แสงในสมาธิ...ไม่ใช่แสงของตา แต่คือแสงของใจ

แสงที่ใจสว่าง ไม่ต้องมาจากดวงอาทิตย์
แต่เป็นแสงที่ฉายจากความสงบเย็นของจิต
ไม่ต้องรอเห็นด้วยตา แค่รู้สึกด้วยใจ…ก็พอแล้ว

---

แสงแบบแรก: แสงอ่อนจากจิตที่ปลอดโปร่ง

หากคุณหลับตา
แล้วรู้สึกเหมือนใจโล่งขึ้นกว่าปกติ
ไม่หนักหัว ไม่อึดอัด ไม่มืดหม่น
จิตเหมือนมีพื้นที่ว่างขาวนวลให้หายใจ
นั่นแหละ คือแสงในสมาธิแบบเริ่มต้น

พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า

“จิตโดยธรรมชาติมีความประภัสสร (สว่างอยู่แล้ว)”
แต่ถูกกิเลสบัง จึงมืดมัว
พอจิตคลายจากฟุ้งซ่าน คลายจากกังวล
แสงเดิมๆ ที่เคยถูกบัง ก็เผยตัวออกมา

---

แสงแบบลึก: แสงโอภาสจากจิตที่ตั้งมั่น

ถ้าฝึกไปถึงจุดที่จิต “ตั้งมั่น” จริง
เช่นในอุปจารสมาธิ หรือฌานเบื้องต้น
คุณจะเริ่มสัมผัสได้ถึง
แสงสว่างที่กว้างขวาง เย็น วิเวก และเปี่ยมสุข

แสงนี้ไม่ได้เกิดจากการเพ่ง
แต่เป็นผลพลอยได้จากจิตที่รวมกำลังเข้าดวงเดียว
คล้ายพระจันทร์เต็มดวงที่ส่องแสงสะท้อนความสงบในฟ้าไร้เมฆ

---

แต่จำไว้…ยิ่งสว่างมาก ยิ่งมีโอกาสติดใจมาก

จุดเปลี่ยนสำคัญคือ

ถ้าเห็นแสงแล้วอยากให้มันอยู่ตลอด
ถ้าเริ่มคิดว่าความสุขจากแสงคือที่สุดแล้ว
จิตจะวนกลับไปหาความอยากอีก

พระพุทธเจ้าจึงสอนว่า

“แม้แสง แม้ความสุข ก็ไม่เที่ยง”
สังเกตอย่างรู้ทันว่า
มันมา มันอยู่ มันไป
แล้วถอยจิตออกมาดูว่า “นี่ไม่ใช่เรา”

---

สิ่งที่ควรติดใจ…ไม่ใช่แสง แต่คือปัญญาที่เห็นว่าแสงก็ไม่เที่ยง

ถ้าคุณเริ่มมีความสุขจากแสง
แล้วเห็นว่ามันจางไปเพราะความคิดแทรก
แต่ก็กลับมาใหม่เมื่อจิตนิ่งอีกครั้ง
และสังเกตไปเรื่อยๆ ว่า...

สว่างก็ชั่วคราว
มืดก็ชั่วคราว
ฟุ้งซ่านก็ชั่วคราว
ใจนิ่งก็ชั่วคราว

คุณจะเริ่มสัมผัส “ทางออก” จากการยึดถือ
นั่นแหละคือ ความรู้จริง ที่เกิดจากสมาธิที่ไม่หลงรูปแบบ

---

แสงในสมาธิที่แท้…คือป้ายบอกทาง ไม่ใช่ที่หมาย

อย่าหลงรักป้ายจนไม่ยอมเดินต่อ
ให้แสงนำพาเราไปสู่การเห็นธรรม
เห็นกายใจตามความเป็นจริง
ไม่ใช่แค่เห็นแสง แล้วอยากหยุดอยู่ตรงนั้น

