สมาธิ…ไม่ใช่แค่พักใจ แต่คือก้าวแรกของการหลุดพ้น
หลายคนอยากมีสมาธิ
แต่ไม่รู้เลยว่า “สมาธิที่ใช่”
จะพาให้ชีวิตเปลี่ยนจากโลกที่ผูกพัน
ไปสู่โลกที่ใจเบาสบายไร้พันธนาการ
---
คนทั่วไป…มีแต่จิตฟุ้งซ่าน
เราถูกสอนให้ใช้สมองคิด
แต่ไม่เคยถูกสอนให้รู้ว่า “สมองที่คิดเรื่อยเปื่อย”
ก็คือ จิตฟุ้งซ่าน รูปแบบหนึ่ง
คนจำนวนมาก
เข้าใจว่าการมีชีวิตคือการไขว่คว้า
จิตจึงไม่รู้จักนิ่ง ไม่รู้จักหยุด
วิ่งตาม “ความอยาก” โดยไม่มีวันถึงฝั่ง
---
แต่ถ้าจิตรวมเป็นสมาธิเมื่อใด…โลกใหม่จะเปิดออกทันที
สมาธิที่แท้ คือจิตที่นิ่ง เด่น ดวงเดียว
ตั้งมั่นพอจนไม่ไหลตามความอยาก
ไม่ฟุ้งตามความกลัว
ไม่เหวี่ยงไปตามเรื่องเล่าในหัว
สมาธิไม่ใช่การ “คิดให้น้อยลง”
แต่คือการ “คิดแบบมีทิศทาง”
คือคิดแบบเห็นโลกตามที่มันเป็น
ไม่ใช่แบบที่เราอยากให้มันเป็น
---
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในมหาจัตตารีสกสูตรว่า
สมาธิที่เป็นสัมมาสมาธิ
ต้องมี สัมมาทิฏฐิ เป็นประธาน
ไม่ใช่สมาธิแบบคิดจะใช้จิตไปทำร้ายใคร
หรือสมาธิเพื่อขอพลังพิเศษเอาชนะคนอื่น
---
สัมมาทิฏฐิ คือหัวใจของการปฏิบัติธรรม
ถ้าคุณนั่งสมาธิ แล้วใจยังเชื่อว่า
ทำดีไม่มีผล
ตายแล้วสูญ
กรรมไม่มีผล
พระพุทธเจ้าไม่มีจริง
โลกหน้าคือเรื่องหลอกเด็ก
สมาธิของคุณจะเหมือนปลูกต้นไม้ในดินเค็ม
ไม่มีวันเติบโตไปถึงนิพพานได้
---
แต่ถ้าคุณนั่งสมาธิแล้วเห็นว่า...
โลกนี้มีผลแห่งกรรมจริง
สิ่งที่เกิดล้วนเป็นผลของเหตุ
กายใจนี้ไม่ใช่ของเราจริง
ทุกสิ่งล้วนเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
และแม้ความคิดในหัว…ก็แค่แวบหนึ่งของกระแสธรรมดา
คุณจะเริ่มเข้าใจว่า “ภพ” ไม่ได้อยู่ที่ไหน
ภพอยู่ตรงที่คุณยึดติดกับกายนี้ ใจนี้ ความคิดนี้ว่าเป็น “ตัวเรา”
---
สมาธิที่แท้…จึงไม่ใช่แค่หลบความเครียด
แต่คือการค่อยๆ
ถอดออกจากอุปาทาน
ปลดจากพันธนาการของความเชื่อผิด
ปลุกตนให้ตื่นจากภวังค์ของความเป็นตัวตน
เมื่อสมาธิมาพร้อมสัมมาทิฏฐิ
แม้กระทั่งความคิดที่ผ่านสมอง
ก็จะกลายเป็นแค่ “ภาพมายา” ที่มาแล้วไป
ไม่ใช่คำสั่งสุดท้ายของชีวิตอีกต่อไป
---
ชาตินี้…กายใจนี้ อาจกลายเป็นกุญแจปลดล็อกทุกภพชาติ
สมาธิแบบนี้
คือสมาธิที่พระพุทธเจ้ารับรอง
ว่าเป็นทางเข้าสู่มรรคผลนิพพานได้จริง
ไม่ใช่สมาธิที่มีไว้แค่พักใจ
แต่คือ “ลูกไฟที่เผาผลาญกิเลส”
พร้อมเปิดทางให้คุณเป็นอิสระจากทุกภพทุกชาติ
