• Microsoft ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ใน Word บน iOS ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถ แปลงบันทึกเสียงเป็นเอกสารที่มีโครงสร้างดี โดยใช้ Copilot ซึ่งช่วยให้การจัดรูปแบบเอกสารเป็นไปอย่างสะดวกและรวดเร็ว

    Copilot ใน Word บน iOS สามารถแปลงบันทึกเสียงเป็นเอกสารได้อย่างมีโครงสร้าง
    - ผู้ใช้สามารถ เลือกภาษาและเทมเพลตเอกสาร ก่อนเริ่มบันทึกเสียง
    - เมื่อบันทึกเสร็จ Copilot จะ ถอดเสียงและจัดรูปแบบเอกสารตามเทมเพลตที่เลือก

    Word มีเทมเพลตเริ่มต้นสำหรับบันทึกเสียง 3 แบบ
    - Document: เอกสารมาตรฐานที่มีหัวข้อและส่วนต่างๆ
    - Notes: เอกสารข้อความเรียบง่ายที่แบ่งเป็นย่อหน้า
    - Email: เอกสารที่มีเนื้อหาอีเมลพร้อมคำลงท้าย

    ผู้ใช้สามารถสร้างเทมเพลตของตนเองได้
    - สามารถตั้งชื่อเทมเพลต เช่น Groceries และกำหนดรูปแบบเอกสารที่ต้องการ
    - ช่วยให้การจัดการเอกสารเป็นไปตามความต้องการเฉพาะของแต่ละบุคคล

    ฟีเจอร์นี้รองรับหลายภาษา แต่ยังไม่ครบทุกภาษา
    - รองรับ อังกฤษ, สเปน, ฝรั่งเศส, โปรตุเกส, จีน, เยอรมัน, อิตาลี และญี่ปุ่น
    - Microsoft ระบุว่าจะเพิ่มการรองรับภาษาอื่นๆ ในอนาคต

    ฟีเจอร์นี้ใช้ได้เฉพาะกับผู้ใช้ที่มี Copilot License
    - ต้องมี Copilot Pro หรือ AI credits ใน Microsoft 365 subscription
    - ใช้งานได้บน Word เวอร์ชัน 2.96 (build 25041112)

    https://www.neowin.net/news/microsoft-makes-it-easier-to-turn-voice-notes-into-well-made-documents-in-word-on-mobile/
    Microsoft ได้เปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ใน Word บน iOS ที่ช่วยให้ผู้ใช้สามารถ แปลงบันทึกเสียงเป็นเอกสารที่มีโครงสร้างดี โดยใช้ Copilot ซึ่งช่วยให้การจัดรูปแบบเอกสารเป็นไปอย่างสะดวกและรวดเร็ว ✅ Copilot ใน Word บน iOS สามารถแปลงบันทึกเสียงเป็นเอกสารได้อย่างมีโครงสร้าง - ผู้ใช้สามารถ เลือกภาษาและเทมเพลตเอกสาร ก่อนเริ่มบันทึกเสียง - เมื่อบันทึกเสร็จ Copilot จะ ถอดเสียงและจัดรูปแบบเอกสารตามเทมเพลตที่เลือก ✅ Word มีเทมเพลตเริ่มต้นสำหรับบันทึกเสียง 3 แบบ - Document: เอกสารมาตรฐานที่มีหัวข้อและส่วนต่างๆ - Notes: เอกสารข้อความเรียบง่ายที่แบ่งเป็นย่อหน้า - Email: เอกสารที่มีเนื้อหาอีเมลพร้อมคำลงท้าย ✅ ผู้ใช้สามารถสร้างเทมเพลตของตนเองได้ - สามารถตั้งชื่อเทมเพลต เช่น Groceries และกำหนดรูปแบบเอกสารที่ต้องการ - ช่วยให้การจัดการเอกสารเป็นไปตามความต้องการเฉพาะของแต่ละบุคคล ✅ ฟีเจอร์นี้รองรับหลายภาษา แต่ยังไม่ครบทุกภาษา - รองรับ อังกฤษ, สเปน, ฝรั่งเศส, โปรตุเกส, จีน, เยอรมัน, อิตาลี และญี่ปุ่น - Microsoft ระบุว่าจะเพิ่มการรองรับภาษาอื่นๆ ในอนาคต ✅ ฟีเจอร์นี้ใช้ได้เฉพาะกับผู้ใช้ที่มี Copilot License - ต้องมี Copilot Pro หรือ AI credits ใน Microsoft 365 subscription - ใช้งานได้บน Word เวอร์ชัน 2.96 (build 25041112) https://www.neowin.net/news/microsoft-makes-it-easier-to-turn-voice-notes-into-well-made-documents-in-word-on-mobile/
    WWW.NEOWIN.NET
    Microsoft makes it easier to turn voice notes into well-made documents in Word on mobile
    Copilot in Word on mobile devices gets a new feature to make life easier for users who frequently use voice notes.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 322 มุมมอง 0 รีวิว
  • นักวิทยาศาสตร์จาก มหาวิทยาลัย POSTECH ได้พัฒนาโลหะชนิดใหม่ที่เรียกว่า Hyperadaptor Super Metal ซึ่งเป็นโลหะที่มีความแข็งแกร่งสูงและสามารถรักษาความยืดหยุ่นได้ในช่วงอุณหภูมิที่กว้าง ตั้งแต่ –196°C ถึง 600°C

    POSTECH พัฒนาโลหะใหม่ที่มีความแข็งแกร่งและยืดหยุ่นสูง
    - โลหะนี้เป็น Nickel-based High-Entropy Alloy (HEA) ที่สามารถรักษาคุณสมบัติทางกลไกได้แม้ในสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง
    - ใช้ อนุภาคระดับนาโน L1₂ precipitates เพื่อช่วยให้โลหะสามารถปรับตัวต่อแรงกดดัน

    Hyperadaptor Super Metal มีความทนทานต่ออุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
    - โลหะทั่วไปมักสูญเสียคุณสมบัติเมื่อสัมผัสกับอุณหภูมิที่แตกต่างกันมาก
    - Hyperadaptor สามารถรักษาความแข็งแกร่งได้แม้ในสภาพแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิอย่างฉับพลัน

    HEA มีโครงสร้างที่แตกต่างจากโลหะทั่วไป
    - โลหะทั่วไปมักประกอบด้วยธาตุหลักเพียงหนึ่งชนิด แต่ HEA ผสมธาตุ 5 ชนิดขึ้นไปในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน
    - โครงสร้างนี้ช่วยให้โลหะมี ความทนทานต่อการสึกหรอและความร้อนสูง

    การใช้งานของ Hyperadaptor Super Metal ในอุตสาหกรรม
    - สามารถใช้ใน เครื่องยนต์, ระบบไอเสีย, กังหัน และท่อส่งของเหลว ที่ต้องเผชิญกับอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
    - อุตสาหกรรมที่สนใจโลหะนี้ ได้แก่ อวกาศ, ยานยนต์ และพลังงานนิวเคลียร์

    https://www.neowin.net/news/scientists-hammer-up-hyperadaptor-super-metal-thats-nearly-unbendable/
    นักวิทยาศาสตร์จาก มหาวิทยาลัย POSTECH ได้พัฒนาโลหะชนิดใหม่ที่เรียกว่า Hyperadaptor Super Metal ซึ่งเป็นโลหะที่มีความแข็งแกร่งสูงและสามารถรักษาความยืดหยุ่นได้ในช่วงอุณหภูมิที่กว้าง ตั้งแต่ –196°C ถึง 600°C ✅ POSTECH พัฒนาโลหะใหม่ที่มีความแข็งแกร่งและยืดหยุ่นสูง - โลหะนี้เป็น Nickel-based High-Entropy Alloy (HEA) ที่สามารถรักษาคุณสมบัติทางกลไกได้แม้ในสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง - ใช้ อนุภาคระดับนาโน L1₂ precipitates เพื่อช่วยให้โลหะสามารถปรับตัวต่อแรงกดดัน ✅ Hyperadaptor Super Metal มีความทนทานต่ออุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว - โลหะทั่วไปมักสูญเสียคุณสมบัติเมื่อสัมผัสกับอุณหภูมิที่แตกต่างกันมาก - Hyperadaptor สามารถรักษาความแข็งแกร่งได้แม้ในสภาพแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิอย่างฉับพลัน ✅ HEA มีโครงสร้างที่แตกต่างจากโลหะทั่วไป - โลหะทั่วไปมักประกอบด้วยธาตุหลักเพียงหนึ่งชนิด แต่ HEA ผสมธาตุ 5 ชนิดขึ้นไปในสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน - โครงสร้างนี้ช่วยให้โลหะมี ความทนทานต่อการสึกหรอและความร้อนสูง ✅ การใช้งานของ Hyperadaptor Super Metal ในอุตสาหกรรม - สามารถใช้ใน เครื่องยนต์, ระบบไอเสีย, กังหัน และท่อส่งของเหลว ที่ต้องเผชิญกับอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว - อุตสาหกรรมที่สนใจโลหะนี้ ได้แก่ อวกาศ, ยานยนต์ และพลังงานนิวเคลียร์ https://www.neowin.net/news/scientists-hammer-up-hyperadaptor-super-metal-thats-nearly-unbendable/
    WWW.NEOWIN.NET
    Scientists hammer up 'Hyperadaptor super metal' that's nearly unbendable
    Scientists and researchers have created a new 'Hyperadaptor super metal' that is really, really hard to bend.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 217 มุมมอง 0 รีวิว
  • รายงานล่าสุดจาก CSO Online ระบุว่า Shadow AI หรือการใช้ AI โดยไม่ได้รับอนุญาตในองค์กร กำลังเพิ่มความเสี่ยงด้านความปลอดภัยข้อมูลอย่างมาก โดยมีการเปิดเผยว่า ปริมาณข้อมูลที่ถูกส่งไปยังแอปพลิเคชัน AI เพิ่มขึ้นถึง 30 เท่าในปีที่ผ่านมา ซึ่งนำไปสู่การรั่วไหลของข้อมูลที่สำคัญ เช่น ซอร์สโค้ด, ข้อมูลทางกฎหมาย และข้อมูลลูกค้า

    Shadow AI กำลังเพิ่มความเสี่ยงด้านความปลอดภัยข้อมูลในองค์กร
    - พนักงานใช้ บัญชี AI ส่วนตัว เพื่อประมวลผลข้อมูลที่ละเอียดอ่อน
    - ข้อมูลที่ถูกส่งไปยังแอป AI เช่น ChatGPT, Gemini และ Claude เพิ่มขึ้นจาก 250MB เป็น 7.7GB ต่อเดือน

    8.5% ของคำสั่งที่ส่งไปยัง AI มีข้อมูลที่ละเอียดอ่อน
    - ข้อมูลที่รั่วไหลรวมถึง ข้อมูลลูกค้า, ข้อมูลทางกฎหมาย และข้อมูลด้านความปลอดภัย
    - ข้อมูลลูกค้าคิดเป็น เกือบครึ่งหนึ่งของข้อมูลที่รั่วไหล

    องค์กรส่วนใหญ่ไม่มีนโยบายควบคุมการใช้ AI อย่างชัดเจน
    - 90% ขององค์กรมี แอปพลิเคชัน AI ที่ได้รับอนุญาต แต่ยังคงมีการใช้ AI ที่ไม่ได้รับการควบคุม
    - 72% ของการใช้ AI ในองค์กรเป็น Shadow IT ซึ่งไม่ได้รับการตรวจสอบจากฝ่ายความปลอดภัย

    ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าการใช้ AI โดยไม่มีการควบคุมอาจนำไปสู่การละเมิดกฎระเบียบ
    - ข้อมูลที่รั่วไหลอาจถูกนำไปใช้ในการฝึกโมเดล AI หรือถูกโจมตีโดยแฮกเกอร์
    - การใช้ AI โดยไม่มีการตรวจสอบอาจทำให้เกิด ข้อผิดพลาดด้านข้อมูลและลดความน่าเชื่อถือขององค์กร

    https://www.csoonline.com/article/3964282/cisos-no-closer-to-containing-shadow-ais-skyrocketing-data-risks.html
    รายงานล่าสุดจาก CSO Online ระบุว่า Shadow AI หรือการใช้ AI โดยไม่ได้รับอนุญาตในองค์กร กำลังเพิ่มความเสี่ยงด้านความปลอดภัยข้อมูลอย่างมาก โดยมีการเปิดเผยว่า ปริมาณข้อมูลที่ถูกส่งไปยังแอปพลิเคชัน AI เพิ่มขึ้นถึง 30 เท่าในปีที่ผ่านมา ซึ่งนำไปสู่การรั่วไหลของข้อมูลที่สำคัญ เช่น ซอร์สโค้ด, ข้อมูลทางกฎหมาย และข้อมูลลูกค้า ✅ Shadow AI กำลังเพิ่มความเสี่ยงด้านความปลอดภัยข้อมูลในองค์กร - พนักงานใช้ บัญชี AI ส่วนตัว เพื่อประมวลผลข้อมูลที่ละเอียดอ่อน - ข้อมูลที่ถูกส่งไปยังแอป AI เช่น ChatGPT, Gemini และ Claude เพิ่มขึ้นจาก 250MB เป็น 7.7GB ต่อเดือน ✅ 8.5% ของคำสั่งที่ส่งไปยัง AI มีข้อมูลที่ละเอียดอ่อน - ข้อมูลที่รั่วไหลรวมถึง ข้อมูลลูกค้า, ข้อมูลทางกฎหมาย และข้อมูลด้านความปลอดภัย - ข้อมูลลูกค้าคิดเป็น เกือบครึ่งหนึ่งของข้อมูลที่รั่วไหล ✅ องค์กรส่วนใหญ่ไม่มีนโยบายควบคุมการใช้ AI อย่างชัดเจน - 90% ขององค์กรมี แอปพลิเคชัน AI ที่ได้รับอนุญาต แต่ยังคงมีการใช้ AI ที่ไม่ได้รับการควบคุม - 72% ของการใช้ AI ในองค์กรเป็น Shadow IT ซึ่งไม่ได้รับการตรวจสอบจากฝ่ายความปลอดภัย ✅ ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าการใช้ AI โดยไม่มีการควบคุมอาจนำไปสู่การละเมิดกฎระเบียบ - ข้อมูลที่รั่วไหลอาจถูกนำไปใช้ในการฝึกโมเดล AI หรือถูกโจมตีโดยแฮกเกอร์ - การใช้ AI โดยไม่มีการตรวจสอบอาจทำให้เกิด ข้อผิดพลาดด้านข้อมูลและลดความน่าเชื่อถือขององค์กร https://www.csoonline.com/article/3964282/cisos-no-closer-to-containing-shadow-ais-skyrocketing-data-risks.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    CISOs no closer to containing shadow AI’s skyrocketing data risks
    A 30-fold increase in company data being exposed to shadow AI shows that offering users official AI tools doesn’t reduce the data leak and compliance risks of unsanctioned AI use.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 325 มุมมอง 0 รีวิว
  • Apple ได้ออก แพตช์ฉุกเฉิน เพื่อแก้ไขช่องโหว่ zero-day ที่ถูกใช้ใน การโจมตีที่ซับซ้อนสูง โดยช่องโหว่นี้ส่งผลกระทบต่อ CoreAudio และ RPAC ซึ่งสามารถถูกใช้เพื่อ รันโค้ดที่เป็นอันตรายและข้ามการตรวจสอบสิทธิ์

    Apple ออกแพตช์ฉุกเฉินเพื่อแก้ไขช่องโหว่ใน CoreAudio และ RPAC
    - ช่องโหว่ CVE-2025-31200 ใน CoreAudio อาจถูกใช้เพื่อ รันโค้ดที่เป็นอันตรายผ่านไฟล์เสียงที่ถูกดัดแปลง
    - ช่องโหว่ CVE-2025-31201 ใน RPAC อาจถูกใช้เพื่อ ข้ามการตรวจสอบ Pointer Authentication ซึ่งช่วยป้องกันการโจมตีแบบ memory corruption

    ช่องโหว่นี้ถูกใช้ใน "การโจมตีที่ซับซ้อนสูง" บน iOS
    - Apple ระบุว่า มีรายงานว่าช่องโหว่นี้ถูกใช้โจมตีบุคคลเป้าหมาย
    - แม้ว่าจะพบการโจมตีบน iPhone แต่ช่องโหว่นี้ส่งผลกระทบต่อ iOS, iPadOS, tvOS, visionOS และ macOS

    Apple ได้ออกแพตช์สำหรับทุกระบบที่ได้รับผลกระทบ
    - ระบบที่ได้รับการแก้ไข ได้แก่ tvOS 18.4.1, visionOS 2.4.1, iOS 18.4.1, iPadOS 18.4.1 และ macOS Sequoia 15.4.1
    - อุปกรณ์ที่ได้รับแพตช์ ได้แก่ iPhone XS และรุ่นใหม่กว่า, iPad Pro 13-inch, iPad Air 3rd generation และ iPad mini 5th generation

    Apple เผชิญกับช่องโหว่ zero-day หลายครั้งในปีนี้
    - นี่เป็นช่องโหว่ zero-day ครั้งที่ 5 ในปี 2025 ที่ Apple ต้องแก้ไข
    - ในปี 2024 Apple เผชิญกับ 6 ช่องโหว่ zero-day รวมถึงช่องโหว่ที่ถูกใช้ใน Operation Triangulation

    https://www.csoonline.com/article/3964668/hackers-target-apple-users-in-an-extremely-sophisticated-attack.html
    Apple ได้ออก แพตช์ฉุกเฉิน เพื่อแก้ไขช่องโหว่ zero-day ที่ถูกใช้ใน การโจมตีที่ซับซ้อนสูง โดยช่องโหว่นี้ส่งผลกระทบต่อ CoreAudio และ RPAC ซึ่งสามารถถูกใช้เพื่อ รันโค้ดที่เป็นอันตรายและข้ามการตรวจสอบสิทธิ์ ✅ Apple ออกแพตช์ฉุกเฉินเพื่อแก้ไขช่องโหว่ใน CoreAudio และ RPAC - ช่องโหว่ CVE-2025-31200 ใน CoreAudio อาจถูกใช้เพื่อ รันโค้ดที่เป็นอันตรายผ่านไฟล์เสียงที่ถูกดัดแปลง - ช่องโหว่ CVE-2025-31201 ใน RPAC อาจถูกใช้เพื่อ ข้ามการตรวจสอบ Pointer Authentication ซึ่งช่วยป้องกันการโจมตีแบบ memory corruption ✅ ช่องโหว่นี้ถูกใช้ใน "การโจมตีที่ซับซ้อนสูง" บน iOS - Apple ระบุว่า มีรายงานว่าช่องโหว่นี้ถูกใช้โจมตีบุคคลเป้าหมาย - แม้ว่าจะพบการโจมตีบน iPhone แต่ช่องโหว่นี้ส่งผลกระทบต่อ iOS, iPadOS, tvOS, visionOS และ macOS ✅ Apple ได้ออกแพตช์สำหรับทุกระบบที่ได้รับผลกระทบ - ระบบที่ได้รับการแก้ไข ได้แก่ tvOS 18.4.1, visionOS 2.4.1, iOS 18.4.1, iPadOS 18.4.1 และ macOS Sequoia 15.4.1 - อุปกรณ์ที่ได้รับแพตช์ ได้แก่ iPhone XS และรุ่นใหม่กว่า, iPad Pro 13-inch, iPad Air 3rd generation และ iPad mini 5th generation ✅ Apple เผชิญกับช่องโหว่ zero-day หลายครั้งในปีนี้ - นี่เป็นช่องโหว่ zero-day ครั้งที่ 5 ในปี 2025 ที่ Apple ต้องแก้ไข - ในปี 2024 Apple เผชิญกับ 6 ช่องโหว่ zero-day รวมถึงช่องโหว่ที่ถูกใช้ใน Operation Triangulation https://www.csoonline.com/article/3964668/hackers-target-apple-users-in-an-extremely-sophisticated-attack.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Hackers target Apple users in an ‘extremely sophisticated attack’
    The bugs, found in Apple’s CoreAudio and RPAC components, enabled code execution and memory corruption attacks.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 287 มุมมอง 0 รีวิว
  • รายงานล่าสุดจาก CSO Online ระบุว่า การเมืองกำลังส่งผลกระทบต่อกระบวนการอนุมัติใบรับรองความปลอดภัยทางไซเบอร์ในสหรัฐฯ ซึ่งอาจทำให้บริษัทด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ของอเมริกาสูญเสียความน่าเชื่อถือในระดับสากล

    รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังเชื่อมโยงใบรับรองความปลอดภัยกับจุดยืนทางการเมือง
    - คำสั่งของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ระบุว่า บุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเซ็นเซอร์ข้อมูลเกี่ยวกับการเลือกตั้งปี 2020 และ COVID-19 จะถูกเพิกถอนใบรับรองความปลอดภัย
    - Chris Krebs อดีตหัวหน้า CISA ถูกเพิกถอนใบรับรอง และบริษัท SentinelOne ที่เขาเกี่ยวข้องก็ได้รับผลกระทบ

    ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยกังวลว่าการเมืองจะทำให้ข้อมูลภัยคุกคามขาดความน่าเชื่อถือ
    - CISOs อาจต้องพิจารณาว่าข้อมูลจากบริษัทอเมริกัน ได้รับอิทธิพลจากรัฐบาลหรือไม่
    - มีความกังวลว่าบริษัทอาจถูกกดดันให้ ละเว้นข้อมูลเกี่ยวกับภัยคุกคามจากบางประเทศ

    บริษัทด้านความปลอดภัยจากประเทศอื่นอาจได้รับประโยชน์จากสถานการณ์นี้
    - บริษัทจาก แคนาดา, ออสเตรเลีย, อิสราเอล, อินเดีย, เยอรมนี และญี่ปุ่น อาจได้รับความไว้วางใจมากขึ้น
    - CISOs อาจต้องพิจารณา เปลี่ยนไปใช้บริการจากบริษัทที่ไม่ได้รับอิทธิพลทางการเมือง

