่ได้ระบุชัดเจนว่า Apple หรือ Broadcom จะร่วมมือกับ Intel แต่การกล่าวถึง EMIB ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่มีเฉพาะ Intel เท่านั้น ทำให้เกิดการคาดการณ์ว่า Intel อาจได้ลูกค้ารายใหญ่รายใหม่ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ประสบปัญหาในการดึงดูด “whale customer” สำหรับธุรกิจ Foundry ที่เปิดตัวตั้งแต่ปี 2021

    Intel เองแม้จะยังไม่สามารถแข่งขันกับ TSMC ในด้านการผลิตชิปขั้นสูงได้เต็มที่ แต่ก็ประสบความสำเร็จในการให้บริการ Packaging กับบริษัทใหญ่หลายราย เช่น AWS, Cisco และล่าสุด Nvidia การที่ Apple และ Broadcomแสดงความสนใจในเทคโนโลยีนี้จึงอาจเป็นการเปิดทางให้ Intelกลับมาเป็นพันธมิตรสำคัญในอุตสาหกรรม หลังจากที่ Appleเคยยุติความร่วมมือกับ Intel เมื่อหันไปพัฒนา Apple Silicon ด้วยตนเอง

    หากความร่วมมือเกิดขึ้นจริง นี่อาจเป็นการพลิกเกมครั้งสำคัญ เพราะ ตลาด Packaging กำลังขาดแคลน โดยเฉพาะเทคโนโลยี CoWoS ของ TSMC ที่มีความต้องการสูง การที่ Apple และ Broadcomหันมาใช้บริการ Intel จะช่วยลดความเสี่ยงด้านซัพพลายเชน และอาจทำให้ Intelกลับมามีบทบาทสำคัญในตลาดชิปโลกอีกครั้ง

    สรุปสาระสำคัญ
    Apple และ Broadcom เปิดตำแหน่งงานใหม่
    ต้องการผู้เชี่ยวชาญ EMIB และ 2.5D/3D Packaging

    EMIB เป็นเทคโนโลยีเฉพาะของ Intel
    สัญญาณความเป็นไปได้ในการร่วมมือกับ Intel Foundry

    Intel ประสบความสำเร็จในธุรกิจ Packaging
    มีลูกค้าใหญ่เช่น AWS, Cisco และ Nvidia

    ตลาด Packaging กำลังขาดแคลน
    Apple และ Broadcomอาจใช้ Intel เพื่อลดความเสี่ยงซัพพลายเชน

    Intel ยังแข่งขันกับ TSMC ได้ไม่เต็มที่
    ธุรกิจ Foundry ยังไม่ดึงดูดลูกค้ารายใหญ่ด้านการผลิตชิปขั้นสูง

    ความร่วมมือยังไม่ยืนยันอย่างเป็นทางการ
    ตำแหน่งงานเป็นเพียงสัญญาณ ไม่ใช่การประกาศพันธมิตรโดยตรง

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/big-tech/apple-and-broadcom-job-listings-suggest-potential-intel-foundry-collaborations-requirements-highlight-expertise-in-intels-emib-and-2-5d-memory-packaging-tech
    📰 “สัญญาณความร่วมมือ – Apple และ Broadcom สนใจ Intel Packaging” รายงานจาก Tom’s Hardware เปิดเผยว่า Apple และ Broadcom ได้ประกาศตำแหน่งงานใหม่ ที่ต้องการผู้เชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยี EMIB (Embedded Multi-die Interconnect Bridge) และ 2.5D/3D Packaging ซึ่งเป็นเทคโนโลยีเฉพาะของ Intel การเคลื่อนไหวนี้ถูกมองว่าเป็นสัญญาณว่า ทั้งสองบริษัทอาจพิจารณาใช้บริการ Intel Foundry ในการบรรจุชิปสำหรับผลิตภัณฑ์ในอนาคต แม้ประกาศรับสมัครงานไม่ได้ระบุชัดเจนว่า Apple หรือ Broadcom จะร่วมมือกับ Intel แต่การกล่าวถึง EMIB ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่มีเฉพาะ Intel เท่านั้น ทำให้เกิดการคาดการณ์ว่า Intel อาจได้ลูกค้ารายใหญ่รายใหม่ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ประสบปัญหาในการดึงดูด “whale customer” สำหรับธุรกิจ Foundry ที่เปิดตัวตั้งแต่ปี 2021 Intel เองแม้จะยังไม่สามารถแข่งขันกับ TSMC ในด้านการผลิตชิปขั้นสูงได้เต็มที่ แต่ก็ประสบความสำเร็จในการให้บริการ Packaging กับบริษัทใหญ่หลายราย เช่น AWS, Cisco และล่าสุด Nvidia การที่ Apple และ Broadcomแสดงความสนใจในเทคโนโลยีนี้จึงอาจเป็นการเปิดทางให้ Intelกลับมาเป็นพันธมิตรสำคัญในอุตสาหกรรม หลังจากที่ Appleเคยยุติความร่วมมือกับ Intel เมื่อหันไปพัฒนา Apple Silicon ด้วยตนเอง หากความร่วมมือเกิดขึ้นจริง นี่อาจเป็นการพลิกเกมครั้งสำคัญ เพราะ ตลาด Packaging กำลังขาดแคลน โดยเฉพาะเทคโนโลยี CoWoS ของ TSMC ที่มีความต้องการสูง การที่ Apple และ Broadcomหันมาใช้บริการ Intel จะช่วยลดความเสี่ยงด้านซัพพลายเชน และอาจทำให้ Intelกลับมามีบทบาทสำคัญในตลาดชิปโลกอีกครั้ง 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ Apple และ Broadcom เปิดตำแหน่งงานใหม่ ➡️ ต้องการผู้เชี่ยวชาญ EMIB และ 2.5D/3D Packaging ✅ EMIB เป็นเทคโนโลยีเฉพาะของ Intel ➡️ สัญญาณความเป็นไปได้ในการร่วมมือกับ Intel Foundry ✅ Intel ประสบความสำเร็จในธุรกิจ Packaging ➡️ มีลูกค้าใหญ่เช่น AWS, Cisco และ Nvidia ✅ ตลาด Packaging กำลังขาดแคลน ➡️ Apple และ Broadcomอาจใช้ Intel เพื่อลดความเสี่ยงซัพพลายเชน ‼️ Intel ยังแข่งขันกับ TSMC ได้ไม่เต็มที่ ⛔ ธุรกิจ Foundry ยังไม่ดึงดูดลูกค้ารายใหญ่ด้านการผลิตชิปขั้นสูง ‼️ ความร่วมมือยังไม่ยืนยันอย่างเป็นทางการ ⛔ ตำแหน่งงานเป็นเพียงสัญญาณ ไม่ใช่การประกาศพันธมิตรโดยตรง https://www.tomshardware.com/tech-industry/big-tech/apple-and-broadcom-job-listings-suggest-potential-intel-foundry-collaborations-requirements-highlight-expertise-in-intels-emib-and-2-5d-memory-packaging-tech
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Apple and Broadcom job listings suggest potential Intel Foundry collaborations — requirements highlight expertise in Intel's EMIB and 2.5D memory packaging tech
    The person who gets this job will be responsible for solving integration challenges with memory packages such as EMIB and developing a roadmap for 2.5D and 3D.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 11 มุมมอง 0 รีวิว
  • “The Fall of Icarus – ภาพถ่ายดาราศาสตร์ที่ไม่เคยมีมาก่อน”

    ภาพนี้เป็นผลงานร่วมกันของ Andrew McCarthy นักถ่ายภาพดาราศาสตร์ และ Gabriel C. Brown นักกระโดดร่ม โดยพวกเขาวางแผนให้ Brown กระโดดร่มในจังหวะที่ตรงกับการถ่ายภาพดวงอาทิตย์ในแสง Hydrogen-alpha ซึ่งเผยให้เห็นพื้นผิวที่เต็มไปด้วยความปั่นป่วนและจุดดับบนดวงอาทิตย์ ผลลัพธ์คือภาพเงาของนักกระโดดร่มที่พุ่งลงมาพอดีกับตำแหน่งระหว่างจุดดับดวงอาทิตย์ สร้างความสมบูรณ์แบบทั้งด้านศิลปะและวิทยาศาสตร์

    การถ่ายภาพครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ทีมงานต้องใช้ หลายกล้องและการสื่อสารแบบเรียลไทม์ ระหว่างนักบินพารามอเตอร์, McCarthy และ Brown เพื่อให้การจัดตำแหน่งเป็นไปอย่างแม่นยำ หลังจากความพยายามถึง 6 ครั้ง พวกเขาจึงได้ภาพที่สมบูรณ์แบบตามที่ตั้งใจไว้

    สิ่งที่ทำให้ภาพนี้โดดเด่นคือการนำ กิจกรรมสุดขั้วอย่างการกระโดดร่ม มาผสมผสานกับ การถ่ายภาพดาราศาสตร์เชิงลึก ซึ่งปกติแล้วมักจะเป็นงานที่ต้องใช้ความนิ่งและความแม่นยำสูง การสร้างสรรค์ครั้งนี้จึงถูกยกย่องว่าเป็น “การยกระดับมาตรฐานของวงการ Astrophotography” และได้รับการเผยแพร่ไปทั่วโลกในฐานะผลงานศิลป์ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน

    นอกจากความงดงามทางศิลปะแล้ว ภาพนี้ยังสะท้อนถึง ความร่วมมือระหว่างศาสตร์ต่าง ๆ ทั้งวิทยาศาสตร์การบิน, ดาราศาสตร์ และศิลปะการถ่ายภาพ ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ดีของการสร้างสรรค์ที่เกิดจากการคิดนอกกรอบและการทำงานร่วมกันของผู้เชี่ยวชาญต่างสาขา

    สรุปสาระสำคัญ
    ผลงานของ Andrew McCarthy และ Gabriel C. Brown
    ผสมผสานการถ่ายภาพดาราศาสตร์กับการกระโดดร่ม

    ใช้แสง Hydrogen-alpha ในการถ่ายดวงอาทิตย์
    เผยให้เห็นพื้นผิวที่เต็มไปด้วยความปั่นป่วนและจุดดับ

    การวางแผนซับซ้อนและพยายามถึง 6 ครั้ง
    เพื่อให้ตำแหน่งกระโดดร่มตรงกับดวงอาทิตย์อย่างสมบูรณ์

    ได้รับการยกย่องว่าเป็นการยกระดับ Astrophotography
    สร้างความตื่นตะลึงและเผยแพร่ไปทั่วโลก

    ความเสี่ยงจากการกระโดดร่มและการจัดตำแหน่งที่ซับซ้อน
    ต้องอาศัยการสื่อสารและการควบคุมที่แม่นยำเพื่อหลีกเลี่ยงอันตราย

    การผสมผสานกิจกรรมสุดขั้วกับงานวิทยาศาสตร์
    หากผิดพลาดอาจทำให้ทั้งการถ่ายภาพและการกระโดดร่มล้มเหลว

    https://www.iflscience.com/the-fall-of-icarus-you-have-never-seen-an-astrophotography-picture-like-this-81570
    📰 “The Fall of Icarus – ภาพถ่ายดาราศาสตร์ที่ไม่เคยมีมาก่อน” ภาพนี้เป็นผลงานร่วมกันของ Andrew McCarthy นักถ่ายภาพดาราศาสตร์ และ Gabriel C. Brown นักกระโดดร่ม โดยพวกเขาวางแผนให้ Brown กระโดดร่มในจังหวะที่ตรงกับการถ่ายภาพดวงอาทิตย์ในแสง Hydrogen-alpha ซึ่งเผยให้เห็นพื้นผิวที่เต็มไปด้วยความปั่นป่วนและจุดดับบนดวงอาทิตย์ ผลลัพธ์คือภาพเงาของนักกระโดดร่มที่พุ่งลงมาพอดีกับตำแหน่งระหว่างจุดดับดวงอาทิตย์ สร้างความสมบูรณ์แบบทั้งด้านศิลปะและวิทยาศาสตร์ การถ่ายภาพครั้งนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย ทีมงานต้องใช้ หลายกล้องและการสื่อสารแบบเรียลไทม์ ระหว่างนักบินพารามอเตอร์, McCarthy และ Brown เพื่อให้การจัดตำแหน่งเป็นไปอย่างแม่นยำ หลังจากความพยายามถึง 6 ครั้ง พวกเขาจึงได้ภาพที่สมบูรณ์แบบตามที่ตั้งใจไว้ สิ่งที่ทำให้ภาพนี้โดดเด่นคือการนำ กิจกรรมสุดขั้วอย่างการกระโดดร่ม มาผสมผสานกับ การถ่ายภาพดาราศาสตร์เชิงลึก ซึ่งปกติแล้วมักจะเป็นงานที่ต้องใช้ความนิ่งและความแม่นยำสูง การสร้างสรรค์ครั้งนี้จึงถูกยกย่องว่าเป็น “การยกระดับมาตรฐานของวงการ Astrophotography” และได้รับการเผยแพร่ไปทั่วโลกในฐานะผลงานศิลป์ที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน นอกจากความงดงามทางศิลปะแล้ว ภาพนี้ยังสะท้อนถึง ความร่วมมือระหว่างศาสตร์ต่าง ๆ ทั้งวิทยาศาสตร์การบิน, ดาราศาสตร์ และศิลปะการถ่ายภาพ ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ดีของการสร้างสรรค์ที่เกิดจากการคิดนอกกรอบและการทำงานร่วมกันของผู้เชี่ยวชาญต่างสาขา 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ผลงานของ Andrew McCarthy และ Gabriel C. Brown ➡️ ผสมผสานการถ่ายภาพดาราศาสตร์กับการกระโดดร่ม ✅ ใช้แสง Hydrogen-alpha ในการถ่ายดวงอาทิตย์ ➡️ เผยให้เห็นพื้นผิวที่เต็มไปด้วยความปั่นป่วนและจุดดับ ✅ การวางแผนซับซ้อนและพยายามถึง 6 ครั้ง ➡️ เพื่อให้ตำแหน่งกระโดดร่มตรงกับดวงอาทิตย์อย่างสมบูรณ์ ✅ ได้รับการยกย่องว่าเป็นการยกระดับ Astrophotography ➡️ สร้างความตื่นตะลึงและเผยแพร่ไปทั่วโลก ‼️ ความเสี่ยงจากการกระโดดร่มและการจัดตำแหน่งที่ซับซ้อน ⛔ ต้องอาศัยการสื่อสารและการควบคุมที่แม่นยำเพื่อหลีกเลี่ยงอันตราย ‼️ การผสมผสานกิจกรรมสุดขั้วกับงานวิทยาศาสตร์ ⛔ หากผิดพลาดอาจทำให้ทั้งการถ่ายภาพและการกระโดดร่มล้มเหลว https://www.iflscience.com/the-fall-of-icarus-you-have-never-seen-an-astrophotography-picture-like-this-81570
    WWW.IFLSCIENCE.COM
    “The Fall Of Icarus”: You Have Never Seen An Astrophotography Picture Like This!
    This is not photoshopped. That’s really a person falling in front of the Sun.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 18 มุมมอง 0 รีวิว
  • Windows 11 เตรียมเพิ่มฟีเจอร์ AI Agent ที่ทำงานเบื้องหลัง พร้อมสิทธิ์เข้าถึงโฟลเดอร์ส่วนตัว – แต่มีคำเตือนด้านความปลอดภัย

    Microsoft กำลังทดลองฟีเจอร์ใหม่ใน Windows 11 ที่เรียกว่า Agent Workspace ซึ่งออกแบบมาเพื่อให้ AI Agent สามารถทำงานเบื้องหลังได้ตลอดเวลา โดยมีสิทธิ์เข้าถึงโฟลเดอร์ที่ใช้บ่อย เช่น Desktop, Documents, Downloads, Pictures, Music และ Videos ฟีเจอร์นี้ถูกเปิดให้ทดสอบใน Windows Insider Dev และ Beta Channel ผ่านการตั้งค่า “Experimental agentic features” ในหน้า AI Components ของระบบ

