“สวดมนต์ไม่ใช่เรื่องน่าเบื่อ…ถ้าสวดด้วยใจถวาย ไม่ใช่ด้วยใจขอ”
มีคนมากมายเคยสวดมนต์
แต่จำนวนน้อยเท่านั้น…ที่รู้จัก
“สวดแล้วจิตเป็นบุญจริงๆ”
ส่วนใหญ่สวดไปตามหนังสือ
บางทีก็สวดเพราะถูกบอกให้สวด
บางทีก็สวดเพราะอยากขอสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
แต่สุดท้าย…ก็รู้สึกว่า
> “ทำไมมันน่าเบื่อ?”
“ทำไมจิตไม่สงบ?”
“ทำไมไม่รู้สึกถึงอะไรเลย?”
---
คำตอบคือ เพราะเราสวดด้วยความคาดหวัง ไม่ใช่ด้วยความถวายใจ
ถ้าคุณเคยสวดมนต์ด้วยใจที่อยาก “ขอ”
ก็เท่ากับว่าคุณเอาความทุกข์ไปใส่มือพระ
แต่ไม่ได้ใส่ “ความสุข” ลงในถ้อยคำที่เปล่งออกไป
แท้จริงแล้ว
> การสวดมนต์ที่ดีที่สุด
ไม่ใช่การเปล่งเสียงด้วยความหวัง
แต่คือการถวายเสียงด้วยความรัก
---
เสียงสวดของคุณ…คือดอกไม้ในใจที่วางไว้เบื้องหน้าองค์พระ
ไม่ต้องขอพร ไม่ต้องภาวนาให้ได้อะไร
แค่คิดว่า
> “ขอถวายเสียงนี้เพื่อบูชาท่าน
ด้วยจิตที่แค่อยากสรรเสริญความดีงามของพระองค์”
แค่นั้นเอง…จิตจะเบา
จิตจะเป็นอิสระ
และคุณจะเริ่มรู้สึกถึงสิ่งที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนว่า
> “นี่แหละ…คือความสุขที่เกิดจากจิตเป็นมหากุศล”
---
ในทางวิทยาศาสตร์…ก็ไม่ต่างกัน
การสวดมนต์อย่างสม่ำเสมอ
โดยเฉพาะแบบที่มีเสียงเปล่งจากใจจริง
จะทำให้สมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับความเครียด
ลดการทำงานลงภายในไม่กี่นาที
ร่างกายจะเข้าสู่โหมดผ่อนคลาย
จิตใจจะสงบเหมือนได้รับการปลอบโยน
จากถ้อยคำที่ตนเองเป็นผู้เปล่งออก
---
ถ้าฟุ้งซ่าน…ไม่ต้องด่าใจตัวเอง
ฟุ้งแค่ไหน ก็แค่รู้
รู้แล้ว…ก็แค่กลับมาตั้งใจสวดอีกครั้ง
รอบแรกฟุ้งเยอะ รอบสองฟุ้งน้อย
รอบสามเริ่มนิ่งขึ้น
สวดไปเรื่อยๆ เหมือนเดินใจเข้าวัดทีละก้าว
---
บทสรุปของการสวดมนต์แบบพุทธแท้
> สวดมนต์ให้ได้ผล ไม่ใช่สวดด้วยความหวัง
แต่คือสวดด้วยความสุข…ในจิตที่อยากถวาย
เมื่อจิตถวายความสว่างด้วยเสียง
จิตก็ได้รับความสว่างเป็นของตอบแทน
---
มีคนมากมายเคยสวดมนต์
แต่จำนวนน้อยเท่านั้น…ที่รู้จัก
“สวดแล้วจิตเป็นบุญจริงๆ”
ส่วนใหญ่สวดไปตามหนังสือ
บางทีก็สวดเพราะถูกบอกให้สวด
บางทีก็สวดเพราะอยากขอสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
แต่สุดท้าย…ก็รู้สึกว่า
> “ทำไมมันน่าเบื่อ?”
“ทำไมจิตไม่สงบ?”
“ทำไมไม่รู้สึกถึงอะไรเลย?”