    การเพิกถอนใบรับรองของ SentinelOne อาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้น
    - หากรัฐบาลสหรัฐฯ ใช้มาตรการนี้กับบริษัทอื่น อาจทำให้ อุตสาหกรรมความปลอดภัยทางไซเบอร์ของอเมริกาสูญเสียความน่าเชื่อถือ

    https://www.csoonline.com/article/3965056/will-politicization-of-security-clearances-make-us-cybersecurity-firms-radioactive.html
    รายงานล่าสุดจาก CSO Online ระบุว่า การเมืองกำลังส่งผลกระทบต่อกระบวนการอนุมัติใบรับรองความปลอดภัยทางไซเบอร์ในสหรัฐฯ ซึ่งอาจทำให้บริษัทด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ของอเมริกาสูญเสียความน่าเชื่อถือในระดับสากล ✅ รัฐบาลสหรัฐฯ กำลังเชื่อมโยงใบรับรองความปลอดภัยกับจุดยืนทางการเมือง - คำสั่งของอดีตประธานาธิบดีทรัมป์ระบุว่า บุคคลที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเซ็นเซอร์ข้อมูลเกี่ยวกับการเลือกตั้งปี 2020 และ COVID-19 จะถูกเพิกถอนใบรับรองความปลอดภัย - Chris Krebs อดีตหัวหน้า CISA ถูกเพิกถอนใบรับรอง และบริษัท SentinelOne ที่เขาเกี่ยวข้องก็ได้รับผลกระทบ ✅ ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยกังวลว่าการเมืองจะทำให้ข้อมูลภัยคุกคามขาดความน่าเชื่อถือ - CISOs อาจต้องพิจารณาว่าข้อมูลจากบริษัทอเมริกัน ได้รับอิทธิพลจากรัฐบาลหรือไม่ - มีความกังวลว่าบริษัทอาจถูกกดดันให้ ละเว้นข้อมูลเกี่ยวกับภัยคุกคามจากบางประเทศ ✅ บริษัทด้านความปลอดภัยจากประเทศอื่นอาจได้รับประโยชน์จากสถานการณ์นี้ - บริษัทจาก แคนาดา, ออสเตรเลีย, อิสราเอล, อินเดีย, เยอรมนี และญี่ปุ่น อาจได้รับความไว้วางใจมากขึ้น - CISOs อาจต้องพิจารณา เปลี่ยนไปใช้บริการจากบริษัทที่ไม่ได้รับอิทธิพลทางการเมือง ✅ การเพิกถอนใบรับรองของ SentinelOne อาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้น - หากรัฐบาลสหรัฐฯ ใช้มาตรการนี้กับบริษัทอื่น อาจทำให้ อุตสาหกรรมความปลอดภัยทางไซเบอร์ของอเมริกาสูญเสียความน่าเชื่อถือ https://www.csoonline.com/article/3965056/will-politicization-of-security-clearances-make-us-cybersecurity-firms-radioactive.html
    WWW.CSOONLINE.COM
    Will politicization of security clearances make US cybersecurity firms radioactive?
    Following Trump's executive order to strip SentinelOne of its security clearances, many wonder if CISOs will soon put American security firms in the same bad light as Russia’s Kaspersky and China’s Nuctech.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 410 มุมมอง 0 รีวิว
  • คำตัดสินของศาลสหรัฐฯ ระบุว่า Google มีการผูกขาดที่ผิดกฎหมายในเทคโนโลยีโฆษณา ซึ่งอาจนำไปสู่การดำเนินการทางกฎหมายเพิ่มเติม รวมถึงความเป็นไปได้ที่รัฐบาลจะสั่งให้ Google แยกธุรกิจโฆษณาออกจากกัน

    ศาลสหรัฐฯ ตัดสินว่า Google มีการผูกขาดที่ผิดกฎหมายในเทคโนโลยีโฆษณา
    - คดีนี้เกี่ยวข้องกับ Google Network ซึ่งเป็นระบบที่ช่วยให้ผู้ลงโฆษณาซื้อพื้นที่โฆษณาแบบประมูล
    - อัยการระบุว่า Google ใช้อำนาจเหนือเทคโนโลยีโฆษณาเพื่อกำจัดคู่แข่ง ซึ่งส่งผลเสียต่อผู้เผยแพร่โฆษณา เช่น สำนักข่าว

    Google อ้างว่าการแข่งขันของตนเป็นผลจากเทคโนโลยีที่เหนือกว่า
    - Google ระบุว่า บริษัทสามารถเอาชนะคู่แข่งได้เพราะมีเทคโนโลยีที่ดีกว่า
    - อย่างไรก็ตาม ศาลไม่เห็นด้วยกับข้อโต้แย้งนี้

    ธุรกิจโฆษณาของ Google มีผลกระทบต่อรายได้ของบริษัท
    - รายได้จากโฆษณาคิดเป็น 75% ของรายได้ทั้งหมดของ Alphabet
    - Google Network คิดเป็น 8.7% ของรายได้ทั้งหมด

    กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ อาจสั่งให้ Google แยกธุรกิจโฆษณาออกจากกัน
    - หน่วยงานกำกับดูแลต้องพิจารณาว่า Google ควรขายแพลตฟอร์ม Google Ad Manager หรือไม่
    - Google เคยเสนอขาย Advertising Exchange เพื่อแก้ไขปัญหาการผูกขาด แต่ผู้เผยแพร่โฆษณาปฏิเสธข้อเสนอ

    Google เตรียมอุทธรณ์คำตัดสิน
    - กระบวนการทางกฎหมายอาจใช้เวลาหลายปี หากไม่มีการตกลงกันระหว่าง Google และรัฐบาล

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/18/explainer-what-does-ruling-on-google039s-illegal-ad-tech-monopoly-mean
    คำตัดสินของศาลสหรัฐฯ ระบุว่า Google มีการผูกขาดที่ผิดกฎหมายในเทคโนโลยีโฆษณา ซึ่งอาจนำไปสู่การดำเนินการทางกฎหมายเพิ่มเติม รวมถึงความเป็นไปได้ที่รัฐบาลจะสั่งให้ Google แยกธุรกิจโฆษณาออกจากกัน ✅ ศาลสหรัฐฯ ตัดสินว่า Google มีการผูกขาดที่ผิดกฎหมายในเทคโนโลยีโฆษณา - คดีนี้เกี่ยวข้องกับ Google Network ซึ่งเป็นระบบที่ช่วยให้ผู้ลงโฆษณาซื้อพื้นที่โฆษณาแบบประมูล - อัยการระบุว่า Google ใช้อำนาจเหนือเทคโนโลยีโฆษณาเพื่อกำจัดคู่แข่ง ซึ่งส่งผลเสียต่อผู้เผยแพร่โฆษณา เช่น สำนักข่าว ✅ Google อ้างว่าการแข่งขันของตนเป็นผลจากเทคโนโลยีที่เหนือกว่า - Google ระบุว่า บริษัทสามารถเอาชนะคู่แข่งได้เพราะมีเทคโนโลยีที่ดีกว่า - อย่างไรก็ตาม ศาลไม่เห็นด้วยกับข้อโต้แย้งนี้ ✅ ธุรกิจโฆษณาของ Google มีผลกระทบต่อรายได้ของบริษัท - รายได้จากโฆษณาคิดเป็น 75% ของรายได้ทั้งหมดของ Alphabet - Google Network คิดเป็น 8.7% ของรายได้ทั้งหมด ✅ กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ อาจสั่งให้ Google แยกธุรกิจโฆษณาออกจากกัน - หน่วยงานกำกับดูแลต้องพิจารณาว่า Google ควรขายแพลตฟอร์ม Google Ad Manager หรือไม่ - Google เคยเสนอขาย Advertising Exchange เพื่อแก้ไขปัญหาการผูกขาด แต่ผู้เผยแพร่โฆษณาปฏิเสธข้อเสนอ ✅ Google เตรียมอุทธรณ์คำตัดสิน - กระบวนการทางกฎหมายอาจใช้เวลาหลายปี หากไม่มีการตกลงกันระหว่าง Google และรัฐบาล https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/18/explainer-what-does-ruling-on-google039s-illegal-ad-tech-monopoly-mean
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Explainer-What does ruling on Google's illegal ad tech monopoly mean?
    SAN FRANCISCO (Reuters) -A U.S. judge's ruling that Google has illegal monopolies in ad technology sets up the possibility of U.S. prosecutors seeking a breakup. Here's what the case involves and what Google owner Alphabet faces from here.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 354 มุมมอง 0 รีวิว
  • Kraken ซึ่งเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในโลก กำลังปรับโครงสร้างองค์กรโดย ลดจำนวนพนักงานในตำแหน่งที่ซ้ำซ้อน และรวมทีมที่มีบทบาทคล้ายกัน ขณะที่ยังคงเปิดรับสมัครในตำแหน่งสำคัญ

    Kraken ลดจำนวนพนักงานในตำแหน่งที่ซ้ำซ้อนเพื่อปรับโครงสร้างองค์กร
    - บริษัทกำลัง ปรับทีมงานให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ระยะยาว
    - การปรับลดนี้เกิดขึ้นหลังจาก Kraken ลดพนักงานลง 15% เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งส่งผลกระทบต่อพนักงานประมาณ 400 คน

    Kraken กำลังขยายธุรกิจไปยังตลาดการเงินแบบดั้งเดิม
    - บริษัทประกาศซื้อ NinjaTrader ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มซื้อขายฟิวเจอร์สสำหรับนักลงทุนรายย่อย
    - การเข้าซื้อกิจการนี้มีมูลค่า 1.5 พันล้านดอลลาร์ และช่วยให้ Kraken สามารถขยายไปยังสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ

    Kraken ได้รับผลกระทบจากการดำเนินคดีของ SEC
    - คดีที่ SEC กล่าวหา Kraken ว่า ดำเนินธุรกิจโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ถูกยกเลิกในเดือนมีนาคม
    - Kraken ระบุว่าการยกเลิกคดีนี้เป็น จุดเปลี่ยนสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมคริปโต

    Kraken เปิดตัวบริการซื้อขายหุ้นแบบไม่มีค่าคอมมิชชัน
    - บริษัทเริ่มให้บริการ ซื้อขายหุ้นและ ETF ที่จดทะเบียนในสหรัฐฯ กว่า 11,000 รายการ
    - นี่เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ในการ ขยายผลิตภัณฑ์และเพิ่มฐานผู้ใช้

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/18/kraken-lays-off-hundreds-ahead-of-ipo-coindesk-reports
    Kraken ซึ่งเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในโลก กำลังปรับโครงสร้างองค์กรโดย ลดจำนวนพนักงานในตำแหน่งที่ซ้ำซ้อน และรวมทีมที่มีบทบาทคล้ายกัน ขณะที่ยังคงเปิดรับสมัครในตำแหน่งสำคัญ ✅ Kraken ลดจำนวนพนักงานในตำแหน่งที่ซ้ำซ้อนเพื่อปรับโครงสร้างองค์กร - บริษัทกำลัง ปรับทีมงานให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ระยะยาว - การปรับลดนี้เกิดขึ้นหลังจาก Kraken ลดพนักงานลง 15% เมื่อปีที่แล้ว ซึ่งส่งผลกระทบต่อพนักงานประมาณ 400 คน ✅ Kraken กำลังขยายธุรกิจไปยังตลาดการเงินแบบดั้งเดิม - บริษัทประกาศซื้อ NinjaTrader ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มซื้อขายฟิวเจอร์สสำหรับนักลงทุนรายย่อย - การเข้าซื้อกิจการนี้มีมูลค่า 1.5 พันล้านดอลลาร์ และช่วยให้ Kraken สามารถขยายไปยังสินทรัพย์ประเภทอื่นๆ ✅ Kraken ได้รับผลกระทบจากการดำเนินคดีของ SEC - คดีที่ SEC กล่าวหา Kraken ว่า ดำเนินธุรกิจโดยไม่ได้รับใบอนุญาต ถูกยกเลิกในเดือนมีนาคม - Kraken ระบุว่าการยกเลิกคดีนี้เป็น จุดเปลี่ยนสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมคริปโต ✅ Kraken เปิดตัวบริการซื้อขายหุ้นแบบไม่มีค่าคอมมิชชัน - บริษัทเริ่มให้บริการ ซื้อขายหุ้นและ ETF ที่จดทะเบียนในสหรัฐฯ กว่า 11,000 รายการ - นี่เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ในการ ขยายผลิตภัณฑ์และเพิ่มฐานผู้ใช้ https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/18/kraken-lays-off-hundreds-ahead-of-ipo-coindesk-reports
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Cryptocurrency exchange Kraken cuts redundant roles amid traditional finance push
    (Reuters) - Kraken, one of the world's largest cryptocurrency exchanges, is reorganizing its workforce by reducing some positions and consolidating teams where redundancies exist, while continuing to hire in key areas, a company spokesperson said on Thursday.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 548 มุมมอง 0 รีวิว
  • Intel กำลังปรับโครงสร้างองค์กรภายใต้การนำของ Lip-Bu Tan CEO คนใหม่ โดยมีการลดชั้นการบริหารและแต่งตั้ง Sachin Katti เป็นหัวหน้าเทคโนโลยีและ AI เพื่อเร่งพัฒนาแนวทางแข่งขันกับ Nvidia

