• สวัสดีชาวไทยไทม์
    สวัสดีชาวไทยไทม์
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 130 มุมมอง 0 รีวิว
  • ฝนตกหนัก ลมแรงมาก หาดกะรน ภูเก็ต #ฝนตก #ภูเก็ต #น้ำท่วม
    ฝนตกหนัก ลมแรงมาก หาดกะรน ภูเก็ต #ฝนตก #ภูเก็ต #น้ำท่วม
    Yay
    Sad
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 371 มุมมอง 68 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 100 มุมมอง 0 รีวิว
  • Road to hell
    Road to hell
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 194 มุมมอง 158 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 135 มุมมอง 0 รีวิว
  • Love
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 141 มุมมอง 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 26 มุมมอง 0 รีวิว
  • Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 62 มุมมอง 0 รีวิว
  • 20 กันยายน 2567 -Highlight จากงาน BOT Symposium 2024 | หนี้: The Economics of Balancing Today and Tomorrow

    ช่วงหนึ่ง ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติบอกว่า ธปท.ไม่จำเป็นต้องปรับลดดอกเบี้ยตาม Fed โดยย้ำว่า นโยบายการเงินในประเทศ ยังอิงอยู่กับปัจจัยในประเทศเป็นหลัก

    รายงานจากเพจ Today Biznews เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ’ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ตอบกรณีที่ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ลดดอกเบี้ย ว่า Fed ลดดอกเบี้ย 0.50% หรือ 50 เบสิสพอยท์ (bps) สำหรับ Fed ถือว่าไม่น้อย

    แต่ในแง่ผลกระทบ มองว่า ตลาดรับรู้ไปแล้วระดับหนึ่ง ทำให้ผลกระทบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นดอลลาร์อ่อนค่า ค่าเงินในภูมิภาคและค่าเงินบาทแข็งค่า สะท้อนไปแล้วระดับหนึ่ง

    ส่วนช่องทางที่กระทบเศรษฐกิจไทย หลักๆ คือ กระทบตลาดเงินและค่าเงิน ในแง่ผลกระทบต่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond Yield) ก็มีบ้าง

    แต่โดยรวมผลกระทบต่อเศรษฐกิจไม่ได้มากมายขนาดนั้น เพราะเราเป็นเศรษฐกิจที่พึ่งระบบแบงก์เป็นส่วนใหญ่ ช่องที่เห็นที่กระทบเยอะคือค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมาจากการอ่อนค่าของดอลลาร์

    อีกอย่างที่ซ้ำเติมคือราคาทองคำที่ทำจุดสูงสุดใหม่ (All Time High) ส่วนหนึ่งก็มาจากดอลลาร์อ่อนค่า ซึ่งค่าเงินไทยมีความสัมพันธ์ (Correlation) กับทองค่อนข้างสูง สูงกว่าเงินสกุลอื่นในภูมิภาค

    ส่วนผลในแง่เศรษฐกิจหลัง Fed ลดดอกเบี้ย สะท้อนว่า Fed ให้ความสำคัญกับ Soft Landing หรือให้ความสำคัญกับการดูแลเรื่องเศรษฐกิจ เทียบกับความเป็นห่วงในด้านเงินเฟ้อ

    ซึ่งในแง่เศรษฐกิจ อาจจะทำให้ไทยสบายใจขึ้นได้หน่อยว่า โอกาส Soft Landing ในสหรัฐจะสูงขึ้น แต่ตัวเลขต่างๆ ก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น

    ‘นี่ (การลดดอกเบี้ยของ Fed) ก็เหมือนการซื้อประกัน Make Sure ว่าโอกาสเกิด Hard Landing ให้มันน้อยๆ’

    [ นโยบายอิงกับปัจจัยในประเทศ ]

    ส่วนผลต่อการดำเนินนโยบายการเงินของประเทศเรา ผู้ว่าฯ บอกว่า นโยบายการเงินของไทย เน้นเรื่องภายในประเทศเป็นหลัก ซึ่งประกอบด้วย 3 ปัจจัยหลัก (ที่แบงก์ชาติบอกอยู่เสมอ) คือ

    1. เศรษฐกิจ: การเติบโตว่าจะเข้าสู่ศักยภาพหรือไม่
    2. เงินเฟ้อ: เงินเฟ้อของเราจะเข้าสู่กรอบเงินเฟ้อหรือไม่
    3. เสถียรภาพทางด้านการเงิน: ซึ่งช่วงหลังให้ความสำคัญ

    ทั้ง 3 ปัจจัย ไม่ได้เห็นอะไรที่จะทำให้ภาพการประเมินแตกต่างจากที่มองเอาไว้ ทั้งเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ มีแต่เสถียรภาพทางด้านการเงิน เริ่มเห็นความเสี่ยงด้านเครดิต (Credit Risk) เพิ่มสูงขึ้นเยอะ

    แต่ก็ต้องคำนึงถึงภาพรวม ซึ่งหนึ่งในนั้นคือตอนที่ธนาคารกลางยักษ์ใหญ่ของโลกเตรียมปรับเปลี่ยนนโยบาย ซึ่งจะกระทบภาพรวม และมีนัยต่อประเด็นข้างต้น ทำให้ต้องคำนึงถึง

    ‘การที่เราย้ำว่า เรา Outlook Dependent เป็นการตัดสินใจ หรือกรอบความคิดที่เหมาะสมแล้ว และถูกต้อง เพราะเราเห็นแล้วว่าที่อื่นที่เน้น Data Dependent มันสร้าง noise ต่อตลาดเยอะ’

    ส่วนการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ณ ตอนนี้ยังประชุมตามเดิม (รอบหน้า 16 ต.ค. 2567) ถ้าต้องมีการประชุมเพิ่มเติมพิเศษก็มีได้

    [ ดอกเบี้ยลด หนี้ไม่ลด ]

    เมื่อถามถึงความคาดหวังให้แบงก์ชาติลดดอกเบี้ยเพื่อลดหนี้ครัวเรือน ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ อธิบายว่า สำหรับตัวบน (หนี้) มี 2 ส่วน คือ ผลต่อหนี้เก่า ซึ่งถ้าลดดอกเบี้ย จะทำให้ภาระหนี้ที่ต้องจ่ายบนหนี้เก่าลดลง ส่วนหนี้ใหม่ คำถามคือ ถ้าลดดอกเบี้ยแล้วทำให้สินเชื่อโตเร็วขึ้น ตัวหนี้โดยรวมมันก็จะเพิ่มขึ้น

