• นิด้าโพลสำรวจเสียงคนใต้เกินครึ่งไม่เห็นด้วย พรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมรัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อไทย มีผลเลือกตั้งครั้งหน้าไม่เลือกพรรคประชาธิปัตย์

    ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง “เสียงพี่น้องชาวใต้ถึงพรรคประชาธิปัตย์ ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 2-3 กันยายน 2567 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ที่มีสิทธิเลือกตั้งใน 14 จังหวัดภาคใต้ กระจายระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับการตัดสินใจของพรรคประชาธิปัตย์ในการเข้าร่วมรัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อไทย การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ “นิด้าโพล” สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0

    จากการสำรวจเมื่อถามความคิดเห็นของประชาชนต่อการตัดสินใจของพรรคประชาธิปัตย์ในการเข้าร่วมรัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อไทย พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 54.19 ระบุว่า ไม่เห็นด้วยเลย รองลงมา ร้อยละ 14.58 ระบุว่า ไม่ค่อยเห็นด้วย ร้อยละ 12.98 ระบุว่า เห็นด้วยมาก ร้อยละ 11.91 ระบุว่า ค่อนข้างเห็นด้วย และร้อยละ 6.34 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

    ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงการเลือกพรรคประชาธิปัตย์ในการเลือกตั้งครั้งหน้า พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 41.37 ระบุว่า ไม่เลือก รองลงมา ร้อยละ 41.15 ระบุว่า ยังไม่แน่ใจ และร้อยละ 17.48 ระบุว่า เลือก

    เมื่อพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่า ตัวอย่างทั้งหมดมีภูมิลำเนาตามทะเบียนบ้านอยู่ในภาคใต้ ตัวอย่าง ร้อยละ 16.87 มีภูมิลำเนาอยู่ในจังหวัดนครศรีธรรมราช ร้อยละ 15.27 จังหวัดสงขลา ร้อยละ 11.53 จังหวัดสุราษฎร์ธานี ร้อยละ 8.01 จังหวัดนราธิวาส ร้อยละ 7.10 จังหวัดปัตตานี ร้อยละ 6.95 จังหวัดตรัง ร้อยละ 5.80 จังหวัดพัทลุง ร้อยละ 5.57 จังหวัดชุมพร ร้อยละ 5.34 จังหวัดยะลา ร้อยละ 4.96 จังหวัดกระบี่ ร้อยละ 4.43 จังหวัดภูเก็ต ร้อยละ 3.36 จังหวัดสตูล ร้อยละ 2.90 จังหวัดพังงา และร้อยละ 1.91 จังหวัดระนอง ตัวอย่าง ร้อยละ 48.09 เป็นเพศชาย และร้อยละ 51.91 เป็นเพศหญิง

    ตัวอย่าง ร้อยละ 14.35 อายุ 18-25 ปี ร้อยละ 19.47 อายุ 26-35 ปี ร้อยละ 19.00 อายุ 36-45 ปี ร้อยละ 24.89 อายุ 46-59 ปี และร้อยละ 22.29 อายุ 60 ปีขึ้นไป ตัวอย่าง ร้อยละ 72.22 นับถือศาสนาพุทธ ร้อยละ 27.25 นับถือศาสนาอิสลาม และร้อยละ 0.53 นับถือศาสนาคริสต์ และศาสนาอื่น ๆ

    ตัวอย่าง ร้อยละ 34.73 สถานภาพโสด ร้อยละ 63.74 สมรส และร้อยละ 1.53 หม้าย หย่าร้าง แยกกันอยู่ ตัวอย่าง ร้อยละ 15.65 จบการศึกษาประถมศึกษาหรือต่ำกว่า ร้อยละ 36.41 จบการศึกษามัธยมศึกษาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 9.47 จบการศึกษาอนุปริญญาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 33.66 จบการศึกษาปริญญาตรีหรือเทียบเท่า และร้อยละ 4.81 จบการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า

    ตัวอย่าง ร้อยละ 11.98 ประกอบอาชีพข้าราชการ/ลูกจ้าง/พนักงานรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 14.73 ประกอบอาชีพพนักงานเอกชน ร้อยละ 23.59 ประกอบอาชีพเจ้าของธุรกิจ/อาชีพอิสระ ร้อยละ 12.06 ประกอบอาชีพเกษตรกร/ประมง ร้อยละ 13.82 ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป/ผู้ใช้แรงงาน ร้อยละ 18.17 เป็นพ่อบ้าน/แม่บ้าน/เกษียณอายุ/ว่างงาน และร้อยละ 5.65 เป็นนักเรียน/นักศึกษา

    ตัวอย่าง ร้อยละ 18.86 ไม่มีรายได้ ร้อยละ 16.72 รายได้เฉลี่ยต่อเดือนไม่เกิน 10,000 บาท ร้อยละ 32.82 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 10,001-20,000 บาท ร้อยละ 11.22 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 20,001-30,000 บาท ร้อยละ 5.19 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 30,001-40,000 บาท ร้อยละ 6.56 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 40,001 บาทขึ้นไป และร้อยละ 8.63 ไม่ระบุรายได้

    ที่มา https://nidapoll.nida.ac.th/survey_detail?survey_id=716

    #Thaitimes
    นิด้าโพลสำรวจเสียงคนใต้เกินครึ่งไม่เห็นด้วย พรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมรัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อไทย มีผลเลือกตั้งครั้งหน้าไม่เลือกพรรคประชาธิปัตย์ ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง “เสียงพี่น้องชาวใต้ถึงพรรคประชาธิปัตย์ ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 2-3 กันยายน 2567 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป ที่มีสิทธิเลือกตั้งใน 14 จังหวัดภาคใต้ กระจายระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับการตัดสินใจของพรรคประชาธิปัตย์ในการเข้าร่วมรัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อไทย การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ “นิด้าโพล” สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0 จากการสำรวจเมื่อถามความคิดเห็นของประชาชนต่อการตัดสินใจของพรรคประชาธิปัตย์ในการเข้าร่วมรัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อไทย พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 54.19 ระบุว่า ไม่เห็นด้วยเลย รองลงมา ร้อยละ 14.58 ระบุว่า ไม่ค่อยเห็นด้วย ร้อยละ 12.98 ระบุว่า เห็นด้วยมาก ร้อยละ 11.91 ระบุว่า ค่อนข้างเห็นด้วย และร้อยละ 6.34 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงการเลือกพรรคประชาธิปัตย์ในการเลือกตั้งครั้งหน้า พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 41.37 ระบุว่า ไม่เลือก รองลงมา ร้อยละ 41.15 ระบุว่า ยังไม่แน่ใจ และร้อยละ 17.48 ระบุว่า เลือก เมื่อพิจารณาลักษณะทั่วไปของตัวอย่าง พบว่า ตัวอย่างทั้งหมดมีภูมิลำเนาตามทะเบียนบ้านอยู่ในภาคใต้ ตัวอย่าง ร้อยละ 16.87 มีภูมิลำเนาอยู่ในจังหวัดนครศรีธรรมราช ร้อยละ 15.27 จังหวัดสงขลา ร้อยละ 11.53 จังหวัดสุราษฎร์ธานี ร้อยละ 8.01 จังหวัดนราธิวาส ร้อยละ 7.10 จังหวัดปัตตานี ร้อยละ 6.95 จังหวัดตรัง ร้อยละ 5.80 จังหวัดพัทลุง ร้อยละ 5.57 จังหวัดชุมพร ร้อยละ 5.34 จังหวัดยะลา ร้อยละ 4.96 จังหวัดกระบี่ ร้อยละ 4.43 จังหวัดภูเก็ต ร้อยละ 3.36 จังหวัดสตูล ร้อยละ 2.90 จังหวัดพังงา และร้อยละ 1.91 จังหวัดระนอง ตัวอย่าง ร้อยละ 48.09 เป็นเพศชาย และร้อยละ 51.91 เป็นเพศหญิง ตัวอย่าง ร้อยละ 14.35 อายุ 18-25 ปี ร้อยละ 19.47 อายุ 26-35 ปี ร้อยละ 19.00 อายุ 36-45 ปี ร้อยละ 24.89 อายุ 46-59 ปี และร้อยละ 22.29 อายุ 60 ปีขึ้นไป ตัวอย่าง ร้อยละ 72.22 นับถือศาสนาพุทธ ร้อยละ 27.25 นับถือศาสนาอิสลาม และร้อยละ 0.53 นับถือศาสนาคริสต์ และศาสนาอื่น ๆ ตัวอย่าง ร้อยละ 34.73 สถานภาพโสด ร้อยละ 63.74 สมรส และร้อยละ 1.53 หม้าย หย่าร้าง แยกกันอยู่ ตัวอย่าง ร้อยละ 15.65 จบการศึกษาประถมศึกษาหรือต่ำกว่า ร้อยละ 36.41 จบการศึกษามัธยมศึกษาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 9.47 จบการศึกษาอนุปริญญาหรือเทียบเท่า ร้อยละ 33.66 จบการศึกษาปริญญาตรีหรือเทียบเท่า และร้อยละ 4.81 จบการศึกษาสูงกว่าปริญญาตรีหรือเทียบเท่า ตัวอย่าง ร้อยละ 11.98 ประกอบอาชีพข้าราชการ/ลูกจ้าง/พนักงานรัฐวิสาหกิจ ร้อยละ 14.73 ประกอบอาชีพพนักงานเอกชน ร้อยละ 23.59 ประกอบอาชีพเจ้าของธุรกิจ/อาชีพอิสระ ร้อยละ 12.06 ประกอบอาชีพเกษตรกร/ประมง ร้อยละ 13.82 ประกอบอาชีพรับจ้างทั่วไป/ผู้ใช้แรงงาน ร้อยละ 18.17 เป็นพ่อบ้าน/แม่บ้าน/เกษียณอายุ/ว่างงาน และร้อยละ 5.65 เป็นนักเรียน/นักศึกษา ตัวอย่าง ร้อยละ 18.86 ไม่มีรายได้ ร้อยละ 16.72 รายได้เฉลี่ยต่อเดือนไม่เกิน 10,000 บาท ร้อยละ 32.82 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 10,001-20,000 บาท ร้อยละ 11.22 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 20,001-30,000 บาท ร้อยละ 5.19 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 30,001-40,000 บาท ร้อยละ 6.56 รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 40,001 บาทขึ้นไป และร้อยละ 8.63 ไม่ระบุรายได้ ที่มา https://nidapoll.nida.ac.th/survey_detail?survey_id=716 #Thaitimes
    Like
    Haha
    Angry
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 678 มุมมอง 0 รีวิว
  • #สถานการณ์ไม่สู้ดีกับสถานะบัตรทอง
    ในขณะที่พรรคเพื่อไทยพยายามดันวอลเลทให้ผ่าน
    ด้วยวิธีการแก้ผ้าเอาหน้ารอด
    โดยงบปี 67 แจกได้สิบกว่าล้านคน ไม่เกี่ยวกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ
    แต่เป็นการแจกเงินสดผ่านบัตรคนจน ซึ่งจะต้องถูกร้องว่าผิดวินัยการเงินการคลังอย่างร้ายแรง คล้ายๆกับการซื้อเสียงโดยใช้ภาษีของประชาชน
    และการที่พยายามดันเงินสดแจกประชาชนนี้ คือการชลอการชำระหนี้ให้บรรดาหน่วยงานของภาครัฐต่างๆไป่กอน ซึ่งย่อมมีผลประทบต่อการบริหารจัดการของหน่วยงานที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อ
    แต่ที่น่าเศร้าคือ บัตรทองที่มีผู้ใช้บริการมากกว่า 48 ล้านคน
    ขณะนี้เหลืองบเพียง 7 ร้อยกว่าล้านเท่านั้น
    ซึ่งรพ.ที่รับสิทธิ์นี้ มีอย่างน้อย 91 รพ.ที่กำลังจะเข้าสู่ภาวะขาดสภาพคล่อง
    และมีโอกาสที่จะเกิดผลกระทบกับประชาชน
    ในขณะนี้งบปี 68 ต้องกล้าพูดความจริง
    ว่างบวอลเลทไม่ได้จบที่เค้นหางบมาให้ทันก้อนแรก
    แต่ต้องยาวไปถึงปี 68 ที่บวกลบคูณหารอย่างไร ก็ยังขาดงบที่จะทำให้วอลเลทสำเร็จบริบูรณ์อีก 1.1 แสนบ้าน ยังไม่รู้ไปหามาจากที่ไหน
    ในขณะที่ มีคนรอหมื่นบาทจากวอลเลทที่เปลี่ยนเป็นเงินสดเพราะรัฐบาลไม่มีปัญญาทำเป็นวอลเลทตามสัญญา หารู้ไม่ว่าความสำคัญเร่งด่วนอย่างบัตรทอง กำลังได้รับผลประทบอย่างรุนแรง
    เป็นการบริหารบ้านเมืองที่น่าเศร้าอย่างแท้จริง
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #สถานการณ์ไม่สู้ดีกับสถานะบัตรทอง ในขณะที่พรรคเพื่อไทยพยายามดันวอลเลทให้ผ่าน ด้วยวิธีการแก้ผ้าเอาหน้ารอด โดยงบปี 67 แจกได้สิบกว่าล้านคน ไม่เกี่ยวกับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ แต่เป็นการแจกเงินสดผ่านบัตรคนจน ซึ่งจะต้องถูกร้องว่าผิดวินัยการเงินการคลังอย่างร้ายแรง คล้ายๆกับการซื้อเสียงโดยใช้ภาษีของประชาชน และการที่พยายามดันเงินสดแจกประชาชนนี้ คือการชลอการชำระหนี้ให้บรรดาหน่วยงานของภาครัฐต่างๆไป่กอน ซึ่งย่อมมีผลประทบต่อการบริหารจัดการของหน่วยงานที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้อ แต่ที่น่าเศร้าคือ บัตรทองที่มีผู้ใช้บริการมากกว่า 48 ล้านคน ขณะนี้เหลืองบเพียง 7 ร้อยกว่าล้านเท่านั้น ซึ่งรพ.ที่รับสิทธิ์นี้ มีอย่างน้อย 91 รพ.ที่กำลังจะเข้าสู่ภาวะขาดสภาพคล่อง และมีโอกาสที่จะเกิดผลกระทบกับประชาชน ในขณะนี้งบปี 68 ต้องกล้าพูดความจริง ว่างบวอลเลทไม่ได้จบที่เค้นหางบมาให้ทันก้อนแรก แต่ต้องยาวไปถึงปี 68 ที่บวกลบคูณหารอย่างไร ก็ยังขาดงบที่จะทำให้วอลเลทสำเร็จบริบูรณ์อีก 1.1 แสนบ้าน ยังไม่รู้ไปหามาจากที่ไหน ในขณะที่ มีคนรอหมื่นบาทจากวอลเลทที่เปลี่ยนเป็นเงินสดเพราะรัฐบาลไม่มีปัญญาทำเป็นวอลเลทตามสัญญา หารู้ไม่ว่าความสำคัญเร่งด่วนอย่างบัตรทอง กำลังได้รับผลประทบอย่างรุนแรง เป็นการบริหารบ้านเมืองที่น่าเศร้าอย่างแท้จริง #คิงส์โพธิ์แดง
    Like
    Sad
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 346 มุมมอง 0 รีวิว
  • คณิตศาสตร์การเมือง สนามเลือกตั้งราชบุรี

    การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดราชบุรี เมื่อวันที่ 1 ก.ย. 2567 นายวิวัฒน์ นิติกาญจนา หรือกำนันตุ้ย อดีตนายก อบจ.ราชบุรี ได้ 242,297 คะแนน เอาชนะ นายชัยรัตน์ ศักดิ์อิสระพงศ์ หรือ หวุน ผู้สมัครจากพรรคประชาชน อดีตพรรคก้าวไกล ได้ 175,353 คะแนน ห่างกัน 66,944 คะแนน โดยมีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง 455,400 คน คิดเป็น 67.31% จากจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 676,526 คน มีบัตรดี 417,650 ใบ บัตรเสีย 16,500 ใบ และบัตรไม่เลือกผู้สมัครรายใด 21,250 ใบ คิดเป็น 4.67%

    เมื่อพิจารณาผลคะแนนเลือกตั้งแบบรายอำเภอทั้ง 10 อำเภอ พบว่านายชัยรัตน์มีคะแนนสูสีกับนายวิวัฒน์ในอำเภอเมืองราชบุรี นายชัยรัตน์ได้ 43,584 คะแนน นายวิวัฒน์ได้ 45,390 คะแนน ห่างกัน 1,806 คะแนน หรือ 3.98% และอำเภอสวนผึ้ง นายชัยรัตน์ได้ 7,468 คะแนน นายวิวัฒน์ได้ 8,027 คะแนน ห่างกัน 559 คะแนน หรือ 6.96% ส่วนอำเภอที่มีคะแนนห่างกันมากที่สุด คืออำเภอโพธาราม นายชัยรัตน์ได้ 27,833 คะแนน นายวิวัฒน์ได้ 46,354 คะแนน ห่างกัน 18,521 คะแนน หรือ 39.96%

    ถึงกระนั้น เมื่อเทียบกับผลการเลือกตั้งนายก อบจ.ราชบุรี เมื่อวันที่ 20 ธ.ค. 2563 หรือเมื่อ 4 ปีก่อน พบว่า นายวิวัฒน์ได้ 241,952 คะแนน เทียบกับการเลือกตั้งครั้งนี้ เพิ่มขึ้น 345 คะแนน ส่วนนางภรมน นรการกุมพล ผู้สมัครจากคณะก้าวหน้าของนายธนาธร ได้ 74,929 คะแนน เทียบกับการเลือกตั้งครั้งนี้ เพิ่มขึ้น 100,424 คะแนน อันดับสาม นายอรรถพงศ์ ห้องริ้ว ผู้สมัครกลุ่ม New Gen ที่พรรคเพื่อไทยให้การสนับสนุน ได้ 54,153 คะแนน

    เนื่องจากการเลือกตั้ง อบจ.ราชบุรีครั้งนี้ พรรคประชาชนและผู้สนับสนุนคนสำคัญลงพื้นที่ อาทิ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน และ สส.พรรคคนอื่นๆ รวมทั้งสื่อมวลชนให้พื้นที่ข่าวนายชัยรัตน์ เปรียบได้กับสนามการเมืองระดับชาติ แต่นายวิวัฒน์แทบไม่มีพื้นที่ข่าวบนหน้าสื่อมวลชนเลย จึงต้องพิจารณาสนามเลือกตั้ง สส.ราชบุรี เมื่อปี 2566 ที่ผ่านมา

    แม้เก้าอี้ สส.แบบแบ่งเขตจะเป็นของพรรคพลังประชารัฐ 3 ที่นั่ง และพรรครวมไทยสร้างชาติ 2 ที่นั่ง แต่คะแนนบัตรเลือกตั้ง สส.แบบบัญชีรายชื่อ (ปาร์ตี้ลิสต์) พบว่า พรรคก้าวไกลนำเป็นอันดับหนึ่ง รวม 5 เขตได้ไป 233,608 คะแนน ส่วนอันดับ 2 เป็นของพรรคเพื่อไทย แม้จะไม่ได้ สส. แต่ได้คะแนนปาร์ตี้ลิสต์มากถึง 102,757 คะแนน ส่วนพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ 90,598 คะแนน และพรรคพลังประชารัฐ ได้ 10,192 คะแนน เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว คะแนนพรรคก้าวไกลหายไป 58,255 คะแนน

    นักการเมืองในพื้นที่ราชบุรีวิเคราะห์กันว่า คะแนนนิยมของนายชัยรัตน์และพรรคประชาชนช่วงแรก โดยเฉพาะหลังยุบพรรคก้าวไกลคะแนนดีมาก ทำให้ตระกูลนิติกาญจนาหวั่นไหวพอสมควร แต่ถูกโจมตีจากการปราศรัยพาดพิงโรงเรียนและโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ขณะที่หลายกลุ่มการเมืองในราชบุรีช่วยกันจับมือช่วยนายวิวัฒน์สู้กับพรรคประชาชน หลังพรรคก้าวไกลแม้ไม่ได้ สส.เขต แต่ได้คะแนนปาร์ตี้ลิสต์อันดับหนึ่ง จึงช่วยกันสกัดไม่ให้พรรคประชาชนแจ้งเกิดการเมืองท้องถิ่นที่นี่