    Intel ลดชั้นการบริหารเพื่อให้การตัดสินใจรวดเร็วขึ้น
    - กลุ่มชิป Data Center & AI และ Personal Computer จะรายงานตรงต่อ CEO
    - ก่อนหน้านี้กลุ่มเหล่านี้อยู่ภายใต้การดูแลของ Michelle Johnston Holthaus ซึ่งยังคงดำรงตำแหน่ง CEO ของ Intel Products

    Sachin Katti ได้รับแต่งตั้งเป็นหัวหน้าเทคโนโลยีและ AI
    - Katti จะเป็นผู้นำ กลยุทธ์ AI และแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์ AI
    - เขาจะดูแล Intel Labs และความสัมพันธ์กับสตาร์ทอัพและนักพัฒนา

    Intel มุ่งเน้นการเป็นบริษัทที่ขับเคลื่อนด้วยวิศวกรรม
    - Tan ระบุว่า โครงสร้างองค์กรที่ซับซ้อนและระบบราชการกำลังขัดขวางนวัตกรรม
    - การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยให้ ผู้บริหารทำงานใกล้ชิดกับทีมวิศวกรรมมากขึ้น

    Intel ต้องแข่งขันกับ Nvidia ในตลาด AI
    - Nvidia ครองตลาดชิป AI และ Intel ต้องเร่งพัฒนา กลยุทธ์ใหม่เพื่อแข่งขัน
    - Intel เคยพยายามพัฒนา Falcon Shores แต่โครงการถูกยกเลิกในเดือนมกราคม

    https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/18/exclusive-intel-ceo-lip-bu-tan-streamlines-leadership-team-names-new-technology-chief-memo-says
    Intel กำลังปรับโครงสร้างองค์กรภายใต้การนำของ Lip-Bu Tan CEO คนใหม่ โดยมีการลดชั้นการบริหารและแต่งตั้ง Sachin Katti เป็นหัวหน้าเทคโนโลยีและ AI เพื่อเร่งพัฒนาแนวทางแข่งขันกับ Nvidia ✅ Intel ลดชั้นการบริหารเพื่อให้การตัดสินใจรวดเร็วขึ้น - กลุ่มชิป Data Center & AI และ Personal Computer จะรายงานตรงต่อ CEO - ก่อนหน้านี้กลุ่มเหล่านี้อยู่ภายใต้การดูแลของ Michelle Johnston Holthaus ซึ่งยังคงดำรงตำแหน่ง CEO ของ Intel Products ✅ Sachin Katti ได้รับแต่งตั้งเป็นหัวหน้าเทคโนโลยีและ AI - Katti จะเป็นผู้นำ กลยุทธ์ AI และแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์ AI - เขาจะดูแล Intel Labs และความสัมพันธ์กับสตาร์ทอัพและนักพัฒนา ✅ Intel มุ่งเน้นการเป็นบริษัทที่ขับเคลื่อนด้วยวิศวกรรม - Tan ระบุว่า โครงสร้างองค์กรที่ซับซ้อนและระบบราชการกำลังขัดขวางนวัตกรรม - การเปลี่ยนแปลงนี้ช่วยให้ ผู้บริหารทำงานใกล้ชิดกับทีมวิศวกรรมมากขึ้น ✅ Intel ต้องแข่งขันกับ Nvidia ในตลาด AI - Nvidia ครองตลาดชิป AI และ Intel ต้องเร่งพัฒนา กลยุทธ์ใหม่เพื่อแข่งขัน - Intel เคยพยายามพัฒนา Falcon Shores แต่โครงการถูกยกเลิกในเดือนมกราคม https://www.thestar.com.my/tech/tech-news/2025/04/18/exclusive-intel-ceo-lip-bu-tan-streamlines-leadership-team-names-new-technology-chief-memo-says
    WWW.THESTAR.COM.MY
    Intel CEO Lip-Bu Tan flattens leadership structure, names new AI chief, memo says
    SAN FRANCISCO (Reuters) - Intel's new CEO, Lip-Bu Tan, is flattening the semiconductor giant's leadership team, with important chip groups reporting directly to him, according to a memo from Tan seen by Reuters.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 350 มุมมอง 0 รีวิว
  • https://www.youtube.com/live/q07r4oqAyhk?si=xqvIEboKiFY-arwx
    https://www.youtube.com/live/q07r4oqAyhk?si=xqvIEboKiFY-arwx
    - YouTube
    เพลิดเพลินไปกับวิดีโอและเพลงที่คุณชอบ อัปโหลดเนื้อหาต้นฉบับ และแชร์เนื้อหาทั้งหมดกับเพื่อน ครอบครัว และผู้คนทั่วโลกบน YouTube
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 83 มุมมอง 0 รีวิว
  • มาดูของฝรั่งเขาสอนตัวเดียวกับผมบาง ตาม link นี้ครับ
    https://www.youtube.com/watch?v=Kk3b--5zkc8&list=PLzVsLVsxIwiYAKuaFiAfB-UTd3hS_3a21
    มาดูของฝรั่งเขาสอนตัวเดียวกับผมบาง ตาม link นี้ครับ https://www.youtube.com/watch?v=Kk3b--5zkc8&list=PLzVsLVsxIwiYAKuaFiAfB-UTd3hS_3a21
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 256 มุมมอง 0 รีวิว
  • Tesla กำลังเผชิญกับคดีฟ้องร้องเกี่ยวกับ การปรับเปลี่ยนค่ามิเตอร์ระยะทาง (odometer) ในรถยนต์ ซึ่งอาจส่งผลให้ลูกค้าต้องจ่ายค่าซ่อมแพงขึ้นและหมดสิทธิ์รับบริการภายใต้การรับประกันเร็วกว่าที่ควร

    Tesla ถูกกล่าวหาว่าปรับเปลี่ยนค่ามิเตอร์ระยะทางเพื่อหลีกเลี่ยงการรับประกัน
    - คดีนี้ถูกยื่นโดย Nyree Hinton ซึ่งซื้อ Tesla Model Y ปี 2020 ในเดือนธันวาคม 2022
    - รถของเขามีระยะทาง 36,772 ไมล์ ซึ่งยังอยู่ภายใต้การรับประกัน 50,000 ไมล์

    Hinton พบว่าระยะทางที่บันทึกเพิ่มขึ้นผิดปกติ
    - จากเดือนธันวาคม 2022 ถึงกุมภาพันธ์ 2023 เขาขับรถเฉลี่ย 55.54 ไมล์ต่อวัน
    - แต่ระหว่างเดือนมีนาคมถึงมิถุนายน 2023 ระยะทางที่บันทึกเพิ่มขึ้นเป็น 72.53 ไมล์ต่อวัน

    Tesla ออกประกาศเรียกคืนเกี่ยวกับปัญหาระบบกันสะเทือน แต่ Hinton ต้องจ่ายค่าซ่อมเอง
    - เมื่อเขานำรถเข้าซ่อมในเดือนมกราคม 2024 Tesla แจ้งว่า การรับประกันหมดอายุแล้ว
    - ในเดือนตุลาคม 2024 ระบบกันสะเทือนของรถเสียหายจนต้องลากไปที่ศูนย์บริการ ซึ่ง Tesla แจ้งว่าค่าซ่อมอยู่ที่ $10,000

    Hinton ยื่นฟ้อง Tesla และขอให้คดีนี้เป็นคดีแบบกลุ่ม
    - หากคดีได้รับสถานะ class-action เจ้าของ Tesla รายอื่นที่ได้รับผลกระทบสามารถเข้าร่วมได้

    มีเจ้าของ Tesla รายอื่นที่พบปัญหาคล้ายกัน
    - ผู้ใช้ใน Reddit และฟอรัมของ Tesla รายงานว่าระยะทางที่บันทึกสูงกว่าความเป็นจริง

    https://www.techspot.com/news/107589-tesla-sued-allegedly-faking-odometer-readings-avoid-warranty.html
    Tesla กำลังเผชิญกับคดีฟ้องร้องเกี่ยวกับ การปรับเปลี่ยนค่ามิเตอร์ระยะทาง (odometer) ในรถยนต์ ซึ่งอาจส่งผลให้ลูกค้าต้องจ่ายค่าซ่อมแพงขึ้นและหมดสิทธิ์รับบริการภายใต้การรับประกันเร็วกว่าที่ควร ✅ Tesla ถูกกล่าวหาว่าปรับเปลี่ยนค่ามิเตอร์ระยะทางเพื่อหลีกเลี่ยงการรับประกัน - คดีนี้ถูกยื่นโดย Nyree Hinton ซึ่งซื้อ Tesla Model Y ปี 2020 ในเดือนธันวาคม 2022 - รถของเขามีระยะทาง 36,772 ไมล์ ซึ่งยังอยู่ภายใต้การรับประกัน 50,000 ไมล์ ✅ Hinton พบว่าระยะทางที่บันทึกเพิ่มขึ้นผิดปกติ - จากเดือนธันวาคม 2022 ถึงกุมภาพันธ์ 2023 เขาขับรถเฉลี่ย 55.54 ไมล์ต่อวัน - แต่ระหว่างเดือนมีนาคมถึงมิถุนายน 2023 ระยะทางที่บันทึกเพิ่มขึ้นเป็น 72.53 ไมล์ต่อวัน ✅ Tesla ออกประกาศเรียกคืนเกี่ยวกับปัญหาระบบกันสะเทือน แต่ Hinton ต้องจ่ายค่าซ่อมเอง - เมื่อเขานำรถเข้าซ่อมในเดือนมกราคม 2024 Tesla แจ้งว่า การรับประกันหมดอายุแล้ว - ในเดือนตุลาคม 2024 ระบบกันสะเทือนของรถเสียหายจนต้องลากไปที่ศูนย์บริการ ซึ่ง Tesla แจ้งว่าค่าซ่อมอยู่ที่ $10,000 ✅ Hinton ยื่นฟ้อง Tesla และขอให้คดีนี้เป็นคดีแบบกลุ่ม - หากคดีได้รับสถานะ class-action เจ้าของ Tesla รายอื่นที่ได้รับผลกระทบสามารถเข้าร่วมได้ ✅ มีเจ้าของ Tesla รายอื่นที่พบปัญหาคล้ายกัน - ผู้ใช้ใน Reddit และฟอรัมของ Tesla รายงานว่าระยะทางที่บันทึกสูงกว่าความเป็นจริง https://www.techspot.com/news/107589-tesla-sued-allegedly-faking-odometer-readings-avoid-warranty.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Tesla sued for allegedly faking odometer readings to avoid warranty repairs
    Nyree Hinton brought the suit after he bought a 2020 Tesla Model Y in December 2022 with 36,772 miles on the clock, which meant it was still...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 274 มุมมอง 0 รีวิว
  • Atomic Keyboard ได้เปิดตัว MDR Dasher ซึ่งเป็นคีย์บอร์ดที่ได้รับแรงบันดาลใจจากซีรีส์ Severance บน Apple TV+ โดยออกแบบให้มีรูปลักษณ์แบบเรโทร-ฟิวเจอร์ริสติก พร้อม trackball ในตัว และการจัดวางปุ่มที่แตกต่างจากคีย์บอร์ดทั่วไป