    Agent Workspace ทำงานคล้ายกับ Windows Sandbox แต่แตกต่างตรงที่ Agent จะมี บัญชีผู้ใช้และเดสก์ท็อปของตัวเอง สามารถคลิก เปิดแอป และจัดการไฟล์ได้โดยตรงในพื้นที่แยกต่างหาก ขณะเดียวกันผู้ใช้ยังสามารถตรวจสอบ log การทำงานของ Agent ได้ เพื่อเพิ่มความโปร่งใสและการควบคุม

    อย่างไรก็ตาม Microsoft เองก็เตือนว่า ฟีเจอร์นี้อาจสร้าง ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย เนื่องจาก Agent ได้รับสิทธิ์อ่านและเขียนไฟล์ในโฟลเดอร์ส่วนตัว หากมีการใช้งานผิดพลาดหรือถูกโจมตี อาจทำให้ข้อมูลรั่วไหลได้ แม้จะมีการออกแบบให้ทำงานแบบ runtime isolation และมีการกำหนดสิทธิ์แยกสำหรับแต่ละ Agent แต่ก็ยังมีข้อกังวลเรื่องการใช้ทรัพยากรเครื่องและความปลอดภัยของข้อมูล

    การเปิดตัว Agent Workspace ถือเป็นสัญญาณว่า Microsoft กำลังผลักดัน Windows 11 ให้เป็น AI-Native OS อย่างจริงจัง แม้จะมีเสียงวิจารณ์จากผู้ใช้จำนวนมากที่กังวลเรื่องความปลอดภัยและการพึ่งพา AI มากเกินไป แต่บริษัทก็ยืนยันว่าจะปรับปรุงโมเดลความปลอดภัยและความโปร่งใสเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในอนาคต

    สรุปสาระสำคัญ
    Agent Workspace เปิดตัวใน Windows 11
    ให้ AI Agent ทำงานเบื้องหลังพร้อมสิทธิ์เข้าถึงโฟลเดอร์ส่วนตัว

    ทำงานคล้าย Sandbox แต่มีเดสก์ท็อปและบัญชีแยก
    ผู้ใช้สามารถตรวจสอบ log และควบคุมสิทธิ์ของ Agent ได้

    เปิดให้ทดสอบใน Insider Dev และ Beta Channel
    ผ่านการตั้งค่า Experimental agentic features

    ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย
    Agent มีสิทธิ์อ่าน/เขียนไฟล์ในโฟลเดอร์ส่วนตัว อาจเสี่ยงข้อมูลรั่วไหล

    ผลกระทบต่อประสิทธิภาพเครื่อง
    Agent ทำงานตลอดเวลา อาจใช้ RAM และ CPU เพิ่มขึ้น

    https://www.windowslatest.com/2025/11/18/windows-11-to-add-an-ai-agent-that-runs-in-background-with-access-to-personal-folders-warns-of-security-risk/
    🪟⚠️ Windows 11 เตรียมเพิ่มฟีเจอร์ AI Agent ที่ทำงานเบื้องหลัง พร้อมสิทธิ์เข้าถึงโฟลเดอร์ส่วนตัว – แต่มีคำเตือนด้านความปลอดภัย Microsoft กำลังทดลองฟีเจอร์ใหม่ใน Windows 11 ที่เรียกว่า Agent Workspace ซึ่งออกแบบมาเพื่อให้ AI Agent สามารถทำงานเบื้องหลังได้ตลอดเวลา โดยมีสิทธิ์เข้าถึงโฟลเดอร์ที่ใช้บ่อย เช่น Desktop, Documents, Downloads, Pictures, Music และ Videos ฟีเจอร์นี้ถูกเปิดให้ทดสอบใน Windows Insider Dev และ Beta Channel ผ่านการตั้งค่า “Experimental agentic features” ในหน้า AI Components ของระบบ Agent Workspace ทำงานคล้ายกับ Windows Sandbox แต่แตกต่างตรงที่ Agent จะมี บัญชีผู้ใช้และเดสก์ท็อปของตัวเอง สามารถคลิก เปิดแอป และจัดการไฟล์ได้โดยตรงในพื้นที่แยกต่างหาก ขณะเดียวกันผู้ใช้ยังสามารถตรวจสอบ log การทำงานของ Agent ได้ เพื่อเพิ่มความโปร่งใสและการควบคุม อย่างไรก็ตาม Microsoft เองก็เตือนว่า ฟีเจอร์นี้อาจสร้าง ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย เนื่องจาก Agent ได้รับสิทธิ์อ่านและเขียนไฟล์ในโฟลเดอร์ส่วนตัว หากมีการใช้งานผิดพลาดหรือถูกโจมตี อาจทำให้ข้อมูลรั่วไหลได้ แม้จะมีการออกแบบให้ทำงานแบบ runtime isolation และมีการกำหนดสิทธิ์แยกสำหรับแต่ละ Agent แต่ก็ยังมีข้อกังวลเรื่องการใช้ทรัพยากรเครื่องและความปลอดภัยของข้อมูล การเปิดตัว Agent Workspace ถือเป็นสัญญาณว่า Microsoft กำลังผลักดัน Windows 11 ให้เป็น AI-Native OS อย่างจริงจัง แม้จะมีเสียงวิจารณ์จากผู้ใช้จำนวนมากที่กังวลเรื่องความปลอดภัยและการพึ่งพา AI มากเกินไป แต่บริษัทก็ยืนยันว่าจะปรับปรุงโมเดลความปลอดภัยและความโปร่งใสเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในอนาคต 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ Agent Workspace เปิดตัวใน Windows 11 ➡️ ให้ AI Agent ทำงานเบื้องหลังพร้อมสิทธิ์เข้าถึงโฟลเดอร์ส่วนตัว ✅ ทำงานคล้าย Sandbox แต่มีเดสก์ท็อปและบัญชีแยก ➡️ ผู้ใช้สามารถตรวจสอบ log และควบคุมสิทธิ์ของ Agent ได้ ✅ เปิดให้ทดสอบใน Insider Dev และ Beta Channel ➡️ ผ่านการตั้งค่า Experimental agentic features ‼️ ความเสี่ยงด้านความปลอดภัย ⛔ Agent มีสิทธิ์อ่าน/เขียนไฟล์ในโฟลเดอร์ส่วนตัว อาจเสี่ยงข้อมูลรั่วไหล ‼️ ผลกระทบต่อประสิทธิภาพเครื่อง ⛔ Agent ทำงานตลอดเวลา อาจใช้ RAM และ CPU เพิ่มขึ้น https://www.windowslatest.com/2025/11/18/windows-11-to-add-an-ai-agent-that-runs-in-background-with-access-to-personal-folders-warns-of-security-risk/
    WWW.WINDOWSLATEST.COM
    Windows 11 to add an AI agent that runs in background with access to personal folders, warns of security risk
    Microsoft is moving forward with its plans to turn Windows 11 into a full-fledged “AI” operating system amidst Copilot backlash. The first big move in that direction is an experimental feature called “Agent Workspace,” which gives AI agents access to the most-used folders in your directory, such as Desktop, Music, Pictures, and Videos. It will […]
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 16 มุมมอง 0 รีวิว
  • “การจากไปของ Rebecca Heineman – ผู้บุกเบิกวงการเกมและนักเคลื่อนไหวเพื่อความหลากหลาย”

    Rebecca Heineman เสียชีวิตหลังจากถูกวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งชนิดรุนแรงเมื่อเดือนที่ผ่านมา เธอเป็นที่รู้จักในฐานะ แชมป์ Space Invaders คนแรกของสหรัฐฯ ในปี 1980 และต่อมาได้กลายเป็นหนึ่งในนักพัฒนาเกมที่ทรงอิทธิพลที่สุด โดยมีเครดิตในเกมกว่า 67 เรื่อง รวมถึงการร่วมก่อตั้งบริษัท Interplay ซึ่งสร้างเกมระดับตำนานอย่าง Wasteland, Fallout และ Baldur’s Gate

    นอกจากผลงานด้านการพัฒนาเกมแล้ว Heineman ยังเป็นผู้บุกเบิกด้านการเขียนโปรแกรมและการพอร์ตเกม เช่น Wolfenstein 3D และ Doom ไปยัง Macintosh รวมถึงการทำงานในโครงการที่ท้าทายอย่างการพัฒนาเวอร์ชัน 3DO ของ Doom ภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์ ซึ่งกลายเป็นเรื่องเล่าขานในวงการเกม

    เธอเป็นที่เคารพในฐานะ นักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิ LGBTQ+ โดยออกมาเปิดเผยตัวตนในช่วงปี 2000 และได้รับรางวัล Gayming Icon Award ปี 2025 จากการสนับสนุนความหลากหลายและการเข้าถึงในวงการเทคโนโลยี เธอแต่งงานกับ Jennell Jaquays นักออกแบบเกมชื่อดังที่เสียชีวิตในปี 2024 การจากไปของ Heineman จึงเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ของชุมชนเกมและผู้สนับสนุนความหลากหลายทางเพศ

    แม้เธอจะจากไป แต่ผลงานและการอุทิศตนเพื่อวงการเกมและสิทธิมนุษยชนยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักพัฒนาและผู้เล่นรุ่นใหม่ทั่วโลก

    สรุปสาระสำคัญ
    Rebecca Heineman เสียชีวิตในวัย 62 ปี
    หลังถูกวินิจฉัยมะเร็งชนิดรุนแรง

    แชมป์ Space Invaders คนแรกของสหรัฐฯ (1980)
    จุดเริ่มต้นสู่การเป็นนักพัฒนาเกมระดับตำนาน

    ร่วมก่อตั้ง Interplay
    บริษัทผู้สร้างเกมดังอย่าง Wasteland, Fallout, Baldur’s Gate

    ผลงานด้านการพอร์ตเกม
    เช่น Wolfenstein 3D และ Doom บน Macintosh

    ได้รับรางวัล Gayming Icon Award ปี 2025
    ยกย่องบทบาทด้าน LGBTQ+ และการสนับสนุนความหลากหลาย

    การจากไปกระทบต่อชุมชนเกมและผู้สนับสนุนสิทธิ LGBTQ+
    สูญเสียบุคคลสำคัญที่เป็นแรงบันดาลใจ

    โรคมะเร็งที่ตรวจพบอย่างกะทันหัน
    ทำให้สุขภาพทรุดเร็วและไม่สามารถรักษาได้ทัน

    https://www.pcgamer.com/gaming-industry/legendary-game-designer-programmer-space-invaders-champion-and-lgbtq-trailblazer-rebecca-heineman-has-died/
    📰 “การจากไปของ Rebecca Heineman – ผู้บุกเบิกวงการเกมและนักเคลื่อนไหวเพื่อความหลากหลาย” Rebecca Heineman เสียชีวิตหลังจากถูกวินิจฉัยว่าเป็นมะเร็งชนิดรุนแรงเมื่อเดือนที่ผ่านมา เธอเป็นที่รู้จักในฐานะ แชมป์ Space Invaders คนแรกของสหรัฐฯ ในปี 1980 และต่อมาได้กลายเป็นหนึ่งในนักพัฒนาเกมที่ทรงอิทธิพลที่สุด โดยมีเครดิตในเกมกว่า 67 เรื่อง รวมถึงการร่วมก่อตั้งบริษัท Interplay ซึ่งสร้างเกมระดับตำนานอย่าง Wasteland, Fallout และ Baldur’s Gate นอกจากผลงานด้านการพัฒนาเกมแล้ว Heineman ยังเป็นผู้บุกเบิกด้านการเขียนโปรแกรมและการพอร์ตเกม เช่น Wolfenstein 3D และ Doom ไปยัง Macintosh รวมถึงการทำงานในโครงการที่ท้าทายอย่างการพัฒนาเวอร์ชัน 3DO ของ Doom ภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์ ซึ่งกลายเป็นเรื่องเล่าขานในวงการเกม เธอเป็นที่เคารพในฐานะ นักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิ LGBTQ+ โดยออกมาเปิดเผยตัวตนในช่วงปี 2000 และได้รับรางวัล Gayming Icon Award ปี 2025 จากการสนับสนุนความหลากหลายและการเข้าถึงในวงการเทคโนโลยี เธอแต่งงานกับ Jennell Jaquays นักออกแบบเกมชื่อดังที่เสียชีวิตในปี 2024 การจากไปของ Heineman จึงเป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ของชุมชนเกมและผู้สนับสนุนความหลากหลายทางเพศ แม้เธอจะจากไป แต่ผลงานและการอุทิศตนเพื่อวงการเกมและสิทธิมนุษยชนยังคงเป็นแรงบันดาลใจให้กับนักพัฒนาและผู้เล่นรุ่นใหม่ทั่วโลก 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ Rebecca Heineman เสียชีวิตในวัย 62 ปี ➡️ หลังถูกวินิจฉัยมะเร็งชนิดรุนแรง ✅ แชมป์ Space Invaders คนแรกของสหรัฐฯ (1980) ➡️ จุดเริ่มต้นสู่การเป็นนักพัฒนาเกมระดับตำนาน ✅ ร่วมก่อตั้ง Interplay ➡️ บริษัทผู้สร้างเกมดังอย่าง Wasteland, Fallout, Baldur’s Gate ✅ ผลงานด้านการพอร์ตเกม ➡️ เช่น Wolfenstein 3D และ Doom บน Macintosh ✅ ได้รับรางวัล Gayming Icon Award ปี 2025 ➡️ ยกย่องบทบาทด้าน LGBTQ+ และการสนับสนุนความหลากหลาย ‼️ การจากไปกระทบต่อชุมชนเกมและผู้สนับสนุนสิทธิ LGBTQ+ ⛔ สูญเสียบุคคลสำคัญที่เป็นแรงบันดาลใจ ‼️ โรคมะเร็งที่ตรวจพบอย่างกะทันหัน ⛔ ทำให้สุขภาพทรุดเร็วและไม่สามารถรักษาได้ทัน https://www.pcgamer.com/gaming-industry/legendary-game-designer-programmer-space-invaders-champion-and-lgbtq-trailblazer-rebecca-heineman-has-died/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 14 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Cloudflare Global Network Outage – การหยุดชะงักครั้งใหญ่ที่ถูกแก้ไขแล้ว”

    เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2025 Cloudflare รายงานว่าเครือข่ายทั่วโลกของตนประสบปัญหาการทำงานผิดปกติ ส่งผลให้บริการหลายส่วน เช่น Access, Bot Management, CDN/Cache, Dashboard, Firewall, Network, WARP และ Workers ได้รับผลกระทบ ผู้ใช้งานบางส่วนพบความล่าช้าในการเชื่อมต่อ รวมถึงไม่สามารถเข้าสู่ระบบ Dashboard ได้ตามปกติ

    ทีมวิศวกรของ Cloudflareได้ทำการตรวจสอบและแก้ไขอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงแรกมีการปิดการเข้าถึง WARP ใน London เพื่อควบคุมสถานการณ์ ก่อนจะค่อย ๆ ฟื้นฟูบริการต่าง ๆ ให้กลับมาใช้งานได้ตามปกติ การอัปเดตสถานะระบุว่า Bot Scores และการทำงานของระบบยังคงได้รับผลกระทบเป็นระยะ แต่ภายหลังสามารถแก้ไขได้จนกลับสู่ระดับปกติ

    ในช่วงการฟื้นฟู Cloudflare ยืนยันว่าได้ใช้มาตรการหลายอย่างเพื่อเร่งการแก้ไขและลดผลกระทบต่อผู้ใช้งานทั่วโลก โดยมีการปรับปรุงระบบ Access และ WARP ให้กลับมาทำงานได้ รวมถึงการปรับเปลี่ยนการตั้งค่าบางส่วนเพื่อให้ Dashboard และบริการอื่น ๆ ฟื้นตัวเร็วขึ้น