    #Newskit #อบจราชบุรี #เลือกตั้งราชบุรี
    คณิตศาสตร์การเมือง สนามเลือกตั้งราชบุรี การเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดราชบุรี เมื่อวันที่ 1 ก.ย. 2567 นายวิวัฒน์ นิติกาญจนา หรือกำนันตุ้ย อดีตนายก อบจ.ราชบุรี ได้ 242,297 คะแนน เอาชนะ นายชัยรัตน์ ศักดิ์อิสระพงศ์ หรือ หวุน ผู้สมัครจากพรรคประชาชน อดีตพรรคก้าวไกล ได้ 175,353 คะแนน ห่างกัน 66,944 คะแนน โดยมีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง 455,400 คน คิดเป็น 67.31% จากจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง 676,526 คน มีบัตรดี 417,650 ใบ บัตรเสีย 16,500 ใบ และบัตรไม่เลือกผู้สมัครรายใด 21,250 ใบ คิดเป็น 4.67% เมื่อพิจารณาผลคะแนนเลือกตั้งแบบรายอำเภอทั้ง 10 อำเภอ พบว่านายชัยรัตน์มีคะแนนสูสีกับนายวิวัฒน์ในอำเภอเมืองราชบุรี นายชัยรัตน์ได้ 43,584 คะแนน นายวิวัฒน์ได้ 45,390 คะแนน ห่างกัน 1,806 คะแนน หรือ 3.98% และอำเภอสวนผึ้ง นายชัยรัตน์ได้ 7,468 คะแนน นายวิวัฒน์ได้ 8,027 คะแนน ห่างกัน 559 คะแนน หรือ 6.96% ส่วนอำเภอที่มีคะแนนห่างกันมากที่สุด คืออำเภอโพธาราม นายชัยรัตน์ได้ 27,833 คะแนน นายวิวัฒน์ได้ 46,354 คะแนน ห่างกัน 18,521 คะแนน หรือ 39.96% ถึงกระนั้น เมื่อเทียบกับผลการเลือกตั้งนายก อบจ.ราชบุรี เมื่อวันที่ 20 ธ.ค. 2563 หรือเมื่อ 4 ปีก่อน พบว่า นายวิวัฒน์ได้ 241,952 คะแนน เทียบกับการเลือกตั้งครั้งนี้ เพิ่มขึ้น 345 คะแนน ส่วนนางภรมน นรการกุมพล ผู้สมัครจากคณะก้าวหน้าของนายธนาธร ได้ 74,929 คะแนน เทียบกับการเลือกตั้งครั้งนี้ เพิ่มขึ้น 100,424 คะแนน อันดับสาม นายอรรถพงศ์ ห้องริ้ว ผู้สมัครกลุ่ม New Gen ที่พรรคเพื่อไทยให้การสนับสนุน ได้ 54,153 คะแนน เนื่องจากการเลือกตั้ง อบจ.ราชบุรีครั้งนี้ พรรคประชาชนและผู้สนับสนุนคนสำคัญลงพื้นที่ อาทิ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน และ สส.พรรคคนอื่นๆ รวมทั้งสื่อมวลชนให้พื้นที่ข่าวนายชัยรัตน์ เปรียบได้กับสนามการเมืองระดับชาติ แต่นายวิวัฒน์แทบไม่มีพื้นที่ข่าวบนหน้าสื่อมวลชนเลย จึงต้องพิจารณาสนามเลือกตั้ง สส.ราชบุรี เมื่อปี 2566 ที่ผ่านมา แม้เก้าอี้ สส.แบบแบ่งเขตจะเป็นของพรรคพลังประชารัฐ 3 ที่นั่ง และพรรครวมไทยสร้างชาติ 2 ที่นั่ง แต่คะแนนบัตรเลือกตั้ง สส.แบบบัญชีรายชื่อ (ปาร์ตี้ลิสต์) พบว่า พรรคก้าวไกลนำเป็นอันดับหนึ่ง รวม 5 เขตได้ไป 233,608 คะแนน ส่วนอันดับ 2 เป็นของพรรคเพื่อไทย แม้จะไม่ได้ สส. แต่ได้คะแนนปาร์ตี้ลิสต์มากถึง 102,757 คะแนน ส่วนพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ 90,598 คะแนน และพรรคพลังประชารัฐ ได้ 10,192 คะแนน เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว คะแนนพรรคก้าวไกลหายไป 58,255 คะแนน นักการเมืองในพื้นที่ราชบุรีวิเคราะห์กันว่า คะแนนนิยมของนายชัยรัตน์และพรรคประชาชนช่วงแรก โดยเฉพาะหลังยุบพรรคก้าวไกลคะแนนดีมาก ทำให้ตระกูลนิติกาญจนาหวั่นไหวพอสมควร แต่ถูกโจมตีจากการปราศรัยพาดพิงโรงเรียนและโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) ขณะที่หลายกลุ่มการเมืองในราชบุรีช่วยกันจับมือช่วยนายวิวัฒน์สู้กับพรรคประชาชน หลังพรรคก้าวไกลแม้ไม่ได้ สส.เขต แต่ได้คะแนนปาร์ตี้ลิสต์อันดับหนึ่ง จึงช่วยกันสกัดไม่ให้พรรคประชาชนแจ้งเกิดการเมืองท้องถิ่นที่นี่ #Newskit #อบจราชบุรี #เลือกตั้งราชบุรี
    Like
    3
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 437 มุมมอง 0 รีวิว
  • จากคำว่า มาตรฐานจริยธรรมกรณีนายกนิดถูกถอด
    กลายเป็นความยากลำบากที่โทนี่และพรรคร่วม
    ต้องขอยืดเวลาตั้งรบ.โดยส่งชื่อให้ตรวจสอบก่อนแต่งตั้ง
    ว่าคลีนพอไหม
    #ปรากฏว่าระหว่างการแถลงข่าวของเสรีพิศุทธิ์
    เพื่อแบล็คเมลหวังได้เก้าอี้มาคุมตร.
    ซึ่งในระหว่างที่ให้สัมภาษณ์กับรายการวิเคราะห์ข่าวชื่อดัง
    เสรี ได้รำเลิกบุญคุณที่มีให้กับโทนี่และพรรคเพื่อไทยมามากมาย
    แต่สิ่งที่ด้วยความชรา ทำให้มันส์ปาก
    ลั่นว่า ขณะที่ตัวเองเป็นประธานคณะกรรมาธิการ
    มีสส.เพื่อไทยหลายคนที่มาขอความช่วยเหลือ
    และหนึ่งในนั้น ทำผิดกฏหมายด้วย ไอ่เราก็ช่วย
    ด้วยการยื้อค-ดีไปให้หมดอายุความ
    มันถึงได้รอดไง ฮ่าๆๆๆ
    เล่าสนุกด้วยความลำพองใจ
    ชัดเจน ไม่ต้องหมุนเสา
    เพียงแค่นี้ ก็เป็นการ ตอกฝา-โ-ล-ง ว่าชายชรา
    ที่ชื่อเสรีพิศุทธิ์ หมดสิทธิ์การนั่งตำแหน่งใดๆ
    ถือว่าเป็นผู้กระทำผิดจริยธรรมร้ายแรง
    ประพฤติมิชอบในขณะดำรงค์ตำแหน่งกรรมาธิการ
    พวกนี้ดีนะ ไม่ต้องให้ใครทำ ทำตัวเองล้วนๆ
    ลาก่อน ไอ่เฒ่า
    #คิงส์โพธิ์แดง
    จากคำว่า มาตรฐานจริยธรรมกรณีนายกนิดถูกถอด กลายเป็นความยากลำบากที่โทนี่และพรรคร่วม ต้องขอยืดเวลาตั้งรบ.โดยส่งชื่อให้ตรวจสอบก่อนแต่งตั้ง ว่าคลีนพอไหม #ปรากฏว่าระหว่างการแถลงข่าวของเสรีพิศุทธิ์ เพื่อแบล็คเมลหวังได้เก้าอี้มาคุมตร. ซึ่งในระหว่างที่ให้สัมภาษณ์กับรายการวิเคราะห์ข่าวชื่อดัง เสรี ได้รำเลิกบุญคุณที่มีให้กับโทนี่และพรรคเพื่อไทยมามากมาย แต่สิ่งที่ด้วยความชรา ทำให้มันส์ปาก ลั่นว่า ขณะที่ตัวเองเป็นประธานคณะกรรมาธิการ มีสส.เพื่อไทยหลายคนที่มาขอความช่วยเหลือ และหนึ่งในนั้น ทำผิดกฏหมายด้วย ไอ่เราก็ช่วย ด้วยการยื้อค-ดีไปให้หมดอายุความ มันถึงได้รอดไง ฮ่าๆๆๆ เล่าสนุกด้วยความลำพองใจ ชัดเจน ไม่ต้องหมุนเสา เพียงแค่นี้ ก็เป็นการ ตอกฝา-โ-ล-ง ว่าชายชรา ที่ชื่อเสรีพิศุทธิ์ หมดสิทธิ์การนั่งตำแหน่งใดๆ ถือว่าเป็นผู้กระทำผิดจริยธรรมร้ายแรง ประพฤติมิชอบในขณะดำรงค์ตำแหน่งกรรมาธิการ พวกนี้ดีนะ ไม่ต้องให้ใครทำ ทำตัวเองล้วนๆ ลาก่อน ไอ่เฒ่า #คิงส์โพธิ์แดง
    Like
    Haha
    4
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 371 มุมมอง 0 รีวิว
  • #อยากเบิกเนตรให้คนอีกจำนวนไม่น้อย
    ที่ยังสะละมึนกับละครฉายซ้ำ
    ยังนั่งเชียร์เย้วๆว่า นี่แหละวีระบุรุษนาแกคือคนที่จำคว่ำโทนี่ได้
    คนกลุ่มนี้คือคนที่ไม่เคยติดตามข่าวสารการเมืองจริงจัง
    โดยรอบนี้พี่คิงส์จะไม่เอาข้อมูลเก่าที่เคยนำเสนอไปแล้ว
    มาเล่าซ้ำ เอาบทสัมภาษณ์สดๆร้อนๆเมื่อห้าโมงเย็นที่ผ่านมานี่แหละ
    อ่านแล้ววิเคราะห์เอาเอง ตาจะได้สว่าง
    พี่คิงส์โพธิ์แดงย้ำว่า อาเจนด้าของเพจนี้คือการยืนอยู่บนความถูกต้อง
    เปิดเผยความจริงในด้านที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้
    และปกป้องสถาบันที่เรารักไม่ให้ถูกบิดเบือน ให้ร้าย
    ดังนั้น เพจนี้จึงไม่ได้ต้องเชียร์พรรคใดพรรคหนึ่ง
    และก็ไม่ได้ต้องโจม ตี พรรคใดพรรคหนึ่ง
    ว่ากันเป็นเรื่องๆ ยกเว้นพรรคส้มเน่า มันมีแกนแนวคิด
    ที่ล้มล้างการปกครอง จึงไม่มีความดีใดๆให้สรรเสริญ
    พี่คิงส์ฯเชื่อว่า หลายคนงงๆ และยังไม่ชินเพราะปกติ เพจต้องสร้างมาเพื่อเชียร์ฝั่งนึง และเล่นงานอีกฝั่งนึง พอพี่คิงส์เอาความจริงที่ฝั่งตัวเองเชียร์ทำไม่ดีมาเปิด ก็จะผลักพี่คิงส์ไปอีกฝั่งทันที ทรวยเหอะ เรื่องของเมิง ไอ่พวกนี้ไม่ให้ราคา เพราะพี่คิงส์เชื่อว่าคนที่คอเดียวกันมีเยอะ
    ว่ากันต่อเรื่องบทสัมภาษณ์
    นักข่าวได้ซักถาม กรณีที่แถลงข่าวไปเมื่อวาน คำถามเช่น
    ไปคุยอะไรชั้น 14
    หลักฐานที่มีคว่ำโทนี่ได้เลยมั๊ย
    รอบนี้สู้จริงหรือเปล่า
    แต่คำตอบที่ได้ที่พี่คิงส์จะจับประเด็นให้เข้าใจง่ายๆคือ
    1. โทนี่พูดเสมอว่า "ผมเป็นหนี้บุญคุณพี่เสรีเยอะมาก" และโทนี่โทรไปให้ช่วยโหวตอิ๊งเป็นนายก แต่พอคุยกับภูมิธรรม ว่าตัวเองอยากได้รองนายกและคุมความมั่นคงคุมตำรวจทั่วปรปะเทศ เพราะคุณสมบัติของตัวเองเหมาะสมที่สุด แต่โทนี่จะตั้งอิ๊งคุมความมั่นคง โดยตัวเองนี่แหละจะดูเอง
    2. ประเด็นที่สองคือ เมื่อรู้ว่าตัวเองขอแล้วไม่ได้ ก็เลยทำเอกสารขู่ยื่นโนติสว่าพรรคตัวเองที่มีสส.คนเดียว จะถอนตัวนะ และเริ่มให้ข่าวกับสื่อว่า จะแถลงแต่แล้วโทนี่ก็ไม่โทรมาง้อ
    3. ที่แถลงข่าว แต่แถลงครึ่งๆกลางๆ อ้างว่าบอกนักข่าวได้แค่บางส่วน นักข่าวถามว่ามีข่าวว่า เพื่อไทยติดต่อมาจะให้ตำแหน่งที่ต้องการ ก็ตอบด้วยความน้อยใจว่า ยัง ยังไม่มี
    4. ยกตัวเองว่า เสรีนี่แหละคือตำรวจที่ดีและเหมาะสมที่สุด คุณสมบัติของเสรี เป็นนายกยังเก่งว่าโทนี่ด้วยซ้ำ ถ้าเอาตัวเองไปคุมตำรวจ ก็จะทำให้คนไทยทั้งประเทศเจริญ เป็นผลงานของพรรคเพื่อไทย
    5. ตำรวจทั่วประเทศต้องปฏิรูป ตร.ชั้นประทวนจบม.หกมาเป็น ได้ยังไง กระจอก ชั้นสัญญาบัตรจบแค่ป.ตรี เป็นได้ไง
    6. เสรี มีบุญคุณกับเพื่อไทยมากมาย นอกเหนือจากที่โทนี่นัดไปคุยชั้น 14 ขอให้ถอนเรื่องร้องเรียน นายกนิดเรื่องแต่งตั้งผบตร. ก็ยังทำให้เพื่อไทยได้ส.ส.เป็นสิบที่นั่ง โดยแจงละเอียดว่า สส.เพื่อไทยคนไหนมาให้ช่วย ตัวเองก็จะหาช่องทางกฏหมายเล่นงาน จนต้องถอนตัวบ้าง บางคนยังมีค-ดีถึงวันนี้ไม่จบไม่สิ้น หนึ่งในนั้นคือสหายแสง บางคนเป็นผู้ลงสมัครสส.เพื่อไทย แต่ทำผิด ตัวเองก็ดึงเวลาให้หมดอายุความ นี่ก็บุญคุณขนาดไหน
    7. เสรีโยนความผิดว่า อิ๊งน่าจะได้รับสารที่ตัวเองส่งไป ที่ไปโนติสว่าไม่ให้ตำแหน่งจะไปเป็นฝ่ายค้านนั้น ก็เพื่อไทย ให้เด็กเป็นผู้นำ เลยไม่ได้เรื่อง เรื่องสำคัญขนาดเรื่องของเสรี จะต้องจัดการยังไง ไม่ใช่เงียบแบบนี้
    สรุปว่า ณ นาทีนี้ วีรบุรุษหน้าแก่ ก็ยังคงรอสัญญาณมือถือจากโทนี่
    ยังมีความหวังว่าจะได้คุมความมั่นคงและตำรวจทั่วประเทศจนได้
    และทิ้งท้ายก็ยังปล่อยหมัดเด็ดอีกว่า
    ถ้าเปิดหลักฐาน ราชทันฑ์ รพ.มีเข้าตารางแน่นอน
    อ่านบทสัมภาษณ์มาทั้งหมดแล้ว คงเข้าใจและเบิกเนตรใครได้อีกหลายคน
    เข้าใจซักทีว่าทำไม เพจคิงส์โพธิ์แดงถึงไม่เคยเชื่อใจ
    ไอ่เฒ่านี้เลย นี่ไม่ได้เล่าความเดิมตอนที่แล้วเลยแม้แต่น้อย
    เอาของปัจจุบันวันนี้นี่แหละ คนที่มีสติปัญญา สว่างวาบทันที
    ดังนั้น...ตั้งสติกันหน่อย ไม่ใช่เห็นใครแสดงขึงขัง แ-ฉ เพื่อชาติ
    แล้วจะเฮโลไปเชียร์ เจอไอ่ตั้ม สุรเชษฐ์ แล้วเป็นไงกันหละ
    ทัวร์เลี้ยวกลับกันแทบไม่ทัน ไอ่ฉัด
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #อยากเบิกเนตรให้คนอีกจำนวนไม่น้อย ที่ยังสะละมึนกับละครฉายซ้ำ ยังนั่งเชียร์เย้วๆว่า นี่แหละวีระบุรุษนาแกคือคนที่จำคว่ำโทนี่ได้ คนกลุ่มนี้คือคนที่ไม่เคยติดตามข่าวสารการเมืองจริงจัง โดยรอบนี้พี่คิงส์จะไม่เอาข้อมูลเก่าที่เคยนำเสนอไปแล้ว มาเล่าซ้ำ เอาบทสัมภาษณ์สดๆร้อนๆเมื่อห้าโมงเย็นที่ผ่านมานี่แหละ อ่านแล้ววิเคราะห์เอาเอง ตาจะได้สว่าง พี่คิงส์โพธิ์แดงย้ำว่า อาเจนด้าของเพจนี้คือการยืนอยู่บนความถูกต้อง เปิดเผยความจริงในด้านที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้ และปกป้องสถาบันที่เรารักไม่ให้ถูกบิดเบือน ให้ร้าย ดังนั้น เพจนี้จึงไม่ได้ต้องเชียร์พรรคใดพรรคหนึ่ง และก็ไม่ได้ต้องโจม ตี พรรคใดพรรคหนึ่ง ว่ากันเป็นเรื่องๆ ยกเว้นพรรคส้มเน่า มันมีแกนแนวคิด ที่ล้มล้างการปกครอง จึงไม่มีความดีใดๆให้สรรเสริญ พี่คิงส์ฯเชื่อว่า หลายคนงงๆ และยังไม่ชินเพราะปกติ เพจต้องสร้างมาเพื่อเชียร์ฝั่งนึง และเล่นงานอีกฝั่งนึง พอพี่คิงส์เอาความจริงที่ฝั่งตัวเองเชียร์ทำไม่ดีมาเปิด ก็จะผลักพี่คิงส์ไปอีกฝั่งทันที ทรวยเหอะ เรื่องของเมิง ไอ่พวกนี้ไม่ให้ราคา เพราะพี่คิงส์เชื่อว่าคนที่คอเดียวกันมีเยอะ ว่ากันต่อเรื่องบทสัมภาษณ์ นักข่าวได้ซักถาม กรณีที่แถลงข่าวไปเมื่อวาน คำถามเช่น ไปคุยอะไรชั้น 14 หลักฐานที่มีคว่ำโทนี่ได้เลยมั๊ย รอบนี้สู้จริงหรือเปล่า แต่คำตอบที่ได้ที่พี่คิงส์จะจับประเด็นให้เข้าใจง่ายๆคือ 1. โทนี่พูดเสมอว่า "ผมเป็นหนี้บุญคุณพี่เสรีเยอะมาก" และโทนี่โทรไปให้ช่วยโหวตอิ๊งเป็นนายก แต่พอคุยกับภูมิธรรม ว่าตัวเองอยากได้รองนายกและคุมความมั่นคงคุมตำรวจทั่วปรปะเทศ เพราะคุณสมบัติของตัวเองเหมาะสมที่สุด แต่โทนี่จะตั้งอิ๊งคุมความมั่นคง โดยตัวเองนี่แหละจะดูเอง 2. ประเด็นที่สองคือ เมื่อรู้ว่าตัวเองขอแล้วไม่ได้ ก็เลยทำเอกสารขู่ยื่นโนติสว่าพรรคตัวเองที่มีสส.คนเดียว จะถอนตัวนะ และเริ่มให้ข่าวกับสื่อว่า จะแถลงแต่แล้วโทนี่ก็ไม่โทรมาง้อ 3. ที่แถลงข่าว แต่แถลงครึ่งๆกลางๆ อ้างว่าบอกนักข่าวได้แค่บางส่วน นักข่าวถามว่ามีข่าวว่า เพื่อไทยติดต่อมาจะให้ตำแหน่งที่ต้องการ ก็ตอบด้วยความน้อยใจว่า ยัง ยังไม่มี 4. ยกตัวเองว่า เสรีนี่แหละคือตำรวจที่ดีและเหมาะสมที่สุด คุณสมบัติของเสรี เป็นนายกยังเก่งว่าโทนี่ด้วยซ้ำ ถ้าเอาตัวเองไปคุมตำรวจ ก็จะทำให้คนไทยทั้งประเทศเจริญ เป็นผลงานของพรรคเพื่อไทย 5. ตำรวจทั่วประเทศต้องปฏิรูป ตร.ชั้นประทวนจบม.หกมาเป็น ได้ยังไง กระจอก ชั้นสัญญาบัตรจบแค่ป.ตรี เป็นได้ไง 6. เสรี มีบุญคุณกับเพื่อไทยมากมาย นอกเหนือจากที่โทนี่นัดไปคุยชั้น 14 ขอให้ถอนเรื่องร้องเรียน นายกนิดเรื่องแต่งตั้งผบตร. ก็ยังทำให้เพื่อไทยได้ส.ส.เป็นสิบที่นั่ง โดยแจงละเอียดว่า สส.เพื่อไทยคนไหนมาให้ช่วย ตัวเองก็จะหาช่องทางกฏหมายเล่นงาน จนต้องถอนตัวบ้าง บางคนยังมีค-ดีถึงวันนี้ไม่จบไม่สิ้น หนึ่งในนั้นคือสหายแสง บางคนเป็นผู้ลงสมัครสส.เพื่อไทย แต่ทำผิด ตัวเองก็ดึงเวลาให้หมดอายุความ นี่ก็บุญคุณขนาดไหน 7. เสรีโยนความผิดว่า อิ๊งน่าจะได้รับสารที่ตัวเองส่งไป ที่ไปโนติสว่าไม่ให้ตำแหน่งจะไปเป็นฝ่ายค้านนั้น ก็เพื่อไทย ให้เด็กเป็นผู้นำ เลยไม่ได้เรื่อง เรื่องสำคัญขนาดเรื่องของเสรี จะต้องจัดการยังไง ไม่ใช่เงียบแบบนี้ สรุปว่า ณ นาทีนี้ วีรบุรุษหน้าแก่ ก็ยังคงรอสัญญาณมือถือจากโทนี่ ยังมีความหวังว่าจะได้คุมความมั่นคงและตำรวจทั่วประเทศจนได้ และทิ้งท้ายก็ยังปล่อยหมัดเด็ดอีกว่า ถ้าเปิดหลักฐาน ราชทันฑ์ รพ.มีเข้าตารางแน่นอน อ่านบทสัมภาษณ์มาทั้งหมดแล้ว คงเข้าใจและเบิกเนตรใครได้อีกหลายคน เข้าใจซักทีว่าทำไม เพจคิงส์โพธิ์แดงถึงไม่เคยเชื่อใจ ไอ่เฒ่านี้เลย นี่ไม่ได้เล่าความเดิมตอนที่แล้วเลยแม้แต่น้อย เอาของปัจจุบันวันนี้นี่แหละ คนที่มีสติปัญญา สว่างวาบทันที ดังนั้น...ตั้งสติกันหน่อย ไม่ใช่เห็นใครแสดงขึงขัง แ-ฉ เพื่อชาติ แล้วจะเฮโลไปเชียร์ เจอไอ่ตั้ม สุรเชษฐ์ แล้วเป็นไงกันหละ ทัวร์เลี้ยวกลับกันแทบไม่ทัน ไอ่ฉัด #คิงส์โพธิ์แดง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 481 มุมมอง 0 รีวิว
  • ชวนกรีดดีลฟ้า-แดง "คนรุ่นใหม่หาประโยชน์"

    การประชุมคณะกรรมการบริหารและ สส. พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ที่จะมีขึ้นในวันที่ 29 ส.ค. มีเพียงวาระเดียว คือการเข้าร่วมรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร จากพรรคเพื่อไทย (พท.) ตามที่นายสรวงศ์ เทียนทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ยื่นหนังสือเชิญแก่นายเดชอิศม์ ขาวทอง สส.สงขลา และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ท่ามกลางกระแสข่าวเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า มีความพยายามร่วมรัฐบาลของนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โดยมีเก้าอี้ 1 รัฐมนตรี และ 1 รัฐมนตรีช่วยรออยู่

    เป็นที่ทราบกันดีว่า พรรคประชาธิปัตย์ กับพรรคการเมืองของนายทักษิณ ชินวัตร ต่อสู้ทางการเมืองมานานกว่า 23 ปี ตั้งแต่พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อไทย ผ่านความขัดแย้งทั้งในสภาและนอกสภาในการชุมนุมกลุ่ม กปปส.

    แต่สัญญาณในการเข้าร่วมรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์ เริ่มต้นมาตั้งแต่ปีที่แล้ว (2566) นายเดชอิศม์เดินทางไปพบนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ฮ่องกง ก่อนที่นายทักษิณกลับมารับโทษที่ประเทศไทย ทีแรกปฎิเสธไม่พูดถึง ตอนหลังยอมรับไปเจอกันจริง และเห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์ควรร่วมรัฐบาลเพื่อผลักดันนโยบายพรรค กระทั่งการโหวตเลือกนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี พบว่ามี สส.ปชป. 16 คน นำโดยนายเดชอิศม์ โหวตสวนมติพรรค หนุนนายเศรษฐาเป็นนายกรัฐมนตรี

    แต่ในการโหวตเลือก น.ส.แพทองธาร ครั้งล่าสุด สส.ปชป. 25 คน งดออกเสียง ตามมติพรรคที่ออกมาก่อนหน้านี้ แต่ทั้งนี้ สส.ปชป. กลุ่มนายเฉลิมชัย 21 คน สนใจที่จะเข้าร่วมรัฐบาลพรรคเพื่อไทยอยู่แล้ว มีเพียง 4 สส. ที่ไม่ยอม ได้แก่ นายชวน หลีกภัย นายบัญญัติ บรรทัดฐาน นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ สส.บัญชีรายชื่อ และนายสรรเพชร บุญญามณี สส.สงขลา แต่ก็ไม่อาจต้านทานกลุ่มนายเฉลิมชัยซึ่งเป็นเสียงข้างมากได้

    นายเดชอิศม์ อ้างว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่มีความขัดแย้ง มีแต่ความรัก ความเข้าใจ และการให้อภัยกัน ต้องเข้าใจว่าเหตุการณ์เมื่อ 20-30 ปีที่ผ่านมา กับปัจจุบันไม่เหมือนกัน ปัญหาของประเทศ แนวคิด การพัฒนาประเทศ ไม่เหมือนกัน ดังนั้น พอถึงเวลาที่เราพูดคุยกันได้ ที่เรารักกัน เป็นสิ่งที่ดีงาม ส่วนที่นายชวนคัดค้านนั้น ก่อนหน้านี้อาจมีความคิดเห็นเป็นสองฝ่าย แต่เมื่อมีมติของพรรคก็ต้องปฏิบัติตาม จากนี้ถ้ามีคนในพรรคโหวตแตกต่างจากมติของพรรคคงทำเช่นนั้นไม่ได้

    ส่วนนายสรวงศ์ กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยได้พูดคุยกับนายเฉลิมชัยและนายเดชอิศม์ เมื่อวันที่ 27 ส.ค. ว่าจะยื่นหนังสืออย่างเป็นทางการให้กับพรรคประชาธิปัตย์ ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการบริหารประเทศ และเป็นรัฐบาลร่วมกัน ส่วนโควตารัฐมนตรีเป็นเรื่องของนายกรัฐมนตรีตนไม่ขอก้าวล่วง ส่วนความขัดแย้งระหว่างสองพรรค เมื่อก่อนก็คือเมื่อก่อน แต่ปัจจุบันมั่นใจว่าในสภาฯ ทุกคน มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือ ทำให้ประชาชนและประเทศชาติไปได้ด้วยดี

    "ไม่มี สส.พรรคเพื่อไทยคัดค้าน ขอให้นำคำสัมภาษณ์ของนายเดชอิศม์เป็นที่ตั้ง ว่าประเทศชาติต้องเดินหน้าต่อ ทุกอย่างผ่านไปแล้ว ประเทศชาติต้องเดินหน้าต่อ พรรคของพวกเราร่วมต่อสู้กันมานาน แต่วันนี้มาถึงคนรุ่นใหม่ ที่มาดูแลพรรค ส่วนอุดมการณ์ทางการเมือง ก็เป็นเรื่องของอุดมการณ์ ส่วนแนวทางการทำงานเราไปด้วยกันได้แน่นอน"

    นายสรวงศ์ กล่าวว่า ในอดีตอุดมการณ์ทางการเมืองของเพื่อไทย และประชาธิปัตย์ ไม่เหมือนกันเลย แต่วันนี้คนรุ่นใหม่เข้ามาบริหารพรรค หัวหน้าทั้ง 2 พรรค รวมถึงเลขาฯ และสมาชิกพรรคทุกคน มุ่งหน้าไปในทิศทางเดียวกันว่า ปัญหาชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ต้องได้รับการแก้ไขให้ดีขึ้น เพราะประเทศชาติถอยหลังไปมาก ดังนั้น จึงถึงเวลาแล้วที่จะต้องเดินหน้าร่วมกัน อะไรไม่เข้าใจกันหรือความขัดแย้งต้องทิ้งไว้ข้างหลัง

    ส่วนข้อกล่าวหาว่า พรรคเพื่อไทยตระบัดสัตย์นั้น นายสรวงศ์ กล่าวว่า คำนี้ฮิตเหลือเกิน ก็แล้วแต่ ทุกอย่างมองกันที่ผลงาน ต่อจากนี้ไปอีก 3 ปี ตนขออย่างเดียวให้โอกาสนายกฯ และ ครม.ชุดใหม่ได้ทำงาน ถ้าทำอะไรผิด หรือไม่ดีค่อยร้องเรียน ไม่ใช่ออกมาพูดเพียงอย่างเดียว ขอให้ดูที่ผลงาน ส่วนที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ยื่นร้องเรียนกรณีซุกหุ้นของ น.ส.แพทองธาร มีทีมกฎหมายดูอยู่แล้ว และคิดว่าจะไม่เป็นประเด็น

    อย่างไรก็ตาม นายชวน หลีกภัย สส.บัญชีรายชื่อ และอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ส่วนตัวขอยืนยันในจุดยืนเดิม ไม่เห็นด้วยกับการเข้าร่วมรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ที่มีตั้งแต่วันแรกที่การตั้งรัฐบาลชุด ของนายเศรษฐา ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เพราะไม่สามารถทรยศประชาชนได้ ซึ่งตนเป็นคนขอร้องประชาชนไม่ให้เลือกพรรคไทยรักไทย พรรคเพื่อไทย ไม่ใช่เพราะความขัดแย้งส่วนตัว แต่เป็นเพราะพรรคเหล่านั้น ประกาศชัดเจนที่จะพัฒนาจังหวัดที่เลือกเขาก่อน ส่วนจังหวัดอื่นไว้ทีหลัง

    "วิธีเหล่านี้เราไม่เคยเห็นมาก่อน นับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองมา 90 ปี ไม่เคยมีรัฐบาลชุดไหน ไม่ว่าจะมาจากการเลือกตั้ง หรือมาจากการยึดอำนาจ ยิ่งพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล จะให้ความเป็นธรรมกับทุกภาคอย่างยุติธรรม โดยไม่สนใจว่าใครจะเลือกใครเป็นรัฐบาล แต่จัดการบ้านเมืองด้วยความเป็นธรรม"

    "ต้องยอมรับว่าเรื่องการเลือกปฏิบัติ ผมต่อสู้มาเพียงลำพัง ด้วยการขอว่าอย่าเลือกเขานะ ไม่ได้ไปกลั่นแกล้งหรือทำร้ายอย่างที่ นายราเมศ รัตนะเชวง อดีดโฆษกพรรคฯ เคยถูกกระทำ ทำให้เขาได้รับเลือกน้อยมาก ไม่มี สส.ภาคใต้แม้แต่คนเดียว ซึ่งเป็นผลมาจากที่ผมรณรงค์ แล้ววันหนึ่งจะมาบอกให้ผมสนับสนุนพรรคที่ผมบอกว่าอย่าเลือก มันชัดเจนว่าเป็นการทรยศชาวบ้านผมทำไม่ได้ จึงขอยืนยันว่า แม้เปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี แต่จุดยืนผมยังเหมือนเดิม"