    MDR Dasher ได้รับแรงบันดาลใจจากคีย์บอร์ดในซีรีส์ Severance
    - คีย์บอร์ดนี้ออกแบบให้คล้ายกับ Data General Dasher terminals ที่ได้รับความนิยมในช่วงปลายยุค 70 และต้นยุค 80
    - มี ดีไซน์แบบเรโทร-ฟิวเจอร์ริสติก พร้อมกรอบสีขาวหม่นและปุ่มสีน้ำเงิน

    การจัดวางปุ่มแตกต่างจากคีย์บอร์ดทั่วไป
    - ไม่มีปุ่ม Escape, Control และ Option เพื่อสะท้อนธีมของซีรีส์ที่เน้นความเป็นระบบปิด
    - มี 73 ปุ่ม และใช้ เลย์เอาต์แบบ 70%

    MDR Dasher มาพร้อม trackball ในตัว
    - แทนที่จะใช้เมาส์แบบทั่วไป คีย์บอร์ดนี้มี trackball ทางด้านขวา
    - ช่วยให้ผู้ใช้สามารถควบคุมเคอร์เซอร์ได้โดยไม่ต้องใช้เมาส์แยก

    รองรับการเชื่อมต่อผ่าน USB-C และใช้งานได้กับระบบปฏิบัติการหลัก
    - สามารถใช้กับ Windows, macOS และ Linux
    - ตัวเคสทำจาก อะลูมิเนียม เพื่อเพิ่มความทนทาน

    ราคายังไม่ถูกยืนยัน แต่คาดว่าอยู่ที่ประมาณ $399
    - Atomic Keyboard ยังไม่ได้ประกาศราคาสุดท้าย เนื่องจากมี ปัญหาด้านภาษีนำเข้า
    - เปิดให้ลงทะเบียนสำหรับ การสั่งจองล่วงหน้าแบบจำนวนจำกัด

    https://www.techspot.com/news/107593-real-life-severance-keyboard-here-complete-built-trackball.html
    Atomic Keyboard ได้เปิดตัว MDR Dasher ซึ่งเป็นคีย์บอร์ดที่ได้รับแรงบันดาลใจจากซีรีส์ Severance บน Apple TV+ โดยออกแบบให้มีรูปลักษณ์แบบเรโทร-ฟิวเจอร์ริสติก พร้อม trackball ในตัว และการจัดวางปุ่มที่แตกต่างจากคีย์บอร์ดทั่วไป ✅ MDR Dasher ได้รับแรงบันดาลใจจากคีย์บอร์ดในซีรีส์ Severance - คีย์บอร์ดนี้ออกแบบให้คล้ายกับ Data General Dasher terminals ที่ได้รับความนิยมในช่วงปลายยุค 70 และต้นยุค 80 - มี ดีไซน์แบบเรโทร-ฟิวเจอร์ริสติก พร้อมกรอบสีขาวหม่นและปุ่มสีน้ำเงิน ✅ การจัดวางปุ่มแตกต่างจากคีย์บอร์ดทั่วไป - ไม่มีปุ่ม Escape, Control และ Option เพื่อสะท้อนธีมของซีรีส์ที่เน้นความเป็นระบบปิด - มี 73 ปุ่ม และใช้ เลย์เอาต์แบบ 70% ✅ MDR Dasher มาพร้อม trackball ในตัว - แทนที่จะใช้เมาส์แบบทั่วไป คีย์บอร์ดนี้มี trackball ทางด้านขวา - ช่วยให้ผู้ใช้สามารถควบคุมเคอร์เซอร์ได้โดยไม่ต้องใช้เมาส์แยก ✅ รองรับการเชื่อมต่อผ่าน USB-C และใช้งานได้กับระบบปฏิบัติการหลัก - สามารถใช้กับ Windows, macOS และ Linux - ตัวเคสทำจาก อะลูมิเนียม เพื่อเพิ่มความทนทาน ✅ ราคายังไม่ถูกยืนยัน แต่คาดว่าอยู่ที่ประมาณ $399 - Atomic Keyboard ยังไม่ได้ประกาศราคาสุดท้าย เนื่องจากมี ปัญหาด้านภาษีนำเข้า - เปิดให้ลงทะเบียนสำหรับ การสั่งจองล่วงหน้าแบบจำนวนจำกัด https://www.techspot.com/news/107593-real-life-severance-keyboard-here-complete-built-trackball.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    A real-life Severance keyboard is here, complete with built-in trackball
    In Severance, the keyboards used by Macrodata Refinement – the department where the protagonists work – appear to draw inspiration from Data General's vintage Dasher terminals, popular...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 316 มุมมอง 0 รีวิว
  • Bethesda ฉลองครบรอบ 10 ปีของ The Elder Scrolls Online ด้วยการเปิดขาย ชิ้นส่วนจากเซิร์ฟเวอร์เกมต้นฉบับ ซึ่งเป็นโอกาสพิเศษสำหรับแฟนๆ ที่ต้องการเป็นเจ้าของส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์เกมออนไลน์

    Bethesda เปิดขายชิ้นส่วนจากเซิร์ฟเวอร์เกมต้นฉบับ
    - ของสะสมนี้เป็น แผง RAM ที่เคยใช้ในเซิร์ฟเวอร์ของเกม
    - RAM ถูกติดตั้งใน กรอบกำมะหยี่สีดำ และสามารถถอดออกได้

    ของสะสมนี้มีจำนวนจำกัดเพียง 2,000 ชิ้น
    - มาพร้อม ใบรับรองความเป็นของแท้ ที่มีหมายเลขกำกับ
    - ขนาดของกรอบคือ 10 x 8 x 1.77 นิ้ว และมีอุปกรณ์สำหรับติดตั้งบนผนัง

    Bethesda เคยเปิดขายของสะสมจากเกมอื่นมาก่อน
    - Blizzard เคย ประมูลเซิร์ฟเวอร์ของ World of Warcraft ในปี 2019 เพื่อระดมทุนให้กับองค์กรการกุศล
    - Nvidia เคยแจก GeForce 256 ซึ่งเป็น GPU รุ่นแรกของโลกในกล่องพิเศษที่ลงนามโดย CEO Jensen Huang

    ราคาของสะสมจาก The Elder Scrolls Online อยู่ที่ $110
    - Bethesda คาดว่าจะเริ่มจัดส่งสินค้าในเดือนกรกฎาคม

    https://www.techspot.com/news/107595-bethesda-offers-fans-chance-own-part-elder-scrolls.html
    Bethesda ฉลองครบรอบ 10 ปีของ The Elder Scrolls Online ด้วยการเปิดขาย ชิ้นส่วนจากเซิร์ฟเวอร์เกมต้นฉบับ ซึ่งเป็นโอกาสพิเศษสำหรับแฟนๆ ที่ต้องการเป็นเจ้าของส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์เกมออนไลน์ ✅ Bethesda เปิดขายชิ้นส่วนจากเซิร์ฟเวอร์เกมต้นฉบับ - ของสะสมนี้เป็น แผง RAM ที่เคยใช้ในเซิร์ฟเวอร์ของเกม - RAM ถูกติดตั้งใน กรอบกำมะหยี่สีดำ และสามารถถอดออกได้ ✅ ของสะสมนี้มีจำนวนจำกัดเพียง 2,000 ชิ้น - มาพร้อม ใบรับรองความเป็นของแท้ ที่มีหมายเลขกำกับ - ขนาดของกรอบคือ 10 x 8 x 1.77 นิ้ว และมีอุปกรณ์สำหรับติดตั้งบนผนัง ✅ Bethesda เคยเปิดขายของสะสมจากเกมอื่นมาก่อน - Blizzard เคย ประมูลเซิร์ฟเวอร์ของ World of Warcraft ในปี 2019 เพื่อระดมทุนให้กับองค์กรการกุศล - Nvidia เคยแจก GeForce 256 ซึ่งเป็น GPU รุ่นแรกของโลกในกล่องพิเศษที่ลงนามโดย CEO Jensen Huang ✅ ราคาของสะสมจาก The Elder Scrolls Online อยู่ที่ $110 - Bethesda คาดว่าจะเริ่มจัดส่งสินค้าในเดือนกรกฎาคม https://www.techspot.com/news/107595-bethesda-offers-fans-chance-own-part-elder-scrolls.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Bethesda offers fans a chance to own a part of Elder Scrolls Online history
    The Elder Scrolls Online launched in 2014, so technically this 10th anniversary keepsake is a bit behind schedule – but as they say, better late than never....
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 255 มุมมอง 0 รีวิว
  • รายงานจาก TechSpot ระบุว่า ความหนาแน่นของพลังงานและความร้อนที่เพิ่มขึ้น กำลังเป็นภัยคุกคามต่ออนาคตของเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูง โดยปัญหานี้เกิดจาก การสิ้นสุดของ Dennard scaling ซึ่งเคยช่วยให้สามารถลดแรงดันไฟฟ้าพร้อมกับการเพิ่มจำนวนทรานซิสเตอร์

    ความหนาแน่นของพลังงานที่เพิ่มขึ้นทำให้เกิดวิกฤตความร้อนในชิปยุคใหม่
    - อุณหภูมิที่สูงขึ้นส่งผลต่อ ประสิทธิภาพและการใช้พลังงานของชิป
    - ความร้อนที่มากเกินไปสามารถ ชะลอการส่งสัญญาณ, ลดประสิทธิภาพ และเพิ่มการรั่วไหลของกระแสไฟฟ้า

    การสิ้นสุดของ Dennard scaling ทำให้แรงดันไฟฟ้าไม่สามารถลดลงได้อีก
    - ก่อนปี 2000 วิศวกรสามารถ ลดแรงดันไฟฟ้าพร้อมกับการเพิ่มจำนวนทรานซิสเตอร์
    - แต่ในปัจจุบัน แรงดันไฟฟ้าไม่สามารถลดลงได้อีก ทำให้พลังงานที่ใช้ต่อพื้นที่เพิ่มขึ้น

    เทคโนโลยีใหม่ เช่น CFETs อาจทำให้ปัญหาความร้อนรุนแรงขึ้น
    - CFETs (Complementary Field-Effect Transistors) เพิ่มความหนาแน่นของทรานซิสเตอร์โดยการซ้อนกัน
    - การจำลองแสดงให้เห็นว่า CFETs อาจเพิ่มอุณหภูมิของชิปขึ้น 9°C

    นักวิจัยกำลังพัฒนาแนวทางใหม่ในการจัดการความร้อน
    - Microfluidic cooling: ใช้ของเหลวไหลผ่านช่องทางระดับไมโครภายในชิป
    - Jet impingement: ใช้กระแสของเหลวความเร็วสูงเพื่อระบายความร้อน
    - Immersion cooling: จุ่มบอร์ดทั้งหมดลงในของเหลวที่นำความร้อนได้ดี

    แนวทางใหม่ในการจัดการพลังงานของชิป
    - Backside power delivery network (BSPDN): ย้ายเครือข่ายจ่ายไฟไปด้านหลังของชิปเพื่อลดความต้านทานไฟฟ้า
    - BSPDN อาจช่วยลดแรงดันไฟฟ้า แต่ อาจเพิ่มอุณหภูมิของชิปขึ้น 14°C

    ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์
    - หากปัญหาความร้อนยังคงเพิ่มขึ้น อาจทำให้ การพัฒนาเซมิคอนดักเตอร์ต้องชะลอตัว

