การที่คุณพิจารณาภาวะเกิด-ดับและรู้สึกถึงความกลัวในความหายไปนั้นเป็นเรื่องปกติและเป็นส่วนหนึ่งของการพิจารณาที่เข้าถึงเนื้อหาธรรม เมื่อเราพิจารณาตามความจริงอย่างถูกต้อง มักจะเจอกับความกลัวที่เกิดจากการตระหนักถึงความไม่แน่นอนและความไม่มีตัวตน

ในความกลัวมีอยู่สองแบบ:

1. กลัวความไม่มี (วิภวตัณหา): คือกลัวว่าตนเองจะหายไป ซึ่งเป็นความกลัวที่เกิดขึ้นจากความไม่รู้ เหมือนกลัวว่าหากสิ่งที่เป็น "เรา" จะดับสูญ ความคิดนี้เกิดจากการยึดติดในตัวตนที่เราคุ้นเคยว่าเป็นของแท้

2. กลัวความมี (กลัวความเป็น): ซึ่งเป็นการกลัวอย่างมีปัญญา คือการตระหนักรู้ว่ากายและใจนี้เป็นทุกข์โดยแท้จริง เกิดขึ้นแล้วต้องดับไปตามธรรมชาติ สิ่งนี้แสดงให้เห็นโทษของการเกิดขึ้นและการคงอยู่ที่เปลี่ยนไปตามกรรม

สิ่งที่ควรทำต่อคือฝึกจิตให้ตั้งมั่นและพิจารณาต่อไป เพื่อทำให้เห็นชัดขึ้นว่า "ตัวเรา" ที่แท้จริงนั้นไม่มีอยู่ตั้งแต่แรก ความกลัวจะหายไปเมื่อเห็นว่าทั้งหมดเป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นและดับไป ไม่ใช่ "ตัวเรา" อย่างแท้จริง

การทำจิตให้ตั้งมั่น มองภาวะเหล่านี้จากมุมมองที่สว่าง จะช่วยให้เห็นความลวงของตัวตนและคลายความกลัวได้

การที่คุณพิจารณาภาวะเกิด-ดับและรู้สึกถึงความกลัวในความหายไปนั้นเป็นเรื่องปกติและเป็นส่วนหนึ่งของการพิจารณาที่เข้าถึงเนื้อหาธรรม เมื่อเราพิจารณาตามความจริงอย่างถูกต้อง มักจะเจอกับความกลัวที่เกิดจากการตระหนักถึงความไม่แน่นอนและความไม่มีตัวตน ในความกลัวมีอยู่สองแบบ: 1. กลัวความไม่มี (วิภวตัณหา): คือกลัวว่าตนเองจะหายไป ซึ่งเป็นความกลัวที่เกิดขึ้นจากความไม่รู้ เหมือนกลัวว่าหากสิ่งที่เป็น "เรา" จะดับสูญ ความคิดนี้เกิดจากการยึดติดในตัวตนที่เราคุ้นเคยว่าเป็นของแท้ 2. กลัวความมี (กลัวความเป็น): ซึ่งเป็นการกลัวอย่างมีปัญญา คือการตระหนักรู้ว่ากายและใจนี้เป็นทุกข์โดยแท้จริง เกิดขึ้นแล้วต้องดับไปตามธรรมชาติ สิ่งนี้แสดงให้เห็นโทษของการเกิดขึ้นและการคงอยู่ที่เปลี่ยนไปตามกรรม สิ่งที่ควรทำต่อคือฝึกจิตให้ตั้งมั่นและพิจารณาต่อไป เพื่อทำให้เห็นชัดขึ้นว่า "ตัวเรา" ที่แท้จริงนั้นไม่มีอยู่ตั้งแต่แรก ความกลัวจะหายไปเมื่อเห็นว่าทั้งหมดเป็นเพียงสิ่งที่เกิดขึ้นและดับไป ไม่ใช่ "ตัวเรา" อย่างแท้จริง การทำจิตให้ตั้งมั่น มองภาวะเหล่านี้จากมุมมองที่สว่าง จะช่วยให้เห็นความลวงของตัวตนและคลายความกลัวได้
0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 38 มุมมอง 0 รีวิว