ทุกข์แบบสะสมที่ค่อยๆ พอกพูนจนไม่เห็นทางออก คือทุกข์ที่เกิดจากการปล่อยให้ปัญหาและความรู้สึกที่ไม่ดีทับถมอยู่ในใจ ไม่หาทางออก ไม่จัดการหรือปล่อยวาง ปล่อยให้ความทุกข์นั้นกลายเป็นก้อนหินใหญ่ที่ปิดปากถ้ำแห่งจิตใจ จนไม่เห็นแสงสว่าง ความคิดที่วนเวียน และความรู้สึกที่ถูกขังอยู่ในความมืด คือผลของการไม่ดูแลจัดการทั้งปัญหาภายนอกและภายใน
ในทางกลับกัน ทุกข์แบบสว่างคือการรู้จักรับรู้และจัดการกับทุกข์ทีละน้อย มีสติรู้ตัวเมื่อเกิดความทุกข์ขึ้น และมีความกล้าพอที่จะสละความคิดและความรู้สึกที่ทำให้จิตใจมืดมนออกไปเรื่อยๆ คล้ายกับการทิ้งขยะออกจากบ้าน เมื่อขยะถูกทิ้งอย่างต่อเนื่อง บ้านย่อมกลับมาโล่งสะอาด และจิตใจก็จะกลับมาโปร่งเบาสว่างได้
การเจริญสติอย่างสม่ำเสมอ ช่วยให้เราสำรวจจิตใจได้ว่ากำลังทุกข์อยู่แค่ไหน หนักหรือเบาลง และเมื่อเราเฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงของทุกข์อยู่เรื่อยๆ จนกลายเป็นนิสัย เราจะพบว่าความทุกข์นั้นไม่จำเป็นต้องสะสมจนกลายเป็นความมืดที่มองไม่เห็นทางออก แต่สามารถเบาลงและสว่างขึ้นได้เสมอ
จงเริ่มต้นด้วยการรับรู้ทุกข์ และหายใจยาวขึ้นเพื่อทำให้จิตใจปลอดโปร่ง นี่คือการเริ่มต้นสังเกตทุกข์ และเมื่อทำเช่นนี้บ่อยๆ คุณจะรู้ได้เองว่า ทุกข์แบบสว่างนั้นเป็นอย่างไร และจะไม่ต้องกลัวว่าจะตกอยู่ในทุกข์แบบมืดสนิท
ในทางกลับกัน ทุกข์แบบสว่างคือการรู้จักรับรู้และจัดการกับทุกข์ทีละน้อย มีสติรู้ตัวเมื่อเกิดความทุกข์ขึ้น และมีความกล้าพอที่จะสละความคิดและความรู้สึกที่ทำให้จิตใจมืดมนออกไปเรื่อยๆ คล้ายกับการทิ้งขยะออกจากบ้าน เมื่อขยะถูกทิ้งอย่างต่อเนื่อง บ้านย่อมกลับมาโล่งสะอาด และจิตใจก็จะกลับมาโปร่งเบาสว่างได้
การเจริญสติอย่างสม่ำเสมอ ช่วยให้เราสำรวจจิตใจได้ว่ากำลังทุกข์อยู่แค่ไหน หนักหรือเบาลง และเมื่อเราเฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงของทุกข์อยู่เรื่อยๆ จนกลายเป็นนิสัย เราจะพบว่าความทุกข์นั้นไม่จำเป็นต้องสะสมจนกลายเป็นความมืดที่มองไม่เห็นทางออก แต่สามารถเบาลงและสว่างขึ้นได้เสมอ
จงเริ่มต้นด้วยการรับรู้ทุกข์ และหายใจยาวขึ้นเพื่อทำให้จิตใจปลอดโปร่ง นี่คือการเริ่มต้นสังเกตทุกข์ และเมื่อทำเช่นนี้บ่อยๆ คุณจะรู้ได้เองว่า ทุกข์แบบสว่างนั้นเป็นอย่างไร และจะไม่ต้องกลัวว่าจะตกอยู่ในทุกข์แบบมืดสนิท
ทุกข์แบบสะสมที่ค่อยๆ พอกพูนจนไม่เห็นทางออก คือทุกข์ที่เกิดจากการปล่อยให้ปัญหาและความรู้สึกที่ไม่ดีทับถมอยู่ในใจ ไม่หาทางออก ไม่จัดการหรือปล่อยวาง ปล่อยให้ความทุกข์นั้นกลายเป็นก้อนหินใหญ่ที่ปิดปากถ้ำแห่งจิตใจ จนไม่เห็นแสงสว่าง ความคิดที่วนเวียน และความรู้สึกที่ถูกขังอยู่ในความมืด คือผลของการไม่ดูแลจัดการทั้งปัญหาภายนอกและภายใน
ในทางกลับกัน ทุกข์แบบสว่างคือการรู้จักรับรู้และจัดการกับทุกข์ทีละน้อย มีสติรู้ตัวเมื่อเกิดความทุกข์ขึ้น และมีความกล้าพอที่จะสละความคิดและความรู้สึกที่ทำให้จิตใจมืดมนออกไปเรื่อยๆ คล้ายกับการทิ้งขยะออกจากบ้าน เมื่อขยะถูกทิ้งอย่างต่อเนื่อง บ้านย่อมกลับมาโล่งสะอาด และจิตใจก็จะกลับมาโปร่งเบาสว่างได้
การเจริญสติอย่างสม่ำเสมอ ช่วยให้เราสำรวจจิตใจได้ว่ากำลังทุกข์อยู่แค่ไหน หนักหรือเบาลง และเมื่อเราเฝ้าดูการเปลี่ยนแปลงของทุกข์อยู่เรื่อยๆ จนกลายเป็นนิสัย เราจะพบว่าความทุกข์นั้นไม่จำเป็นต้องสะสมจนกลายเป็นความมืดที่มองไม่เห็นทางออก แต่สามารถเบาลงและสว่างขึ้นได้เสมอ
จงเริ่มต้นด้วยการรับรู้ทุกข์ และหายใจยาวขึ้นเพื่อทำให้จิตใจปลอดโปร่ง นี่คือการเริ่มต้นสังเกตทุกข์ และเมื่อทำเช่นนี้บ่อยๆ คุณจะรู้ได้เองว่า ทุกข์แบบสว่างนั้นเป็นอย่างไร และจะไม่ต้องกลัวว่าจะตกอยู่ในทุกข์แบบมืดสนิท
0 ความคิดเห็น
0 การแบ่งปัน
42 มุมมอง
0 รีวิว