    ซึ่งการดูตรงนี้ต้องชั่งน้ำหนักทั้ง 2 ส่วน แต่ยังไงแบงก์ชาติก็ไม่ได้อยากเห็นตัวเลขหนี้ต่อจีดีพีโตพุ่งสูงต่อเนื่อง เพราะในแง่ของเสถียรภาพมันคงไม่เหมาะ แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่อยากจะให้มันลงเร็ว ลงแรง จนเกินไป เพราะจะมีผลต่อเศรษฐกิจ

    ต้องบอกว่า ภาระหนี้เป็นอะไรที่แบงก์ชาติเป็นห่วง เพราะมีสัดส่วนครัวเรือนไม่น้อยที่มีปัญหาหนี้ แต่อยากฝากไว้ว่า การลดดอกเบี้ย ผลที่ส่งต่อภาระหนี้มันก็ไม่ได้เต็มที่

    หนี้ของเราสัดส่วนไม่น้อยไม่ได้เป็นหนี้ Floating แต่เป็น Fixed Rate และ Fixed Installment พวกนี้ภาระหนี้ไม่ได้ลด ในแง่ที่ต้องจ่ายรายเดือน เพราะฉะนั้น จะไปคาดหวังให้ดอกเบี้ยลงปุ๊ปและภาระหนี้ทุกคนลด ก็ไม่ใช่

    ‘เรื่องของ Fed มันไม่ใช่ว่า Fed ลดแล้วเราต้องลด แต่การที่ Fed ลด อย่างที่บอก มันก็กระทบปัจจัยหลายอย่าง กระทบเรื่องของภาพรวมอะไรต่างๆ กระทบตัวแปรต่างๆ ที่เราต้องคำนึงถึงในการตัดสินใจเรื่องดอกเบี้ย’

    ผู้ว่าฯ อธิบายอีกว่า เราไม่เหมือนประเทศที่ fix ค่าเงิน เช่น ฮ่องกง หรือตะวันออกกลาง ที่ fix ค่าเงินกับดอลลาร์ เมื่อ Fed ลดดอกเบี้ย เขาก็ต้องลดดอกเบี้ยไปโดยปริยาย แต่ของเราไม่ใช่แบบนั้น

    [ เงินไหลออกน้อยกว่าปีก่อน ]

    ส่วนผลกระทบต่อค่าเงินบาท แน่นอนว่าแบงก์ชาติไม่ได้อยากเห็นค่าเงินที่ผันผวนขนาดนี้ และค่าความผันผวน (Volatility) ของเราก็สูง และการแข็งค่า โดยเฉพาะช่วงหลัง ก็เกิดขึ้นค่อนข้างเร็ว

    ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (YTD) บาทแข็งค่าไป 2.4% แต่ก็ยังมีประเทศที่แข็งค่ามากกว่าเรา เช่น มาเลเซีย ที่ช่วงหลังแข็งค่าค่อนข้างเยอะ

    สำหรับการประเมิน แบงก์ชาติจะดูว่าที่มาของการแข็งค่าคืออะไร 1. ถ้ามาจากปัจจัยเชิงโครงสร้างหรือเชิงปัจจัยพื้นฐาน ซึ่งในเคสนี้มาจากเรื่องดอลลาร์อ่อนค่าและ Fed ลดดอกเบี้ย ก็เป็นการปรับตามกลไกตลาด

    แต่สิ่งที่ไม่อยากเห็นคือ 2. การเคลื่อนไหวที่เร็วและไม่ได้มาจากปัจจัยเชิงพื้นฐาน เช่น กระแสเงินที่มาจากการเก็งกำไร (Speculated Flow) หรือเงินร้อน (Hot Money) ซึ่งเข้ามาเก็งกำไรและทำให้ความผันผวนเกิดขึ้น โดยที่ไม่สะท้อนเรื่องของพื้นฐาน อันนี้แบงก์ชาติจะ sensitive กว่า

    ซึ่งภาพรวมของเงินทุนในช่วงหลัง การไหลออกน้อยกว่าปีที่แล้วเยอะ (ตลาดพันธบัตรและตลาดหุ้น) โดยปีก่อน (2566) เงินทุนไหลออก 9,900 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 3.2 แสนล้านบาท)

    ส่วนปีนี้ (2567) YTD อยู่ที่ 2,200 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 7.2 หมื่นล้านบาท) ช่วงหลังเห็นการไหลเข้าค่อนข้างเยอะ จากปัจจัยของโลกและปัจจัยแวดล้อมของเรา เช่น ความชัดเจนด้านการเมือง

    ที่มา https://www.bot.or.th/content/dam/bot/documents/th/news-and-media/speeches/speechgov_20sep2024.pdf
    ชมคลิปได้ที่ https://youtu.be/_z66w8oG260?si=v16T3b9bMjKajLvF