    นายชวนกล่าวอีกว่า มติของพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ใช่การเห็นด้วย เพราะมีการติดต่อกันแล้ว ที่มาถามว่า เขามาเชิญ ความจริง ตนคิดว่าคนของเราไปติดต่อเขาก่อนเขาเชิญ หรือสงสัยว่าไปขอให้เขามาเชิญด้วยซ้ำ แต่ตามมารยาท ก็มาเชิญด้วยวิธีนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะก่อนหน้าที่จะมีหนังสือเชิญ คนของเราบางคนก็ไปประสานติดต่อ จึงถูกสื่อมวลชนเรียกว่า พรรคอีแอบ พรรครอเสียบ จึงอยากขออย่าเรียกพรรคประชาธิปัตย์ แบบนี้ เพราะเป็นพฤติกรรมของคนส่วนหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่คนส่วนใหญ่

    "การเรียกแบบนี้ทำให้พรรคเสื่อมเสีย ตนอยากปกป้องเกียรติภูมิของพรรค เราไม่ใช่พรรคเฉพาะกิจ ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อให้คนใดคนหนึ่งได้เป็นนายกฯ อยู่สัก 1-2 สมัยแล้วล้มไป แต่พรรคประชาธิปัตย์ อยู่มาเกือบ 80 ปี ปฏิบัติตามอุดมการณ์ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ยึดมั่นหลักประชาธิปไตยมาอย่างยาวนาน ไม่อยากให้เสื่อมเสียด้วยการกระทำของ กก.บห.พรรคชุดปัจจุบัน"

    "ยอมรับว่าผมเป็นเสียงข้างน้อยในพรรคฯ ที่ชัดเจนตั้งแต่มีการลงมติเลือกนายเศรษฐาเป็นนายกฯ และผมได้หารือกับนายบัญญัติ นายจุรินทร์ และนายสรรเพชญ ว่าอย่างน้อย 4 คน จะยังคงยืนยันในจุดยืนเดิม แต่ไม่ว่ามติของพรรคฯเป็นอย่างไร ก็พร้อมจะเคารพ เพียงแต่ไม่เห็นด้วยที่จะร่วมกับพรรคการเมืองที่เคยกลั่นแกล้งประชาชน และเชื่อว่าการตัดสินใจร่วมรัฐบาลในครั้งนี้ จะส่งผลต่อฐานเสียงภาคใต้ไม่น้อย"

    เมื่อถามว่าคนรุ่นใหม่มองว่าหมดยุคของนายชวนแล้ว นายชวน กล่าวว่า มันไม่มีกำหนดอายุ มีคนคิดเหมือนกันว่าตนเป็นขวากหนามของเขา ทำให้ไปร่วมรัฐบาลไม่ได้ จึงพยายามพูดว่าหมดยุคของผู้อาวุโส แต่ในความจริงแล้ว ตนเป็นผู้สร้างมากกว่าผู้ทำลาย และคนที่พูดเหล่านั้นอาศัยบารมีพรรค ที่พวกตนทำเอาไว้ แต่คนเหล่านั้นยังไม่เคยทำอะไรที่เป็นประโยชน์กับพรรคเลย เพียงแต่อาศัยชื่อพรรคเพื่อเข้ามาเป็นนักการเมือง ตนก็เคยได้ยินเรื่องนี้แต่ไม่ได้โกรธ แม้กระทั่ง เรื่องที่จะขับพ้นออกจากพรรค ก็มาดูว่าใครเป็นคนพูด พอทราบก็เข้าใจเพราะเขาก็เพิ่งเข้าพรรคมาอาศัยบารมีของพรรคที่คนรุ่นก่อนเขาสะสมสร้างมา นายเฉลิมชัย เป็นหัวหน้าพรรคฯ คนที่ 9 ยังไม่ได้สร้างความน่าเชื่อถือให้พรรคฯเท่ากับรุ่นก่อน

    "ดังนั้น ใครที่คิดจะปลดต้องดูกฎหมาย ซึ่งไม่ได้กำหนดอายุ ผมยังคงทำหน้าที่ของตัวเองอยู่ ผมกลายเป็นคนหัวคัดค้าน ทั้งที่มีหลายคนไม่เห็นด้วย แต่เขาไม่อยากเปลืองตัว เป็นการกระทำของคนบางกลุ่ม ทำให้คนทั่วไปยังเข้าใจว่า ประชาธิปัตย์ยังพอใช้ได้อยู่ เพียงแต่คนบางกลุ่มเท่านั้นที่เข้ามาใช้ตำแหน่งในพรรคเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ของตัวเอง ซึ่งคนกลุ่มนั้นไม่รู้ว่าจะทำยังไงกับผม จนพยายามจะบอกว่าขัดแย้งมาแล้ว 20 ปี จึงอยากถามว่าขัดแย้งเรื่องอะไร ไม่ได้ทะเลาะเพื่อประโยชน์ส่วนตัวกัน แต่เป็นเรื่องของประชาชน"

    เมื่อถามว่านายชวนจะลงสู้ศึกเลือกตั้งครั้งหน้าหรือไม่ นายชวน กล่าวว่า ไม่สามารถยืนยันชัดเจนได้ เพราะไม่อยากพูดอะไรไปล่วงหน้า

    #Newskit #พรรคประชาธิปัตย์ #รัฐบาลแพทองธาร
    ชวนกรีดดีลฟ้า-แดง "คนรุ่นใหม่หาประโยชน์" การประชุมคณะกรรมการบริหารและ สส. พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ที่จะมีขึ้นในวันที่ 29 ส.ค. มีเพียงวาระเดียว คือการเข้าร่วมรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร จากพรรคเพื่อไทย (พท.) ตามที่นายสรวงศ์ เทียนทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ยื่นหนังสือเชิญแก่นายเดชอิศม์ ขาวทอง สส.สงขลา และเลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ ท่ามกลางกระแสข่าวเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า มีความพยายามร่วมรัฐบาลของนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โดยมีเก้าอี้ 1 รัฐมนตรี และ 1 รัฐมนตรีช่วยรออยู่ เป็นที่ทราบกันดีว่า พรรคประชาธิปัตย์ กับพรรคการเมืองของนายทักษิณ ชินวัตร ต่อสู้ทางการเมืองมานานกว่า 23 ปี ตั้งแต่พรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน และพรรคเพื่อไทย ผ่านความขัดแย้งทั้งในสภาและนอกสภาในการชุมนุมกลุ่ม กปปส. แต่สัญญาณในการเข้าร่วมรัฐบาลของพรรคประชาธิปัตย์ เริ่มต้นมาตั้งแต่ปีที่แล้ว (2566) นายเดชอิศม์เดินทางไปพบนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ฮ่องกง ก่อนที่นายทักษิณกลับมารับโทษที่ประเทศไทย ทีแรกปฎิเสธไม่พูดถึง ตอนหลังยอมรับไปเจอกันจริง และเห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์ควรร่วมรัฐบาลเพื่อผลักดันนโยบายพรรค กระทั่งการโหวตเลือกนายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี พบว่ามี สส.ปชป. 16 คน นำโดยนายเดชอิศม์ โหวตสวนมติพรรค หนุนนายเศรษฐาเป็นนายกรัฐมนตรี แต่ในการโหวตเลือก น.ส.แพทองธาร ครั้งล่าสุด สส.ปชป. 25 คน งดออกเสียง ตามมติพรรคที่ออกมาก่อนหน้านี้ แต่ทั้งนี้ สส.ปชป. กลุ่มนายเฉลิมชัย 21 คน สนใจที่จะเข้าร่วมรัฐบาลพรรคเพื่อไทยอยู่แล้ว มีเพียง 4 สส. ที่ไม่ยอม ได้แก่ นายชวน หลีกภัย นายบัญญัติ บรรทัดฐาน นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ สส.บัญชีรายชื่อ และนายสรรเพชร บุญญามณี สส.สงขลา แต่ก็ไม่อาจต้านทานกลุ่มนายเฉลิมชัยซึ่งเป็นเสียงข้างมากได้ นายเดชอิศม์ อ้างว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่มีความขัดแย้ง มีแต่ความรัก ความเข้าใจ และการให้อภัยกัน ต้องเข้าใจว่าเหตุการณ์เมื่อ 20-30 ปีที่ผ่านมา กับปัจจุบันไม่เหมือนกัน ปัญหาของประเทศ แนวคิด การพัฒนาประเทศ ไม่เหมือนกัน ดังนั้น พอถึงเวลาที่เราพูดคุยกันได้ ที่เรารักกัน เป็นสิ่งที่ดีงาม ส่วนที่นายชวนคัดค้านนั้น ก่อนหน้านี้อาจมีความคิดเห็นเป็นสองฝ่าย แต่เมื่อมีมติของพรรคก็ต้องปฏิบัติตาม จากนี้ถ้ามีคนในพรรคโหวตแตกต่างจากมติของพรรคคงทำเช่นนั้นไม่ได้ ส่วนนายสรวงศ์ กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยได้พูดคุยกับนายเฉลิมชัยและนายเดชอิศม์ เมื่อวันที่ 27 ส.ค. ว่าจะยื่นหนังสืออย่างเป็นทางการให้กับพรรคประชาธิปัตย์ ร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการบริหารประเทศ และเป็นรัฐบาลร่วมกัน ส่วนโควตารัฐมนตรีเป็นเรื่องของนายกรัฐมนตรีตนไม่ขอก้าวล่วง ส่วนความขัดแย้งระหว่างสองพรรค เมื่อก่อนก็คือเมื่อก่อน แต่ปัจจุบันมั่นใจว่าในสภาฯ ทุกคน มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน คือ ทำให้ประชาชนและประเทศชาติไปได้ด้วยดี "ไม่มี สส.พรรคเพื่อไทยคัดค้าน ขอให้นำคำสัมภาษณ์ของนายเดชอิศม์เป็นที่ตั้ง ว่าประเทศชาติต้องเดินหน้าต่อ ทุกอย่างผ่านไปแล้ว ประเทศชาติต้องเดินหน้าต่อ พรรคของพวกเราร่วมต่อสู้กันมานาน แต่วันนี้มาถึงคนรุ่นใหม่ ที่มาดูแลพรรค ส่วนอุดมการณ์ทางการเมือง ก็เป็นเรื่องของอุดมการณ์ ส่วนแนวทางการทำงานเราไปด้วยกันได้แน่นอน" นายสรวงศ์ กล่าวว่า ในอดีตอุดมการณ์ทางการเมืองของเพื่อไทย และประชาธิปัตย์ ไม่เหมือนกันเลย แต่วันนี้คนรุ่นใหม่เข้ามาบริหารพรรค หัวหน้าทั้ง 2 พรรค รวมถึงเลขาฯ และสมาชิกพรรคทุกคน มุ่งหน้าไปในทิศทางเดียวกันว่า ปัญหาชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ต้องได้รับการแก้ไขให้ดีขึ้น เพราะประเทศชาติถอยหลังไปมาก ดังนั้น จึงถึงเวลาแล้วที่จะต้องเดินหน้าร่วมกัน อะไรไม่เข้าใจกันหรือความขัดแย้งต้องทิ้งไว้ข้างหลัง ส่วนข้อกล่าวหาว่า พรรคเพื่อไทยตระบัดสัตย์นั้น นายสรวงศ์ กล่าวว่า คำนี้ฮิตเหลือเกิน ก็แล้วแต่ ทุกอย่างมองกันที่ผลงาน ต่อจากนี้ไปอีก 3 ปี ตนขออย่างเดียวให้โอกาสนายกฯ และ ครม.ชุดใหม่ได้ทำงาน ถ้าทำอะไรผิด หรือไม่ดีค่อยร้องเรียน ไม่ใช่ออกมาพูดเพียงอย่างเดียว ขอให้ดูที่ผลงาน ส่วนที่นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ยื่นร้องเรียนกรณีซุกหุ้นของ น.ส.แพทองธาร มีทีมกฎหมายดูอยู่แล้ว และคิดว่าจะไม่เป็นประเด็น อย่างไรก็ตาม นายชวน หลีกภัย สส.บัญชีรายชื่อ และอดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า ส่วนตัวขอยืนยันในจุดยืนเดิม ไม่เห็นด้วยกับการเข้าร่วมรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ที่มีตั้งแต่วันแรกที่การตั้งรัฐบาลชุด ของนายเศรษฐา ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เพราะไม่สามารถทรยศประชาชนได้ ซึ่งตนเป็นคนขอร้องประชาชนไม่ให้เลือกพรรคไทยรักไทย พรรคเพื่อไทย ไม่ใช่เพราะความขัดแย้งส่วนตัว แต่เป็นเพราะพรรคเหล่านั้น ประกาศชัดเจนที่จะพัฒนาจังหวัดที่เลือกเขาก่อน ส่วนจังหวัดอื่นไว้ทีหลัง "วิธีเหล่านี้เราไม่เคยเห็นมาก่อน นับตั้งแต่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองมา 90 ปี ไม่เคยมีรัฐบาลชุดไหน ไม่ว่าจะมาจากการเลือกตั้ง หรือมาจากการยึดอำนาจ ยิ่งพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล จะให้ความเป็นธรรมกับทุกภาคอย่างยุติธรรม โดยไม่สนใจว่าใครจะเลือกใครเป็นรัฐบาล แต่จัดการบ้านเมืองด้วยความเป็นธรรม" "ต้องยอมรับว่าเรื่องการเลือกปฏิบัติ ผมต่อสู้มาเพียงลำพัง ด้วยการขอว่าอย่าเลือกเขานะ ไม่ได้ไปกลั่นแกล้งหรือทำร้ายอย่างที่ นายราเมศ รัตนะเชวง อดีดโฆษกพรรคฯ เคยถูกกระทำ ทำให้เขาได้รับเลือกน้อยมาก ไม่มี สส.ภาคใต้แม้แต่คนเดียว ซึ่งเป็นผลมาจากที่ผมรณรงค์ แล้ววันหนึ่งจะมาบอกให้ผมสนับสนุนพรรคที่ผมบอกว่าอย่าเลือก มันชัดเจนว่าเป็นการทรยศชาวบ้านผมทำไม่ได้ จึงขอยืนยันว่า แม้เปลี่ยนตัวนายกรัฐมนตรี แต่จุดยืนผมยังเหมือนเดิม" นายชวนกล่าวอีกว่า มติของพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ใช่การเห็นด้วย เพราะมีการติดต่อกันแล้ว ที่มาถามว่า เขามาเชิญ ความจริง ตนคิดว่าคนของเราไปติดต่อเขาก่อนเขาเชิญ หรือสงสัยว่าไปขอให้เขามาเชิญด้วยซ้ำ แต่ตามมารยาท ก็มาเชิญด้วยวิธีนี้ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะก่อนหน้าที่จะมีหนังสือเชิญ คนของเราบางคนก็ไปประสานติดต่อ จึงถูกสื่อมวลชนเรียกว่า พรรคอีแอบ พรรครอเสียบ จึงอยากขออย่าเรียกพรรคประชาธิปัตย์ แบบนี้ เพราะเป็นพฤติกรรมของคนส่วนหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่คนส่วนใหญ่ "การเรียกแบบนี้ทำให้พรรคเสื่อมเสีย ตนอยากปกป้องเกียรติภูมิของพรรค เราไม่ใช่พรรคเฉพาะกิจ ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อให้คนใดคนหนึ่งได้เป็นนายกฯ อยู่สัก 1-2 สมัยแล้วล้มไป แต่พรรคประชาธิปัตย์ อยู่มาเกือบ 80 ปี ปฏิบัติตามอุดมการณ์ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ยึดมั่นหลักประชาธิปไตยมาอย่างยาวนาน ไม่อยากให้เสื่อมเสียด้วยการกระทำของ กก.บห.พรรคชุดปัจจุบัน" "ยอมรับว่าผมเป็นเสียงข้างน้อยในพรรคฯ ที่ชัดเจนตั้งแต่มีการลงมติเลือกนายเศรษฐาเป็นนายกฯ และผมได้หารือกับนายบัญญัติ นายจุรินทร์ และนายสรรเพชญ ว่าอย่างน้อย 4 คน จะยังคงยืนยันในจุดยืนเดิม แต่ไม่ว่ามติของพรรคฯเป็นอย่างไร ก็พร้อมจะเคารพ เพียงแต่ไม่เห็นด้วยที่จะร่วมกับพรรคการเมืองที่เคยกลั่นแกล้งประชาชน และเชื่อว่าการตัดสินใจร่วมรัฐบาลในครั้งนี้ จะส่งผลต่อฐานเสียงภาคใต้ไม่น้อย" เมื่อถามว่าคนรุ่นใหม่มองว่าหมดยุคของนายชวนแล้ว นายชวน กล่าวว่า มันไม่มีกำหนดอายุ มีคนคิดเหมือนกันว่าตนเป็นขวากหนามของเขา ทำให้ไปร่วมรัฐบาลไม่ได้ จึงพยายามพูดว่าหมดยุคของผู้อาวุโส แต่ในความจริงแล้ว ตนเป็นผู้สร้างมากกว่าผู้ทำลาย และคนที่พูดเหล่านั้นอาศัยบารมีพรรค ที่พวกตนทำเอาไว้ แต่คนเหล่านั้นยังไม่เคยทำอะไรที่เป็นประโยชน์กับพรรคเลย เพียงแต่อาศัยชื่อพรรคเพื่อเข้ามาเป็นนักการเมือง ตนก็เคยได้ยินเรื่องนี้แต่ไม่ได้โกรธ แม้กระทั่ง เรื่องที่จะขับพ้นออกจากพรรค ก็มาดูว่าใครเป็นคนพูด พอทราบก็เข้าใจเพราะเขาก็เพิ่งเข้าพรรคมาอาศัยบารมีของพรรคที่คนรุ่นก่อนเขาสะสมสร้างมา นายเฉลิมชัย เป็นหัวหน้าพรรคฯ คนที่ 9 ยังไม่ได้สร้างความน่าเชื่อถือให้พรรคฯเท่ากับรุ่นก่อน "ดังนั้น ใครที่คิดจะปลดต้องดูกฎหมาย ซึ่งไม่ได้กำหนดอายุ ผมยังคงทำหน้าที่ของตัวเองอยู่ ผมกลายเป็นคนหัวคัดค้าน ทั้งที่มีหลายคนไม่เห็นด้วย แต่เขาไม่อยากเปลืองตัว เป็นการกระทำของคนบางกลุ่ม ทำให้คนทั่วไปยังเข้าใจว่า ประชาธิปัตย์ยังพอใช้ได้อยู่ เพียงแต่คนบางกลุ่มเท่านั้นที่เข้ามาใช้ตำแหน่งในพรรคเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ของตัวเอง ซึ่งคนกลุ่มนั้นไม่รู้ว่าจะทำยังไงกับผม จนพยายามจะบอกว่าขัดแย้งมาแล้ว 20 ปี จึงอยากถามว่าขัดแย้งเรื่องอะไร ไม่ได้ทะเลาะเพื่อประโยชน์ส่วนตัวกัน แต่เป็นเรื่องของประชาชน" เมื่อถามว่านายชวนจะลงสู้ศึกเลือกตั้งครั้งหน้าหรือไม่ นายชวน กล่าวว่า ไม่สามารถยืนยันชัดเจนได้ เพราะไม่อยากพูดอะไรไปล่วงหน้า #Newskit #พรรคประชาธิปัตย์ #รัฐบาลแพทองธาร
    Like
    5
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 569 มุมมอง 0 รีวิว
  • อย่าเข้าใจผิด
    น้ำไม่ตื้น แค่คุณทักษิณและสมาชิกพรรคเพื่อไทย
    ยืนบนน้ำได้ นาทีนี้ ไม่มีใครหยุดเค้าได้
    ทำอะไรก็ได้ แม้กระทั่งยืนบนน้ำ
    พี่คิงส์เห็นแล้วเสียวแทนชาวบ้าน
    ถ้าเกิดพลัดตกเรือนี่ จมเลยนะน่ะ
    ไม่ได้จมน้ำ ก็จมน้ำลายแม๊วละแว๊
    #คิงส์โพธิ์แดง
    อย่าเข้าใจผิด น้ำไม่ตื้น แค่คุณทักษิณและสมาชิกพรรคเพื่อไทย ยืนบนน้ำได้ นาทีนี้ ไม่มีใครหยุดเค้าได้ ทำอะไรก็ได้ แม้กระทั่งยืนบนน้ำ พี่คิงส์เห็นแล้วเสียวแทนชาวบ้าน ถ้าเกิดพลัดตกเรือนี่ จมเลยนะน่ะ ไม่ได้จมน้ำ ก็จมน้ำลายแม๊วละแว๊ #คิงส์โพธิ์แดง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 170 มุมมอง 0 รีวิว
  • ใบเหลืองชาญ เลือกตั้งใหม่ อบจ.ปทุมฯ

    สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติสั่งให้มีการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ปทุมธานีใหม่ ตามมาตรา 106 วรรคสี่ แห่ง พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น ปี 2562 เมื่อวันที่ 27 ส.ค. หลังพิจารณาเรื่องการประกาศรับรองผล และพยานหลักฐานของสำนวนเรื่องร้องเรียนตามมาตรา 65 (3) แล้วเห็นว่า กรณีกล่าวหาว่านายชาญ พวงเพ็ชร์ ที่ได้รับการเลือกตั้ง จัดเลี้ยงและมหรสพเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งลงคะแนนให้ตนนั้น เป็นเหตุอันควรเชื่อได้ว่า การเลือกตั้งนายก อบจ.ปทุมธานี เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. ที่ผ่านมา มิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม

    อย่างไรก็ตาม มติสั่งเลือกตั้งใหม่ของ กกต. ดังกล่าวเป็นการให้ใบเหลือง ดังนั้นการแข่งขันก็จะเป็นการใช้ผู้สมัครชุดเดิมโดยนายชาญ ซึ่งได้รับเลือกมาด้วยคะแนนสูงสุดในการเลือกตั้งคราวก่อน ยังคงสามารถลงแข่งขันได้ ส่วนวันเลือกตั้งผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยความเห็นชอบของผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัดจะเป็นผู้ประกาศ

    ด้าน พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้สมัครเลือกตั้งนายก อบจ.ปทุมธานี กล่าวขอขอบคุณ กกต.ที่ให้ความเป็นธรรม และพร้อมลงสมัครรับเลือกตั้งอีกครั้ง ขอให้ กกต.เร่งจัดการเลือกตั้งโดยเร็ว ไม่ต้องรอ 45 วัน ใช้เวลา 2 สัปดาห์ก็พอ เพราะเป็นคนเดิมเพิ่งหาเสียงกันมา ถ้าปล่อยให้นานออกไปสถานการณ์จะล่อแหลมเพราะน้ำจะท่วม มั่นใจว่าคนปทุมธานีรู้แล้วว่าใครผู้สมัครรายใดที่มีปัญหา พร้อมเชิญชวนชาวจังหวัดปทุมธานีออกมาใช้สิทธิกันให้มากขึ้น เพื่อศักดิ์ศรีของจังหวัด อย่าให้คนไม่ดีมาซื้อเสียง

    แหล่งข่าวจากผู้ใกล้ชิดการเมืองท้องถิ่นจังหวัดปทุมธานี เปิดเผยกับ Newskit ว่า เรื่องดังกล่าวทราบว่าเป็นที่ตกใจแก่ข้าราชการ อบจ.ปทุมธานีอยู่บ้าง เพราะรอผลการเลือกตั้งกว่า 2 เดือนก็ไม่มีความชัดเจน เมื่อเทียบกับจังหวัดอื่น ที่ประกาศรับรองผลไปแล้วอย่างรวดเร็ว ที่ผ่านมา อบจ.ปทุมธานีใช้งบประมาณจัดการเลือกตั้งกว่า 70 ล้านบาท โดยใช้งบกลาง ซึ่งการเลือกตั้งครั้งต่อไป ขึ้นอยู่กับ กกต.ปทุมธานีจะเป็นผู้กำหนด คาดว่าไม่เกิน 1 เดือนนับจากนี้ แต่เห็นว่าต้องจัดเลือกตั้ง 3 รอบ ยังเหลือการเลือกตั้งสมาชิกสภา อบจ.ปทุมธานี ที่จะหมดวาระในวันที่ 19 ธ.ค. และคาดว่าจะมีการเลือกตั้งในเดือน ก.พ. 2568

    สำหรับผลใบเหลืองที่ออกมา ต้องดูว่านายชาญจะลงสมัครในนามพรรคเพื่อไทย หรือในนามอิสระ เพราะที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยถูกโจมตีเรื่องการส่งผู้สมัครที่มีปัญหาคุณสมบัติ ซ้ำด้วยนายชาญถูก กกต.ให้ใบเหลือง ทำให้พรรคเพื่อไทยได้รับความเสียหาย ก่อนหน้านี้ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไปงานบวชลูกชายนายกฤษฎา หลีนวรัตน์ หรือนายกเบี้ยว นายกเทศมนตรีตำบลธัญบุรี ซึ่งเป็นคนของนายชาญ จากเหตุดังกล่าวทำให้ กกต.ให้ใบเหลือง ด้วยข้อหาจัดเลี้ยงและมหรสพเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งลงคะแนน ไม่นับรวมคดีค้างเก่าใน ป.ป.ช. อาจมีผลต่อการตัดสินใจของผู้มีสิทธิเลือกตั้งว่าจะเลือกใคร

    ส่วน พล.ต.ท.คำรณวิทย์ คาดว่าทีมงานอาจมีความพร้อมในการเลือกตั้งครั้งนี้ ที่ผ่านมาจากทั้งหมด 7 อำเภอ ชนะเลือกตั้งในเขตอำเภอเมือง อำเภอที่มีความเจริญเนื่องมาจากเป็นพื้นที่บ้านจัดสรร หรืออำเภอที่อยู่ใกล้กรุงเทพฯ เช่น อ.หนองเสือ ที่คราวนี้ชนะคู่แข่งมาได้ แต่จะเสียเปรียบ 2 อำเภอ ซึ่งเป็นพื้นที่เกษตรกรรม คือ อ.สามโคก ซึ่งเป็นพื้นที่ฐานเสียงของนายชาญ มีความผูกพันมานาน และ อ.ลาดหลุมแก้ว ที่การเลือกตั้งครั้งนี้ พล.ต.ท.คำรณวิทย์แพ้ให้กับคู่แข่ง ประเมินว่าทีมงาน พล.ต.ท.คำรณวิทย์ อาจกำลังถอดบทเรียนตรงนี้สำหรับการเลือกตั้งรอบสองที่กำลังจะมาถึง

