อัพเดทข่าวสารเกี่ยวกับโลกเทคโนโลยีและการเตือนภัย ที่มาจากเทคโนโลยีที่เราอาจจะยังรู้เท่าไม่ถึงการณ์เพื่อการป้องกันตัวและเฝ้าระวังภัยรวมถึงแบ่งปันความรู้แก่สังคมเพื่อสนับสนุนให้สังคมดีขึ้น
Recent Updates
- สำหรับข่าวเตือนภัยวันนี้ นายTexhTips ก็มีเรื่องราวที่หลายคนอาจจะคาดไม่ถึงมาเตือนอีกเเล้วครับ
มิจฉาชีพดันโฆษณาเว็บแฝงมัลแวร์ไว้บนสุดของผลการค้นหาใน Google
เว็บไซต์ BleepingComputer พบว่าแฮกเกอร์สร้างเว็บไซต์ปลอมที่แฝงมัลแวร์เอาไว้ขึ้นมา และจ่ายเงินโฆษณาผ่าน Google Ads ให้เว็บไซต์เหล่านี้ขึ้นไปอยู่ในผลการค้นหาแรก ๆ บนเสิร์ชเอนจินของ Google
เว็บไซต์เหล่านี้มักเอาการแจกซอฟต์แวร์ฟรีมาล่อลวงให้ผู้ใช้งานดาวน์โหลดมัลแวร์เข้าไปยังอุปกรณ์ของตัวเอง
หนึ่งในตัวอย่างสำคัญคือเว็บไซต์ปลอมที่อ้างว่าแจก Rufus เครื่องมือสร้างแฟลชไดรฟ์ฟรี โดยพบว่าแฮกเกอร์ได้จดทะเบียนโดเมนที่มีชื่อ URL คล้ายกับเว็บไซต์ของจริงมาก หน้าตาก็แทบจะถอดกันมาแบบเป๊ะ ๆ แต่มีการเพิ่มความน่าสนใจของซอฟต์แวร์ที่มีให้ดาวน์โหลดว่าเป็นตัวระดับสูงที่ใช้งานได้มากกว่าแบบปกติ แม้ว่าความจริงแล้ว Rufus จะมีไม่มีเวอร์ชันระดับสูงก็ตามที
หลังจากที่ผู้ใช้งานลองกดดาวน์โหลด Rufus แล้ว เว็บไซต์ปลอมจะพาไปยังบริการส่งไฟล์ ซึ่งเป็นวิธีที่จะเล็ดลอดการตรวจจับของเครื่องมือต้านไวรัส
อีกตัวอย่างของซอฟต์แวร์ที่แฮกเกอร์นำมาใช้หลอกคือ Noteppad++ ซอฟต์แวร์ปรับแต่งข้อความและซอร์สโค้ด ซึ่งก็ใช้วิธีเดียวกันคือสร้างโดเมนที่มีชื่อคล้ายกับเว็บไซต์ของจริง วิธีการนี้มีชื่อเรียกว่า Typosquatting
วิลล์ ดอร์แมนน์ (Will Dormann) นักวิจัยด้านไซเบอร์พบว่าตัว Notepad++ ปลอมเดียวกันนี้ถูกพบในหลาย URL ซึ่งทุกไฟล์ถูก Virus Total ตรวจพบว่าอันตรายทั้งสิ้น
จนถึงตอนนี้ ซอฟต์แวร์ปลอมที่ Bleeping Computer และเหล่าผู้เชี่ยวชาญพบบนเว็บไซต์ปลอมที่ดันผ่าน Google Ads ได้แก่ 7-Zip, Blender 3D, Capcut, CCleaner, Notepad++, OBS, Rufus, VirtualBox, VLC Media Player, WinRAR และ Putty
นี่อาจแสดงว่าเหล่าแฮกเกอร์เงินหนาพอที่จะชนะการประมูลพื้นที่โฆษณาเหนือนักพัฒนาตัวจริงจนทำให้โฆษณาของมิจฉาชีพเหล่านี้แซงขึ้นไปอยู่สูงสุด ตัวอย่างเช่นกรณีของเว็บไซต์ CCleaner ของจริงที่โดนเว็บปลอมที่แฝงมัลแวร์เบียดขึ้นไปอยู่ที่ 1 ของ Google Ads
เจอมัน เฟอร์นันเดซ (Germán Fernández) จากบริษัท CronUP เผยว่ามีโดเมนอย่างน้อย 70 โดเมนที่หลอกให้ดาวน์โหลดมัลแวร์ผ่านการโปรโมตบน Google Ads
นอกจากนี้ ดอร์แมนน์ยังพบว่าซอฟต์แวร์ปลอมเหล่านี้ยังมีการใส่ลายเซ็นด้านความมั่นคงปลอดภัยปลอมจากบริษัทด้านไซเบอร์ชื่อดังอย่าง Bitdefender ด้วย
BleepingComputer พบว่าซอฟต์แวร์ปลอมจากเว็บไซต์เลียนแบบเป็นอันตรายมาก หลายตัวแฝงมัลแวร์ขโมยข้อมูลอย่าง RedLine และ Vidar เอาไว้ บางตัวก็แฝงไว้ด้วยโทรจัน SectoRAT ที่เข้าควบคุมอุปกรณ์เหยื่อจากระยะไกล
สำนักงานสืบสวนกลางของสหรัฐฯ (FBI) ก็เคยออกมาเตือนเกี่ยวกับกรณีนี้ โดยระบุว่ามีโฆษณาที่ปรากฎในด้านบนสุดของผลการค้นหาบน Google ที่พยายามปลอมตัวเป็นเว็บไซต์ของบริษัทที่มีอยู่จริง
หนึ่งในคนที่ตกเป็นเหยื่อของขบวนการเว็บไซต์ปลอมคือ Alex อินฟลูเอนเซอร์ด้านคริปโทเคอร์เรนซีชื่อดังที่เผลอไปดาวน์โหลดไฟล์ Open Broadcaster Software (OBS) มาจากเว็บไซต์ปลอมที่ขึ้นอยู่ในรูปแบบโฆษณาของผลการค้นหาบน Google
แม้ว่าตอนแรกที่เปิดใช้งานไฟล์ EXE ที่ดาวน์โหลดมาจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่หลังจากนั้นไม่นาน บัญชี Twitter, Gmail, Substack และ Discord ก็ถูกแฮก รวมถึงเงินคริปโทฯ ที่อยู่ในครอบครองก็ถูกขโมยไปด้วย โดยเชื่อว่าเป็นเพราะไฟล์ที่ดาวน์โหลดมาแฝงมัลแวร์ขโมยข้อมูลเอาไว้
ทั้งนี้ BleepingComputer ได้ส่งผลการค้นพบบางส่วนให้ Google ซึ่งได้รับคำตอบว่าบริษัทมีนโยบายป้องกันการลอกเลียนแบบเครื่องหมายการค้าอยู่แล้ว ปกติยังได้มีการพิจารณาความถูกต้องของโฆษณาอยู่อย่างสม่ำเสมอด้วย
แต่ทางบริษัทก็จะไปตรวจสอบโฆษณาและเว็บไซต์ที่ละเมิดนโยบายของบริษัทเพิ่มอีก เพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยขณะนี้ได้ลบโฆษณาปลอมที่ BleepingComputer รายงานเข้าไปเรียบร้อยแล้ว
สุดท้ายนี้ นายTechTips ก็อยากจะขอเตือนให้ทุกท่านยังคงต้องตรวจสองลิ้งต์ทุกลิ้งค์
ที่จะทำการเข้าชมให้ดี ด้วยความระมัดระวังอย่างมากเลยนะครับ
เพราะว่าทุกวันนี้วงการพี่มิจก็เตอิบโตมากขึ้นและสรรหาวิธีใหม่ๆมาหลอกเอาเงินในกระเป๋าเราออกไปอยู่ตลอดเวลาครับ
วติคือเครื่องป้องกันปัญหาที่ดีที่สุด ครับผม
วันนี้นายTechTips ลาไปก่อนครับ ขอให้ทุกท่านปลดภัยไม่โดนหลอกครับ
สวัสดีครับ #TechTipsสำหรับข่าวเตือนภัยวันนี้ นายTexhTips ก็มีเรื่องราวที่หลายคนอาจจะคาดไม่ถึงมาเตือนอีกเเล้วครับ มิจฉาชีพดันโฆษณาเว็บแฝงมัลแวร์ไว้บนสุดของผลการค้นหาใน Google เว็บไซต์ BleepingComputer พบว่าแฮกเกอร์สร้างเว็บไซต์ปลอมที่แฝงมัลแวร์เอาไว้ขึ้นมา และจ่ายเงินโฆษณาผ่าน Google Ads ให้เว็บไซต์เหล่านี้ขึ้นไปอยู่ในผลการค้นหาแรก ๆ บนเสิร์ชเอนจินของ Google เว็บไซต์เหล่านี้มักเอาการแจกซอฟต์แวร์ฟรีมาล่อลวงให้ผู้ใช้งานดาวน์โหลดมัลแวร์เข้าไปยังอุปกรณ์ของตัวเอง หนึ่งในตัวอย่างสำคัญคือเว็บไซต์ปลอมที่อ้างว่าแจก Rufus เครื่องมือสร้างแฟลชไดรฟ์ฟรี โดยพบว่าแฮกเกอร์ได้จดทะเบียนโดเมนที่มีชื่อ URL คล้ายกับเว็บไซต์ของจริงมาก หน้าตาก็แทบจะถอดกันมาแบบเป๊ะ ๆ แต่มีการเพิ่มความน่าสนใจของซอฟต์แวร์ที่มีให้ดาวน์โหลดว่าเป็นตัวระดับสูงที่ใช้งานได้มากกว่าแบบปกติ แม้ว่าความจริงแล้ว Rufus จะมีไม่มีเวอร์ชันระดับสูงก็ตามที หลังจากที่ผู้ใช้งานลองกดดาวน์โหลด Rufus แล้ว เว็บไซต์ปลอมจะพาไปยังบริการส่งไฟล์ ซึ่งเป็นวิธีที่จะเล็ดลอดการตรวจจับของเครื่องมือต้านไวรัส อีกตัวอย่างของซอฟต์แวร์ที่แฮกเกอร์นำมาใช้หลอกคือ Noteppad++ ซอฟต์แวร์ปรับแต่งข้อความและซอร์สโค้ด ซึ่งก็ใช้วิธีเดียวกันคือสร้างโดเมนที่มีชื่อคล้ายกับเว็บไซต์ของจริง วิธีการนี้มีชื่อเรียกว่า Typosquatting วิลล์ ดอร์แมนน์ (Will Dormann) นักวิจัยด้านไซเบอร์พบว่าตัว Notepad++ ปลอมเดียวกันนี้ถูกพบในหลาย URL ซึ่งทุกไฟล์ถูก Virus Total ตรวจพบว่าอันตรายทั้งสิ้น จนถึงตอนนี้ ซอฟต์แวร์ปลอมที่ Bleeping Computer และเหล่าผู้เชี่ยวชาญพบบนเว็บไซต์ปลอมที่ดันผ่าน Google Ads ได้แก่ 7-Zip, Blender 3D, Capcut, CCleaner, Notepad++, OBS, Rufus, VirtualBox, VLC Media Player, WinRAR และ Putty นี่อาจแสดงว่าเหล่าแฮกเกอร์เงินหนาพอที่จะชนะการประมูลพื้นที่โฆษณาเหนือนักพัฒนาตัวจริงจนทำให้โฆษณาของมิจฉาชีพเหล่านี้แซงขึ้นไปอยู่สูงสุด ตัวอย่างเช่นกรณีของเว็บไซต์ CCleaner ของจริงที่โดนเว็บปลอมที่แฝงมัลแวร์เบียดขึ้นไปอยู่ที่ 1 ของ Google Ads เจอมัน เฟอร์นันเดซ (Germán Fernández) จากบริษัท CronUP เผยว่ามีโดเมนอย่างน้อย 70 โดเมนที่หลอกให้ดาวน์โหลดมัลแวร์ผ่านการโปรโมตบน Google Ads นอกจากนี้ ดอร์แมนน์ยังพบว่าซอฟต์แวร์ปลอมเหล่านี้ยังมีการใส่ลายเซ็นด้านความมั่นคงปลอดภัยปลอมจากบริษัทด้านไซเบอร์ชื่อดังอย่าง Bitdefender ด้วย BleepingComputer พบว่าซอฟต์แวร์ปลอมจากเว็บไซต์เลียนแบบเป็นอันตรายมาก หลายตัวแฝงมัลแวร์ขโมยข้อมูลอย่าง RedLine และ Vidar เอาไว้ บางตัวก็แฝงไว้ด้วยโทรจัน SectoRAT ที่เข้าควบคุมอุปกรณ์เหยื่อจากระยะไกล สำนักงานสืบสวนกลางของสหรัฐฯ (FBI) ก็เคยออกมาเตือนเกี่ยวกับกรณีนี้ โดยระบุว่ามีโฆษณาที่ปรากฎในด้านบนสุดของผลการค้นหาบน Google ที่พยายามปลอมตัวเป็นเว็บไซต์ของบริษัทที่มีอยู่จริง หนึ่งในคนที่ตกเป็นเหยื่อของขบวนการเว็บไซต์ปลอมคือ Alex อินฟลูเอนเซอร์ด้านคริปโทเคอร์เรนซีชื่อดังที่เผลอไปดาวน์โหลดไฟล์ Open Broadcaster Software (OBS) มาจากเว็บไซต์ปลอมที่ขึ้นอยู่ในรูปแบบโฆษณาของผลการค้นหาบน Google แม้ว่าตอนแรกที่เปิดใช้งานไฟล์ EXE ที่ดาวน์โหลดมาจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่หลังจากนั้นไม่นาน บัญชี Twitter, Gmail, Substack และ Discord ก็ถูกแฮก รวมถึงเงินคริปโทฯ ที่อยู่ในครอบครองก็ถูกขโมยไปด้วย โดยเชื่อว่าเป็นเพราะไฟล์ที่ดาวน์โหลดมาแฝงมัลแวร์ขโมยข้อมูลเอาไว้ ทั้งนี้ BleepingComputer ได้ส่งผลการค้นพบบางส่วนให้ Google ซึ่งได้รับคำตอบว่าบริษัทมีนโยบายป้องกันการลอกเลียนแบบเครื่องหมายการค้าอยู่แล้ว ปกติยังได้มีการพิจารณาความถูกต้องของโฆษณาอยู่อย่างสม่ำเสมอด้วย แต่ทางบริษัทก็จะไปตรวจสอบโฆษณาและเว็บไซต์ที่ละเมิดนโยบายของบริษัทเพิ่มอีก เพื่อดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยขณะนี้ได้ลบโฆษณาปลอมที่ BleepingComputer รายงานเข้าไปเรียบร้อยแล้ว สุดท้ายนี้ นายTechTips ก็อยากจะขอเตือนให้ทุกท่านยังคงต้องตรวจสองลิ้งต์ทุกลิ้งค์ ที่จะทำการเข้าชมให้ดี ด้วยความระมัดระวังอย่างมากเลยนะครับ เพราะว่าทุกวันนี้วงการพี่มิจก็เตอิบโตมากขึ้นและสรรหาวิธีใหม่ๆมาหลอกเอาเงินในกระเป๋าเราออกไปอยู่ตลอดเวลาครับ วติคือเครื่องป้องกันปัญหาที่ดีที่สุด ครับผม วันนี้นายTechTips ลาไปก่อนครับ ขอให้ทุกท่านปลดภัยไม่โดนหลอกครับ สวัสดีครับ #TechTipsPlease log in to like, share and comment! - สำหรับวันนี้ นายTechTips ก็มีข่าวสารวงการไอทีมานำเสนออีกเเล้วครับ
วันนี้อาจจะเป็นข่าวแปลกๆเกี่ยวกับการลงทุนใหม่ของมหาเศรษฐีไอทีบื่อดังที่สุดของโลกนี้ คุณ Bill Gates นั่นเอง
Bill Gates ลงทุนในสตาร์ตอัปพัฒนาอาหารวัวเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจาก ‘เรอวัว’
บิลล์ เกตส์ (Bill Gates) มหาเศรษฐีผู้ก่อตั้ง Microsoft ลงทุนใน Rumin8 สตาร์ตอัปสัญชาติออสเตรเลียที่มุ่งลดการปล่อยก๊าซมีเทนจากการเรอของวัว
Rumin8 ตั้งอยู่ในเมืองเพิร์ท เน้นการพัฒนาอาหารวัวทำจากสาหร่ายแดง ที่จะช่วยลดก๊าซมีเทน โดยได้เงินระดมทุนไปกว่า 12 ล้านเหรียญ (ราว 393 ล้านบาท) จาก Breakthrough Energy Ventures กลุ่มองค์กรด้านพลังงานสะอาดที่เกตส์ก่อตั้งขึ้นในปี 2015
ก๊าซมีเทนเป็นก๊าซเรือนกระจก โดยสัตว์อย่างวัว แพะ และกวาง จะปล่อยมีเทนเวลาที่กระเพาะกำลังย่อยใยอาหารจากพืช ในรูปแบบของการเรอหรือผายลม ซึ่งนักวิจัยจากหลายมหาวิทยาลัยพบว่าการให้วัวกินสาหร่ายจะช่วยลดการปล่อยก๊าซมีเทนได้อย่างมาก
กว่าครึ่งของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในโลกนั้นมาจากการทำเกษตรกรรม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นก๊าซมีเทน มีการพบว่าโมเลกุลของมีเทนมีศักยภาพในการเพิ่มอุณหภูมิของสภาพบรรยากาศโลกมากกว่าโมเลกุลของคาร์บอนไดออกไซด์
นักวิทยาศาสตร์พบว่าในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา มีเทนเพิ่มอุณหภูมิโลกมากกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ระหว่าง 28 ถึง 34 เท่าเลยทีเดียว
นี่คงเป็นตัวอย่างของคำว่าการเเก้ปัญหาแบบนอกกรอบเเต่ได้ผลจริงๆเลยทีเดียว
หากใครมีคำถามฝากถามผ่าน นายTechTips มาได้เลยนะครับ