    ล่าสุด Cloudflare ประกาศว่า เหตุขัดข้องได้รับการแก้ไขแล้ว และบริการทั้งหมดกลับมาทำงานตามปกติ พร้อมย้ำว่าจะมีการทำ Post-incident Investigation เพื่อเปิดเผยรายละเอียดเชิงลึกของสาเหตุและแนวทางป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำในอนาคต

    สรุปสาระสำคัญ
    เหตุการณ์เกิดขึ้นวันที่ 18 พฤศจิกายน 2025
    กระทบหลายบริการของ Cloudflare เช่น Access, WARP, Dashboard, Firewall

    การแก้ไขเบื้องต้น
    ปิดการเข้าถึง WARP ใน London และปรับปรุงระบบ Access

    การฟื้นฟูบริการ
    Dashboard และ Bot Scores ค่อย ๆ กลับสู่ระดับปกติ

    สถานะล่าสุด
    Cloudflare ยืนยันว่าเหตุการณ์ได้รับการแก้ไขแล้ว

    ผลกระทบต่อผู้ใช้งานทั่วโลก
    ผู้ใช้บางรายไม่สามารถเข้าสู่ระบบ Dashboard และพบความล่าช้าในการเชื่อมต่อ

    ความเสี่ยงจากการหยุดชะงักของเครือข่าย
    อาจกระทบธุรกิจที่พึ่งพา Cloudflare ในการรักษาความปลอดภัยและการเชื่อมต่อเว็บไซต์

    https://www.cloudflarestatus.com/incidents/8gmgl950y3h7
    📰 “Cloudflare Global Network Outage – การหยุดชะงักครั้งใหญ่ที่ถูกแก้ไขแล้ว” เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2025 Cloudflare รายงานว่าเครือข่ายทั่วโลกของตนประสบปัญหาการทำงานผิดปกติ ส่งผลให้บริการหลายส่วน เช่น Access, Bot Management, CDN/Cache, Dashboard, Firewall, Network, WARP และ Workers ได้รับผลกระทบ ผู้ใช้งานบางส่วนพบความล่าช้าในการเชื่อมต่อ รวมถึงไม่สามารถเข้าสู่ระบบ Dashboard ได้ตามปกติ ทีมวิศวกรของ Cloudflareได้ทำการตรวจสอบและแก้ไขอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงแรกมีการปิดการเข้าถึง WARP ใน London เพื่อควบคุมสถานการณ์ ก่อนจะค่อย ๆ ฟื้นฟูบริการต่าง ๆ ให้กลับมาใช้งานได้ตามปกติ การอัปเดตสถานะระบุว่า Bot Scores และการทำงานของระบบยังคงได้รับผลกระทบเป็นระยะ แต่ภายหลังสามารถแก้ไขได้จนกลับสู่ระดับปกติ ในช่วงการฟื้นฟู Cloudflare ยืนยันว่าได้ใช้มาตรการหลายอย่างเพื่อเร่งการแก้ไขและลดผลกระทบต่อผู้ใช้งานทั่วโลก โดยมีการปรับปรุงระบบ Access และ WARP ให้กลับมาทำงานได้ รวมถึงการปรับเปลี่ยนการตั้งค่าบางส่วนเพื่อให้ Dashboard และบริการอื่น ๆ ฟื้นตัวเร็วขึ้น ล่าสุด Cloudflare ประกาศว่า เหตุขัดข้องได้รับการแก้ไขแล้ว และบริการทั้งหมดกลับมาทำงานตามปกติ พร้อมย้ำว่าจะมีการทำ Post-incident Investigation เพื่อเปิดเผยรายละเอียดเชิงลึกของสาเหตุและแนวทางป้องกันไม่ให้เกิดซ้ำในอนาคต 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ เหตุการณ์เกิดขึ้นวันที่ 18 พฤศจิกายน 2025 ➡️ กระทบหลายบริการของ Cloudflare เช่น Access, WARP, Dashboard, Firewall ✅ การแก้ไขเบื้องต้น ➡️ ปิดการเข้าถึง WARP ใน London และปรับปรุงระบบ Access ✅ การฟื้นฟูบริการ ➡️ Dashboard และ Bot Scores ค่อย ๆ กลับสู่ระดับปกติ ✅ สถานะล่าสุด ➡️ Cloudflare ยืนยันว่าเหตุการณ์ได้รับการแก้ไขแล้ว ‼️ ผลกระทบต่อผู้ใช้งานทั่วโลก ⛔ ผู้ใช้บางรายไม่สามารถเข้าสู่ระบบ Dashboard และพบความล่าช้าในการเชื่อมต่อ ‼️ ความเสี่ยงจากการหยุดชะงักของเครือข่าย ⛔ อาจกระทบธุรกิจที่พึ่งพา Cloudflare ในการรักษาความปลอดภัยและการเชื่อมต่อเว็บไซต์ https://www.cloudflarestatus.com/incidents/8gmgl950y3h7
    WWW.CLOUDFLARESTATUS.COM
    Cloudflare Global Network experiencing issues
    Cloudflare's Status Page - Cloudflare Global Network experiencing issues.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 12 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ไฟหน้ารถ LED สว่างเกินไป – ปัญหาที่รัฐบาลอังกฤษเตรียมแก้ไข”

    งานวิจัยที่จัดทำโดย Department for Transport (DfT) ของสหราชอาณาจักร พบว่า 97% ของผู้ขับขี่รู้สึกถูกรบกวนจากแสงไฟหน้ารถที่สว่างเกินไป และ 96% เชื่อว่าไฟหน้ารถส่วนใหญ่สว่างเกินมาตรฐาน ปัญหานี้เกิดขึ้นบ่อยจนบางคนถึงขั้นเลี่ยงการขับรถกลางคืน โดย 33% เลิกขับกลางคืนหรือขับน้อยลง และอีก 22% อยากเลี่ยงแต่ไม่มีทางเลือก

    ผู้เชี่ยวชาญจาก Transport Research Laboratory (TRL) ระบุว่าไฟ LED และไฟสีขาวเข้มมีแนวโน้มสร้างแสงจ้าที่ทำให้สายตามนุษย์ปรับตัวได้ยากในเวลากลางคืน ข้อมูลนี้สอดคล้องกับการรณรงค์ของ RAC (Royal Automobile Club) ที่เคยเรียกร้องให้รัฐบาลตรวจสอบเรื่องนี้ เพราะแม้ไฟหน้าสว่างจะช่วยให้ผู้ขับขี่มองเห็นได้ดีขึ้น แต่ก็สร้างความเสี่ยงต่อผู้ใช้ถนนคนอื่น ๆ

    รัฐบาลอังกฤษประกาศว่าจะบรรจุประเด็นนี้ใน Road Safety Strategy ที่จะออกมาเร็ว ๆ นี้ โดยมีแนวทางทบทวนมาตรฐานไฟหน้ารถ เพื่อหาสมดุลระหว่าง “ความสว่างเพื่อความปลอดภัย” และ “การลดแสงจ้าที่รบกวนสายตา” ขณะเดียวกัน นักทัศนมาตรวิทยาแนะนำให้มีการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อปรับปรุงกฎเกณฑ์ให้ทันสมัยและสอดคล้องกับเทคโนโลยีไฟรถที่เปลี่ยนไป

    สรุปสาระสำคัญ
    ผลสำรวจจาก DfT
    97% ของผู้ขับขี่ถูกรบกวนจากไฟหน้ารถ, 96% เชื่อว่าไฟหน้าสว่างเกินไป

    ผลกระทบต่อพฤติกรรมการขับขี่
    33% เลิกขับกลางคืน, 22% อยากเลี่ยงแต่จำเป็นต้องขับ

    ไฟ LED และไฟสีขาวเข้ม
    มีแนวโน้มสร้างแสงจ้าที่สายตามนุษย์ปรับได้ยาก

    รัฐบาลอังกฤษเตรียมแก้ไข
    จะบรรจุใน Road Safety Strategy เพื่อทบทวนมาตรฐานไฟหน้า

    ความเสี่ยงต่อความปลอดภัยบนท้องถนน
    ไฟหน้าสว่างเกินไปอาจทำให้ผู้ขับขี่ตาพร่าและเกิดอุบัติเหตุ

    การพึ่งพาเทคโนโลยีโดยไม่ปรับกฎเกณฑ์
    หากไม่แก้ไข อาจทำให้ปัญหาลุกลามเมื่อรถรุ่นใหม่ใช้ไฟ LED มากขึ้น

    https://www.bbc.com/news/articles/c1j8ewy1p86o
    📰 “ไฟหน้ารถ LED สว่างเกินไป – ปัญหาที่รัฐบาลอังกฤษเตรียมแก้ไข” งานวิจัยที่จัดทำโดย Department for Transport (DfT) ของสหราชอาณาจักร พบว่า 97% ของผู้ขับขี่รู้สึกถูกรบกวนจากแสงไฟหน้ารถที่สว่างเกินไป และ 96% เชื่อว่าไฟหน้ารถส่วนใหญ่สว่างเกินมาตรฐาน ปัญหานี้เกิดขึ้นบ่อยจนบางคนถึงขั้นเลี่ยงการขับรถกลางคืน โดย 33% เลิกขับกลางคืนหรือขับน้อยลง และอีก 22% อยากเลี่ยงแต่ไม่มีทางเลือก ผู้เชี่ยวชาญจาก Transport Research Laboratory (TRL) ระบุว่าไฟ LED และไฟสีขาวเข้มมีแนวโน้มสร้างแสงจ้าที่ทำให้สายตามนุษย์ปรับตัวได้ยากในเวลากลางคืน ข้อมูลนี้สอดคล้องกับการรณรงค์ของ RAC (Royal Automobile Club) ที่เคยเรียกร้องให้รัฐบาลตรวจสอบเรื่องนี้ เพราะแม้ไฟหน้าสว่างจะช่วยให้ผู้ขับขี่มองเห็นได้ดีขึ้น แต่ก็สร้างความเสี่ยงต่อผู้ใช้ถนนคนอื่น ๆ รัฐบาลอังกฤษประกาศว่าจะบรรจุประเด็นนี้ใน Road Safety Strategy ที่จะออกมาเร็ว ๆ นี้ โดยมีแนวทางทบทวนมาตรฐานไฟหน้ารถ เพื่อหาสมดุลระหว่าง “ความสว่างเพื่อความปลอดภัย” และ “การลดแสงจ้าที่รบกวนสายตา” ขณะเดียวกัน นักทัศนมาตรวิทยาแนะนำให้มีการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อปรับปรุงกฎเกณฑ์ให้ทันสมัยและสอดคล้องกับเทคโนโลยีไฟรถที่เปลี่ยนไป 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ผลสำรวจจาก DfT ➡️ 97% ของผู้ขับขี่ถูกรบกวนจากไฟหน้ารถ, 96% เชื่อว่าไฟหน้าสว่างเกินไป ✅ ผลกระทบต่อพฤติกรรมการขับขี่ ➡️ 33% เลิกขับกลางคืน, 22% อยากเลี่ยงแต่จำเป็นต้องขับ ✅ ไฟ LED และไฟสีขาวเข้ม ➡️ มีแนวโน้มสร้างแสงจ้าที่สายตามนุษย์ปรับได้ยาก ✅ รัฐบาลอังกฤษเตรียมแก้ไข ➡️ จะบรรจุใน Road Safety Strategy เพื่อทบทวนมาตรฐานไฟหน้า ‼️ ความเสี่ยงต่อความปลอดภัยบนท้องถนน ⛔ ไฟหน้าสว่างเกินไปอาจทำให้ผู้ขับขี่ตาพร่าและเกิดอุบัติเหตุ ‼️ การพึ่งพาเทคโนโลยีโดยไม่ปรับกฎเกณฑ์ ⛔ หากไม่แก้ไข อาจทำให้ปัญหาลุกลามเมื่อรถรุ่นใหม่ใช้ไฟ LED มากขึ้น https://www.bbc.com/news/articles/c1j8ewy1p86o
    WWW.BBC.COM
    Nearly all drivers say vehicles' lights are too bright in study
    The study, commissioned by the Department for Transport, was completed by Berkshire's TRL.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 13 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Gemini 3 – ก้าวใหม่ของ AI ที่ฉลาดที่สุดจาก Google”

    Gemini 3 คือโมเดล AI ล่าสุดจาก Google ที่ถูกออกแบบมาเพื่อเป็น “ตัวช่วยคิด” ที่สามารถเข้าใจหลายมิติ ทั้งข้อความ ภาพ วิดีโอ เสียง และโค้ด โดยมีความสามารถด้านการให้เหตุผลเชิงลึกและการเข้าใจบริบทที่เหนือกว่ารุ่นก่อน ๆ จุดเด่นคือการทำงานแบบ multimodal reasoning ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเรียนรู้ สร้าง และวางแผนได้ในระดับที่ซับซ้อนมากขึ้น

    โมเดลนี้เปิดตัวพร้อม Gemini 3 Pro ซึ่งทำคะแนนสูงสุดในหลายการทดสอบ เช่น Humanity’s Last Exam และ GPQA Diamond รวมถึงการแก้โจทย์คณิตศาสตร์และการเข้าใจวิดีโอที่ซับซ้อน นอกจากนี้ยังมีโหมด Gemini 3 Deep Think ที่ยกระดับการให้เหตุผลไปอีกขั้น โดยสามารถแก้ปัญหาที่ไม่เคยเจอมาก่อนด้วยความแม่นยำสูงขึ้น

    Gemini 3 ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การตอบคำถาม แต่ยังสามารถช่วยผู้ใช้ในชีวิตจริง เช่น การวิเคราะห์งานวิจัย การสร้างคู่มือเชิงโต้ตอบ การแปลสูตรอาหารที่เขียนด้วยมือ หรือแม้แต่การวิเคราะห์วิดีโอกีฬาเพื่อให้คำแนะนำการฝึกซ้อม นอกจากนี้ยังถูกนำไปใช้ใน AI Mode ของ Google Search เพื่อสร้างประสบการณ์ค้นหาที่มีการจำลองแบบโต้ตอบและภาพประกอบแบบเรียลไทม์

    อีกหนึ่งความก้าวหน้าคือการเปิดตัว Google Antigravity ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มพัฒนาเชิง Agentic ที่ให้ AI ทำงานแทนนักพัฒนาในระดับสูงขึ้น เช่น การวางแผนและเขียนโค้ดทั้งโปรเจกต์โดยอัตโนมัติ ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการ IDE และการทำงานร่วมกับ AI

    สรุปสาระสำคัญ
    Gemini 3 เปิดตัวเป็นโมเดล AI ที่ฉลาดที่สุดของ Google
    รองรับการทำงานหลายมิติ (ข้อความ, ภาพ, วิดีโอ, โค้ด)

    Gemini 3 Pro ทำคะแนนสูงสุดในหลายการทดสอบ
    เช่น Humanity’s Last Exam และ GPQA Diamond

    Gemini 3 Deep Think ยกระดับการให้เหตุผล
    สามารถแก้โจทย์ใหม่ ๆ ที่ไม่เคยเจอมาก่อน

    ใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน
    เช่น วิเคราะห์งานวิจัย, แปลสูตรอาหาร, วิเคราะห์วิดีโอกีฬา

    Google Antigravity เปิดตัวพร้อม Gemini 3
    เป็นแพลตฟอร์ม Agentic IDE ที่ให้ AI ทำงานแทนนักพัฒนา

    ความเสี่ยงด้านการพึ่งพา AI มากเกินไป
    อาจทำให้ผู้ใช้ลดทักษะการคิดและการแก้ปัญหาด้วยตนเอง

