ความหมายของ "หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไป แต่บางสิ่งบางอย่างไม่เคยเปลี่ยน"
ในชีวิตนี้ คนเราย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาและสถานการณ์ต่างๆที่เปลี่ยนแปลงไปด้วยกันทุกคน ไม่เว้นแม้กระทั่งสิ่งต่างๆรอบตัวเรา ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นรูปธรรมนั้นย่อมมีการเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลาเสมอ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นนามธรรมนั้นจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปเลย ยกตัวอย่างเช่น สัจธรรมความรู้ต่างๆที่ได้รับการยอมรับจากองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมความรู้ต่างๆ กฎเกณฑ์ต่างๆของธรรมชาติ เช่น ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก และตกทางทิศตะวันตก เป็นต้น
แต่ที่ผมตั้งใจจะบอกทุกคนนั้นก็คือ จิตใจ,จิตวิญญาณ,เจตจำนง และอุดมการณ์ของคนเราบางคน และหรือหลายคนที่ไม่มีวันผันแปรหรือเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลานั่นเอง
น้อยคนนักที่จะเป็นคนเดิม เป็นตัวตนเดิม หรือคงความเป็นตัวตนของตัวเองให้เหมือนเดิมอยู่ได้ตลอดเวลา เพราะเค้าคนนั้น หรือพวกเค้าเหล่านั้นจะต้องพบเจอกับอุปสรรคขวากหนามต่างๆนาๆที่ได้รับมาจากเบื้องบนเพื่อเป็นการทดสอบที่แสนสาหัส เพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่าพวกเค้าเหล่านั้นมีความตั้งใจจริงที่จะกระทำความดี คงความดีของตนเองไว้อย่างเสมอต้นเสมอปลายได้เป็นอย่างดีนั่นเอง แต่ผลตอบแทนที่พวกเค้าเหล่านั้นได้รับมาหลังจากที่พวกเค้าได้ตายไปนั้น มันคุ้มค่าคู่ควรแก่การเป็นคนดีอย่างแท้จริง คนดีเมื่อเคยได้กระทำความดีให้เห็นเป็นที่ประจักษ์แก่ทุกคนแล้วนั้น พวกเค้าเหล่านั้นย่อมจะตายอย่างเป็นสุข และของแถมของพวกเค้าก็คือการได้รับการยกย่องนับถือแก่วงศ์ตระกูลชั่วลูกชั่วหลานนั่นเอง
คนชั่วคนเลวส่วนใหญ่มักจะหวังผลประโยชน์ตอบแทนในสิ่งที่ไม่จีรังยั่งยืนแบบไม่คงทนถาวรแล้ว ยังสร้างความเดือดร้อนให้กับคนดีที่พยายามจะกระทำความดีอีกด้วย เพราะไปขัดแข้งขัดขาคนชั่วคนเลวพวกนั้น นั่นก็คืออุปสรรคขวากหนามที่คนดีจะต้องพบเจออยู่เสมอๆนั่นเอง
น้อยคนนักที่จะเป็นคนดีได้อย่างยั่งยืน และส่วนมากนั้นก็จะล้มเหลวและพบจุดจบที่น่าเศร้า
ในความเห็นส่วนตัวของผมนั้น ผมคิดว่า การที่พันธมิตรฯลุกขึ้นมาต่อต้านคนชั่วที่ทำร้ายทำลายบ้านเมืองนั้น เป็นเรื่องที่ถูกต้อง และการที่พวกนปช.คิดที่จะล้มล้างสถาบันและทำลายบ้านเมืองนั้น เป็นเรื่องทีไม่น่าให้อภัย และคนอีกจำนวนไม่น้อยที่ไม่คิดที่จะเข้าข้างใคร และไม่คิดที่จะทำอะไรเลย เอาแต่กล่าวหาว่าผู้อื่นทำไม่ดี และตัวเองเดือดร้อนจึงได้แต่ด่าว่าคนอื่นอยู่ร่ำไป