#TechTipsสำหรับวันนี้ นายTechTips ก็มีข่าวสารวงการไอทีมานำเสนออีกเเล้วครับ วันนี้อาจจะเป็นข่าวแปลกๆเกี่ยวกับการลงทุนใหม่ของมหาเศรษฐีไอทีบื่อดังที่สุดของโลกนี้ คุณ Bill Gates นั่นเอง Bill Gates ลงทุนในสตาร์ตอัปพัฒนาอาหารวัวเพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจาก ‘เรอวัว’ บิลล์ เกตส์ (Bill Gates) มหาเศรษฐีผู้ก่อตั้ง Microsoft ลงทุนใน Rumin8 สตาร์ตอัปสัญชาติออสเตรเลียที่มุ่งลดการปล่อยก๊าซมีเทนจากการเรอของวัว Rumin8 ตั้งอยู่ในเมืองเพิร์ท เน้นการพัฒนาอาหารวัวทำจากสาหร่ายแดง ที่จะช่วยลดก๊าซมีเทน โดยได้เงินระดมทุนไปกว่า 12 ล้านเหรียญ (ราว 393 ล้านบาท) จาก Breakthrough Energy Ventures กลุ่มองค์กรด้านพลังงานสะอาดที่เกตส์ก่อตั้งขึ้นในปี 2015 ก๊าซมีเทนเป็นก๊าซเรือนกระจก โดยสัตว์อย่างวัว แพะ และกวาง จะปล่อยมีเทนเวลาที่กระเพาะกำลังย่อยใยอาหารจากพืช ในรูปแบบของการเรอหรือผายลม ซึ่งนักวิจัยจากหลายมหาวิทยาลัยพบว่าการให้วัวกินสาหร่ายจะช่วยลดการปล่อยก๊าซมีเทนได้อย่างมาก กว่าครึ่งของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกในโลกนั้นมาจากการทำเกษตรกรรม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นก๊าซมีเทน มีการพบว่าโมเลกุลของมีเทนมีศักยภาพในการเพิ่มอุณหภูมิของสภาพบรรยากาศโลกมากกว่าโมเลกุลของคาร์บอนไดออกไซด์ นักวิทยาศาสตร์พบว่าในช่วง 100 ปีที่ผ่านมา มีเทนเพิ่มอุณหภูมิโลกมากกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ระหว่าง 28 ถึง 34 เท่าเลยทีเดียว นี่คงเป็นตัวอย่างของคำว่าการเเก้ปัญหาแบบนอกกรอบเเต่ได้ผลจริงๆเลยทีเดียว หากใครมีคำถามฝากถามผ่าน นายTechTips มาได้เลยนะครับ #TechTips - ภัยจากโทรศัพท์มือถือ
ก่อนที่คุณจะกลายเป็นเหยื่อรายต่อไป มารู้จักวิธีป้องกันไว้ดีกว่า
ไม่โทรศัพท์ขณะขับรถ หากจำเป็นควรจอดรถเข้าข้างทางเสียก่อน ในเมื่อธุระของคุณมีมากเป็นกระบุงโกย แม้ขณะขับรถก็ไม่สามารถหยุดทำธุระได้ ทางเลือกที่ดีที่สุดคือหาที่ปลอดภัยแล้วนำรถเข้าจอดข้างทางซะ เพื่อความปลอดภัยของคุณและเพื่อนร่วมถนน
จำกัดการใช้โทรศัพท์ในแต่ละเดือน
การจดรายจ่ายค่าโทรศัพท์ในแต่ละเดือน จะช่วยให้คุณจำกัด และจัดเวลาที่จะใช้โทรศัพท์ได้ดีขึ้น ที่สำคัญวิธีนี้มีประโยชน์มากต่อการใช้จ่ายส่วนตัว
พูดคุยกันถึงเรื่องความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น
ไม่ไช่ให้คุณแช่งตัวเอง แต่นึกถึงหรือคาดการณ์ล่วงหน้าไว้บ้างก็ดี เช่น จะเกิดอะไรขึ้นหากคุณใช้มือถือขณะขับรถ บาดเจ็บ หรือตาย จะได้ไม่ประมาท
แลกเปลี่ยนความเห็นของคุณที่มีต่อโทรศัพท์มือถือกับเพื่อน
โดยอาจจะตั้งประเด็นขึ้นมา เช่น ควรใช้โทรศัพท์ตลอดเวลาหรือไม่ หรือ ถ้าวันใดถ้าหากมีการออกฏห้ามใช้โทรศัพท์มือถือไม่ว่าจะด้วยกรณีใด คุณจะทำอย่างไร เป็นต้น แล้วคุณจะได้ความเห็นที่ต่างกันออกไป ประโยชน์ของงานนี้ นอกจากจะไม่เกิดความประมาทขึ้นแล้ว ยังเป็นการเปิดโลกทัศน์ของคุณให้กว้างขึ้นด้วย
เคล็ดลับการใช้โทรศัพท์มือถืออย่างฉลาด
ใช้โทรศัพท์ขณะขับรถเฉพาะกรณีฉุกเฉินเท่านั้น
ใช้วอยซ์เมล์รับสายแทนขณะที่คุณกำลังขับรถ
ใช้อุปกรณ์แฮนด์ฟรี
ข้อเตือนใจ
โทรศัพท์มือถือมีประโยชน์มากในกรณีฉุกเฉิน โดยผู้ใช้สามารถโทรขอความช่วงเหลือหรือแจ้งตำรวจเมื่อประสบอุบัติเหตุได้ แต่ก็มีผู้คนจำนวนมากกังวลถึงเรื่องการใช้โทรศัพท์มือถือ เชื่อกันว่า 50 % ของอุบัติเหตุทั้งหมดเกิดจากการที่ผู้ขับขี่ถูกเบี่ยงเบนความสนใจ เช่น การหันไปปรับคลื่นวิทยุ การใช้โทรศัพท์ การสูบบุหรี่ การปรับกระจก ฯลฯ
ความหวังดีจาก นายTechTips จ้า เราจะได้มีควมปลอดภัยและอยู่ติดตามเทคโนโลยีไปกันได้อีกนาวๆเลยจ้า
#TechTips
ภัยจากโทรศัพท์มือถือ ก่อนที่คุณจะกลายเป็นเหยื่อรายต่อไป มารู้จักวิธีป้องกันไว้ดีกว่า ไม่โทรศัพท์ขณะขับรถ หากจำเป็นควรจอดรถเข้าข้างทางเสียก่อน ในเมื่อธุระของคุณมีมากเป็นกระบุงโกย แม้ขณะขับรถก็ไม่สามารถหยุดทำธุระได้ ทางเลือกที่ดีที่สุดคือหาที่ปลอดภัยแล้วนำรถเข้าจอดข้างทางซะ เพื่อความปลอดภัยของคุณและเพื่อนร่วมถนน จำกัดการใช้โทรศัพท์ในแต่ละเดือน การจดรายจ่ายค่าโทรศัพท์ในแต่ละเดือน จะช่วยให้คุณจำกัด และจัดเวลาที่จะใช้โทรศัพท์ได้ดีขึ้น ที่สำคัญวิธีนี้มีประโยชน์มากต่อการใช้จ่ายส่วนตัว พูดคุยกันถึงเรื่องความเสียหายที่อาจเกิดขึ้น ไม่ไช่ให้คุณแช่งตัวเอง แต่นึกถึงหรือคาดการณ์ล่วงหน้าไว้บ้างก็ดี เช่น จะเกิดอะไรขึ้นหากคุณใช้มือถือขณะขับรถ บาดเจ็บ หรือตาย จะได้ไม่ประมาท แลกเปลี่ยนความเห็นของคุณที่มีต่อโทรศัพท์มือถือกับเพื่อน โดยอาจจะตั้งประเด็นขึ้นมา เช่น ควรใช้โทรศัพท์ตลอดเวลาหรือไม่ หรือ ถ้าวันใดถ้าหากมีการออกฏห้ามใช้โทรศัพท์มือถือไม่ว่าจะด้วยกรณีใด คุณจะทำอย่างไร เป็นต้น แล้วคุณจะได้ความเห็นที่ต่างกันออกไป ประโยชน์ของงานนี้ นอกจากจะไม่เกิดความประมาทขึ้นแล้ว ยังเป็นการเปิดโลกทัศน์ของคุณให้กว้างขึ้นด้วย เคล็ดลับการใช้โทรศัพท์มือถืออย่างฉลาด ใช้โทรศัพท์ขณะขับรถเฉพาะกรณีฉุกเฉินเท่านั้น ใช้วอยซ์เมล์รับสายแทนขณะที่คุณกำลังขับรถ ใช้อุปกรณ์แฮนด์ฟรี ข้อเตือนใจ โทรศัพท์มือถือมีประโยชน์มากในกรณีฉุกเฉิน โดยผู้ใช้สามารถโทรขอความช่วงเหลือหรือแจ้งตำรวจเมื่อประสบอุบัติเหตุได้ แต่ก็มีผู้คนจำนวนมากกังวลถึงเรื่องการใช้โทรศัพท์มือถือ เชื่อกันว่า 50 % ของอุบัติเหตุทั้งหมดเกิดจากการที่ผู้ขับขี่ถูกเบี่ยงเบนความสนใจ เช่น การหันไปปรับคลื่นวิทยุ การใช้โทรศัพท์ การสูบบุหรี่ การปรับกระจก ฯลฯ ความหวังดีจาก นายTechTips จ้า เราจะได้มีควมปลอดภัยและอยู่ติดตามเทคโนโลยีไปกันได้อีกนาวๆเลยจ้า #TechTips0 Comments 0 Shares 316 Views 0 Reviews - ทุกวันนี้ มือถือ หรือบางคนจะเรียกว่า Smart Phone เป็นอีกอุปกรณ์ที่ติดยิ่งกว่า สามี ภรรยากันอีก แต่มันมีเทคนิคหนึ่งที่ช่วยให้คุณสามารถใช้มือถือเครื่องปัจจุบันให้ใช้งานได้ยาวนาน เพราะถ้าไม่ดูแลมันก็จะพังได้ง่ายแต่จะมีวิธีอะไรบ้าง
นายTechTips มี 10 วิธีมาฝากกันครับ
ติดฟิล์มใส่เคส
เรื่องแรกหลายคนซื้อมือถือมาแล้วก็มักจะซื้อเคส และ ติดฟิล์มกันรอยเพื่อให้เกิดความสวยงามและป้องกันกันความเสียหายจากการตกได้ ถือว่าเป็นวิธีพื้นฐานสำหรับคนที่อยากดูแลรักษาเครื่องให้อยู่ได้นานๆ
หมั่นทำความสะอาดเครื่อง และพอร์ตเชื่อมต่อ
อย่าลืมนะครับถ้าใส่อุปกรณ์กันไปแล้วไม่ได้หมายถึงสามารถป้องกันความสกปรกได้ ดังนั้นเราควรเอามือถือมาทำความสะอาดให้ถูกทุกซอกมุมได้บ้างไม่ว่าจะใช้น้ำยาทำความสะอาด เพื่อให้มือถือเกิดความสะอาดเสมอ ส่วนพอร์ตเราสามารถใช้คอตตอนบัด เช็ดเบาๆ ได้เช่นเดียวกัน
หลีกเลี่ยงการวางมือถือในที่ชื้น / ความร้อนสูง
สิ่งหนึ่งที่มือถือมถูกเลยคือความชื้นและความร้อน ต่อให้บางรุ่นกันน้ำแล้วก็ตาม ดังนั้นการเก็บมือถือใกล้กับที่ชื้นก็อาจจะทำให้พังได้ ดังนั้นถ้าหลีกเลี่ยงได้ก็ดี และอีกเรื่องหลายคนเผลอคือการเก็บมือถือในรถ อันนี้ถ้าเครื่องเกิดความร้อนอาจจะทำให้เครื่องเกิดความเสียหายได้ และส่งผลต่อแบตเตอรี่ได้ครับ
หลีกเลี่ยงการเก็บมือถือที่เจอสิ่งขีดข่วน
แม้ว่าเราจะติดเคสและฟิล์มกันรอยอย่างดี แต่จะดีกว่าไหมถ้าเราเก็บเครื่องไม่ให้เกิดรอยได้ง่ายๆ เช่น พวกเหรียญ, ชองชิ้นเล็กของผู้หญิง ที่อาจจะทำให้เครื่องเป็นรอยหรือสีติดได้
ควรเคลียร์พื้นที่จำบ้าง
นอกจากเรื่องตัวเครื่องที่ต้องดูแลให้สวยงามแล้ว การจัดการภายในก็จำเป็น เพราะมันก็ส่งผลกับการทำงานของเครื่องได้ สิ่งแรกที่จะมีผลสุดคือ พื้นที่ความจำ เราควรจะดูแล เช่นลบไฟล์ภาพ ที่ถ่ายเสีย หรือ โอนเก็บไปที่พื้นที่ความจำภายนอก เช่น Flash Drive, SSD หรือระบบ Cloud เช่น One Drive, Google Drive, iCloud เป็นต้น
Reset เครื่องบ้างหากทำได้
หากเคลียร์ความจำแล้วยังไม่เร็วขึ้น บางทีก็ไม่รู้จะไปลบตั้งค่าหรือไฟล์ดาวน์โหลดอะไร การกด Reset ก็เป็นทางเลือกที่ดี โดยการกดลบนั้นมีให้เลือกหลากหลายแบบ ตั้งแต่การเปลี่ยนการตั้งค่า, การลบแค่ภายใน App และการลบทั้งหมด ก็สามารถทำได้ครับ
หลีกเลี่ยงการดาวน์โหลด Apps นอก Store ที่มีในเครื่อง
เดี๋ยวนี้ Apps มีหลากหลายที่ไม่ว่าจะเป็น App Store, Galaxy Store, HUAWEI AppGallery, Google Play Store มักจะได้รับความไว้วางใจจากนักพัฒนา และผู้ผลิตเครื่อง การที่ดาวน์โหลดที่อยู่ข้างนอกที่ไม่ผ่านการตรวจสอบ ก็อาจจะทำให้คุณอาจจะตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพได้ด้วยครับ ดังนั้น ไม่ควรดาวน์โหลด AppStore นอก Store นะครับ
อัปเดต Software บ้าง
อย่าลืมว่า Smart Phone ที่คุณใช้งาน มันทำงานบนระบบปฏิบัติการที่มักจะมีอะไรอัปเดตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และ ปิดช่องโหว่ความปลอดภัยมากขึ้น ดังนั้นอย่าลืมหมั่นเช็ค Software ของเครื่องไว้บ้างก็ดี
อะไรพังแล้วก็ซ่อมได้
สุดท้ายหากคุณใช้งานแล้วเกิดความเสียหายจริงๆ การซ่อมมือถือก็เป็นอีกทางเลือกที่สามารถช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าคุณได้ เช่นเดี๋ยวนี้การซ่อมหน้าจออาจจะมีราคาไม่ถึง 1 ใน 3 ของเครื่องแล้วใครที่อยากใช้เครื่องเดิม ไม่อยากย้ายข้อมูลสำคัญบ่อยๆ การเลือกที่จะซ่อมก็เป็นทางเลือกที่ดีครับ
แต่อย่าลืมว่าการถนอมมือถือพวกนี้เป็นการยืดอายุการใช้งานมือถือให้ใช้งานยาวนานเท่านั้น หากคุณใช้งานสักพักยังไงก็ต้องถึงเวลาเปลี่ยนอยู่ดี แค่ทำให้คุณมีเวลาอยู่กับมือถือที่คุณตั้งใจเลือกมากขึ้นครับ
มีคำถามอะไรเกี่ยวกับเทคโนโลยีถาม นายTechTips ได้เลยจ้า