    #Thaitimes
    20 กันยายน 2567 -Highlight จากงาน BOT Symposium 2024 | หนี้: The Economics of Balancing Today and Tomorrow ช่วงหนึ่ง ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติบอกว่า ธปท.ไม่จำเป็นต้องปรับลดดอกเบี้ยตาม Fed โดยย้ำว่า นโยบายการเงินในประเทศ ยังอิงอยู่กับปัจจัยในประเทศเป็นหลัก รายงานจากเพจ Today Biznews เศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ’ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ตอบกรณีที่ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ลดดอกเบี้ย ว่า Fed ลดดอกเบี้ย 0.50% หรือ 50 เบสิสพอยท์ (bps) สำหรับ Fed ถือว่าไม่น้อย แต่ในแง่ผลกระทบ มองว่า ตลาดรับรู้ไปแล้วระดับหนึ่ง ทำให้ผลกระทบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นดอลลาร์อ่อนค่า ค่าเงินในภูมิภาคและค่าเงินบาทแข็งค่า สะท้อนไปแล้วระดับหนึ่ง ส่วนช่องทางที่กระทบเศรษฐกิจไทย หลักๆ คือ กระทบตลาดเงินและค่าเงิน ในแง่ผลกระทบต่ออัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล (Bond Yield) ก็มีบ้าง แต่โดยรวมผลกระทบต่อเศรษฐกิจไม่ได้มากมายขนาดนั้น เพราะเราเป็นเศรษฐกิจที่พึ่งระบบแบงก์เป็นส่วนใหญ่ ช่องที่เห็นที่กระทบเยอะคือค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมาจากการอ่อนค่าของดอลลาร์ อีกอย่างที่ซ้ำเติมคือราคาทองคำที่ทำจุดสูงสุดใหม่ (All Time High) ส่วนหนึ่งก็มาจากดอลลาร์อ่อนค่า ซึ่งค่าเงินไทยมีความสัมพันธ์ (Correlation) กับทองค่อนข้างสูง สูงกว่าเงินสกุลอื่นในภูมิภาค ส่วนผลในแง่เศรษฐกิจหลัง Fed ลดดอกเบี้ย สะท้อนว่า Fed ให้ความสำคัญกับ Soft Landing หรือให้ความสำคัญกับการดูแลเรื่องเศรษฐกิจ เทียบกับความเป็นห่วงในด้านเงินเฟ้อ ซึ่งในแง่เศรษฐกิจ อาจจะทำให้ไทยสบายใจขึ้นได้หน่อยว่า โอกาส Soft Landing ในสหรัฐจะสูงขึ้น แต่ตัวเลขต่างๆ ก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น ‘นี่ (การลดดอกเบี้ยของ Fed) ก็เหมือนการซื้อประกัน Make Sure ว่าโอกาสเกิด Hard Landing ให้มันน้อยๆ’ [ นโยบายอิงกับปัจจัยในประเทศ ] ส่วนผลต่อการดำเนินนโยบายการเงินของประเทศเรา ผู้ว่าฯ บอกว่า นโยบายการเงินของไทย เน้นเรื่องภายในประเทศเป็นหลัก ซึ่งประกอบด้วย 3 ปัจจัยหลัก (ที่แบงก์ชาติบอกอยู่เสมอ) คือ 1. เศรษฐกิจ: การเติบโตว่าจะเข้าสู่ศักยภาพหรือไม่ 2. เงินเฟ้อ: เงินเฟ้อของเราจะเข้าสู่กรอบเงินเฟ้อหรือไม่ 3. เสถียรภาพทางด้านการเงิน: ซึ่งช่วงหลังให้ความสำคัญ ทั้ง 3 ปัจจัย ไม่ได้เห็นอะไรที่จะทำให้ภาพการประเมินแตกต่างจากที่มองเอาไว้ ทั้งเศรษฐกิจและเงินเฟ้อ มีแต่เสถียรภาพทางด้านการเงิน เริ่มเห็นความเสี่ยงด้านเครดิต (Credit Risk) เพิ่มสูงขึ้นเยอะ แต่ก็ต้องคำนึงถึงภาพรวม ซึ่งหนึ่งในนั้นคือตอนที่ธนาคารกลางยักษ์ใหญ่ของโลกเตรียมปรับเปลี่ยนนโยบาย ซึ่งจะกระทบภาพรวม และมีนัยต่อประเด็นข้างต้น ทำให้ต้องคำนึงถึง ‘การที่เราย้ำว่า เรา Outlook Dependent เป็นการตัดสินใจ หรือกรอบความคิดที่เหมาะสมแล้ว และถูกต้อง เพราะเราเห็นแล้วว่าที่อื่นที่เน้น Data Dependent มันสร้าง noise ต่อตลาดเยอะ’ ส่วนการประชุมของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ณ ตอนนี้ยังประชุมตามเดิม (รอบหน้า 16 ต.ค. 2567) ถ้าต้องมีการประชุมเพิ่มเติมพิเศษก็มีได้ [ ดอกเบี้ยลด หนี้ไม่ลด ] เมื่อถามถึงความคาดหวังให้แบงก์ชาติลดดอกเบี้ยเพื่อลดหนี้ครัวเรือน ผู้ว่าฯ แบงก์ชาติ อธิบายว่า สำหรับตัวบน (หนี้) มี 2 ส่วน คือ ผลต่อหนี้เก่า ซึ่งถ้าลดดอกเบี้ย จะทำให้ภาระหนี้ที่ต้องจ่ายบนหนี้เก่าลดลง ส่วนหนี้ใหม่ คำถามคือ ถ้าลดดอกเบี้ยแล้วทำให้สินเชื่อโตเร็วขึ้น ตัวหนี้โดยรวมมันก็จะเพิ่มขึ้น ซึ่งการดูตรงนี้ต้องชั่งน้ำหนักทั้ง 2 ส่วน แต่ยังไงแบงก์ชาติก็ไม่ได้อยากเห็นตัวเลขหนี้ต่อจีดีพีโตพุ่งสูงต่อเนื่อง เพราะในแง่ของเสถียรภาพมันคงไม่เหมาะ แต่ในขณะเดียวกันก็ไม่อยากจะให้มันลงเร็ว ลงแรง จนเกินไป เพราะจะมีผลต่อเศรษฐกิจ ต้องบอกว่า ภาระหนี้เป็นอะไรที่แบงก์ชาติเป็นห่วง เพราะมีสัดส่วนครัวเรือนไม่น้อยที่มีปัญหาหนี้ แต่อยากฝากไว้ว่า การลดดอกเบี้ย ผลที่ส่งต่อภาระหนี้มันก็ไม่ได้เต็มที่ หนี้ของเราสัดส่วนไม่น้อยไม่ได้เป็นหนี้ Floating แต่เป็น Fixed Rate และ Fixed Installment พวกนี้ภาระหนี้ไม่ได้ลด ในแง่ที่ต้องจ่ายรายเดือน เพราะฉะนั้น จะไปคาดหวังให้ดอกเบี้ยลงปุ๊ปและภาระหนี้ทุกคนลด ก็ไม่ใช่ ‘เรื่องของ Fed มันไม่ใช่ว่า Fed ลดแล้วเราต้องลด แต่การที่ Fed ลด อย่างที่บอก มันก็กระทบปัจจัยหลายอย่าง กระทบเรื่องของภาพรวมอะไรต่างๆ กระทบตัวแปรต่างๆ ที่เราต้องคำนึงถึงในการตัดสินใจเรื่องดอกเบี้ย’ ผู้ว่าฯ อธิบายอีกว่า เราไม่เหมือนประเทศที่ fix ค่าเงิน เช่น ฮ่องกง หรือตะวันออกกลาง ที่ fix ค่าเงินกับดอลลาร์ เมื่อ Fed ลดดอกเบี้ย เขาก็ต้องลดดอกเบี้ยไปโดยปริยาย แต่ของเราไม่ใช่แบบนั้น [ เงินไหลออกน้อยกว่าปีก่อน ] ส่วนผลกระทบต่อค่าเงินบาท แน่นอนว่าแบงก์ชาติไม่ได้อยากเห็นค่าเงินที่ผันผวนขนาดนี้ และค่าความผันผวน (Volatility) ของเราก็สูง และการแข็งค่า โดยเฉพาะช่วงหลัง ก็เกิดขึ้นค่อนข้างเร็ว ตั้งแต่ต้นปีถึงปัจจุบัน (YTD) บาทแข็งค่าไป 2.4% แต่ก็ยังมีประเทศที่แข็งค่ามากกว่าเรา เช่น มาเลเซีย ที่ช่วงหลังแข็งค่าค่อนข้างเยอะ สำหรับการประเมิน แบงก์ชาติจะดูว่าที่มาของการแข็งค่าคืออะไร 1. ถ้ามาจากปัจจัยเชิงโครงสร้างหรือเชิงปัจจัยพื้นฐาน ซึ่งในเคสนี้มาจากเรื่องดอลลาร์อ่อนค่าและ Fed ลดดอกเบี้ย ก็เป็นการปรับตามกลไกตลาด แต่สิ่งที่ไม่อยากเห็นคือ 2. การเคลื่อนไหวที่เร็วและไม่ได้มาจากปัจจัยเชิงพื้นฐาน เช่น กระแสเงินที่มาจากการเก็งกำไร (Speculated Flow) หรือเงินร้อน (Hot Money) ซึ่งเข้ามาเก็งกำไรและทำให้ความผันผวนเกิดขึ้น โดยที่ไม่สะท้อนเรื่องของพื้นฐาน อันนี้แบงก์ชาติจะ sensitive กว่า ซึ่งภาพรวมของเงินทุนในช่วงหลัง การไหลออกน้อยกว่าปีที่แล้วเยอะ (ตลาดพันธบัตรและตลาดหุ้น) โดยปีก่อน (2566) เงินทุนไหลออก 9,900 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 3.2 แสนล้านบาท) ส่วนปีนี้ (2567) YTD อยู่ที่ 2,200 ล้านเหรียญสหรัฐ (ราว 7.2 หมื่นล้านบาท) ช่วงหลังเห็นการไหลเข้าค่อนข้างเยอะ จากปัจจัยของโลกและปัจจัยแวดล้อมของเรา เช่น ความชัดเจนด้านการเมือง ที่มา https://www.bot.or.th/content/dam/bot/documents/th/news-and-media/speeches/speechgov_20sep2024.pdf ชมคลิปได้ที่ https://youtu.be/_z66w8oG260?si=v16T3b9bMjKajLvF #Thaitimes
    Like
    Yay
    9
    0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 2675 มุมมอง 0 รีวิว
  • จะยิ้มรับมัน วันที่ใจอ่อนแอ
    แม้ทุกเรื่องราว มันยังคงโหดร้าย สุขทุกข์ที่เราพบพาน มันคือชีวิตของเรา
    "ชีวิตยังคงสวยงาม"
    Cr.บอดี้สแลม #ว่างว่างก็แวะมา #Thaitimes
    จะยิ้มรับมัน วันที่ใจอ่อนแอ แม้ทุกเรื่องราว มันยังคงโหดร้าย สุขทุกข์ที่เราพบพาน มันคือชีวิตของเรา "ชีวิตยังคงสวยงาม" Cr.บอดี้สแลม #ว่างว่างก็แวะมา #Thaitimes
    Like
    6
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1816 มุมมอง 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 153 มุมมอง 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 123 มุมมอง 0 รีวิว
  • อิติปิโส 84,000 >>> วันที่ 356
    วันศุกร์: แรม ๓ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีมะโรง
    วันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๖๗ (20 September 2024)

    สวดบทสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย จำนวน 230 จบ
    รวมสวดสะสม 77,500 จบ ยอดคงเหลือ 6,500 จบ
    * เวลาที่เหลืออยู่ในชาตินี้ เท่ากับ ๒๖ ปี ๑๔๕ วัน
    I am willing to depart this life at the age of 75.
    #สวดอิติปิโส๘๔๐๐๐จบ #สมถกรรมฐาน
    #พุทธานุสสติ #ธัมมานุสสติ #สังฆานุสสติ
    #วิริยะบารมี #อธิษฐานบารมี #สัจจะบารมี
    #สวดมนต์ #สวดมนต์ทุกวัน #สวดมนต์เปลี่ยนชีวิต
    อิติปิโส 84,000 >>> วันที่ 356 วันศุกร์: แรม ๓ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีมะโรง วันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๖๗ (20 September 2024) สวดบทสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย จำนวน 230 จบ รวมสวดสะสม 77,500 จบ ยอดคงเหลือ 6,500 จบ * เวลาที่เหลืออยู่ในชาตินี้ เท่ากับ ๒๖ ปี ๑๔๕ วัน I am willing to depart this life at the age of 75. #สวดอิติปิโส๘๔๐๐๐จบ #สมถกรรมฐาน #พุทธานุสสติ #ธัมมานุสสติ #สังฆานุสสติ #วิริยะบารมี #อธิษฐานบารมี #สัจจะบารมี #สวดมนต์ #สวดมนต์ทุกวัน #สวดมนต์เปลี่ยนชีวิต
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 200 มุมมอง 0 รีวิว
  • #แทนคุณแผ่นดิน

    🤠คำนำ🤠

    “ฉันสาบานว่าจะอุทิศด้วยเลือดในกายทั้งหมดของฉันเพื่อรับใช้มาตุภูมิ(我以我血荐轩辕)” นี่เป็นบทประพันธท่อนหนึ่งในถ้อยคำที่เขียนแล้วทำให้หัวใจคุกรุ่นซึ่งเขียนโดยหลู่ซวิ่น(鲁迅)ด้วยความรู้สึกรักชาติ เป็นเวลาหลายพันปีที่ความรักต่อมาตุภูมิเป็นแรงบันดาลใจให้ชาวจีนจำนวนนับไม่ถ้วนต่อสู้เพื่อมาตุภูมิ และเราได้รู้จักผู้รักชาตินับไม่ถ้วนมาตั้งแต่เด็ก อย่างไรก็ตาม ในยุคสมัยที่ต่างกัน การแสดงความรักชาติก็แตกต่างกันไป ในยุคแห่งสงคราม ความรักชาติอาจหมายถึงการเข้าสู่สนามรบ และไม่เสียใจที่ต้องสละชีวิตเพื่อทำลายศัตรูเพื่อมาตุภูมิ ในยุคที่ประเทศสงบสุขประชาชนปลอดภัย ความรักชาติยังหมายถึงการปฏิบัติหน้าที่ของตนให้สำเร็จและไม่สร้างปัญหาให้กับมาตุภูมิ