    ส่วนการเลือกตั้งครั้งนี้ จะมีผู้มาใช้สิทธิมากน้อยขนาดไหน เมื่อเทียบกับคราวที่แล้วมีผู้มาใช้สิทธิไม่ถึง 50% แหล่งข่าวมองว่าอาจมีโอกาสเพิ่มขึ้นมาบ้าง เพราะจากการที่ผลเลือกตั้งออกมา ผู้ชนะคราวที่แล้วกลับแพ้ คราวนี้จึงแพ้ไม่ได้ อีกทั้งยังมีเหตุการณ์น้ำท่วมภาคเหนือ ที่เกรงกันว่ามวลน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาไหลลงมายังจังหวัดปทุมธานี จำเป็นต้องมีเจ้าภาพบริหารจัดการและดูแลประชาชน หากเกิดสูญญากาศทางการเมือง ประชาชนจะได้รับความเดือดร้อนมากขึ้น

    สำหรับการเลือกตั้งนายก อบจ.ปทุมธานี เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. ที่ผ่านมา มีผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง 949,421 คน แต่มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง 472,536 คน คิดเป็น 49.77% โดยนายชาญ ซึ่งเป็นผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย ชนะ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ โดยนายชาญได้ 203,032 คะแนน พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ได้ 201,212 คะแนน ห่างกัน 1,820 คะแนน ส่วนอันดับสาม นายนพดล ลัดดาแย้ม ได้ 16,983 คะแนน และอันดับสี่ นายอธิวัฒน์ สอนเนย ได้ 7,122 คะแนน ส่วนบัตรเสียมี 11,302 ใบ คิดเป็น 2.39% และบัตรไม่ประสงค์ลงคะแนน 32,885 ใบ คิดเป็น 6.96%

    #Newskit #อบจปทุมธานี #เลือกตั้งซ่อม
    ใบเหลืองชาญ เลือกตั้งใหม่ อบจ.ปทุมฯ สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีมติสั่งให้มีการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ปทุมธานีใหม่ ตามมาตรา 106 วรรคสี่ แห่ง พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น ปี 2562 เมื่อวันที่ 27 ส.ค. หลังพิจารณาเรื่องการประกาศรับรองผล และพยานหลักฐานของสำนวนเรื่องร้องเรียนตามมาตรา 65 (3) แล้วเห็นว่า กรณีกล่าวหาว่านายชาญ พวงเพ็ชร์ ที่ได้รับการเลือกตั้ง จัดเลี้ยงและมหรสพเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งลงคะแนนให้ตนนั้น เป็นเหตุอันควรเชื่อได้ว่า การเลือกตั้งนายก อบจ.ปทุมธานี เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. ที่ผ่านมา มิได้เป็นไปโดยสุจริตหรือเที่ยงธรรม อย่างไรก็ตาม มติสั่งเลือกตั้งใหม่ของ กกต. ดังกล่าวเป็นการให้ใบเหลือง ดังนั้นการแข่งขันก็จะเป็นการใช้ผู้สมัครชุดเดิมโดยนายชาญ ซึ่งได้รับเลือกมาด้วยคะแนนสูงสุดในการเลือกตั้งคราวก่อน ยังคงสามารถลงแข่งขันได้ ส่วนวันเลือกตั้งผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยความเห็นชอบของผู้อำนวยการการเลือกตั้งประจำจังหวัดจะเป็นผู้ประกาศ ด้าน พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้สมัครเลือกตั้งนายก อบจ.ปทุมธานี กล่าวขอขอบคุณ กกต.ที่ให้ความเป็นธรรม และพร้อมลงสมัครรับเลือกตั้งอีกครั้ง ขอให้ กกต.เร่งจัดการเลือกตั้งโดยเร็ว ไม่ต้องรอ 45 วัน ใช้เวลา 2 สัปดาห์ก็พอ เพราะเป็นคนเดิมเพิ่งหาเสียงกันมา ถ้าปล่อยให้นานออกไปสถานการณ์จะล่อแหลมเพราะน้ำจะท่วม มั่นใจว่าคนปทุมธานีรู้แล้วว่าใครผู้สมัครรายใดที่มีปัญหา พร้อมเชิญชวนชาวจังหวัดปทุมธานีออกมาใช้สิทธิกันให้มากขึ้น เพื่อศักดิ์ศรีของจังหวัด อย่าให้คนไม่ดีมาซื้อเสียง แหล่งข่าวจากผู้ใกล้ชิดการเมืองท้องถิ่นจังหวัดปทุมธานี เปิดเผยกับ Newskit ว่า เรื่องดังกล่าวทราบว่าเป็นที่ตกใจแก่ข้าราชการ อบจ.ปทุมธานีอยู่บ้าง เพราะรอผลการเลือกตั้งกว่า 2 เดือนก็ไม่มีความชัดเจน เมื่อเทียบกับจังหวัดอื่น ที่ประกาศรับรองผลไปแล้วอย่างรวดเร็ว ที่ผ่านมา อบจ.ปทุมธานีใช้งบประมาณจัดการเลือกตั้งกว่า 70 ล้านบาท โดยใช้งบกลาง ซึ่งการเลือกตั้งครั้งต่อไป ขึ้นอยู่กับ กกต.ปทุมธานีจะเป็นผู้กำหนด คาดว่าไม่เกิน 1 เดือนนับจากนี้ แต่เห็นว่าต้องจัดเลือกตั้ง 3 รอบ ยังเหลือการเลือกตั้งสมาชิกสภา อบจ.ปทุมธานี ที่จะหมดวาระในวันที่ 19 ธ.ค. และคาดว่าจะมีการเลือกตั้งในเดือน ก.พ. 2568 สำหรับผลใบเหลืองที่ออกมา ต้องดูว่านายชาญจะลงสมัครในนามพรรคเพื่อไทย หรือในนามอิสระ เพราะที่ผ่านมาพรรคเพื่อไทยถูกโจมตีเรื่องการส่งผู้สมัครที่มีปัญหาคุณสมบัติ ซ้ำด้วยนายชาญถูก กกต.ให้ใบเหลือง ทำให้พรรคเพื่อไทยได้รับความเสียหาย ก่อนหน้านี้ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ไปงานบวชลูกชายนายกฤษฎา หลีนวรัตน์ หรือนายกเบี้ยว นายกเทศมนตรีตำบลธัญบุรี ซึ่งเป็นคนของนายชาญ จากเหตุดังกล่าวทำให้ กกต.ให้ใบเหลือง ด้วยข้อหาจัดเลี้ยงและมหรสพเพื่อจูงใจให้ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งลงคะแนน ไม่นับรวมคดีค้างเก่าใน ป.ป.ช. อาจมีผลต่อการตัดสินใจของผู้มีสิทธิเลือกตั้งว่าจะเลือกใคร ส่วน พล.ต.ท.คำรณวิทย์ คาดว่าทีมงานอาจมีความพร้อมในการเลือกตั้งครั้งนี้ ที่ผ่านมาจากทั้งหมด 7 อำเภอ ชนะเลือกตั้งในเขตอำเภอเมือง อำเภอที่มีความเจริญเนื่องมาจากเป็นพื้นที่บ้านจัดสรร หรืออำเภอที่อยู่ใกล้กรุงเทพฯ เช่น อ.หนองเสือ ที่คราวนี้ชนะคู่แข่งมาได้ แต่จะเสียเปรียบ 2 อำเภอ ซึ่งเป็นพื้นที่เกษตรกรรม คือ อ.สามโคก ซึ่งเป็นพื้นที่ฐานเสียงของนายชาญ มีความผูกพันมานาน และ อ.ลาดหลุมแก้ว ที่การเลือกตั้งครั้งนี้ พล.ต.ท.คำรณวิทย์แพ้ให้กับคู่แข่ง ประเมินว่าทีมงาน พล.ต.ท.คำรณวิทย์ อาจกำลังถอดบทเรียนตรงนี้สำหรับการเลือกตั้งรอบสองที่กำลังจะมาถึง ส่วนการเลือกตั้งครั้งนี้ จะมีผู้มาใช้สิทธิมากน้อยขนาดไหน เมื่อเทียบกับคราวที่แล้วมีผู้มาใช้สิทธิไม่ถึง 50% แหล่งข่าวมองว่าอาจมีโอกาสเพิ่มขึ้นมาบ้าง เพราะจากการที่ผลเลือกตั้งออกมา ผู้ชนะคราวที่แล้วกลับแพ้ คราวนี้จึงแพ้ไม่ได้ อีกทั้งยังมีเหตุการณ์น้ำท่วมภาคเหนือ ที่เกรงกันว่ามวลน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาไหลลงมายังจังหวัดปทุมธานี จำเป็นต้องมีเจ้าภาพบริหารจัดการและดูแลประชาชน หากเกิดสูญญากาศทางการเมือง ประชาชนจะได้รับความเดือดร้อนมากขึ้น สำหรับการเลือกตั้งนายก อบจ.ปทุมธานี เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. ที่ผ่านมา มีผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง 949,421 คน แต่มีผู้มาใช้สิทธิเลือกตั้ง 472,536 คน คิดเป็น 49.77% โดยนายชาญ ซึ่งเป็นผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทย ชนะ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ โดยนายชาญได้ 203,032 คะแนน พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ได้ 201,212 คะแนน ห่างกัน 1,820 คะแนน ส่วนอันดับสาม นายนพดล ลัดดาแย้ม ได้ 16,983 คะแนน และอันดับสี่ นายอธิวัฒน์ สอนเนย ได้ 7,122 คะแนน ส่วนบัตรเสียมี 11,302 ใบ คิดเป็น 2.39% และบัตรไม่ประสงค์ลงคะแนน 32,885 ใบ คิดเป็น 6.96% #Newskit #อบจปทุมธานี #เลือกตั้งซ่อม
    Like
    4
    1 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 539 มุมมอง 0 รีวิว
  • รางวัลนายก ค-ดี ความเร็วแสง
    #อิ๊งต้องขอขอบคุณพ่อแม๊ว
    และสมาชิกพรรคเพื่อไทยทุกคน
    ที่ทำให้อิ๊งมาถึงวันนี้
    ถึงแม้ว่า ขั้นตอนจัดตั้งรัฐบาลใหม่
    ยังไม่เข้าที่ คาดว่าจะเข้าที่ก็กลางเดือนกันยายน
    แต่แค่ 7 วันเท่านั้นนะคะ
    ดิฉัน ได้มาถึง 5 ค-ดี
    ถ้าพ่อไม่ส่งดิฉันมา ดิฉันคงไม่ได้รับเกียรติแบบนี้
    เป็นคุณพ่อแห่งสุดยอดคุณพ่อ
    ส่งลูกสาวมาเป็นตัวแทน
    ในการโดนสหบาทา จากคนที่ชังพ่อ
    ช่างเป็นพ่อที่แสนดีเหลือเกินนะคะ
    ขอบคุณค่ะ
    #คิงส์โพธิ์แดง
    รางวัลนายก ค-ดี ความเร็วแสง #อิ๊งต้องขอขอบคุณพ่อแม๊ว และสมาชิกพรรคเพื่อไทยทุกคน ที่ทำให้อิ๊งมาถึงวันนี้ ถึงแม้ว่า ขั้นตอนจัดตั้งรัฐบาลใหม่ ยังไม่เข้าที่ คาดว่าจะเข้าที่ก็กลางเดือนกันยายน แต่แค่ 7 วันเท่านั้นนะคะ ดิฉัน ได้มาถึง 5 ค-ดี ถ้าพ่อไม่ส่งดิฉันมา ดิฉันคงไม่ได้รับเกียรติแบบนี้ เป็นคุณพ่อแห่งสุดยอดคุณพ่อ ส่งลูกสาวมาเป็นตัวแทน ในการโดนสหบาทา จากคนที่ชังพ่อ ช่างเป็นพ่อที่แสนดีเหลือเกินนะคะ ขอบคุณค่ะ #คิงส์โพธิ์แดง
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 146 มุมมอง 0 รีวิว
  • ♣ บุคคลไม่เปิดเผยชื่อ ได้ยื่นกกต.เสนอศาลฯพิจารณายุบพรรคเพื่อไทย ตั้งแต่19สิงหาคมแล้ว จะเป็นการแก้แค้นของอริทักษิณ หรือเป็นการหวังประโยชน์จากการล้มเพื่อไทย ต้องติดตามต่อไป
    #7ดอกจิก
    #ใครอยู่เบื้องหลัง
    ♣ บุคคลไม่เปิดเผยชื่อ ได้ยื่นกกต.เสนอศาลฯพิจารณายุบพรรคเพื่อไทย ตั้งแต่19สิงหาคมแล้ว จะเป็นการแก้แค้นของอริทักษิณ หรือเป็นการหวังประโยชน์จากการล้มเพื่อไทย ต้องติดตามต่อไป #7ดอกจิก #ใครอยู่เบื้องหลัง
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 317 มุมมอง 0 รีวิว
  • รีโพสต์ทัศนะของ วีระ ธีรภัทร จากเพจเฟซบุ๊ก สำนักพิมพ์โรนิน 25 สิงหาคม 2567

    “ คอลัมน์ ปากท้องชาวบ้าน

    ไม่มีอะไรจะเละไปกว่านี้(แล้ว)

    แม้ว่าผมจะไม่ห่วงเรื่องอุทกภัยที่เกิดขึ้นในหลายจังหวัดในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือในขณะนี้ก็ตาม

    แต่ก็อดคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในปี ๒๕๕๔ ไม่ได้

    หลังการเลือกตั้งในเดือนกรกฎาคมในปีนั้น พรรคเพื่อไทยเอาชนะพรรคประชาธิปัตย์แบบถล่มทลายสามารถจัดตั้งรัฐบาลโดยมีคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีได้สำเร็จ

    อุทกภัยน้ำท่วมใหญ่ตามมาพร้อมกับการเป็นรัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นั่นเลยกลายเป็นบททดสอบความสามารถในการบริหารจัดการของรัฐบาลใหม่แบบชนิดไม่ทันได้ตั้งตัว

    ผลเป็นไงคงพอจำกันได้

    บัดนี้เราได้รัฐบาลใหม่ มีคุณแพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี แม้ว่าในขณะนี้ยังยุ่งขิงอยู่กับการสรรหาบุคคลมาเป็นรัฐมนตรีในคณะรัฐบาลไม่เสร็จ (อันนี้เละเทะมาก) ยังไม่สามารถเข้ามาบริหารราชการแผ่นดินและปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างเต็มรูปแบบ

    แต่น้ำเหนือก็หลากมาแล้ว แม้จะไม่น่ากลัวสำหรับคนกรุงเทพและปริมณฑลเหมือนกับเมื่อสิบสามปีก่อนหน้านี้ก็ตามที

    อะไรมันจะซ้ำซากกันได้ถึงขนาดนี้

    แต่นั่นก็ไม่ใช่ประเด็นข้อใหญ่ในความของเรื่องที่ผมจะคุยอะไรให้ฟังวันนี้ ครับ

    ในช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมามีอะไรต่อมิอะไรเกิดขึ้นมากมาย หลายเรื่องไม่คิดว่าจะเป็นไปได้ถึงขนาดนั้น แม้ผมจะพอเข้าใจต้นสายปลายเหตุพอสมควร

    ผมเลยอยากจะเล่าอะไรต่อมิอะไรให้คุณฟังแบบเพลินๆ เท่าที่จะคิดได้เป็นสำคัญ

    แน่นอนล่ะครับว่ารายการ Vision For Thailand ในช่วงหัวค่ำของคืนวันพฤหัสบดีที่ ๒๒ สิงหาคมที่คุณทักษิณ ชินวัตร ไปแสดงวิสัยทัศน์ท่ามกลางคนมีอำนาจในแวดวงการเมืองและธุรกิจภาคเอกชนจำนวนมากนั้น ย่อมอยู่ในความสนใจของผู้คน จนลืมกันไปหมดว่าวันดังกล่าวตรงกับวันครบรอบหนึ่งปีของการเดินทางกลับประเทศไทยของคุณทักษิณ

    ความเป็นคุณทักษิณ ความเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของพรรคเพื่อไทย และด้วยอำนาจวาสนาบารมีที่สะสมมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน แม้จะพร่องไปบ้างในช่วงสิบห้าปีที่ลี้ภัยทางการเมืองในต่างแดน

    สิ่งที่คุณทักษิณคิดจึงมองข้ามไม่ได้

    ทักษิณคิดเพื่อไทยทำอย่างที่รู้ๆ กัน

    ผมและคนอื่นๆ อีกไม่น้อยจึงเสียยอมเวลาฟังสิ่งที่คุณทักษิณคิดและอยากให้เกิดกับสังคมไทยในอนาคตตลอดหนึ่งชั่วโมงเศษที่แกคุยอยู่คนเดียวด้วยความตั้งอกตั้งใจ

    สำหรับผมสิ่งที่คุณทักษิณคิดออกมาดังๆ ไม่ใช่เรื่องใหม่เป็นประเด็นปัญหาที่เราพอรู้พอทราบกันอยู่ แต่ความน่าสนใจอยู่ตรงที่ว่าสิ่งที่คุณทักษิณ รัฐบาลพรรคเพื่อไทยจะเอาไปทำหรืออย่างน้อยก็เอาไปคิดต่อว่าจะทำต่อไปเป็นประเด็นที่น่าสนใจมากเป็นพิเศษ

    ตรงนี้จึงมีความหมายมากกว่าการแสดงความคิดเห็นของคนทั่วไป

    แม้ว่าข้อเสนอจำนวนมากเป็นเรื่องที่ผมพอทราบมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง โครงการดิจิทัลวอลเลต การชี้นำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยลดดอกเบี้ยและเพิ่มการให้สินเชื่อเพื่อเป็นการเติมสภาพคล่องให้กับภาคเศรษฐกิจ โครงการแลนด์บริดจ์ โครงการค่าโดยสารรถไฟฟ้า ๒๐ บาทตลอดสาย โครงการเอ็นเทอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ กองทุนวายุภักษ์ ฯลฯ ล้วนเป็นประเด็นที่จะต้องมีการตัดสินใจและขับเคลื่อนกันต่อไปในรัฐบาลของคุณแพทองธาร ชินวัตร ต่อไป

    นี่จึงเป็นข้อเสนอคำแนะนำที่ไม่ธรรมดาเพราะสามารถจะกลายเป็นนโยบายของรัฐบาลได้อย่างแยบคาย

    ผมจะไม่วิพากษ์วิจารณ์อะไรในเรื่องที่ว่าในตอนนี้ อยากจะรอดูก่อนว่าข้อเสนอดังกล่าวจะกลายเป็นนโยบายและมาตรการของรัฐบาลคุณแพทองธารในเนื้อหารายละเอียดอย่างไรให้ชัดเจนเสียก่อน

    แถมอันที่จริงแล้วในช่วงนี้ต้องบอกว่า ผมอยู่ในช่วงที่ผ่อนคลายมากมีเวลาเหลือมากขึ้น แถมได้ทำสิ่งที่ไม่ได้ทำมานานมากแล้วอีกต่างหาก

    ลำดับแรกเลย งานในฐานะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณพ.ศ.๒๕๖๘ ซึ่งผมต้องไปประชุมรวมกันถึง ๔๐ ครั้งตลอดระยะเวลาสองเดือนเต็มๆ ที่ผ่านมา (นับหนึ่งวันจันทร์ที่ ๒๔ มิถุนายน) ถือว่าจบสิ้นแล้วในแง่ของกระบวนการพิจารณา แม้ยังไม่จบเสียทีเดียวเพราะต้องมีพิธีกรรมอีกเล็กน้อยในสัปดาห์นี้และสัปดาห์หน้า

    วันพุธที่ ๒๘ สิงหาคมจะเป็นการประชุมครั้งที่ ๔๑ ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายของกรรมาธิการเพื่อตรวจทานและลงมติรับร่างพรบ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณพ.ศ.๒๕๖๘ ว่าจะเอาแบบไหน? อย่างไร? โดยมีกรรมาธิการและสส.จำนวนไม่น้อย ได้สงวนความเห็นและขอแปรญัตติเพื่อจะไปอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎร ก่อนที่จะมีการลงมติให้ความเห็นชอบในวาระที่ ๒ และ ๓ ในช่วงวันที่ ๓-๕ กันยายนที่จะถึงนี้

    อันนี้น่าสนใจติดตามฟังกันครับ

    งานที่ว่านี้ดำเนินไปโดยยังไม่มีรัฐบาลใหม่ มีแต่เพียงนายกรัฐมนตรีที่ยังไม่สามารถเข้าปฏิบัติหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินได้

    นี่ต้องบอกว่าเป็นเรื่องแปลก แม้ผมจะเข้าใจว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้นก็ตามที

    ลำดับถัดมา ผมไปร่วมรายการ BOT Press Trip 2024 ที่โรงแรม Andaz แถวหาดจอมเทียน จังหวัดชลบุรี แม้จะห่างเหินจากการไปร่วมงานในฐานะสื่อมวลชนกับธนาคารแห่งประเทศไทยแบบนี้มานานมากแล้ว แต่ที่ผมอยากไปก็เพราะว่างานนี้มีประเด็นที่ผมอยากสอบถามให้แน่ใจว่าอะไรเป็นอะไรจากปากของผู้บริหารธนาคารแห่งประเทศไทยด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นโอกาสดีมากเพราะว่าไปกันครบถ้วนเกือบทั้งหมด เหมือนเราไปเดินห้างสรรพสินค้าเพื่อซื้อของที่ต้องการได้ทั้งหมดในสถานที่เพียงแห่งเดียว

    ผู้บริหารธนาคารแห่งประเทศไทย นำโดยคุณเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ปีหน้าครบวาระห้าปีเป็นต่อไม่ได้) พร้อมกับรองผู้ว่าการและผู้ช่วยผู้ว่าการ ๑๑ คนโดยไม่รวมระดับผู้บริหารระดับปฏิบัติการในฝ่ายต่างๆ ที่มากันเป็นกองทัพ

    อะไรที่ผมสงสัยไม่แน่ใจในเรื่องนโยบายการเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยบริหารจัดการอยู่ในเวลานี้ จึงถือโอกาสไปร่วมงานนี้ สอบถามพูดคุยกับคนที่ดูแลนโยบายและคนที่ลงมือปฏิบัติการจริงเพื่อให้เกิดความชัดเจนและได้ข้อมูลที่ต้องการครบถ้วน

    เอาเป็นว่าเรื่องระหว่างรัฐบาล กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย ที่เคยปีนเกลียวกันในช่วงรัฐบาลคุณเศรษฐา ทวีสิน ที่ผ่านมาและที่อาจจะมีการปะทะปะทั่งกันในช่วงรัฐบาลคุณแพทองธาร ชินวัตร ในอนาคตอันใกล้นี้

    ผมพอเข้าใจต้นสายปลายเหตุแล้ว

    เรื่องหลายเรื่องที่รัฐบาลอยากทำแล้วทำไม่ได้ เรื่องหลายเรื่องที่ถกเถียงกันระหว่างรัฐบาลกับธนาคารแห่งประเทศไทย ว่าควรทำแบบไหนไม่ควรทำแบบไหน ไม่ว่าจะเป็นโครงการดิจิตอลวอลเลต การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโบบาย ฯลฯ

    การได้พูดคุยกับคนที่เกี่ยวข้องโดยตรง ทำให้ผมพอปะติดปะต่อภาพได้เกือบครบถ้วนตามที่ต้องการแล้ว

    จะเอาไปทำอะไรต่อที่ไหน? อย่างไร? และเมื่อไหร่? เดี๋ยวค่อยมาว่ากันครับ

    ผมยังมีเรื่องอยากจะเล่าให้ฟังเพิ่มเติมแบบลงรายละเอียดสักหน่อย เพื่อบันทึกเป็นข้อมูลเอาไว้ตรงนี้เพื่อให้คุณๆ ได้ติดตามความเป็นไปของสถานการณ์ทางด้านเศรษฐกิจการเงินการคลังได้อย่างครบถ้วนอยู่เรื่องหนึ่งที่สำคัญและจำเป็นควรรู้ควรทราบอย่างยิ่ง

    เรื่องของเรื่องก็คือในช่วงสุดท้ายของการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณพ.ศ.๒๕๖๘ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ทางรัฐบาลโดยสำนักงบประมาณได้เสนอขอเปลี่ยนแปลงรายการจัดสรรเงินงบประมาณให้กับรัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินของรัฐ ๕ แห่งเป็นเงินรวมกัน ๓๕,๐๐๐ ล้านบาท

    รายการที่ว่านั้นเป็นการตั้งงบประมาณชำระคืนเงินต้นและชดเชยดอกเบี้ยที่ให้หน่วยงานของรัฐออกเงินไปให้ก่อนตามมาตรา ๒๘ ของพรบ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ แต่ได้มีการเปลี่ยนแปลงโดยโอนย้ายไปเป็นรายการในงบกลางแทน โดยระบุว่าเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข็มแข็งของเศรษฐกิจ (อันนี้เป็นชื่อของโครงการดิจิตอลวอลเลตที่รัฐบาลจะทำในเอกสารงบประมาณ) เพิ่มเติมจากที่มีอยู่แล้ว ๑๕๒,๗๐๐ ล้านบาท

    นั่นเลยทำให้ค่าใช้จ่ายสำหรับโครงการดิจิตอลวอลเลตในปีงบประมาณรายจ่ายปี ๒๕๖๘ เพิ่มเป็น ๑๘๗,๗๐๐ ล้านบาทเรียบร้อยแล้ว แต่จะหาจากไหนสำหรับส่วนที่เหลืออีก ๙๗,๓๐๐ ล้านบาทเพื่อให้ครบ ๒๘๕,๐๐๐ ล้านบาท

    อันนี้น่าสนใจ

    ผมอยากให้ข้อมูลตรงนี้เพิ่มเติมว่า การเปลี่ยนแปลงโอนย้ายรายจ่ายที่จะจัดสรรให้รัฐวิหาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินของรัฐ ๕ แห่งที่ว่าไปไว้ที่อื่นนั้น ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรดูเหมือนจะเจอหนักกว่าใครเพื่อน เพราะเงินที่คาดว่าจะได้รับการชำระคืนเงินต้นและชดเชยดอกเบี้ยที่ธ.ก.ส.แบกรับภาระอยู่ประมาณ ๓๑,๒๐๐ ล้านบาท (จากยอดทั้งหมดประมาณ ๗๐๐,๐๐๐ ล้านบาท) จะถูกเลื่อนออกไป

    แบบนี้อธิบายแบบชาวบ้านก็คือรัฐบาลขอต๊ะหนี้ที่มีกับธ.ก.ส.ไว้ก่อน ส่วนจะชำระคืนเงินต้นและชดเชยดอกเบี้ยให้เมื่อไหร่? ค่อยไปว่ากันในอนาคต