ผมว่าบ้านเมืองที่ลุกเป็นไฟก็เพราะคนเราเห็นแก่ตัวกัน เห็นแก่ผลประโยชน์กัน ขัดแย้งผลประโยชน์กัน และอีกหลายเรื่องมากมายต่างๆนาๆ การที่คนเราไม่รักกัน ไม่สามัคคีกัน มันทำให้ทุกคนเจ็บปวด แต่จะทำไงได้ ในเมื่อสังคมเดี๋ยวนี้มันมีแต่ความเสื่อมทรามลงทุกวันๆ เพราะคนเราขาดคุณธรรม,ศีลธรรม,จริยธรรม,จรรยาบรรณ และคุณงามความดีกันนั่นเอง เพราะเห็นว่ามันเป็นเรื่องที่ล้าหลังล้าสมัยกันนั่นเอง
สุดท้ายแล้วโลกจะเป็นอย่างไรก็ไม่สนใจ และท้ายที่สุดแล้ววันนั้นมันก็จะมาถึง "วันแห่งการพิพากษา" ของโลกใบนี้ และตอนนี้มันก็เริ่มกระบวนการของมันอยู่แล้ว ก็คือภัยธรรมชาติของธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกนั่นเอง
ผมอยากรู้จริงๆว่ามันจะเป็นอย่างไรต่อไปกันนะ และถึงที่สุดแล้วคนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือใครกัน ผมว่าคงไม่ใช่คนที่มีอำนาจยิ่งใหญ่ในรัฐบาลอัปปรีย์สิทธิ์ หรือ รัฐบาลยิ่งอัปลักษณ์อย่างแน่นอน เพราะคนที่ยิ่งใหญ่ที่แท้จริงนั้นก็คือเหล่าพุทธะหรือผู้รู้แจ้งโลกแจ้งจักรวาลอย่างผู้นำทุกศาสนาที่เฝ้าสั่งสอนเราให้เป็นคนดีนั่นเอง
ความหมายของ "หลายสิ่งหลายอย่างเปลี่ยนแปลงไป แต่บางสิ่งบางอย่างไม่เคยเปลี่ยน" ในชีวิตนี้ คนเราย่อมเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลาและสถานการณ์ต่างๆที่เปลี่ยนแปลงไปด้วยกันทุกคน ไม่เว้นแม้กระทั่งสิ่งต่างๆรอบตัวเรา ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นรูปธรรมนั้นย่อมมีการเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลาเสมอ แต่ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นนามธรรมนั้นจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงไปเลย ยกตัวอย่างเช่น สัจธรรมความรู้ต่างๆที่ได้รับการยอมรับจากองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ธรรมความรู้ต่างๆ กฎเกณฑ์ต่างๆของธรรมชาติ เช่น ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก และตกทางทิศตะวันตก เป็นต้น แต่ที่ผมตั้งใจจะบอกทุกคนนั้นก็คือ จิตใจ,จิตวิญญาณ,เจตจำนง และอุดมการณ์ของคนเราบางคน และหรือหลายคนที่ไม่มีวันผันแปรหรือเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลานั่นเอง น้อยคนนักที่จะเป็นคนเดิม เป็นตัวตนเดิม หรือคงความเป็นตัวตนของตัวเองให้เหมือนเดิมอยู่ได้ตลอดเวลา เพราะเค้าคนนั้น หรือพวกเค้าเหล่านั้นจะต้องพบเจอกับอุปสรรคขวากหนามต่างๆนาๆที่ได้รับมาจากเบื้องบนเพื่อเป็นการทดสอบที่แสนสาหัส