    ประเด็นด้านความปลอดภัยและความโปร่งใส
    แม้จะมีการทดสอบ แต่ยังต้องระวังการใช้ AI ในงานที่อ่อนไหว

    https://blog.google/products/gemini/gemini-3/
    📰 “Gemini 3 – ก้าวใหม่ของ AI ที่ฉลาดที่สุดจาก Google” Gemini 3 คือโมเดล AI ล่าสุดจาก Google ที่ถูกออกแบบมาเพื่อเป็น “ตัวช่วยคิด” ที่สามารถเข้าใจหลายมิติ ทั้งข้อความ ภาพ วิดีโอ เสียง และโค้ด โดยมีความสามารถด้านการให้เหตุผลเชิงลึกและการเข้าใจบริบทที่เหนือกว่ารุ่นก่อน ๆ จุดเด่นคือการทำงานแบบ multimodal reasoning ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเรียนรู้ สร้าง และวางแผนได้ในระดับที่ซับซ้อนมากขึ้น โมเดลนี้เปิดตัวพร้อม Gemini 3 Pro ซึ่งทำคะแนนสูงสุดในหลายการทดสอบ เช่น Humanity’s Last Exam และ GPQA Diamond รวมถึงการแก้โจทย์คณิตศาสตร์และการเข้าใจวิดีโอที่ซับซ้อน นอกจากนี้ยังมีโหมด Gemini 3 Deep Think ที่ยกระดับการให้เหตุผลไปอีกขั้น โดยสามารถแก้ปัญหาที่ไม่เคยเจอมาก่อนด้วยความแม่นยำสูงขึ้น Gemini 3 ไม่ได้จำกัดอยู่แค่การตอบคำถาม แต่ยังสามารถช่วยผู้ใช้ในชีวิตจริง เช่น การวิเคราะห์งานวิจัย การสร้างคู่มือเชิงโต้ตอบ การแปลสูตรอาหารที่เขียนด้วยมือ หรือแม้แต่การวิเคราะห์วิดีโอกีฬาเพื่อให้คำแนะนำการฝึกซ้อม นอกจากนี้ยังถูกนำไปใช้ใน AI Mode ของ Google Search เพื่อสร้างประสบการณ์ค้นหาที่มีการจำลองแบบโต้ตอบและภาพประกอบแบบเรียลไทม์ อีกหนึ่งความก้าวหน้าคือการเปิดตัว Google Antigravity ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มพัฒนาเชิง Agentic ที่ให้ AI ทำงานแทนนักพัฒนาในระดับสูงขึ้น เช่น การวางแผนและเขียนโค้ดทั้งโปรเจกต์โดยอัตโนมัติ ถือเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในวงการ IDE และการทำงานร่วมกับ AI 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ Gemini 3 เปิดตัวเป็นโมเดล AI ที่ฉลาดที่สุดของ Google ➡️ รองรับการทำงานหลายมิติ (ข้อความ, ภาพ, วิดีโอ, โค้ด) ✅ Gemini 3 Pro ทำคะแนนสูงสุดในหลายการทดสอบ ➡️ เช่น Humanity’s Last Exam และ GPQA Diamond ✅ Gemini 3 Deep Think ยกระดับการให้เหตุผล ➡️ สามารถแก้โจทย์ใหม่ ๆ ที่ไม่เคยเจอมาก่อน ✅ ใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน ➡️ เช่น วิเคราะห์งานวิจัย, แปลสูตรอาหาร, วิเคราะห์วิดีโอกีฬา ✅ Google Antigravity เปิดตัวพร้อม Gemini 3 ➡️ เป็นแพลตฟอร์ม Agentic IDE ที่ให้ AI ทำงานแทนนักพัฒนา ‼️ ความเสี่ยงด้านการพึ่งพา AI มากเกินไป ⛔ อาจทำให้ผู้ใช้ลดทักษะการคิดและการแก้ปัญหาด้วยตนเอง ‼️ ประเด็นด้านความปลอดภัยและความโปร่งใส ⛔ แม้จะมีการทดสอบ แต่ยังต้องระวังการใช้ AI ในงานที่อ่อนไหว https://blog.google/products/gemini/gemini-3/
    BLOG.GOOGLE
    A new era of intelligence with Gemini 3
    Today we’re releasing Gemini 3 – our most intelligent model that helps you bring any idea to life.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 12 มุมมอง 0 รีวิว
  • “Google Antigravity – IDE ยุค Agent-First”

    Google Antigravity ถูกออกแบบมาเพื่อเปลี่ยนประสบการณ์การเขียนโปรแกรมจากการใช้ IDE แบบเดิม ไปสู่การทำงานร่วมกับ AI Agent ที่สามารถช่วยเหลือได้ในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเขียนโค้ด การตรวจสอบผลลัพธ์ ไปจนถึงการจัดการหลายโปรเจกต์พร้อมกันในมุมมองเดียว นักพัฒนาสามารถใช้คำสั่งภาษาธรรมชาติแทนการพิมพ์โค้ดที่ซับซ้อน ทำให้การทำงานเร็วขึ้นและลดความผิดพลาด

    นอกจากนี้ Antigravity ยังมีฟีเจอร์ Cross-surface Agents ที่ช่วยให้การทำงานเชื่อมโยงกันระหว่าง Editor, Terminal และ Browser ได้อย่างราบรื่น นักพัฒนาสามารถควบคุม Agent ได้จากทุกมุมมองโดยไม่ต้องสลับหน้าต่างบ่อย ๆ ซึ่งช่วยลดการเสียเวลาและเพิ่มความต่อเนื่องในการทำงาน

    สิ่งที่น่าสนใจคือ Google เน้น Agent-First Experience โดยให้ผู้ใช้สามารถจัดการ Agent หลายตัวพร้อมกันจากศูนย์กลางเดียว เหมือนมี “Mission Control” สำหรับการพัฒนาโปรแกรม ฟีเจอร์นี้เหมาะกับทั้งนักพัฒนาเดี่ยวและทีมองค์กรที่ต้องการลดการสลับบริบทและเพิ่มความโปร่งใสในการทำงานร่วมกัน

    จากมุมมองวงการเทคโนโลยี Antigravity ถือเป็นการก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของ IDE ที่ไม่ใช่แค่เครื่องมือเขียนโค้ด แต่เป็นแพลตฟอร์มที่ผสมผสาน AI, Automation และ Collaboration เข้าด้วยกัน ซึ่งอาจเปลี่ยนวิธีการทำงานของนักพัฒนาในอนาคตอย่างสิ้นเชิง

    สรุปสาระสำคัญ
    Google Antigravity เปิดตัวเป็น IDE ยุคใหม่
    เน้นการทำงานร่วมกับ AI Agent และภาษาธรรมชาติ

    Cross-surface Agents
    เชื่อมโยงการทำงานระหว่าง Editor, Terminal และ Browser

    Agent-First Experience
    จัดการ Agent หลายตัวพร้อมกันจากศูนย์กลางเดียว

    เหมาะกับนักพัฒนาทุกระดับ
    ตั้งแต่ Frontend, Fullstack ไปจนถึง Enterprise Developer

    ความเสี่ยงด้านความเชื่อมั่นและความปลอดภัย
    การใช้ Agent หลายตัวอาจเพิ่มความซับซ้อนในการตรวจสอบผลลัพธ์

    การพึ่งพา AI มากเกินไป
    อาจทำให้นักพัฒนาสูญเสียทักษะพื้นฐานในการเขียนโค้ดเอง

    https://antigravity.google/
    📰 “Google Antigravity – IDE ยุค Agent-First” Google Antigravity ถูกออกแบบมาเพื่อเปลี่ยนประสบการณ์การเขียนโปรแกรมจากการใช้ IDE แบบเดิม ไปสู่การทำงานร่วมกับ AI Agent ที่สามารถช่วยเหลือได้ในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเขียนโค้ด การตรวจสอบผลลัพธ์ ไปจนถึงการจัดการหลายโปรเจกต์พร้อมกันในมุมมองเดียว นักพัฒนาสามารถใช้คำสั่งภาษาธรรมชาติแทนการพิมพ์โค้ดที่ซับซ้อน ทำให้การทำงานเร็วขึ้นและลดความผิดพลาด นอกจากนี้ Antigravity ยังมีฟีเจอร์ Cross-surface Agents ที่ช่วยให้การทำงานเชื่อมโยงกันระหว่าง Editor, Terminal และ Browser ได้อย่างราบรื่น นักพัฒนาสามารถควบคุม Agent ได้จากทุกมุมมองโดยไม่ต้องสลับหน้าต่างบ่อย ๆ ซึ่งช่วยลดการเสียเวลาและเพิ่มความต่อเนื่องในการทำงาน สิ่งที่น่าสนใจคือ Google เน้น Agent-First Experience โดยให้ผู้ใช้สามารถจัดการ Agent หลายตัวพร้อมกันจากศูนย์กลางเดียว เหมือนมี “Mission Control” สำหรับการพัฒนาโปรแกรม ฟีเจอร์นี้เหมาะกับทั้งนักพัฒนาเดี่ยวและทีมองค์กรที่ต้องการลดการสลับบริบทและเพิ่มความโปร่งใสในการทำงานร่วมกัน จากมุมมองวงการเทคโนโลยี Antigravity ถือเป็นการก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของ IDE ที่ไม่ใช่แค่เครื่องมือเขียนโค้ด แต่เป็นแพลตฟอร์มที่ผสมผสาน AI, Automation และ Collaboration เข้าด้วยกัน ซึ่งอาจเปลี่ยนวิธีการทำงานของนักพัฒนาในอนาคตอย่างสิ้นเชิง 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ Google Antigravity เปิดตัวเป็น IDE ยุคใหม่ ➡️ เน้นการทำงานร่วมกับ AI Agent และภาษาธรรมชาติ ✅ Cross-surface Agents ➡️ เชื่อมโยงการทำงานระหว่าง Editor, Terminal และ Browser ✅ Agent-First Experience ➡️ จัดการ Agent หลายตัวพร้อมกันจากศูนย์กลางเดียว ✅ เหมาะกับนักพัฒนาทุกระดับ ➡️ ตั้งแต่ Frontend, Fullstack ไปจนถึง Enterprise Developer ‼️ ความเสี่ยงด้านความเชื่อมั่นและความปลอดภัย ⛔ การใช้ Agent หลายตัวอาจเพิ่มความซับซ้อนในการตรวจสอบผลลัพธ์ ‼️ การพึ่งพา AI มากเกินไป ⛔ อาจทำให้นักพัฒนาสูญเสียทักษะพื้นฐานในการเขียนโค้ดเอง https://antigravity.google/
    ANTIGRAVITY.GOOGLE
    Google Antigravity
    Google Antigravity - Build the new way
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 13 มุมมอง 0 รีวิว
  • Samsung Smart TV มีเมนูลับที่คุณอาจไม่เคยรู้

    Samsung Smart TV รุ่นใหม่ๆ ไม่ได้มีแค่เมนูตั้งค่าทั่วไป แต่ยังมี “Service Menu” หรือเมนูลับที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้โดยช่างเทคนิคในการตรวจสอบและปรับแต่งระบบภายใน ซึ่งผู้ใช้ทั่วไปก็สามารถเข้าถึงได้ หากรู้วิธีการกดปุ่มบนรีโมตที่ถูกต้อง

    วิธีเข้าถึงเมนูลับ
    สำหรับรีโมตขนาดเล็ก: เปิดทีวี → ไปที่ Settings > Sound Settings และตั้งค่า “Sound Output” เป็น TV Speakers → กดปุ่มตามลำดับ Mute, Up, Down, Enter/OK, Mute

    สำหรับรีโมตขนาดใหญ่: เข้าสู่ Standby Mode โดยเปิดทีวีแล้วกดปิดทันที → จากนั้นกดปุ่มตามลำดับ Info, Menu, Mute, Power หากวิธีเหล่านี้ไม่ทำงาน สามารถค้นหาด้วย รุ่นของทีวี + คำว่า service menu เพื่อดูคำแนะนำเฉพาะรุ่น

    สิ่งที่ทำได้ในเมนูลับ
    ตรวจสอบ ชั่วโมงการใช้งานของจอภาพ (สำคัญมากหากซื้อทีวีมือสอง)
    ปรับแต่ง advanced picture settings เช่น white balance และ gamma
    ตั้งค่า Bluetooth radio configuration และ tuner region
    ปิด Hospitality Mode ที่บางครั้งถูกเปิดโดยผิดพลาด ทำให้ฟีเจอร์บางอย่างถูกจำกัด

    ข้อควรระวัง
    แม้เมนูลับนี้จะมีประโยชน์ แต่ก็มีความเสี่ยงสูง หากปรับค่าที่ไม่เข้าใจอาจทำให้ระบบทำงานผิดพลาดหรือเสียหายได้ ดังนั้นควรใช้เพื่อการตรวจสอบข้อมูลเท่านั้น ไม่ควรทดลองเปลี่ยนค่าที่ไม่แน่ใจ

    สรุปสาระสำคัญ
    วิธีเข้าถึงเมนูลับ
    รีโมตเล็ก: Mute → Up → Down → Enter/OK → Mute
    รีโมตใหญ่: Info → Menu → Mute → Power

    สิ่งที่ทำได้
    ตรวจสอบชั่วโมงการใช้งานจอ
    ปรับแต่ง advanced picture settings
    ตั้งค่า Bluetooth และ tuner region
    ปิด Hospitality Mode

    คำเตือน
    การปรับค่าที่ไม่เข้าใจอาจทำให้ทีวีทำงานผิดพลาด
    เมนูลับถูกออกแบบมาเพื่อช่างเทคนิค ไม่ใช่ผู้ใช้ทั่วไป
    ควรใช้เพื่อการตรวจสอบข้อมูลเท่านั้น

    https://www.slashgear.com/2026399/your-samsung-smart-tv-has-hidden-menu-how-to-access/
    📺 Samsung Smart TV มีเมนูลับที่คุณอาจไม่เคยรู้ Samsung Smart TV รุ่นใหม่ๆ ไม่ได้มีแค่เมนูตั้งค่าทั่วไป แต่ยังมี “Service Menu” หรือเมนูลับที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้โดยช่างเทคนิคในการตรวจสอบและปรับแต่งระบบภายใน ซึ่งผู้ใช้ทั่วไปก็สามารถเข้าถึงได้ หากรู้วิธีการกดปุ่มบนรีโมตที่ถูกต้อง 🔑 วิธีเข้าถึงเมนูลับ 🔰 สำหรับรีโมตขนาดเล็ก: เปิดทีวี → ไปที่ Settings > Sound Settings และตั้งค่า “Sound Output” เป็น TV Speakers → กดปุ่มตามลำดับ Mute, Up, Down, Enter/OK, Mute 🔰 สำหรับรีโมตขนาดใหญ่: เข้าสู่ Standby Mode โดยเปิดทีวีแล้วกดปิดทันที → จากนั้นกดปุ่มตามลำดับ Info, Menu, Mute, Power หากวิธีเหล่านี้ไม่ทำงาน สามารถค้นหาด้วย รุ่นของทีวี + คำว่า service menu เพื่อดูคำแนะนำเฉพาะรุ่น ⚙️ สิ่งที่ทำได้ในเมนูลับ 🔰 ตรวจสอบ ชั่วโมงการใช้งานของจอภาพ (สำคัญมากหากซื้อทีวีมือสอง) 🔰 ปรับแต่ง advanced picture settings เช่น white balance และ gamma 🔰 ตั้งค่า Bluetooth radio configuration และ tuner region 🔰 ปิด Hospitality Mode ที่บางครั้งถูกเปิดโดยผิดพลาด ทำให้ฟีเจอร์บางอย่างถูกจำกัด ⚠️ ข้อควรระวัง แม้เมนูลับนี้จะมีประโยชน์ แต่ก็มีความเสี่ยงสูง หากปรับค่าที่ไม่เข้าใจอาจทำให้ระบบทำงานผิดพลาดหรือเสียหายได้ ดังนั้นควรใช้เพื่อการตรวจสอบข้อมูลเท่านั้น ไม่ควรทดลองเปลี่ยนค่าที่ไม่แน่ใจ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ วิธีเข้าถึงเมนูลับ ➡️ รีโมตเล็ก: Mute → Up → Down → Enter/OK → Mute ➡️ รีโมตใหญ่: Info → Menu → Mute → Power ✅ สิ่งที่ทำได้ ➡️ ตรวจสอบชั่วโมงการใช้งานจอ ➡️ ปรับแต่ง advanced picture settings ➡️ ตั้งค่า Bluetooth และ tuner region ➡️ ปิด Hospitality Mode ‼️ คำเตือน ⛔ การปรับค่าที่ไม่เข้าใจอาจทำให้ทีวีทำงานผิดพลาด ⛔ เมนูลับถูกออกแบบมาเพื่อช่างเทคนิค ไม่ใช่ผู้ใช้ทั่วไป ⛔ ควรใช้เพื่อการตรวจสอบข้อมูลเท่านั้น https://www.slashgear.com/2026399/your-samsung-smart-tv-has-hidden-menu-how-to-access/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Your Samsung Smart TV Has A Hidden Menu — Here's How To Access It - SlashGear
    Access Samsung’s hidden service menu by entering remote codes, like Mute, Up, Down, OK, Mute on newer remotes or Info, Menu, Mute, Power on older ones.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 13 มุมมอง 0 รีวิว
  • ใครคือผู้ผลิต Laptop ที่ทนทานที่สุดในโลก?