#TechTipsทุกวันนี้ มือถือ หรือบางคนจะเรียกว่า Smart Phone เป็นอีกอุปกรณ์ที่ติดยิ่งกว่า สามี ภรรยากันอีก แต่มันมีเทคนิคหนึ่งที่ช่วยให้คุณสามารถใช้มือถือเครื่องปัจจุบันให้ใช้งานได้ยาวนาน เพราะถ้าไม่ดูแลมันก็จะพังได้ง่ายแต่จะมีวิธีอะไรบ้าง นายTechTips มี 10 วิธีมาฝากกันครับ ติดฟิล์มใส่เคส เรื่องแรกหลายคนซื้อมือถือมาแล้วก็มักจะซื้อเคส และ ติดฟิล์มกันรอยเพื่อให้เกิดความสวยงามและป้องกันกันความเสียหายจากการตกได้ ถือว่าเป็นวิธีพื้นฐานสำหรับคนที่อยากดูแลรักษาเครื่องให้อยู่ได้นานๆ หมั่นทำความสะอาดเครื่อง และพอร์ตเชื่อมต่อ อย่าลืมนะครับถ้าใส่อุปกรณ์กันไปแล้วไม่ได้หมายถึงสามารถป้องกันความสกปรกได้ ดังนั้นเราควรเอามือถือมาทำความสะอาดให้ถูกทุกซอกมุมได้บ้างไม่ว่าจะใช้น้ำยาทำความสะอาด เพื่อให้มือถือเกิดความสะอาดเสมอ ส่วนพอร์ตเราสามารถใช้คอตตอนบัด เช็ดเบาๆ ได้เช่นเดียวกัน หลีกเลี่ยงการวางมือถือในที่ชื้น / ความร้อนสูง สิ่งหนึ่งที่มือถือมถูกเลยคือความชื้นและความร้อน ต่อให้บางรุ่นกันน้ำแล้วก็ตาม ดังนั้นการเก็บมือถือใกล้กับที่ชื้นก็อาจจะทำให้พังได้ ดังนั้นถ้าหลีกเลี่ยงได้ก็ดี และอีกเรื่องหลายคนเผลอคือการเก็บมือถือในรถ อันนี้ถ้าเครื่องเกิดความร้อนอาจจะทำให้เครื่องเกิดความเสียหายได้ และส่งผลต่อแบตเตอรี่ได้ครับ หลีกเลี่ยงการเก็บมือถือที่เจอสิ่งขีดข่วน แม้ว่าเราจะติดเคสและฟิล์มกันรอยอย่างดี แต่จะดีกว่าไหมถ้าเราเก็บเครื่องไม่ให้เกิดรอยได้ง่ายๆ เช่น พวกเหรียญ, ชองชิ้นเล็กของผู้หญิง ที่อาจจะทำให้เครื่องเป็นรอยหรือสีติดได้ ควรเคลียร์พื้นที่จำบ้าง นอกจากเรื่องตัวเครื่องที่ต้องดูแลให้สวยงามแล้ว การจัดการภายในก็จำเป็น เพราะมันก็ส่งผลกับการทำงานของเครื่องได้ สิ่งแรกที่จะมีผลสุดคือ พื้นที่ความจำ เราควรจะดูแล เช่นลบไฟล์ภาพ ที่ถ่ายเสีย หรือ โอนเก็บไปที่พื้นที่ความจำภายนอก เช่น Flash Drive, SSD หรือระบบ Cloud เช่น One Drive, Google Drive, iCloud เป็นต้น Reset เครื่องบ้างหากทำได้ หากเคลียร์ความจำแล้วยังไม่เร็วขึ้น บางทีก็ไม่รู้จะไปลบตั้งค่าหรือไฟล์ดาวน์โหลดอะไร การกด Reset ก็เป็นทางเลือกที่ดี โดยการกดลบนั้นมีให้เลือกหลากหลายแบบ ตั้งแต่การเปลี่ยนการตั้งค่า, การลบแค่ภายใน App และการลบทั้งหมด ก็สามารถทำได้ครับ หลีกเลี่ยงการดาวน์โหลด Apps นอก Store ที่มีในเครื่อง เดี๋ยวนี้ Apps มีหลากหลายที่ไม่ว่าจะเป็น App Store, Galaxy Store, HUAWEI AppGallery, Google Play Store มักจะได้รับความไว้วางใจจากนักพัฒนา และผู้ผลิตเครื่อง การที่ดาวน์โหลดที่อยู่ข้างนอกที่ไม่ผ่านการตรวจสอบ ก็อาจจะทำให้คุณอาจจะตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพได้ด้วยครับ ดังนั้น ไม่ควรดาวน์โหลด AppStore นอก Store นะครับ อัปเดต Software บ้าง อย่าลืมว่า Smart Phone ที่คุณใช้งาน มันทำงานบนระบบปฏิบัติการที่มักจะมีอะไรอัปเดตเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และ ปิดช่องโหว่ความปลอดภัยมากขึ้น ดังนั้นอย่าลืมหมั่นเช็ค Software ของเครื่องไว้บ้างก็ดี อะไรพังแล้วก็ซ่อมได้ สุดท้ายหากคุณใช้งานแล้วเกิดความเสียหายจริงๆ การซ่อมมือถือก็เป็นอีกทางเลือกที่สามารถช่วยประหยัดเงินในกระเป๋าคุณได้ เช่นเดี๋ยวนี้การซ่อมหน้าจออาจจะมีราคาไม่ถึง 1 ใน 3 ของเครื่องแล้วใครที่อยากใช้เครื่องเดิม ไม่อยากย้ายข้อมูลสำคัญบ่อยๆ การเลือกที่จะซ่อมก็เป็นทางเลือกที่ดีครับ แต่อย่าลืมว่าการถนอมมือถือพวกนี้เป็นการยืดอายุการใช้งานมือถือให้ใช้งานยาวนานเท่านั้น หากคุณใช้งานสักพักยังไงก็ต้องถึงเวลาเปลี่ยนอยู่ดี แค่ทำให้คุณมีเวลาอยู่กับมือถือที่คุณตั้งใจเลือกมากขึ้นครับ มีคำถามอะไรเกี่ยวกับเทคโนโลยีถาม นายTechTips ได้เลยจ้า #TechTips0 Comments 0 Shares 440 Views 0 Reviews - สวัสดีครับพบกับ นายTechTips เช่นเคยวันนี้เรามีขั้นตอนง่ายๆในการป้องกันภัยทางออนไลน์มาให้อ่านกันครับ
การสื่อสารทางออนไลน์แม้จะช่วยให้ชีวิตเราง่ายขึ้น แต่ก็มีข้อควรระวังเช่นกัน เพราะหากปล่อยให้ข้อมูลส่วนตัวตกไปอยู่กับผู้ไม่ประสงค์ดี ก็อาจทำให้ข้อมูลของเราไม่ปลอดภัย วันนี้ทางศูนย์จึงขอนำ 5 วิธีป้องกันไม่ให้ถูกโจรกรรมข้อมูลได้ง่ายมาฝากทุกคน
1. ไม่เชื่อ ไม่บอก ไม่กรอกข้อมูลส่วนตัวที่สำคัญบนโลกออนไลน์
2. ไม่ดาวน์โหลดแอปหรือโปรแกรมที่ไม่น่าเชื่อถือ
3. ไม่ใช้ wifi สาธารณะทำธุรกรรมการเงิน เพราะเสี่ยงถูกล้วงข้อมูล
4. ตั้งรหัสผ่านให้คาดเดายาก และเปลี่ยนเป็นระยะ เช่น ทุก 3 หรือ 6 เดือน
5. ออกจากระบบทุกครั้งเมื่อเลิกใช้งาน
สำหรับวันนี้ นายTechTips ขอลาไปก่อน
สติคือเครื่องป้องกันภัยอันตรายที่ดีที่สุดครับ
#TechTipsสวัสดีครับพบกับ นายTechTips เช่นเคยวันนี้เรามีขั้นตอนง่ายๆในการป้องกันภัยทางออนไลน์มาให้อ่านกันครับ การสื่อสารทางออนไลน์แม้จะช่วยให้ชีวิตเราง่ายขึ้น แต่ก็มีข้อควรระวังเช่นกัน เพราะหากปล่อยให้ข้อมูลส่วนตัวตกไปอยู่กับผู้ไม่ประสงค์ดี ก็อาจทำให้ข้อมูลของเราไม่ปลอดภัย วันนี้ทางศูนย์จึงขอนำ 5 วิธีป้องกันไม่ให้ถูกโจรกรรมข้อมูลได้ง่ายมาฝากทุกคน 1. ไม่เชื่อ ไม่บอก ไม่กรอกข้อมูลส่วนตัวที่สำคัญบนโลกออนไลน์ 2. ไม่ดาวน์โหลดแอปหรือโปรแกรมที่ไม่น่าเชื่อถือ 3. ไม่ใช้ wifi สาธารณะทำธุรกรรมการเงิน เพราะเสี่ยงถูกล้วงข้อมูล 4. ตั้งรหัสผ่านให้คาดเดายาก และเปลี่ยนเป็นระยะ เช่น ทุก 3 หรือ 6 เดือน 5. ออกจากระบบทุกครั้งเมื่อเลิกใช้งาน สำหรับวันนี้ นายTechTips ขอลาไปก่อน สติคือเครื่องป้องกันภัยอันตรายที่ดีที่สุดครับ #TechTips0 Comments 0 Shares 240 Views 0 Reviews - สวัสดีครับวันนี้ นายTechTips ก็มีข่าวในวงการไอทีมานำเสนอเช่นเคย
หลังจากมีการแจ้งเตือนขึ้นมาพักใหญ่ว่า LINE จะหยุดสนับสนุนระบบปฏิบัติการ Windows 7 และ 8.1 ล่าสุดเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2024 ที่ผ่านมา ทางไลน์ได้ประกาศการหยุดรองรับ Windows 7 และ Windows 8.1 แล้วอย่างเป็นทางการ
แต่ความจริงแล้วไลน์ไม่ได้เลิกสนับสนุนระบบปฏิบัติการ Windows 7 และ 8.1 โดยตรง เพียงแต่ไลน์สิ้นสุดการรองรับเวอร์ชัน 8.3.0 แล้ว ซึ่งถ้าหากเราต้องการใช้งานได้อย่างเต็มรูปแบบก็ต้องอัปเกรดไปเป็นเวอร์ชัน 8.4.0 แต่ระบบปฏิบัติการดังกล่าวไม่รองรับแล้วนั่นเอง
แต่ถ้าหากยังจำเป็นต้องใช้งาน Windows 7 หรือ 8.1 อยู่ เราก็ยังสามารถใช้งานผ่าน Extension LINE ของ Chrome โดยดาวน์โหลดด้วยวิธีการดังนี้
ไปที่ Chrome Web Store
ติดตั้ง LINE
เมื่อติดตั้งแล้วจะมีปุ่ม LINE ให้ Login
กดปุ่มปักหมุดเพื่อให้โปรแกรมมาอยู่ที่ Taskbar
แต่ไม่ต้องห่วงเรื่องความปลอดภัยเนื่องจาก Extension ตัวนี้ทาง Line เป็นคนทำเองเลย
ก็หวังว่าจะมีประโยชน์กับผู้อ่านทุกท่าน นะครับ
สำหรับวันนี้ นายTechTips ขอลาไปก่อน คราวหน้าจะเอาความรู้ดีๆมาให้ทุกท่านอีกนะครับ
#TechTipsสวัสดีครับวันนี้ นายTechTips ก็มีข่าวในวงการไอทีมานำเสนอเช่นเคย หลังจากมีการแจ้งเตือนขึ้นมาพักใหญ่ว่า LINE จะหยุดสนับสนุนระบบปฏิบัติการ Windows 7 และ 8.1 ล่าสุดเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2024 ที่ผ่านมา ทางไลน์ได้ประกาศการหยุดรองรับ Windows 7 และ Windows 8.1 แล้วอย่างเป็นทางการ แต่ความจริงแล้วไลน์ไม่ได้เลิกสนับสนุนระบบปฏิบัติการ Windows 7 และ 8.1 โดยตรง เพียงแต่ไลน์สิ้นสุดการรองรับเวอร์ชัน 8.3.0 แล้ว ซึ่งถ้าหากเราต้องการใช้งานได้อย่างเต็มรูปแบบก็ต้องอัปเกรดไปเป็นเวอร์ชัน 8.4.0 แต่ระบบปฏิบัติการดังกล่าวไม่รองรับแล้วนั่นเอง แต่ถ้าหากยังจำเป็นต้องใช้งาน Windows 7 หรือ 8.1 อยู่ เราก็ยังสามารถใช้งานผ่าน Extension LINE ของ Chrome โดยดาวน์โหลดด้วยวิธีการดังนี้ ไปที่ Chrome Web Store ติดตั้ง LINE เมื่อติดตั้งแล้วจะมีปุ่ม LINE ให้ Login กดปุ่มปักหมุดเพื่อให้โปรแกรมมาอยู่ที่ Taskbar แต่ไม่ต้องห่วงเรื่องความปลอดภัยเนื่องจาก Extension ตัวนี้ทาง Line เป็นคนทำเองเลย ก็หวังว่าจะมีประโยชน์กับผู้อ่านทุกท่าน นะครับ สำหรับวันนี้ นายTechTips ขอลาไปก่อน คราวหน้าจะเอาความรู้ดีๆมาให้ทุกท่านอีกนะครับ #TechTips0 Comments 0 Shares 276 Views 0 Reviews - สำหรับวันนี้นายTechTipsจะมานำเสนอภัยอีกรูปแบบหนึ่งที่มาเงียบๆซึ่งเป็นผลมาจากการใช้คอมพิวเตอร์ครับ
โรคฮิตยุคติดจอ ใช้สายตา- จ้องคอมพิวเตอร์นานๆ เสี่ยงโรค CVS
CVS หรือ คอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม
อาการคอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม จะมีวิธีการสังเกตและลักษณะดังต่อไปนี้
ตาแห้ง แสบและเคืองตา
ปวดเมื่อยตา เหนื่อยตา ไม่ค่อยอยากลืมตา
ตาพร่ามัว มองเห็นไม่ชัด
โฟกัสได้ช้าลง
เวลากระพริบตาอาจมีน้ำตาไหลออกมา
ปวดบริเวณกระบอกตา
ปวดศีรษะ หลัง ไหล่ หรือปวดต้นคอ เป็นอาการที่เรียกว่า Office Syndrome
ตาสู้แสงไม่ได้
ศ.พญ.งามจิตต์ เกษตรสุวรรณ ภาควิชาจักษุวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ หัวหน้าหน่วยกระจกตาและการแก้ไขสายตา โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย กล่าวว่า โรคCVS (Computer Vision Syndrome) หรือ คอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม คือ กลุ่มอาการทางตาที่เกิดจากการใช้สายตากับคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ทำให้เกิดอาการปวดเมื่อย มีปัญหาทางตา คอ บ่า ไหล่
โดยเฉพาะคนวัยทำงานที่มีการใช้คอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต และสมาร์ทโฟนมากจนเกินไป โดยอาการคอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม มักเกิดกับผู้ที่ใช้อุปกรณ์ดังกล่าวต่อเนื่องนานเกินกว่า 2 ชั่วโมงติดต่อกัน
นอกจากอาการผิดปกติที่เกิดขึ้น ปัจจัยต่าง ๆ ที่อาจส่งผลให้เกิดอาการนี้ ได้แก่
ขณะจดจ่อกับการอ่านหนังสือหรือจ้องจอคอมพิวเตอร์จะมีการกระพริบตาน้อยลง ทำให้เกิดอาการตาแห้งง่ายขึ้น
แสงสว่างภายในห้องไม่เหมาะสม
มีแสงสะท้อนจากจอคอมพิวเตอร์
การที่ตัวอักษรบนจอคอมพิวเตอร์ไม่เรียบคมชัดเท่าตัวพิมพ์บนหน้าหนังสือ หรือมีความไม่นิ่งของสัญญาณในจอคอมพิวเตอร์ ทำให้ต้องพยายามโฟกัสมากขึ้นจึงก่อให้เกิดอาการตาเมื่อยล้าได้ง่ายขึ้น
ระยะห่างจากหน้าจอ
ระดับสายตาในการมองจอคอมพิวเตอร์
ท่าทางในการในการนั่งทำงานที่ไม่เหมาะสม
เอาละครับถ้าใครมีอาการดังที่อ่านมานี้ต้องปรับตัวนะครับ ด้วยการเพิ่มเเสงให้เพียงพอ จัดท่านั่ง เเละหยุดพักในการจ้องจอบ้าง อาจจะเปลี่ยนอิริยาบถทุกๆสองชม เป้นต้น นอกจากพักสายตาเเล้วยังได้พักผ่อนร่างกายส่วนอื่นๆ ให้หายเหนื่อยล้าจากการทำงานได้อีกด้วยครับ
อย่าลืมนะครับการป้องกันที่ดีที่สุดคืออย่าให้เราป่วยเเล้วค่อยรักษานะครับเริ่มต้นป้องกันไม่ให้ป่วยดีกว่า
ด้วยความหวังดีจาก นายTechTips ครับ
#TechTipsสำหรับวันนี้นายTechTipsจะมานำเสนอภัยอีกรูปแบบหนึ่งที่มาเงียบๆซึ่งเป็นผลมาจากการใช้คอมพิวเตอร์ครับ โรคฮิตยุคติดจอ ใช้สายตา- จ้องคอมพิวเตอร์นานๆ เสี่ยงโรค CVS CVS หรือ คอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม อาการคอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม จะมีวิธีการสังเกตและลักษณะดังต่อไปนี้ ตาแห้ง แสบและเคืองตา ปวดเมื่อยตา เหนื่อยตา ไม่ค่อยอยากลืมตา ตาพร่ามัว มองเห็นไม่ชัด โฟกัสได้ช้าลง เวลากระพริบตาอาจมีน้ำตาไหลออกมา ปวดบริเวณกระบอกตา ปวดศีรษะ หลัง ไหล่ หรือปวดต้นคอ เป็นอาการที่เรียกว่า Office Syndrome ตาสู้แสงไม่ได้ ศ.พญ.งามจิตต์ เกษตรสุวรรณ ภาควิชาจักษุวิทยา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาฯ หัวหน้าหน่วยกระจกตาและการแก้ไขสายตา โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย กล่าวว่า โรคCVS (Computer Vision Syndrome) หรือ คอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม คือ กลุ่มอาการทางตาที่เกิดจากการใช้สายตากับคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ทำให้เกิดอาการปวดเมื่อย มีปัญหาทางตา คอ บ่า ไหล่ โดยเฉพาะคนวัยทำงานที่มีการใช้คอมพิวเตอร์ แท็บเล็ต และสมาร์ทโฟนมากจนเกินไป โดยอาการคอมพิวเตอร์วิชั่นซินโดรม มักเกิดกับผู้ที่ใช้อุปกรณ์ดังกล่าวต่อเนื่องนานเกินกว่า 2 ชั่วโมงติดต่อกัน นอกจากอาการผิดปกติที่เกิดขึ้น ปัจจัยต่าง ๆ ที่อาจส่งผลให้เกิดอาการนี้ ได้แก่ ขณะจดจ่อกับการอ่านหนังสือหรือจ้องจอคอมพิวเตอร์จะมีการกระพริบตาน้อยลง ทำให้เกิดอาการตาแห้งง่ายขึ้น แสงสว่างภายในห้องไม่เหมาะสม มีแสงสะท้อนจากจอคอมพิวเตอร์ การที่ตัวอักษรบนจอคอมพิวเตอร์ไม่เรียบคมชัดเท่าตัวพิมพ์บนหน้าหนังสือ หรือมีความไม่นิ่งของสัญญาณในจอคอมพิวเตอร์ ทำให้ต้องพยายามโฟกัสมากขึ้นจึงก่อให้เกิดอาการตาเมื่อยล้าได้ง่ายขึ้น ระยะห่างจากหน้าจอ ระดับสายตาในการมองจอคอมพิวเตอร์ ท่าทางในการในการนั่งทำงานที่ไม่เหมาะสม เอาละครับถ้าใครมีอาการดังที่อ่านมานี้ต้องปรับตัวนะครับ ด้วยการเพิ่มเเสงให้เพียงพอ จัดท่านั่ง เเละหยุดพักในการจ้องจอบ้าง อาจจะเปลี่ยนอิริยาบถทุกๆสองชม เป้นต้น นอกจากพักสายตาเเล้วยังได้พักผ่อนร่างกายส่วนอื่นๆ ให้หายเหนื่อยล้าจากการทำงานได้อีกด้วยครับ อย่าลืมนะครับการป้องกันที่ดีที่สุดคืออย่าให้เราป่วยเเล้วค่อยรักษานะครับเริ่มต้นป้องกันไม่ให้ป่วยดีกว่า ด้วยความหวังดีจาก นายTechTips ครับ #TechTips0 Comments 0 Shares 393 Views 0 Reviews - สวัสดีครับวันนี้มาพบกับนายTechTips กันอีกเเล้ว จะมีเรื่องสนุกๆอะไรมาเล่าให้ฟังลองอ่านกันดูได้เลยครับ
