การยึดมั่นถือมั่นในอารมณ์ที่ขวางทางปฏิบัติ
อารมณ์ที่ขัดขวางความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม
คือ อารมณ์ที่ฝักฝ่ายของ ราคะ (ความโลภ), โทสะ (ความโกรธ), และโมหะ (ความหลง)
เพราะอารมณ์เหล่านี้ทำให้จิตติดอยู่ในวงจรแห่งความยึดมั่น ถือมั่น
ก่อให้เกิดอาการ "ไม่อยากปล่อย" หรือ "เร่าร้อนกระวนกระวาย"
---
ทำไมราคะ โทสะ โมหะ ขวางการปฏิบัติ?
1. ราคะ: ความยึดติดในความพึงพอใจ เช่น ความสุขจากสิ่งที่ชอบ
ทำให้จิตไม่สงบ มัวหลงอยู่ในอารมณ์ชื่นชมและยึดไว้
ขวางไม่ให้เห็นความไม่เที่ยงของสิ่งที่พึงใจ
2. โทสะ: ความขุ่นมัวจากสิ่งที่ไม่พอใจ
ทำให้จิตเร่าร้อน ฟุ้งซ่าน และยึดติดกับความอยากแก้แค้น
ขวางการฝึกสติและการเจริญเมตตา
3. โมหะ: ความไม่รู้ สำคัญผิด ยึดมั่นในตัวตน
ทำให้จิตไม่ปล่อยวาง ติดอยู่ในความหลง เช่น "ฉันถูก" หรือ "เขาผิด"
ขวางการเข้าใจธรรมชาติของกายและใจ
---
การหลุดพ้นจากการยึดมั่นในอารมณ์
1. "ไม่เข้าข้างอารมณ์ฝ่ายอกุศล"
ฝึกให้รู้ว่า ราคะ โทสะ โมหะ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วดับไป
ไม่ตามใจอารมณ์ เช่น การเอาชนะโทสะด้วยเมตตา หรือข่มราคะด้วยสติ
2. "เอาใจออกห่าง"
เมื่ออารมณ์เกิดขึ้น ให้ดูเฉยๆ เห็นมันเป็นเพียงสิ่งที่เกิดและดับ
ตั้งจิตว่าแม้อารมณ์เหล่านี้จะเกิด ก็จะใช้มันเป็นเครื่องฝึกจิต
3. "ฝึกดูความไม่เที่ยง"
เห็นว่าอารมณ์ใดๆ ล้วนไม่เที่ยง เช่น ความโลภที่เคยรุนแรงก็จางไป
ฝึกให้จิตปล่อยวาง โดยสังเกตความผันแปรของอารมณ์
4. "ใช้สติเป็นเครื่องมือ"
สติช่วยให้เห็นอารมณ์ชัดเจนว่า ไม่ใช่ตัวเรา
เมื่อมีสติ อารมณ์จะอ่อนกำลังลง ไม่สามารถครอบงำจิตได้
---
สรุป
หากเรายึดมั่นใน ราคะ โทสะ โมหะ จิตจะติดอยู่ในวงจรของความทุกข์
แต่หากเราฝึก "ไม่เข้าข้าง" และ "เอาใจออกห่าง" จากอารมณ์เหล่านี้
พร้อมทั้งมองเห็นความไม่เที่ยงและใช้สติควบคุม
จิตจะค่อยๆ หลุดพ้นจากพันธนาการ
และการปฏิบัติธรรมจะก้าวหน้าไปได้อย่างมั่นคงครับ!
อารมณ์ที่ขัดขวางความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม
คือ อารมณ์ที่ฝักฝ่ายของ ราคะ (ความโลภ), โทสะ (ความโกรธ), และโมหะ (ความหลง)
เพราะอารมณ์เหล่านี้ทำให้จิตติดอยู่ในวงจรแห่งความยึดมั่น ถือมั่น
ก่อให้เกิดอาการ "ไม่อยากปล่อย" หรือ "เร่าร้อนกระวนกระวาย"
---
ทำไมราคะ โทสะ โมหะ ขวางการปฏิบัติ?