    ความท้าทายในการใช้เทคโนโลยีระบายความร้อนใหม่
    - เทคโนโลยีเช่น microfluidic cooling และ immersion cooling อาจมีต้นทุนสูงและต้องปรับโครงสร้างพื้นฐาน

    แนวโน้มของการพัฒนาเซมิคอนดักเตอร์ในอนาคต
    - หาก BSPDN ได้รับการพัฒนาเพิ่มเติม อาจช่วยให้ ชิปสามารถทำงานที่แรงดันไฟฟ้าต่ำลงและลดความร้อน

    https://www.techspot.com/news/107585-rising-power-density-heat-threaten-future-advanced-semiconductors.html
    รายงานจาก TechSpot ระบุว่า ความหนาแน่นของพลังงานและความร้อนที่เพิ่มขึ้น กำลังเป็นภัยคุกคามต่ออนาคตของเซมิคอนดักเตอร์ขั้นสูง โดยปัญหานี้เกิดจาก การสิ้นสุดของ Dennard scaling ซึ่งเคยช่วยให้สามารถลดแรงดันไฟฟ้าพร้อมกับการเพิ่มจำนวนทรานซิสเตอร์ ✅ ความหนาแน่นของพลังงานที่เพิ่มขึ้นทำให้เกิดวิกฤตความร้อนในชิปยุคใหม่ - อุณหภูมิที่สูงขึ้นส่งผลต่อ ประสิทธิภาพและการใช้พลังงานของชิป - ความร้อนที่มากเกินไปสามารถ ชะลอการส่งสัญญาณ, ลดประสิทธิภาพ และเพิ่มการรั่วไหลของกระแสไฟฟ้า ✅ การสิ้นสุดของ Dennard scaling ทำให้แรงดันไฟฟ้าไม่สามารถลดลงได้อีก - ก่อนปี 2000 วิศวกรสามารถ ลดแรงดันไฟฟ้าพร้อมกับการเพิ่มจำนวนทรานซิสเตอร์ - แต่ในปัจจุบัน แรงดันไฟฟ้าไม่สามารถลดลงได้อีก ทำให้พลังงานที่ใช้ต่อพื้นที่เพิ่มขึ้น ✅ เทคโนโลยีใหม่ เช่น CFETs อาจทำให้ปัญหาความร้อนรุนแรงขึ้น - CFETs (Complementary Field-Effect Transistors) เพิ่มความหนาแน่นของทรานซิสเตอร์โดยการซ้อนกัน - การจำลองแสดงให้เห็นว่า CFETs อาจเพิ่มอุณหภูมิของชิปขึ้น 9°C ✅ นักวิจัยกำลังพัฒนาแนวทางใหม่ในการจัดการความร้อน - Microfluidic cooling: ใช้ของเหลวไหลผ่านช่องทางระดับไมโครภายในชิป - Jet impingement: ใช้กระแสของเหลวความเร็วสูงเพื่อระบายความร้อน - Immersion cooling: จุ่มบอร์ดทั้งหมดลงในของเหลวที่นำความร้อนได้ดี ✅ แนวทางใหม่ในการจัดการพลังงานของชิป - Backside power delivery network (BSPDN): ย้ายเครือข่ายจ่ายไฟไปด้านหลังของชิปเพื่อลดความต้านทานไฟฟ้า - BSPDN อาจช่วยลดแรงดันไฟฟ้า แต่ อาจเพิ่มอุณหภูมิของชิปขึ้น 14°C ℹ️ ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ - หากปัญหาความร้อนยังคงเพิ่มขึ้น อาจทำให้ การพัฒนาเซมิคอนดักเตอร์ต้องชะลอตัว ℹ️ ความท้าทายในการใช้เทคโนโลยีระบายความร้อนใหม่ - เทคโนโลยีเช่น microfluidic cooling และ immersion cooling อาจมีต้นทุนสูงและต้องปรับโครงสร้างพื้นฐาน ℹ️ แนวโน้มของการพัฒนาเซมิคอนดักเตอร์ในอนาคต - หาก BSPDN ได้รับการพัฒนาเพิ่มเติม อาจช่วยให้ ชิปสามารถทำงานที่แรงดันไฟฟ้าต่ำลงและลดความร้อน https://www.techspot.com/news/107585-rising-power-density-heat-threaten-future-advanced-semiconductors.html
    WWW.TECHSPOT.COM
    Rising power density and heat threaten the future of advanced semiconductors
    The underlying issue is closely linked to the end of Dennard scaling, a principle that once allowed engineers to shrink transistors and reduce voltage simultaneously – keeping...
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 261 มุมมอง 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 79 มุมมอง 0 รีวิว
  • มาตรฐาน HBM4 (High Bandwidth Memory 4) ได้รับการรับรองโดย JEDEC ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีหน่วยความจำสำหรับ AI, การประมวลผลประสิทธิภาพสูง (HPC) และศูนย์ข้อมูลขั้นสูง

    HBM4 รองรับความเร็วในการส่งข้อมูลสูงสุดถึง 2 TB/s
    - ใช้ อินเทอร์เฟซ 2048-bit และรองรับ อัตราการส่งข้อมูลสูงสุด 8 Gb/s
    - เพิ่มจำนวน ช่องสัญญาณอิสระต่อสแต็กจาก 16 ใน HBM3 เป็น 32 ใน HBM4

    ปรับปรุงประสิทธิภาพด้านพลังงานและความเข้ากันได้
    - รองรับ แรงดันไฟฟ้า VDDQ ตั้งแต่ 0.7V ถึง 0.9V และ VDDC ตั้งแต่ 1.0V ถึง 1.05V
    - สามารถใช้งานร่วมกับ HBM3 controllers ได้

    เพิ่มความสามารถในการจัดการข้อมูลและความน่าเชื่อถือ
    - ใช้ Directed Refresh Management (DRFM) เพื่อลดปัญหา row-hammer
    - รองรับ RAS (Reliability, Availability, and Serviceability) ที่แข็งแกร่งขึ้น

    HBM4 รองรับความจุสูงสุดถึง 64GB ต่อสแต็ก
    - ใช้ DRAM die densities ขนาด 24Gb หรือ 32Gb
    - รองรับ สแต็กตั้งแต่ 4-high ถึง 16-high

    ผู้ผลิตหลัก เช่น Samsung, Micron และ SK hynix มีส่วนร่วมในการพัฒนา
    - คาดว่า Samsung จะเริ่มผลิต HBM4 ในปี 2025 เพื่อตอบสนองความต้องการของ AI chipmakers และ hyperscalers

    https://www.tomshardware.com/pc-components/ram/jedec-finalizes-hbm4-memory-standard-with-major-bandwidth-and-efficiency-upgrades
    มาตรฐาน HBM4 (High Bandwidth Memory 4) ได้รับการรับรองโดย JEDEC ซึ่งเป็นก้าวสำคัญในการพัฒนาเทคโนโลยีหน่วยความจำสำหรับ AI, การประมวลผลประสิทธิภาพสูง (HPC) และศูนย์ข้อมูลขั้นสูง ✅ HBM4 รองรับความเร็วในการส่งข้อมูลสูงสุดถึง 2 TB/s - ใช้ อินเทอร์เฟซ 2048-bit และรองรับ อัตราการส่งข้อมูลสูงสุด 8 Gb/s - เพิ่มจำนวน ช่องสัญญาณอิสระต่อสแต็กจาก 16 ใน HBM3 เป็น 32 ใน HBM4 ✅ ปรับปรุงประสิทธิภาพด้านพลังงานและความเข้ากันได้ - รองรับ แรงดันไฟฟ้า VDDQ ตั้งแต่ 0.7V ถึง 0.9V และ VDDC ตั้งแต่ 1.0V ถึง 1.05V - สามารถใช้งานร่วมกับ HBM3 controllers ได้ ✅ เพิ่มความสามารถในการจัดการข้อมูลและความน่าเชื่อถือ - ใช้ Directed Refresh Management (DRFM) เพื่อลดปัญหา row-hammer - รองรับ RAS (Reliability, Availability, and Serviceability) ที่แข็งแกร่งขึ้น ✅ HBM4 รองรับความจุสูงสุดถึง 64GB ต่อสแต็ก - ใช้ DRAM die densities ขนาด 24Gb หรือ 32Gb - รองรับ สแต็กตั้งแต่ 4-high ถึง 16-high ✅ ผู้ผลิตหลัก เช่น Samsung, Micron และ SK hynix มีส่วนร่วมในการพัฒนา - คาดว่า Samsung จะเริ่มผลิต HBM4 ในปี 2025 เพื่อตอบสนองความต้องการของ AI chipmakers และ hyperscalers https://www.tomshardware.com/pc-components/ram/jedec-finalizes-hbm4-memory-standard-with-major-bandwidth-and-efficiency-upgrades
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    JEDEC finalizes HBM4 memory standard with major bandwidth and efficiency upgrades
    The latest JEDEC standard for HBM4 supports next-gen compute demands.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 317 มุมมอง 0 รีวิว
  • TSMC กำลังเร่งการก่อสร้างโรงงาน Fab 21 ในรัฐแอริโซนา สหรัฐฯ เพื่อผลิตชิป 2nm และ A16 (1.6nm-class) โดยมีเป้าหมายให้ 30% ของกำลังการผลิตชิปขั้นสูงอยู่ในสหรัฐฯ ซึ่งจะช่วยสร้าง คลัสเตอร์การผลิตเซมิคอนดักเตอร์ที่เป็นอิสระ

    TSMC วางแผนให้ 30% ของกำลังการผลิตชิป 2nm และ A16 อยู่ในสหรัฐฯ
    - โรงงาน Fab 21 ในรัฐแอริโซนา จะเป็นศูนย์กลางการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ที่มีความเป็นอิสระ
    - การลงทุนนี้ช่วยให้ สหรัฐฯ มีห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์ที่สมบูรณ์มากขึ้น

    TSMC เร่งการก่อสร้างโมดูลที่สองของ Fab 21
    - เดิมทีโรงงานนี้มีกำหนดเริ่มผลิตในปี 2028 แต่ TSMC กำลังเร่งให้ เริ่มผลิตเร็วกว่ากำหนดอย่างน้อย 2 ไตรมาส
    - โมดูลที่สามและสี่ ซึ่งจะใช้ กระบวนการผลิต N2 และ A16 คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างภายในปีนี้

    TSMC ยังคงผลิตชิปส่วนใหญ่ในไต้หวัน
    - แม้จะมีการขยายโรงงานในสหรัฐฯ แต่ ไต้หวันยังคงเป็นศูนย์กลางการผลิตหลักของ TSMC
    - โรงงานในไต้หวันจะผลิตชิป N2 และ A16 มากกว่าที่สหรัฐฯ

    TSMC วางแผนให้ Fab 21 กลายเป็น GigaFab cluster
    - เป้าหมายคือให้โรงงานนี้มี กำลังการผลิตอย่างน้อย 100,000 wafer starts ต่อเดือน
    - การขยายตัวนี้จะช่วยให้ TSMC รองรับความต้องการของลูกค้าในอุตสาหกรรมสมาร์ทโฟน, AI และ HPC