บ่อยครั้งที่ความเชื่อต่างๆ มักมาจากคำแนะนำต่างๆ ที่ “คนอื่นบอกต่อกันมา” ตัวอย่างเช่น คอมพิวเตอร์ MacBook จะไม่มีวันติดไวรัส หรือแม้กระทั่งเสียบสายชาร์ตทิ้งไว้ทำให้แบตเตอรี่พัง ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นเช่นนั้นหรือไม่ มาดูกัน
1. เชื่อกันว่า “Mac ไม่มีวันติดไวรัส” แต่กูรูเทคโนโลยีต่างประเทศได้เผยว่า ในปัจจุบันแม้แต่คอมจากบริษัท Apple อย่างเจ้า Mac ทั้งหลายก็สามารถติดไวรัสและอาจปะทะเข้ากับมัลแวร์ได้เช่นกัน ซึ่งครั้งหนึ่ง Mac เคยโฆษณาว่า “คอมของเราต้านไวรัสได้” แต่ในปี 2012 พวกเขาได้ถอดคำโฆษณานั้นออกจากระบบ หลังจากที่ถูกโทรจันบุกอย่างหนัก
2. เสียบสายชาร์จมือถือทิ้งไว้ทำให้แบตเตอรี่เสื่อม
กลายเป็นความเชื่อที่ระบาดไปทั่วโลกว่า การเสียบสายชาร์จทิ้งไว้จะทำให้แบตเตอรี่เสื่อม แต่กูรูเทคโนโลยีเผยว่า นี่เป็นความเชื่อที่ยังไม่มีหลักฐานใดรองรับอย่างเป็นทางการ นอกจากนี้แบตเตอรี่ในปัจจุบันยังเป็นแบบ “Lithium-ion” ที่มีศักยภาพในการหยุดชาร์ตอัตโนมัติเมื่อเต็มแล้ว
3. ยิ่งพิกเซลมาก กล้องนั้นยิ่งเทพ
จริงอยู่ว่าจำนวนพิกเซลมีผลต่อคุณภาพของภาพ แต่ผู้เชี่ยวชาญตั้งคำถามได้อย่างน่าสนใจว่า “คุณคิดว่ากล้องที่มีความละเอียด 8 Megapixel กับ 12 Megapixel ต่างกันมากไหม” และเขาได้เฉลยคำตอบว่าคุณภาพของภาพแทบไม่ต่างกัน อย่างที่หลายคนคาดคิด เพราะแท้จริงแล้วคุณภาพของภาพวัดกันที่ “แสง” และตัว “เซนเซอร์” จับภาพมากกว่า ฉะนั้นหากกล้องไหนที่สามารถรับแสงได้มาก และมีเซ็นเซอร์ที่มีคุณภาพชั้นดี ก็จะย่อมทำให้เราได้ภาพที่ดีกว่า
4. อย่าชาร์จแบตเตอรี่เด็ดขาด จนกว่ามันใกล้จะหมด
เป็นอีกความเชื่อที่กระจายทั่วโลก ซึ่งหลายๆคนมักบอกกันว่า “รอให้แบตเตอรี่ใกล้หมดก่อน แล้วค่อยชาร์จ ไม่งั้นมันจะเสื่อม” แต่ที่จริงช่วงจังหวะที่ชาร์ตไม่เคยทำให้คุณภาพของแบตเตอรี่เสื่อมแม้แต่น้อย แต่สาเหตุหลักที่เสื่อมก็เพราะแบตเตอรี่มีวงรอบอายุของมัน และการชาร์จเมื่อแบตเตอรี่หมดหรือใกล้หมด คือการทำให้แบตเตอรี่ใช้วงรอบอายุของมันให้หมดไปเร็วยิ่งขึ้น
5. การเลือก Display Resolution สูงๆ บนสมาร์ทโฟนจะทำให้ภาพคมชัด
ผู้เชี่ยวชาญเผยว่า Display Resolution สูงไม่ได้หมายถึงคุณภาพระดับพระเจ้าเสมอไป และนั่นก็เป็นสาเหตุว่าทำไมทาง Apple จึงมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาให้มือถือแต่ละรุ่นมีความโดดเด่นในเรื่องแสง (Brightness) มากกว่า Display Resolution ที่ไม่ได้ทำให้คุณภาพแตกต่างจากเดิมเท่าใดนัก
6. ที่ชาร์ตของ iPad ไม่ควรเอามาใช้กับ iPhone
ยังเป็นข้อสงสัยที่หลายคนรู้สึกคลุมเคลือว่ามีผลหรือไม่ เพราะแม้ทาง Apple เองก็ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่า ตัวชาร์จขนาด 12 วัตต์ของ iPad สามารถใช้ชาร์จได้ทั้ง iPhone และ iPad แต่ทางบริษัท AEi Systems ได้ออกมาเผยว่าการใช้ที่ชาร์จร่วมกันเช่นนั้นจะอาจมีผลกระทบกับ iPhone เช่นกัน หากทำบ่อยและมันอาจใช้เวลายาวนานนับปี ถึงจะเห็นว่าแบตเตอรี่ได้เสื่อมไปแล้ว
7. อย่าชัทดาวน์คอมพิวเตอร์ทุกวัน
การชัทดาวน์เครื่องนั้นถือเป็นสิ่งที่ดีต่อคอมพิวเตอร์มาก และดียิ่งกว่าโหมด “Sleep” เสียอีก เพราะการชัทดาวน์จะทำให้เครื่องกินไฟน้อยกว่าเดิม และยังช่วยรักษาสภาพอะไหล่ฮาร์ดแวร์ให้มีอายุยาวนานขึ้นด้วย
เป็นไงครับไหนใครเคยเชื่ออะไรตามหัวข้อนี้บ้าง ก็อ่านไว้เป็นความรู้สนุกๆกันนะครับ
ถ้าใครมีคำถามอะไรส่งมาได้เลยนะครับ นายTechTipsจะไปหาคำตอบมาให้เเน่นอนครับ
#TechTips
สวัสดีครับวันนี้มาพบกับนายTechTips กันอีกเเล้ว จะมีเรื่องสนุกๆอะไรมาเล่าให้ฟังลองอ่านกันดูได้เลยครับ บ่อยครั้งที่ความเชื่อต่างๆ มักมาจากคำแนะนำต่างๆ ที่ “คนอื่นบอกต่อกันมา” ตัวอย่างเช่น คอมพิวเตอร์ MacBook จะไม่มีวันติดไวรัส หรือแม้กระทั่งเสียบสายชาร์ตทิ้งไว้ทำให้แบตเตอรี่พัง ซึ่งจริงๆ แล้วเป็นเช่นนั้นหรือไม่ มาดูกัน 1. เชื่อกันว่า “Mac ไม่มีวันติดไวรัส” แต่กูรูเทคโนโลยีต่างประเทศได้เผยว่า ในปัจจุบันแม้แต่คอมจากบริษัท Apple อย่างเจ้า Mac ทั้งหลายก็สามารถติดไวรัสและอาจปะทะเข้ากับมัลแวร์ได้เช่นกัน ซึ่งครั้งหนึ่ง Mac เคยโฆษณาว่า “คอมของเราต้านไวรัสได้” แต่ในปี 2012 พวกเขาได้ถอดคำโฆษณานั้นออกจากระบบ หลังจากที่ถูกโทรจันบุกอย่างหนัก 2. เสียบสายชาร์จมือถือทิ้งไว้ทำให้แบตเตอรี่เสื่อม กลายเป็นความเชื่อที่ระบาดไปทั่วโลกว่า การเสียบสายชาร์จทิ้งไว้จะทำให้แบตเตอรี่เสื่อม แต่กูรูเทคโนโลยีเผยว่า นี่เป็นความเชื่อที่ยังไม่มีหลักฐานใดรองรับอย่างเป็นทางการ นอกจากนี้แบตเตอรี่ในปัจจุบันยังเป็นแบบ “Lithium-ion” ที่มีศักยภาพในการหยุดชาร์ตอัตโนมัติเมื่อเต็มแล้ว 3. ยิ่งพิกเซลมาก กล้องนั้นยิ่งเทพ จริงอยู่ว่าจำนวนพิกเซลมีผลต่อคุณภาพของภาพ แต่ผู้เชี่ยวชาญตั้งคำถามได้อย่างน่าสนใจว่า “คุณคิดว่ากล้องที่มีความละเอียด 8 Megapixel กับ 12 Megapixel ต่างกันมากไหม” และเขาได้เฉลยคำตอบว่าคุณภาพของภาพแทบไม่ต่างกัน อย่างที่หลายคนคาดคิด เพราะแท้จริงแล้วคุณภาพของภาพวัดกันที่ “แสง” และตัว “เซนเซอร์” จับภาพมากกว่า ฉะนั้นหากกล้องไหนที่สามารถรับแสงได้มาก และมีเซ็นเซอร์ที่มีคุณภาพชั้นดี ก็จะย่อมทำให้เราได้ภาพที่ดีกว่า 4. อย่าชาร์จแบตเตอรี่เด็ดขาด จนกว่ามันใกล้จะหมด เป็นอีกความเชื่อที่กระจายทั่วโลก ซึ่งหลายๆคนมักบอกกันว่า “รอให้แบตเตอรี่ใกล้หมดก่อน แล้วค่อยชาร์จ ไม่งั้นมันจะเสื่อม” แต่ที่จริงช่วงจังหวะที่ชาร์ตไม่เคยทำให้คุณภาพของแบตเตอรี่เสื่อมแม้แต่น้อย แต่สาเหตุหลักที่เสื่อมก็เพราะแบตเตอรี่มีวงรอบอายุของมัน และการชาร์จเมื่อแบตเตอรี่หมดหรือใกล้หมด คือการทำให้แบตเตอรี่ใช้วงรอบอายุของมันให้หมดไปเร็วยิ่งขึ้น 5. การเลือก Display Resolution สูงๆ บนสมาร์ทโฟนจะทำให้ภาพคมชัด ผู้เชี่ยวชาญเผยว่า Display Resolution สูงไม่ได้หมายถึงคุณภาพระดับพระเจ้าเสมอไป และนั่นก็เป็นสาเหตุว่าทำไมทาง Apple จึงมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาให้มือถือแต่ละรุ่นมีความโดดเด่นในเรื่องแสง (Brightness) มากกว่า Display Resolution ที่ไม่ได้ทำให้คุณภาพแตกต่างจากเดิมเท่าใดนัก 6. ที่ชาร์ตของ iPad ไม่ควรเอามาใช้กับ iPhone ยังเป็นข้อสงสัยที่หลายคนรู้สึกคลุมเคลือว่ามีผลหรือไม่ เพราะแม้ทาง Apple เองก็ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่า ตัวชาร์จขนาด 12 วัตต์ของ iPad สามารถใช้ชาร์จได้ทั้ง iPhone และ iPad แต่ทางบริษัท AEi Systems ได้ออกมาเผยว่าการใช้ที่ชาร์จร่วมกันเช่นนั้นจะอาจมีผลกระทบกับ iPhone เช่นกัน หากทำบ่อยและมันอาจใช้เวลายาวนานนับปี ถึงจะเห็นว่าแบตเตอรี่ได้เสื่อมไปแล้ว 7. อย่าชัทดาวน์คอมพิวเตอร์ทุกวัน การชัทดาวน์เครื่องนั้นถือเป็นสิ่งที่ดีต่อคอมพิวเตอร์มาก และดียิ่งกว่าโหมด “Sleep” เสียอีก เพราะการชัทดาวน์จะทำให้เครื่องกินไฟน้อยกว่าเดิม และยังช่วยรักษาสภาพอะไหล่ฮาร์ดแวร์ให้มีอายุยาวนานขึ้นด้วย เป็นไงครับไหนใครเคยเชื่ออะไรตามหัวข้อนี้บ้าง ก็อ่านไว้เป็นความรู้สนุกๆกันนะครับ ถ้าใครมีคำถามอะไรส่งมาได้เลยนะครับ นายTechTipsจะไปหาคำตอบมาให้เเน่นอนครับ #TechTips0 Comments 0 Shares 405 Views 0 Reviews - อย่าเชื่อ ถ้าไม่อยากเสียเงินหมดบัญชี‼️
ตัวอย่างหลอกลงทุน เห็นเกลื่อนในโซเชียลมีเดีย สร้างเพจปลอม ๆ ชักชวนลงทุน อ้างได้ผลตอบแทนดี
คนร้ายมักแอบอ้างร้านทองชื่อดัง หรือบริษัทใหญ่ที่มีชื่อเสียง ใช้ภาพผู้บริหารเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ ก่อนหลอกให้โอนเงินลงทุน ล่อลวงให้ตายใจโดยให้ผลตอบแทนในระยะแรก พอเหยื่อหลงเชื่อลงทุนเพิ่มก็ติดต่อไม่ได้ เสียทั้งทุน พลาดกำไร
“ไม่เชื่อ ไม่รีบ ไม่โอน” ไม่ตกเป็นเหยื่อ ต้องศึกษาข้อมูลให้รอบด้านก่อนลงทุน และพึงระลึกไว้เสมอว่าหากมีผู้ชักชวนลงทุนที่ผลตอบแทนสูง ง่าย เร็ว สงสัยไว้ก่อนว่า “หลอกลวง” ⚠️
ด้วยความหวังดีจาก นายTechTips ขอให้ทุกท่านมีสติและปลอดภัยต่อภัยจากไซเบอร์ทุกท่านนะครับ
#TechTipsอย่าเชื่อ ถ้าไม่อยากเสียเงินหมดบัญชี‼️ ตัวอย่างหลอกลงทุน เห็นเกลื่อนในโซเชียลมีเดีย สร้างเพจปลอม ๆ ชักชวนลงทุน อ้างได้ผลตอบแทนดี คนร้ายมักแอบอ้างร้านทองชื่อดัง หรือบริษัทใหญ่ที่มีชื่อเสียง ใช้ภาพผู้บริหารเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ ก่อนหลอกให้โอนเงินลงทุน ล่อลวงให้ตายใจโดยให้ผลตอบแทนในระยะแรก พอเหยื่อหลงเชื่อลงทุนเพิ่มก็ติดต่อไม่ได้ เสียทั้งทุน พลาดกำไร “ไม่เชื่อ ไม่รีบ ไม่โอน” ไม่ตกเป็นเหยื่อ ต้องศึกษาข้อมูลให้รอบด้านก่อนลงทุน และพึงระลึกไว้เสมอว่าหากมีผู้ชักชวนลงทุนที่ผลตอบแทนสูง ง่าย เร็ว สงสัยไว้ก่อนว่า “หลอกลวง” ⚠️ ด้วยความหวังดีจาก นายTechTips ขอให้ทุกท่านมีสติและปลอดภัยต่อภัยจากไซเบอร์ทุกท่านนะครับ #TechTips0 Comments 0 Shares 251 Views 0 Reviews - สวัสดีครับวันนี้ นายTechTips จะมาเล่าเรื่องหูฟังให้ฟังกันครับผม
เชื่อว่าในยุคสมัยนี้หูฟังเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นในชีวิตประจำวันของเรามากเลยทีเดียว
ไม่ว่าจะใช้ทำงาน พักผ่อน ดูหนัง เล่นเกม หรืออะไรต่างๆ แต่รู้มั้ยครับว่า ห๔ฟังมีกี่ประเภทเเละมีข้อควรใช้อย่างไร
วันนี้ผมจะมาเล่าให้ฟังสนุกๆครับ
หูฟังที่เรา เคยเห็นส่วนมา ก็จะเเยกออกเป็น 7 ประเภท ใหญ่ๆดังนี้
1.หูฟังแบบคาดศรีษะ (Headphones)
1.1 Around-Ears Headphones หูฟังครอบหู
เป็นหูฟังแบบคาดศรีษะที่มีขนาดใหญ่ โดยตัวหูฟังจะสามารถครอบหูทั้งหมด กันเสียงรบกวนจากภายนอกได้ดีระดับหนึ่ง แต่หูฟังประเภทนี้ ก็มีขนาดค่อนข้างใหญ่ จึงทำให้การพกพาในบางรุ่นบางยี่ห้ออาจไม่สะดวก แต่ก็มีบางรุ่นที่ทำออกมาให้มีน้ำหนักเบาและพับเก็บได้ ทำให้พกพาได้ง่ายขึ้น
1.2 On-Ears Headphones หูฟังออนเอียร์
ป็นหูฟังแบบคาดศรีษะที่มีขนาดเล็กรองลงมา จากหูฟังแบบครอบหู โดยลักษณะจะมีขนาดเล็ก ลักษณะที่เห็นชัดคือ หูฟังแบบนี้จะแปะข้างหูแทนการครอบที่ใบหูของเรา หูฟังประเภทนี้เหมาะสำหรับใช้งานทั่วไปทั้งอยู่กับที่ และพกพาไปใช้งานในสถานที่ต่างๆ เพราะมีขนาดที่เล็กนั่นเองครับ
2.หูฟังเอียร์บัด (Earbuds)
