“ความอยากรู้ว่า ถ้าไม่ใช่เรา แล้วคืออะไร?”
---
1. จุดที่ติดคือ "อยากรู้ว่าเราคือใคร"
ความอยากรู้นี้ไม่ใช่ปัญหาในตัวเอง
แต่ “อุปาทานในความอยากรู้” นั่นเอง ที่เป็นพันธนาการ
---
2. พระพุทธเจ้าสอนให้รู้ว่า...
ไม่มีสิ่งใดเป็นตัวเรา ตัวเรามีแต่ในความคิด
“ตัวเรา” เป็นเพียง ภาพหลอนทางอุปาทาน ที่เกิดขึ้นตาม เหตุปัจจัย
เราไม่ได้หายใจ — แต่ กายหายใจ
เราไม่ได้โกรธ — แต่ จิตแสดงอาการโทสะ
เราไม่ได้ทุกข์ — แต่ ขันธ์แสดงอาการรับรู้เวทนา
---
3. วิธีพิจารณาโดยแยบคาย (โยนิโสมนสิการ)
ทุกสิ่งเกิดขึ้น ดับไป ไม่อยู่คง — แม้แต่ความสงสัยก็เช่นกัน
ความคิด "เราคือใคร" ก็ไม่ใช่ตัวตน เป็นเพียง ความคิดดวงหนึ่ง
ทุกขณะของการยึดถือ คือขณะของอุปาทาน
อุปาทานเปลี่ยนแปลงได้ เห็นแล้วคลาย เห็นแล้วปล่อย
---
4. วิธีเจริญสติผ่านความสงสัย
ไม่ต้องห้ามสงสัย แต่ให้ “รู้ทันความสงสัย”
เมื่อรู้ทัน ก็เห็นว่า ความสงสัยเป็นเพียงอาการหนึ่งของจิต
ความสงสัยเองก็ไม่ใช่ตัวตน
> "สงสัยก็รู้ว่าสงสัย ไม่ใช่เราเป็นคนสงสัย"
---
5. บทสรุปของการเห็นอนัตตา
> ไม่มี "เราผู้หลุดพ้น"
มีแต่ "ธรรมชาติที่พ้นจากความยึดมั่นว่ามีเรา"
มีแต่จิตที่ปลอดจากอุปาทานชั่วขณะ
และนั่นคือจุดที่ "จิตรู้อนัตตา" โดยไม่มีใครเป็นผู้รู้
---
1. จุดที่ติดคือ "อยากรู้ว่าเราคือใคร"
ความอยากรู้นี้ไม่ใช่ปัญหาในตัวเอง
แต่ “อุปาทานในความอยากรู้” นั่นเอง ที่เป็นพันธนาการ
---
2. พระพุทธเจ้าสอนให้รู้ว่า...
ไม่มีสิ่งใดเป็นตัวเรา ตัวเรามีแต่ในความคิด
“ตัวเรา” เป็นเพียง ภาพหลอนทางอุปาทาน ที่เกิดขึ้นตาม เหตุปัจจัย
เราไม่ได้หายใจ — แต่ กายหายใจ
เราไม่ได้โกรธ — แต่ จิตแสดงอาการโทสะ
เราไม่ได้ทุกข์ — แต่ ขันธ์แสดงอาการรับรู้เวทนา
---
3. วิธีพิจารณาโดยแยบคาย (โยนิโสมนสิการ)
ทุกสิ่งเกิดขึ้น ดับไป ไม่อยู่คง — แม้แต่ความสงสัยก็เช่นกัน
ความคิด "เราคือใคร" ก็ไม่ใช่ตัวตน เป็นเพียง ความคิดดวงหนึ่ง
ทุกขณะของการยึดถือ คือขณะของอุปาทาน
อุปาทานเปลี่ยนแปลงได้ เห็นแล้วคลาย เห็นแล้วปล่อย
---
4. วิธีเจริญสติผ่านความสงสัย
ไม่ต้องห้ามสงสัย แต่ให้ “รู้ทันความสงสัย”
เมื่อรู้ทัน ก็เห็นว่า ความสงสัยเป็นเพียงอาการหนึ่งของจิต
ความสงสัยเองก็ไม่ใช่ตัวตน
> "สงสัยก็รู้ว่าสงสัย ไม่ใช่เราเป็นคนสงสัย"
---
5. บทสรุปของการเห็นอนัตตา
> ไม่มี "เราผู้หลุดพ้น"
มีแต่ "ธรรมชาติที่พ้นจากความยึดมั่นว่ามีเรา"
มีแต่จิตที่ปลอดจากอุปาทานชั่วขณะ
และนั่นคือจุดที่ "จิตรู้อนัตตา" โดยไม่มีใครเป็นผู้รู้
“ความอยากรู้ว่า ถ้าไม่ใช่เรา แล้วคืออะไร?”
---
1. จุดที่ติดคือ "อยากรู้ว่าเราคือใคร"
ความอยากรู้นี้ไม่ใช่ปัญหาในตัวเอง
แต่ “อุปาทานในความอยากรู้” นั่นเอง ที่เป็นพันธนาการ
---
2. พระพุทธเจ้าสอนให้รู้ว่า...
ไม่มีสิ่งใดเป็นตัวเรา ตัวเรามีแต่ในความคิด
“ตัวเรา” เป็นเพียง ภาพหลอนทางอุปาทาน ที่เกิดขึ้นตาม เหตุปัจจัย
เราไม่ได้หายใจ — แต่ กายหายใจ
เราไม่ได้โกรธ — แต่ จิตแสดงอาการโทสะ
เราไม่ได้ทุกข์ — แต่ ขันธ์แสดงอาการรับรู้เวทนา
---
3. วิธีพิจารณาโดยแยบคาย (โยนิโสมนสิการ)
ทุกสิ่งเกิดขึ้น ดับไป ไม่อยู่คง — แม้แต่ความสงสัยก็เช่นกัน
ความคิด "เราคือใคร" ก็ไม่ใช่ตัวตน เป็นเพียง ความคิดดวงหนึ่ง
ทุกขณะของการยึดถือ คือขณะของอุปาทาน
อุปาทานเปลี่ยนแปลงได้ เห็นแล้วคลาย เห็นแล้วปล่อย
---
4. วิธีเจริญสติผ่านความสงสัย
ไม่ต้องห้ามสงสัย แต่ให้ “รู้ทันความสงสัย”
เมื่อรู้ทัน ก็เห็นว่า ความสงสัยเป็นเพียงอาการหนึ่งของจิต
ความสงสัยเองก็ไม่ใช่ตัวตน
> "สงสัยก็รู้ว่าสงสัย ไม่ใช่เราเป็นคนสงสัย"
---
5. บทสรุปของการเห็นอนัตตา
> ไม่มี "เราผู้หลุดพ้น"
มีแต่ "ธรรมชาติที่พ้นจากความยึดมั่นว่ามีเรา"
มีแต่จิตที่ปลอดจากอุปาทานชั่วขณะ
และนั่นคือจุดที่ "จิตรู้อนัตตา" โดยไม่มีใครเป็นผู้รู้
0 Comments
0 Shares
27 Views
0 Reviews