เพื่อที่จะแสดงให้เห็นว่าพวกเค้าเหล่านั้นมีความตั้งใจจริงที่จะกระทำความดี คงความดีของตนเองไว้อย่างเสมอต้นเสมอปลายได้เป็นอย่างดีนั่นเอง แต่ผลตอบแทนที่พวกเค้าเหล่านั้นได้รับมาหลังจากที่พวกเค้าได้ตายไปนั้น มันคุ้มค่าคู่ควรแก่การเป็นคนดีอย่างแท้จริง คนดีเมื่อเคยได้กระทำความดีให้เห็นเป็นที่ประจักษ์แก่ทุกคนแล้วนั้น พวกเค้าเหล่านั้นย่อมจะตายอย่างเป็นสุข และของแถมของพวกเค้าก็คือการได้รับการยกย่องนับถือแก่วงศ์ตระกูลชั่วลูกชั่วหลานนั่นเอง คนชั่วคนเลวส่วนใหญ่มักจะหวังผลประโยชน์ตอบแทนในสิ่งที่ไม่จีรังยั่งยืนแบบไม่คงทนถาวรแล้ว ยังสร้างความเดือดร้อนให้กับคนดีที่พยายามจะกระทำความดีอีกด้วย เพราะไปขัดแข้งขัดขาคนชั่วคนเลวพวกนั้น นั่นก็คืออุปสรรคขวากหนามที่คนดีจะต้องพบเจออยู่เสมอๆนั่นเอง น้อยคนนักที่จะเป็นคนดีได้อย่างยั่งยืน และส่วนมากนั้นก็จะล้มเหลวและพบจุดจบที่น่าเศร้า ในความเห็นส่วนตัวของผมนั้น ผมคิดว่า การที่พันธมิตรฯลุกขึ้นมาต่อต้านคนชั่วที่ทำร้ายทำลายบ้านเมืองนั้น เป็นเรื่องที่ถูกต้อง และการที่พวกนปช.คิดที่จะล้มล้างสถาบันและทำลายบ้านเมืองนั้น เป็นเรื่องทีไม่น่าให้อภัย และคนอีกจำนวนไม่น้อยที่ไม่คิดที่จะเข้าข้างใคร และไม่คิดที่จะทำอะไรเลย เอาแต่กล่าวหาว่าผู้อื่นทำไม่ดี และตัวเองเดือดร้อนจึงได้แต่ด่าว่าคนอื่นอยู่ร่ำไป ผมว่าบ้านเมืองที่ลุกเป็นไฟก็เพราะคนเราเห็นแก่ตัวกัน เห็นแก่ผลประโยชน์กัน ขัดแย้งผลประโยชน์กัน และอีกหลายเรื่องมากมายต่างๆนาๆ การที่คนเราไม่รักกัน ไม่สามัคคีกัน มันทำให้ทุกคนเจ็บปวด แต่จะทำไงได้ ในเมื่อสังคมเดี๋ยวนี้มันมีแต่ความเสื่อมทรามลงทุกวันๆ เพราะคนเราขาดคุณธรรม,ศีลธรรม,จริยธรรม,จรรยาบรรณ และคุณงามความดีกันนั่นเอง เพราะเห็นว่ามันเป็นเรื่องที่ล้าหลังล้าสมัยกันนั่นเอง สุดท้ายแล้วโลกจะเป็นอย่างไรก็ไม่สนใจ และท้ายที่สุดแล้ววันนั้นมันก็จะมาถึง "วันแห่งการพิพากษา" ของโลกใบนี้ และตอนนี้มันก็เริ่มกระบวนการของมันอยู่แล้ว ก็คือภัยธรรมชาติของธรรมชาติที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกนั่นเอง ผมอยากรู้จริงๆว่ามันจะเป็นอย่างไรต่อไปกันนะ และถึงที่สุดแล้วคนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคือใครกัน ผมว่าคงไม่ใช่คนที่มีอำนาจยิ่งใหญ่ในรัฐบาลอัปปรีย์สิทธิ์ หรือ รัฐบาลยิ่งอัปลักษณ์อย่างแน่นอน เพราะคนที่ยิ่งใหญ่ที่แท้จริงนั้นก็คือเหล่าพุทธะหรือผู้รู้แจ้งโลกแจ้งจักรวาลอย่างผู้นำทุกศาสนาที่เฝ้าสั่งสอนเราให้เป็นคนดีนั่นเอง
0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 114 มุมมอง 0 รีวิว