    เรื่องนี้ผมคัดค้านอย่างเต็มที่ตอนที่ถกเถียงกันในที่ประชุมของคณะกรรมาธิการฯ

    แต่เมื่อเสียงข้างมากของกรรมาธิการวิสามัญฯ โดยเฉพาะกรรมาธิการที่มาในสัดส่วนของคณะรัฐมนตรีและพรรคร่วมฝ่ายรัฐบาลได้ลงมติให้เป็นไปตามนั้น ผมจึงกลายเป็นกรรมาธิการเสียงข้างน้อยในกรณีนี้

    แม้ว่าเรื่องนี้ยังไม่จบจะต้องไปว่ากันต่อในที่ประชุมวาระที่ ๒ และ ๓ เพื่อให้สส.ลงมติให้ความเห็นชอบสุดท้ายก็ตามที

    แต่เรื่องนี้บอกเราได้อย่างหนึ่งว่าโครงการดิจิตอลวอลเลตยังเดินหน้าเต็มตัว แม้จะปรับเปลี่ยนไปเป็นการจ่ายเงินสดให้กลุ่มเปราะบางไปก่อนในเฟสแรกหรือระลอกแรก (หลักๆ คือผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐของผู้มีรายได้น้อย) ทั้งเพื่อให้ทันใช้เงินให้หมดภายในปีงบประมาณรายจ่ายปี ๒๕๖๗ ซึ่งจะสิ้นสุดภายในเดือนกันยายนที่จะถึงนี้

    ส่วนจะเป็นเท่าไหร่กันแน่ระหว่างวงเงิน ๑๔๕,๐๐๐ หรือ ๑๖๕,๐๐๐ ล้านบาทนั้นคงต้องรอรัฐบาลแถลงนโยบายรัฐสภาต่อไปถึงจะชัดเจน

    พายุหมุนทางเศรษฐกิจที่พูดๆ กันก่อนหน้านี้คงไม่ใช่แล้วสำหรับตอนนี้

    แต่ก็อย่างที่บอกมาโดยตลอดแหละครับว่า ผมจะไม่หมกมุ่นอยู่กับเรื่องใดเรื่องหนึ่งนานเกินความจำเป็น

    แม้จะมีเรื่องอะไรต่อมิอะไรมากมายอย่างที่ว่าก็จริง แต่ผมก็แบ่งเวลาเพื่อทำงานที่ผมชอบอยู่เสมอ โชคดีว่าเมื่อวันศุกร์ก่อนที่จะเดินทางมาหาดจอมเทียน เพื่อร่วมงานกับธนาคารแห่งประเทศไทย ทางสำนักพิมพ์โรนินได้ส่งต้นฉบับหนังสือสองเล่มมาให้ผมตรวจทานรอบสุดท้าย

    เที่ยวเขมรฉบับพกพา และ ส่องภาพเขียนที่รัสเซีย

    ผมก็เลยเพลิดเพลินกับการอ่านหนังสือเล่มตัวอย่างก่อนที่จะส่งไปให้สำนักพิมพ์ไปจัดการให้ทางโรงพิมพ์ดำเนินการพิมพ์เพื่อจำหน่ายจ่ายแจกต่ออีกทอดในอนาคต

    แต่ที่น่ายินดีเป็นที่สุดก็คือเมื่อจบการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณปีพ.ศ.๒๕๖๘ ในช่วงต้นเดือนกันยายน (วันที่ ๓-๕ กันยายน) ก็ได้เวลาที่ผมจะไปพักผ่อนปลีกวิเวกเป็นการชั่วคราวที่ญี่ปุ่น (ดูภาพเขียน-ออนเซน) พร้อมกับวางแผนเดินทางไปรัสเซีย (ดูภาพเขียนกับเที่ยวชมเมือง) ในช่วงต้นเดือนตุลาคม และเตรียมการจะไปเที่ยวเขมรนครวัด-นครธมในช่วงต้นเดือนธันวาคมนี้ไปพร้อมกันด้วย

    พ้นจากนั้นจะไปทำอะไรที่ไหนค่อยว่ากันใหม่

    เมื่อมองย้อนกลับไปดูสิ่งที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นปี ๒๕๖๗ มาจนถึงตอนนี้ ต้องบอกเลยว่าปีนี้เป็นปีที่ดีอีกปีหนึ่งของผม ได้ทำอะไรเยอะแยะไปหมด สะสางงานเก่าเริ่มงานใหม่และก้าวเข้าไปในพรมแดนใหม่ที่ไม่เคยคิดว่าจะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยอีกต่างหาก

    แม้ว่าบ้านเมืองของเรายามนี้ จะไม่มีอะไรให้เละมากไปกว่านี้ได้แล้วก็ตามที

    การเจริญอุเบกขาธรรมจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุดครับ


    ป.ล. เรื่องการฟอร์มคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลคุณแพทองธาร ชินวัตร นี่ต้องบอกว่าไม่ง่ายเลยครับ งานนี้เราต้องปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติของการเมืองไทย อย่าเพิ่งรำคาญอย่าไปหงุดหงิด แม้จะดูแล้วเละตุ้มเป๊ะได้ถึงขนาดนี้ พรรคพลังประชารัฐกับพรรคประชาธิปัตย์จะพาตัวเองให้รอดจากสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความขัดแย้งรุนแรงในภายพรรคในเวลานี้ เพราะประเด็นการร่วมรัฐบาลของพรรคและการเป็นรัฐมนตรีของผู้บริหารของพรรคได้อย่างไร คงจะมีคำตอบภายในเร็ววันนี้

    การประชุมของธนาคารกลางสหรัฐในช่วงวันที่ ๑๗-๑๘ กันยายนที่จะถึงนี้ ถ้าหากฟังจากที่นายเจอโรม พาวเวล (Jerome Powell) ประธานธนาคารกลางไปพูดที่เมืองตากอากาศแจคสันโฮล ในรัฐไวโอมิงว่าถึงเวลาต้องปรับนโยบายการเงินด้วยการลดดอกเบี้ยนโยบายได้แล้ว เพราะหมดห่วงเรื่องเงินเฟ้อแล้ว แต่มาห่วงเรื่องการว่างงานแทนจึงทำให้ต้องลดดอกเบี้ย นั่นก็หมายความว่าการลดอัตราดอกเบี้ยนนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐที่กำหนดไว้ร้อยละ ๕.๒๕-๕.๕๐ ในปัจจุบันจะเริ่มแล้วตั้งแต่เดือนกันยายนนี้เป็นต้นไป จะลดมากน้อยลดเร็วช้าแค่ไหนไม่สำคัญเท่ากับทิศทางของดอกเบี้ยมีแนวโน้มเป็นขาลงอย่างชัดเจน

    ค่าเงิน หุ้น และอะไรที่ผูกโยงกับนโยบายการเงินของสหรัฐคงต้องปรับตัวตามไปด้วย

    สำหรับบ้านเราอัตราดอกเบี้ยนโยบายซึ่งในปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ ๒.๕๐ นั้น เท่าที่ฟังจากเกณฑ์ในการตัดสินเรื่องนี้จากผู้บริหารธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นกรรมการเสียงข้างน้อยในคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่เจอกันสุดสัปดาห์นี้ คิดว่าคงยังไม่ถึงเวลาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายครับ

    งานนี้คงต้องมีเรื่องมีราวเรื่องลดไม่ลดดอกเบี้ยระหว่างรัฐบาลคุณแพทองธาร ชินวัตร กับธนาคารแห่งประเทศไทยไปอีกสักระยะหนึ่งครับ

    บันทึกเอาไว้กันลืมว่าเดือนสิงหาคม มีผู้นำสามประเทศในเอเชียต้องเผชิญชะตากรรมที่ทำให้พ้นจากตำแหน่งแตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นบังกลาเทศ (เหมือน ๑๔ ตุลาคมปี ๒๕๑๖ ในบ้านเรา) ไทย (คงไม่ต้องบอกอะไรเพิ่มเติม) และญี่ปุ่น ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีฟูมิโอ คิชิดะ (Fumio Kishida) ได้ประกาศวางมือลงจากตำแหน่ง ส่วนกระบวนการคัดเลือกคนมาเป็นนายกรัฐมนตรีของพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลของเขาน่าสนใจครับ ถ้ามีเวลาจะหาโอกาสมาคุยให้ฟัง

    ขอจบลงตรงนี้ด้วยการแจ้งให้ทราบว่าพรบ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณพ.ศ๒๕๖๗ วงเงิน ๑๒๒,๐๐๐ ล้านบาทมีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่วันที่ ๒๓ สิงหาคม หลังจากได้นำประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาในวันที่ ๒๒ สิงหาคมที่ผ่านมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

    ใครที่รอแจกเงินสดเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ

    แต่ไม่ใช่โครงการดิจิตอลเลตเตรียมรับได้เลย


    วีระ ธีรภัทร
    วันอาทิตย์ที่ ๒๕ สิงหาคม 2567”

    ที่มา https://www.facebook.com/share/p/ZPvoLGVkV5QkhJNR/?mibextid=CTbP7E

    Thaitimes
    รีโพสต์ทัศนะของ วีระ ธีรภัทร จากเพจเฟซบุ๊ก สำนักพิมพ์โรนิน 25 สิงหาคม 2567 “ คอลัมน์ ปากท้องชาวบ้าน ไม่มีอะไรจะเละไปกว่านี้(แล้ว) แม้ว่าผมจะไม่ห่วงเรื่องอุทกภัยที่เกิดขึ้นในหลายจังหวัดในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือในขณะนี้ก็ตาม แต่ก็อดคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในปี ๒๕๕๔ ไม่ได้ หลังการเลือกตั้งในเดือนกรกฎาคมในปีนั้น พรรคเพื่อไทยเอาชนะพรรคประชาธิปัตย์แบบถล่มทลายสามารถจัดตั้งรัฐบาลโดยมีคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีได้สำเร็จ อุทกภัยน้ำท่วมใหญ่ตามมาพร้อมกับการเป็นรัฐบาลคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นั่นเลยกลายเป็นบททดสอบความสามารถในการบริหารจัดการของรัฐบาลใหม่แบบชนิดไม่ทันได้ตั้งตัว ผลเป็นไงคงพอจำกันได้ บัดนี้เราได้รัฐบาลใหม่ มีคุณแพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี แม้ว่าในขณะนี้ยังยุ่งขิงอยู่กับการสรรหาบุคคลมาเป็นรัฐมนตรีในคณะรัฐบาลไม่เสร็จ (อันนี้เละเทะมาก) ยังไม่สามารถเข้ามาบริหารราชการแผ่นดินและปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างเต็มรูปแบบ แต่น้ำเหนือก็หลากมาแล้ว แม้จะไม่น่ากลัวสำหรับคนกรุงเทพและปริมณฑลเหมือนกับเมื่อสิบสามปีก่อนหน้านี้ก็ตามที อะไรมันจะซ้ำซากกันได้ถึงขนาดนี้ แต่นั่นก็ไม่ใช่ประเด็นข้อใหญ่ในความของเรื่องที่ผมจะคุยอะไรให้ฟังวันนี้ ครับ ในช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมามีอะไรต่อมิอะไรเกิดขึ้นมากมาย หลายเรื่องไม่คิดว่าจะเป็นไปได้ถึงขนาดนั้น แม้ผมจะพอเข้าใจต้นสายปลายเหตุพอสมควร ผมเลยอยากจะเล่าอะไรต่อมิอะไรให้คุณฟังแบบเพลินๆ เท่าที่จะคิดได้เป็นสำคัญ แน่นอนล่ะครับว่ารายการ Vision For Thailand ในช่วงหัวค่ำของคืนวันพฤหัสบดีที่ ๒๒ สิงหาคมที่คุณทักษิณ ชินวัตร ไปแสดงวิสัยทัศน์ท่ามกลางคนมีอำนาจในแวดวงการเมืองและธุรกิจภาคเอกชนจำนวนมากนั้น ย่อมอยู่ในความสนใจของผู้คน จนลืมกันไปหมดว่าวันดังกล่าวตรงกับวันครบรอบหนึ่งปีของการเดินทางกลับประเทศไทยของคุณทักษิณ ความเป็นคุณทักษิณ ความเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณของพรรคเพื่อไทย และด้วยอำนาจวาสนาบารมีที่สะสมมาอย่างต่อเนื่องยาวนาน แม้จะพร่องไปบ้างในช่วงสิบห้าปีที่ลี้ภัยทางการเมืองในต่างแดน สิ่งที่คุณทักษิณคิดจึงมองข้ามไม่ได้ ทักษิณคิดเพื่อไทยทำอย่างที่รู้ๆ กัน ผมและคนอื่นๆ อีกไม่น้อยจึงเสียยอมเวลาฟังสิ่งที่คุณทักษิณคิดและอยากให้เกิดกับสังคมไทยในอนาคตตลอดหนึ่งชั่วโมงเศษที่แกคุยอยู่คนเดียวด้วยความตั้งอกตั้งใจ สำหรับผมสิ่งที่คุณทักษิณคิดออกมาดังๆ ไม่ใช่เรื่องใหม่เป็นประเด็นปัญหาที่เราพอรู้พอทราบกันอยู่ แต่ความน่าสนใจอยู่ตรงที่ว่าสิ่งที่คุณทักษิณ รัฐบาลพรรคเพื่อไทยจะเอาไปทำหรืออย่างน้อยก็เอาไปคิดต่อว่าจะทำต่อไปเป็นประเด็นที่น่าสนใจมากเป็นพิเศษ ตรงนี้จึงมีความหมายมากกว่าการแสดงความคิดเห็นของคนทั่วไป แม้ว่าข้อเสนอจำนวนมากเป็นเรื่องที่ผมพอทราบมาก่อน ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง โครงการดิจิทัลวอลเลต การชี้นำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยลดดอกเบี้ยและเพิ่มการให้สินเชื่อเพื่อเป็นการเติมสภาพคล่องให้กับภาคเศรษฐกิจ โครงการแลนด์บริดจ์ โครงการค่าโดยสารรถไฟฟ้า ๒๐ บาทตลอดสาย โครงการเอ็นเทอร์เทนเมนท์คอมเพล็กซ์ กองทุนวายุภักษ์ ฯลฯ ล้วนเป็นประเด็นที่จะต้องมีการตัดสินใจและขับเคลื่อนกันต่อไปในรัฐบาลของคุณแพทองธาร ชินวัตร ต่อไป นี่จึงเป็นข้อเสนอคำแนะนำที่ไม่ธรรมดาเพราะสามารถจะกลายเป็นนโยบายของรัฐบาลได้อย่างแยบคาย ผมจะไม่วิพากษ์วิจารณ์อะไรในเรื่องที่ว่าในตอนนี้ อยากจะรอดูก่อนว่าข้อเสนอดังกล่าวจะกลายเป็นนโยบายและมาตรการของรัฐบาลคุณแพทองธารในเนื้อหารายละเอียดอย่างไรให้ชัดเจนเสียก่อน แถมอันที่จริงแล้วในช่วงนี้ต้องบอกว่า ผมอยู่ในช่วงที่ผ่อนคลายมากมีเวลาเหลือมากขึ้น แถมได้ทำสิ่งที่ไม่ได้ทำมานานมากแล้วอีกต่างหาก ลำดับแรกเลย งานในฐานะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณพ.ศ.๒๕๖๘ ซึ่งผมต้องไปประชุมรวมกันถึง ๔๐ ครั้งตลอดระยะเวลาสองเดือนเต็มๆ ที่ผ่านมา (นับหนึ่งวันจันทร์ที่ ๒๔ มิถุนายน) ถือว่าจบสิ้นแล้วในแง่ของกระบวนการพิจารณา แม้ยังไม่จบเสียทีเดียวเพราะต้องมีพิธีกรรมอีกเล็กน้อยในสัปดาห์นี้และสัปดาห์หน้า วันพุธที่ ๒๘ สิงหาคมจะเป็นการประชุมครั้งที่ ๔๑ ซึ่งเป็นครั้งสุดท้ายของกรรมาธิการเพื่อตรวจทานและลงมติรับร่างพรบ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณพ.ศ.๒๕๖๘ ว่าจะเอาแบบไหน? อย่างไร? โดยมีกรรมาธิการและสส.จำนวนไม่น้อย ได้สงวนความเห็นและขอแปรญัตติเพื่อจะไปอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎร ก่อนที่จะมีการลงมติให้ความเห็นชอบในวาระที่ ๒ และ ๓ ในช่วงวันที่ ๓-๕ กันยายนที่จะถึงนี้ อันนี้น่าสนใจติดตามฟังกันครับ งานที่ว่านี้ดำเนินไปโดยยังไม่มีรัฐบาลใหม่ มีแต่เพียงนายกรัฐมนตรีที่ยังไม่สามารถเข้าปฏิบัติหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินได้ นี่ต้องบอกว่าเป็นเรื่องแปลก แม้ผมจะเข้าใจว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้นก็ตามที ลำดับถัดมา ผมไปร่วมรายการ BOT Press Trip 2024 ที่โรงแรม Andaz แถวหาดจอมเทียน จังหวัดชลบุรี แม้จะห่างเหินจากการไปร่วมงานในฐานะสื่อมวลชนกับธนาคารแห่งประเทศไทยแบบนี้มานานมากแล้ว แต่ที่ผมอยากไปก็เพราะว่างานนี้มีประเด็นที่ผมอยากสอบถามให้แน่ใจว่าอะไรเป็นอะไรจากปากของผู้บริหารธนาคารแห่งประเทศไทยด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นโอกาสดีมากเพราะว่าไปกันครบถ้วนเกือบทั้งหมด เหมือนเราไปเดินห้างสรรพสินค้าเพื่อซื้อของที่ต้องการได้ทั้งหมดในสถานที่เพียงแห่งเดียว ผู้บริหารธนาคารแห่งประเทศไทย นำโดยคุณเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ปีหน้าครบวาระห้าปีเป็นต่อไม่ได้) พร้อมกับรองผู้ว่าการและผู้ช่วยผู้ว่าการ ๑๑ คนโดยไม่รวมระดับผู้บริหารระดับปฏิบัติการในฝ่ายต่างๆ ที่มากันเป็นกองทัพ อะไรที่ผมสงสัยไม่แน่ใจในเรื่องนโยบายการเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยบริหารจัดการอยู่ในเวลานี้ จึงถือโอกาสไปร่วมงานนี้ สอบถามพูดคุยกับคนที่ดูแลนโยบายและคนที่ลงมือปฏิบัติการจริงเพื่อให้เกิดความชัดเจนและได้ข้อมูลที่ต้องการครบถ้วน เอาเป็นว่าเรื่องระหว่างรัฐบาล กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย ที่เคยปีนเกลียวกันในช่วงรัฐบาลคุณเศรษฐา ทวีสิน ที่ผ่านมาและที่อาจจะมีการปะทะปะทั่งกันในช่วงรัฐบาลคุณแพทองธาร ชินวัตร ในอนาคตอันใกล้นี้ ผมพอเข้าใจต้นสายปลายเหตุแล้ว เรื่องหลายเรื่องที่รัฐบาลอยากทำแล้วทำไม่ได้ เรื่องหลายเรื่องที่ถกเถียงกันระหว่างรัฐบาลกับธนาคารแห่งประเทศไทย ว่าควรทำแบบไหนไม่ควรทำแบบไหน ไม่ว่าจะเป็นโครงการดิจิตอลวอลเลต การปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโบบาย ฯลฯ การได้พูดคุยกับคนที่เกี่ยวข้องโดยตรง ทำให้ผมพอปะติดปะต่อภาพได้เกือบครบถ้วนตามที่ต้องการแล้ว จะเอาไปทำอะไรต่อที่ไหน? อย่างไร? และเมื่อไหร่? เดี๋ยวค่อยมาว่ากันครับ ผมยังมีเรื่องอยากจะเล่าให้ฟังเพิ่มเติมแบบลงรายละเอียดสักหน่อย เพื่อบันทึกเป็นข้อมูลเอาไว้ตรงนี้เพื่อให้คุณๆ ได้ติดตามความเป็นไปของสถานการณ์ทางด้านเศรษฐกิจการเงินการคลังได้อย่างครบถ้วนอยู่เรื่องหนึ่งที่สำคัญและจำเป็นควรรู้ควรทราบอย่างยิ่ง เรื่องของเรื่องก็คือในช่วงสุดท้ายของการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณพ.ศ.๒๕๖๘ เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ทางรัฐบาลโดยสำนักงบประมาณได้เสนอขอเปลี่ยนแปลงรายการจัดสรรเงินงบประมาณให้กับรัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินของรัฐ ๕ แห่งเป็นเงินรวมกัน ๓๕,๐๐๐ ล้านบาท รายการที่ว่านั้นเป็นการตั้งงบประมาณชำระคืนเงินต้นและชดเชยดอกเบี้ยที่ให้หน่วยงานของรัฐออกเงินไปให้ก่อนตามมาตรา ๒๘ ของพรบ.วินัยการเงินการคลังของรัฐ แต่ได้มีการเปลี่ยนแปลงโดยโอนย้ายไปเป็นรายการในงบกลางแทน โดยระบุว่าเป็นค่าใช้จ่ายเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างความเข็มแข็งของเศรษฐกิจ (อันนี้เป็นชื่อของโครงการดิจิตอลวอลเลตที่รัฐบาลจะทำในเอกสารงบประมาณ) เพิ่มเติมจากที่มีอยู่แล้ว ๑๕๒,๗๐๐ ล้านบาท นั่นเลยทำให้ค่าใช้จ่ายสำหรับโครงการดิจิตอลวอลเลตในปีงบประมาณรายจ่ายปี ๒๕๖๘ เพิ่มเป็น ๑๘๗,๗๐๐ ล้านบาทเรียบร้อยแล้ว แต่จะหาจากไหนสำหรับส่วนที่เหลืออีก ๙๗,๓๐๐ ล้านบาทเพื่อให้ครบ ๒๘๕,๐๐๐ ล้านบาท อันนี้น่าสนใจ ผมอยากให้ข้อมูลตรงนี้เพิ่มเติมว่า การเปลี่ยนแปลงโอนย้ายรายจ่ายที่จะจัดสรรให้รัฐวิหาหกิจที่เป็นสถาบันการเงินของรัฐ ๕ แห่งที่ว่าไปไว้ที่อื่นนั้น ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตรดูเหมือนจะเจอหนักกว่าใครเพื่อน เพราะเงินที่คาดว่าจะได้รับการชำระคืนเงินต้นและชดเชยดอกเบี้ยที่ธ.ก.ส.แบกรับภาระอยู่ประมาณ ๓๑,๒๐๐ ล้านบาท (จากยอดทั้งหมดประมาณ ๗๐๐,๐๐๐ ล้านบาท) จะถูกเลื่อนออกไป แบบนี้อธิบายแบบชาวบ้านก็คือรัฐบาลขอต๊ะหนี้ที่มีกับธ.ก.ส.ไว้ก่อน ส่วนจะชำระคืนเงินต้นและชดเชยดอกเบี้ยให้เมื่อไหร่? ค่อยไปว่ากันในอนาคต เรื่องนี้ผมคัดค้านอย่างเต็มที่ตอนที่ถกเถียงกันในที่ประชุมของคณะกรรมาธิการฯ แต่เมื่อเสียงข้างมากของกรรมาธิการวิสามัญฯ โดยเฉพาะกรรมาธิการที่มาในสัดส่วนของคณะรัฐมนตรีและพรรคร่วมฝ่ายรัฐบาลได้ลงมติให้เป็นไปตามนั้น ผมจึงกลายเป็นกรรมาธิการเสียงข้างน้อยในกรณีนี้ แม้ว่าเรื่องนี้ยังไม่จบจะต้องไปว่ากันต่อในที่ประชุมวาระที่ ๒ และ ๓ เพื่อให้สส.ลงมติให้ความเห็นชอบสุดท้ายก็ตามที แต่เรื่องนี้บอกเราได้อย่างหนึ่งว่าโครงการดิจิตอลวอลเลตยังเดินหน้าเต็มตัว แม้จะปรับเปลี่ยนไปเป็นการจ่ายเงินสดให้กลุ่มเปราะบางไปก่อนในเฟสแรกหรือระลอกแรก (หลักๆ คือผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐของผู้มีรายได้น้อย) ทั้งเพื่อให้ทันใช้เงินให้หมดภายในปีงบประมาณรายจ่ายปี ๒๕๖๗ ซึ่งจะสิ้นสุดภายในเดือนกันยายนที่จะถึงนี้ ส่วนจะเป็นเท่าไหร่กันแน่ระหว่างวงเงิน ๑๔๕,๐๐๐ หรือ ๑๖๕,๐๐๐ ล้านบาทนั้นคงต้องรอรัฐบาลแถลงนโยบายรัฐสภาต่อไปถึงจะชัดเจน พายุหมุนทางเศรษฐกิจที่พูดๆ กันก่อนหน้านี้คงไม่ใช่แล้วสำหรับตอนนี้ แต่ก็อย่างที่บอกมาโดยตลอดแหละครับว่า ผมจะไม่หมกมุ่นอยู่กับเรื่องใดเรื่องหนึ่งนานเกินความจำเป็น แม้จะมีเรื่องอะไรต่อมิอะไรมากมายอย่างที่ว่าก็จริง แต่ผมก็แบ่งเวลาเพื่อทำงานที่ผมชอบอยู่เสมอ โชคดีว่าเมื่อวันศุกร์ก่อนที่จะเดินทางมาหาดจอมเทียน เพื่อร่วมงานกับธนาคารแห่งประเทศไทย ทางสำนักพิมพ์โรนินได้ส่งต้นฉบับหนังสือสองเล่มมาให้ผมตรวจทานรอบสุดท้าย เที่ยวเขมรฉบับพกพา และ ส่องภาพเขียนที่รัสเซีย ผมก็เลยเพลิดเพลินกับการอ่านหนังสือเล่มตัวอย่างก่อนที่จะส่งไปให้สำนักพิมพ์ไปจัดการให้ทางโรงพิมพ์ดำเนินการพิมพ์เพื่อจำหน่ายจ่ายแจกต่ออีกทอดในอนาคต แต่ที่น่ายินดีเป็นที่สุดก็คือเมื่อจบการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณปีพ.ศ.๒๕๖๘ ในช่วงต้นเดือนกันยายน (วันที่ ๓-๕ กันยายน) ก็ได้เวลาที่ผมจะไปพักผ่อนปลีกวิเวกเป็นการชั่วคราวที่ญี่ปุ่น (ดูภาพเขียน-ออนเซน) พร้อมกับวางแผนเดินทางไปรัสเซีย (ดูภาพเขียนกับเที่ยวชมเมือง) ในช่วงต้นเดือนตุลาคม และเตรียมการจะไปเที่ยวเขมรนครวัด-นครธมในช่วงต้นเดือนธันวาคมนี้ไปพร้อมกันด้วย พ้นจากนั้นจะไปทำอะไรที่ไหนค่อยว่ากันใหม่ เมื่อมองย้อนกลับไปดูสิ่งที่เกิดขึ้นตั้งแต่ต้นปี ๒๕๖๗ มาจนถึงตอนนี้ ต้องบอกเลยว่าปีนี้เป็นปีที่ดีอีกปีหนึ่งของผม ได้ทำอะไรเยอะแยะไปหมด สะสางงานเก่าเริ่มงานใหม่และก้าวเข้าไปในพรมแดนใหม่ที่ไม่เคยคิดว่าจะต้องเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยอีกต่างหาก แม้ว่าบ้านเมืองของเรายามนี้ จะไม่มีอะไรให้เละมากไปกว่านี้ได้แล้วก็ตามที การเจริญอุเบกขาธรรมจึงเป็นทางออกที่ดีที่สุดครับ ป.ล. เรื่องการฟอร์มคณะรัฐมนตรีของรัฐบาลคุณแพทองธาร ชินวัตร นี่ต้องบอกว่าไม่ง่ายเลยครับ งานนี้เราต้องปล่อยให้เป็นไปตามธรรมชาติของการเมืองไทย อย่าเพิ่งรำคาญอย่าไปหงุดหงิด แม้จะดูแล้วเละตุ้มเป๊ะได้ถึงขนาดนี้ พรรคพลังประชารัฐกับพรรคประชาธิปัตย์จะพาตัวเองให้รอดจากสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นความขัดแย้งรุนแรงในภายพรรคในเวลานี้ เพราะประเด็นการร่วมรัฐบาลของพรรคและการเป็นรัฐมนตรีของผู้บริหารของพรรคได้อย่างไร คงจะมีคำตอบภายในเร็ววันนี้ การประชุมของธนาคารกลางสหรัฐในช่วงวันที่ ๑๗-๑๘ กันยายนที่จะถึงนี้ ถ้าหากฟังจากที่นายเจอโรม พาวเวล (Jerome Powell) ประธานธนาคารกลางไปพูดที่เมืองตากอากาศแจคสันโฮล ในรัฐไวโอมิงว่าถึงเวลาต้องปรับนโยบายการเงินด้วยการลดดอกเบี้ยนโยบายได้แล้ว เพราะหมดห่วงเรื่องเงินเฟ้อแล้ว แต่มาห่วงเรื่องการว่างงานแทนจึงทำให้ต้องลดดอกเบี้ย นั่นก็หมายความว่าการลดอัตราดอกเบี้ยนนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐที่กำหนดไว้ร้อยละ ๕.๒๕-๕.๕๐ ในปัจจุบันจะเริ่มแล้วตั้งแต่เดือนกันยายนนี้เป็นต้นไป จะลดมากน้อยลดเร็วช้าแค่ไหนไม่สำคัญเท่ากับทิศทางของดอกเบี้ยมีแนวโน้มเป็นขาลงอย่างชัดเจน ค่าเงิน หุ้น และอะไรที่ผูกโยงกับนโยบายการเงินของสหรัฐคงต้องปรับตัวตามไปด้วย สำหรับบ้านเราอัตราดอกเบี้ยนโยบายซึ่งในปัจจุบันอยู่ที่ร้อยละ ๒.๕๐ นั้น เท่าที่ฟังจากเกณฑ์ในการตัดสินเรื่องนี้จากผู้บริหารธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นกรรมการเสียงข้างน้อยในคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่เจอกันสุดสัปดาห์นี้ คิดว่าคงยังไม่ถึงเวลาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายครับ งานนี้คงต้องมีเรื่องมีราวเรื่องลดไม่ลดดอกเบี้ยระหว่างรัฐบาลคุณแพทองธาร ชินวัตร กับธนาคารแห่งประเทศไทยไปอีกสักระยะหนึ่งครับ บันทึกเอาไว้กันลืมว่าเดือนสิงหาคม มีผู้นำสามประเทศในเอเชียต้องเผชิญชะตากรรมที่ทำให้พ้นจากตำแหน่งแตกต่างกันไป ไม่ว่าจะเป็นบังกลาเทศ (เหมือน ๑๔ ตุลาคมปี ๒๕๑๖ ในบ้านเรา) ไทย (คงไม่ต้องบอกอะไรเพิ่มเติม) และญี่ปุ่น ทั้งนี้นายกรัฐมนตรีฟูมิโอ คิชิดะ (Fumio Kishida) ได้ประกาศวางมือลงจากตำแหน่ง ส่วนกระบวนการคัดเลือกคนมาเป็นนายกรัฐมนตรีของพรรคเสรีประชาธิปไตย (LDP) ซึ่งเป็นพรรครัฐบาลของเขาน่าสนใจครับ ถ้ามีเวลาจะหาโอกาสมาคุยให้ฟัง ขอจบลงตรงนี้ด้วยการแจ้งให้ทราบว่าพรบ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณพ.ศ๒๕๖๗ วงเงิน ๑๒๒,๐๐๐ ล้านบาทมีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่วันที่ ๒๓ สิงหาคม หลังจากได้นำประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาในวันที่ ๒๒ สิงหาคมที่ผ่านมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ใครที่รอแจกเงินสดเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ไม่ใช่โครงการดิจิตอลเลตเตรียมรับได้เลย วีระ ธีรภัทร วันอาทิตย์ที่ ๒๕ สิงหาคม 2567” ที่มา https://www.facebook.com/share/p/ZPvoLGVkV5QkhJNR/?mibextid=CTbP7E Thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 714 มุมมอง 0 รีวิว
  • สถานการณ์พลิกอีก “บิ๊กป้อม” กลับลำออกแถลงการณ์หวานเจี๊ยบ ส่ง 4 ชื่อ รมต.เดิมยุค ”เศรษฐา" ร่วมรัฐบาล "อุ๊งอิ๊ง" ให้ตรวจคุณสมบัติแล้ว ลั่น พปชร.มี 40 ที่นั่ง
    .
    วันนี้(21 ส.ค.) พรรคพลังประชารัฐ ออกแถลงการณ์ ใจความว่า ตามที่ปรากฏเป็นข่าวเกี่ยวกับพรรคพลังประชารัฐในขณะนี้นั้น พรรคพลังประชารัฐ ขอเรียนชี้แจงต่อสมาชิกพรรค พี่น้องประชาชนและสื่อมวลชนเพื่อทราบ ดังนี้
    .
    ที่ผ่านมาพรรคพลังประชารัฐได้เข้าร่วมเป็นรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยมาโดยตลอดตั้งแต่รัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลโดยพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล พรรคพลังประชารัฐได้มีมติเข้าร่วมรัฐบาลกับ พรรคเพื่อไทยโดยได้มีการแถลงข่าวร่วมกับพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลอื่นๆไปเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2567 และในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2567 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคพลังประชารัฐได้ลงมติเห็นชอบให้หัวหน้าพรรคเพื่อไทย นางสาวแพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี
    .
    ซึ่งเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2567 หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐได้ส่งรายชื่อบุคคลซึ่งพรรคเห็นชอบให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีของพรรค จำนวน 4 ท่าน ไปให้นายกรัฐมนตรีนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ผ่านนายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี แล้วโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งและบุคคลใดๆ (เป็นบุคคลและตำแหน่งเดิมในสมัยรัฐบาลนายกเศรษฐา ทวีสิน ที่ผ่านมา) ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนของทางสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี จะได้ดำเนินการตรวจสอบคุณสมบัติตามกระบวนการต่อไป
    .
    ปัจจุบันพรรคพลังประชารัฐยังคงมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่เป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ จำนวน 40 ท่าน ที่มีเจตนารมณ์ร่วมกันในการเป็นพรรคร่วมรัฐบาลเพื่อสนับสนุนนายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ในการบริหารราชการแผ่นดินเพื่อประโยชน์สุขของประเทศชาติ และพี่น้อง ประชาชนต่อไป
    สถานการณ์พลิกอีก “บิ๊กป้อม” กลับลำออกแถลงการณ์หวานเจี๊ยบ ส่ง 4 ชื่อ รมต.เดิมยุค ”เศรษฐา" ร่วมรัฐบาล "อุ๊งอิ๊ง" ให้ตรวจคุณสมบัติแล้ว ลั่น พปชร.มี 40 ที่นั่ง . วันนี้(21 ส.ค.) พรรคพลังประชารัฐ ออกแถลงการณ์ ใจความว่า ตามที่ปรากฏเป็นข่าวเกี่ยวกับพรรคพลังประชารัฐในขณะนี้นั้น พรรคพลังประชารัฐ ขอเรียนชี้แจงต่อสมาชิกพรรค พี่น้องประชาชนและสื่อมวลชนเพื่อทราบ ดังนี้ . ที่ผ่านมาพรรคพลังประชารัฐได้เข้าร่วมเป็นรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยมาโดยตลอดตั้งแต่รัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน เป็นนายกรัฐมนตรี ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงรัฐบาลโดยพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล พรรคพลังประชารัฐได้มีมติเข้าร่วมรัฐบาลกับ พรรคเพื่อไทยโดยได้มีการแถลงข่าวร่วมกับพรรคการเมืองร่วมรัฐบาลอื่นๆไปเมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2567 และในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2567 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรคพลังประชารัฐได้ลงมติเห็นชอบให้หัวหน้าพรรคเพื่อไทย นางสาวแพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี . ซึ่งเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม 2567 หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐได้ส่งรายชื่อบุคคลซึ่งพรรคเห็นชอบให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีของพรรค จำนวน 4 ท่าน ไปให้นายกรัฐมนตรีนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ผ่านนายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี แล้วโดยไม่มีการเปลี่ยนแปลงตำแหน่งและบุคคลใดๆ (เป็นบุคคลและตำแหน่งเดิมในสมัยรัฐบาลนายกเศรษฐา ทวีสิน ที่ผ่านมา) ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนของทางสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี จะได้ดำเนินการตรวจสอบคุณสมบัติตามกระบวนการต่อไป . ปัจจุบันพรรคพลังประชารัฐยังคงมีสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่เป็นสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ จำนวน 40 ท่าน ที่มีเจตนารมณ์ร่วมกันในการเป็นพรรคร่วมรัฐบาลเพื่อสนับสนุนนายกรัฐมนตรี นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ในการบริหารราชการแผ่นดินเพื่อประโยชน์สุขของประเทศชาติ และพี่น้อง ประชาชนต่อไป
    Like
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 1606 มุมมอง 0 รีวิว
  • #อีกหนึ่งความหรรษา
    ด้วยความใจร้อน พอรู้ว่านิดถูกถอด
    รีบโทรไปเรียกพรรคร่วมมาเคลียที่บ้านจันทร์ส่องหล้า
    พบปรากฏว่า บ้านจันทร์ส่องหล้าคือสถานที่พักโทษของโทนี่
    ที่ถูกระบุไว้ที่ราชทัณฑ์ ไม่ใช่บ้านอิ๊ง หรือพรรคเพื่อไทย
    ครบองค์ประกอบ เตรียมถูกร้องเรียน
    ครอบงำพรรคการเมือง เป็นอันดับต่อปายยยยย
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #อีกหนึ่งความหรรษา ด้วยความใจร้อน พอรู้ว่านิดถูกถอด รีบโทรไปเรียกพรรคร่วมมาเคลียที่บ้านจันทร์ส่องหล้า พบปรากฏว่า บ้านจันทร์ส่องหล้าคือสถานที่พักโทษของโทนี่ ที่ถูกระบุไว้ที่ราชทัณฑ์ ไม่ใช่บ้านอิ๊ง หรือพรรคเพื่อไทย ครบองค์ประกอบ เตรียมถูกร้องเรียน ครอบงำพรรคการเมือง เป็นอันดับต่อปายยยยย #คิงส์โพธิ์แดง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 153 มุมมอง 0 รีวิว
  • ไหนๆก็ไหนๆสำหรับคนที่ยังเข้าใจผิด
    #ไปกล่าวหาว่าคุณหญิงหน่อยไปซูฮกโทนี่
    และเห็นด้วยกับสส.ลูกพรรคที่ไปยกมือสนับสนุน
    และบอกเป็นละครนั้น
    พี่คิงส์ฯไม่อยากให้แฟนเพจหลงทางข่าวสาร
    หญิงหน่อยเป็นคนที่เจ็บตัวมากที่สุด ที่พาพรรค
    ไปสู่พรรคเพื่อไทยห่างจากอนาคตใหม่ไม่กี่คะแนน
    แต่สุดท้าย โทนี่ส่งเมีย ส่งน้องมาป่วนพรรค
    ยึดอำนาจคืน และเขี่ยคนของหญิงหน่อยให้อยู่ไม่ได้
    มันเป็นยิ่งกว่าความโกรธ แต่มันคือความแค้นที่จำจนวันตรุย
    คุณหญิงก็สู้อุตส่าห์มาเริ่มใหม่ เพื่อสานความตั้งใจทางการเมือง
    ฟูมฟักคนที่ไม่เคยได้เป็นสส.เลย สอบตกทุกคน
    เอามาผลักดันจนได้เป็น สส.ถึงหกคน
    แต่สุดท้าย โทนี่แอบติดต่อยัดกล้วยให้หกสส.
    มายกมือสนับสนุนอิ๊งหน้าตาเฉย
    ยิ่งกว่าการถูกข้ามหัว แต่มันคือการหยามศักดิ์ศรี
    ดังนั้น ตอนนี้หญิงหน่อยรู้สึกถึงการถูกคุ-ก-ค-า-ม
    และจากนี้ไป คิงส์บอกเลย หญิงหน่อยนี่แหละ
    ที่จะสั่นคลอนเพื่อไทยให้ระส่ำ ให้โทนี่ต้องไร้ซึ่งความสุข
    และไม่ใช่หญิงหน่อยคนเดียวนะ คนจองกฐินเพียบ
    อยู่บำรุง และอีกหลายๆคน
    ตอนนี้เค้ารอให้อิ๊งถวายสัตย์ก่อนให้เป็นนายกแบบสมบูรณ์ก่อน
    แล้วเตรียมรับแรงพ-า-ยุ-แห่งกรรมได้เลย โทนี่เอ๊ย
    #คิงส์โพธิ์แดง
    ไหนๆก็ไหนๆสำหรับคนที่ยังเข้าใจผิด #ไปกล่าวหาว่าคุณหญิงหน่อยไปซูฮกโทนี่ และเห็นด้วยกับสส.ลูกพรรคที่ไปยกมือสนับสนุน และบอกเป็นละครนั้น พี่คิงส์ฯไม่อยากให้แฟนเพจหลงทางข่าวสาร หญิงหน่อยเป็นคนที่เจ็บตัวมากที่สุด ที่พาพรรค ไปสู่พรรคเพื่อไทยห่างจากอนาคตใหม่ไม่กี่คะแนน แต่สุดท้าย โทนี่ส่งเมีย ส่งน้องมาป่วนพรรค ยึดอำนาจคืน และเขี่ยคนของหญิงหน่อยให้อยู่ไม่ได้ มันเป็นยิ่งกว่าความโกรธ แต่มันคือความแค้นที่จำจนวันตรุย คุณหญิงก็สู้อุตส่าห์มาเริ่มใหม่ เพื่อสานความตั้งใจทางการเมือง ฟูมฟักคนที่ไม่เคยได้เป็นสส.เลย สอบตกทุกคน เอามาผลักดันจนได้เป็น สส.ถึงหกคน แต่สุดท้าย โทนี่แอบติดต่อยัดกล้วยให้หกสส. มายกมือสนับสนุนอิ๊งหน้าตาเฉย ยิ่งกว่าการถูกข้ามหัว แต่มันคือการหยามศักดิ์ศรี ดังนั้น ตอนนี้หญิงหน่อยรู้สึกถึงการถูกคุ-ก-ค-า-ม และจากนี้ไป คิงส์บอกเลย หญิงหน่อยนี่แหละ ที่จะสั่นคลอนเพื่อไทยให้ระส่ำ ให้โทนี่ต้องไร้ซึ่งความสุข และไม่ใช่หญิงหน่อยคนเดียวนะ คนจองกฐินเพียบ อยู่บำรุง และอีกหลายๆคน ตอนนี้เค้ารอให้อิ๊งถวายสัตย์ก่อนให้เป็นนายกแบบสมบูรณ์ก่อน แล้วเตรียมรับแรงพ-า-ยุ-แห่งกรรมได้เลย โทนี่เอ๊ย #คิงส์โพธิ์แดง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 223 มุมมอง 0 รีวิว
  • บิ๊กป้อมวุฒิภาวะต่ำ โปรดรับผิดชอบด้วย