หูฟังขนาดเล็กที่มีใช้งานมาอย่างยาวนาน ด้วยความเล็กและสะดวกในการพกพามาถึงยุคปัจจุบันนี้ก็ยังได้รับความนิยมอยู่ ผมขอหยิบยกตัวอย่างให้เห็นภาพง่ายๆ ของหูฟังประเภทนี้ เช่น หูฟังของไอโฟน หรือ เอียร์พอด หรือหูฟังที่ให้มาพร้อมกับโทรศัพท์ มือถือเรา ก็นับว่าเป็น หูฟังแบบเอียร์บัด เช่นกันครับ ซึ่งหูฟังประเภทนี้เป็นหูฟังที่มีขนาดเล็ก การใช้งานง่าย น้ำหนักเบามาก
3.หูฟังแบบมีจุกยางเสียบเข้าหู (In Ear)
หูฟังแบบ In-ear จัดได้ว่าเป็นประเภทของหูฟังที่ค่อนข้างนิยมมากในปัจจุบัน เพราะให้ความสะดวกในการพกพาไปใช้งาน หูฟังแบบ In-Ear สามารถกันเสียงรบกวนจากภายนอกได้ดี ด้วยความที่จุกยางหรือจุกโฟมที่สามารถใส่เข้าไปในรูหูจนปิดสนิท จุดเด่นของหูฟังชนิดนี้ คือ ให้รายละเอียดคุณภาพเสียงที่ชัดเจน
เนื่องด้วยหูฟังอยู่ใกล้รูหูของเรานั่นเองครับ ข้อควรระมัดระวังของหูฟังประเภทนี้ก็คือเรื่องความปลอดภัย เนื่องจากหูฟังประเภทนี้สามารถกันเสียงได้ดีมากๆ ทำให้เราไม่ค่อยได้ยินเสียงจากภายนอก บางครั้งอาจเกิดอันตรายได้ และสำหรับคนที่ชอบเปิดเสียงดังมากๆก็จะเป็นอันตรายต่อหูได้เช่นกัน
4.หูฟังแบบเกี่ยวหู (Ear Clips)
เป็นหูฟังที่มีขนาดพอๆ กับหูฟังออนเอียร์ แต่ไม่ได้เป็นหูฟังแบบคาดศรีษะ แบบออนเอียร์ การสวมใส่หูฟังประเภทนี้ จะเป็นการเกี่ยวกับใบหูของเราแทน การสวมใส่แบบเกี่ยวหู มีจุดเด่นคือทำให้แน่น กระชับ และหลุดยาก ปัจจุบันพบเห็นค่อนข้างยาก เหมาะสำหรับใส่ไปออกกำลังกายเป็นต้น
5.อินเอียร์ (In-Ear Monitors) IEM
เราจะมาพูดถึงอินเอียร์มอนิเตอร์ที่ใช้บนเวทีโดยทั่วไป จะเป็นหูฟังขนาด เล็กหรือหูฟังชนิดอินเอียร์ ซึ่งก็มีทั้งแบบ Universal In Ear และ Custom In Ear พูดกันรวมๆ Universal In Ear และ Custom In Ear ข้อดีของหูฟังแบบนี้
ก็คือ ดีไซน์มาเพื่อลดปัญหาเรื่องเสียง ambiance (แอมเบี๊ยน) เสียงบรรยากาศรายรอบ ต่างๆบนเวที หรือในห้องสตูดิโอ ที่มันมีเยอะเกินไป จนก่อเกิดการรบกวนเยอะไปหมด หูฟังแบบนี้เหมาะกับการใช้งานของใครบ้าง เช่น นักดนตรี ศิลปินนักร้อง ทั้งในสตูดิโอ หรืองานประเภท คอนเสิร์ตกลางแจ้ง
หูฟังแบบนี้ให้รายละเอียดเสียงที่ค่อนข้างเที่ยงตรง แม่นยำ คัลเลอร์หรือความผิดเพี้ยนต่ำมากครับ ข้อดีข้อถัดมา ก็คือเราจะได้ยินเสียงที่ชัดเจนมากขึ้นเนื่องจาก การป้องกันเสียงรบกวนจากภายนอกทำได้ดีนั่นเองครับ ส่วนการเพิ่มหรือลดเสียงก็สามารถทำได้อิสระ ทำให้ได้ยินเสียงเครื่องดนตรีแต่ละชิ้นได้อย่างชัดเจนครบถ้วน
ส่วนข้อจำกัด ใส่นานๆอาจปวดหูได้หากไซส์หรือขนาดที่ไม่พอดีกับสรีระหูของเรา หากจะถามว่า การนำไปฟังเพลงเพราะใหม ตอบได้เลยว่า อาจไม่ค่อยเพราะพริ้งโดนใจ เพราะแนวเสียงของหูฟังประเภทนี้ ค่อนข้างแฟลตราบเรียบ นั่นเองครับ
6.หูฟังแบบคัสตอม (Custom In-Ear Monitors)
หูฟังคัสตอม เป็นหูฟังอินเอียร์อีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งคล้ายๆกันกับแบบ Universal In Ear แต่เป็นหูฟังที่สั่งทำโดยเฉพาะ เพื่อให้เข้ากับสรีระของหูผู้บริโภคหรือผู้ใช้งานโดยเฉพาะ ทำให้การสวมใส่พอดี ลดปัญหาเจ็บหรือปวดหูได้ ส่วนการป้องกันเสียงจากภายนอก หูฟังประเภทนี้ ก็ทำได้ดีมากครับ
หูฟังประเภทนี้มีขั้นตอนการผลิต ที่ค่อนข้างละเอียด โดยเริ่มจากการฉีดซิลิโคนเพื่อหล่อพิมพ์จากใบหูของผู้ใช้งาน จากนั้นก็ส่งต้นแบบไปผลิตที่แล็บ ประเทศที่ทำการผลิต ทำให้ใช้ระยะเวลาในการผลิตค่อนข้างใช้ระยะเวลาพอสมควรครับ
7.หูฟังแบบสั่นกระดูก (Bone Conduction Headphones)
ะบบการฟังเพลงผ่านกระดูกหรือเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า “ BONE CONDUCTION “ หลายท่านอาจจะได้เคยเห็นกันมาบ้างแล้วว่าหูฟังประเภทนี้คืออะไร หลักการทำงานของหูฟังจะเป็นการใช้แรงสั่นสะเทือนส่งไปที่กระดูกแก้มทำให้เราได้ยินเสียงโดยที่ต้องไม่ต้องผ่านไปที่แก้วหู ซึ่งประโยนชน์ของ BONE CONDUCTION ทำให้เรา ได้ยินเสียงรายรอบ หรือบรรยากาศรอบข้างได้อีกด้วย ถึงแม้ว่าไดร์เวอร์อาจจะต่างชนิดกับหูฟัง IN-EAR ทั่วไป แต่ก็ให้รายละเอียดเสียงในแบบเฉพาะของ BONE CONDUCTION
ก็น่าจะเต็มอิ่มกันไปนะครับสำหรับข้อมูล เเต่นายTechTips อยากจะเตือนไว้ว่าเนื่องจากหูฟังเราใช้งานกับอวัยวะที่ต้องการความใส่ใจเเละความสะอาดเป็นอย่างมาก ขอให้หมั่นดูแลรักษาความสะอาดและไม่เปิดดังจนเกินไปนะครับ หูของเราจะได้อยู่กับเราไปนานๆ ครับผม
เจอกันใหม่คราวหน้าครับ #TechTipsสวัสดีครับวันนี้ นายTechTips จะมาเล่าเรื่องหูฟังให้ฟังกันครับผม เชื่อว่าในยุคสมัยนี้หูฟังเป็นอุปกรณ์ที่จำเป็นในชีวิตประจำวันของเรามากเลยทีเดียว ไม่ว่าจะใช้ทำงาน พักผ่อน ดูหนัง เล่นเกม หรืออะไรต่างๆ แต่รู้มั้ยครับว่า ห๔ฟังมีกี่ประเภทเเละมีข้อควรใช้อย่างไร วันนี้ผมจะมาเล่าให้ฟังสนุกๆครับ หูฟังที่เรา เคยเห็นส่วนมา ก็จะเเยกออกเป็น 7 ประเภท ใหญ่ๆดังนี้ 1.หูฟังแบบคาดศรีษะ (Headphones) 1.1 Around-Ears Headphones หูฟังครอบหู เป็นหูฟังแบบคาดศรีษะที่มีขนาดใหญ่ โดยตัวหูฟังจะสามารถครอบหูทั้งหมด กันเสียงรบกวนจากภายนอกได้ดีระดับหนึ่ง แต่หูฟังประเภทนี้ ก็มีขนาดค่อนข้างใหญ่ จึงทำให้การพกพาในบางรุ่นบางยี่ห้ออาจไม่สะดวก แต่ก็มีบางรุ่นที่ทำออกมาให้มีน้ำหนักเบาและพับเก็บได้ ทำให้พกพาได้ง่ายขึ้น 1.2 On-Ears Headphones หูฟังออนเอียร์ ป็นหูฟังแบบคาดศรีษะที่มีขนาดเล็กรองลงมา จากหูฟังแบบครอบหู โดยลักษณะจะมีขนาดเล็ก ลักษณะที่เห็นชัดคือ หูฟังแบบนี้จะแปะข้างหูแทนการครอบที่ใบหูของเรา หูฟังประเภทนี้เหมาะสำหรับใช้งานทั่วไปทั้งอยู่กับที่ และพกพาไปใช้งานในสถานที่ต่างๆ เพราะมีขนาดที่เล็กนั่นเองครับ 2.หูฟังเอียร์บัด (Earbuds) หูฟังขนาดเล็กที่มีใช้งานมาอย่างยาวนาน ด้วยความเล็กและสะดวกในการพกพามาถึงยุคปัจจุบันนี้ก็ยังได้รับความนิยมอยู่ ผมขอหยิบยกตัวอย่างให้เห็นภาพง่ายๆ ของหูฟังประเภทนี้ เช่น หูฟังของไอโฟน หรือ เอียร์พอด หรือหูฟังที่ให้มาพร้อมกับโทรศัพท์ มือถือเรา ก็นับว่าเป็น หูฟังแบบเอียร์บัด เช่นกันครับ ซึ่งหูฟังประเภทนี้เป็นหูฟังที่มีขนาดเล็ก การใช้งานง่าย น้ำหนักเบามาก 3.หูฟังแบบมีจุกยางเสียบเข้าหู (In Ear) หูฟังแบบ In-ear จัดได้ว่าเป็นประเภทของหูฟังที่ค่อนข้างนิยมมากในปัจจุบัน เพราะให้ความสะดวกในการพกพาไปใช้งาน หูฟังแบบ In-Ear สามารถกันเสียงรบกวนจากภายนอกได้ดี ด้วยความที่จุกยางหรือจุกโฟมที่สามารถใส่เข้าไปในรูหูจนปิดสนิท จุดเด่นของหูฟังชนิดนี้ คือ ให้รายละเอียดคุณภาพเสียงที่ชัดเจน เนื่องด้วยหูฟังอยู่ใกล้รูหูของเรานั่นเองครับ ข้อควรระมัดระวังของหูฟังประเภทนี้ก็คือเรื่องความปลอดภัย เนื่องจากหูฟังประเภทนี้สามารถกันเสียงได้ดีมากๆ ทำให้เราไม่ค่อยได้ยินเสียงจากภายนอก บางครั้งอาจเกิดอันตรายได้ และสำหรับคนที่ชอบเปิดเสียงดังมากๆก็จะเป็นอันตรายต่อหูได้เช่นกัน 4.หูฟังแบบเกี่ยวหู (Ear Clips) เป็นหูฟังที่มีขนาดพอๆ กับหูฟังออนเอียร์ แต่ไม่ได้เป็นหูฟังแบบคาดศรีษะ แบบออนเอียร์ การสวมใส่หูฟังประเภทนี้ จะเป็นการเกี่ยวกับใบหูของเราแทน การสวมใส่แบบเกี่ยวหู มีจุดเด่นคือทำให้แน่น กระชับ และหลุดยาก ปัจจุบันพบเห็นค่อนข้างยาก เหมาะสำหรับใส่ไปออกกำลังกายเป็นต้น 5.อินเอียร์ (In-Ear Monitors) IEM เราจะมาพูดถึงอินเอียร์มอนิเตอร์ที่ใช้บนเวทีโดยทั่วไป จะเป็นหูฟังขนาด เล็กหรือหูฟังชนิดอินเอียร์ ซึ่งก็มีทั้งแบบ Universal In Ear และ Custom In Ear พูดกันรวมๆ Universal In Ear และ Custom In Ear ข้อดีของหูฟังแบบนี้ ก็คือ ดีไซน์มาเพื่อลดปัญหาเรื่องเสียง ambiance (แอมเบี๊ยน) เสียงบรรยากาศรายรอบ ต่างๆบนเวที หรือในห้องสตูดิโอ ที่มันมีเยอะเกินไป จนก่อเกิดการรบกวนเยอะไปหมด หูฟังแบบนี้เหมาะกับการใช้งานของใครบ้าง เช่น นักดนตรี ศิลปินนักร้อง ทั้งในสตูดิโอ หรืองานประเภท คอนเสิร์ตกลางแจ้ง หูฟังแบบนี้ให้รายละเอียดเสียงที่ค่อนข้างเที่ยงตรง แม่นยำ คัลเลอร์หรือความผิดเพี้ยนต่ำมากครับ ข้อดีข้อถัดมา ก็คือเราจะได้ยินเสียงที่ชัดเจนมากขึ้นเนื่องจาก การป้องกันเสียงรบกวนจากภายนอกทำได้ดีนั่นเองครับ ส่วนการเพิ่มหรือลดเสียงก็สามารถทำได้อิสระ ทำให้ได้ยินเสียงเครื่องดนตรีแต่ละชิ้นได้อย่างชัดเจนครบถ้วน ส่วนข้อจำกัด ใส่นานๆอาจปวดหูได้หากไซส์หรือขนาดที่ไม่พอดีกับสรีระหูของเรา หากจะถามว่า การนำไปฟังเพลงเพราะใหม ตอบได้เลยว่า อาจไม่ค่อยเพราะพริ้งโดนใจ เพราะแนวเสียงของหูฟังประเภทนี้ ค่อนข้างแฟลตราบเรียบ นั่นเองครับ 6.หูฟังแบบคัสตอม (Custom In-Ear Monitors) หูฟังคัสตอม เป็นหูฟังอินเอียร์อีกรูปแบบหนึ่ง ซึ่งคล้ายๆกันกับแบบ Universal In Ear แต่เป็นหูฟังที่สั่งทำโดยเฉพาะ เพื่อให้เข้ากับสรีระของหูผู้บริโภคหรือผู้ใช้งานโดยเฉพาะ ทำให้การสวมใส่พอดี ลดปัญหาเจ็บหรือปวดหูได้ ส่วนการป้องกันเสียงจากภายนอก หูฟังประเภทนี้ ก็ทำได้ดีมากครับ หูฟังประเภทนี้มีขั้นตอนการผลิต ที่ค่อนข้างละเอียด โดยเริ่มจากการฉีดซิลิโคนเพื่อหล่อพิมพ์จากใบหูของผู้ใช้งาน จากนั้นก็ส่งต้นแบบไปผลิตที่แล็บ ประเทศที่ทำการผลิต ทำให้ใช้ระยะเวลาในการผลิตค่อนข้างใช้ระยะเวลาพอสมควรครับ 7.หูฟังแบบสั่นกระดูก (Bone Conduction Headphones) ะบบการฟังเพลงผ่านกระดูกหรือเรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า “ BONE CONDUCTION “ หลายท่านอาจจะได้เคยเห็นกันมาบ้างแล้วว่าหูฟังประเภทนี้คืออะไร หลักการทำงานของหูฟังจะเป็นการใช้แรงสั่นสะเทือนส่งไปที่กระดูกแก้มทำให้เราได้ยินเสียงโดยที่ต้องไม่ต้องผ่านไปที่แก้วหู ซึ่งประโยนชน์ของ BONE CONDUCTION ทำให้เรา ได้ยินเสียงรายรอบ หรือบรรยากาศรอบข้างได้อีกด้วย ถึงแม้ว่าไดร์เวอร์อาจจะต่างชนิดกับหูฟัง IN-EAR ทั่วไป แต่ก็ให้รายละเอียดเสียงในแบบเฉพาะของ BONE CONDUCTION ก็น่าจะเต็มอิ่มกันไปนะครับสำหรับข้อมูล เเต่นายTechTips อยากจะเตือนไว้ว่าเนื่องจากหูฟังเราใช้งานกับอวัยวะที่ต้องการความใส่ใจเเละความสะอาดเป็นอย่างมาก ขอให้หมั่นดูแลรักษาความสะอาดและไม่เปิดดังจนเกินไปนะครับ หูของเราจะได้อยู่กับเราไปนานๆ ครับผม เจอกันใหม่คราวหน้าครับ #TechTips0 Comments 0 Shares 455 Views 0 Reviews - สวัสดีครับวันนี้ นายTechTips ก็จะมาเตือนภัยไซเบอร์กันตามเคย
ทุกคนก็คงอยากมีวันพักผ่อนที่เเสนสบาย ได้พักโรงเเรมดีๆ ในสถานที่เจ๋งๆกันใช่มั้ยล่ะครับ
วันนี้เราก็จะมาเตือนกันเรื่องภัยจากการจองที่พักปลอม! จะเป็นอย่างไรนั้นมาอ่านกันเลยครับ
กลโกง
คนร้าย เปิดเพจปลอม และโฆษณาใน Facebook
เหยื่อทักแชทติดต่อขอจองที่พัก คนร้ายให้โอนเงินค่าที่พัก
เมื่อถึงวันเข้าพักไม่ได้ ติดต่อคนร้ายก็ไม่ได้
จุดสังเกต
ตรวจสอบว่า Facebook เป็นบัญชีทางการและมีเครื่องหมายถูกหรือไม่
เพจปลอมมักมีอิโมชั่นแสดงอารมณ์ด้านลบ (โกรธ)
เพจปลอมมักสร้างเพจมาไม่นาน /เปลี่ยนชื่อบ่อย / คนดูแลมักอยู่ต่างประเทศ
วิธีป้องกัน
ตรวจสอบความโปร่งใสของเพจ
ตรวจสอบประวัติก่อนโอนเงินที่ www.Blacklistseller.com
หากไม่มั่นใจ โทรปรึกษาที่สายด่วนศูนย์ AOC 1441
ขอบคุณข้อมูลดีๆจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติด้วยครับ!!