หลายคนอยากมีสมาธิ
แต่ไม่รู้เลยว่า “สมาธิที่ใช่”
จะพาให้ชีวิตเปลี่ยนจากโลกที่ผูกพัน
ไปสู่โลกที่ใจเบาสบายไร้พันธนาการ
---
คนทั่วไป…มีแต่จิตฟุ้งซ่าน
เราถูกสอนให้ใช้สมองคิด
แต่ไม่เคยถูกสอนให้รู้ว่า “สมองที่คิดเรื่อยเปื่อย”
ก็คือ จิตฟุ้งซ่าน รูปแบบหนึ่ง
คนจำนวนมาก
เข้าใจว่าการมีชีวิตคือการไขว่คว้า
จิตจึงไม่รู้จักนิ่ง ไม่รู้จักหยุด
วิ่งตาม “ความอยาก” โดยไม่มีวันถึงฝั่ง
---
แต่ถ้าจิตรวมเป็นสมาธิเมื่อใด…โลกใหม่จะเปิดออกทันที
สมาธิที่แท้ คือจิตที่นิ่ง เด่น ดวงเดียว
ตั้งมั่นพอจนไม่ไหลตามความอยาก
ไม่ฟุ้งตามความกลัว
ไม่เหวี่ยงไปตามเรื่องเล่าในหัว
สมาธิไม่ใช่การ “คิดให้น้อยลง”
แต่คือการ “คิดแบบมีทิศทาง”
คือคิดแบบเห็นโลกตามที่มันเป็น
ไม่ใช่แบบที่เราอยากให้มันเป็น
---
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในมหาจัตตารีสกสูตรว่า
สมาธิที่เป็นสัมมาสมาธิ
ต้องมี สัมมาทิฏฐิ เป็นประธาน
ไม่ใช่สมาธิแบบคิดจะใช้จิตไปทำร้ายใคร
หรือสมาธิเพื่อขอพลังพิเศษเอาชนะคนอื่น
---
สัมมาทิฏฐิ คือหัวใจของการปฏิบัติธรรม
ถ้าคุณนั่งสมาธิ แล้วใจยังเชื่อว่า
ทำดีไม่มีผล
ตายแล้วสูญ
กรรมไม่มีผล
พระพุทธเจ้าไม่มีจริง
โลกหน้าคือเรื่องหลอกเด็ก
สมาธิของคุณจะเหมือนปลูกต้นไม้ในดินเค็ม
ไม่มีวันเติบโตไปถึงนิพพานได้
---
แต่ถ้าคุณนั่งสมาธิแล้วเห็นว่า...
โลกนี้มีผลแห่งกรรมจริง
สิ่งที่เกิดล้วนเป็นผลของเหตุ
กายใจนี้ไม่ใช่ของเราจริง
ทุกสิ่งล้วนเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
และแม้ความคิดในหัว…ก็แค่แวบหนึ่งของกระแสธรรมดา
คุณจะเริ่มเข้าใจว่า “ภพ” ไม่ได้อยู่ที่ไหน
ภพอยู่ตรงที่คุณยึดติดกับกายนี้ ใจนี้ ความคิดนี้ว่าเป็น “ตัวเรา”
---
สมาธิที่แท้…จึงไม่ใช่แค่หลบความเครียด
แต่คือการค่อยๆ
ถอดออกจากอุปาทาน
ปลดจากพันธนาการของความเชื่อผิด
ปลุกตนให้ตื่นจากภวังค์ของความเป็นตัวตน
เมื่อสมาธิมาพร้อมสัมมาทิฏฐิ
แม้กระทั่งความคิดที่ผ่านสมอง
ก็จะกลายเป็นแค่ “ภาพมายา” ที่มาแล้วไป
ไม่ใช่คำสั่งสุดท้ายของชีวิตอีกต่อไป
---
ชาตินี้…กายใจนี้ อาจกลายเป็นกุญแจปลดล็อกทุกภพชาติ
สมาธิแบบนี้
คือสมาธิที่พระพุทธเจ้ารับรอง
ว่าเป็นทางเข้าสู่มรรคผลนิพพานได้จริง
ไม่ใช่สมาธิที่มีไว้แค่พักใจ
แต่คือ “ลูกไฟที่เผาผลาญกิเลส”
พร้อมเปิดทางให้คุณเป็นอิสระจากทุกภพทุกชาติ
สมาธิ…ไม่ใช่แค่พักใจ แต่คือก้าวแรกของการหลุดพ้น