    เหตุการณ์ไม่คาดคิดระหว่างสื่อมวลชนกำลังสัมภาษณ์ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ประธานคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ถึงการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ปรากฎว่า พล.อ.ประวิตร ใช้มือตบศีรษะ ดวงทิพย์ เยี่ยมภพ ผู้สื่อข่าวสายทหาร สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส พร้อมกล่าวว่า "ถามไร...ถามไร" ก่อนขึ้นรถยนต์

    พล.อ.ประวิตร ย้ำว่า "ถามอะไรก็ไม่ได้ยิน แล้วยังจะถามอีก" และเมื่อถามถึง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ได้รับโหวตเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ตอบว่า "วู้...ถามอะไรวะ" ก่อนที่รถจะเคลื่อนออกไป เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่สำนักงานคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทย (บ้านอัมพวัน) เมื่อช่วงบ่ายวันศุกร์ที่ผ่านมา (16 ส.ค.)

    ทันทีที่วีดีโอคลิปจากผู้สื่อข่าวภาคสนามเป็นไวรัล บรรดาเพื่อนสื่อมวลชนต่างแสดงความไม่พอใจถึงวุฒิภาวะของ พล.อ.ประวิตร หรือ บิ๊กป้อม อดีตนายทหารและนักการเมืองวัย 79 ปีผู้นี้ พร้อมตั้งคำถามถึงการกระทำดังกล่าวว่า มีสิทธิ์อะไรมาตีผู้สื่อข่าวแบบนี้ ทั้งที่สิ่งที่นักข่าวถามไม่ได้ล่วงเกิน หรือรุนแรงอะไร

    ทันใดนั้น สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ออกแถลงการณ์แสดงความกังวลพฤติกรรมคุกคามสื่อ เรียกร้องให้เกียรติผู้ปฏิบัติหน้าที่ โดยเห็นว่าการกระทำดังกล่าวเข้าข่าย ข่มขู่ คุกคามสิทธิเสรีภาพในการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน จึงขอให้ พล.อ.ประวิตร แสดงความรับผิดชอบต่อการกระทำดังกล่าว

    "ขณะเดียวกัน ขอเตือนไปยังบุคคลใดก็ตามพึงระมัดระวังการใช้อารมณ์รุนแรงชั่ววูบอันอาจก่อให้เกิดผลเสียตามมาได้ และขอให้หลีกเลี่ยงพฤติกรรมคุกคามเหล่านี้ สิ่งสำคัญควรให้เกียรติผู้ปฏิบัติงานในแต่ละวิชาชีพ รวมถึงเคารพการทำหน้าที่ซึ่งกันและกันด้วย" แถลงการณ์สมาคมนักข่าวฯ ระบุ

    ด้านองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) หรือไทยพีบีเอส ออกแถลงการณ์ระบุว่า ในฐานะหน่วยงานต้นสังกัด เห็นว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการคุกคามการทำหน้าที่ผู้สื่อข่าว

    "การตั้งคำถามด้วยถ้อยคำ และท่าทีสุภาพในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับผู้ถูกสัมภาษณ์ ดังปรากฎในคลิปวีดีโอ ที่ถูกเผยแพร่เป็นที่ประจักษ์นั้น ชัดเจนว่า เป็นการทำหน้าที่ผู้สื่อข่าวโดยสุจริต การถูกกระทำทางกายจากแหล่งข่าวเช่นนี้ จึงเป็นเรื่องที่ไม่อาจยอมรับได้ และถือเป็นพฤติกรรมที่ย่อมส่งผลกระทบต่อจิตใจและความรู้สึกปลอดภัยของผู้สื่อข่าว-ช่างภาพ ที่อยู่ร่วมในเหตุการณ์เดียวกันด้วย" แถลงการณ์ไทยพีบีเอส ระบุ

    ไทยพีบีเอส เรียกร้องให้ พล.อ.ประวิตร แสดงความรับผิดชอบต่อการคุกคามผู้สื่อข่าวครั้งนี้ และขอให้องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนต่างๆ ร่วมหามาตรการดำเนินการที่เหมาะสมเพื่อคุ้มครองสื่อมวลชนต่อไป

    มีรายงานว่า พล.อ.ประวิตร ได้ให้นายทหารคนสนิท อย่าง พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม โทรศัพท์สายตรงมาถึงผู้สื่อข่าว อ้างว่าเรื่องดังกล่าวไม่ได้ตั้งใจ หลังจากนั้นได้ส่งสายโทรศัพท์ให้ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่าตนเองไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้มีเจตนาอะไรเลย เพราะปกติแล้วตนเองก็ได้พูดล้อเล่น และแหย่เล่นกับผู้สื่อข่าวที่คุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นประจำอยู่แล้ว

    แต่ก็ไม่อาจหยุดยั้งความโกรธแค้นของคนที่รับรู้เรื่องราว ต่างเรียกร้องให้ พล.อ.ประวิตร แสดงความรับผิดชอบต่อเรื่องนี้อย่างถึงที่สุด

    #Newskit #ประวิตร #คุกคามสื่อ
    บิ๊กป้อมวุฒิภาวะต่ำ โปรดรับผิดชอบด้วย เหตุการณ์ไม่คาดคิดระหว่างสื่อมวลชนกำลังสัมภาษณ์ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ประธานคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ถึงการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี ปรากฎว่า พล.อ.ประวิตร ใช้มือตบศีรษะ ดวงทิพย์ เยี่ยมภพ ผู้สื่อข่าวสายทหาร สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส พร้อมกล่าวว่า "ถามไร...ถามไร" ก่อนขึ้นรถยนต์ พล.อ.ประวิตร ย้ำว่า "ถามอะไรก็ไม่ได้ยิน แล้วยังจะถามอีก" และเมื่อถามถึง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ได้รับโหวตเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรี ก็ตอบว่า "วู้...ถามอะไรวะ" ก่อนที่รถจะเคลื่อนออกไป เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่สำนักงานคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทย (บ้านอัมพวัน) เมื่อช่วงบ่ายวันศุกร์ที่ผ่านมา (16 ส.ค.) ทันทีที่วีดีโอคลิปจากผู้สื่อข่าวภาคสนามเป็นไวรัล บรรดาเพื่อนสื่อมวลชนต่างแสดงความไม่พอใจถึงวุฒิภาวะของ พล.อ.ประวิตร หรือ บิ๊กป้อม อดีตนายทหารและนักการเมืองวัย 79 ปีผู้นี้ พร้อมตั้งคำถามถึงการกระทำดังกล่าวว่า มีสิทธิ์อะไรมาตีผู้สื่อข่าวแบบนี้ ทั้งที่สิ่งที่นักข่าวถามไม่ได้ล่วงเกิน หรือรุนแรงอะไร ทันใดนั้น สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ออกแถลงการณ์แสดงความกังวลพฤติกรรมคุกคามสื่อ เรียกร้องให้เกียรติผู้ปฏิบัติหน้าที่ โดยเห็นว่าการกระทำดังกล่าวเข้าข่าย ข่มขู่ คุกคามสิทธิเสรีภาพในการทำหน้าที่ของสื่อมวลชน จึงขอให้ พล.อ.ประวิตร แสดงความรับผิดชอบต่อการกระทำดังกล่าว "ขณะเดียวกัน ขอเตือนไปยังบุคคลใดก็ตามพึงระมัดระวังการใช้อารมณ์รุนแรงชั่ววูบอันอาจก่อให้เกิดผลเสียตามมาได้ และขอให้หลีกเลี่ยงพฤติกรรมคุกคามเหล่านี้ สิ่งสำคัญควรให้เกียรติผู้ปฏิบัติงานในแต่ละวิชาชีพ รวมถึงเคารพการทำหน้าที่ซึ่งกันและกันด้วย" แถลงการณ์สมาคมนักข่าวฯ ระบุ ด้านองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) หรือไทยพีบีเอส ออกแถลงการณ์ระบุว่า ในฐานะหน่วยงานต้นสังกัด เห็นว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการคุกคามการทำหน้าที่ผู้สื่อข่าว "การตั้งคำถามด้วยถ้อยคำ และท่าทีสุภาพในประเด็นที่เกี่ยวข้องกับผู้ถูกสัมภาษณ์ ดังปรากฎในคลิปวีดีโอ ที่ถูกเผยแพร่เป็นที่ประจักษ์นั้น ชัดเจนว่า เป็นการทำหน้าที่ผู้สื่อข่าวโดยสุจริต การถูกกระทำทางกายจากแหล่งข่าวเช่นนี้ จึงเป็นเรื่องที่ไม่อาจยอมรับได้ และถือเป็นพฤติกรรมที่ย่อมส่งผลกระทบต่อจิตใจและความรู้สึกปลอดภัยของผู้สื่อข่าว-ช่างภาพ ที่อยู่ร่วมในเหตุการณ์เดียวกันด้วย" แถลงการณ์ไทยพีบีเอส ระบุ ไทยพีบีเอส เรียกร้องให้ พล.อ.ประวิตร แสดงความรับผิดชอบต่อการคุกคามผู้สื่อข่าวครั้งนี้ และขอให้องค์กรวิชาชีพสื่อมวลชนต่างๆ ร่วมหามาตรการดำเนินการที่เหมาะสมเพื่อคุ้มครองสื่อมวลชนต่อไป มีรายงานว่า พล.อ.ประวิตร ได้ให้นายทหารคนสนิท อย่าง พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม โทรศัพท์สายตรงมาถึงผู้สื่อข่าว อ้างว่าเรื่องดังกล่าวไม่ได้ตั้งใจ หลังจากนั้นได้ส่งสายโทรศัพท์ให้ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่าตนเองไม่ได้ตั้งใจ ไม่ได้มีเจตนาอะไรเลย เพราะปกติแล้วตนเองก็ได้พูดล้อเล่น และแหย่เล่นกับผู้สื่อข่าวที่คุ้นหน้าคุ้นตากันเป็นประจำอยู่แล้ว แต่ก็ไม่อาจหยุดยั้งความโกรธแค้นของคนที่รับรู้เรื่องราว ต่างเรียกร้องให้ พล.อ.ประวิตร แสดงความรับผิดชอบต่อเรื่องนี้อย่างถึงที่สุด #Newskit #ประวิตร #คุกคามสื่อ
    Sad
    Angry
    2
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 539 มุมมอง 0 รีวิว
  • โฆษก กต.จีน ให้ความเห็นกรณี "อุ๊งอิ๊ง" ได้รับเลือกเป็นนายกไทยคนใหม่
    .
    วันนี้ (16 ส.ค.) โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน ตอบคำถามนักข่าวกรณี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ คนที่ 31 ของไทย โดยระบุว่า ฝ่ายจีนขอแสดงความยินดีกับ น.ส.แพทองธารที่ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของไทย และเชื่อว่าประชาชนชาวไทยจะบรรลุผลสำเร็จใหม่ ๆ ที่ยิ่งใหญ่มากขึ้น บนเส้นทางการพัฒนาที่สอดคล้องกับเงื่อนไขของประเทศ
    .
    อ่าน >> https://mgronline.com/china/detail/9670000075600
    โฆษก กต.จีน ให้ความเห็นกรณี "อุ๊งอิ๊ง" ได้รับเลือกเป็นนายกไทยคนใหม่ . วันนี้ (16 ส.ค.) โฆษกกระทรวงการต่างประเทศของจีน ตอบคำถามนักข่าวกรณี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ คนที่ 31 ของไทย โดยระบุว่า ฝ่ายจีนขอแสดงความยินดีกับ น.ส.แพทองธารที่ได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของไทย และเชื่อว่าประชาชนชาวไทยจะบรรลุผลสำเร็จใหม่ ๆ ที่ยิ่งใหญ่มากขึ้น บนเส้นทางการพัฒนาที่สอดคล้องกับเงื่อนไขของประเทศ . อ่าน >> https://mgronline.com/china/detail/9670000075600
    MGRONLINE.COM
    โฆษก กต.จีน ให้ความเห็นกรณี "อุ๊งอิ๊ง" ได้รับเลือกเป็นนายกไทยคนใหม่
    โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีนตอบคำถามนักข่าว แสดงความยินดี แพทองธาร ชินวัตร ได้รับเลือกเป็นผู้นำคนใหม่ของไทย เชื่อสัมพันธ์สองชาติจะเข้มแข็งและลึกซึ้งมากขึ้นต่อเนื่อง
    Like
    7
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 456 มุมมอง 0 รีวิว
  • Sondhitalk EP 255 : ไพ่ใบสุดท้ายของ ทักษิณ ชินวัตร (Full)