เห็นมั้ยละครับหากเรารู้เท่าทันกลโกลเเละคนโกงแล้วล่ะก็เราก็จะไม่ต้องมานั่งอารมณ์เสียหรทอเสียใจที่โดนหลอกอีกเลย
สำหรับวันนี้ นายTechTips ก็ขอลาไปก่อน ใครไม่คำถามอะไรฝากเอาไว้ได้เลยนะครับ ผมจะหาคำตอบมาให้อย่างเเน่นอน!!
#TechTipsสวัสดีครับวันนี้ นายTechTips ก็จะมาเตือนภัยไซเบอร์กันตามเคย ทุกคนก็คงอยากมีวันพักผ่อนที่เเสนสบาย ได้พักโรงเเรมดีๆ ในสถานที่เจ๋งๆกันใช่มั้ยล่ะครับ วันนี้เราก็จะมาเตือนกันเรื่องภัยจากการจองที่พักปลอม! จะเป็นอย่างไรนั้นมาอ่านกันเลยครับ กลโกง คนร้าย เปิดเพจปลอม และโฆษณาใน Facebook เหยื่อทักแชทติดต่อขอจองที่พัก คนร้ายให้โอนเงินค่าที่พัก เมื่อถึงวันเข้าพักไม่ได้ ติดต่อคนร้ายก็ไม่ได้ จุดสังเกต ตรวจสอบว่า Facebook เป็นบัญชีทางการและมีเครื่องหมายถูกหรือไม่ เพจปลอมมักมีอิโมชั่นแสดงอารมณ์ด้านลบ (โกรธ) เพจปลอมมักสร้างเพจมาไม่นาน /เปลี่ยนชื่อบ่อย / คนดูแลมักอยู่ต่างประเทศ วิธีป้องกัน ตรวจสอบความโปร่งใสของเพจ ตรวจสอบประวัติก่อนโอนเงินที่ www.Blacklistseller.com หากไม่มั่นใจ โทรปรึกษาที่สายด่วนศูนย์ AOC 1441 ขอบคุณข้อมูลดีๆจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติด้วยครับ!! เห็นมั้ยละครับหากเรารู้เท่าทันกลโกลเเละคนโกงแล้วล่ะก็เราก็จะไม่ต้องมานั่งอารมณ์เสียหรทอเสียใจที่โดนหลอกอีกเลย สำหรับวันนี้ นายTechTips ก็ขอลาไปก่อน ใครไม่คำถามอะไรฝากเอาไว้ได้เลยนะครับ ผมจะหาคำตอบมาให้อย่างเเน่นอน!! #TechTips0 Comments 0 Shares 380 Views 0 Reviews - วันนี้นาย TechTips จะมาตอบคำถามปัญหาโลกแตกอีกข้อหนึ่งที่มักจะถูกถามกันบ่อยๆนั่นก็คือ
จัดเสป็คคอมฯใหม่เลือกอุปกรณ์ชิ้นไหนดี?
วันนี้กระผมจะขอมาสรุปและจัดลำดับคร่าวๆแบบเข้าใจง่ายๆเอาไว้ให้ยึดเป็นหลักในการซื้อกันครับผม
ก่อนจะอ่านต่อไปขอให้ทุกท่านทราบเอาไว้ว่านี่เป็นบทความที่เขียนขึ้นในปี 2567 ขออนุญาตใช้มาตรฐานในปี พศ. นี้นะครับผม
1 งบประมาณต้องมาก่อน
หากเราจะซื้อของอะไรซักอย่างเราก้ต้องมองเงินในกระเป๋าก่อนใช่มั้ยครับ แต่ถ้าหากมีงบประมาณไม่จำกัด ให้วัดจากสิ่งที่เราจะกับเครื่องคอมฯเครื่องใหม่นี้ครับ เช่นเล่นเกม ทำงาน ตัดต่อ ดราฟฟิค ดูหุ้น ขุดเหรียญ ก็เลเ้วเเต่ท่านจะชอบ เมื่อเรารู้หน้าที่ของมันเเล้ว ให้เอาไปเสริจหาราคาคร่าวๆได้ครับว่าจะต้องใช้เงินประมาณเท่าไหร่
2 เลือกอุปกรณ์ชิ้นเเรกจากจุดประสงค์หลัก
หมายความว่า ถ้าเราต้องการเล่นเกมโดยเฉพาะ ให้เลือกการ์ดจอก่อน ถ้าใช้คำนวนโปรเเกรมที่มีความซับซ้อนมากๆให้เลือกจาก ซีพียูก่อนครับ เเล้วจึงไปเลือกชิ้นอื่นๆตาม ตัวอย่างเช่น
ต้องการประกอบคอมพ์เล่นเกมซัก1เครื่องลำดับก็จะตามนี้ครับ
การ์ดจอ >> ซีพียู >> เมนบอร์ด >> แรม >> พาวเวอร์ซัพพลาย >> เคส >> อุปกรณ์เสริมต่างๆ
สาเหตุที่เเนะนำให้ซื้อ พาวเวอร์ซัพพลายเป็นอย่างท้ายๆมีเหตุผลว่า เมื่อเราได้อุปกรณ์ส่วนใหญ่ครบหมดเเล้ว เราจะ สามารถคำนวน การใช้ไฟโดยรวมของเครื่องได้ เเล้วเราจะสามารถเลือกตัวจ่ายไฟที่เหมาะสมกับการใช้งานได้นั่นเองครับ
3 พยายามทำให้ราคารวมทั้งหมดอยู่ในงบเอาไว้ก่อน
ปัจจุบันนี้การซื้อขายชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์มีหลายแบบมากครับ ทั้ง จากดีลเลอร์ จากร้านปลีก ออนไลน์ หรือซื้อมือสองจากคนที่ต้องการขาย เพราะฉะนั้น ถ้าเรามีความรู้เยอะๆด้วยการดูรีวิวดูผลเทส เเล้วก็ขยันหาของในราคาที่เราต้องการก็จะช่วยให้เราประหยัดเงิน มากขึ้น และได้ เสป็คความเเรงที่เราต้องการตามไปด้วยครับผม
เอาละครับสำหรับหารเลือกซื้อคร่าวๆ ก็จะมีประมาณนี้ ส่วนเรื่องดีเทลเสป็คหรือ รหัสโค้ดสินค้าต่างๆ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องหาความรู้ เพิ่มเติมในการเลือกซื้อครับ
ขอให้สนุกกับการเลือกซื้อเเละประกอบคอมนะครับ
ด้วยความหวังดีจาก นายTechTips
#TechTips
วันนี้นาย TechTips จะมาตอบคำถามปัญหาโลกแตกอีกข้อหนึ่งที่มักจะถูกถามกันบ่อยๆนั่นก็คือ จัดเสป็คคอมฯใหม่เลือกอุปกรณ์ชิ้นไหนดี? วันนี้กระผมจะขอมาสรุปและจัดลำดับคร่าวๆแบบเข้าใจง่ายๆเอาไว้ให้ยึดเป็นหลักในการซื้อกันครับผม ก่อนจะอ่านต่อไปขอให้ทุกท่านทราบเอาไว้ว่านี่เป็นบทความที่เขียนขึ้นในปี 2567 ขออนุญาตใช้มาตรฐานในปี พศ. นี้นะครับผม 1 งบประมาณต้องมาก่อน หากเราจะซื้อของอะไรซักอย่างเราก้ต้องมองเงินในกระเป๋าก่อนใช่มั้ยครับ แต่ถ้าหากมีงบประมาณไม่จำกัด ให้วัดจากสิ่งที่เราจะกับเครื่องคอมฯเครื่องใหม่นี้ครับ เช่นเล่นเกม ทำงาน ตัดต่อ ดราฟฟิค ดูหุ้น ขุดเหรียญ ก็เลเ้วเเต่ท่านจะชอบ เมื่อเรารู้หน้าที่ของมันเเล้ว ให้เอาไปเสริจหาราคาคร่าวๆได้ครับว่าจะต้องใช้เงินประมาณเท่าไหร่ 2 เลือกอุปกรณ์ชิ้นเเรกจากจุดประสงค์หลัก หมายความว่า ถ้าเราต้องการเล่นเกมโดยเฉพาะ ให้เลือกการ์ดจอก่อน ถ้าใช้คำนวนโปรเเกรมที่มีความซับซ้อนมากๆให้เลือกจาก ซีพียูก่อนครับ เเล้วจึงไปเลือกชิ้นอื่นๆตาม ตัวอย่างเช่น ต้องการประกอบคอมพ์เล่นเกมซัก1เครื่องลำดับก็จะตามนี้ครับ การ์ดจอ >> ซีพียู >> เมนบอร์ด >> แรม >> พาวเวอร์ซัพพลาย >> เคส >> อุปกรณ์เสริมต่างๆ สาเหตุที่เเนะนำให้ซื้อ พาวเวอร์ซัพพลายเป็นอย่างท้ายๆมีเหตุผลว่า เมื่อเราได้อุปกรณ์ส่วนใหญ่ครบหมดเเล้ว เราจะ สามารถคำนวน การใช้ไฟโดยรวมของเครื่องได้ เเล้วเราจะสามารถเลือกตัวจ่ายไฟที่เหมาะสมกับการใช้งานได้นั่นเองครับ 3 พยายามทำให้ราคารวมทั้งหมดอยู่ในงบเอาไว้ก่อน ปัจจุบันนี้การซื้อขายชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์มีหลายแบบมากครับ ทั้ง จากดีลเลอร์ จากร้านปลีก ออนไลน์ หรือซื้อมือสองจากคนที่ต้องการขาย เพราะฉะนั้น ถ้าเรามีความรู้เยอะๆด้วยการดูรีวิวดูผลเทส เเล้วก็ขยันหาของในราคาที่เราต้องการก็จะช่วยให้เราประหยัดเงิน มากขึ้น และได้ เสป็คความเเรงที่เราต้องการตามไปด้วยครับผม เอาละครับสำหรับหารเลือกซื้อคร่าวๆ ก็จะมีประมาณนี้ ส่วนเรื่องดีเทลเสป็คหรือ รหัสโค้ดสินค้าต่างๆ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องหาความรู้ เพิ่มเติมในการเลือกซื้อครับ ขอให้สนุกกับการเลือกซื้อเเละประกอบคอมนะครับ ด้วยความหวังดีจาก นายTechTips #TechTips0 Comments 0 Shares 366 Views 0 Reviews - มีใครรู้จักคำนี้บ้างครับ
defragement
การ defragement คืออะไรวันนี้ นาย TechTips จะมาเล่าให้ฟังครับ
defragement ก็คือการจัดรียงข้อมูลให้เข้าที่เข้าทาง เมื่อไฟล์ในเครื่องถูกจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบแล้วละก็
จะมีผลให้เครื่องคอมพ์เเสนรักของเรา ทำงานเป็นปกติและยังคงความเร็วอยู่นั่นเอง
รวมถึงหลีกเลี่ยงปัญหา เออเรอร์ต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิดอีกด้วย
ข้อดีเยอะขนาดนี้ไม่ทำไม่ได้แล้วใช่มั้ยล่ะครับ
วิธีทำก็ง่ายๆครับ กดปุ่ม วิโดว์คีย์ เเล้ว ก๊อปคำนี้ไปวางได้เลยครับ defragement
จากนั้นก็เลือก drive ที่เราต้องการทำ โดยส่วนใหญ่ก็จะเป็น drive C นั่นเอง ซึ่งเป็นที่อยู่หลักๆของ ตัว os window ครับ
เพียงเทท่านี้คอมพ์เเสนรักก็จะมีสุขภาพดีและอยู่กับเราได้นานขึ้น รวมถึงเวลาใช้งานก็จะไม่หงุดหงิดด้วยครับ
แล้วเราจะต้องทำสิ่งนี้บ่อยเเค่ไหนกันหรือ ตามปกติเเล้วเดือนละครั้งก็เพียงพอครับ ไม่จำเป้นต้องทำบ่อย
ยิ่งวินโดว์เวอร์ชั่นใหม่ๆอย่าง 10/11 ในปัจจุบ้นหากเราเปิดเครื่องทิ้งไว้นานๆ ตัววินโดว์เองก็จะทำการตั้งเวลาในการทำโดยอัตโนมัติอีกด้วยครับ
สำหรับวันนี้นาย TechTips ขอลาไปก่อน
หากใครมีคำถามก็เชิญคอมเม้นกันมาได้เลยครับ
กระผมจะหาคำตอบมาให้ท่านทราบอย่างเเน่นอน
แล้วเจอกันใหม่คร้าบ
#TechTipsมีใครรู้จักคำนี้บ้างครับ defragement การ defragement คืออะไรวันนี้ นาย TechTips จะมาเล่าให้ฟังครับ defragement ก็คือการจัดรียงข้อมูลให้เข้าที่เข้าทาง เมื่อไฟล์ในเครื่องถูกจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบแล้วละก็ จะมีผลให้เครื่องคอมพ์เเสนรักของเรา ทำงานเป็นปกติและยังคงความเร็วอยู่นั่นเอง รวมถึงหลีกเลี่ยงปัญหา เออเรอร์ต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่คาดคิดอีกด้วย ข้อดีเยอะขนาดนี้ไม่ทำไม่ได้แล้วใช่มั้ยล่ะครับ วิธีทำก็ง่ายๆครับ กดปุ่ม วิโดว์คีย์ เเล้ว ก๊อปคำนี้ไปวางได้เลยครับ defragement จากนั้นก็เลือก drive ที่เราต้องการทำ โดยส่วนใหญ่ก็จะเป็น drive C นั่นเอง ซึ่งเป็นที่อยู่หลักๆของ ตัว os window ครับ เพียงเทท่านี้คอมพ์เเสนรักก็จะมีสุขภาพดีและอยู่กับเราได้นานขึ้น รวมถึงเวลาใช้งานก็จะไม่หงุดหงิดด้วยครับ แล้วเราจะต้องทำสิ่งนี้บ่อยเเค่ไหนกันหรือ ตามปกติเเล้วเดือนละครั้งก็เพียงพอครับ ไม่จำเป้นต้องทำบ่อย ยิ่งวินโดว์เวอร์ชั่นใหม่ๆอย่าง 10/11 ในปัจจุบ้นหากเราเปิดเครื่องทิ้งไว้นานๆ ตัววินโดว์เองก็จะทำการตั้งเวลาในการทำโดยอัตโนมัติอีกด้วยครับ สำหรับวันนี้นาย TechTips ขอลาไปก่อน หากใครมีคำถามก็เชิญคอมเม้นกันมาได้เลยครับ กระผมจะหาคำตอบมาให้ท่านทราบอย่างเเน่นอน แล้วเจอกันใหม่คร้าบ #TechTips0 Comments 0 Shares 327 Views 0 Reviews - เดี๋ยวนี้จะทำอะไรต้องระมัดระวังมากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในเรื่องของสื่อสังคมออนไลน์ การจะโพสต์ข้อความรวมถึงการแสดงความคิดเห็นก็ต้องใช้วิจารณญาณเพิ่มมากขึ้น ยิ่งตอนนี้เรามี พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ที่มีบทลงโทษของการกระทำผิด ที่ทุกคนควรรู้ และคิดให้ถี่ถ้วนก่อนค่อยแชร์โพสต์รวมทั้งแสดงความคิดเห็น มีอะไรบ้าง วันนี้ นายTechTips จะบอกให้ฟังครับ
การกดไลก์ (Like)
หลายคนอาจสงสัยว่า กด Like ก็ผิดพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ด้วยเหรอ ความจริงแล้วการกด Like ไม่ถือเป็นความผิด นอกเสียจากว่า ไปกด Like ข้อมูลปลอม ข้อมูลอันเป็นเท็จ ไม่เป็นความจริง หลอกลวง ที่มีผลทำให้เกิดความเสียหายต่อผู้อื่น ประชาชน ความมั่นคงของประเทศได้ เช่น ข้อมูลที่ผลกระทบต่อสังคม ความมั่นคงของชาติ และหากเกี่ยวข้องกับสถาบันกษัตริย์ อาจจะเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3-15 ปี
การกดแชร์ (Share)
การกด Share ข้อมูลปลอม ข้อมูลอันเป็นเท็จ ไม่เป็นความจริง หลอกลวง ที่มีผลทำให้เกิดความเสียหายต่อผู้อื่น ประชาชน ความมั่นคงของประเทศได้ เช่น ข้อมูลที่มีผลกระทบต่อสังคม ความมั่นคงของชาติ และหากเกี่ยวข้องกับสถาบันกษัตริย์ อาจมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3-15 ปี
การกดไลก์ (Like)
หลายคนอาจสงสัยว่า กด Like ก็ผิดพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ด้วยเหรอ ความจริงแล้วการกด Like ไม่ถือเป็นความผิด นอกเสียจากว่า ไปกด Like ข้อมูลปลอม ข้อมูลอันเป็นเท็จ ไม่เป็นความจริง หลอกลวง ที่อาจมีผลทำให้เกิดความเสียหายต่อผู้อื่น ประชาชน ความมั่นคงของประเทศได้ เช่น ข้อมูลที่ผลกระทบต่อสังคม ความมั่นคงของชาติ และหากเกี่ยวข้องกับสถาบันกษัตริย์ อาจมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3-15 ปี