หลายคนอยากมีสมาธิ
แต่ไม่รู้เลยว่า “สมาธิที่ใช่”
จะพาให้ชีวิตเปลี่ยนจากโลกที่ผูกพัน
ไปสู่โลกที่ใจเบาสบายไร้พันธนาการ
---
คนทั่วไป…มีแต่จิตฟุ้งซ่าน
เราถูกสอนให้ใช้สมองคิด
แต่ไม่เคยถูกสอนให้รู้ว่า “สมองที่คิดเรื่อยเปื่อย”
ก็คือ จิตฟุ้งซ่าน รูปแบบหนึ่ง
คนจำนวนมาก
เข้าใจว่าการมีชีวิตคือการไขว่คว้า
จิตจึงไม่รู้จักนิ่ง ไม่รู้จักหยุด
วิ่งตาม “ความอยาก” โดยไม่มีวันถึงฝั่ง
---
แต่ถ้าจิตรวมเป็นสมาธิเมื่อใด…โลกใหม่จะเปิดออกทันที
สมาธิที่แท้ คือจิตที่นิ่ง เด่น ดวงเดียว
ตั้งมั่นพอจนไม่ไหลตามความอยาก
ไม่ฟุ้งตามความกลัว
ไม่เหวี่ยงไปตามเรื่องเล่าในหัว
สมาธิไม่ใช่การ “คิดให้น้อยลง”
แต่คือการ “คิดแบบมีทิศทาง”
คือคิดแบบเห็นโลกตามที่มันเป็น
ไม่ใช่แบบที่เราอยากให้มันเป็น
---
พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในมหาจัตตารีสกสูตรว่า
สมาธิที่เป็นสัมมาสมาธิ
ต้องมี สัมมาทิฏฐิ เป็นประธาน
ไม่ใช่สมาธิแบบคิดจะใช้จิตไปทำร้ายใคร
หรือสมาธิเพื่อขอพลังพิเศษเอาชนะคนอื่น
---
สัมมาทิฏฐิ คือหัวใจของการปฏิบัติธรรม
ถ้าคุณนั่งสมาธิ แล้วใจยังเชื่อว่า
ทำดีไม่มีผล
ตายแล้วสูญ
กรรมไม่มีผล
พระพุทธเจ้าไม่มีจริง
โลกหน้าคือเรื่องหลอกเด็ก
สมาธิของคุณจะเหมือนปลูกต้นไม้ในดินเค็ม
ไม่มีวันเติบโตไปถึงนิพพานได้
---
แต่ถ้าคุณนั่งสมาธิแล้วเห็นว่า...
โลกนี้มีผลแห่งกรรมจริง
สิ่งที่เกิดล้วนเป็นผลของเหตุ
กายใจนี้ไม่ใช่ของเราจริง
ทุกสิ่งล้วนเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
และแม้ความคิดในหัว…ก็แค่แวบหนึ่งของกระแสธรรมดา
คุณจะเริ่มเข้าใจว่า “ภพ” ไม่ได้อยู่ที่ไหน
ภพอยู่ตรงที่คุณยึดติดกับกายนี้ ใจนี้ ความคิดนี้ว่าเป็น “ตัวเรา”
---
สมาธิที่แท้…จึงไม่ใช่แค่หลบความเครียด
แต่คือการค่อยๆ
ถอดออกจากอุปาทาน
ปลดจากพันธนาการของความเชื่อผิด
ปลุกตนให้ตื่นจากภวังค์ของความเป็นตัวตน
เมื่อสมาธิมาพร้อมสัมมาทิฏฐิ
แม้กระทั่งความคิดที่ผ่านสมอง
ก็จะกลายเป็นแค่ “ภาพมายา” ที่มาแล้วไป
ไม่ใช่คำสั่งสุดท้ายของชีวิตอีกต่อไป
---
ชาตินี้…กายใจนี้ อาจกลายเป็นกุญแจปลดล็อกทุกภพชาติ
สมาธิแบบนี้
คือสมาธิที่พระพุทธเจ้ารับรอง
ว่าเป็นทางเข้าสู่มรรคผลนิพพานได้จริง
ไม่ใช่สมาธิที่มีไว้แค่พักใจ
แต่คือ “ลูกไฟที่เผาผลาญกิเลส”
พร้อมเปิดทางให้คุณเป็นอิสระจากทุกภพทุกชาติ
0 Comments
0 Shares
58 Views
0 Reviews