1. ราคะ: ความยึดติดในความพึงพอใจ เช่น ความสุขจากสิ่งที่ชอบ
ทำให้จิตไม่สงบ มัวหลงอยู่ในอารมณ์ชื่นชมและยึดไว้
ขวางไม่ให้เห็นความไม่เที่ยงของสิ่งที่พึงใจ
2. โทสะ: ความขุ่นมัวจากสิ่งที่ไม่พอใจ
ทำให้จิตเร่าร้อน ฟุ้งซ่าน และยึดติดกับความอยากแก้แค้น
ขวางการฝึกสติและการเจริญเมตตา
3. โมหะ: ความไม่รู้ สำคัญผิด ยึดมั่นในตัวตน
ทำให้จิตไม่ปล่อยวาง ติดอยู่ในความหลง เช่น "ฉันถูก" หรือ "เขาผิด"
ขวางการเข้าใจธรรมชาติของกายและใจ
---
การหลุดพ้นจากการยึดมั่นในอารมณ์
1. "ไม่เข้าข้างอารมณ์ฝ่ายอกุศล"
ฝึกให้รู้ว่า ราคะ โทสะ โมหะ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วดับไป
ไม่ตามใจอารมณ์ เช่น การเอาชนะโทสะด้วยเมตตา หรือข่มราคะด้วยสติ
2. "เอาใจออกห่าง"
เมื่ออารมณ์เกิดขึ้น ให้ดูเฉยๆ เห็นมันเป็นเพียงสิ่งที่เกิดและดับ
ตั้งจิตว่าแม้อารมณ์เหล่านี้จะเกิด ก็จะใช้มันเป็นเครื่องฝึกจิต
3. "ฝึกดูความไม่เที่ยง"
เห็นว่าอารมณ์ใดๆ ล้วนไม่เที่ยง เช่น ความโลภที่เคยรุนแรงก็จางไป
ฝึกให้จิตปล่อยวาง โดยสังเกตความผันแปรของอารมณ์
4. "ใช้สติเป็นเครื่องมือ"
สติช่วยให้เห็นอารมณ์ชัดเจนว่า ไม่ใช่ตัวเรา
เมื่อมีสติ อารมณ์จะอ่อนกำลังลง ไม่สามารถครอบงำจิตได้
---
สรุป
หากเรายึดมั่นใน ราคะ โทสะ โมหะ จิตจะติดอยู่ในวงจรของความทุกข์
แต่หากเราฝึก "ไม่เข้าข้าง" และ "เอาใจออกห่าง" จากอารมณ์เหล่านี้
พร้อมทั้งมองเห็นความไม่เที่ยงและใช้สติควบคุม
จิตจะค่อยๆ หลุดพ้นจากพันธนาการ
และการปฏิบัติธรรมจะก้าวหน้าไปได้อย่างมั่นคงครับ!
การยึดมั่นถือมั่นในอารมณ์ที่ขวางทางปฏิบัติ
อารมณ์ที่ขัดขวางความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม
คือ อารมณ์ที่ฝักฝ่ายของ ราคะ (ความโลภ), โทสะ (ความโกรธ), และโมหะ (ความหลง)
เพราะอารมณ์เหล่านี้ทำให้จิตติดอยู่ในวงจรแห่งความยึดมั่น ถือมั่น
ก่อให้เกิดอาการ "ไม่อยากปล่อย" หรือ "เร่าร้อนกระวนกระวาย"
---
ทำไมราคะ โทสะ โมหะ ขวางการปฏิบัติ?
1. ราคะ: ความยึดติดในความพึงพอใจ เช่น ความสุขจากสิ่งที่ชอบ
ทำให้จิตไม่สงบ มัวหลงอยู่ในอารมณ์ชื่นชมและยึดไว้
ขวางไม่ให้เห็นความไม่เที่ยงของสิ่งที่พึงใจ
2. โทสะ: ความขุ่นมัวจากสิ่งที่ไม่พอใจ
ทำให้จิตเร่าร้อน ฟุ้งซ่าน และยึดติดกับความอยากแก้แค้น
ขวางการฝึกสติและการเจริญเมตตา
3. โมหะ: ความไม่รู้ สำคัญผิด ยึดมั่นในตัวตน
ทำให้จิตไม่ปล่อยวาง ติดอยู่ในความหลง เช่น "ฉันถูก" หรือ "เขาผิด"
ขวางการเข้าใจธรรมชาติของกายและใจ
---
การหลุดพ้นจากการยึดมั่นในอารมณ์
1. "ไม่เข้าข้างอารมณ์ฝ่ายอกุศล"
ฝึกให้รู้ว่า ราคะ โทสะ โมหะ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วดับไป
ไม่ตามใจอารมณ์ เช่น การเอาชนะโทสะด้วยเมตตา หรือข่มราคะด้วยสติ
2. "เอาใจออกห่าง"
เมื่ออารมณ์เกิดขึ้น ให้ดูเฉยๆ เห็นมันเป็นเพียงสิ่งที่เกิดและดับ
ตั้งจิตว่าแม้อารมณ์เหล่านี้จะเกิด ก็จะใช้มันเป็นเครื่องฝึกจิต
3. "ฝึกดูความไม่เที่ยง"
เห็นว่าอารมณ์ใดๆ ล้วนไม่เที่ยง เช่น ความโลภที่เคยรุนแรงก็จางไป
ฝึกให้จิตปล่อยวาง โดยสังเกตความผันแปรของอารมณ์
4. "ใช้สติเป็นเครื่องมือ"
สติช่วยให้เห็นอารมณ์ชัดเจนว่า ไม่ใช่ตัวเรา
เมื่อมีสติ อารมณ์จะอ่อนกำลังลง ไม่สามารถครอบงำจิตได้
---
สรุป
หากเรายึดมั่นใน ราคะ โทสะ โมหะ จิตจะติดอยู่ในวงจรของความทุกข์
แต่หากเราฝึก "ไม่เข้าข้าง" และ "เอาใจออกห่าง" จากอารมณ์เหล่านี้
พร้อมทั้งมองเห็นความไม่เที่ยงและใช้สติควบคุม
จิตจะค่อยๆ หลุดพ้นจากพันธนาการ
และการปฏิบัติธรรมจะก้าวหน้าไปได้อย่างมั่นคงครับ!