    หลังจากการสถาปนาจีนใหม่ ก็ไม่ต้องทนกับความวุ่นวายของสงครามอีกต่อไป และสถานการณ์ความรักชาติก็เปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน สำหรับผู้ประกอบการจำนวนมาก ความรักชาติของพวกเขาสะท้อนให้เห็นจากการใช้ทรัพย์สมบัติของตนเพื่อตอบแทนมาตุภูมิ เคยมีผู้ประกอบการรายหนึ่ง เขาซื้อเรือบรรทุกเครื่องบินจากต่างประเทศและบริจาคให้กับมาตุภูมิ จากนั้น สวี เจิงผิง(徐增平)ก็ประกาศให้บริษัทล้มละลาย เกิดอะไรขึ้นกับเขา

    🤠1. ตัดสินใจซื้อเรือบรรทุกเครื่องบินส่งไปมาตุภูมิบ้านเกิด🤠

    สวี เจิงผิง(徐增平)เคยเป็นทหาร ในปีค.ศ. 1997 เขาเป็นประธานของ Hong Kong Chuanglu Group(香港创律集团)ข่าวที่เขาเห็นโดยบังเอิญทำให้หัวใจของเขาเต้นไหว ปรากฏว่ามีรายงานของสื่อว่ายูเครนต้องการขายเรือบรรทุกเครื่องบินที่ยังสร้างไม่เสร็จ และความรักชาติของเขาก็จุดประกายขึ้นมาทันที เขาตั้งใจจะซื้อเรือบรรทุกเครื่องบินลำนั้นและมอบให้กับบ้านเกิดมาตุภูมิของเขา

    เนื่องจากเรือบรรทุกเครื่องบินเกี่ยวข้องกับการพัฒนาภารกิจด้านการป้องกันประเทศของประเทศ เรือบรรทุกเครื่องบินยูเครนไม่สามารถซื้อในนามของประเทศได้ เพราะจะทำให้ประเทศอื่นมีโอกาสเข้ามาแทรกแซงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สวี เจิงผิง(徐增平)จึงตัดสินใจซื้อเรือบรรทุกเครื่องบินด้วยเงินของเขาเอง อย่างไรก็ตาม เรือบรรทุกเครื่องบินถือเป็นอาวุธที่ใช้ในการป้องกันประเทศ รัฐบาลยูเครนจะไม่เห็นด้วยกับการซื้อของเขาโดยไม่มีเหตุผลที่เหมาะสม สวี เจิงผิง(徐增平)จึงเปิดบริษัทบันเทิงภายใต้ชื่อของเขาเอง ซึ่งมีชื่อเต็มว่า Chuanglu Tourism and Entertainment Company(创律旅游娱乐公司) และอ้างว่าเขาซื้อเรือบรรทุกเครื่องบินด้วยความตั้งใจที่จะเปลี่ยนให้เป็นสถานบันเทิง

    ในปีค.ศ. 1998 สวี เจิงผิง(徐增平)ซึ่งไม่เข้าใจในเรื่องภาษาได้เดินทางมายังยูเครนอย่างมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว เขาเห็นเรือบรรทุกเครื่องบินลำนี้ชื่อ "Varyag" สิ่งที่ปรากฏต่อหน้าต่อตาเขาคือสถานการณ์เมื่อร้อยปีก่อน เมื่อกิจการทหารเรือของจีนตกต่ำจนขีดต่ำสุด และถูกรังแกโดยประเทศมหาอำนาจอื่น ๆ เขามีความตั้งใจมากขึ้นที่จะมีส่วนร่วมวางพื้นฐานเรื่องเรือบรรทุกเครื่องบินในการพัฒนากองทัพเรือของมาตุภูมิ ที่โต๊ะไวน์ สวี เจิงผิง(徐增平)ไม่สามารถสื่อสารกับบุคคลที่รับผิดชอบฝ่ายยูเครนได้ดี เขาดื่มเหล้าหนัก 6 ปอนด์เพื่อแสดงความมุ่งมั่น ในท้ายที่สุด เขาก็เจรจาเรื่องเรือบรรทุกเครื่องบินได้สำเร็จ

    🤠2. อุปสรรคของการเดินทางกลับมาตุภูมิบ้านเกิดของเรือบรรทุกเครื่องบิน🤠

    ในเวลานั้น ยูเครนตกลงที่จะขายเรือบรรทุกเครื่องบินลำดังกล่าวให้กับ สวี เจิงผิง(徐增平)ในราคา 18 ล้านดอลลาร์สหรัฐแต่ไม่รวมแบบร่างการออกแบบ สวี เจิงผิง(徐增平)รู้ดีว่าแบบการออกแบบเรือบรรทุกเครื่องบินมีความสำคัญมากกว่าตัวเรือบรรทุกเครื่องบิน การได้แบบดังกล่าวเท่านั้น จึงจะสามารถผลิตเรือบรรทุกเครื่องบินของจีนได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ดังนั้นเขาจึงเจรจาอีกครั้ง และหลังจากการเจรจาบางอย่าง สวี เจิงผิง(徐增平)ก็ซื้อแบบของการออกแบบเรือในราคาสูงถึง 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เดิมทีคิดว่าเรือบรรทุกเครื่องบินสามารถกลับบ้านได้ในเวลานี้ แต่เนื่องจากสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นร่วมมือกัน เรือบรรทุกเครื่องบินจึงเกือบจะไม่สามารถกลับได้

    สหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นร่วมกันกดดันยูเครนให้หยุดขายเรือบรรทุกเครื่องบิน เมื่อหมดทางออกยูเครนจึงละทิ้งข้อตกลงทางวาจากับ สวี เจิงผิง(徐增平) และขายเรือบรรทุกเครื่องบินดังกล่าวในรูปแบบของการประมูลแทน เมื่อเห็นว่าเรือบรรทุกเครื่องบินที่เขากำลังจะได้มา แต่คนอื่นก็กำลังจะแย่งชิงเอาไป สวี เจิงผิง(徐增平)ระงับความขุ่นเคืองภายในของเขาและยอมรับการเปลี่ยนแปลงนี้ เขาจึงตัดสินใจอย่างเด็ดขาดเข้าร่วมการประมูล และได้ประมูลซื้อเรือบรรทุกเครื่องบินในราคาสูงถึง 20 ล้านเหรียญสหรัฐ