---
คำตอบคือ เพราะเราสวดด้วยความคาดหวัง ไม่ใช่ด้วยความถวายใจ
ถ้าคุณเคยสวดมนต์ด้วยใจที่อยาก “ขอ”
ก็เท่ากับว่าคุณเอาความทุกข์ไปใส่มือพระ
แต่ไม่ได้ใส่ “ความสุข” ลงในถ้อยคำที่เปล่งออกไป
แท้จริงแล้ว
> การสวดมนต์ที่ดีที่สุด
ไม่ใช่การเปล่งเสียงด้วยความหวัง
แต่คือการถวายเสียงด้วยความรัก
---
เสียงสวดของคุณ…คือดอกไม้ในใจที่วางไว้เบื้องหน้าองค์พระ
ไม่ต้องขอพร ไม่ต้องภาวนาให้ได้อะไร
แค่คิดว่า
> “ขอถวายเสียงนี้เพื่อบูชาท่าน
ด้วยจิตที่แค่อยากสรรเสริญความดีงามของพระองค์”
แค่นั้นเอง…จิตจะเบา
จิตจะเป็นอิสระ
และคุณจะเริ่มรู้สึกถึงสิ่งที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนว่า
> “นี่แหละ…คือความสุขที่เกิดจากจิตเป็นมหากุศล”
---
ในทางวิทยาศาสตร์…ก็ไม่ต่างกัน
การสวดมนต์อย่างสม่ำเสมอ
โดยเฉพาะแบบที่มีเสียงเปล่งจากใจจริง
จะทำให้สมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับความเครียด
ลดการทำงานลงภายในไม่กี่นาที
ร่างกายจะเข้าสู่โหมดผ่อนคลาย
จิตใจจะสงบเหมือนได้รับการปลอบโยน
จากถ้อยคำที่ตนเองเป็นผู้เปล่งออก
---
ถ้าฟุ้งซ่าน…ไม่ต้องด่าใจตัวเอง
ฟุ้งแค่ไหน ก็แค่รู้
รู้แล้ว…ก็แค่กลับมาตั้งใจสวดอีกครั้ง
รอบแรกฟุ้งเยอะ รอบสองฟุ้งน้อย
รอบสามเริ่มนิ่งขึ้น
สวดไปเรื่อยๆ เหมือนเดินใจเข้าวัดทีละก้าว
---
บทสรุปของการสวดมนต์แบบพุทธแท้
> สวดมนต์ให้ได้ผล ไม่ใช่สวดด้วยความหวัง
แต่คือสวดด้วยความสุข…ในจิตที่อยากถวาย
เมื่อจิตถวายความสว่างด้วยเสียง
จิตก็ได้รับความสว่างเป็นของตอบแทน
---
“สวดมนต์ไม่ใช่เรื่องน่าเบื่อ…ถ้าสวดด้วยใจถวาย ไม่ใช่ด้วยใจขอ”
มีคนมากมายเคยสวดมนต์
แต่จำนวนน้อยเท่านั้น…ที่รู้จัก
“สวดแล้วจิตเป็นบุญจริงๆ”
ส่วนใหญ่สวดไปตามหนังสือ
บางทีก็สวดเพราะถูกบอกให้สวด
บางทีก็สวดเพราะอยากขอสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
แต่สุดท้าย…ก็รู้สึกว่า
> “ทำไมมันน่าเบื่อ?”
“ทำไมจิตไม่สงบ?”
“ทำไมไม่รู้สึกถึงอะไรเลย?”
---
คำตอบคือ เพราะเราสวดด้วยความคาดหวัง ไม่ใช่ด้วยความถวายใจ
ถ้าคุณเคยสวดมนต์ด้วยใจที่อยาก “ขอ”
ก็เท่ากับว่าคุณเอาความทุกข์ไปใส่มือพระ
แต่ไม่ได้ใส่ “ความสุข” ลงในถ้อยคำที่เปล่งออกไป
แท้จริงแล้ว
> การสวดมนต์ที่ดีที่สุด
ไม่ใช่การเปล่งเสียงด้วยความหวัง
แต่คือการถวายเสียงด้วยความรัก
---
เสียงสวดของคุณ…คือดอกไม้ในใจที่วางไว้เบื้องหน้าองค์พระ
ไม่ต้องขอพร ไม่ต้องภาวนาให้ได้อะไร
แค่คิดว่า
> “ขอถวายเสียงนี้เพื่อบูชาท่าน
ด้วยจิตที่แค่อยากสรรเสริญความดีงามของพระองค์”
แค่นั้นเอง…จิตจะเบา
จิตจะเป็นอิสระ
และคุณจะเริ่มรู้สึกถึงสิ่งที่ไม่เคยสัมผัสมาก่อนว่า
> “นี่แหละ…คือความสุขที่เกิดจากจิตเป็นมหากุศล”
---
ในทางวิทยาศาสตร์…ก็ไม่ต่างกัน
การสวดมนต์อย่างสม่ำเสมอ
โดยเฉพาะแบบที่มีเสียงเปล่งจากใจจริง
จะทำให้สมองส่วนที่เกี่ยวข้องกับความเครียด
ลดการทำงานลงภายในไม่กี่นาที
ร่างกายจะเข้าสู่โหมดผ่อนคลาย
จิตใจจะสงบเหมือนได้รับการปลอบโยน
จากถ้อยคำที่ตนเองเป็นผู้เปล่งออก
---
ถ้าฟุ้งซ่าน…ไม่ต้องด่าใจตัวเอง
ฟุ้งแค่ไหน ก็แค่รู้
รู้แล้ว…ก็แค่กลับมาตั้งใจสวดอีกครั้ง
รอบแรกฟุ้งเยอะ รอบสองฟุ้งน้อย
รอบสามเริ่มนิ่งขึ้น
สวดไปเรื่อยๆ เหมือนเดินใจเข้าวัดทีละก้าว
---
บทสรุปของการสวดมนต์แบบพุทธแท้
> สวดมนต์ให้ได้ผล ไม่ใช่สวดด้วยความหวัง
แต่คือสวดด้วยความสุข…ในจิตที่อยากถวาย
เมื่อจิตถวายความสว่างด้วยเสียง
จิตก็ได้รับความสว่างเป็นของตอบแทน
---
0 Comments
0 Shares
25 Views
0 Reviews