    - นายกฯ นอมินีทักษิณ
    - พรรคส้ม ในกำมือ “ธนาธร”
    - “แอฟริกา” ยอมรับเงินกู้จากจีน
    - ไม่ยอมให้ “ตั้งฐานทัพ” ก็ต้อง “จุดไฟปฏิวัติ”
    - “โรงงานยาไทย” ทยอยเจ๊ง

    #สนธิทอล์ค #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิลิ้มทองกุล #sondhiapp #ทักษิณ #พรรคเพื่อไทย #อุ๋งอิ๋ง #นายก #พรรคประชาชน #ธนาธร #แอฟริกา #จีน #ตั้งฐานทัพ #บังคลาเทศ #ปฎิวัติ #สมุนไพรไทย #GMP
    Sondhitalk EP 255 : ไพ่ใบสุดท้ายของ ทักษิณ ชินวัตร (Full) - นายกฯ นอมินีทักษิณ - พรรคส้ม ในกำมือ “ธนาธร” - “แอฟริกา” ยอมรับเงินกู้จากจีน - ไม่ยอมให้ “ตั้งฐานทัพ” ก็ต้อง “จุดไฟปฏิวัติ” - “โรงงานยาไทย” ทยอยเจ๊ง #สนธิทอล์ค #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #สนธิลิ้มทองกุล #sondhiapp #ทักษิณ #พรรคเพื่อไทย #อุ๋งอิ๋ง #นายก #พรรคประชาชน #ธนาธร #แอฟริกา #จีน #ตั้งฐานทัพ #บังคลาเทศ #ปฎิวัติ #สมุนไพรไทย #GMP
    Like
    9
    1 ความคิดเห็น 1 การแบ่งปัน 2608 มุมมอง 584 0 รีวิว
  • เอาให้ชัดนะรอบเดียว
    #เพจคิงส์โพธิ์แดงแนวทางของเพจคือ
    การเปิด โปงคนซั่วไม่ให้มีที่ยืนในสังคม
    ทั้งข้าราชการ ตำรวจ หรือแม้กระทั่งทหาร
    ลุงป้องก็เคย อนุทินก็เคย พีระพันธ์ก็ยังเคยโพสถึง
    เป็นกรณีๆ เป็นเรื่องๆไป
    อย่างไอ่สุรเชษฐ์นั่นรองผบตร. คิงส์ก็เล่นซะยับไม่เปิดตาดูเลยใช่มั๊ย
    รวมถึงนักการเมือง โดยไม่เคยสนใจ
    ว่าคนนั้นจะเป็นคนพรรคไหน
    พรรคก้าวกีย์มีความชัดเจนที่มีเป้าหมาย
    ในการล้มล้างการปกครองจึงเป็นศั-ต-รู หมายเลข 1
    ซึ่งหลายคนบอกว่า ถ้ามันไม่เอานโยบาย 112
    ก็จะสนับสนุนมัน ตรงนี้เป็นไปไม่ได้ เพราะคิงส์โพธิ์แดงมีข้อมูลชัดเจนว่าพรรคนี้ได้รับการสนับสนุนจากอเมริกา เพื่อล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตย์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุก
    ส่วนอีกพรรคคือเพื่อไทย พี่คิงส์โพธิ์แดงมีข้อมูลตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันที่เกี่ยวข้องกับความซั่วของโทนี่ ที่มีทั้งเรื่องความอ-ำ-ม-หิ-ต และการหมิ่นต่อสถาบัน คิงส์ฯได้แ-ฉ ทั้งการ์ตูนและโพสเป็นข้อความไปเยอะมาก
    และจากข้อมูลวงในที่คิงส์มีจริงๆแล้วพรรคร่วมจะรวมตัวกันหรือเรียกว่าแข็งเมืองจากพรรคเพื่อไทย แต่เพราะขาดความพร้อมในการเลือกตั้งหากมีการยุบสภา ซึ่งโทนี่เองก็รู้จุดอ่อน และเรียกไปพบหลังนายกนิดลงจากตำแหน่ง
    สรุปก็อย่างที่เห็น อุ๊งอิ๊งได้เป็นนายก และคะแนนสนับสนุนก็มาจากพรรคที่คุณๆเลือกกันมาแทบทั้งนั้น
    ดังนั้น การที่อุ๊งอิ๊งขึ้นมาเป็นนายก ถ้าเปรียบเทียบกับเท้งเต้งของพรรคก้าวกีย์ มันจะไม่ยุติธรรมมั๊ย ที่พ่อเค้าซั่ว แล้วเราจะไปด-่าลูกเค้าทั้งๆที่ตัวลูกยังไม่ได้เริ่มทำหน้าที่ แต่ถ้าส้มมันขึ้นมา มันยกประเทศให้อเมริกาแน่นอน
    จึงเป็นที่มาที่พี่คิงส์ให้คิดในทางบวกกับสิ่งที่มันเกิดขึ้นไปแล้วว่า
    "ท่องไว้นะ ได้แดงมาตอนนี้ก็ยังดีกว่าส้มฟร๊ะ ลองให้ทำงานดูซักตั้ง แล้วค่อยว่ากัน"
    สิ่งหนึ่งที่พี่คิงส์ยึดมั่นเสมอคือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ต้องคงอยู่สืบไป ถ้าอุ๊งอิ๊งทำอะไรที่ไม่ถูกต้อง คิงส์โพธิ์แดงก็จะนำมาเปิดให้แฟนเพจได้เห็น ไม่ต้องห่วง
    ทำเพจมาหลายปี ถ้าคนที่เป็นแฟนเพจพี่คิงส์จริงจะรู้นิสัยและแนวทางของพี่คิงส์ดี จะไม่มีคำว่า หางส้ม หางแดง
    แต่ถ้ากรูอธิบายครบจบแล้ว ใครจะเรียกพี่คิงส์ว่ายังไงก็แล้วแต่ ถ้าทำให้มีความสุขอะนะ
    แต่จะให้คติอะไรอย่างนึงว่า
    ถ้าเมิงผลักทุกคนให้เป็นศั-ต-รู โดยอคติอย่างไม่ยุติธรรม เมิงจะอยู่คนเดียวบนโลก
    เมิงรอให้เค้าทำผิดทำไม่ดี ทำซั่วก่อนสิ เดี๋ยวเพจนี้ก็จะเป็นหัวหอกจัดการให้เอง อีกอย่างที่สำคัญพรรคที่แฟนเพจกับพี่คิงส์หวังให้มีอำนาจในการบริหาร มีพรรคไหนที่กล้ายืนหยัดในเวลานี้บ้าง ยกมือกันหน้าสะหลอน ทำไมพวกเมิงไม่เรียกพรรคร่วมว่าหางแดงหล่ะ เออแล้วเมิงจะให้กรูทำยังไง
    ตามนั้นคือจบ
    ไอ่ฉัด
    คิงส์โพธิ์แดง
    เอาให้ชัดนะรอบเดียว #เพจคิงส์โพธิ์แดงแนวทางของเพจคือ การเปิด โปงคนซั่วไม่ให้มีที่ยืนในสังคม ทั้งข้าราชการ ตำรวจ หรือแม้กระทั่งทหาร ลุงป้องก็เคย อนุทินก็เคย พีระพันธ์ก็ยังเคยโพสถึง เป็นกรณีๆ เป็นเรื่องๆไป อย่างไอ่สุรเชษฐ์นั่นรองผบตร. คิงส์ก็เล่นซะยับไม่เปิดตาดูเลยใช่มั๊ย รวมถึงนักการเมือง โดยไม่เคยสนใจ ว่าคนนั้นจะเป็นคนพรรคไหน พรรคก้าวกีย์มีความชัดเจนที่มีเป้าหมาย ในการล้มล้างการปกครองจึงเป็นศั-ต-รู หมายเลข 1 ซึ่งหลายคนบอกว่า ถ้ามันไม่เอานโยบาย 112 ก็จะสนับสนุนมัน ตรงนี้เป็นไปไม่ได้ เพราะคิงส์โพธิ์แดงมีข้อมูลชัดเจนว่าพรรคนี้ได้รับการสนับสนุนจากอเมริกา เพื่อล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตย์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุก ส่วนอีกพรรคคือเพื่อไทย พี่คิงส์โพธิ์แดงมีข้อมูลตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบันที่เกี่ยวข้องกับความซั่วของโทนี่ ที่มีทั้งเรื่องความอ-ำ-ม-หิ-ต และการหมิ่นต่อสถาบัน คิงส์ฯได้แ-ฉ ทั้งการ์ตูนและโพสเป็นข้อความไปเยอะมาก และจากข้อมูลวงในที่คิงส์มีจริงๆแล้วพรรคร่วมจะรวมตัวกันหรือเรียกว่าแข็งเมืองจากพรรคเพื่อไทย แต่เพราะขาดความพร้อมในการเลือกตั้งหากมีการยุบสภา ซึ่งโทนี่เองก็รู้จุดอ่อน และเรียกไปพบหลังนายกนิดลงจากตำแหน่ง สรุปก็อย่างที่เห็น อุ๊งอิ๊งได้เป็นนายก และคะแนนสนับสนุนก็มาจากพรรคที่คุณๆเลือกกันมาแทบทั้งนั้น ดังนั้น การที่อุ๊งอิ๊งขึ้นมาเป็นนายก ถ้าเปรียบเทียบกับเท้งเต้งของพรรคก้าวกีย์ มันจะไม่ยุติธรรมมั๊ย ที่พ่อเค้าซั่ว แล้วเราจะไปด-่าลูกเค้าทั้งๆที่ตัวลูกยังไม่ได้เริ่มทำหน้าที่ แต่ถ้าส้มมันขึ้นมา มันยกประเทศให้อเมริกาแน่นอน จึงเป็นที่มาที่พี่คิงส์ให้คิดในทางบวกกับสิ่งที่มันเกิดขึ้นไปแล้วว่า "ท่องไว้นะ ได้แดงมาตอนนี้ก็ยังดีกว่าส้มฟร๊ะ ลองให้ทำงานดูซักตั้ง แล้วค่อยว่ากัน" สิ่งหนึ่งที่พี่คิงส์ยึดมั่นเสมอคือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ต้องคงอยู่สืบไป ถ้าอุ๊งอิ๊งทำอะไรที่ไม่ถูกต้อง คิงส์โพธิ์แดงก็จะนำมาเปิดให้แฟนเพจได้เห็น ไม่ต้องห่วง ทำเพจมาหลายปี ถ้าคนที่เป็นแฟนเพจพี่คิงส์จริงจะรู้นิสัยและแนวทางของพี่คิงส์ดี จะไม่มีคำว่า หางส้ม หางแดง แต่ถ้ากรูอธิบายครบจบแล้ว ใครจะเรียกพี่คิงส์ว่ายังไงก็แล้วแต่ ถ้าทำให้มีความสุขอะนะ แต่จะให้คติอะไรอย่างนึงว่า ถ้าเมิงผลักทุกคนให้เป็นศั-ต-รู โดยอคติอย่างไม่ยุติธรรม เมิงจะอยู่คนเดียวบนโลก เมิงรอให้เค้าทำผิดทำไม่ดี ทำซั่วก่อนสิ เดี๋ยวเพจนี้ก็จะเป็นหัวหอกจัดการให้เอง อีกอย่างที่สำคัญพรรคที่แฟนเพจกับพี่คิงส์หวังให้มีอำนาจในการบริหาร มีพรรคไหนที่กล้ายืนหยัดในเวลานี้บ้าง ยกมือกันหน้าสะหลอน ทำไมพวกเมิงไม่เรียกพรรคร่วมว่าหางแดงหล่ะ เออแล้วเมิงจะให้กรูทำยังไง ตามนั้นคือจบ ไอ่ฉัด คิงส์โพธิ์แดง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 413 มุมมอง 0 รีวิว
  • #อันนี้นะอย่าเอ็ดไปรู้กันเฉพาะพวกเรา
    ชัยเกษมอะ เค้าเอามาเป็นตัวห-ล-อ-ก
    เพราะไอ่หมอนี่ คลั่งล้มล้าง 112
    เค้าจะเอามันมาให้พรรคเพื่อไทยโดนยุบเพื่ออะไร
    ก็พี่คิงส์บอกแล้ว แม๊วมีชื่อเดียวที่อยากจะดัน
    คืออิ๊งอุ๊ง ผู้ลอกข้อสอบเพื่อนนี่แหละ
    แต่พี่คิงส์ก็ยังยืนยัน ว่าอิ๊งไปไม่ถึงฝัน
    แม้เพิ่งมีแถลงการพรรคร่วมที่บ้านนช.ก็เหอะ
    เกมส์ยังไม่จบ อย่าเพิ่งนับกบเหลาดินสอ
    ตอนชื่อชัยเกษมมานะ พวกพรรคส้มแอบกร๊ดเลย
    พี่คิงส์ก็อยู่ตรงนั้นแหละแอบขำอยู่คนเดียว
    ที่พี่คิงส์รู้ลึกเรื่องก้าวกีย์ เหมือนอยู่ตรงนั้นด้วยตัวเอง
    ที่จริง ก็แฝงอยู่ที่นี่แหละ ไม่งั้นจะฟันธงตรงเป๊ะได้ไง
    ฮ่าๆๆๆๆๆๆ
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #อันนี้นะอย่าเอ็ดไปรู้กันเฉพาะพวกเรา ชัยเกษมอะ เค้าเอามาเป็นตัวห-ล-อ-ก เพราะไอ่หมอนี่ คลั่งล้มล้าง 112 เค้าจะเอามันมาให้พรรคเพื่อไทยโดนยุบเพื่ออะไร ก็พี่คิงส์บอกแล้ว แม๊วมีชื่อเดียวที่อยากจะดัน คืออิ๊งอุ๊ง ผู้ลอกข้อสอบเพื่อนนี่แหละ แต่พี่คิงส์ก็ยังยืนยัน ว่าอิ๊งไปไม่ถึงฝัน แม้เพิ่งมีแถลงการพรรคร่วมที่บ้านนช.ก็เหอะ เกมส์ยังไม่จบ อย่าเพิ่งนับกบเหลาดินสอ ตอนชื่อชัยเกษมมานะ พวกพรรคส้มแอบกร๊ดเลย พี่คิงส์ก็อยู่ตรงนั้นแหละแอบขำอยู่คนเดียว ที่พี่คิงส์รู้ลึกเรื่องก้าวกีย์ เหมือนอยู่ตรงนั้นด้วยตัวเอง ที่จริง ก็แฝงอยู่ที่นี่แหละ ไม่งั้นจะฟันธงตรงเป๊ะได้ไง ฮ่าๆๆๆๆๆๆ #คิงส์โพธิ์แดง
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 251 มุมมอง 0 รีวิว
  • อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร นายกรัฐมนตรีคนที่ 31

    ในที่สุด อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ชินวัตร บุตรสาวของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อายุ 38 ปี กำลังจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 หลังจากกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย มีมติให้อุ๊งอิ๊งเป็นนายกรัฐมนตรี ตามที่บรรดา สส.พรรคเพื่อไทย เป็นผู้เสนอ นับเป็นคนที่ 4 ในตระกูลชินวัตร นายกรัฐมนตรีหญิงคนที่ 2 และเป็นนายกรัฐมนตรีอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์

    เดิมจากการตกลงระหว่างนายทักษิณ กับแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล จะเสนอนายชัยเกษม นิติสิริ หนึ่งในบัญชีแคนดิเดตจากพรรคเพื่อไทย เป็นนายกรัฐมนตรี ปรากฎว่านายชัยเกษมมีแผลขึ้นมา ทั้งกรณีถูกวิจารณ์ว่าสมัยเป็นอัยการสูงสุด เป็นยุคที่เคยสั่งไม่ฟ้องนายพิชิต ชื่นบาน ในคดีถุงขนม 2 ล้าน อีกทั้งยังเคยมีกรณีที่นายชัยเกษมเคยเสนอแก้ไขมาตรา 112 ที่พรรคร่วมไม่เห็นด้วย

    ขณะที่ สส.พรรคเพื่อไทย สนับสนุนอุ๊งอิ๊งเต็มที่ เพราะที่ผ่านมาอุ๊งอิ๊งลงพื้นที่หาเสียงเลือกตั้งเป็นส่วนใหญ่ และผู้สมัคร สส.พรรคเพื่อไทยหาเสียงเอาไว้ว่า จะให้อุ๊งอิ๊งเป็นนายกรัฐมนตรี แม้ภายหลังการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี จะกลายเป็นนายเศรษฐา ทวีสิน ก็ตาม อีกทั้งสังคมเห็นภาพเด่นชัดว่าอุ๊งอิ๊งเป็นตัวแทนของนายทักษิณ คนที่เลือกอุ๊งอิ๊งก็เท่ากับเลือกทักษิณ

    หากได้เป็นนายกรัฐมนตรีเต็มตัว อุ๊งอิ๊งและนายทักษิณมีอำนาจเต็มในการบริหารจัดการ ไม่เกิดแรงกระเพื่อมในพรรค

    นอกจากนี้ ด้วยวัยเพียงแค่ 37 ปี อุ๊งอิ๊งเป็นคนหนุ่มสาว คนรุ่นใหม่ มีพละกำลังเหลือเฟือ คิดอ่านบริหารเหลือเฟือ อยู่ในวัยที่กำลังเหมาะเป็นนายกรัฐมนตรี ส่วนนายชัยเกษม สส.ส่วนหนึ่งเห็นว่ายังมีปัญหาเรื่องสุขภาพ และในอดีตนายชัยเกษมเคยพูดถึงเรื่องการแก้ไขมาตรา 112 เกรงว่าจะทำให้เป็นปัญหาตามมาได้

    น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า สำหรับการสนับสนุนนี้ ตนจะทำทุกอย่างให้เต็มความสามารถ ตลอดเวลาที่ผ่านมา พวกเราทุกคนชื่นชมการทำงานของนายเศรษฐา เสียดายที่จะต้องเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น อย่างที่เราไม่ได้คาดฝันไว้ แต่ประเทศต้องไปต่อ พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล วันนี้เรามีความพร้อมที่จะผลักดันประเทศต่อ ตนมั่นใจในพรรคเพื่อไทย มั่นใจในพรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรค ที่จะช่วยกันนำพาประเทศของเราให้หลุดพ้นจากวิกฤตเศรษฐกิจ

    สำหรับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เกิดเมื่อวันที่ 21 ส.ค. 2529 เป็นบุตรสาวคนสุดท้องของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร มีพี่น้องร่วมกัน คือ นายพานทองแท้ ชินวัตร และนางพินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ จบการศึกษาปริญญาตรี รัฐศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และปริญญาโท Msc International Hotel Management ที่มหาวิทยาลัยเซอร์เรย์ สหราชอาณาจักร

    ประสบการณ์ทำงาน เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจโรงแรมและสนามกอล์ฟ บริษัท เรนด์ ดีเวลลอปเมนท์ อาทิ โรงแรม เทมส์ วัลลีย์ เขาใหญ่, สนามกอล์ฟอัลไพน์, โรงแรมเอสซี ปาร์ค ส่วนในทางการเมือง เป็นประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรมของพรรคเพื่อไทย และหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย

    #Newskit #แพทองธาร #นายกรัฐมนตรี
    อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร นายกรัฐมนตรีคนที่ 31 ในที่สุด อุ๊งอิ๊ง แพทองธาร ชินวัตร บุตรสาวของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี อายุ 38 ปี กำลังจะได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 31 หลังจากกรรมการบริหารพรรคเพื่อไทย มีมติให้อุ๊งอิ๊งเป็นนายกรัฐมนตรี ตามที่บรรดา สส.พรรคเพื่อไทย เป็นผู้เสนอ นับเป็นคนที่ 4 ในตระกูลชินวัตร นายกรัฐมนตรีหญิงคนที่ 2 และเป็นนายกรัฐมนตรีอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์ เดิมจากการตกลงระหว่างนายทักษิณ กับแกนนำพรรคร่วมรัฐบาล จะเสนอนายชัยเกษม นิติสิริ หนึ่งในบัญชีแคนดิเดตจากพรรคเพื่อไทย เป็นนายกรัฐมนตรี ปรากฎว่านายชัยเกษมมีแผลขึ้นมา ทั้งกรณีถูกวิจารณ์ว่าสมัยเป็นอัยการสูงสุด เป็นยุคที่เคยสั่งไม่ฟ้องนายพิชิต ชื่นบาน ในคดีถุงขนม 2 ล้าน อีกทั้งยังเคยมีกรณีที่นายชัยเกษมเคยเสนอแก้ไขมาตรา 112 ที่พรรคร่วมไม่เห็นด้วย ขณะที่ สส.พรรคเพื่อไทย สนับสนุนอุ๊งอิ๊งเต็มที่ เพราะที่ผ่านมาอุ๊งอิ๊งลงพื้นที่หาเสียงเลือกตั้งเป็นส่วนใหญ่ และผู้สมัคร สส.พรรคเพื่อไทยหาเสียงเอาไว้ว่า จะให้อุ๊งอิ๊งเป็นนายกรัฐมนตรี แม้ภายหลังการโหวตเลือกนายกรัฐมนตรี จะกลายเป็นนายเศรษฐา ทวีสิน ก็ตาม อีกทั้งสังคมเห็นภาพเด่นชัดว่าอุ๊งอิ๊งเป็นตัวแทนของนายทักษิณ คนที่เลือกอุ๊งอิ๊งก็เท่ากับเลือกทักษิณ หากได้เป็นนายกรัฐมนตรีเต็มตัว อุ๊งอิ๊งและนายทักษิณมีอำนาจเต็มในการบริหารจัดการ ไม่เกิดแรงกระเพื่อมในพรรค นอกจากนี้ ด้วยวัยเพียงแค่ 37 ปี อุ๊งอิ๊งเป็นคนหนุ่มสาว คนรุ่นใหม่ มีพละกำลังเหลือเฟือ คิดอ่านบริหารเหลือเฟือ อยู่ในวัยที่กำลังเหมาะเป็นนายกรัฐมนตรี ส่วนนายชัยเกษม สส.ส่วนหนึ่งเห็นว่ายังมีปัญหาเรื่องสุขภาพ และในอดีตนายชัยเกษมเคยพูดถึงเรื่องการแก้ไขมาตรา 112 เกรงว่าจะทำให้เป็นปัญหาตามมาได้ น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า สำหรับการสนับสนุนนี้ ตนจะทำทุกอย่างให้เต็มความสามารถ ตลอดเวลาที่ผ่านมา พวกเราทุกคนชื่นชมการทำงานของนายเศรษฐา เสียดายที่จะต้องเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น อย่างที่เราไม่ได้คาดฝันไว้ แต่ประเทศต้องไปต่อ พรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล วันนี้เรามีความพร้อมที่จะผลักดันประเทศต่อ ตนมั่นใจในพรรคเพื่อไทย มั่นใจในพรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรค ที่จะช่วยกันนำพาประเทศของเราให้หลุดพ้นจากวิกฤตเศรษฐกิจ สำหรับ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เกิดเมื่อวันที่ 21 ส.ค. 2529 เป็นบุตรสาวคนสุดท้องของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร มีพี่น้องร่วมกัน คือ นายพานทองแท้ ชินวัตร และนางพินทองทา ชินวัตร คุณากรวงศ์ จบการศึกษาปริญญาตรี รัฐศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และปริญญาโท Msc International Hotel Management ที่มหาวิทยาลัยเซอร์เรย์ สหราชอาณาจักร ประสบการณ์ทำงาน เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจโรงแรมและสนามกอล์ฟ บริษัท เรนด์ ดีเวลลอปเมนท์ อาทิ โรงแรม เทมส์ วัลลีย์ เขาใหญ่, สนามกอล์ฟอัลไพน์, โรงแรมเอสซี ปาร์ค ส่วนในทางการเมือง เป็นประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรมของพรรคเพื่อไทย และหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย #Newskit #แพทองธาร #นายกรัฐมนตรี
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 589 มุมมอง 0 รีวิว
  • สะพัด 'ชัยเกษม' นายกรัฐมนตรีคนที่ 31

    หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 5 ต่อ 4 วินิจฉัยให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ จากกรณีนําความกราบบังคมทูลเพื่อโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ทั้งที่นายพิชิตเคยถูกศาลฎีกาสั่งจําคุกเป็นเวลา 6 เดือน ในความผิดฐานละเมิดอํานาจศาล เป็นบุคคลที่กระทําการอันไม่ซื่อสัตย์สุจริต และมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงตามรัฐธรรมนูญ

    นับเป็นการปิดฉากนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย จากนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์สู่นักการเมือง หลังดำรงตำแหน่งได้เพียง 358 วัน นับตั้งแต่ได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ 22 ส.ค. 2566 ที่ผ่านมา

    เมื่อพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาล ไม่ปล่อยให้บรรยากาศทางการเมืองตกอยู่ในภาวะสูญญากาศ การหารือระหว่างแกนนำพรรคเพื่อไทย และพรรคร่วมรัฐบาล ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า ของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เกิดขึ้นเมื่อเย็นวันที่ 14 ส.ค. โดยมีรายงานว่า พรรคเพื่อไทย จะเสนอชื่อนายชัยเกษม นิติสิริ ซึ่งเป็นหนึ่งในแคนดิเดต เป็นนายกรัฐมนตรี

    ด้านนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร มีคำสั่งให้นัดประชุมสภาผู้แทนราษฎร เป็นพิเศษ ในวันศุกร์ที่ 16 ส.ค. 2567 เวลา 10.00 น. เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ตามมาตรา 159 ของรัฐธรรมนูญ โดยก่อนหน้านี้ประธานสภาผู้แทนราษฎร แจ้งต่อที่ประชุมเมื่อวันที่ 8 ส.ค. ว่า จำนวน สส.ในสภาปัจจุบันเท่าที่มีและปฏิบัติหน้าที่ได้ มีจำนวน 493 คน องค์ประชุมกึ่งหนึ่งคือ 247 คน หลังจากพรรคก้าวไกลถูกยุบและตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรค

    ปัจจุบันเสียง สส.ฝ่ายรัฐบาล รวม 315 เสียง ประกอบด้วย พรรคเพื่อไทย 141 เสียง พรรคภูมิใจไทย 71 เสียง พรรคพลังประชารัฐ 40 เสียง พรรครวมไทยสร้างชาติ 36 เสียง พรรคชาติไทยพัฒนา 10 เสียง พรรคประชาชาติ 9 เสียง พรรคชาติพัฒนา 3 เสียง พรรคไทรวมพลัง 2 เสียง พรรคเสรีรวมไทย พรรคพลังสังคมใหม่ และพรรคท้องที่ไทย พรรคละ 1 เสียง หากเป็นไปในทิศทางเดียวกันย่อมได้เสียงสนับสนุนเกินกึ่งหนึ่งไม่ยาก เว้นเสียแต่การเมืองไทยอะไรก็เกิดขึ้นได้

    สำหรับนายชัยเกษม นิติสิริ อายุ 75 ปี จบการศึกษาปริญญาตรี นิติศาสตร์บัณฑิต (เกียรตินิยมอันดับสอง) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปริญญาโท กฎหมายระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย สหรัฐอเมริกา เคยเป็นอดีตประธาน ก.ล.ต. อดีตอัยการสูงสุด อดีต รมว.ยุติธรรม ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมือง พรรคเพื่อไทย และประธานคณะกรรมการด้านประชาธิปไตย กระบวนการยุติธรรม และความเสมอภาคเท่าเทียม พรรคเพื่อไทย

    ก่อนหน้านี้นายชัยเกษมมีปัญหาเรื่องสุขภาพ ป่วยกะทันหันหลังจากลงพื้นที่หาเสียงช่วยผู้สมัคร ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย ที่ จ.น่าน เมื่อวันที่ 8 เม.ย. 2566 เมื่อตรวจซีทีสแกนพบว่ามีก้อนเลือดแห้งอยู่ในสมอง เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลศิริราช แต่นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการนายกรัฐมนตรี ระบุว่า สุขภาพกลับมาแข็งแรงแล้ว ที่ผ่านมาก็เข้ามาช่วยทำงานกับพรรคมาโดยตลอด

    #Newskit #ชัยเกษม #นายกรัฐมนตรี
    สะพัด 'ชัยเกษม' นายกรัฐมนตรีคนที่ 31 หลังจากที่ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 5 ต่อ 4 วินิจฉัยให้ความเป็นรัฐมนตรีของนายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามรัฐธรรมนูญ จากกรณีนําความกราบบังคมทูลเพื่อโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีประจําสํานักนายกรัฐมนตรี ทั้งที่นายพิชิตเคยถูกศาลฎีกาสั่งจําคุกเป็นเวลา 6 เดือน ในความผิดฐานละเมิดอํานาจศาล เป็นบุคคลที่กระทําการอันไม่ซื่อสัตย์สุจริต และมีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงตามรัฐธรรมนูญ นับเป็นการปิดฉากนายกรัฐมนตรีคนที่ 30 ของประเทศไทย จากนักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์สู่นักการเมือง หลังดำรงตำแหน่งได้เพียง 358 วัน นับตั้งแต่ได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งนายกรัฐมนตรี ตั้งแต่วันที่ 22 ส.ค. 2566 ที่ผ่านมา เมื่อพรรคเพื่อไทยและพรรคร่วมรัฐบาล ไม่ปล่อยให้บรรยากาศทางการเมืองตกอยู่ในภาวะสูญญากาศ การหารือระหว่างแกนนำพรรคเพื่อไทย และพรรคร่วมรัฐบาล ที่บ้านจันทร์ส่องหล้า ของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เกิดขึ้นเมื่อเย็นวันที่ 14 ส.ค. โดยมีรายงานว่า พรรคเพื่อไทย จะเสนอชื่อนายชัยเกษม นิติสิริ ซึ่งเป็นหนึ่งในแคนดิเดต เป็นนายกรัฐมนตรี ด้านนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร มีคำสั่งให้นัดประชุมสภาผู้แทนราษฎร เป็นพิเศษ ในวันศุกร์ที่ 16 ส.ค. 2567 เวลา 10.00 น. เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบบุคคลซึ่งสมควรได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี ตามมาตรา 159 ของรัฐธรรมนูญ โดยก่อนหน้านี้ประธานสภาผู้แทนราษฎร แจ้งต่อที่ประชุมเมื่อวันที่ 8 ส.ค. ว่า จำนวน สส.ในสภาปัจจุบันเท่าที่มีและปฏิบัติหน้าที่ได้ มีจำนวน 493 คน องค์ประชุมกึ่งหนึ่งคือ 247 คน หลังจากพรรคก้าวไกลถูกยุบและตัดสิทธิ์กรรมการบริหารพรรค ปัจจุบันเสียง สส.ฝ่ายรัฐบาล รวม 315 เสียง ประกอบด้วย พรรคเพื่อไทย 141 เสียง พรรคภูมิใจไทย 71 เสียง พรรคพลังประชารัฐ 40 เสียง พรรครวมไทยสร้างชาติ 36 เสียง พรรคชาติไทยพัฒนา 10 เสียง พรรคประชาชาติ 9 เสียง พรรคชาติพัฒนา 3 เสียง พรรคไทรวมพลัง 2 เสียง พรรคเสรีรวมไทย พรรคพลังสังคมใหม่ และพรรคท้องที่ไทย พรรคละ 1 เสียง หากเป็นไปในทิศทางเดียวกันย่อมได้เสียงสนับสนุนเกินกึ่งหนึ่งไม่ยาก เว้นเสียแต่การเมืองไทยอะไรก็เกิดขึ้นได้ สำหรับนายชัยเกษม นิติสิริ อายุ 75 ปี จบการศึกษาปริญญาตรี นิติศาสตร์บัณฑิต (เกียรตินิยมอันดับสอง) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ปริญญาโท กฎหมายระหว่างประเทศ มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย สหรัฐอเมริกา เคยเป็นอดีตประธาน ก.ล.ต. อดีตอัยการสูงสุด อดีต รมว.ยุติธรรม ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมือง พรรคเพื่อไทย และประธานคณะกรรมการด้านประชาธิปไตย กระบวนการยุติธรรม และความเสมอภาคเท่าเทียม พรรคเพื่อไทย ก่อนหน้านี้นายชัยเกษมมีปัญหาเรื่องสุขภาพ ป่วยกะทันหันหลังจากลงพื้นที่หาเสียงช่วยผู้สมัคร ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย ที่ จ.น่าน เมื่อวันที่ 8 เม.ย. 2566 เมื่อตรวจซีทีสแกนพบว่ามีก้อนเลือดแห้งอยู่ในสมอง เข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลศิริราช แต่นายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการนายกรัฐมนตรี ระบุว่า สุขภาพกลับมาแข็งแรงแล้ว ที่ผ่านมาก็เข้ามาช่วยทำงานกับพรรคมาโดยตลอด #Newskit #ชัยเกษม #นายกรัฐมนตรี
    Sad
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 596 มุมมอง 0 รีวิว
  • ”สิงหาสับ“ นิด้าสำรวจความเห็นประชาชน เรื่อง “Believe It or Not! ทางการเมืองไทย ตอน เดือนพิพากษา” เดือนแห่งการตัดสินผู้มีกรรมหนักคดีใหญ่ ในประเด็นร้อนโพลความเห็นทางการเมือง เรื่องเศรษฐากับการเปลี่ยนนายกฯ,ยุบพรรคก้าวไกลหรือไม่และทักษิณพ้นโทษจะช่วยพรรคเพื่อไทยทำงานดีขึ้นหรือไม่?

    4 สิงหาคม 2567-ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง “Believe It or Not! ทางการเมืองไทย ตอน เดือนพิพากษา” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 25 กรกฎาคม ถึง 1 สิงหาคม 2567 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไทยในเดือนสิงหาคม 2567 การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ “นิด้าโพล” สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0

    จากการสำรวจเมื่อถามถึงความเชื่อของประชาชนเกี่ยวกับการเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีในเดือนสิงหาคมนี้ พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 45.42 ระบุว่า ไม่เชื่อเลย รองลงมา ร้อยละ 29.62 ระบุว่า ไม่ค่อยเชื่อ ร้อยละ 15.27 ระบุว่า ค่อนข้างเชื่อ ร้อยละ 8.63 ระบุว่า เชื่อมาก และร้อยละ 1.06 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

    เมื่อถามตัวอย่างที่ระบุว่า เชื่อมากและค่อนข้างเชื่อว่าจะมีการเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีในเดือนสิงหาคมนี้ (จำนวน 313 หน่วยตัวอย่าง) เกี่ยวกับบุคคลที่จะได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่จากพรรคร่วมรัฐบาล หากมีการเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีในเดือนสิงหาคมนี้ พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 31.95 ระบุว่าเป็น น.ส.แพทองธาร (อุ๊งอิ๊งค์) ชินวัตร (พรรคเพื่อไทย) รองลงมา ร้อยละ 30.99 ระบุว่าเป็น นายอนุทิน ชาญวีรกูล (พรรคภูมิใจไทย) ร้อยละ 11.82 ระบุว่าเป็น พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ (พรรคพลังประชารัฐ) ร้อยละ 8.31 ระบุว่าเป็น นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค (พรรครวมไทยสร้างชาติ) ร้อยละ 2.23 ระบุว่าเป็น นายชัยเกษม นิติสิริ (พรรคเพื่อไทย) และร้อยละ 14.70 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

    ด้านความเชื่อของประชาชนเกี่ยวกับการยุบพรรคการเมืองในเดือนสิงหาคมนี้ พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 32.44 ระบุว่า ไม่เชื่อเลย รองลงมา ร้อยละ 27.94 ระบุว่า ไม่ค่อยเชื่อ ร้อยละ 24.20 ระบุว่า ค่อนข้างเชื่อ ร้อยละ 13.44 ระบุว่า เชื่อมาก และร้อยละ 1.98 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

    เมื่อถามตัวอย่างที่ระบุว่า เชื่อมากและค่อนข้างเชื่อว่าจะมีการยุบพรรคการเมืองในเดือนสิงหาคมนี้ (จำนวน 493 หน่วยตัวอย่าง) เกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่ สส. จากพรรคการเมืองที่ถูกยุบ จะไปสังกัดกับพรรคร่วมรัฐบาล พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 40.97 ระบุว่า ค่อนข้างเป็นไปได้ รองลงมา ร้อยละ 27.99 ระบุว่า เป็นไปได้มาก ร้อยละ 16.84 ระบุว่า เป็นไปไม่ได้เลย และร้อยละ 14.20 ระบุว่า ไม่ค่อยเป็นไปได้

    ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงความเชื่อของประชาชนเกี่ยวกับการพ้นโทษของคุณทักษิณ ชินวัตร จะทำให้รัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อไทยทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 41.83 ระบุว่า ไม่เชื่อเลย รองลงมา ร้อยละ 26.87 ระบุว่า ไม่ค่อยเชื่อ ร้อยละ 19.01 ระบุว่า ค่อนข้างเชื่อ ร้อยละ 11.45 ระบุว่า เชื่อมาก และร้อยละ 0.84 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

    ที่มา : นิด้าโพล

    #Thaitimes
    ”สิงหาสับ“ นิด้าสำรวจความเห็นประชาชน เรื่อง “Believe It or Not! ทางการเมืองไทย ตอน เดือนพิพากษา” เดือนแห่งการตัดสินผู้มีกรรมหนักคดีใหญ่ ในประเด็นร้อนโพลความเห็นทางการเมือง เรื่องเศรษฐากับการเปลี่ยนนายกฯ,ยุบพรรคก้าวไกลหรือไม่และทักษิณพ้นโทษจะช่วยพรรคเพื่อไทยทำงานดีขึ้นหรือไม่? 4 สิงหาคม 2567-ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจของประชาชน เรื่อง “Believe It or Not! ทางการเมืองไทย ตอน เดือนพิพากษา” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 25 กรกฎาคม ถึง 1 สิงหาคม 2567 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองไทยในเดือนสิงหาคม 2567 การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ “นิด้าโพล” สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0 จากการสำรวจเมื่อถามถึงความเชื่อของประชาชนเกี่ยวกับการเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีในเดือนสิงหาคมนี้ พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 45.42 ระบุว่า ไม่เชื่อเลย รองลงมา ร้อยละ 29.62 ระบุว่า ไม่ค่อยเชื่อ ร้อยละ 15.27 ระบุว่า ค่อนข้างเชื่อ ร้อยละ 8.63 ระบุว่า เชื่อมาก และร้อยละ 1.06 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ เมื่อถามตัวอย่างที่ระบุว่า เชื่อมากและค่อนข้างเชื่อว่าจะมีการเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีในเดือนสิงหาคมนี้ (จำนวน 313 หน่วยตัวอย่าง) เกี่ยวกับบุคคลที่จะได้เป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่จากพรรคร่วมรัฐบาล หากมีการเปลี่ยนนายกรัฐมนตรีในเดือนสิงหาคมนี้ พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 31.95 ระบุว่าเป็น น.ส.แพทองธาร (อุ๊งอิ๊งค์) ชินวัตร (พรรคเพื่อไทย) รองลงมา ร้อยละ 30.99 ระบุว่าเป็น นายอนุทิน ชาญวีรกูล (พรรคภูมิใจไทย) ร้อยละ 11.82 ระบุว่าเป็น พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ (พรรคพลังประชารัฐ) ร้อยละ 8.31 ระบุว่าเป็น นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค (พรรครวมไทยสร้างชาติ) ร้อยละ 2.23 ระบุว่าเป็น นายชัยเกษม นิติสิริ (พรรคเพื่อไทย) และร้อยละ 14.70 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ ด้านความเชื่อของประชาชนเกี่ยวกับการยุบพรรคการเมืองในเดือนสิงหาคมนี้ พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 32.44 ระบุว่า ไม่เชื่อเลย รองลงมา ร้อยละ 27.94 ระบุว่า ไม่ค่อยเชื่อ ร้อยละ 24.20 ระบุว่า ค่อนข้างเชื่อ ร้อยละ 13.44 ระบุว่า เชื่อมาก และร้อยละ 1.98 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ เมื่อถามตัวอย่างที่ระบุว่า เชื่อมากและค่อนข้างเชื่อว่าจะมีการยุบพรรคการเมืองในเดือนสิงหาคมนี้ (จำนวน 493 หน่วยตัวอย่าง) เกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่ สส. จากพรรคการเมืองที่ถูกยุบ จะไปสังกัดกับพรรคร่วมรัฐบาล พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 40.97 ระบุว่า ค่อนข้างเป็นไปได้ รองลงมา ร้อยละ 27.99 ระบุว่า เป็นไปได้มาก ร้อยละ 16.84 ระบุว่า เป็นไปไม่ได้เลย และร้อยละ 14.20 ระบุว่า ไม่ค่อยเป็นไปได้ ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงความเชื่อของประชาชนเกี่ยวกับการพ้นโทษของคุณทักษิณ ชินวัตร จะทำให้รัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อไทยทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 41.83 ระบุว่า ไม่เชื่อเลย รองลงมา ร้อยละ 26.87 ระบุว่า ไม่ค่อยเชื่อ ร้อยละ 19.01 ระบุว่า ค่อนข้างเชื่อ ร้อยละ 11.45 ระบุว่า เชื่อมาก และร้อยละ 0.84 ระบุว่า ไม่ตอบ/ไม่สนใจ ที่มา : นิด้าโพล #Thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 545 มุมมอง 0 รีวิว
  • “ก่อแก้ว พิกุลทอง”อดีตแกนนำ นปช. ได้เลื่อนขึ้นมาป็น สส. บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย หลังจาก“สุดาวรรณ” ยื่นขอลาออกจาก สส.ปาร์ตี้ลิสต์มุ่งทำงานเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมอย่างเดียว

    3 สิงหาคม 2567-เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศสภาผู้แทนราษฎร เรื่องให้ผู้มีชื่ออยู่ในลำดับถัดไปในบัญชีรายชื่อของพรรคการเมือง เลื่อนขึ้นมาเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแทนตำแหน่งที่ว่าง

    ตามที่ประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่อง ผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ ลงวันที่ 19 มิ.ย.ประกาศให้ น.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล ผู้มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทย ลำดับที่ 21 ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นั้น บัดนี้ น.ส.สุดาวรรณ ได้มีหนังสือขอลาออกจากการเป็น สส.ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. เป็นเหตุให้สมาชิกภาพของ น.ส.สุดาวรรณ สิ้นสุดลง อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 105 (2) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงประกาศให้ผู้มีชื่อในลำดับถัดไปในบัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทยลำดับที่ 36 เลื่อนขึ้นมาเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแทน คือ นายก่อแก้ว พิกุลทอง ประกาศ ณ วันที่ 1 ส.ค. ลงนามโดย นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ

    สำหรับ น.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ต้องลาออกจากการเป็นสส.บัญชีรายชื่อให้นายก่อแก้ว ที่ได้เลื่อนเป็นสส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย นายก่อแก้วเคยมีบทบาทเป็นแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และอดีตรักษาการผู้อำนวยการองค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ (ร.ส.พ. )

    #Thaitimes
    “ก่อแก้ว พิกุลทอง”อดีตแกนนำ นปช. ได้เลื่อนขึ้นมาป็น สส. บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย หลังจาก“สุดาวรรณ” ยื่นขอลาออกจาก สส.ปาร์ตี้ลิสต์มุ่งทำงานเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมอย่างเดียว 3 สิงหาคม 2567-เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา เผยแพร่ประกาศสภาผู้แทนราษฎร เรื่องให้ผู้มีชื่ออยู่ในลำดับถัดไปในบัญชีรายชื่อของพรรคการเมือง เลื่อนขึ้นมาเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแทนตำแหน่งที่ว่าง ตามที่ประกาศคณะกรรมการการเลือกตั้ง เรื่อง ผลการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ ลงวันที่ 19 มิ.ย.ประกาศให้ น.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล ผู้มีชื่ออยู่ในบัญชีรายชื่อผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทย ลำดับที่ 21 ได้รับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร นั้น บัดนี้ น.ส.สุดาวรรณ ได้มีหนังสือขอลาออกจากการเป็น สส.ตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. เป็นเหตุให้สมาชิกภาพของ น.ส.สุดาวรรณ สิ้นสุดลง อาศัยอำนาจตามความในมาตรา 105 (2) ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย จึงประกาศให้ผู้มีชื่อในลำดับถัดไปในบัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทยลำดับที่ 36 เลื่อนขึ้นมาเป็น สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแทน คือ นายก่อแก้ว พิกุลทอง ประกาศ ณ วันที่ 1 ส.ค. ลงนามโดย นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ สำหรับ น.ส.สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ต้องลาออกจากการเป็นสส.บัญชีรายชื่อให้นายก่อแก้ว ที่ได้เลื่อนเป็นสส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย นายก่อแก้วเคยมีบทบาทเป็นแกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) และอดีตรักษาการผู้อำนวยการองค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ (ร.ส.พ. ) #Thaitimes
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 326 มุมมอง 0 รีวิว
  • ในทะเลมีฉลาม ในสภามีเฉลิม พรรคเพื่อไทยมีฉลอง
    แต่พรรคก้าวกีมีชำเรา
    #คิงส์โพธิ์แดง
    ในทะเลมีฉลาม ในสภามีเฉลิม พรรคเพื่อไทยมีฉลอง แต่พรรคก้าวกีมีชำเรา #คิงส์โพธิ์แดง
    Like
    Haha
    7
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 250 มุมมอง 0 รีวิว
  • แจ๊สแถลงสื่อ
    ไม่อยากเป็นต้นเหตุให้เฉลิมมีปัญหากับพรรคเพื่อไทย
    ขอเป็นคนเจ็บ ยอมแลกทุกอย่างได้เพื่อให้จบปัญหา
    แต่ยอมรับว่า คบหากับนายเฉลิมมานาน
    เหตุผลเพราะ เฉลิม ไปค้นประวัติได้เลย
    ไม่เคยคอรัปชั่น ก็แค่เป็นพ่อที่รักลูกมาก
    ใครๆก็รักลูก แต่ลูกเค้าก็ไม่ติดยานะ
    แจ๊สแจง
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #บิ๊กแจ๊ส
    #เฉลิมอยู่บำรุง
    แจ๊สแถลงสื่อ ไม่อยากเป็นต้นเหตุให้เฉลิมมีปัญหากับพรรคเพื่อไทย ขอเป็นคนเจ็บ ยอมแลกทุกอย่างได้เพื่อให้จบปัญหา แต่ยอมรับว่า คบหากับนายเฉลิมมานาน เหตุผลเพราะ เฉลิม ไปค้นประวัติได้เลย ไม่เคยคอรัปชั่น ก็แค่เป็นพ่อที่รักลูกมาก ใครๆก็รักลูก แต่ลูกเค้าก็ไม่ติดยานะ แจ๊สแจง #คิงส์โพธิ์แดง #บิ๊กแจ๊ส #เฉลิมอยู่บำรุง
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 344 มุมมอง 0 รีวิว
  • #อิ๊งทอร์นาโดแรงไม่เกรงใจใคร
    อิ๊งหัวหน้าพรรคเพื่อไทยให้สัมภาษณ์แบบไร้เยื่อใย
    ผู้สื่อข่าวถามว่า จะไปเจรจาที่บ้านริมน้ำอีกรอบหรือไม่
    อิ๊งแสดงสีหน้า โนสน โนแคร์
    และกล่าวว่า ไม่ค่ะ ไม่ไป
    ถ้าอยากเคลีย ให้มาเคลียที่พรรค
    ต้องเป็นมืออาชีพ และไม่อยากตอบคำถามเรื่องนายเฉลิมอีกแล้ว
    ก็ถือเป็นปรากฏการณ์ที่ตอกย้ำการด้อยค่านายเฉลิม
    อดีตผู้มีพระคุณของนายใหญ่แห่งพรรคเพื่อไทย
    ที่วันนี้ สังขาลที่โรยรา ลูกชายเป็น สส.สอบตก
    หรือ วันนี้บารมีของเฉลิม ไม่ขลังอีกต่อไป
    รอติดตามอยู่บำรุง ณ.บ้านใหม่ ป่ารอยต่อ พลังปชร
    #คิงส์โพธิ์แดง
    #อุ๊งอิ๊ง
    #เฉลิมอยู่บำรุง
    #อิ๊งทอร์นาโด
    #อิ๊งทอร์นาโดแรงไม่เกรงใจใคร อิ๊งหัวหน้าพรรคเพื่อไทยให้สัมภาษณ์แบบไร้เยื่อใย ผู้สื่อข่าวถามว่า จะไปเจรจาที่บ้านริมน้ำอีกรอบหรือไม่ อิ๊งแสดงสีหน้า โนสน โนแคร์ และกล่าวว่า ไม่ค่ะ ไม่ไป ถ้าอยากเคลีย ให้มาเคลียที่พรรค ต้องเป็นมืออาชีพ และไม่อยากตอบคำถามเรื่องนายเฉลิมอีกแล้ว ก็ถือเป็นปรากฏการณ์ที่ตอกย้ำการด้อยค่านายเฉลิม อดีตผู้มีพระคุณของนายใหญ่แห่งพรรคเพื่อไทย ที่วันนี้ สังขาลที่โรยรา ลูกชายเป็น สส.สอบตก หรือ วันนี้บารมีของเฉลิม ไม่ขลังอีกต่อไป รอติดตามอยู่บำรุง ณ.บ้านใหม่ ป่ารอยต่อ พลังปชร #คิงส์โพธิ์แดง #อุ๊งอิ๊ง #เฉลิมอยู่บำรุง #อิ๊งทอร์นาโด
    Like
    1
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 398 มุมมอง 0 รีวิว
  • ‘วัน อยู่บำรุง’ สมัครสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ หลังลาออกจากสมาชิกพรรคเพื่อไทยเมื่อวันที่ 15 ก.ค. ที่ผ่านมา
    อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000062358

    #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    ‘วัน อยู่บำรุง’ สมัครสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ หลังลาออกจากสมาชิกพรรคเพื่อไทยเมื่อวันที่ 15 ก.ค. ที่ผ่านมา อ่านต่อ..https://news1live.com/detail/9670000062358 #News1feed #News1 #Sondhitalk #คุยทุกเรื่องกับสนธิ #Thaitimes
    Like
    13
    0 ความคิดเห็น 0 การแบ่งปัน 895 มุมมอง 0 รีวิว