    หลังจากเหตุการณ์นี้ สวี เจิงผิง(徐增平)ก็ยิ่งระมัดระวังมากขึ้น เพื่อที่จะนำเรือบรรทุกเครื่องบินกลับมาตุภูมิโดยเร็วที่สุด เขาได้จัดการเรื่องเกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์ของเรือบรรทุกเครื่องบินทันทีและปกป้องแบบของการออกแบบอย่างระมัดระวัง เมื่อเรือบรรทุกเครื่องบินแล่นมุ่งหน้าสู่มาตุภูมิเขารู้สึกตื่นเต้นซาบซึ้งมากจนน้ำตาไหล แต่เมื่อแบบร่างการออกแบบถูกส่งกลับไปยังประเทศจีน ช่างเทคนิคพบว่าแบบร่างนั้นไม่สมบูรณ์และข้อมูลสำคัญจำนวนมากยังขาดหายไป สวี เจิงผิง(徐增平)จึงเดินทางไปยูเครนอีกครั้งเพื่อขอแบบร่างการออกแบบที่สมบูรณ์ นอกจากนี้ ระหว่างทางกลับบ้านมาตุภูมิ ยังถูกรัฐบาลตุรกีเข้าแทรกแซง ทำให้เรือบรรทุกเครื่องบินลำดังกล่าวลอยอยู่ในทะเลเป็นเวลาหนึ่งปี

    🤠3. เรือบรรทุกเครื่องบินมาถึงบ้านมาตุภูมิ และบริษัทล้มละลาย🤠

    ต่อมาการเจรจาระหว่างประเทศจีนกับตุรกีใช้เวลานานกว่าหนึ่งปี ในช่วงเวลานี้ บริษัทเรือลากจูงจำเป็นต้องใช้ค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมท่าเทียบเรือของเรือบรรทุกเครื่องบินก็ต้องจ่ายด้วย ซึ่งคิดเป็นมูลค่ารวมหลายแสนดอลลาร์ บริษัทของ สวี เจิงผิง(徐增平)ไม่สามารถจ่ายค่าใช้จ่ายต่างๆ ได้อีกต่อไป ในปี ค.ศ. 2002 เรือบรรทุกเครื่องบินได้แล่นเข้าสู่น่านน้ำของมาตุภูมิและเข้าสู่อ้อมกอดของมาตุภูมิในที่สุด ตั้งแต่การซื้อเรือบรรทุกเครื่องบินไปจนถึงการส่งกลับจีน ใช้เวลาทั้งหมด 5 ปี และ สวี เจิงผิง(徐增平)ใช้เงินมากกว่าหนึ่งพันล้านเหรียญสหรัฐ

    เมื่อเรือบรรทุกเครื่องบินเดินทางถึงจุดหมายปลายทางอย่างปลอดภัย สวี เจิงผิง(徐增平)ได้ประกาศว่าบริษัทบันเทิงของเขาล้มละลายอย่างเป็นทางการ เดิมทีนี่เป็นบริษัทที่จัดตั้งขึ้นเพื่อซื้อเรือบรรทุกเครื่องบิน คำโกหกนี้ปรากฏชัดออกมาในตัวเองทันทีที่เรือบรรทุกเครื่องบินมาถึงบ้านมาตุภูมิ สวี เจิงผิง(徐增平)จึงเปลี่ยนมือและบริจาคเรือบรรทุกเครื่องบินให้กับประเทศ แม้ว่าบริษัทบันเทิงในมาเก๊าจะล้มละลาย แต่ สวี เจิงผิง(徐增平)ก็ไม่ได้ตกอยู่ในสภาพความยากจน เขายังมีบริษัทอื่นในฮ่องกงและเขายังคงเป็นนักธุรกิจผู้รักชาติ

    “ตี๋น้อยต้องการรับใช้ชาติ ไม่ใช่เพื่อเป็นเจ้าขุนมูลนาย” ผู้รักชาติที่แท้จริงถือว่าความรักชาติเป็นความรับผิดชอบของเขาเอง และไม่สนใจความสำเร็จหรือความล้มเหลวส่วนบุคคล สวี เจิงผิง(徐增平)ก็คือคนเช่นนี้ เขาแสดงมิตรภาพอันลึกซึ้งต่อมาตุภูมิในรูปแบบของเขาเอง และสมควรได้รับความเคารพอย่างสุดซึ้งต่อเขา