    บทความจาก SlashGear ได้เจาะลึกถึงตลาด Rugged Laptops ที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานในสภาพแวดล้อมที่โหดร้าย เช่น ไซต์ก่อสร้าง, แท่นขุดเจาะน้ำมัน, หรือแม้แต่พื้นที่ที่มีสภาพอากาศสุดขั้ว โดยมีหลายบริษัทที่แข่งขันกัน แต่ Panasonic ยังคงครองตำแหน่งผู้นำด้วยซีรีส์ Toughbook ที่มีชื่อเสียงมายาวนาน

    Panasonic Toughbook: มาตรฐานทองคำของความทนทาน
    Panasonic เปิดตัว Toughbook รุ่นแรกในปี 1996 และปัจจุบันยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง รุ่นล่าสุดเช่น Toughbook G2 และ Toughbook 40 มาพร้อมมาตรฐาน MIL-STD-810H และการป้องกันน้ำระดับ IP66 สามารถทนต่อการตกจากความสูง, ฝุ่น, น้ำ และแรงสั่นสะเทือน เหมาะสำหรับงานภาคสนามที่ต้องการความเชื่อถือได้สูงสุด

    คู่แข่งในตลาด: Dell, HP, Lenovo และผู้ผลิตเฉพาะทาง
    Dell เข้าสู่ตลาดนี้ตั้งแต่ปี 2006 ด้วย Latitude ATG และล่าสุดมี Dell Pro Rugged 13 ที่ทนทานใกล้เคียง Toughbook แต่การป้องกันน้ำอยู่ที่ IP65

    HP, Asus, Acer มีรุ่นที่เรียกว่า “semi-rugged” ซึ่งทนทานกว่าลaptop ปกติ แต่ยังไม่ถึงระดับ Toughbook หรือ Dell Rugged

    Getac และ MilDef เป็นผู้ผลิตเฉพาะทางที่เน้นตลาดทหารและอุตสาหกรรมพิเศษ โดย MilDef มีรุ่น RK15, RB14, RW14 และ RS13 ที่ออกแบบมาเพื่อใช้งานในเขตสงคราม

    ความหมายต่อผู้ใช้และองค์กร
    Laptop ทนทานเหล่านี้ไม่ได้มีไว้สำหรับผู้ใช้ทั่วไป แต่เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับองค์กรที่ต้องทำงานในสภาพแวดล้อมที่เสี่ยงต่อความเสียหาย การเลือกใช้เครื่องที่เหมาะสมช่วยลด downtime และเพิ่มความปลอดภัยในการทำงาน ขณะเดียวกันก็สะท้อนถึงความต้องการโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อถือได้ในโลกดิจิทัล

    สรุปสาระสำคัญ
    Panasonic Toughbook
    รุ่น G2 และ 40 มี MIL-STD-810H และ IP66
    ครองตำแหน่ง laptop ที่ทนทานที่สุดในตลาด

    Dell Rugged
    รุ่น Pro Rugged 13 มี drop protection 6 ฟุต และ IP65
    เข้าสู่ตลาดตั้งแต่ปี 2006

    Semi-rugged laptops
    HP, Asus, Acer มีรุ่นที่ทนทานกว่าปกติ แต่ไม่ถึงระดับสูงสุด

    ผู้ผลิตเฉพาะทาง
    Getac และ MilDef เน้นตลาดทหารและอุตสาหกรรมพิเศษ
    MilDef มีรุ่น RK15, RB14, RW14, RS13

    คำเตือน
    Semi-rugged ไม่เหมาะกับงานที่ต้องการความทนทานสูงสุด
    Tough laptops จากผู้ผลิตเฉพาะทางมักขายผ่าน B2B ไม่ใช่ตลาดทั่วไป
    การเลือก laptop ที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้เกิด downtime และความเสียหายต่อข้อมูล

    https://www.slashgear.com/2025990/who-makes-worlds-most-durable-laptop/
    💻 ใครคือผู้ผลิต Laptop ที่ทนทานที่สุดในโลก? บทความจาก SlashGear ได้เจาะลึกถึงตลาด Rugged Laptops ที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้งานในสภาพแวดล้อมที่โหดร้าย เช่น ไซต์ก่อสร้าง, แท่นขุดเจาะน้ำมัน, หรือแม้แต่พื้นที่ที่มีสภาพอากาศสุดขั้ว โดยมีหลายบริษัทที่แข่งขันกัน แต่ Panasonic ยังคงครองตำแหน่งผู้นำด้วยซีรีส์ Toughbook ที่มีชื่อเสียงมายาวนาน 🛡️ Panasonic Toughbook: มาตรฐานทองคำของความทนทาน Panasonic เปิดตัว Toughbook รุ่นแรกในปี 1996 และปัจจุบันยังคงพัฒนาอย่างต่อเนื่อง รุ่นล่าสุดเช่น Toughbook G2 และ Toughbook 40 มาพร้อมมาตรฐาน MIL-STD-810H และการป้องกันน้ำระดับ IP66 สามารถทนต่อการตกจากความสูง, ฝุ่น, น้ำ และแรงสั่นสะเทือน เหมาะสำหรับงานภาคสนามที่ต้องการความเชื่อถือได้สูงสุด ⚙️ คู่แข่งในตลาด: Dell, HP, Lenovo และผู้ผลิตเฉพาะทาง 💻 Dell เข้าสู่ตลาดนี้ตั้งแต่ปี 2006 ด้วย Latitude ATG และล่าสุดมี Dell Pro Rugged 13 ที่ทนทานใกล้เคียง Toughbook แต่การป้องกันน้ำอยู่ที่ IP65 💻 HP, Asus, Acer มีรุ่นที่เรียกว่า “semi-rugged” ซึ่งทนทานกว่าลaptop ปกติ แต่ยังไม่ถึงระดับ Toughbook หรือ Dell Rugged 💻 Getac และ MilDef เป็นผู้ผลิตเฉพาะทางที่เน้นตลาดทหารและอุตสาหกรรมพิเศษ โดย MilDef มีรุ่น RK15, RB14, RW14 และ RS13 ที่ออกแบบมาเพื่อใช้งานในเขตสงคราม 🌍 ความหมายต่อผู้ใช้และองค์กร Laptop ทนทานเหล่านี้ไม่ได้มีไว้สำหรับผู้ใช้ทั่วไป แต่เป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับองค์กรที่ต้องทำงานในสภาพแวดล้อมที่เสี่ยงต่อความเสียหาย การเลือกใช้เครื่องที่เหมาะสมช่วยลด downtime และเพิ่มความปลอดภัยในการทำงาน ขณะเดียวกันก็สะท้อนถึงความต้องการโครงสร้างพื้นฐานที่เชื่อถือได้ในโลกดิจิทัล 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ Panasonic Toughbook ➡️ รุ่น G2 และ 40 มี MIL-STD-810H และ IP66 ➡️ ครองตำแหน่ง laptop ที่ทนทานที่สุดในตลาด ✅ Dell Rugged ➡️ รุ่น Pro Rugged 13 มี drop protection 6 ฟุต และ IP65 ➡️ เข้าสู่ตลาดตั้งแต่ปี 2006 ✅ Semi-rugged laptops ➡️ HP, Asus, Acer มีรุ่นที่ทนทานกว่าปกติ แต่ไม่ถึงระดับสูงสุด ✅ ผู้ผลิตเฉพาะทาง ➡️ Getac และ MilDef เน้นตลาดทหารและอุตสาหกรรมพิเศษ ➡️ MilDef มีรุ่น RK15, RB14, RW14, RS13 ‼️ คำเตือน ⛔ Semi-rugged ไม่เหมาะกับงานที่ต้องการความทนทานสูงสุด ⛔ Tough laptops จากผู้ผลิตเฉพาะทางมักขายผ่าน B2B ไม่ใช่ตลาดทั่วไป ⛔ การเลือก laptop ที่ไม่เหมาะสมอาจทำให้เกิด downtime และความเสียหายต่อข้อมูล https://www.slashgear.com/2025990/who-makes-worlds-most-durable-laptop/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    Who Makes The World's Most Durable Laptops? - SlashGear
    Panasonic is a pioneer in the durable laptop department. However, other companies design laptops specifically for industries like the military.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 15 มุมมอง 0 รีวิว
  • ข้อเสีย 5 ข้อที่อาจจะทำให้คุณไม่อยากจะใช้สาย HDMI

    บทความจาก SlashGear ชี้ให้เห็นว่าแม้ HDMI จะยังเป็นมาตรฐานการเชื่อมต่อภาพและเสียงที่แพร่หลาย แต่ก็มีข้อจำกัดหลายด้าน เช่น ความยาวสาย, แบนด์วิดท์, การรองรับหลายจอ, ความทนทาน และการเปลี่ยนแปลงไปสู่ USB-C

    1️⃣ ข้อจำกัดด้านความยาวสาย
    HDMI มีข้อจำกัดเรื่องความยาวสาย โดยสายทั่วไปที่ยาวเกิน 25 ฟุต มักจะเริ่มมีปัญหาสัญญาณ เช่น ภาพแตก, เสียงดีเลย์ หรือแม้กระทั่งสัญญาณหายไป หากต้องการคุณภาพ 4K ที่เสถียร ความยาวที่เหมาะสมคือ ไม่เกิน 10 ฟุต ขณะที่ DisplayPort หรือ SDI สามารถส่งสัญญาณได้ไกลกว่ามาก (SDI ถึง ~980 ฟุต)

    2️⃣ แบนด์วิดท์ต่ำกว่า DisplayPort
    แม้ HDMI 2.1 จะรองรับ 48 Gbps และ HDMI 2.2 ที่เปิดตัวใน CES 2025 จะรองรับ 96 Gbps แต่ก็ยังด้อยกว่า DisplayPort 2.1 ที่รองรับ 80 Gbps พร้อม multi-stream transport (MST) ซึ่งสามารถเชื่อมต่อหลายจอพร้อมกันและรองรับ refresh rate สูงกว่า เหมาะสำหรับงาน เกมแข่งขันและการสร้างคอนเทนต์ระดับมืออาชีพ

    3️⃣ การรองรับหลายจอที่ซับซ้อน
    HDMI ถูกออกแบบมาเพื่อการใช้งานกับจอเดียว หากต้องการหลายจอจะต้องใช้ splitters หรือ adapters ซึ่งทำให้เกิดความยุ่งยากและสายระโยงระยาง ในทางตรงกันข้าม DisplayPort รองรับ daisy-chaining หลายจอโดยตรง ทำให้เหมาะกับนักออกแบบ, นักพัฒนา และเกมเมอร์ที่ใช้หลายจอพร้อมกัน

    4️⃣ ความทนทานและการเสื่อมสภาพ
    สาย HDMI มีแนวโน้มเสื่อมสภาพเมื่อใช้งานไปนานๆ โดยเฉพาะเมื่อเจอ ความร้อน, ฝุ่น, ความชื้น หรือการบิดงอ ทำให้เกิดสัญญาณรบกวน (EMI/RFI) และคุณภาพลดลง แม้จะมีสายไฟเบอร์ออปติก HDMI ที่ทนทานกว่า แต่ก็มีราคาสูงและไม่แพร่หลายเท่า DisplayPort หรือ SDI

    5️⃣ การเปลี่ยนแปลงสู่ USB-C
    แม้ HDMI จะยังเป็นมาตรฐานหลักในทีวีและคอนโซลเกม แต่ USB-C กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยรองรับ DisplayPort Alt Mode, การส่งข้อมูลความเร็วสูง และการชาร์จไฟในสายเดียว อีกทั้งยังมี หัวเสียบแบบ reversible ที่ใช้ง่ายกว่า HDMI ทำให้เป็นมาตรฐานใหม่สำหรับ โน้ตบุ๊ก, สมาร์ทโฟน และแท็บเล็ต

    https://www.slashgear.com/2025900/reasons-to-stop-using-hdmi-cables/
    📺 ข้อเสีย 5 ข้อที่อาจจะทำให้คุณไม่อยากจะใช้สาย HDMI บทความจาก SlashGear ชี้ให้เห็นว่าแม้ HDMI จะยังเป็นมาตรฐานการเชื่อมต่อภาพและเสียงที่แพร่หลาย แต่ก็มีข้อจำกัดหลายด้าน เช่น ความยาวสาย, แบนด์วิดท์, การรองรับหลายจอ, ความทนทาน และการเปลี่ยนแปลงไปสู่ USB-C 1️⃣ 📏 ข้อจำกัดด้านความยาวสาย HDMI มีข้อจำกัดเรื่องความยาวสาย โดยสายทั่วไปที่ยาวเกิน 25 ฟุต มักจะเริ่มมีปัญหาสัญญาณ เช่น ภาพแตก, เสียงดีเลย์ หรือแม้กระทั่งสัญญาณหายไป หากต้องการคุณภาพ 4K ที่เสถียร ความยาวที่เหมาะสมคือ ไม่เกิน 10 ฟุต ขณะที่ DisplayPort หรือ SDI สามารถส่งสัญญาณได้ไกลกว่ามาก (SDI ถึง ~980 ฟุต) 2️⃣ ⚡ แบนด์วิดท์ต่ำกว่า DisplayPort แม้ HDMI 2.1 จะรองรับ 48 Gbps และ HDMI 2.2 ที่เปิดตัวใน CES 2025 จะรองรับ 96 Gbps แต่ก็ยังด้อยกว่า DisplayPort 2.1 ที่รองรับ 80 Gbps พร้อม multi-stream transport (MST) ซึ่งสามารถเชื่อมต่อหลายจอพร้อมกันและรองรับ refresh rate สูงกว่า เหมาะสำหรับงาน เกมแข่งขันและการสร้างคอนเทนต์ระดับมืออาชีพ 3️⃣ 🖥️ การรองรับหลายจอที่ซับซ้อน HDMI ถูกออกแบบมาเพื่อการใช้งานกับจอเดียว หากต้องการหลายจอจะต้องใช้ splitters หรือ adapters ซึ่งทำให้เกิดความยุ่งยากและสายระโยงระยาง ในทางตรงกันข้าม DisplayPort รองรับ daisy-chaining หลายจอโดยตรง ทำให้เหมาะกับนักออกแบบ, นักพัฒนา และเกมเมอร์ที่ใช้หลายจอพร้อมกัน 4️⃣ 📉 ความทนทานและการเสื่อมสภาพ สาย HDMI มีแนวโน้มเสื่อมสภาพเมื่อใช้งานไปนานๆ โดยเฉพาะเมื่อเจอ ความร้อน, ฝุ่น, ความชื้น หรือการบิดงอ ทำให้เกิดสัญญาณรบกวน (EMI/RFI) และคุณภาพลดลง แม้จะมีสายไฟเบอร์ออปติก HDMI ที่ทนทานกว่า แต่ก็มีราคาสูงและไม่แพร่หลายเท่า DisplayPort หรือ SDI 5️⃣ 🔌 การเปลี่ยนแปลงสู่ USB-C แม้ HDMI จะยังเป็นมาตรฐานหลักในทีวีและคอนโซลเกม แต่ USB-C กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยรองรับ DisplayPort Alt Mode, การส่งข้อมูลความเร็วสูง และการชาร์จไฟในสายเดียว อีกทั้งยังมี หัวเสียบแบบ reversible ที่ใช้ง่ายกว่า HDMI ทำให้เป็นมาตรฐานใหม่สำหรับ โน้ตบุ๊ก, สมาร์ทโฟน และแท็บเล็ต https://www.slashgear.com/2025900/reasons-to-stop-using-hdmi-cables/
    WWW.SLASHGEAR.COM
    5 Reasons You Might Want To Stop Using HDMI Cables - SlashGear
    HDMI is pretty much the global standard in A/V connection these days, but that doesn't mean it's a perfect solution for everyone — far from it, in fact.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 13 มุมมอง 0 รีวิว
  • Debian Libre Live Images: ทางเลือกใหม่เพื่อเสรีภาพซอฟต์แวร์