การกดแชร์ (Share)
การกด Share ข้อมูลปลอม ข้อมูลอันเป็นเท็จ ไม่เป็นความจริง หลอกลวง ที่อาจมีผลทำให้เกิดความเสียหายต่อผู้อื่น ประชาชน ความมั่นคงของประเทศได้ เช่น ข้อมูลที่มีผลกระทบต่อสังคม ความมั่นคงของชาติ และหากเกี่ยวข้องกับสถาบันกษัตริย์ อาจมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112
การเป็นแอดมินเพจ
หน้าที่ของแอดมินเพจต่าง ๆ คือต้องสอดส่องดูแลความเรียบร้อย ตลอดจน monitor ความคิดเห็นของลูกเพจ ไม่ให้ไปในเชิงลบ และขัดต่อกฎหมาย หากลูกเพจแสดงความคิดเห็นที่ผิดต่อกฎหมาย แอดมินมีหน้าที่ลบจากพื้นที่ หากไม่ลบหรือซ่อนข้อความนั้นจะถือว่ามีความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เช่นกัน ทั้งนี้ หากเข้าลักษณะเป็นความผิดมาตรา 14 โทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท
การโพสต์สิ่งลามกอนาจาร
เป็นที่ทราบดีอยู่แล้วว่า สิ่งลามกอนาจารไม่ควรโพสต์ หรือเผยแพร่ด้วยประการทั้งปวง ถือเป็นสิ่งผิดกฎหมายและไม่ควรกระทำ และเป็นความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ทั้งนี้ หากเข้าลักษณะเป็นความผิดมาตรา 14 โทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท
การโพสต์รูปเกี่ยวกับเด็ก
การโพสต์รูปเด็กหรือเยาวชน โดยไม่ได้รับความยิมยอมหรือไม่ได้ขออนุญาต ต้องมีการปิดบังหน้า นอกจากจะเป็นการยกย่อง เชิดชู ความดีงาม ถึงจะสามารถกระทำการโพสต์ได้ ทั้งนี้ หากเข้าลักษณะเป็นความผิด มาตรา 14 (1) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จ ซึ่งมีโทษจำคุกสูงถึง 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท
ข้อมูลผู้เสียชีวิต
ห้ามโพสต์ภาพผู้ที่เสียชีวิต รวมไปถึงให้ข้อมูลเรื่องการเสียชีวิต ยิ่งเป็นโพสต์ดูหมิ่น หรือแสดงความเกลียดชัง ไม่ว่าจะเป็นญาติ คนสนิท หรือแม้แต่บุคคลที่มีชื่อเสียง หากเข้าลักษณะเป็นความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 200,000 บาท
การโพสต์ด่าว่าผู้อื่น
การด่าทอผู้อื่นซึ่งหน้าก็ถือว่าเป็นความผิดแล้ว แต่หากโพสต์ด่าว่าผู้อื่นโดยข้อมูลนั้นเป็นเท็จ ก็มีโทษ หากเข้าลักษณะเป็นความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ จำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 200,000 บาท ฉะนั้นควรสะกดกลั้นอารมณ์แล้วอย่าไปลงกับสื่อโซเชียล มิเช่นนั้นอาจโดนทั้งจำ ทั้งปรับนะครับ
การละเมิดลิขสิทธิ์ผู้อื่น
การจะเอาอะไรของใครไปใช้ ต้องมีการขออนุญาตและให้เครดิตก่อนทุกครั้ง เพื่อไม่ให้เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ผู้อื่น เช่นเดียวกับโลกออนไลน์ การจะโพสต์ Quote ข้อความ เพลง รูปภาพ วิดีโอใด ๆ ต้องบอกแหล่งที่มา ให้เครดิต หรือขออนุญาติเจ้าของก่อน มิฉะนั้นหากเข้าลักษณะเป็นความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มีความผิด มีโทษจำคุกสูงถึง 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท
การส่งรูปภาพ
หากเป็นการส่งให้เพื่อน หรือญาติสนิทมิตรสหายดู อาจเพื่อความบันเทิง หรือเพื่อเป็นความรู้สามารถส่งรูปภาพได้ แต่หากเป็นการแชร์ภาพ หรือนำรูปภาพไปใช้เพื่อการพาณิชย์ หรือสร้างรายได้ ต้องขออนุญาตและทำให้ถูกต้องก่อน มิฉะนั้นอาจมีความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ทั้งนี้ หากเข้าลักษณะเป็นความผิด มาตรา 14 (1) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จ ซึ่งมีโทษจำคุกสูงถึง 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท
การฝากร้าน
ก่อนจะมีบทลงโทษที่ชัดเจนออกมา เราได้เห็นการฝากร้านใต้โพสต์ของผู้มีชื่อเสียง และดารามากมาย แต่ตอนนี้ไม่สามารถทำได้แล้ว หากไม่ได้รับอนุญาต เพราะการฝากร้านในโซเชียลมีเดีย ถือเป็นสแปมและรบกวนผู้อื่น มีโทษปรับสูงสุด 200,000 บาท ฉะนั้นต้องตรวจสอบให้ดีก่อนค่อยฝากร้านนะครับ
การส่งอีเมล (Email) ขายของ
การส่ง Email เพื่อขายของโดยที่เจ้าของ Email ไม่ได้ให้ความยินยอม ถือเป็นความผิดนะครับ นอกจากจะมีการลงทะเบียน Subscribe อย่างถูกต้องแล้ว ส่งเป็นจดหมายข่าว หรือโปรโมชันให้ แบบนี้สามารถทำได้ หากพบว่าเข้าลักษณะเป็นความผิด มีโทษปรับไม่เกิน 100,000 บาท จำคุกไม่เกิน 2 ปี
การส่งข้อความ (SMS) โฆษณา
หลายคนน่าจะเคยได้รับข้อความ SMS โฆษณาจากแบรนด์ต่าง ๆ ซึ่งต้องได้รับความยินยอมให้รับข่าวสาร โฆษณาจากเจ้าของหมายเลขโทรศัพท์ ก่อนถึงจะกระทำได้ มิฉะนั้นอาจถือว่ามีความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และอาจถือว่าเป็นสแปม ปรับสูงสุด 200,000 บาท
พบข้อมูลผิดกฎหมาย
กรณีพบว่ามีการแสดงความคิดเห็นที่ผิดกฎหมาย เช่น แสดงความคิดเห็นในเว็บไซต์ต่าง ๆ รวมไปถึงเฟซบุ๊ก ในระบบเครื่องคอมพิวเตอร์ของเรา จากบุคคลอื่นทำไว้ ที่ไม่ใช่เจ้าของเครื่องคอมพิวเตอร์ เราสามารถแจ้งไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบได้ เมื่อแจ้งแล้ว ลบข้อมูลดังกล่าวออก เจ้าของเครื่องคอมพิวเตอร์จะไม่มีความผิด
พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มีวัตถุประสงค์หลัก ๆ เพื่อควบคุม ผู้ที่ชอบก่อกวนหรือเหล่านักเลงคีย์บอร์ดทั้งหลาย ฉะนั้นไม่จำเป็นต้องหวาดระแวงหรือหวาดกลัว จนไม่กล้าโพสต์ภาพหรือข้อความปกตินะครับ ยังสามารถทำได้ เพียงแต่ต้องใช้วิจารณญาณเพิ่มขึ้นเท่านั้นเอง
มีอะไรอยากถามก็คอมเม้นถามกันมาได้เลยนะครับผม
รับรองว่าจะหาคำตอบมาให้เเน่นอนครับ
#TechTipsเดี๋ยวนี้จะทำอะไรต้องระมัดระวังมากเป็นพิเศษ โดยเฉพาะในเรื่องของสื่อสังคมออนไลน์ การจะโพสต์ข้อความรวมถึงการแสดงความคิดเห็นก็ต้องใช้วิจารณญาณเพิ่มมากขึ้น ยิ่งตอนนี้เรามี พระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ที่มีบทลงโทษของการกระทำผิด ที่ทุกคนควรรู้ และคิดให้ถี่ถ้วนก่อนค่อยแชร์โพสต์รวมทั้งแสดงความคิดเห็น มีอะไรบ้าง วันนี้ นายTechTips จะบอกให้ฟังครับ การกดไลก์ (Like) หลายคนอาจสงสัยว่า กด Like ก็ผิดพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ด้วยเหรอ ความจริงแล้วการกด Like ไม่ถือเป็นความผิด นอกเสียจากว่า ไปกด Like ข้อมูลปลอม ข้อมูลอันเป็นเท็จ ไม่เป็นความจริง หลอกลวง ที่มีผลทำให้เกิดความเสียหายต่อผู้อื่น ประชาชน ความมั่นคงของประเทศได้ เช่น ข้อมูลที่ผลกระทบต่อสังคม ความมั่นคงของชาติ และหากเกี่ยวข้องกับสถาบันกษัตริย์ อาจจะเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3-15 ปี การกดแชร์ (Share) การกด Share ข้อมูลปลอม ข้อมูลอันเป็นเท็จ ไม่เป็นความจริง หลอกลวง ที่มีผลทำให้เกิดความเสียหายต่อผู้อื่น ประชาชน ความมั่นคงของประเทศได้ เช่น ข้อมูลที่มีผลกระทบต่อสังคม ความมั่นคงของชาติ และหากเกี่ยวข้องกับสถาบันกษัตริย์ อาจมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3-15 ปี การกดไลก์ (Like) หลายคนอาจสงสัยว่า กด Like ก็ผิดพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ด้วยเหรอ ความจริงแล้วการกด Like ไม่ถือเป็นความผิด นอกเสียจากว่า ไปกด Like ข้อมูลปลอม ข้อมูลอันเป็นเท็จ ไม่เป็นความจริง หลอกลวง ที่อาจมีผลทำให้เกิดความเสียหายต่อผู้อื่น ประชาชน ความมั่นคงของประเทศได้ เช่น ข้อมูลที่ผลกระทบต่อสังคม ความมั่นคงของชาติ และหากเกี่ยวข้องกับสถาบันกษัตริย์ อาจมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3-15 ปี การกดแชร์ (Share) การกด Share ข้อมูลปลอม ข้อมูลอันเป็นเท็จ ไม่เป็นความจริง หลอกลวง ที่อาจมีผลทำให้เกิดความเสียหายต่อผู้อื่น ประชาชน ความมั่นคงของประเทศได้ เช่น ข้อมูลที่มีผลกระทบต่อสังคม ความมั่นคงของชาติ และหากเกี่ยวข้องกับสถาบันกษัตริย์ อาจมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 การเป็นแอดมินเพจ หน้าที่ของแอดมินเพจต่าง ๆ คือต้องสอดส่องดูแลความเรียบร้อย ตลอดจน monitor ความคิดเห็นของลูกเพจ ไม่ให้ไปในเชิงลบ และขัดต่อกฎหมาย หากลูกเพจแสดงความคิดเห็นที่ผิดต่อกฎหมาย แอดมินมีหน้าที่ลบจากพื้นที่ หากไม่ลบหรือซ่อนข้อความนั้นจะถือว่ามีความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ เช่นกัน ทั้งนี้ หากเข้าลักษณะเป็นความผิดมาตรา 14 โทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท การโพสต์สิ่งลามกอนาจาร เป็นที่ทราบดีอยู่แล้วว่า สิ่งลามกอนาจารไม่ควรโพสต์ หรือเผยแพร่ด้วยประการทั้งปวง ถือเป็นสิ่งผิดกฎหมายและไม่ควรกระทำ และเป็นความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ทั้งนี้ หากเข้าลักษณะเป็นความผิดมาตรา 14 โทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท การโพสต์รูปเกี่ยวกับเด็ก การโพสต์รูปเด็กหรือเยาวชน โดยไม่ได้รับความยิมยอมหรือไม่ได้ขออนุญาต ต้องมีการปิดบังหน้า นอกจากจะเป็นการยกย่อง เชิดชู ความดีงาม ถึงจะสามารถกระทำการโพสต์ได้ ทั้งนี้ หากเข้าลักษณะเป็นความผิด มาตรา 14 (1) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จ ซึ่งมีโทษจำคุกสูงถึง 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท ข้อมูลผู้เสียชีวิต ห้ามโพสต์ภาพผู้ที่เสียชีวิต รวมไปถึงให้ข้อมูลเรื่องการเสียชีวิต ยิ่งเป็นโพสต์ดูหมิ่น หรือแสดงความเกลียดชัง ไม่ว่าจะเป็นญาติ คนสนิท หรือแม้แต่บุคคลที่มีชื่อเสียง หากเข้าลักษณะเป็นความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 200,000 บาท การโพสต์ด่าว่าผู้อื่น การด่าทอผู้อื่นซึ่งหน้าก็ถือว่าเป็นความผิดแล้ว แต่หากโพสต์ด่าว่าผู้อื่นโดยข้อมูลนั้นเป็นเท็จ ก็มีโทษ หากเข้าลักษณะเป็นความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ จำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 200,000 บาท ฉะนั้นควรสะกดกลั้นอารมณ์แล้วอย่าไปลงกับสื่อโซเชียล มิเช่นนั้นอาจโดนทั้งจำ ทั้งปรับนะครับ การละเมิดลิขสิทธิ์ผู้อื่น การจะเอาอะไรของใครไปใช้ ต้องมีการขออนุญาตและให้เครดิตก่อนทุกครั้ง เพื่อไม่ให้เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ผู้อื่น เช่นเดียวกับโลกออนไลน์ การจะโพสต์ Quote ข้อความ เพลง รูปภาพ วิดีโอใด ๆ ต้องบอกแหล่งที่มา ให้เครดิต หรือขออนุญาติเจ้าของก่อน มิฉะนั้นหากเข้าลักษณะเป็นความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มีความผิด มีโทษจำคุกสูงถึง 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท การส่งรูปภาพ หากเป็นการส่งให้เพื่อน หรือญาติสนิทมิตรสหายดู อาจเพื่อความบันเทิง หรือเพื่อเป็นความรู้สามารถส่งรูปภาพได้ แต่หากเป็นการแชร์ภาพ หรือนำรูปภาพไปใช้เพื่อการพาณิชย์ หรือสร้างรายได้ ต้องขออนุญาตและทำให้ถูกต้องก่อน มิฉะนั้นอาจมีความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ทั้งนี้ หากเข้าลักษณะเป็นความผิด มาตรา 14 (1) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ด้วยข้อมูลอันเป็นเท็จ ซึ่งมีโทษจำคุกสูงถึง 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท การฝากร้าน ก่อนจะมีบทลงโทษที่ชัดเจนออกมา เราได้เห็นการฝากร้านใต้โพสต์ของผู้มีชื่อเสียง และดารามากมาย แต่ตอนนี้ไม่สามารถทำได้แล้ว หากไม่ได้รับอนุญาต เพราะการฝากร้านในโซเชียลมีเดีย ถือเป็นสแปมและรบกวนผู้อื่น มีโทษปรับสูงสุด 200,000 บาท ฉะนั้นต้องตรวจสอบให้ดีก่อนค่อยฝากร้านนะครับ การส่งอีเมล (Email) ขายของ การส่ง Email เพื่อขายของโดยที่เจ้าของ Email ไม่ได้ให้ความยินยอม ถือเป็นความผิดนะครับ นอกจากจะมีการลงทะเบียน Subscribe อย่างถูกต้องแล้ว ส่งเป็นจดหมายข่าว หรือโปรโมชันให้ แบบนี้สามารถทำได้ หากพบว่าเข้าลักษณะเป็นความผิด มีโทษปรับไม่เกิน 100,000 บาท จำคุกไม่เกิน 2 ปี การส่งข้อความ (SMS) โฆษณา หลายคนน่าจะเคยได้รับข้อความ SMS โฆษณาจากแบรนด์ต่าง ๆ ซึ่งต้องได้รับความยินยอมให้รับข่าวสาร โฆษณาจากเจ้าของหมายเลขโทรศัพท์ ก่อนถึงจะกระทำได้ มิฉะนั้นอาจถือว่ามีความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ และอาจถือว่าเป็นสแปม ปรับสูงสุด 200,000 บาท พบข้อมูลผิดกฎหมาย กรณีพบว่ามีการแสดงความคิดเห็นที่ผิดกฎหมาย เช่น แสดงความคิดเห็นในเว็บไซต์ต่าง ๆ รวมไปถึงเฟซบุ๊ก ในระบบเครื่องคอมพิวเตอร์ของเรา จากบุคคลอื่นทำไว้ ที่ไม่ใช่เจ้าของเครื่องคอมพิวเตอร์ เราสามารถแจ้งไปยังหน่วยงานที่รับผิดชอบได้ เมื่อแจ้งแล้ว ลบข้อมูลดังกล่าวออก เจ้าของเครื่องคอมพิวเตอร์จะไม่มีความผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มีวัตถุประสงค์หลัก ๆ เพื่อควบคุม ผู้ที่ชอบก่อกวนหรือเหล่านักเลงคีย์บอร์ดทั้งหลาย ฉะนั้นไม่จำเป็นต้องหวาดระแวงหรือหวาดกลัว จนไม่กล้าโพสต์ภาพหรือข้อความปกตินะครับ ยังสามารถทำได้ เพียงแต่ต้องใช้วิจารณญาณเพิ่มขึ้นเท่านั้นเอง มีอะไรอยากถามก็คอมเม้นถามกันมาได้เลยนะครับผม รับรองว่าจะหาคำตอบมาให้เเน่นอนครับ #TechTips0 Comments 0 Shares 501 Views 0 Reviews - สวัสดีครับ วันนี้ นายTechTipsก็มี คีย์ลัดดีๆ มานำเสนอ
ที่จะทำให้การใช้งานคอมพิวเตอร์ของท่านง่ายขึ้นไปอีก
ถ้าหากฝึกใช้ให้คล่องๆแล้วละก็ การทำงานของเราก็จะชื่นไหล
เเล้วก็รู้สึกเท่ในการใช้คอมพิวเตอร์เเสนรักของเรามากขึ้นอีกด้วยน้า
เพื่อนๆบางคนอาจจะรู้ักอยู่เเล้ว เช่น Ctrl+C / Ctrl+V ที่ใช้ในการคัดลอกและวาง
หรือถ้าใครมี คีย์ลัดเจ๋งๆอยากจะเเนะนำให้เพื่อนๆคนอื่นรู้เเล้วเจ๋งไปด้วยกันละก็คอมเม้นมาได้เลยจ้า
ก่อนจะไป แอบกระซิบนิดนึงว่า คีย์ลัดที่เพื่อนๆรู้ ในบางโปรปเเกรมที่ต่างกันก็อาจจะใช้ คีย์ลัดเดียวกันได้ด้วยนะเอ้อ ไปลองใช้งานกันดูนะครับ เพราะคอมพิวเตอร์คือการประยุกต์จ้า
#TechTipsสวัสดีครับ วันนี้ นายTechTipsก็มี คีย์ลัดดีๆ มานำเสนอ ที่จะทำให้การใช้งานคอมพิวเตอร์ของท่านง่ายขึ้นไปอีก ถ้าหากฝึกใช้ให้คล่องๆแล้วละก็ การทำงานของเราก็จะชื่นไหล เเล้วก็รู้สึกเท่ในการใช้คอมพิวเตอร์เเสนรักของเรามากขึ้นอีกด้วยน้า เพื่อนๆบางคนอาจจะรู้ักอยู่เเล้ว เช่น Ctrl+C / Ctrl+V ที่ใช้ในการคัดลอกและวาง หรือถ้าใครมี คีย์ลัดเจ๋งๆอยากจะเเนะนำให้เพื่อนๆคนอื่นรู้เเล้วเจ๋งไปด้วยกันละก็คอมเม้นมาได้เลยจ้า ก่อนจะไป แอบกระซิบนิดนึงว่า คีย์ลัดที่เพื่อนๆรู้ ในบางโปรปเเกรมที่ต่างกันก็อาจจะใช้ คีย์ลัดเดียวกันได้ด้วยนะเอ้อ ไปลองใช้งานกันดูนะครับ เพราะคอมพิวเตอร์คือการประยุกต์จ้า #TechTips0 Comments 0 Shares 259 Views 0 Reviews - ข้อมูลสุดสะพรึง
สถิติคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 3 ปี รับแจ้งออนไลน์ กว่า 5 แสนเรื่อง ความเสียหายกว่า 6.57 หมื่นล้านบาท หรือเฉลี่ยความเสียหายวันละกว่า 80 ล้านบาท พบกลุ่มอายุ 30-44 ปี ตกเป็นเหยื่อมากที่สุด ส่วนใหญ่ 64% เป็นผู้หญิงและวัยทำงาน
นอกเหนือจากกลุ่มเด็กเยาวชน และกลุ่มผู้สูงอายุ ที่มักจะปรากฏเป็นข่าวว่าตกเป็นเหยื่อของอาชญากรรมไซเบอร์แล้ว สถิติดังกล่าวยังพบว่ากลุ่มที่ตกเป็นเหยื่อของอาชญากรรมไซเบอร์ส่วนใหญ่ที่มีจำนวนสูงที่สุดมักจะเป็นกลุ่มวัยทำงาน ช่วงอายุตั้งแต่ 22 ถึง 59 ปี จำเป็นจะต้อง ระมัดระวังตนเอง คอยติดตามข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับ รูปแบบของการหลอกลวงทางไซเบอร์ เพื่อป้องกันไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพอีกด้วย
ส่วนใหญ่จะถูกล่อลวงด้วยการทำให้เชื่อว่า ญาติ เพื่อน หรือคนในครอบครัวกำลังเดือดร้อน ให้โอนเงินมาช่วยด่วน
และพวกที่หลอกให้ลงทุนหรือหลอกให้โอนเงินโดยโกหกว่าจะมีผลตอบเเทนให้อย่างมหาศาลถ้าทำตามที่บอก
สำหรับวันนี้นาย TeckTips ก็อยากให้ทุกท่านระมัดระวังเกี่ยวกับการทำธุรกรรมออนไลน์ที่มีความรวดเร็วและสะดวกมากๆจนมิจฉาชีพใช้เป็นช่องโหว่ในการหลอกลวงได้ ครับ
#TeckTips
ข้อมูลสุดสะพรึง สถิติคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี 3 ปี รับแจ้งออนไลน์ กว่า 5 แสนเรื่อง ความเสียหายกว่า 6.57 หมื่นล้านบาท หรือเฉลี่ยความเสียหายวันละกว่า 80 ล้านบาท พบกลุ่มอายุ 30-44 ปี ตกเป็นเหยื่อมากที่สุด ส่วนใหญ่ 64% เป็นผู้หญิงและวัยทำงาน นอกเหนือจากกลุ่มเด็กเยาวชน และกลุ่มผู้สูงอายุ ที่มักจะปรากฏเป็นข่าวว่าตกเป็นเหยื่อของอาชญากรรมไซเบอร์แล้ว สถิติดังกล่าวยังพบว่ากลุ่มที่ตกเป็นเหยื่อของอาชญากรรมไซเบอร์ส่วนใหญ่ที่มีจำนวนสูงที่สุดมักจะเป็นกลุ่มวัยทำงาน ช่วงอายุตั้งแต่ 22 ถึง 59 ปี จำเป็นจะต้อง ระมัดระวังตนเอง คอยติดตามข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับ รูปแบบของการหลอกลวงทางไซเบอร์ เพื่อป้องกันไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพอีกด้วย ส่วนใหญ่จะถูกล่อลวงด้วยการทำให้เชื่อว่า ญาติ เพื่อน หรือคนในครอบครัวกำลังเดือดร้อน ให้โอนเงินมาช่วยด่วน และพวกที่หลอกให้ลงทุนหรือหลอกให้โอนเงินโดยโกหกว่าจะมีผลตอบเเทนให้อย่างมหาศาลถ้าทำตามที่บอก สำหรับวันนี้นาย TeckTips ก็อยากให้ทุกท่านระมัดระวังเกี่ยวกับการทำธุรกรรมออนไลน์ที่มีความรวดเร็วและสะดวกมากๆจนมิจฉาชีพใช้เป็นช่องโหว่ในการหลอกลวงได้ ครับ #TeckTips0 Comments 0 Shares 370 Views 0 Reviews -
-
- ความรู้เกี่ยวกับกลโกงออนไลน์ที่เราสามารถพบได้ในชีวิตประจำวัน 18ข้อ!!
ขอบคุณ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ มีข้อมูลดีๆให้กับประชาชนครับ
#TechTipsความรู้เกี่ยวกับกลโกงออนไลน์ที่เราสามารถพบได้ในชีวิตประจำวัน 18ข้อ!! ขอบคุณ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ มีข้อมูลดีๆให้กับประชาชนครับ #TechTips0 Comments 0 Shares 259 Views 0 Reviews - สวัสดีครับ สำหรับ post เเรก ของเพจ ขออณุญาต back to basic
หลายๆท่านอาจจะทราบดีอยู่เเล้วเกี๋ยวกับ ทิปส์ที่เราจะเสนอต่อไปนี้
แต่ทุกท่านรู้มั้ยครับว่า คอมพิวเอตร์ที่ทุกๆท่านใช้ทำงานหรือใช้เพื่อผ่อนคลายอยู่ทุกๆวัน
มีสิ่งที่ตัวเครื่องชอบเเละไม่ชอบ สิ่งเหล่านี้ส่งผลต่อ สุขภาพและอายุการใช้งานของตัวเครื่องโดยตรงเลยทีเดียว ผมจะเเนะนำให้ฟังครับ
1 สาเหตุหลักที่ทำให้คอมพิวเตอร์มีปัญหานอกจากการใช้งานเเล้วก็คงเป้นเจ้าฝุ่นตัวร้ายนี่เหละครับที่จะให้สำสมจนเกิดความร้อนเเละส่งผลให้อายุการทำงานสั่นลงอย่างเหลือเชื่อเลยทีเดียว ดังนั้นเเล้วหมั่นดูแลทำความสะอาดไว้ก่อนดีเสมอครับ
2 ความร้อนเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ คอมพิวเตอร์ไม่ชอบมากๆเลยครับ นอกจากจะทำให้การทำงานช้าลงเเล้วยังทำให้อายุชิ้นส่วนสั้นลงเป็นสาเหตุหลักเลยทีเดียวเชียว ตั้งเครื่องให้อยู่ในพื้นที่ อากาศถ่ายแท และดูแลระบบระบายความ้อนของเครื่องให้อยู่ในสภาวะปกติ เพียงเท่านี้ คอมพิวเตอร์เเสนรักของคุณก็จะทำงานเต็มประสิทธิภาพและไม่งอแงอย่างเเน่นอนครับ
3 หลีกเลี่ยงการเข้าสู่เว็บอันตรายหรือ ลงโปรเเกรมที่เราไม่ทราบแหล่งที่มาก็จะให้คอมพิวอตร์ของคุณปลอดภัยไร้ไวรัสใดๆอย่างเเน่นอนครับ ไม่ว่าจะเป็นการดาวโหลดไฟล์ที่ไม่รู้จักหรือ เสียบเเฟลชไดร์ฟ ที่ไม่เคยเเสกนไวรัสมาก่อน ล้วนเป็นสาเหตุที่คอมพิวเอติร์สุดรักของเราเสี่ยงที่จะมีปะญหาได้ท้งนั้นครับ อย่าลืมนะครับความปลอดภัยวำคัญที่สุด
เอาละครับ ถ้าท่านใดได้รับประโยชน์จากบทความนี้ ก็จะเป็นที่ยินดีของเรามากๆเลยครับ
ถ้าใครมีคำถาม หรือ มีความสงสัยใดๆ สามารถสอบถามเข้ามาได้เลยครับ
กระผมนาย TechTips จะหาคำตอบมาให้ท่านได้หายสงสัยเเน่นอน
สติคือเข็มทิศและเกราะป้องกันจากปัญหาทุกชนิดครับ
#TechTipsสวัสดีครับ สำหรับ post เเรก ของเพจ ขออณุญาต back to basic หลายๆท่านอาจจะทราบดีอยู่เเล้วเกี๋ยวกับ ทิปส์ที่เราจะเสนอต่อไปนี้ แต่ทุกท่านรู้มั้ยครับว่า คอมพิวเอตร์ที่ทุกๆท่านใช้ทำงานหรือใช้เพื่อผ่อนคลายอยู่ทุกๆวัน มีสิ่งที่ตัวเครื่องชอบเเละไม่ชอบ สิ่งเหล่านี้ส่งผลต่อ สุขภาพและอายุการใช้งานของตัวเครื่องโดยตรงเลยทีเดียว ผมจะเเนะนำให้ฟังครับ 1 สาเหตุหลักที่ทำให้คอมพิวเตอร์มีปัญหานอกจากการใช้งานเเล้วก็คงเป้นเจ้าฝุ่นตัวร้ายนี่เหละครับที่จะให้สำสมจนเกิดความร้อนเเละส่งผลให้อายุการทำงานสั่นลงอย่างเหลือเชื่อเลยทีเดียว ดังนั้นเเล้วหมั่นดูแลทำความสะอาดไว้ก่อนดีเสมอครับ 2 ความร้อนเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ คอมพิวเตอร์ไม่ชอบมากๆเลยครับ นอกจากจะทำให้การทำงานช้าลงเเล้วยังทำให้อายุชิ้นส่วนสั้นลงเป็นสาเหตุหลักเลยทีเดียวเชียว ตั้งเครื่องให้อยู่ในพื้นที่ อากาศถ่ายแท และดูแลระบบระบายความ้อนของเครื่องให้อยู่ในสภาวะปกติ เพียงเท่านี้ คอมพิวเตอร์เเสนรักของคุณก็จะทำงานเต็มประสิทธิภาพและไม่งอแงอย่างเเน่นอนครับ 3 หลีกเลี่ยงการเข้าสู่เว็บอันตรายหรือ ลงโปรเเกรมที่เราไม่ทราบแหล่งที่มาก็จะให้คอมพิวอตร์ของคุณปลอดภัยไร้ไวรัสใดๆอย่างเเน่นอนครับ ไม่ว่าจะเป็นการดาวโหลดไฟล์ที่ไม่รู้จักหรือ เสียบเเฟลชไดร์ฟ ที่ไม่เคยเเสกนไวรัสมาก่อน ล้วนเป็นสาเหตุที่คอมพิวเอติร์สุดรักของเราเสี่ยงที่จะมีปะญหาได้ท้งนั้นครับ อย่าลืมนะครับความปลอดภัยวำคัญที่สุด เอาละครับ ถ้าท่านใดได้รับประโยชน์จากบทความนี้ ก็จะเป็นที่ยินดีของเรามากๆเลยครับ ถ้าใครมีคำถาม หรือ มีความสงสัยใดๆ สามารถสอบถามเข้ามาได้เลยครับ กระผมนาย TechTips จะหาคำตอบมาให้ท่านได้หายสงสัยเเน่นอน สติคือเข็มทิศและเกราะป้องกันจากปัญหาทุกชนิดครับ #TechTips0 Comments 0 Shares 402 Views 0 Reviews
More Stories