    🤯โปรดติดตามบทความที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า🤯

    🥰กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ🥰
    #แทนคุณแผ่นดิน 🤠คำนำ🤠 “ฉันสาบานว่าจะอุทิศด้วยเลือดในกายทั้งหมดของฉันเพื่อรับใช้มาตุภูมิ(我以我血荐轩辕)” นี่เป็นบทประพันธท่อนหนึ่งในถ้อยคำที่เขียนแล้วทำให้หัวใจคุกรุ่นซึ่งเขียนโดยหลู่ซวิ่น(鲁迅)ด้วยความรู้สึกรักชาติ เป็นเวลาหลายพันปีที่ความรักต่อมาตุภูมิเป็นแรงบันดาลใจให้ชาวจีนจำนวนนับไม่ถ้วนต่อสู้เพื่อมาตุภูมิ และเราได้รู้จักผู้รักชาตินับไม่ถ้วนมาตั้งแต่เด็ก อย่างไรก็ตาม ในยุคสมัยที่ต่างกัน การแสดงความรักชาติก็แตกต่างกันไป ในยุคแห่งสงคราม ความรักชาติอาจหมายถึงการเข้าสู่สนามรบ และไม่เสียใจที่ต้องสละชีวิตเพื่อทำลายศัตรูเพื่อมาตุภูมิ ในยุคที่ประเทศสงบสุขประชาชนปลอดภัย ความรักชาติยังหมายถึงการปฏิบัติหน้าที่ของตนให้สำเร็จและไม่สร้างปัญหาให้กับมาตุภูมิ หลังจากการสถาปนาจีนใหม่ ก็ไม่ต้องทนกับความวุ่นวายของสงครามอีกต่อไป และสถานการณ์ความรักชาติก็เปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน สำหรับผู้ประกอบการจำนวนมาก ความรักชาติของพวกเขาสะท้อนให้เห็นจากการใช้ทรัพย์สมบัติของตนเพื่อตอบแทนมาตุภูมิ เคยมีผู้ประกอบการรายหนึ่ง เขาซื้อเรือบรรทุกเครื่องบินจากต่างประเทศและบริจาคให้กับมาตุภูมิ จากนั้น สวี เจิงผิง(徐增平)ก็ประกาศให้บริษัทล้มละลาย เกิดอะไรขึ้นกับเขา 🤠1. ตัดสินใจซื้อเรือบรรทุกเครื่องบินส่งไปมาตุภูมิบ้านเกิด🤠 สวี เจิงผิง(徐增平)เคยเป็นทหาร ในปีค.ศ. 1997 เขาเป็นประธานของ Hong Kong Chuanglu Group(香港创律集团)ข่าวที่เขาเห็นโดยบังเอิญทำให้หัวใจของเขาเต้นไหว ปรากฏว่ามีรายงานของสื่อว่ายูเครนต้องการขายเรือบรรทุกเครื่องบินที่ยังสร้างไม่เสร็จ และความรักชาติของเขาก็จุดประกายขึ้นมาทันที เขาตั้งใจจะซื้อเรือบรรทุกเครื่องบินลำนั้นและมอบให้กับบ้านเกิดมาตุภูมิของเขา เนื่องจากเรือบรรทุกเครื่องบินเกี่ยวข้องกับการพัฒนาภารกิจด้านการป้องกันประเทศของประเทศ เรือบรรทุกเครื่องบินยูเครนไม่สามารถซื้อในนามของประเทศได้ เพราะจะทำให้ประเทศอื่นมีโอกาสเข้ามาแทรกแซงอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สวี เจิงผิง(徐增平)จึงตัดสินใจซื้อเรือบรรทุกเครื่องบินด้วยเงินของเขาเอง อย่างไรก็ตาม เรือบรรทุกเครื่องบินถือเป็นอาวุธที่ใช้ในการป้องกันประเทศ รัฐบาลยูเครนจะไม่เห็นด้วยกับการซื้อของเขาโดยไม่มีเหตุผลที่เหมาะสม สวี เจิงผิง(徐增平)จึงเปิดบริษัทบันเทิงภายใต้ชื่อของเขาเอง ซึ่งมีชื่อเต็มว่า Chuanglu Tourism and Entertainment Company(创律旅游娱乐公司) และอ้างว่าเขาซื้อเรือบรรทุกเครื่องบินด้วยความตั้งใจที่จะเปลี่ยนให้เป็นสถานบันเทิง ในปีค.ศ. 1998 สวี เจิงผิง(徐增平)ซึ่งไม่เข้าใจในเรื่องภาษาได้เดินทางมายังยูเครนอย่างมุ่งมั่นเด็ดเดี่ยว เขาเห็นเรือบรรทุกเครื่องบินลำนี้ชื่อ "Varyag" สิ่งที่ปรากฏต่อหน้าต่อตาเขาคือสถานการณ์เมื่อร้อยปีก่อน เมื่อกิจการทหารเรือของจีนตกต่ำจนขีดต่ำสุด และถูกรังแกโดยประเทศมหาอำนาจอื่น ๆ เขามีความตั้งใจมากขึ้นที่จะมีส่วนร่วมวางพื้นฐานเรื่องเรือบรรทุกเครื่องบินในการพัฒนากองทัพเรือของมาตุภูมิ ที่โต๊ะไวน์ สวี เจิงผิง(徐增平)ไม่สามารถสื่อสารกับบุคคลที่รับผิดชอบฝ่ายยูเครนได้ดี เขาดื่มเหล้าหนัก 6 ปอนด์เพื่อแสดงความมุ่งมั่น ในท้ายที่สุด เขาก็เจรจาเรื่องเรือบรรทุกเครื่องบินได้สำเร็จ 🤠2. อุปสรรคของการเดินทางกลับมาตุภูมิบ้านเกิดของเรือบรรทุกเครื่องบิน🤠 ในเวลานั้น ยูเครนตกลงที่จะขายเรือบรรทุกเครื่องบินลำดังกล่าวให้กับ สวี เจิงผิง(徐增平)ในราคา 18 ล้านดอลลาร์สหรัฐแต่ไม่รวมแบบร่างการออกแบบ สวี เจิงผิง(徐增平)รู้ดีว่าแบบการออกแบบเรือบรรทุกเครื่องบินมีความสำคัญมากกว่าตัวเรือบรรทุกเครื่องบิน การได้แบบดังกล่าวเท่านั้น จึงจะสามารถผลิตเรือบรรทุกเครื่องบินของจีนได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ดังนั้นเขาจึงเจรจาอีกครั้ง และหลังจากการเจรจาบางอย่าง สวี เจิงผิง(徐增平)ก็ซื้อแบบของการออกแบบเรือในราคาสูงถึง 20 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เดิมทีคิดว่าเรือบรรทุกเครื่องบินสามารถกลับบ้านได้ในเวลานี้ แต่เนื่องจากสหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นร่วมมือกัน เรือบรรทุกเครื่องบินจึงเกือบจะไม่สามารถกลับได้ สหรัฐอเมริกาและญี่ปุ่นร่วมกันกดดันยูเครนให้หยุดขายเรือบรรทุกเครื่องบิน เมื่อหมดทางออกยูเครนจึงละทิ้งข้อตกลงทางวาจากับ สวี เจิงผิง(徐增平) และขายเรือบรรทุกเครื่องบินดังกล่าวในรูปแบบของการประมูลแทน เมื่อเห็นว่าเรือบรรทุกเครื่องบินที่เขากำลังจะได้มา แต่คนอื่นก็กำลังจะแย่งชิงเอาไป สวี เจิงผิง(徐增平)ระงับความขุ่นเคืองภายในของเขาและยอมรับการเปลี่ยนแปลงนี้ เขาจึงตัดสินใจอย่างเด็ดขาดเข้าร่วมการประมูล และได้ประมูลซื้อเรือบรรทุกเครื่องบินในราคาสูงถึง 20 ล้านเหรียญสหรัฐ หลังจากเหตุการณ์นี้ สวี เจิงผิง(徐增平)ก็ยิ่งระมัดระวังมากขึ้น เพื่อที่จะนำเรือบรรทุกเครื่องบินกลับมาตุภูมิโดยเร็วที่สุด เขาได้จัดการเรื่องเกี่ยวกับบรรจุภัณฑ์ของเรือบรรทุกเครื่องบินทันทีและปกป้องแบบของการออกแบบอย่างระมัดระวัง เมื่อเรือบรรทุกเครื่องบินแล่นมุ่งหน้าสู่มาตุภูมิเขารู้สึกตื่นเต้นซาบซึ้งมากจนน้ำตาไหล แต่เมื่อแบบร่างการออกแบบถูกส่งกลับไปยังประเทศจีน ช่างเทคนิคพบว่าแบบร่างนั้นไม่สมบูรณ์และข้อมูลสำคัญจำนวนมากยังขาดหายไป สวี เจิงผิง(徐增平)จึงเดินทางไปยูเครนอีกครั้งเพื่อขอแบบร่างการออกแบบที่สมบูรณ์ นอกจากนี้ ระหว่างทางกลับบ้านมาตุภูมิ ยังถูกรัฐบาลตุรกีเข้าแทรกแซง ทำให้เรือบรรทุกเครื่องบินลำดังกล่าวลอยอยู่ในทะเลเป็นเวลาหนึ่งปี 🤠3. เรือบรรทุกเครื่องบินมาถึงบ้านมาตุภูมิ และบริษัทล้มละลาย🤠 ต่อมาการเจรจาระหว่างประเทศจีนกับตุรกีใช้เวลานานกว่าหนึ่งปี ในช่วงเวลานี้ บริษัทเรือลากจูงจำเป็นต้องใช้ค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียมท่าเทียบเรือของเรือบรรทุกเครื่องบินก็ต้องจ่ายด้วย ซึ่งคิดเป็นมูลค่ารวมหลายแสนดอลลาร์ บริษัทของ สวี เจิงผิง(徐增平)ไม่สามารถจ่ายค่าใช้จ่ายต่างๆ ได้อีกต่อไป ในปี ค.ศ. 2002 เรือบรรทุกเครื่องบินได้แล่นเข้าสู่น่านน้ำของมาตุภูมิและเข้าสู่อ้อมกอดของมาตุภูมิในที่สุด ตั้งแต่การซื้อเรือบรรทุกเครื่องบินไปจนถึงการส่งกลับจีน ใช้เวลาทั้งหมด 5 ปี และ สวี เจิงผิง(徐增平)ใช้เงินมากกว่าหนึ่งพันล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อเรือบรรทุกเครื่องบินเดินทางถึงจุดหมายปลายทางอย่างปลอดภัย สวี เจิงผิง(徐增平)ได้ประกาศว่าบริษัทบันเทิงของเขาล้มละลายอย่างเป็นทางการ เดิมทีนี่เป็นบริษัทที่จัดตั้งขึ้นเพื่อซื้อเรือบรรทุกเครื่องบิน คำโกหกนี้ปรากฏชัดออกมาในตัวเองทันทีที่เรือบรรทุกเครื่องบินมาถึงบ้านมาตุภูมิ สวี เจิงผิง(徐增平)จึงเปลี่ยนมือและบริจาคเรือบรรทุกเครื่องบินให้กับประเทศ แม้ว่าบริษัทบันเทิงในมาเก๊าจะล้มละลาย แต่ สวี เจิงผิง(徐增平)ก็ไม่ได้ตกอยู่ในสภาพความยากจน เขายังมีบริษัทอื่นในฮ่องกงและเขายังคงเป็นนักธุรกิจผู้รักชาติ “ตี๋น้อยต้องการรับใช้ชาติ ไม่ใช่เพื่อเป็นเจ้าขุนมูลนาย” ผู้รักชาติที่แท้จริงถือว่าความรักชาติเป็นความรับผิดชอบของเขาเอง และไม่สนใจความสำเร็จหรือความล้มเหลวส่วนบุคคล สวี เจิงผิง(徐增平)ก็คือคนเช่นนี้ เขาแสดงมิตรภาพอันลึกซึ้งต่อมาตุภูมิในรูปแบบของเขาเอง และสมควรได้รับความเคารพอย่างสุดซึ้งต่อเขา 🤯โปรดติดตามบทความที่น่าสนใจต่อไป.ในโอกาสหน้า🤯 🥰กราบขออภัยในความผิดพลาดและกราบขอบพระคุณของข้อชี้แนะ🥰
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1152 มุมมอง 0 รีวิว
  • อิติปิโส 84,000 >>> วันที่ 356
    วันศุกร์: แรม ๓ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีมะโรง
    วันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๖๗ (20 September 2024)

    สวดบทสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย จำนวน 230 จบ
    รวมสวดสะสม 77,500 จบ ยอดคงเหลือ 6,500 จบ
    * เวลาที่เหลืออยู่ในชาตินี้ เท่ากับ ๒๖ ปี ๑๔๕ วัน
    I am willing to depart this life at the age of 75.
    #สวดอิติปิโส๘๔๐๐๐จบ #สมถกรรมฐาน
    #พุทธานุสสติ #ธัมมานุสสติ #สังฆานุสสติ
    #วิริยะบารมี #อธิษฐานบารมี #สัจจะบารมี
    #สวดมนต์ #สวดมนต์ทุกวัน #สวดมนต์เปลี่ยนชีวิต
    อิติปิโส 84,000 >>> วันที่ 356 วันศุกร์: แรม ๓ ค่ำ เดือน ๑๐ ปีมะโรง วันที่ ๒๐ กันยายน ๒๕๖๗ (20 September 2024) สวดบทสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย จำนวน 230 จบ รวมสวดสะสม 77,500 จบ ยอดคงเหลือ 6,500 จบ * เวลาที่เหลืออยู่ในชาตินี้ เท่ากับ ๒๖ ปี ๑๔๕ วัน I am willing to depart this life at the age of 75. #สวดอิติปิโส๘๔๐๐๐จบ #สมถกรรมฐาน #พุทธานุสสติ #ธัมมานุสสติ #สังฆานุสสติ #วิริยะบารมี #อธิษฐานบารมี #สัจจะบารมี #สวดมนต์ #สวดมนต์ทุกวัน #สวดมนต์เปลี่ยนชีวิต
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 205 มุมมอง 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 62 มุมมอง 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 85 มุมมอง 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 93 มุมมอง 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 65 มุมมอง 0 รีวิว
  • Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 100 มุมมอง 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 26 มุมมอง 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 77 มุมมอง 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 92 มุมมอง 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 75 มุมมอง 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 54 มุมมอง 0 รีวิว