    Debian Project ได้ประกาศเปิดตัว Debian Libre Live Images ซึ่งเป็น ISO ที่สามารถรันและติดตั้ง Debian ได้โดยไม่ต้องพึ่งพา non-free blobs หรือ proprietary firmware จุดประสงค์คือเพื่อมอบทางเลือกให้กับผู้ใช้ที่ยึดมั่นในหลักการ Software Freedom โดยไม่ต้องยอมรับข้อตกลงการใช้งานของซอฟต์แวร์ที่ไม่เป็นอิสระ

    ความแตกต่างจาก Debian ปกติ
    ตั้งแต่ปี 2022 Debian เริ่มรวม non-free firmware ไว้ใน ISO หลักเพื่อให้รองรับฮาร์ดแวร์ได้กว้างขึ้น แต่สำหรับผู้ใช้ที่ไม่ต้องการ proprietary firmware ก็ยังมีทางเลือกใหม่คือ Debian Libre Live Images ซึ่ง ไม่มีการติดตั้งกราฟิก UI ล่วงหน้า แต่มี Debian Installer มาให้เพื่อความสะดวกในการติดตั้ง

    การรองรับและข้อจำกัด
    Debian Libre Live Images ปัจจุบันรองรับเฉพาะ Intel/AMD 64-bit (amd64) และยังไม่รองรับสถาปัตยกรรมอื่น จุดเด่นคือผู้ใช้ไม่ต้องกังวลเรื่องข้อจำกัดทางกฎหมายจากการใช้ non-free blobs และสามารถควบคุมการใช้งานฮาร์ดแวร์ได้อย่างเต็มที่

    ความหมายต่อชุมชนโอเพนซอร์ส
    การเปิดตัวนี้ถือเป็นการตอบโจทย์กลุ่มผู้ใช้ที่ยึดมั่นในอุดมการณ์ Free Software Foundation (FSF) และเป็นการย้ำว่า Debian ยังคงรักษาสมดุลระหว่างการรองรับฮาร์ดแวร์กับการเคารพเสรีภาพของผู้ใช้ เป็นอีกก้าวสำคัญที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเลือกได้ว่าจะใช้ Debian แบบ “ครบเครื่อง” หรือแบบ “Libre”

    สรุปสาระสำคัญ
    การเปิดตัว
    Debian Libre Live Images เปิดตัวเพื่อผู้ใช้ที่ต้องการระบบปลอด non-free software
    ใช้ Debian Installer ติดตั้งได้ง่าย

    ความแตกต่างจาก Debian ปกติ
    ไม่มี proprietary firmware รวมอยู่ใน ISO
    ไม่ติดตั้ง graphical environment ล่วงหน้า

    การรองรับ
    รองรับเฉพาะ Intel/AMD 64-bit (amd64)
    ยังไม่รองรับสถาปัตยกรรมอื่น

    คำเตือน
    อาจไม่รองรับฮาร์ดแวร์บางรุ่นที่ต้องใช้ proprietary firmware
    ผู้ใช้ต้องเตรียมพร้อมสำหรับการตั้งค่าด้วยตนเองมากขึ้น
    ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น อาจมีข้อจำกัดด้าน usability

    https://9to5linux.com/debian-libre-live-images-released-for-software-freedom-lovers
    🖥️ Debian Libre Live Images: ทางเลือกใหม่เพื่อเสรีภาพซอฟต์แวร์ Debian Project ได้ประกาศเปิดตัว Debian Libre Live Images ซึ่งเป็น ISO ที่สามารถรันและติดตั้ง Debian ได้โดยไม่ต้องพึ่งพา non-free blobs หรือ proprietary firmware จุดประสงค์คือเพื่อมอบทางเลือกให้กับผู้ใช้ที่ยึดมั่นในหลักการ Software Freedom โดยไม่ต้องยอมรับข้อตกลงการใช้งานของซอฟต์แวร์ที่ไม่เป็นอิสระ ⚙️ ความแตกต่างจาก Debian ปกติ ตั้งแต่ปี 2022 Debian เริ่มรวม non-free firmware ไว้ใน ISO หลักเพื่อให้รองรับฮาร์ดแวร์ได้กว้างขึ้น แต่สำหรับผู้ใช้ที่ไม่ต้องการ proprietary firmware ก็ยังมีทางเลือกใหม่คือ Debian Libre Live Images ซึ่ง ไม่มีการติดตั้งกราฟิก UI ล่วงหน้า แต่มี Debian Installer มาให้เพื่อความสะดวกในการติดตั้ง 🌐 การรองรับและข้อจำกัด Debian Libre Live Images ปัจจุบันรองรับเฉพาะ Intel/AMD 64-bit (amd64) และยังไม่รองรับสถาปัตยกรรมอื่น จุดเด่นคือผู้ใช้ไม่ต้องกังวลเรื่องข้อจำกัดทางกฎหมายจากการใช้ non-free blobs และสามารถควบคุมการใช้งานฮาร์ดแวร์ได้อย่างเต็มที่ 🔮 ความหมายต่อชุมชนโอเพนซอร์ส การเปิดตัวนี้ถือเป็นการตอบโจทย์กลุ่มผู้ใช้ที่ยึดมั่นในอุดมการณ์ Free Software Foundation (FSF) และเป็นการย้ำว่า Debian ยังคงรักษาสมดุลระหว่างการรองรับฮาร์ดแวร์กับการเคารพเสรีภาพของผู้ใช้ เป็นอีกก้าวสำคัญที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถเลือกได้ว่าจะใช้ Debian แบบ “ครบเครื่อง” หรือแบบ “Libre” 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การเปิดตัว ➡️ Debian Libre Live Images เปิดตัวเพื่อผู้ใช้ที่ต้องการระบบปลอด non-free software ➡️ ใช้ Debian Installer ติดตั้งได้ง่าย ✅ ความแตกต่างจาก Debian ปกติ ➡️ ไม่มี proprietary firmware รวมอยู่ใน ISO ➡️ ไม่ติดตั้ง graphical environment ล่วงหน้า ✅ การรองรับ ➡️ รองรับเฉพาะ Intel/AMD 64-bit (amd64) ➡️ ยังไม่รองรับสถาปัตยกรรมอื่น ‼️ คำเตือน ⛔ อาจไม่รองรับฮาร์ดแวร์บางรุ่นที่ต้องใช้ proprietary firmware ⛔ ผู้ใช้ต้องเตรียมพร้อมสำหรับการตั้งค่าด้วยตนเองมากขึ้น ⛔ ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น อาจมีข้อจำกัดด้าน usability https://9to5linux.com/debian-libre-live-images-released-for-software-freedom-lovers
    9TO5LINUX.COM
    Debian Libre Live Images Released for Software Freedom Lovers - 9to5Linux
    The Debian Libre Live Images project allows you to run and install the Debian GNU/Linux operating system without non-free software.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 19 มุมมอง 0 รีวิว
  • RustDesk เพิ่มฟีเจอร์ Multi-Scaled Display บน Wayland

    RustDesk ซึ่งเป็นโครงการ remote desktop แบบโอเพนซอร์ส ได้ประกาศอัปเดตสำคัญใน nightly build ล่าสุด โดยเพิ่มการรองรับ multi-scaled display สำหรับผู้ใช้ Linux ที่ใช้ Wayland โดยเฉพาะบน KDE และ GNOME ฟีเจอร์นี้ช่วยแก้ปัญหาที่ผู้ใช้หลายจอที่มีความละเอียดและการปรับสเกลต่างกันมักเจอ เช่น pointer ไม่ตรงตำแหน่งที่คลิกจริง

    ปัญหาที่ถูกแก้ไข
    ก่อนหน้านี้ หากผู้ใช้มีจอ 4K ที่ปรับสเกล 200% และจอ Full HD ที่ปรับสเกล 100% การใช้งาน remote desktop มักจะเกิดปัญหา pointer misalignment ทำให้การทำงานแทบเป็นไปไม่ได้ การอัปเดตครั้งนี้ทำให้ RustDesk กลายเป็น remote desktop ตัวแรกที่รองรับ multi-scaled display บน Wayland ซึ่งคู่แข่งเชิงพาณิชย์อย่าง TeamViewer และ AnyDesk ยังไม่สามารถแก้ไขได้เต็มที่

    ความสำคัญต่อผู้ใช้ Linux
    การแก้ไขนี้ถือเป็นก้าวสำคัญสำหรับผู้ใช้ Linux ที่ทำงานกับหลายจอ เพราะ Wayland เองยังมีความท้าทายในการจัดการ multi-monitor ที่ซับซ้อน RustDesk จึงกลายเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการความเสถียรและความปลอดภัย โดยเฉพาะเมื่อมันเป็นโอเพนซอร์สและรองรับหลายแพลตฟอร์มทั้ง Windows, macOS, Android และ iOS

    อนาคตของ RustDesk
    ฟีเจอร์นี้ยังอยู่ใน nightly build และจะถูกปล่อยในเวอร์ชัน stable หลังจากผ่านการทดสอบแล้ว หาก RustDeskสามารถรักษาความเร็วและความเสถียรได้ ก็อาจกลายเป็นคู่แข่งที่แข็งแกร่งของโซลูชันเชิงพาณิชย์ และเป็นตัวเลือกหลักสำหรับองค์กรที่ต้องการลดค่าใช้จ่ายด้าน remote desktop

    สรุปสาระสำคัญ
    ฟีเจอร์ใหม่
    รองรับ multi-scaled display บน Wayland (KDE, GNOME)
    แก้ปัญหา pointer misalignment บนหลายจอ

    ความแตกต่างจากคู่แข่ง
    RustDesk เป็น remote desktop ตัวแรกที่รองรับฟีเจอร์นี้บน Wayland
    TeamViewer และ AnyDesk ยังไม่แก้ไขได้เต็มที่

    ความสำคัญต่อผู้ใช้
    ช่วยให้การทำงานบนหลายจอเสถียรขึ้น
    รองรับ cross-platform และเป็นโอเพนซอร์ส

    คำเตือน
    ฟีเจอร์ยังอยู่ใน nightly build อาจมีบั๊กหรือไม่เสถียร
    ต้องรอการปล่อยใน stable version เพื่อใช้งานจริงในองค์กร
    ผู้ใช้ควรทดสอบก่อนนำไปใช้ในงานสำคัญ

    https://itsfoss.com/news/rustdesk-multi-scaled-display-support/
    🖥️ RustDesk เพิ่มฟีเจอร์ Multi-Scaled Display บน Wayland RustDesk ซึ่งเป็นโครงการ remote desktop แบบโอเพนซอร์ส ได้ประกาศอัปเดตสำคัญใน nightly build ล่าสุด โดยเพิ่มการรองรับ multi-scaled display สำหรับผู้ใช้ Linux ที่ใช้ Wayland โดยเฉพาะบน KDE และ GNOME ฟีเจอร์นี้ช่วยแก้ปัญหาที่ผู้ใช้หลายจอที่มีความละเอียดและการปรับสเกลต่างกันมักเจอ เช่น pointer ไม่ตรงตำแหน่งที่คลิกจริง ⚙️ ปัญหาที่ถูกแก้ไข ก่อนหน้านี้ หากผู้ใช้มีจอ 4K ที่ปรับสเกล 200% และจอ Full HD ที่ปรับสเกล 100% การใช้งาน remote desktop มักจะเกิดปัญหา pointer misalignment ทำให้การทำงานแทบเป็นไปไม่ได้ การอัปเดตครั้งนี้ทำให้ RustDesk กลายเป็น remote desktop ตัวแรกที่รองรับ multi-scaled display บน Wayland ซึ่งคู่แข่งเชิงพาณิชย์อย่าง TeamViewer และ AnyDesk ยังไม่สามารถแก้ไขได้เต็มที่ 🌐 ความสำคัญต่อผู้ใช้ Linux การแก้ไขนี้ถือเป็นก้าวสำคัญสำหรับผู้ใช้ Linux ที่ทำงานกับหลายจอ เพราะ Wayland เองยังมีความท้าทายในการจัดการ multi-monitor ที่ซับซ้อน RustDesk จึงกลายเป็นทางเลือกที่น่าสนใจสำหรับผู้ใช้ที่ต้องการความเสถียรและความปลอดภัย โดยเฉพาะเมื่อมันเป็นโอเพนซอร์สและรองรับหลายแพลตฟอร์มทั้ง Windows, macOS, Android และ iOS 🔮 อนาคตของ RustDesk ฟีเจอร์นี้ยังอยู่ใน nightly build และจะถูกปล่อยในเวอร์ชัน stable หลังจากผ่านการทดสอบแล้ว หาก RustDeskสามารถรักษาความเร็วและความเสถียรได้ ก็อาจกลายเป็นคู่แข่งที่แข็งแกร่งของโซลูชันเชิงพาณิชย์ และเป็นตัวเลือกหลักสำหรับองค์กรที่ต้องการลดค่าใช้จ่ายด้าน remote desktop 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ ฟีเจอร์ใหม่ ➡️ รองรับ multi-scaled display บน Wayland (KDE, GNOME) ➡️ แก้ปัญหา pointer misalignment บนหลายจอ ✅ ความแตกต่างจากคู่แข่ง ➡️ RustDesk เป็น remote desktop ตัวแรกที่รองรับฟีเจอร์นี้บน Wayland ➡️ TeamViewer และ AnyDesk ยังไม่แก้ไขได้เต็มที่ ✅ ความสำคัญต่อผู้ใช้ ➡️ ช่วยให้การทำงานบนหลายจอเสถียรขึ้น ➡️ รองรับ cross-platform และเป็นโอเพนซอร์ส ‼️ คำเตือน ⛔ ฟีเจอร์ยังอยู่ใน nightly build อาจมีบั๊กหรือไม่เสถียร ⛔ ต้องรอการปล่อยใน stable version เพื่อใช้งานจริงในองค์กร ⛔ ผู้ใช้ควรทดสอบก่อนนำไปใช้ในงานสำคัญ https://itsfoss.com/news/rustdesk-multi-scaled-display-support/
    ITSFOSS.COM
    RustDesk Pulls Ahead of TeamViewer, AnyDesk with Wayland Multi-Scaled Display Support
    New nightly build brings support for monitors with different scaling factors.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 15 มุมมอง 0 รีวิว
  • แคมเปญ Amatera Stealer ใช้ ClickFix เจาะระบบ