เพราะสุดท้าย ไม่ใช่คนเห็นแสงจะพ้นทุกข์
แต่คือคนที่เห็นว่า “แม้แสง ก็ไม่มีตัวตน” ต่างหาก
จึงจะหลุดพ้นได้จริง!
แสงในสมาธิ...ไม่ใช่แสงของตา แต่คือแสงของใจ แสงที่ใจสว่าง ไม่ต้องมาจากดวงอาทิตย์ แต่เป็นแสงที่ฉายจากความสงบเย็นของจิต ไม่ต้องรอเห็นด้วยตา แค่รู้สึกด้วยใจ…ก็พอแล้ว --- แสงแบบแรก: แสงอ่อนจากจิตที่ปลอดโปร่ง หากคุณหลับตา แล้วรู้สึกเหมือนใจโล่งขึ้นกว่าปกติ ไม่หนักหัว ไม่อึดอัด ไม่มืดหม่น จิตเหมือนมีพื้นที่ว่างขาวนวลให้หายใจ นั่นแหละ คือแสงในสมาธิแบบเริ่มต้น พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า “จิตโดยธรรมชาติมีความประภัสสร (สว่างอยู่แล้ว)” แต่ถูกกิเลสบัง จึงมืดมัว พอจิตคลายจากฟุ้งซ่าน คลายจากกังวล แสงเดิมๆ ที่เคยถูกบัง ก็เผยตัวออกมา --- แสงแบบลึก: แสงโอภาสจากจิตที่ตั้งมั่น ถ้าฝึกไปถึงจุดที่จิต “ตั้งมั่น” จริง เช่นในอุปจารสมาธิ หรือฌานเบื้องต้น คุณจะเริ่มสัมผัสได้ถึง แสงสว่างที่กว้างขวาง เย็น วิเวก และเปี่ยมสุข แสงนี้ไม่ได้เกิดจากการเพ่ง แต่เป็นผลพลอยได้จากจิตที่รวมกำลังเข้าดวงเดียว คล้ายพระจันทร์เต็มดวงที่ส่องแสงสะท้อนความสงบในฟ้าไร้เมฆ --- แต่จำไว้…ยิ่งสว่างมาก ยิ่งมีโอกาสติดใจมาก จุดเปลี่ยนสำคัญคือ ถ้าเห็นแสงแล้วอยากให้มันอยู่ตลอด ถ้าเริ่มคิดว่าความสุขจากแสงคือที่สุดแล้ว จิตจะวนกลับไปหาความอยากอีก พระพุทธเจ้าจึงสอนว่า “แม้แสง แม้ความสุข ก็ไม่เที่ยง” สังเกตอย่างรู้ทันว่า มันมา มันอยู่ มันไป แล้วถอยจิตออกมาดูว่า “นี่ไม่ใช่เรา” --- สิ่งที่ควรติดใจ…ไม่ใช่แสง แต่คือปัญญาที่เห็นว่าแสงก็ไม่เที่ยง ถ้าคุณเริ่มมีความสุขจากแสง แล้วเห็นว่ามันจางไปเพราะความคิดแทรก แต่ก็กลับมาใหม่เมื่อจิตนิ่งอีกครั้ง และสังเกตไปเรื่อยๆ ว่า... สว่างก็ชั่วคราว มืดก็ชั่วคราว ฟุ้งซ่านก็ชั่วคราว ใจนิ่งก็ชั่วคราว คุณจะเริ่มสัมผัส “ทางออก” จากการยึดถือ นั่นแหละคือ ความรู้จริง ที่เกิดจากสมาธิที่ไม่หลงรูปแบบ --- แสงในสมาธิที่แท้…คือป้ายบอกทาง ไม่ใช่ที่หมาย อย่าหลงรักป้ายจนไม่ยอมเดินต่อ ให้แสงนำพาเราไปสู่การเห็นธรรม เห็นกายใจตามความเป็นจริง ไม่ใช่แค่เห็นแสง แล้วอยากหยุดอยู่ตรงนั้น เพราะสุดท้าย ไม่ใช่คนเห็นแสงจะพ้นทุกข์ แต่คือคนที่เห็นว่า “แม้แสง ก็ไม่มีตัวตน” ต่างหาก จึงจะหลุดพ้นได้จริง!
0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 64 มุมมอง 0 รีวิว