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/tsmc-to-build-30-percent-of-its-2nm-and-more-advanced-chips-in-the-u-s-to-speed-up-fab-21-build-out
    TSMC กำลังเร่งการก่อสร้างโรงงาน Fab 21 ในรัฐแอริโซนา สหรัฐฯ เพื่อผลิตชิป 2nm และ A16 (1.6nm-class) โดยมีเป้าหมายให้ 30% ของกำลังการผลิตชิปขั้นสูงอยู่ในสหรัฐฯ ซึ่งจะช่วยสร้าง คลัสเตอร์การผลิตเซมิคอนดักเตอร์ที่เป็นอิสระ ✅ TSMC วางแผนให้ 30% ของกำลังการผลิตชิป 2nm และ A16 อยู่ในสหรัฐฯ - โรงงาน Fab 21 ในรัฐแอริโซนา จะเป็นศูนย์กลางการผลิตเซมิคอนดักเตอร์ที่มีความเป็นอิสระ - การลงทุนนี้ช่วยให้ สหรัฐฯ มีห่วงโซ่อุปทานเซมิคอนดักเตอร์ที่สมบูรณ์มากขึ้น ✅ TSMC เร่งการก่อสร้างโมดูลที่สองของ Fab 21 - เดิมทีโรงงานนี้มีกำหนดเริ่มผลิตในปี 2028 แต่ TSMC กำลังเร่งให้ เริ่มผลิตเร็วกว่ากำหนดอย่างน้อย 2 ไตรมาส - โมดูลที่สามและสี่ ซึ่งจะใช้ กระบวนการผลิต N2 และ A16 คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างภายในปีนี้ ✅ TSMC ยังคงผลิตชิปส่วนใหญ่ในไต้หวัน - แม้จะมีการขยายโรงงานในสหรัฐฯ แต่ ไต้หวันยังคงเป็นศูนย์กลางการผลิตหลักของ TSMC - โรงงานในไต้หวันจะผลิตชิป N2 และ A16 มากกว่าที่สหรัฐฯ ✅ TSMC วางแผนให้ Fab 21 กลายเป็น GigaFab cluster - เป้าหมายคือให้โรงงานนี้มี กำลังการผลิตอย่างน้อย 100,000 wafer starts ต่อเดือน - การขยายตัวนี้จะช่วยให้ TSMC รองรับความต้องการของลูกค้าในอุตสาหกรรมสมาร์ทโฟน, AI และ HPC https://www.tomshardware.com/tech-industry/tsmc-to-build-30-percent-of-its-2nm-and-more-advanced-chips-in-the-u-s-to-speed-up-fab-21-build-out
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    TSMC to build 30% of its 2nm and more advanced chips in the U.S., to speed up Fab 21 build out
    Production at Fab 21 module 2 is set to start at least two quarters earlier.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 297 มุมมอง 0 รีวิว
  • รายงานจาก Tom's Hardware ระบุว่า การส่งออกชิปไปยังมาเลเซียเพิ่มขึ้นถึง 366% ท่ามกลางมาตรการเข้มงวดของสหรัฐฯ ในการควบคุมการลักลอบนำเข้า Nvidia AI GPUs ไปยังจีน โดยมีข้อสงสัยว่ามาเลเซียอาจกลายเป็น ศูนย์กลางข้อมูล AI หรือเป็นช่องทางในการส่งออกชิปไปยังจีน

    การส่งออกชิปจากไต้หวันไปมาเลเซียเพิ่มขึ้น 366% ในเดือนมีนาคม
    - มูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นจาก $401.92 ล้าน เป็น $1873.89 ล้าน เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว
    - การเพิ่มขึ้นนี้เกิดขึ้นหลังจาก สหรัฐฯ เพิ่มมาตรการควบคุมการส่งออก AI GPUs ไปยังจีน

    มาเลเซียอาจกลายเป็นศูนย์กลางข้อมูล AI หรือช่องทางส่งออกชิปไปจีน
    - มีข้อสงสัยว่าบริษัทจีนอาจใช้มาเลเซียเป็น ศูนย์กลางในการสะสมฮาร์ดแวร์ AI ก่อนที่มาตรการควบคุมของสหรัฐฯ จะมีผลในวันที่ 15 พฤษภาคม
    - รายงานระบุว่าบริษัทจีนเป็น ลูกค้าหลักของศูนย์ข้อมูลคลาวด์ในมาเลเซีย ซึ่งอาจหมายถึงการนำเข้าเซิร์ฟเวอร์ AI จากไต้หวันเพื่อใช้งานในจีน

    การส่งออกชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์จากไต้หวันไปมาเลเซียเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
    - มูลค่าการส่งออกชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์เพิ่มขึ้นจาก $15 ล้าน เป็น $60.83 ล้าน ในเดือนมีนาคม
    - อาจรวมถึง AI accelerators เช่น Nvidia H100 ซึ่งเป็นชิปที่ถูกควบคุมการส่งออกโดยสหรัฐฯ

    สหรัฐฯ ขอให้มาเลเซียเพิ่มการตรวจสอบการส่งออกเทคโนโลยีขั้นสูงไปยังจีน
    - มีข้อสงสัยว่า Nvidia GPUs ระดับสูงอาจถูกส่งไปยังจีนผ่านมาเลเซีย
    - สหรัฐฯ กำลังตรวจสอบว่ามาเลเซียมีบทบาทในการ ช่วยให้บริษัทจีนเข้าถึงฮาร์ดแวร์ที่ถูกควบคุม

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/massive-366-percent-chip-shipment-surge-to-malaysia-amid-increased-nvidia-ai-gpu-smuggling-curbs-ahead-of-looming-sectoral-tariffs
    รายงานจาก Tom's Hardware ระบุว่า การส่งออกชิปไปยังมาเลเซียเพิ่มขึ้นถึง 366% ท่ามกลางมาตรการเข้มงวดของสหรัฐฯ ในการควบคุมการลักลอบนำเข้า Nvidia AI GPUs ไปยังจีน โดยมีข้อสงสัยว่ามาเลเซียอาจกลายเป็น ศูนย์กลางข้อมูล AI หรือเป็นช่องทางในการส่งออกชิปไปยังจีน ✅ การส่งออกชิปจากไต้หวันไปมาเลเซียเพิ่มขึ้น 366% ในเดือนมีนาคม - มูลค่าการส่งออกเพิ่มขึ้นจาก $401.92 ล้าน เป็น $1873.89 ล้าน เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว - การเพิ่มขึ้นนี้เกิดขึ้นหลังจาก สหรัฐฯ เพิ่มมาตรการควบคุมการส่งออก AI GPUs ไปยังจีน ✅ มาเลเซียอาจกลายเป็นศูนย์กลางข้อมูล AI หรือช่องทางส่งออกชิปไปจีน - มีข้อสงสัยว่าบริษัทจีนอาจใช้มาเลเซียเป็น ศูนย์กลางในการสะสมฮาร์ดแวร์ AI ก่อนที่มาตรการควบคุมของสหรัฐฯ จะมีผลในวันที่ 15 พฤษภาคม - รายงานระบุว่าบริษัทจีนเป็น ลูกค้าหลักของศูนย์ข้อมูลคลาวด์ในมาเลเซีย ซึ่งอาจหมายถึงการนำเข้าเซิร์ฟเวอร์ AI จากไต้หวันเพื่อใช้งานในจีน ✅ การส่งออกชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์จากไต้หวันไปมาเลเซียเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว - มูลค่าการส่งออกชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์เพิ่มขึ้นจาก $15 ล้าน เป็น $60.83 ล้าน ในเดือนมีนาคม - อาจรวมถึง AI accelerators เช่น Nvidia H100 ซึ่งเป็นชิปที่ถูกควบคุมการส่งออกโดยสหรัฐฯ ✅ สหรัฐฯ ขอให้มาเลเซียเพิ่มการตรวจสอบการส่งออกเทคโนโลยีขั้นสูงไปยังจีน - มีข้อสงสัยว่า Nvidia GPUs ระดับสูงอาจถูกส่งไปยังจีนผ่านมาเลเซีย - สหรัฐฯ กำลังตรวจสอบว่ามาเลเซียมีบทบาทในการ ช่วยให้บริษัทจีนเข้าถึงฮาร์ดแวร์ที่ถูกควบคุม https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/massive-366-percent-chip-shipment-surge-to-malaysia-amid-increased-nvidia-ai-gpu-smuggling-curbs-ahead-of-looming-sectoral-tariffs
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 359 มุมมอง 0 รีวิว
  • Seagate อ้างว่า ฮาร์ดไดรฟ์ (HDDs) เป็นตัวเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่า SSDs เนื่องจากมีการปล่อยคาร์บอนต่ำกว่า โดยผลการศึกษาพบว่า ฮาร์ดไดรฟ์มีการปล่อยคาร์บอนต่อปีต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับ SSDs และ LTO tapes

    Seagate วิเคราะห์การปล่อยคาร์บอนของ HDDs, SSDs และ LTO tapes
    - SSDs มีการปล่อยคาร์บอนสูงสุดที่ 4,915 กิโลกรัม CO² ต่อผลิตภัณฑ์
    - LTO tapes มีการปล่อยคาร์บอน 48 กิโลกรัม CO² ต่อผลิตภัณฑ์
    - HDDs มีการปล่อยคาร์บอนต่ำสุดที่ 29.7 กิโลกรัม CO² ต่อผลิตภัณฑ์

    ฮาร์ดไดรฟ์มีการปล่อยคาร์บอนต่อปีต่ำที่สุด
    - SSDs ปล่อยคาร์บอน 32 กิโลกรัม CO² ต่อ TB ต่อปี
    - LTO tapes ปล่อยคาร์บอน <0.6 กิโลกรัม CO² ต่อ TB ต่อปี
    - HDDs ปล่อยคาร์บอน <0.2 กิโลกรัม CO² ต่อ TB ต่อปี

    Seagate เสนอแนวทางลดการปล่อยคาร์บอนในศูนย์ข้อมูล
    - เพิ่มการใช้ระบบระบายความร้อนด้วยของเหลวและ HVAC ที่มีประสิทธิภาพสูง
    - ขยายอายุการใช้งานของผลิตภัณฑ์ผ่านการรีเฟอร์บิชและนำกลับมาใช้ใหม่
    - แบ่งปันความรับผิดชอบด้านการปล่อยคาร์บอนในระบบนิเวศของศูนย์ข้อมูล

    Seagate ยังคงพัฒนา HDDs ที่มีความจุสูงขึ้น
    - เปิดตัว Mozaic 3+ HDDs ที่ใช้เทคโนโลยี HAMR และมีความจุ สูงสุด 36TB

    https://www.tomshardware.com/pc-components/storage/seagate-claims-hard-drives-are-more-environmentally-friendly-than-ssds
    Seagate อ้างว่า ฮาร์ดไดรฟ์ (HDDs) เป็นตัวเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากกว่า SSDs เนื่องจากมีการปล่อยคาร์บอนต่ำกว่า โดยผลการศึกษาพบว่า ฮาร์ดไดรฟ์มีการปล่อยคาร์บอนต่อปีต่ำที่สุดเมื่อเทียบกับ SSDs และ LTO tapes ✅ Seagate วิเคราะห์การปล่อยคาร์บอนของ HDDs, SSDs และ LTO tapes - SSDs มีการปล่อยคาร์บอนสูงสุดที่ 4,915 กิโลกรัม CO² ต่อผลิตภัณฑ์ - LTO tapes มีการปล่อยคาร์บอน 48 กิโลกรัม CO² ต่อผลิตภัณฑ์ - HDDs มีการปล่อยคาร์บอนต่ำสุดที่ 29.7 กิโลกรัม CO² ต่อผลิตภัณฑ์ ✅ ฮาร์ดไดรฟ์มีการปล่อยคาร์บอนต่อปีต่ำที่สุด - SSDs ปล่อยคาร์บอน 32 กิโลกรัม CO² ต่อ TB ต่อปี - LTO tapes ปล่อยคาร์บอน <0.6 กิโลกรัม CO² ต่อ TB ต่อปี - HDDs ปล่อยคาร์บอน <0.2 กิโลกรัม CO² ต่อ TB ต่อปี ✅ Seagate เสนอแนวทางลดการปล่อยคาร์บอนในศูนย์ข้อมูล - เพิ่มการใช้ระบบระบายความร้อนด้วยของเหลวและ HVAC ที่มีประสิทธิภาพสูง - ขยายอายุการใช้งานของผลิตภัณฑ์ผ่านการรีเฟอร์บิชและนำกลับมาใช้ใหม่ - แบ่งปันความรับผิดชอบด้านการปล่อยคาร์บอนในระบบนิเวศของศูนย์ข้อมูล ✅ Seagate ยังคงพัฒนา HDDs ที่มีความจุสูงขึ้น - เปิดตัว Mozaic 3+ HDDs ที่ใช้เทคโนโลยี HAMR และมีความจุ สูงสุด 36TB https://www.tomshardware.com/pc-components/storage/seagate-claims-hard-drives-are-more-environmentally-friendly-than-ssds
    WWW.TOMSHARDWARE.COM
    Seagate claims hard drives are more environmentally friendly than SSDs
    Spinning platters are allegedly the best storage method to reduce carbon emissions.
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 198 มุมมอง 0 รีวิว
  • 0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 82 มุมมอง 0 รีวิว
  • Microsoft ได้พัฒนา BitNet b1.58 2B4T ซึ่งเป็นโมเดล AI แบบ 1-bit LLM ที่มี 2 พันล้านพารามิเตอร์ และสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพบน CPU ทั่วไป โดยใช้หน่วยความจำเพียง 400MB ซึ่งน้อยกว่ารุ่นอื่นๆ ถึง 70%