    นักวิจัยจาก eSentire Threat Response Unit (TRU) เปิดเผยการโจมตีใหม่ที่ใช้เทคนิค ClickFix เพื่อหลอกเหยื่อให้รันคำสั่งอันตรายใน Windows Run Prompt โดยมัลแวร์ที่ถูกปล่อยคือ Amatera Stealer ซึ่งเป็นเวอร์ชันรีแบรนด์ของ AcridRain (ACR) Stealer ที่ถูกขายซอร์สโค้ดในปี 2024 และถูกนำไปปรับใช้โดยหลายกลุ่มแฮกเกอร์

    วิธีการโจมตีและการเลี่ยงตรวจจับ
    เมื่อเหยื่อรันคำสั่งที่ได้รับจากการหลอกลวง มัลแวร์จะเริ่มโหลด PowerShell payloads หลายขั้นตอน โดยมีการเข้ารหัสและซ่อนตัวอย่างซับซ้อน หนึ่งในขั้นตอนสำคัญคือการ patch AMSI (Anti-Malware Scan Interface) ในหน่วยความจำ โดยการเขียนทับค่า “AmsiScanBuffer” ด้วย null bytes ทำให้ Windows ไม่สามารถตรวจสอบสคริปต์อันตรายที่รันต่อไปได้

    ความสามารถของ Amatera Stealer
    Amatera Stealer มีฟีเจอร์หลากหลาย เช่น
    ขโมยข้อมูลจาก crypto-wallets, browsers, password managers, FTP/email/VPN clients
    เจาะเข้าถึง productivity apps เช่น Sticky Notes, To-Do lists
    ใช้เทคนิค WoW64 SysCalls เพื่อหลบเลี่ยง sandbox และ EDR
    สามารถ bypass “App-Bound Encryption” ใน Chrome และ Edge เพื่อดึง credential ที่ควรจะถูกเข้ารหัส

    ผลกระทบและความเสี่ยง
    มัลแวร์นี้ไม่เพียงแต่ขโมยข้อมูล แต่ยังสามารถ โหลดมัลแวร์เพิ่มเติม เช่น NetSupport RAT ผ่านฟีเจอร์ “load” โดยใช้ PowerShell หรือไฟล์ JPG ที่ซ่อน payload ไว้ ทำให้การโจมตีมีความซับซ้อนและต่อเนื่องมากขึ้น เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงความเสี่ยงจากการโจมตีที่ใช้ social engineering + memory patching ซึ่งยากต่อการตรวจจับและป้องกัน

    สรุปสาระสำคัญ
    การโจมตี
    ใช้ ClickFix หลอกเหยื่อรันคำสั่งใน Windows Run Prompt
    โหลด PowerShell payloads หลายขั้นตอน

    เทคนิคการเลี่ยงตรวจจับ
    Patch AMSI ใน memory เพื่อปิดการตรวจสอบสคริปต์
    ใช้ WoW64 SysCalls และ bypass encryption ใน Chrome/Edge

    ความสามารถของ Amatera Stealer
    ขโมยข้อมูลจาก crypto-wallets, browsers, password managers
    เข้าถึง productivity apps และ credential สำคัญ
    โหลดมัลแวร์เพิ่มเติม เช่น NetSupport RAT

    คำเตือน
    Social engineering เป็นช่องทางหลักในการแพร่กระจาย
    การ patch memory ทำให้การตรวจจับยากมากขึ้น
    องค์กรควรเสริมการตรวจสอบ PowerShell และระบบ AMSI

    https://securityonline.info/amatera-stealer-campaign-uses-clickfix-to-deploy-malware-bypassing-edr-by-patching-amsi-in-memory/
    🕵️‍♂️ แคมเปญ Amatera Stealer ใช้ ClickFix เจาะระบบ นักวิจัยจาก eSentire Threat Response Unit (TRU) เปิดเผยการโจมตีใหม่ที่ใช้เทคนิค ClickFix เพื่อหลอกเหยื่อให้รันคำสั่งอันตรายใน Windows Run Prompt โดยมัลแวร์ที่ถูกปล่อยคือ Amatera Stealer ซึ่งเป็นเวอร์ชันรีแบรนด์ของ AcridRain (ACR) Stealer ที่ถูกขายซอร์สโค้ดในปี 2024 และถูกนำไปปรับใช้โดยหลายกลุ่มแฮกเกอร์ ⚙️ วิธีการโจมตีและการเลี่ยงตรวจจับ เมื่อเหยื่อรันคำสั่งที่ได้รับจากการหลอกลวง มัลแวร์จะเริ่มโหลด PowerShell payloads หลายขั้นตอน โดยมีการเข้ารหัสและซ่อนตัวอย่างซับซ้อน หนึ่งในขั้นตอนสำคัญคือการ patch AMSI (Anti-Malware Scan Interface) ในหน่วยความจำ โดยการเขียนทับค่า “AmsiScanBuffer” ด้วย null bytes ทำให้ Windows ไม่สามารถตรวจสอบสคริปต์อันตรายที่รันต่อไปได้ 💻 ความสามารถของ Amatera Stealer Amatera Stealer มีฟีเจอร์หลากหลาย เช่น 🔰 ขโมยข้อมูลจาก crypto-wallets, browsers, password managers, FTP/email/VPN clients 🔰 เจาะเข้าถึง productivity apps เช่น Sticky Notes, To-Do lists 🔰 ใช้เทคนิค WoW64 SysCalls เพื่อหลบเลี่ยง sandbox และ EDR 🔰 สามารถ bypass “App-Bound Encryption” ใน Chrome และ Edge เพื่อดึง credential ที่ควรจะถูกเข้ารหัส ⚠️ ผลกระทบและความเสี่ยง มัลแวร์นี้ไม่เพียงแต่ขโมยข้อมูล แต่ยังสามารถ โหลดมัลแวร์เพิ่มเติม เช่น NetSupport RAT ผ่านฟีเจอร์ “load” โดยใช้ PowerShell หรือไฟล์ JPG ที่ซ่อน payload ไว้ ทำให้การโจมตีมีความซับซ้อนและต่อเนื่องมากขึ้น เหตุการณ์นี้สะท้อนถึงความเสี่ยงจากการโจมตีที่ใช้ social engineering + memory patching ซึ่งยากต่อการตรวจจับและป้องกัน 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การโจมตี ➡️ ใช้ ClickFix หลอกเหยื่อรันคำสั่งใน Windows Run Prompt ➡️ โหลด PowerShell payloads หลายขั้นตอน ✅ เทคนิคการเลี่ยงตรวจจับ ➡️ Patch AMSI ใน memory เพื่อปิดการตรวจสอบสคริปต์ ➡️ ใช้ WoW64 SysCalls และ bypass encryption ใน Chrome/Edge ✅ ความสามารถของ Amatera Stealer ➡️ ขโมยข้อมูลจาก crypto-wallets, browsers, password managers ➡️ เข้าถึง productivity apps และ credential สำคัญ ➡️ โหลดมัลแวร์เพิ่มเติม เช่น NetSupport RAT ‼️ คำเตือน ⛔ Social engineering เป็นช่องทางหลักในการแพร่กระจาย ⛔ การ patch memory ทำให้การตรวจจับยากมากขึ้น ⛔ องค์กรควรเสริมการตรวจสอบ PowerShell และระบบ AMSI https://securityonline.info/amatera-stealer-campaign-uses-clickfix-to-deploy-malware-bypassing-edr-by-patching-amsi-in-memory/
    SECURITYONLINE.INFO
    Amatera Stealer Campaign Uses ClickFix to Deploy Malware, Bypassing EDR by Patching AMSI in Memory
    eSentire exposed the Amatera Stealer campaign using ClickFix social engineering to deliver multi-stage PowerShell. The malware patches AMSI in memory and deploys NetSupport RAT for remote access.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 18 มุมมอง 0 รีวิว
  • มัลแวร์ใหม่: Stealth Stealer ซ่อน LokiBot ในไฟล์ภาพ

    นักวิจัยจาก Splunk Threat Research Team (STRT) เปิดเผยการค้นพบมัลแวร์ใหม่ที่ใช้เทคนิค Steganography ซ่อนโค้ดอันตรายในไฟล์ภาพ BMP และ PNG โดยมัลแวร์นี้ถูกพัฒนาเป็น .NET Loader รุ่นใหม่ ที่สามารถหลบเลี่ยงการตรวจจับและสุดท้ายปล่อย payload ของ LokiBot ซึ่งเป็นหนึ่งใน Trojan ขโมยข้อมูลที่แพร่หลายที่สุดในโลก

    วิธีการทำงานของ Loader
    Loader ตัวใหม่นี้ปลอมตัวเป็นเอกสารธุรกิจ เช่น Request for Quotation (RFQ) เพื่อหลอกให้เหยื่อเปิดไฟล์ เมื่อรันขึ้นมา มันจะ ถอดรหัสโมดูล container ที่ซ่อนอยู่ภายใน และดึง stager modules ที่ถูกฝังไว้ในไฟล์ภาพออกมา จากนั้นจึงค่อยๆ ปลดล็อก payload ขั้นสุดท้าย ซึ่งก็คือ LokiBot

    เทคนิคการซ่อนตัวในไฟล์ภาพ
    มัลแวร์ใช้การฝังโค้ดไว้ใน metadata ของไฟล์ภาพ BMP และ PNG โดยเข้ารหัสด้วยอัลกอริทึมเดียวกับที่เคยใช้ใน Quasar RAT loaders ทำให้การตรวจจับด้วยเครื่องมือ static analysis และ automated payload extraction ยากขึ้นมาก นักวิจัยต้องปรับเครื่องมือ PixDig เพื่อบังคับถอดรหัสโดยตรงจากไฟล์ภาพ จึงสามารถดึง stager modules ออกมาได้สำเร็จ

    ความเสี่ยงและผลกระทบ
    LokiBot เป็นมัลแวร์ที่มีมานานกว่า 10 ปี และยังคงถูกใช้แพร่หลายในการขโมยข้อมูล เช่น รหัสผ่านเบราว์เซอร์, อีเมล, FTP, Wallet คริปโต, Windows credentials และไฟล์การตั้งค่าต่างๆ การพัฒนา loader รุ่นใหม่ที่ซ่อนตัวในไฟล์ภาพสะท้อนให้เห็นว่าอาชญากรไซเบอร์ยังคงปรับปรุงเทคนิคเพื่อเลี่ยงการตรวจจับ และทำให้การป้องกันยากขึ้นเรื่อยๆ

    สรุปสาระสำคัญ
    การค้นพบใหม่
    Stealth Stealer เป็น .NET Loader รุ่นใหม่ที่ใช้ steganography
    ซ่อน LokiBot payload ในไฟล์ BMP และ PNG

    วิธีการทำงาน
    Loader ปลอมตัวเป็นเอกสาร RFQ เพื่อหลอกเหยื่อ
    ถอดรหัส container module และดึง stager modules จากไฟล์ภาพ

    เทคนิคการซ่อนตัว
    ใช้ metadata ของไฟล์ภาพเข้ารหัสโค้ด
    ทำให้ static detection และ automated extraction ยากขึ้น

    ผลกระทบ
    LokiBot ขโมยข้อมูล credential, wallet, และไฟล์การตั้งค่าต่างๆ
    ยังคงเป็นภัยคุกคามที่แพร่หลายแม้มีมานานกว่า 10 ปี

    คำเตือน
    การใช้ไฟล์ภาพเป็นตัวซ่อน payload ทำให้การตรวจจับยากขึ้น
    องค์กรควรอัปเดตเครื่องมือวิเคราะห์และตรวจสอบไฟล์ที่น่าสงสัย
    ผู้ใช้ควรระวังการเปิดไฟล์แนบที่ดูเหมือนเอกสารธุรกิจ

    https://securityonline.info/stealth-stealer-new-net-loader-hides-lokibot-payload-in-bmp-png-images-using-advanced-steganography/
    🕵️‍♂️ มัลแวร์ใหม่: Stealth Stealer ซ่อน LokiBot ในไฟล์ภาพ นักวิจัยจาก Splunk Threat Research Team (STRT) เปิดเผยการค้นพบมัลแวร์ใหม่ที่ใช้เทคนิค Steganography ซ่อนโค้ดอันตรายในไฟล์ภาพ BMP และ PNG โดยมัลแวร์นี้ถูกพัฒนาเป็น .NET Loader รุ่นใหม่ ที่สามารถหลบเลี่ยงการตรวจจับและสุดท้ายปล่อย payload ของ LokiBot ซึ่งเป็นหนึ่งใน Trojan ขโมยข้อมูลที่แพร่หลายที่สุดในโลก 🎭 วิธีการทำงานของ Loader Loader ตัวใหม่นี้ปลอมตัวเป็นเอกสารธุรกิจ เช่น Request for Quotation (RFQ) เพื่อหลอกให้เหยื่อเปิดไฟล์ เมื่อรันขึ้นมา มันจะ ถอดรหัสโมดูล container ที่ซ่อนอยู่ภายใน และดึง stager modules ที่ถูกฝังไว้ในไฟล์ภาพออกมา จากนั้นจึงค่อยๆ ปลดล็อก payload ขั้นสุดท้าย ซึ่งก็คือ LokiBot 🖼️ เทคนิคการซ่อนตัวในไฟล์ภาพ มัลแวร์ใช้การฝังโค้ดไว้ใน metadata ของไฟล์ภาพ BMP และ PNG โดยเข้ารหัสด้วยอัลกอริทึมเดียวกับที่เคยใช้ใน Quasar RAT loaders ทำให้การตรวจจับด้วยเครื่องมือ static analysis และ automated payload extraction ยากขึ้นมาก นักวิจัยต้องปรับเครื่องมือ PixDig เพื่อบังคับถอดรหัสโดยตรงจากไฟล์ภาพ จึงสามารถดึง stager modules ออกมาได้สำเร็จ ⚠️ ความเสี่ยงและผลกระทบ LokiBot เป็นมัลแวร์ที่มีมานานกว่า 10 ปี และยังคงถูกใช้แพร่หลายในการขโมยข้อมูล เช่น รหัสผ่านเบราว์เซอร์, อีเมล, FTP, Wallet คริปโต, Windows credentials และไฟล์การตั้งค่าต่างๆ การพัฒนา loader รุ่นใหม่ที่ซ่อนตัวในไฟล์ภาพสะท้อนให้เห็นว่าอาชญากรไซเบอร์ยังคงปรับปรุงเทคนิคเพื่อเลี่ยงการตรวจจับ และทำให้การป้องกันยากขึ้นเรื่อยๆ 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การค้นพบใหม่ ➡️ Stealth Stealer เป็น .NET Loader รุ่นใหม่ที่ใช้ steganography ➡️ ซ่อน LokiBot payload ในไฟล์ BMP และ PNG ✅ วิธีการทำงาน ➡️ Loader ปลอมตัวเป็นเอกสาร RFQ เพื่อหลอกเหยื่อ ➡️ ถอดรหัส container module และดึง stager modules จากไฟล์ภาพ ✅ เทคนิคการซ่อนตัว ➡️ ใช้ metadata ของไฟล์ภาพเข้ารหัสโค้ด ➡️ ทำให้ static detection และ automated extraction ยากขึ้น ✅ ผลกระทบ ➡️ LokiBot ขโมยข้อมูล credential, wallet, และไฟล์การตั้งค่าต่างๆ ➡️ ยังคงเป็นภัยคุกคามที่แพร่หลายแม้มีมานานกว่า 10 ปี ‼️ คำเตือน ⛔ การใช้ไฟล์ภาพเป็นตัวซ่อน payload ทำให้การตรวจจับยากขึ้น ⛔ องค์กรควรอัปเดตเครื่องมือวิเคราะห์และตรวจสอบไฟล์ที่น่าสงสัย ⛔ ผู้ใช้ควรระวังการเปิดไฟล์แนบที่ดูเหมือนเอกสารธุรกิจ https://securityonline.info/stealth-stealer-new-net-loader-hides-lokibot-payload-in-bmp-png-images-using-advanced-steganography/
    SECURITYONLINE.INFO
    Stealth Stealer: New .NET Loader Hides LokiBot Payload in BMP/PNG Images Using Advanced Steganography
    Splunk uncovered a new .NET steganographic loader that hides LokiBot malware inside embedded BMP and PNG image files. The multi-stage loader uses a separate container module, evading static detection.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 16 มุมมอง 0 รีวิว
  • UNC1549 ขยายการโจมตีสู่อุตสาหกรรมการบินและอวกาศ

    ตั้งแต่กลางปี 2024 กลุ่ม UNC1549 ได้เพิ่มการโจมตีที่มุ่งเป้าไปยังบริษัทด้านการบินและอวกาศ รวมถึงผู้รับเหมาด้านกลาโหม โดยใช้วิธีการที่ซับซ้อน เช่น การเจาะผ่านซัพพลายเชน และ การส่ง spear-phishing แบบเจาะจงบุคคล เพื่อเข้าถึงระบบที่มีการป้องกันสูง

    เทคนิคที่ใช้: DLL Hijacking และ VDI Breakouts
    UNC1549 ใช้ DLL search order hijacking เพื่อรันมัลแวร์ที่ซ่อนอยู่ในซอฟต์แวร์ที่เชื่อถือได้ เช่น Citrix, VMware และ Microsoft นอกจากนี้ยังใช้ VDI Breakouts เพื่อหลบหนีข้อจำกัดของระบบ virtualization เช่น Citrix Virtual Desktop และ Azure Virtual Desktop ทำให้สามารถเคลื่อนย้ายภายในระบบได้อย่างลับๆ

    มัลแวร์เฉพาะทางที่ถูกพัฒนา
    นักวิจัยพบมัลแวร์หลายตัวที่ UNC1549 ใช้ เช่น TWOSTROKE, MINIBIKE, DEEPROOT, LIGHTRAIL, CRASHPAD, SIGHTGRAB โดยแต่ละตัวมีความสามารถเฉพาะ เช่น การขโมย credential, การจับภาพหน้าจอ, การสร้าง backdoor ผ่าน Azure WebSocket และการใช้ Golang เพื่อสร้าง backdoor บน Linux จุดเด่นคือ ทุก payload มี hash ที่ไม่ซ้ำกัน ทำให้การตรวจสอบทางนิติวิทยาศาสตร์ยากขึ้นมาก

    ความเสี่ยงและผลกระทบ
    การโจมตีนี้สะท้อนถึงความเสี่ยงของการพึ่งพาซัพพลายเชนและซอฟต์แวร์ที่เชื่อถือได้ เพราะแม้ระบบหลักจะมีการป้องกันเข้มงวด แต่การเจาะผ่านพันธมิตรหรือผู้รับเหมาที่เชื่อมต่อกับระบบก็สามารถเปิดช่องให้ผู้โจมตีเข้าถึงข้อมูลสำคัญ เช่น เอกสารด้าน IT, ทรัพย์สินทางปัญญา และอีเมลภายในองค์กร

    สรุปสาระสำคัญ
    การโจมตีของ UNC1549
    มุ่งเป้าไปที่อุตสาหกรรมการบิน, อวกาศ และกลาโหม
    ใช้ spear-phishing และการเจาะผ่านซัพพลายเชน

    เทคนิคที่ใช้
    DLL Hijacking บนซอฟต์แวร์ที่เชื่อถือได้ (Citrix, VMware, Microsoft)
    VDI Breakouts เพื่อหลบหนีข้อจำกัด virtualization

    มัลแวร์ที่พบ
    TWOSTROKE: backdoor ที่เข้ารหัส SSL
    LIGHTRAIL: tunneler ผ่าน Azure WebSocket
    DEEPROOT: Golang backdoor บน Linux
    CRASHPAD และ SIGHTGRAB: ขโมย credential และจับภาพหน้าจอ

    คำเตือนจากเหตุการณ์
    การพึ่งพาซัพพลายเชนที่เชื่อมต่อกับระบบหลักเป็นช่องโหว่สำคัญ
    Payload ที่มี hash ไม่ซ้ำกันทำให้การตรวจสอบยากขึ้น
    องค์กรควรเสริมการตรวจสอบซอฟต์แวร์ที่เชื่อถือได้และระบบ virtualization

    https://securityonline.info/iranian-apt-unc1549-infiltrates-aerospace-by-hijacking-trusted-dlls-and-executing-vdi-breakouts/
    ✈️ UNC1549 ขยายการโจมตีสู่อุตสาหกรรมการบินและอวกาศ ตั้งแต่กลางปี 2024 กลุ่ม UNC1549 ได้เพิ่มการโจมตีที่มุ่งเป้าไปยังบริษัทด้านการบินและอวกาศ รวมถึงผู้รับเหมาด้านกลาโหม โดยใช้วิธีการที่ซับซ้อน เช่น การเจาะผ่านซัพพลายเชน และ การส่ง spear-phishing แบบเจาะจงบุคคล เพื่อเข้าถึงระบบที่มีการป้องกันสูง 🛠️ เทคนิคที่ใช้: DLL Hijacking และ VDI Breakouts UNC1549 ใช้ DLL search order hijacking เพื่อรันมัลแวร์ที่ซ่อนอยู่ในซอฟต์แวร์ที่เชื่อถือได้ เช่น Citrix, VMware และ Microsoft นอกจากนี้ยังใช้ VDI Breakouts เพื่อหลบหนีข้อจำกัดของระบบ virtualization เช่น Citrix Virtual Desktop และ Azure Virtual Desktop ทำให้สามารถเคลื่อนย้ายภายในระบบได้อย่างลับๆ 🧩 มัลแวร์เฉพาะทางที่ถูกพัฒนา นักวิจัยพบมัลแวร์หลายตัวที่ UNC1549 ใช้ เช่น TWOSTROKE, MINIBIKE, DEEPROOT, LIGHTRAIL, CRASHPAD, SIGHTGRAB โดยแต่ละตัวมีความสามารถเฉพาะ เช่น การขโมย credential, การจับภาพหน้าจอ, การสร้าง backdoor ผ่าน Azure WebSocket และการใช้ Golang เพื่อสร้าง backdoor บน Linux จุดเด่นคือ ทุก payload มี hash ที่ไม่ซ้ำกัน ทำให้การตรวจสอบทางนิติวิทยาศาสตร์ยากขึ้นมาก ⚠️ ความเสี่ยงและผลกระทบ การโจมตีนี้สะท้อนถึงความเสี่ยงของการพึ่งพาซัพพลายเชนและซอฟต์แวร์ที่เชื่อถือได้ เพราะแม้ระบบหลักจะมีการป้องกันเข้มงวด แต่การเจาะผ่านพันธมิตรหรือผู้รับเหมาที่เชื่อมต่อกับระบบก็สามารถเปิดช่องให้ผู้โจมตีเข้าถึงข้อมูลสำคัญ เช่น เอกสารด้าน IT, ทรัพย์สินทางปัญญา และอีเมลภายในองค์กร 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ การโจมตีของ UNC1549 ➡️ มุ่งเป้าไปที่อุตสาหกรรมการบิน, อวกาศ และกลาโหม ➡️ ใช้ spear-phishing และการเจาะผ่านซัพพลายเชน ✅ เทคนิคที่ใช้ ➡️ DLL Hijacking บนซอฟต์แวร์ที่เชื่อถือได้ (Citrix, VMware, Microsoft) ➡️ VDI Breakouts เพื่อหลบหนีข้อจำกัด virtualization ✅ มัลแวร์ที่พบ ➡️ TWOSTROKE: backdoor ที่เข้ารหัส SSL ➡️ LIGHTRAIL: tunneler ผ่าน Azure WebSocket ➡️ DEEPROOT: Golang backdoor บน Linux ➡️ CRASHPAD และ SIGHTGRAB: ขโมย credential และจับภาพหน้าจอ ‼️ คำเตือนจากเหตุการณ์ ⛔ การพึ่งพาซัพพลายเชนที่เชื่อมต่อกับระบบหลักเป็นช่องโหว่สำคัญ ⛔ Payload ที่มี hash ไม่ซ้ำกันทำให้การตรวจสอบยากขึ้น ⛔ องค์กรควรเสริมการตรวจสอบซอฟต์แวร์ที่เชื่อถือได้และระบบ virtualization https://securityonline.info/iranian-apt-unc1549-infiltrates-aerospace-by-hijacking-trusted-dlls-and-executing-vdi-breakouts/
    SECURITYONLINE.INFO
    Iranian APT UNC1549 Infiltrates Aerospace by Hijacking Trusted DLLs and Executing VDI Breakouts
    Mandiant exposed UNC1549, an Iranian APT, using DLL search order hijacking on Citrix/VMware to deploy TWOSTROKE and DCSYNCER.SLICK. The group performs VDI breakouts for long-term espionage.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 16 มุมมอง 0 รีวิว
  • SecurityMetrics คว้ารางวัลใหญ่ด้าน Cybersecurity

    SecurityMetrics ได้รับรางวัล “Data Leak Detection Solution of the Year” จากงาน CyberSecurity Breakthrough Awards 2025 โดยผลงานที่โดดเด่นคือ Shopping Cart Inspect (SCI) ซึ่งช่วยตรวจจับการโจมตีแบบ web skimming ที่มักเกิดขึ้นกับเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ

    จุดเด่นของ Shopping Cart Inspect (SCI)
    SCI ใช้เทคโนโลยี WIM (Web Inject Monitoring) ที่สามารถตรวจจับการโจมตีด้วย JavaScript ได้ทันทีที่เกิดขึ้น โดยทีม Forensic Analysts ของ SecurityMetrics จะทำการตรวจสอบโค้ดที่รันบนหน้าเว็บ เพื่อหาหลักฐานการโจมตีและสร้างรายงานความเสี่ยงที่จัดลำดับตามมาตรฐาน CVSS พร้อมคำแนะนำในการแก้ไข

    ผลกระทบต่อธุรกิจอีคอมเมิร์ซ
    การโจมตีแบบ web skimming เป็นภัยที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะกับร้านค้าออนไลน์ที่ใช้ระบบตะกร้าสินค้า SCI ช่วยให้ธุรกิจสามารถตรวจจับและแก้ไขได้โดยไม่กระทบต่อการดำเนินงาน ทำให้ลูกค้ามั่นใจในความปลอดภัยของข้อมูลการชำระเงิน และช่วยลดความเสี่ยงต่อการสูญเสียชื่อเสียงและรายได้

    ความสำคัญในระดับโลก
    งาน CyberSecurity Breakthrough Awards มีผู้เข้าร่วมจากกว่า 20 ประเทศ และ SCI ถูกเลือกให้เป็นโซลูชันที่โดดเด่นที่สุดในปีนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการป้องกันข้อมูลรั่วไหลในยุคที่ธุรกิจออนไลน์เติบโตอย่างรวดเร็ว และภัยคุกคามไซเบอร์มีความซับซ้อนมากขึ้น

    สรุปสาระสำคัญ
    รางวัลที่ได้รับ
    SecurityMetrics ได้รับรางวัล “Data Leak Detection Solution of the Year” ปี 2025
    มอบโดย CyberSecurity Breakthrough Awards

    จุดเด่นของ SCI
    ใช้ WIM Technology ตรวจจับ web skimming แบบ real-time
    ทีม Forensic Analysts ตรวจสอบโค้ดและสร้างรายงานความเสี่ยงตาม CVSS

    ผลกระทบต่อธุรกิจ
    ป้องกันข้อมูลการชำระเงินรั่วไหล
    ลดความเสี่ยงต่อชื่อเสียงและรายได้ของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ

    คำเตือนจากเหตุการณ์
    ร้านค้าออนไลน์ที่ไม่ตรวจสอบระบบตะกร้าสินค้าเสี่ยงต่อการถูกโจมตี
    การโจมตี web skimming มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นและซับซ้อนขึ้น
    ธุรกิจควรมีระบบตรวจจับและทีมผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับมืออย่างต่อเนื่อง

    https://securityonline.info/securitymetrics-wins-data-leak-detection-solution-of-the-year-in-2025-cybersecurity-breakthrough-awards-program/
    🏆 SecurityMetrics คว้ารางวัลใหญ่ด้าน Cybersecurity SecurityMetrics ได้รับรางวัล “Data Leak Detection Solution of the Year” จากงาน CyberSecurity Breakthrough Awards 2025 โดยผลงานที่โดดเด่นคือ Shopping Cart Inspect (SCI) ซึ่งช่วยตรวจจับการโจมตีแบบ web skimming ที่มักเกิดขึ้นกับเว็บไซต์อีคอมเมิร์ซ 🔍 จุดเด่นของ Shopping Cart Inspect (SCI) SCI ใช้เทคโนโลยี WIM (Web Inject Monitoring) ที่สามารถตรวจจับการโจมตีด้วย JavaScript ได้ทันทีที่เกิดขึ้น โดยทีม Forensic Analysts ของ SecurityMetrics จะทำการตรวจสอบโค้ดที่รันบนหน้าเว็บ เพื่อหาหลักฐานการโจมตีและสร้างรายงานความเสี่ยงที่จัดลำดับตามมาตรฐาน CVSS พร้อมคำแนะนำในการแก้ไข 🛡️ ผลกระทบต่อธุรกิจอีคอมเมิร์ซ การโจมตีแบบ web skimming เป็นภัยที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะกับร้านค้าออนไลน์ที่ใช้ระบบตะกร้าสินค้า SCI ช่วยให้ธุรกิจสามารถตรวจจับและแก้ไขได้โดยไม่กระทบต่อการดำเนินงาน ทำให้ลูกค้ามั่นใจในความปลอดภัยของข้อมูลการชำระเงิน และช่วยลดความเสี่ยงต่อการสูญเสียชื่อเสียงและรายได้ 🌐 ความสำคัญในระดับโลก งาน CyberSecurity Breakthrough Awards มีผู้เข้าร่วมจากกว่า 20 ประเทศ และ SCI ถูกเลือกให้เป็นโซลูชันที่โดดเด่นที่สุดในปีนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของการป้องกันข้อมูลรั่วไหลในยุคที่ธุรกิจออนไลน์เติบโตอย่างรวดเร็ว และภัยคุกคามไซเบอร์มีความซับซ้อนมากขึ้น 📌 สรุปสาระสำคัญ ✅ รางวัลที่ได้รับ ➡️ SecurityMetrics ได้รับรางวัล “Data Leak Detection Solution of the Year” ปี 2025 ➡️ มอบโดย CyberSecurity Breakthrough Awards ✅ จุดเด่นของ SCI ➡️ ใช้ WIM Technology ตรวจจับ web skimming แบบ real-time ➡️ ทีม Forensic Analysts ตรวจสอบโค้ดและสร้างรายงานความเสี่ยงตาม CVSS ✅ ผลกระทบต่อธุรกิจ ➡️ ป้องกันข้อมูลการชำระเงินรั่วไหล ➡️ ลดความเสี่ยงต่อชื่อเสียงและรายได้ของธุรกิจอีคอมเมิร์ซ ‼️ คำเตือนจากเหตุการณ์ ⛔ ร้านค้าออนไลน์ที่ไม่ตรวจสอบระบบตะกร้าสินค้าเสี่ยงต่อการถูกโจมตี ⛔ การโจมตี web skimming มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นและซับซ้อนขึ้น ⛔ ธุรกิจควรมีระบบตรวจจับและทีมผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับมืออย่างต่อเนื่อง https://securityonline.info/securitymetrics-wins-data-leak-detection-solution-of-the-year-in-2025-cybersecurity-breakthrough-awards-program/
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 16 มุมมอง 0 รีวิว
Pages Boosts