    BitNet b1.58 2B4T เป็นโมเดล AI แบบ 1-bit ที่ใช้พลังงานต่ำ
    - ใช้ 1-bit weights ที่มีค่าเพียง -1, 0 และ +1 ซึ่งช่วยลดการใช้หน่วยความจำ
    - ใช้หน่วยความจำเพียง 400MB เทียบกับ 1.4GB ของ Gemma 3 1B

    สามารถทำงานบน CPU ทั่วไป เช่น Apple M2
    - ไม่ต้องใช้ GPU หรือ NPU ทำให้สามารถรันโมเดลได้บน ฮาร์ดแวร์ที่มีประสิทธิภาพต่ำกว่า
    - ช่วยให้ผู้ใช้ทั่วไปสามารถทดลองใช้ AI ได้โดยไม่ต้องใช้เซิร์ฟเวอร์ขนาดใหญ่

    BitNet b1.58 2B4T มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับโมเดล AI ขนาดใหญ่
    - ทดสอบเทียบกับ LLaMa 3.2 1B, Gemma 3 1B และ Qwen 2.5 1.5B
    - มีคะแนนสูงกว่าในบางการทดสอบ เช่น ARC-Challenge และ BoolQ

    โมเดลนี้เปิดให้ใช้งานบน Hugging Face และ GitHub
    - ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดและทดลองใช้ได้ฟรี
    - ต้องใช้ bitnet.cpp inference framework เพื่อให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

    https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/microsoft-researchers-build-1-bit-ai-llm-with-2b-parameters-model-small-enough-to-run-on-some-cpus
    Microsoft ได้พัฒนา BitNet b1.58 2B4T ซึ่งเป็นโมเดล AI แบบ 1-bit LLM ที่มี 2 พันล้านพารามิเตอร์ และสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพบน CPU ทั่วไป โดยใช้หน่วยความจำเพียง 400MB ซึ่งน้อยกว่ารุ่นอื่นๆ ถึง 70% ✅ BitNet b1.58 2B4T เป็นโมเดล AI แบบ 1-bit ที่ใช้พลังงานต่ำ - ใช้ 1-bit weights ที่มีค่าเพียง -1, 0 และ +1 ซึ่งช่วยลดการใช้หน่วยความจำ - ใช้หน่วยความจำเพียง 400MB เทียบกับ 1.4GB ของ Gemma 3 1B ✅ สามารถทำงานบน CPU ทั่วไป เช่น Apple M2 - ไม่ต้องใช้ GPU หรือ NPU ทำให้สามารถรันโมเดลได้บน ฮาร์ดแวร์ที่มีประสิทธิภาพต่ำกว่า - ช่วยให้ผู้ใช้ทั่วไปสามารถทดลองใช้ AI ได้โดยไม่ต้องใช้เซิร์ฟเวอร์ขนาดใหญ่ ✅ BitNet b1.58 2B4T มีประสิทธิภาพใกล้เคียงกับโมเดล AI ขนาดใหญ่ - ทดสอบเทียบกับ LLaMa 3.2 1B, Gemma 3 1B และ Qwen 2.5 1.5B - มีคะแนนสูงกว่าในบางการทดสอบ เช่น ARC-Challenge และ BoolQ ✅ โมเดลนี้เปิดให้ใช้งานบน Hugging Face และ GitHub - ผู้ใช้สามารถดาวน์โหลดและทดลองใช้ได้ฟรี - ต้องใช้ bitnet.cpp inference framework เพื่อให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ https://www.tomshardware.com/tech-industry/artificial-intelligence/microsoft-researchers-build-1-bit-ai-llm-with-2b-parameters-model-small-enough-to-run-on-some-cpus
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 290 มุมมอง 0 รีวิว
  • #แซนวิชทูน่าน้ำสลัด

    #กาแฟยามเช้าหอมกรุ่นอยู่เสมอ
    #แซนวิชทูน่าน้ำสลัด #กาแฟยามเช้าหอมกรุ่นอยู่เสมอ
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 361 มุมมอง 0 รีวิว
  • Live SONDHITALK : ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง Ep289 (live)
    ความในใจของ “สนธิ” 16 ปี ที่รอดจากความตาย แต่ยังต้องทนอยู่กับความเน่าเฟะของสังคมที่ไม่เคยเปลี่ยน โดยเฉพาะเรื่องโกง... ที่เหมือนจะฝังรากลึกกว่าชีวิตคน"
    #Live #Liveสด #thaitimes #sondhitalk #ผู้เฒ่าเล่าเรื่อง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 88 มุมมอง 0 รีวิว
  • อย่าให้มันรื้อสร้างใหม่ ปล่อยให้ใช้ลานจอดผุพังไป ควบคุมงานมาตรฐานสตง. เพดานลานจอดยังเห็นสภาพเป็นทรายผสมหิน ปูนไม่ประสานกัน
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง
    #สตง
    อย่าให้มันรื้อสร้างใหม่ ปล่อยให้ใช้ลานจอดผุพังไป ควบคุมงานมาตรฐานสตง. เพดานลานจอดยังเห็นสภาพเป็นทรายผสมหิน ปูนไม่ประสานกัน #คิงส์โพธิ์แดง #คิงส์โพธิ์แดงสำรอง #สตง
    Like
    Sad
    4
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 368 มุมมอง 0 รีวิว
  • บทความจาก TechRadar รายงานว่า AWS อ้างว่าครึ่งหนึ่งของลูกค้า Microsoft Azure จะเปลี่ยนไปใช้ AWS หากไม่มีข้อจำกัดด้านค่าลิขสิทธิ์ โดย AWS ระบุว่าค่าธรรมเนียมของ Microsoft ทำให้การเปลี่ยนไปใช้ผู้ให้บริการคลาวด์รายอื่นมีต้นทุนสูง

    AWS อ้างว่าค่าธรรมเนียมของ Microsoft ทำให้ลูกค้าไม่สามารถเปลี่ยนไปใช้ผู้ให้บริการคลาวด์รายอื่นได้
    - AWS ระบุว่า 50% ของ workloads ที่รันบน Azure จะย้ายไปที่อื่นหากไม่มีข้อจำกัดด้านค่าใช้จ่าย
    - Microsoft มีการเปลี่ยนแปลงค่าธรรมเนียมในปี 2019 ซึ่งทำให้ การรัน Windows Server บน AWS และ Google Cloud มีค่าใช้จ่ายสูงขึ้นถึง 4 เท่า

    Google สนับสนุนข้อกล่าวหาของ AWS
    - Google ให้ตัวอย่างว่าลูกค้ารายหนึ่งเลือกใช้ Azure เพียงเพราะข้อจำกัดด้านลิขสิทธิ์ แม้ว่าจะต้องการใช้ Google Cloud มากกว่า
    - Google ระบุว่าหากไม่มีการเปลี่ยนแปลง Microsoft อาจครองตลาดคลาวด์ในสหราชอาณาจักรภายใน 5 ปี

    Microsoft ปฏิเสธข้อกล่าวหาและระบุว่าค่าธรรมเนียมไม่ใช่ปัจจัยหลักในการเลือกใช้บริการคลาวด์
    - Microsoft อ้างว่าการลบค่าธรรมเนียมภายใต้ EU Data Act ไม่ได้ทำให้ลูกค้าสลับไปใช้บริการอื่นมากขึ้น

    ตลาดคลาวด์ในสหราชอาณาจักรมีการแข่งขันสูง
    - รายงานจาก Ofcom ระบุว่า Microsoft และ AWS ครองตลาด 70-80% ในปี 2022
    - Google มีส่วนแบ่งตลาดเพียง 5-10%

    https://www.techradar.com/pro/aws-says-half-of-microsoft-azure-customers-would-shift-to-them-if-not-for-licensing-costs
    บทความจาก TechRadar รายงานว่า AWS อ้างว่าครึ่งหนึ่งของลูกค้า Microsoft Azure จะเปลี่ยนไปใช้ AWS หากไม่มีข้อจำกัดด้านค่าลิขสิทธิ์ โดย AWS ระบุว่าค่าธรรมเนียมของ Microsoft ทำให้การเปลี่ยนไปใช้ผู้ให้บริการคลาวด์รายอื่นมีต้นทุนสูง ✅ AWS อ้างว่าค่าธรรมเนียมของ Microsoft ทำให้ลูกค้าไม่สามารถเปลี่ยนไปใช้ผู้ให้บริการคลาวด์รายอื่นได้ - AWS ระบุว่า 50% ของ workloads ที่รันบน Azure จะย้ายไปที่อื่นหากไม่มีข้อจำกัดด้านค่าใช้จ่าย - Microsoft มีการเปลี่ยนแปลงค่าธรรมเนียมในปี 2019 ซึ่งทำให้ การรัน Windows Server บน AWS และ Google Cloud มีค่าใช้จ่ายสูงขึ้นถึง 4 เท่า ✅ Google สนับสนุนข้อกล่าวหาของ AWS - Google ให้ตัวอย่างว่าลูกค้ารายหนึ่งเลือกใช้ Azure เพียงเพราะข้อจำกัดด้านลิขสิทธิ์ แม้ว่าจะต้องการใช้ Google Cloud มากกว่า - Google ระบุว่าหากไม่มีการเปลี่ยนแปลง Microsoft อาจครองตลาดคลาวด์ในสหราชอาณาจักรภายใน 5 ปี ✅ Microsoft ปฏิเสธข้อกล่าวหาและระบุว่าค่าธรรมเนียมไม่ใช่ปัจจัยหลักในการเลือกใช้บริการคลาวด์ - Microsoft อ้างว่าการลบค่าธรรมเนียมภายใต้ EU Data Act ไม่ได้ทำให้ลูกค้าสลับไปใช้บริการอื่นมากขึ้น ✅ ตลาดคลาวด์ในสหราชอาณาจักรมีการแข่งขันสูง - รายงานจาก Ofcom ระบุว่า Microsoft และ AWS ครองตลาด 70-80% ในปี 2022 - Google มีส่วนแบ่งตลาดเพียง 5-10% https://www.techradar.com/pro/aws-says-half-of-microsoft-azure-customers-would-shift-to-them-if-not-for-licensing-costs
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 226 มุมมอง 0 รีวิว